วันที่ 26 เมษายน 2024

“ลดาวัลลิ์”ร่วมขบวนรณรงค์ ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี

People Unity News : “ลดาวัลลิ์”ร่วมขบวนรณรงค์ ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ประกาศถึงเวลาชายไทยไม่ทุบตีทำร้ายภรรยาลดคดีอาชญากรรมทางเพศ จี้รัฐใช้กฏหมายจริงจัง

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเปิดเผยว่า เนื่องด้วยวันที่ 25 พฤศจิกายนเป็นวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล ออกมติรับรองโดยองค์การสหประชาชาติ ตนขอเข้าร่วมในกิจกรรมรณรงค์ในวันสำคัญนี้ด้วยในฐานะที่เป็นสตรีคนหนึ่ง จากการสังเกตการทางสังคมพบว่าในรอบหลายปีที่ผ่านมาจนกระทั่งปัจจุบัน ความรุนแรงที่เกิดจากการทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัวทั้งต่อร่างกาย วาจาและจิตใจ สถิติความรุนแรงจากการทุบตีทำร้าย การคุกคาม การล่วงละเมิด การแสวงหาประโยชน์ทางเพศไม่ได้ลดน้อยลง ตรงกันข้ามกลับเพิ่มมากขึ้น แม้แต่ในโรงเรียนผู้ได้ชื่อเป็นครูอาจารย์ก็กระทำรุนแรงต่อลูกศิษย์อย่างไร้ความปราณีและมโนธรรม เป็นสภาวะที่น่าวิตกอย่างยิ่ง

นางลดาวัลลิ์กล่าวว่า จาก ข่าวสารที่ปรากฏผ่านสื่อต่างๆพบว่า ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและผู้ที่กระทำความรุนแรงคือผู้ชาย ทั้งนี้ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ขาดสตินำไปสู่การใช้ความรุนแรงผู้ที่เป็นพ่อแม่จริงหรือพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงก็ทำร้ายลูก จนกระทั่งลูกซึ่งยังไร้เดียงสาได้รับอันตรายบาดเจ็บอย่างน่าสงสาร

รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวต่อไปว่า ในการป้องกันและแก้ไขนั้น นอกจากทุกภาคส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาครัฐจะต้องเป็นหลัก ในการที่จะ สร้างความรู้ความเข้าใจความตระหนัก ด้วยการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง ให้ผู้ที่อยู่ในสภาพกลุ่มเสี่ยงที่จะใช้ความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ได้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเด็กและสตรี และตนเองที่เป็นผู้กระทำ ขณะเดียวกันหน่วยงานรัฐก็ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังด้วย พ.ร.บ.คุ้ม ครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว กำหนดว่าผู้ใดกระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัวผู้นั้นกระทำความผิดฐาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน6,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“สำหรับองค์กรพัฒนาเอกชนทางด้านเด็กและสตรีซึ่งมีอยู่จำนวนมาก ก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือและสนับสนุนการปฏิบัติงานของ หน่วยงานรัฐอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะเปิดใจกว้าง ที่จะยอมรับให้องค์กรพัฒนาเอกชนเหล่านี้เข้ามาร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหายุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีด้วยหรือไม่ เพื่อจะได้ลบล้างสถิติองค์การสหประชาชาติที่ระบุว่าไทยมีสถิติคดีความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกอย่างต่อเนื่อง” นางลดาวัลลิ์กล่าว

นายกฯสั่งเร่งแก้โรงแรม-ร้านอาหารฉวยโอกาสขึ้นราคาเท่าตัว หลังท่องเที่ยวฟื้น

People Unity News : 29 มีนาคม 2566 ทำเนียบรัฐบาล – รองโฆษกรัฐบาล เผยนายกฯ มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลปัญหาราคาโรงแรม ร้านอาหาร พุ่งเท่าตัวหลังท่องเที่ยวฟื้น ขอผู้ประกอบการคิดค่าบริการเป็นธรรม ไม่เอาเปรียบนักท่องเที่ยว

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบถึงข้อมูลภาคการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น ฟื้นตัวรวดเร็ว โดยตั้งแต่ต้นปี ถึง 27 มี.ค.66 มีชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยแล้ว 6.15 ล้านคน แต่พร้อมกับการฟื้นตัวก็ได้มีประเด็นปัญหาที่ตามมา คือ ราคาโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร ได้ปรับขึ้นเป็นเท่าตัว

“นายกรัฐมนตรีมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ ให้ดูแลกำกับตรวจสอบว่า ระดับราคาบริการต่างๆในภาคท่องเที่ยวที่ปรับตัวขึ้นขณะนี้อยู่ในระดับที่สมเหตุสมผลหรือไม่ เพื่อไม่ให้ประชาชน นักท่องเที่ยว ถูกเอารัดเอาเปรียบ และกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศ” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีความเข้าใจสถานการณ์ทางธุรกิจของผู้ประกอบการท่องเที่ยว ที่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลก็ได้ออกมาตรการต่าง ๆ มาช่วยเหลือ ทั้งมาตรการด้านการเงิน มาตรการฟื้นฟู เช่น โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ที่ขณะนี้ดำเนินมาถึงเฟส 5 แล้ว ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ต้องขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการให้ร่วมกันดูแลบรรยากาศให้การฟื้นตัวเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยขอให้กำหนดอัตราค่าบริการให้สมเหตุสมผล ไม่ฉวยโอกาสขึ้นราคามากจนเกินไป เพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของภาคการท่องเที่ยวไทยในระยะยาว

“นายกรัฐมนตรีเข้าใจว่าอัตราค่าบริการ ทั้งโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร มีการปรับเปลี่ยนไปตามกลไกตลาด แต่เพื่อภาพลักษณ์ที่ดี สร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวที่เลือกเดินทางมาประเทศไทยเป็นประเทศแรกๆ หลังโควิด ตลอดจนนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ตอนนี้ก็เลือกเที่ยวในประเทศกันมากขึ้น ขอให้ผู้ประกอบการช่วยกันดูแลเรื่องของราคาค่าบริการต่างๆ ที่เป็นธรรม และขอให้หน่วยงานเกี่ยวข้องติดตามกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดด้วย” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

“อนุทิน”ยัน สธ. หนุนแบนสารพิษ วอนทุกฝ่ายไม่มีวาระซ่อนเร้น

People Unity News : ชัดเจนอีกรอบ! “อนุทิน” ยัน สธ.หนุนแบนสารพิษ วอนทุกฝ่ายตัดสินใจเดินหน้าบนประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ไม่มีวาระซ่อนเร้น พร้อม ชู “ศูนย์จัดการความขัดแย้งฯ” และ “หน่วยรับเรื่องร้องทุกข์ ม.50(5)” รักษาสิทธิ์ประชาชน

