วันที่ 26 เมษายน 2024

“บิ๊กป้อม”แนะน้อมนำศาสตร์พระราชา-ศก.พอเพียง ขับเคลื่อนยกระดับคุณภาพชีวิตประชา

People Unity News :  “ประวิตร”ย้ำทุกส่วนราชการกาญจนบุรี ต้องลงพื้นที่เดินงานให้ตรงความต้องการของประชาชน มุ่งเสมอภาคและเท่าเทียมกัน น้อมนำศาสตร์พระราชา หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในการขับเคลื่อนงานยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน

วันที่ 11 พ.ย.2562 เวลา 09.00 น. พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมติดตามและมอบนโยบายการปฏิบัติงานในพื้นที่ ณ ศาลากลาง จ.กาญจนบุรี โดยได้กล่าวขอบคุณและเป็นกำลังใจให้กับทุกส่วนราชการของ จ.กาญจนบุรี ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ร่วมขับเคลื่อนงานตามนโยบายที่ผ่านมาให้มีความคืบหน้าในทุกด้าน โดยได้ย้ำนโยบายสำคัญ ให้ร่วมสร้างความตระหนักรู้กับประชาชน ถึงความสำคัญของสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ที่ต้องดำรงรักษาไว้เพื่อสันติสุขของบ้านเมือง และให้น้อมนำศาสตร์พระราชา หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในการขับเคลื่อนงานยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งให้ทำความเข้าใจและเสริมสร้างการมีส่วนร่วมกับทุกภาคส่วน สร้างความปรองดองสมานฉันท์ในสังคม ขณะเดียวกันจำเป็นต้องเร่งรัดแก้ไขปัญหา แรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนม่าในพื้นที่ ให้ครอบคลุมทั้งระบบและต้องไม่ให้มีการค้ามนุษย์โดยเด็ดขาด

สำหรับการพัฒนาระดับพื้นที่ ทุกส่วนราชการต้องลงพื้นที่ ดูปัญหาความเดือดร้อนและความต้องการของประชาชน โดยจำเป็นต้องกำหนดเป้าหมายในการส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษและการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้ชัดเจน เพื่อการเชื่อมโยงในระดับภูมิภาค และเสริมจุดแข็ง กระจายประโยชน์ในพื้นที่ให้ทั่วถึง ในขณะเดียวกัน ต้องเร่งรัดจัดที่ดินทำกินให้ชัดเจนขึ้น เพื่อให้ชาวบ้านสามารถยืนและตั้งหลักได้บนที่ดินทำกินได้อย่างแท้จริง ควบคู่ไปกับการกระจายน้ำ การปรับปรุงแหล่งเก็บกักน้ำให้เพียงพอเพื่อการเกษตรในพื้นที่อย่างทั่วถึง นอกจากนั้น การดูแลแหล่งต้นน้ำเป็นเรื่องสำคัญ ที่ต้องส่งเสริมโครงการป่าชุมชนให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยกันฟื้นฟูรักษาทรัพยากรน้ำและป่าไม้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี พร้อมกันนี้ พล.อ.ประวิตรได้กำชับกับทุกส่วนราชการว่า ความสงบและความมั่นคงในพื้นที่เป็นเรื่องสำคัญ ที่ทุกส่วนราชการในพื้นที่ จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและทั่วถึง บนพื้นฐานของความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน โดยยึดเอาประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติเป็นหลัก เพื่อมุ่งลดเงื่อนไขความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมให้มากที่สุด ตามนโยบายหลักของรัฐบาล

นายกฯ กำชับ ก.คมนาคม แก้ปัญหาราคาตั๋วเครื่องบินแพง

People Unity News : 16 เมษายน 2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ติดตามปัญหาราคาบัตรโดยสารเครื่องบินราคาแพง กำชับกระทรวงคมนาคม กำกับดูแลอัตราค่าโดยสารอากาศยานภายในประเทศ ให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ตามที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการในการประชุมคณะรัฐมนตรี ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลอัตราค่าโดยสารอากาศยานภายในประเทศให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรมและสายการบินกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมนั้น