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 จากกรณีที่กรมวิชาการเกษตร เสนอให้การแบนสารพิษ หรือ พาราควอต คลอร์ไพรีฟอส และไกรโฟเซต เลื่อนจากวันที่ 1 ธันวาคม 2562 ไปอีก 6 เดือน หลังจากการทำประชาพิจารณ์ พบว่าประชาชน 75% ยังสนุบสนุนให้ใช้สารเคมีทางการเกษตรต่อไป นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีความชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่า อะไรก็ตามที่เป็นอันตรายต่ิสุขภาพ ไม่สมควรให้ใช้ต่อไป ส่วนเรื่องสารทดแทน เป็นความรับผิดชอบของหน่วยงานอื่น สำหรับกระทรวงสาธารณสุข มีหน้าที่รักษาพยายาบาล ที่ผ่านมา เราเห็นผลกระทบจากการใช้สารพิษที่เลวร้าย ดังนั้น ตัวแทนของกระทรวงฯ ในคณะกรรมการวัตถุอันตรายจึงตัดสินใจแบน

และถ้าดูภาพรวมของมติคณะกรรมการฯทั้งคณะจะพบว่า ฝ่ายที่แบนมีมากกว่าด้วยสัดส่วน 3 ต่อ 1 ถือว่าชัดเจนแล้วว่าผลออกมาเป็นอย่างไร ส่วนจะเลื่อนไป 6 เดือน ทำได้หรือไม่ อยากให้ไปดูกฎหมาย แต่ขอวิงวอนว่าการจะทำอะไรต่อจากนี้ ขอให้ตั้งอยู่บนประโยชน์สูงสุดของประชาชน เรื่องสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ ขอให้ทุกฝ่ายทำงานบนความซื่อสัตย์ ไม่มีวาระซ่อนเร้น พืชผักผลไม้เป็นเรื่องที่ประชาชนบริโภคทุกวัน ต้องคิด ต้องตัดสินใจกันให้ดี

“ผมมั่นใจว่าคณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่มีมติให้แบน 3 สารพิษ ต่างคิดมาดีแล้ว ส่วนใครที่ยกผลการทำประชาพิจารณ์มาสนับสนุนให้ใช้สารพิษต่อ ผมจะถามกลับว่า ในสภา ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน ยกมือสนับสนุนให้แบนสารพิษ 423 ต่อ 0 เห็นชอบกับผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการพิจารณาผลกระทบการใช้สารเคมีการเกษตร ซึ่งผลการศึกษาระบุชัดว่า ต้องแบนสารพิษ และให้มีการเตรียมความพร้อมประเทศไทย เป็นเกษตรอินทรีย์ 100 % ในปี 2573 เสียงของผู้แทนประชาชนออกมาแบบนี้ แล้วจะเอาอย่างไร ที่สุดแล้ว เรื่องแบนสารพิษจะเดินหน้าไปทางไหน ก็ต้องรอดูการตัดสินใจของคณะกรรมการวัตถุอันตราย”

นำ สธ.แถลงจุดยืน ย้ำ 1 ธันวา 62 ต้องแบนสารพิษ

พร้อมกันนี้ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุทิน นำทีมผู้บริหาร อาทิ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวง, นายแพทย์พิศิษฐ์ ศรีประเสริฐ รองปลัดกระทรวง ร่วมประชุมทางไกลกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศ แถลงจุดยืนสนับสนุนการแบนสารพิษ ในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 เป็นไปตามมติของคณะกรรมการวัตถุอันตราย

นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขทราบถึงผลกระทบของการใช้สารเคมี อาทิ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกรโฟเซต ซึ่งไม่ได้เพียงสร้างผลเสียต่อสุขภาพของเกษตรกร เกิดแผลพุพอง ทุกข์ทรมาน แต่ยังตกต้างในผักผลไม้ กระทบต่อผู้บริโภค มีผลวิจัยยืนยันข้อมูล ทั้งนี้ สารดังกล่าวเมื่อถูกชะลงน้ำ จะเข้าไปปนเปื้อนในพืชผักผลไม้ สร้างอันตรายเป็นวงกว้าง

“จุดยืนของเรามีเพียงอย่างเดียวคือแบนสารพิษ และต้องแบนในวันที่ 1 ธันวาคมนี้ เป็นไปตามมติของคณะกรรมการวัตถุอันตรายเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ไม่เห็นควรให้เลื่อนออกไปอีก ขอให้รับทราบโดยทั่วกัน”

ด้านนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การใช้สารเคมีอันตรายทั้ง 3 ชนิด เกิดผลกระทบต่อสุขภาพแก่ประชาชนอย่างมากมาย ดังเช่นผู้ป่วยที่มีการรายงาน รวมทั้งมีผลกระทบต่อประชากรรุ่นใหม่ของประเทศ จุดยืนกระทรวงสาธารณสุขคือสนับสนุนการยุติการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพทั้ง 3 ชนิด เพื่อสุขภาพทรดีขึ้นของคนไทย

ด้านนายแพทย์พิศิษฐ์ ศรีประเสริฐ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ในปี พ.ศ. 2561 พบผู้ป่วยโรคจากพิษสารเคมีกำจัดศัตรูพืชมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ข้อมูลวิชาการพบว่า พาราควอต เป็นสารที่มีพิษเฉียบพลันสูง ปัจจุบันไม่มียาถอนพิษ สำหรับไกลโฟเซต สถาบันวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศภายใต้องค์การอนามัยโลก กำหนดให้เป็นสารที่น่าจะก่อมะเร็งได้ ส่วนคลอร์ไพริฟอส งานวิจัยต่างประเทศพบว่าเป็นสารที่รบกวนการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อ ระบบไทรอยด์ กระตุ้นการเจริญเติบโตเซลล์มะเร็งลำไส้ มีผลต่อความผิดปกติด้านพัฒนาการทางสมองของเด็กที่แม่ได้รับสารระหว่างตั้งครรภ์

ชู”ศูนย์จัดการความขัดแย้งฯ” และ “หน่วยรับเรื่องร้องทุกข์ ม.50(5)” รักษาสิทธิ์ประชาชน

ที่โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ นายอนุทิน เป็นประธานเปิดงาน “มหกรรมรวมพลังกลไกขับเคลื่อนระบบหลักประกันสุขภาพในพื้นที่” ภายใต้แนวคิด “Empowering & Deepening Connectivity สร้างเสริมพลังเชื่อมโยงเครือข่าย” พร้อมมอบโล่รางวัลและเกียรติบัตร แก่ศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพและการบริหารจัดการความขัดแย้งในหน่วยบริการดีเด่นประจำปี 2561 และ หน่วยรับเรื่องร้องเรียนอื่นที่เป็นอิสระจากผู้ถูกร้องเรียนตามมาตรฐาน 50(5) ต้นแบบ จัดโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

นายอนุทิน กล่าวว่า ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นนโยบายสาคัญที่รัฐบาลให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่องเพื่อดูแลสุขภาพประชาชน ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้นอกจากการบริหารจัดการที่ส่วนกลางโดยคณะกรรมการหลักประกันขภาพแห่งชาติ และคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุขแล้ว ยังต้องอาศัยการขับเคลื่อนผ่านกลไกระดับพื้นที่ ทั้งกลไก อปสข, อคม, สำนักงานเขตสุขภาพกระทรวงสาธารณสุข และอปท. โดยแต่ละส่วนต่างมีบทบาทและหน้าที่สำคัญ ที่สนับสนุนการดำเนินงานของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

“นอกจากนี้ ยังมีกลไกสำคัญที่คอยทำหน้าที่คุ้มครองสิทธิ์ประชาชน หรือผู้ป่วย คือ ศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพและการบริหารจัดการความขัดแย้งในหน่วยบริการ และ หน่วยรับเรียงร้องเรียน อันเป็นอิสระจากผู้ถูกร้องเรียนตามมาตรา 50(5) คอยประสานงานเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการเข้ารับบริการ ทำให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาและบริการสุขภาพที่จำเป็นได้ ซึ่งที่ผ่านมาหลายแห่งดำเนินการได้อย่างดีิมีประสิทธิภาพ เป็นการยกระดับการให้บริการ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สปสช.ได้คัดเลือกศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพและการบริหารจัดการความขัดแย้งในหน่วยบริการดีเด่น ประจำปี 2561 ประเภทโรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลทั่วไป ประกอบไปด้วย

อันดับ 1. โรงพยาบาลพุทธโสธร จ. ฉะเชิงเทรา อันดับ 2. โรงพยาบาลปัตตานี และอันดับ 3. โรงพยาบาลพุทธชินราช จ. พิษณุโลก ส่วนประเภทโรงพยาบาลชุมชน อันดับ 1. โรงพยาบาลรือเสาะ จ.นราธิวาส อันดับ 2. โรงพยาบาลน้ำพอง จ. ขอนแก่นและอันดับ 3. โรงพยาบาลพนมสารคาม จ. ฉะเชิงเทรา

นอกจากนี้ ยังได้คัดเลือกหน่วยรับเรื่องร้องเรียนอื่น ที่เป็นอิสระจากผู้ถูกร้องเรียนต้นแบบ 11 แห่ง ได้แก่ หน่วยรับเรื่องร้องเรียนฯ จ.เชียงราย หน่วยรับเรื่องร้องฯ จ.กำแพงเพชร หน่วยรับเรื่องร้องเรียนฯ จ.กาญจนบุรี หน่วยรับเรื่องร้องเรียนฯ จ.ขอนแก่น หน่วยรับเรื่องร้องเรียนฯ จ.หนองบัวลำภู

หน่วยรับเรื่องร้องเรียนฯ จ.สุรินทร์ หน่วยรับเรื่องร้องเรียนฯ จ.นครศรีธรรมราช หน่วยรับเรื่องร้องเรียน จ.สตูล หน่วยรับเรียงร้องเรียนฯ ศูนย์ประเด็นเดรือข่ายผู้หญิงเพื่อสุขภาพ ภาคกลาง จ.ปทุมธานี หน่วยรับเรื่องร้องเรียนฯ เครือข่ายผู้รับเชื้อเอชไอวี / เอดส์ จ.ศรีสะเกษพ หน่วยรับเรื่องร้องเรียนฯ โซนเจ้าพระยา กรุงเทพมหานคร

ในการประชุมข้างต้น มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 1,000 คน ประกอบด้วยคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณะ คณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขตพื้นที่ (อปสข.) คณะอนุกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานระดับเขตพื้นที่ (อคม.)

ผู้แทนคณะอนุกรรมการพิจารณาวินิจฉัยคำร้องฯ ระดับจังหวัด ผู้แทนสำนักงานเขตสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ผู้รับผิดชอบงานรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครองสิทธิ์ใน สสจ. ผู้แทนหน่วยบริการ ผู้รับผิดชอบงานศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพ ผู้แทนภาคประชาชน และศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

“จุรินทร์”เปิดปชป.รณรงค์”ยุติรุนแรง-เสมอภาค”ทางเพศ LGBT

People Unity News : “จุรินทร์”เป็นประธานเปิดการรณรงค์ยุติความรุนแรง ดันประชาธิปัตย์ ขับเคลื่อน 3 ข้อ ส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ LGBT

วันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 เวลา 15.30 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดการรณรงค์ยุติความรุนแรง โดยกล่าวว่า มีความยินดีที่ทุกฝ่ายให้ความสำคัญกับพรรคประชาธิปัตย์ที่ ช่วยกันคิดถึงทางออกไปทางแก้ไข และในการเสวนาวันนี้ขอฝากการบ้านให้ทุกฝ่ายและทุกคน คิดทำการบ้านให้ 3 ประเด็นเพื่อช่วยหาคำตอบในเรื่องของการที่จะทำอย่างไรให้เราที่จะส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศให้เกิดขึ้นได้ในโลกของความเป็นจริงและเป็นรูปธรรม คือ