กระทรวงคมนาคมได้รายงานสถานการณ์ราคาบัตรโดยสารอากาศยานภายในประเทศว่า ความต้องการการเดินทางทางอากาศกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 ซึ่งเป็นช่วง High Season ของการท่องเที่ยว โดยปริมาณผู้โดยสารภายในประเทศเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 85 และผู้โดยสารระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 53.89 ในขณะที่สายการบินไม่สามารถเพิ่มจำนวนที่นั่งได้ทันต่อความต้องการ เนื่องจากทุกสายการบินมีการลดขนาดฝูงบินเพื่อรักษากระแสเงินสดในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ประกอบกับปัจจุบันสายการบินทั่วโลกเร่งจัดหาอากาศยานพร้อมกัน ทำให้เกิดการแข่งขันในการจัดหาอากาศยานเพื่อให้บริการ นอกจากนี้ ราคาบัตรโดยสารการบินจะมีความแตกต่างกันตามช่วงเวลาที่ทำการซื้อ ดังนั้น หากผู้โดยสารทำการวางแผนการเดินทางล่วงหน้าจะสามารถซื้อบัตรโดยสารได้ในราคาถูก แต่ที่ผ่านมาผู้โดยสารมีพฤติกรรมในการจองบัตรโดยสารในช่วงใกล้วันเดินทางมากขึ้น ส่งผลให้ต้องซื้อบัตรโดยสารที่มีราคาแพงกว่าการจองล่วงหน้า สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยในฐานะหน่วยงานกำกับดูแล จึงมีแนวทางการกำกับดูแลอัตราค่าโดยสารให้เกิดความเป็นธรรมทั้งกับผู้โดยสารและสายการบิน ดังนี้

1.สนับสนุนสายการบินในการเร่งเพิ่มจำนวนที่นั่งให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาค่าโดยสารภาพรวมลดลงได้ โดยดำเนินการ ดังนี้

(1) การเพิ่มจำนวนอากาศยานซึ่งในปัจจุบันสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยได้พิจารณาอนุญาตให้สายการบินเพิ่มจำนวนอากาศยาน ได้แก่ สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ ได้รับอนุญาตให้เพิ่มจำนวนอากาศยานแล้ว 7 ลำ สายการบินไทยเวียตเจ็ทแอร์อยู่ระหว่างการขออนุญาตเพิ่มอากาศยาน 3 ลำ การบินไทยขออนุญาตเพิ่มอากาศยาน 6 ลำ และไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ขออนุญาตเพิ่มอากาศยาน 2 ลำ

(2) ให้สายการบินกลับมาใช้ Slot เดิมที่หยุดทำการบินในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เพื่อเพิ่มจำนวนเที่ยวบินให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้โดยสาร

(3) ประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารวางแผนการเดินทางล่วงหน้า โดยสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ได้แก่ เว็บไซต์และ Facebook ของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจ กลไกการกำหนดราคาค่าโดยสารของสายการบิน โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนสามารถวางแผนการเดินทางล่วงหน้าเพื่อให้ได้บัตรโดยสารในราคาที่เหมาะสม

2.ทบทวนหลักเกณฑ์การกำกับดูแลค่าโดยสารเส้นทางภายในประเทศให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและส่งเสริมการแข่งขันตามกลไกตลาด ที่ผ่านมาสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยได้เริ่มดำเนินการโดยการจัดประชุมหารือกับผู้แทนสายการบิน และจัดประชุมเชิงปฏิบัติการกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อรวบรวมปัญหาและข้อเสนอแนะสำหรับการดำเนินการทบทวนหลักเกณฑ์การกำกับดูแลค่าโดยสารที่เหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยได้มีการติดตามตรวจสอบราคาค่าโดยสารอย่างต่อเนื่อง โดยจัดทำรายงานค่าบัตรโดยสารเป็นรายไตรมาส ซึ่งมีการเผยแพร่บนเว็บไซต์ของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (www.caat.or.th) รวมทั้งมีการสุ่มตรวจราคาค่าบัตรโดยสารในช่วงที่มีความต้องการเดินทางสูงเพื่อตรวจสอบไม่ให้สายการบินจำหน่ายบัตรโดยสารในราคาที่เกินกว่าอัตราเพดานที่กำหนด