1.ช่วยหาคำตอบอย่างเป็นรูปธรรมว่าเราจะขจัดการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศได้อย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างไร เพราะต้องยอมรับความจริงว่าสังคมเราปัจจุบันยังมีการเลือกปฏิบัติอยู่มากมายหลายรูปแบบทั้งในเรื่องของการจ้างงานซึ่งได้มีการพูดคุยในคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศที่ผมเป็นประธานกรรมการระดับประเทศอยู่ อย่างไรก็ตามตนเพิ่งประชุมที่ทำเนียบรัฐบาลมาเมื่อไม่กี่วันมานี้เกี่ยวกับงานเชิงนโยบาย และที่อยากได้คำตอบเรื่องนี้เช่นเดียวกัน และพรรคประชาธิปัตย์อยากได้คำตอบเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม คือ จะขจัดการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศได้อย่างไรเรื่องการจ้างงาน ค่าตอบแทนที่ยังไม่เท่าเทียมในเรื่องของตำแหน่ง ในเรื่องของความก้าวหน้าในงาน ทั้งในส่วนของภาคราชการ ภาคเอกชนและการเข้าถึงบริการสาธารณะ หรือการหาคำตอบในเรื่องของการถ้าจะอุปสรรคในการเข้ารับบริการสาธารณะด้วยเหตุแห่งความแตกต่างทางเพศที่ทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติ เหล่านี้เป็นประเด็นที่พวกผมอยากได้รับคำตอบที่เป็นรูปธรรมเพื่อพลักดันร่วมกับพวกเราต่อไป

2.เราจะร่วมด้วยช่วยกันในการสร้างหลักคิดที่ถูกต้องให้เกิดขึ้นในสังคมได้อย่างไร ทุกเพศมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน และเราจะช่วยกันดำเนินการอย่างไรที่จะเปลี่ยนความคิดบรรทัดฐานของสังคม ที่ยังมีความรู้สึกบางประการในทางลบกับเพศสภาพบางเพศสภาพซึ่งผมคิดว่านี่คือสิ่งที่เราต้องช่วยกันเปลี่ยนหลักคิดของสังคมให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง และในประการที่สามที่เป็นหัวใจสำคัญที่ตนคิดว่าเป็นที่มาของการรณรงค์ของเราในช่วงเดือนพฤศจิกายน ของ UN ดังนี้เราจะช่วยกันลดหรือขจัดความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศได้อย่างไร

“เพราะตัวเลขเท่าที่ผมมีอยู่น่าเป็นห่วงมากตัวเลขสถิติของการใช้ความรุนแรงโดยเฉพาะต่อสตรีมีความน่าเป็นห่วงและผมคิดว่าจะลามไปถึง LGBT ด้วย ซึ่งกำลังเป็นปัญหาเช่นเดียวกันแต่ยังไม่มีการรวบรวมตัวเลขเรื่อง LGBT แต่อย่างน้อยกับสตรีก็เป็นตัวสะท้อนที่น่าห่วงก็คือสถิติของ UN Human Rights ปีที่แล้ว 2018 ที่สำรวจมาทั่วโลกพบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อสตรีไม่ได้ลดลง แปลว่าอย่างน้อยก็เท่าเดิมเท่าเดิมก็แย่แล้วหรือว่าอาจจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำนี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วงตัวเลขนอกจากนั้นก็คือว่าถึงร้อยละ 83 ของสตรีเพศที่ถูกทำร้ายมาจากคนใกล้ตัวอันนี้ยิ่งน่าเป็นห่วงเพราะเราไม่รู้ว่าคนข้างๆ เราจะก่อความรุนแรงกับเราเมื่อไหร่” นายจุรินทร์ กล่าว

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ประการที่ 3 ตัวเลขถัดมาก็คือว่าคนใกล้ตัวไม่ว่าจะเป็นคนรักคู่สมรส คนในครอบครัวหรือญาติพี่น้องก็ตาม ได้ก่อเหตุแห่งความรุนแรงจนกระทั่งทำร้ายให้เกิดการเสียชีวิตตัวเลขเฉลี่ยถึง 157 คนต่อวันคือตัวเลขที่ผมคิดว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งและเราต้องช่วยกันหาทางแก้ปัญหาเหล่านี้ และสำหรับด้านกฎหมายที่ได้มีการดำเนินการกันมาอย่างต่อเนื่องนั้นทางพรรคประชาธิปัตย์โดยตนจะได้นำเข้าที่ประชุมพรรคเพื่อหารือและดำเนินการต่อไป

โฆษกรัฐบาลลั่นนายกฯพร้อมชี้แจงศึกซักฟอกในสภา วอนพรรคเพื่อไทยอย่าเล่นเกมส์นอกสภา

People Unity News : โฆษกรัฐบาลลั่น นายกฯพร้อมชี้แจงศึกซักฟอกในสภาฯ วอนพรรคเพื่อไทยอภิปรายในสภาฯ แล้วไม่ควรเล่นเกมส์นอกสภาฯอีก ดักคอแคมเปญชวนคนไทยไล่รัฐบาลมีช่องว่าง ชี้ไม่มีระบบยืนยันตัวตน อาจเปิดช่องให้มีการปั่นยอดให้สูงได้ เผยมีประชาชนขอผุดแคมเปญหนุนนายกฯทำงานต่อ

วันที่ 29 ส.ค.64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยผุดแคมเปญเชิญชวนประชาชนร่วมลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นกลไกหนึ่งในการตรวจสอบรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตยของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่สามารถดำเนินการได้ แต่การเชิญชวนพี่น้องประชาชนให้ร่วมลงชื่อโหวตไม่วางใจรัฐบาลด้วยนั้นไม่ควรกระทำและไม่เหมาะสม เป็นการเล่นเกมส์นอกสภาฯ เพื่อกดดันรัฐบาลต่อ และการลงชื่อทางไลน์นั้นสามารถปั่นตัวเลขให้สูงได้ตามใจชอบ เพราะไม่มีระบบยืนยันตัวตนที่เพียงพอ โดยในสมัยที่ตนเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำโครงการชิมช็อปใช้นั้น ก็ยังพบว่ามีรายชื่อผีโผล่มา ซึ่งจะต้องตรวจสอบยืนยันตัวตนจากหลายหน่วยงาน ดังนั้น สุดท้ายแล้วพรรคเพื่อไทยก็อาจจะนำตัวเลขสูงๆมาโจมตีรัฐบาลเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควร น่าจะใช้สภาฯในการตรวจสอบจะดีกว่า

นายธนกร กล่าวอีกว่า มีพี่น้องประชาชนจำนวนมากโทรศัพท์มาหาตน โดยระบุว่าอยากจะขอเปิดแคมเปญสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ให้อยู่ยาว ทำงานให้ประเทศชาติและประชาชนต่อไป แต่ตนได้ขอร้องไว้ เพราะไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในสังคม ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ที่ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกัน โดยรัฐบาลพยายามทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน คาดว่าอีกไม่นานสถานการณ์จะคลี่คลาย อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้านต้องทบทวนให้ดี เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้นควรเป็นเรื่องที่ดำเนินการภายในที่ประชุมสภาฯ ไม่ควรนำไปขยายผลออกไปสู่นอกสภาฯ หากฝ่ายค้านมั่นใจว่ามีข้อมูลเพียงพอ ก็สามารถนำมาแสดงและอภิปรายต่อที่ประชุมสภาฯได้ ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์พร้อมที่จะชี้แจงในทุกเรื่อง ที่สำคัญ รัฐบาลจะใช้เวทีสภาฯ เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนอีกด้วย

Advertising

“อาเซียน-อินเดีย”ร่วมเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์พัฒนาทุกมิติเป็นรูปธรรม

People Unity News : “อาเซียน-อินเดีย” ร่วมผลักดันความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ เพื่อการพัฒนาในทุกมิติอย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่ “อาเซียน-ยูเอ็น” พร้อมสร้างความร่วมมือบริหารชายแดนในอาเซียน

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2562 เวลา 11.15 น. ณ ห้อง Sapphire 203 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน และนายกรัฐมนตรีนเรนทร โมที (His Excellency Shri Narendra Modi) ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอด อาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ 16 ภายหลังเสร็จสิ้น ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้

การประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ 16 จัดขึ้นเพื่อทบทวนความร่วมมือในกรอบอาเซียน-อินเดียในมิติการเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมและวัฒนธรรมในรอบปีที่ผ่านมา รวมทั้งเพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดียในอนาคต และเพื่อหารือ แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับประเด็นสำคัญระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ

โดยประเทศอินเดียถือเป็นมิตรประเทศที่ใกล้ชิดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับอาเซียนที่จะร่วมมือกันในการส่งเสริมเสถียรภาพในภูมิภาค ขับเคลื่อนความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนสร้างความใกล้ชิดทางวัฒนธรรมมาโดยตลอด อาเซียนยินดีที่นายกรัฐมนตรีอินเดียให้ความสำคัญกับอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านนโยบายมุ่งตะวันออกของอินเดีย เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญทำให้ยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียน-อินเดียมีพลวัตมากยิ่งขึ้น

ด้านความมั่นคง อาเซียนชื่นชมที่อินเดียสนับสนุนความเป็นแกนกลางของอาเซียนบนพื้นฐานของภาคีสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (TAC) และผ่านกลไกที่อาเซียนมีบทบาทนำหลากหลาย อาทิ การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS) การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก(ARF) และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา(ADMM plus) ซึ่งนำไปสู่การรักษาสันติภาพ ความมั่นคง เสถียรภาพ และความเจริญก้าวหน้าในภูมิภาค ตลอดจนชื่นชมอินเดียที่ให้การสนับสนุนมุมมองของอาเซียนต่อแนวคิดอินโด-แปซิฟิก โดยเป็นมุมมองที่ตั้งอยู่บนหลักการ 3M ได้แก่ ความเคารพซึ่งกันและกัน(Mutual Respect) ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน(Mutual Respect) ผลประโยชน์ร่วมกัน(Mutual Benefit) และความร่วมมือนี้จะช่วยส่งเสริมหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อาเซียน-อินเดียให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ตลอดจนย้ำถึงความร่วมมือกันต่อต้านการก่อการร้าย แนวคิดสุดโต่งที่นิยมความรุนแรง อาชญากรรมข้ามชาติและความร่วมมือด้านความมั่นคงทางไซเบอร์

ด้านการค้าการลงทุน เน้นย้ำการพยายามเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างกันเพื่อบรรลุตัวเลขการค้าร่วมกันที่ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2022 โดยใช้ประโยชน์จากเขตการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) ในการนี้ ไทยยินดีที่ได้ริเริ่มการทบทวนความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-อินเดีย (AITIGA) เพื่อทำให้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-อินเดียสามารถใช้ประโยชน์ได้สะดวกและง่ายในทางปฏิบัติและอำนวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจมากยิ่งขึ้น รวมทั้งขจัดอุปสรรคทางการค้า พร้อมเน้นย้ำความสำคัญในการบูรณาการเศรษฐกิจในภูมิภาคผ่านการสรุปการเจรจา RCEP ภายในปี 2019

ด้านวัฒนธรรม ชื่นชมกับความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมที่รุ่งเรืองระหว่างอาเซียนกับอินเดีย ส่งเสริมให้มีความร่วมมือด้านความหลากหลายทางชีวภาพ การท่องเที่ยว การศึกษา การแลกเปลี่ยนนักวิชาการและเยาวชน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นวัตกรรม และไอซีที ทั้งนี้ ไทยส่งเสริมให้อาเซียนและอินเดียเพิ่มความพยายามในการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการอาเซียน-อินเดียปี ค.ศ. 2016-2020 และยินดีต่อความสำเร็จของปีความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวอาเซียน-อินเดีย 2019

ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณอินเดียในฐานะหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่สำคัญของอาเซียน และให้การสนับสนุนไทยและอาเซียนมาโดยตลอด โดยเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันจะพัฒนาในมิติที่หลากหลายเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองภูมิภาคร่วมกัน

อาเซียน-ยูเอ็นพร้อมสร้างความร่วมมือบริหารชายแดนในอาเซียน

ต่อมาเวลา 14.00 น. ที่ห้อง Sapphire 203 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหประชาชาติ ครั้งที่ 10 ภายหลังเสร็จสิ้น นางนฤมล สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหประชาชาติ ครั้งที่ 10 เพื่อรับทราบความคืบหน้าและทบทวนความร่วมมือระหว่างอาเซียนและสหประชาชาติ รวมทั้งการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ 5 ปี เพื่อดำเนินการตามปฏิญญาร่วมว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติ ปี ค.ศ. 2016-2020 รวมทั้งเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและวิสัยทัศน์ และร่วมกำหนดทิศทางและเป้าหมายในการดำเนินความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติ โดยเฉพาะการสร้างความยั่งยืนในทุกมิติตามแนวคิด “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” โดยมีผู้นำ 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน และเลขาธิการสหประชาชาติเข้าร่วมประชุม

นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดการประชุมว่า อาเซียนและสหประชาชาติควรร่วมกันสนับสนุนและเสริมสร้างระบบพหุภาคีนิยมและภูมิภาคนิยม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาค และขอบคุณเลขาธิการสหประชาชาติที่สนับสนุนความพยายามของอาเซียนในการเสริมสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ซึ่งรวมถึงการจัดตั้งศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน

โดยไทยได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียนและสหประชาชาติอย่างรอบด้าน อาทิ การส่งเสริมความร่วมมือด้านการบริหารจัดการชายแดนอย่างมีประสิทธิภาพ การเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ การส่งเสริมบทบาทและสิทธิของสตรี เยาวชน ผู้พิการ และกลุ่มเปราะบาง และการเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจ เป็นต้น เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ประชาชน และความยั่งยืนในทุกมิติแก่อาเซียนและระบบพหุภาคีนิยม

นายกรัฐมนตรีกล่าวในนามอาเซียน ยินดีและชื่นชมที่ทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินการตามปฏิญญาร่วมว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนที่ครอบคลุมระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติปี ค.ศ. 2016-2020 ไปกว่าร้อยละ 93 และเห็นว่า แผนปฏิบัติการฉบับใหม่ควรมุ่งเน้นการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2025 และวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ของสหประชาชาติผ่านการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ การส่งเสริมศักยภาพของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 การเสริมสร้างความแข็งแกร่งและการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ การยกระดับการลงทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การเสริมสร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาเทคโนโลยี และการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย

ทั้งสองฝ่ายควรร่วมกันรับมือกับความท้าทายข้ามพรมแดน ผ่านการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการบริหารจัดการชายแดนในอาเซียน เสริมสร้างศักยภาพในการรับมือกับภัยพิบัติ ผ่านความร่วมมือระหว่างศูนย์ และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ตลอดจนผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งรวมถึง การอนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางทะเล ปัญหาขยะทะเลและการประเมินผลกระทบต่อสุขภาวะและสิ่งแวดล้อม ขยะพลาสติก รวมถึง มลพิษและหมอกควัน

สำหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ทั้งสองฝ่ายควรร่วมมือกันในการอำนวยความสะดวกทางการค้า สร้างเครือข่ายความเชื่อมโยง การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ตลอดจนส่งเสริมการบริโภค การผลิต การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพื่อให้บรรลุความพยายามในการสร้าง “ประชาคมอาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และมองไปสู่อนาคต”

ตีกลับ”แก่งกระจาน”ไม่ขึ้นบัญชีรายชื่อมรดกโลก

People Unity News : รับรอง”เมืองโบราณศรีเทพ–กลุ่มเทวสถานปราสาทพนมรุ้ง” ขึ้นบัญชีมรดกโลกแล้ว ตีกลับ “แก่งกระจาน” ไม่ควรพูดถึงเขตแดน – อุ้มสิทธิมนุษยชน

วันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า มีการรายงานผลการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 43 ว่าที่ประชุมมีมติรับรองแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมของไทยบรรจุไว้ในบัญชีรายชื่อเบื้องต้นของศูนย์มรดกโลก 2 แห่ง ได้แก่ เมืองโบราณศรีเทพ และกลุ่มเทวสถานปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ ปราสาทปลายบัด

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีมติให้ส่งกลับเอกสารกรณีการนำเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก ให้ประเทศไทยแก้ไขเรื่องเขตแดน โดยไม่ควรพูดถึงเรื่องเขตแดนในการเสนอเข้าเป็นมรดกโลก เนื่องจากพื้นที่ป่าแก่งกระจานมีเขตแดนที่เชื่อมระหว่างประเทศไทยกับประเทศเมียนมาร์ รวมถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งไทยได้ดำเนินการแก้ไขตามคำเรียกร้องของคณะกรรมการมรดกโลกแล้ว โดยมีการจัดที่อยู่อาศัยให้กับกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในบริเวณป่าแก่งกระจาน มีการพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งเรื่องสาธาณสุข สาธารณูปโภค และมีการจัดทำข้อตกลงประชาคมร่วมกันว่าหากป่าแก่งกระจานมีการขึ้นเป็นทะเบียนมรดกโลกได้ จะไม่มีการย้ายชุมชนออกจากพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ทางไทยจะเร่งดำเนินการเรื่องทั้งหมด และส่งข้อมูลกลับไปยังที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกอีกครั้ง

“สุวัจน์”มองอีอีซีโอกาสประเทศไทยและเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจ

People Unity News : “สุวัจน์”มองอีอีซีโอกาสประเทศไทยและเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจ พร้อมฝากอารยะสถาปัตย์กับเหตุสามารถสร้างความเท่าเทียมในการดำรงชีวิตของคนทุกกลุ่ม แนะพรรคร่วมรัฐบาลเร่งเคลียร์ให้จบใครนั่ง ปธ.กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถา ในงาน ASA Real Estate Forum 2019 ณ พารากอน ฮอลล์ 3 ศูนย์การค้า สยามพารากอน กรุงเทพมหานคร โดยมีนายอัชชพล ดุสิตนานนท์ นายกสมาคมสถาปนิกสยามฯ นายวีรพล จงเจริญใจ ประธานการจัดงานฯ และนายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคม อสังหาริมทรัพย์ไทย ร่วมเปิดงาน

ภายหลังจากการเปิดงาน นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ได้ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ประเทศไทย : เมืองแห่งโอกาส และความเท่าเทียม โดยนายสุวัจน์ได้กล่าวถึง วิกฤติทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่มีผลมาจากการถดถอยของเศรษฐกิจโลก และสงครามการค้าของประเทศมหาอำนาจ ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย และ Disruptive Technology ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 มีเทคโนโลยีใหม่ๆเกิดขึ้น ซึ่งทำให้เกิดความผันผวนทางไลฟ์สไตล์ เกิดการผันผวนในการทำธุรกิจ

และนายสุวัจน์ได้แสดงวิสัยทัศน์ เรื่องเมืองแห่งโอกาส ที่จะสร้างความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำให้กับประชาชนทั้งประเทศ โดยกล่าวถึง เมกะโปรเจคใหญ่ๆ อย่าง EEC (Eastern Economic Corridor) ที่เป็นการต่อยอดมาจาก โครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก(Eastern Seaboad)​ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการลงทุนทางอุตสาหกรรม ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก  โดยเป้าหมายของ EEC ​ คือ 1.การทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักการเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง 2.บรรยากาศการลงทุนของประเทศไทยต้องเติบโตไม่น้อยกว่า 10 % 3. GDP ประเทศไทยต้องโต 5 % 4.จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 100,000 คน 5.ภาคโลจิสติกส์​ ซึ่งเป็นตัวดึงนักลงทุน จะมีราคาถูกลง 6.จะมีนักท่องเที่ยวมากขึ้น และสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศ

นอกจากโครงการ EEC แล้ว โครการใหญ่ๆที่เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ก็ถือเป็นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น โครงการรถไฟความเร็วสูง ที่จะสามารถดึงดูดนักลงทุน รองรับนักท่องเที่ยวๆได้ 150 ล้านคนต่อปี จะมีการจ้างงาน และก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล การสร้างรถไฟฟ้าในกรุงเทพ ก่อให้เกิดโอกาสทางเศรษฐกิจในเรื่องของ อสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้า ทำให้ที่ดินมีมูลค่าเพิ่ม รถไฟรางคู่ที่ออกไปสู่ต่างจังหวัด จะเป็นการกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวไปให้เกษตรกร และ ท้องถิ่น ลดความเหลื่อมล้ำ รวมถึง มอเตอร์เวย์สายต่างๆที่จะกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ

การใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ Technology 5g มีนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางด้านธุรกิจ ด้านการแพทย์ ด้านการศึกษา องค์ความรู้ต่างๆจะหลั่งไหลสู่ชุมชนที่ห่างไกล และนอกเหนือจากเรื่องของเทคโนโลยี นายสุวัจน์ได้กล่าวถึงการสร้างพันธมิตร เช่น การเป็นประธานจัดงานประชุมอาเซียน ที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ การรวมกลุ่มทางการค้า เพื่อสร้างความเข้มแข็งและข้อต่อรองทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้เกิดโอกาสทางการลงทุนทีามากขึ้น และสุดท้าย นายสุวัจน์ได้กล่าวถึงจุดแข็งของประเทศไทย 2 ประการ นั่นก็คือ 1.การเกษตร ต้องใช้เทคโนโลยี และ อุตสาหกรรมมาใช้ในการเกษตรเพื่อแปรรูป และเพิ่มมูลค่า วัตุดิบคุณภาพของประเทศ 2.การท่องเที่ยว เพราะประเทศไทยมีความสวยงาม และมีความหลายหลายในแต่ละท้องถิ่น การส่งเสริมการท่องเที่ยว จะเป็นการลดความเหลื่อมล้ำ เพราะรายได้จากการท่องเที่ยวจะกระจายไปในทุกๆที่ โดยมีโครงสร้างพื้นฐานมารองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยว

และก่อนที่จะปิดการปาฐกถา นายสุวัจน์ได้ฝากถึงสถาปนิก ว่าต้องให้ความสำคัญกับ Universal Design (อารยะสถาปัตย์)​เพราะสามารถสร้างความเท่าเทียมในการดำรงชีวิตของคนทุกกลุ่มผ่านการออกแบบที่คำนึงถึงทุกๆคน เพื่อสร้างความเสมอภาคในสังคม และการใช้งานของคนทุกกลุ่ม

แนะพรรคร่วมรัฐบาลเร่งเคลียร์ให้จบใครนั่ง ปธ.กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ

นายสุวัจน์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ส่วนตัวขอเสนอให้พรรคร่วมรัฐบาลโดยหัวหน้าพรรคและคณะกรรมการประสานงานของแต่ละพรรคควรพูดคุยทำความเข้าใจ และหาข้อยุติเรื่องประธานคณะกรรมาธิการ จะได้ไม่กระทบกับเสถียรภาพของรัฐบาล

ทั้งนี้ นายสุวัจน์ เห็นว่าเป็นเรื่องดีที่พรรคประชาธิปัตย์จะเสนอชื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะไปพูดคุยกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลก่อน แต่ส่วนตนเองในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลยังไม่ได้รับการติดต่อหรือประสานงานมา อย่างไรก็ตาม ขอไม่แสดงความเห็นในเรื่องตัวบุคคลว่าใครเหมาะสม ระหว่าง นายอภิสิทธิ์ กับ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แต่มองว่าบุคคลที่จะมาเป็นประธานกรรมาธิการชุดนี้จะต้องมีบารมี เป็นที่ยอมรับ และสามารถควบคุมการประชุมเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ดี

“เรื่องนี้ต้องพูดคุยกันเพื่อให้ได้ข้อยุติในพรรคร่วมรัฐบาล เพราะความเห็นที่แตกต่างกันทำให้เกิดกระทบกับเสถียรภาพ และเกิดความไม่เข้าใจในสังคม”

เพื่อไทยชี้”บิ๊กตู่”ล้มเหลวจัดประชุมอาเซียน ไร้ชัดเจนกรณีถูกสหรัฐฯตัดจีเอสพี

People Unity News : เพื่อไทยชี้”บิ๊กตู่”ล้มเหลวจัดประชุมอาเซียน ไร้ชัดเจนกรณีถูกสหรัฐฯตัดจีเอสพี ขณะที่ ผู้แทน”ทรัมป์ ” พบ “บิ๊กตู่” ยันจะพิจารณาทบทวนอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 4 พฤศจิกายน ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคพท. และร.ท.หญิง สุณิสา ธิวากรดำรง รองโฆษกพรรคพท. ได้ร่วมกันแถลงข่าวประจำสัปดาห์ โดยนายอนุสรณ์ กล่าวถึงการประชุมอาเซียนว่า เราไม่อยากให้โฆษกและผู้ใหญ่ในรัฐบาลไปโหนโพลในลักษณะที่ตัวเองได้ประโยชน์ และไม่สนใจโพลที่ตัวเองเสียประโยชน์ ซึ่งการประชุมที่ผ่านมา เราได้เห็นการพูดในทำนองกว้างๆเท่านั้น แต่ไม่มีผลลัพท์ที่เป็นรูปธรรมชัดเจน ถือว่าเสียโอกาสในฐานะที่เราเป็นประธานอาเซียน โดยเฉพาะเรื่องที่สหรัฐอเมริกาประกาศตัดจีเอสพี ที่ขณะนี้เราสับสนกันว่าจะเอาอย่างไร

สรุปแล้วอยากให้เขาทบทวนการตัด หรือไม่ เพราะนายกฯบอกที่เขาตัดจีเอสพีเพราะเศรษฐกิจเราโตไว พอถามเรื่องเศรษฐกิจถดถอยก็บอกว่า เศรษฐกิจไม่ได้ถดถอยแค่โตช้า ตนจึงขอตั้งข้อสังเกตว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นบิดาของความนย้อนแย้ง เสมอต้น เสมอปลาย ท่านพูดขัดแย้งกันไปมา จนยังไม่สามารถสรุปได้เลยว่าเศรษฐกิจโตไว หรือโตช้า แล้วสาเหตุที่เราถูกตัดจีเอสพีมาจากเรื่องอะไร รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องพูดคนละเรื่องแตกต่างกัน ไม่มีการบูรณาการแก้ไข ดังนั้น อยากให้เอาให้ชัดว่าเราถูกตัดเพราะอะไร นอกจากนี้ แผนรองรับต่อจากนี้คืออะไร ไม่ใช่บอกเขารับปากแล้ว ให้รอไปเรื่อยๆ

ร.ท.หญิงสุณิสา กล่าวว่า บทบาทพล.อ.ประยุทธ์ในการเป็นประธานอาเซียน ประเมินแล้วต้องถือว่าท่านล้มเหลวทั้งในฐานะประธานอาเซียน และหัวหน้ารัฐบาล ที่ประเมินเช่นนี้เพราะเราใช้ตัวชี้วัดจากศักยภาพของผู้นำฯในการเชิญคู่เจรจาจากชาติมหาอำนาจมาร่วมการประชุม เช่น สหรัฐอเมริกา ที่ลดความสำคัญในการประชุมอาเซียนที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพโดยการส่งเพียงผู้แทนมาร่วมประชุม ทั้งที่ผ่านมาประธานาธิบดีบารัก โอบามา ก็เดินทางเข้าร่วมการประชุมเองทุกครั้ง รวมถึงการประชุมครั้งก่อนที่ไทยเป็นเจ้าภาพด้วย สะท้อนถึงการลดความสัมพันธ์ และความสำคัญของประเทศไทยลง วันนี้ประเทศไทยได้สูญเสียสถานะทางการทูตนั้นไปแล้ว ทั้งนี้ การจัดประชุมอาเซียนไม่ใช่เพียงมีอาหารที่ดี ดนตรีที่เพราะเท่านั้น แต่ต้องคุ้มค่า และใช้เป็นเวทีแก้ไขปัญหาที่สำคัญในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วย ดังนั้น การประชุมครั้งนี้ จึงไม่ใช่การประชุมที่น่าประทับใจสำหรับผู้ที่มาร่วมประชุม นอกจากนี้ การเจจราในเวทีประชุมนี้ก็ยังห่างไกลจากเป้าหมายที่พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาลได้ตั้งเป้าไว้ เช่น การสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกลุ่มประเทศอาเซียน แต่การประชุมหลายวันที่ผ่านมานี้มีลักษณะเป็นทวิภาคีสูงอยู่ พล.อ.ประยุทธ์กำลังจะก้าวลจากตำแหน่งประธานอาเซียนด้วยความล้มเหลว

ผู้แทน”ทรัมป์”พบ”บิ๊กตู่” ยันพิจารณาตัด GSP ถี่ถ้วนอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 10.00 น. ณ ห้อง Sapphire 108 ชั้น 1 อาคารอิมแพค ฟอรั่ม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้พบหารือกับนายโรเบิร์ต ซี โอไบรอัน (Robert O’Brien) ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ผู้แทนพิเศษของนายโดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และหัวหน้าคณะผู้แทนสหรัฐอเมริกาในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้

นายกรัฐมนตรีย้ำว่าไทยพร้อมร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกัน และเพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศ เช่น การลงทุน การต่อต้านการค้ามนุษย์ และการสนับสนุนบทบาทของสหรัฐฯ ในการเพิ่มพูนความร่วมมือกับภูมิภาค พร้อมฝากความระลึกถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ และภริยา โดยหวังว่าจะมีโอกาสได้ต้อนรับที่ประเทศไทย

ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงสหรัฐฯ แสดงความขอบคุณในการต้อนรับอย่างอบอุ่นของไทย และกล่าวว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ฝากหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อย้ำว่าสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับการกระชับความสัมพันธ์กับไทยในฐานะมิตรประเทศอันใกล้ชิด ชื่นชมการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของไทยในปีนี้ และยืนยันว่าสหรัฐฯ พร้อมมีบทบาทอย่างสร้างสรรค์ในการร่วมมือกับไทยและอาเซียนเพื่อประโยชน์ร่วมกันของภูมิภาคต่อไป

ทั้งสองฝ่ายชื่นชมความร่วมมือไทย-สหรัฐฯ มีความใกล้ชิดและครอบคลุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ด้านความมั่นคง รวมถึงความท้าทายในรูปแบบใหม่ ไทยมุ่งมั่นในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง สำหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจทั้งสองฝ่ายยินดีที่การประชุม Indo-Pacific Business Forum ในวันนี้ จะเป็นโอกาสอันดีในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะสาขาโครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน ดิจิทัล ทั้งนี้ระหว่างการหารือได้มีการหยิบยกประเด็นการประกาศพักสิทธิ GSP บางส่วนของไทย ซึ่งสหรัฐฯ รับไปพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาคเอกชนไทย

กกต.ชี้ “อานุภาพ” ยังไม่พ้นสมาชิกภาพ ส.ก. เว้นแต่ลาออกเอง

People Unity News : 15 กรกฎาคม 2565 กกต.กทม.ชี้ “อานุภาพ” ยังไม่พ้นสมาชิกภาพ เว้นแต่ลาออกเอง ระบุหาก ส.ก.พ้นตำแหน่ง ต้องจัดเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ลาออก

นายสำราญ ตันพานิช ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร (ผอ.กกต.กทม.) กล่าวถึงกรณีที่ นายอานุภาพ ธารทอง ส.ก.เขตสาทร พรรคก้าวไกล ซึ่งถูกพนักงานสอบสวนฝากขัง ในคดีถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดทางเพศ และอนาจารหญิงสาว 4 ราย ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล เพื่อพิสูจน์ตัวเอง ว่า ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว แต่เท่าที่ติดตามทราบว่าเป็นการลาออกจากสมาชิกพรรคก้าวไกล แต่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง ซึ่งแตกต่างจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะต้องสังกัดพรรค และกรณีที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมคุมขังก่อนหน้านี้ ก็ถือว่ายังไม่เข้าข่าย เพราะได้รับการประกันตัว ดังนั้นจึงยังไม่ส่งผลกระทบกับสมาชิกภาพของนายอานุภาพ เว้นแต่จะมีการแสดงสปิริตลาออก ซึ่งหากมีการลาออกจริง ก็จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่ลาออก โดยปลัด กทม.ในฐานะเจ้าพนักงานจะเป็นผู้กำหนดวันเลือกตั้ง และประสานมายังกรรมการการเลือกตั้งกรุงเทพมหานครต่อไป อย่างไรก็ตาม หากนายอานุภาพยังไม่ลาออก ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ตัวเองและรอคดีถึงที่สุด

Advertisement

Verified by ExactMetrics