“นายกรัฐมนตรีติดตามปัญหาราคาบัตรโดยสารเครื่องบิน โดยเฉพาะสายการบินต้นทุนต่ำที่มีราคาเพิ่มสูงขึ้นมาก จึงได้สั่งการในการประชุม ครม. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลอัตราค่าโดยสารอากาศยานภายในประเทศ ให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรมและสายการบินกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสม โดยนายกรัฐมนตรีรับทราบรายงานสถานการณ์ราคาบัตรโดยสารอากาศยานภายในประเทศและแนวทางการกำกับดูแลอัตราค่าโดยสาร ดังกล่าว พร้อมกำชับให้กระทรวงคมนาคมติดตามการพิจารณาของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ในส่วนการกำกับดูแลอัตราค่าโดยสารอากาศยานภายในประเทศ ให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภคอย่างใกล้ชิดต่อไป” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

“นิพนธ์”เดินหน้ามอบโฉนดที่ดินจำนวน 354 แปลงสงขลา

People Unity News : “นิพนธ์”เดินหน้ามอบโฉนดที่ดินจำนวน 354 แปลงแก่ราษฎรในพื้นที่อำเภอสิงหนคร และ อำเภอสทิงพระจังหวัดสงขลา

วันที่ 17 พฤศจิกายน 2562 นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) เป็นประธานในพิธีมอบโฉนดที่ดิน ตามโครงการ “มอบโฉนดที่ดินทั่วไทย นำสุขคลายทุกข์ให้ประชาชน” มีนายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน ปลัดจังหวัดสงขลา รองอธิบดีกรมที่ดิน ผู้อำนวยการสำนักมาตราฐานการออกหนังสือ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสงขลา นายอำเภอสิงหนคร นายอำเภอสทิงพระ ตลอดจนถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และราษฎรผู้รับมอบโฉนดที่ดินร่วมในการ”มอบโฉนดที่ดินทั่วไทย นำสุขคลายทุกข์ให้กับประชาชน” ณ ศาลาอเนกประสงค์ เทศบาลตำบลม่วงงาม อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา

ทั้งนี้ในปีงบประมาณ 2562 กรมที่ดินได้จัดทำโครงการ “มอบโฉนดที่ดินทั่วไทย นำสุขคลายทุกข์ให้ประชาชน” โดยได้ดำเนินการสำรวจรังวัดทำแผนที่ เพื่อออกโฉนดที่ดิน ในพื้นที่จังหวัดสงขลา ตามโครงการที่ดินสำรวจจัดทำรูปแปลงโฉนดที่ดิน และเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินด้วยระบบ RTK GNSS Network ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐ ที่ต้องการแก้ไขปัญหา ความเดือดร้อนของราษฎรที่ยังไม่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน ซึ่งดำเนินการโดยศูนย์อำนวยการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินในจังหวัดสงขลา โดยมีเป้าหมายจำนวน 8000 แปลง และในครั้งนี้เป็นโฉนดที่ดิน ที่ได้ดำเนินการในท้องที่ ตำบลวัดจันทร์ อำเภอสทิงพระ และตำบลม่วงงาม อำเภอสิงหนครจำนวน 354 แปลง

นายนิพนธ์ กล่าวว่าการออกโฉนดที่ดินได้ดำเนินการสำรวจรังวัดทำแผนที่ เพื่อออกโฉนดที่ดินในพื้นที่จังหวัดสงขลา ตามโครงการเดินสำรวจจัดทำรูปแปลงโฉนดที่ดิน และเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินด้วยระบบ RTK GNSS Network ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่ต้องการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของราษฎร ที่ยังไม่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน โดยกรมที่ดินกระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลัก ในการเร่งรัดการออกโฉนดที่ดิน ซึ่งขณะนี้มีโฉนดที่ดินตามโครงการแล้วเสร็จ พร้อมที่จะมอบให้แก่พี่น้องประชาชน ผู้เป็นเจ้าของที่ดิน ในตำบลวัดจันทร์ อำเภอสทิงพระ และตำบลม่วงงาม อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา จำนวน 354 แปลง ซึ่งถือว่าโฉนดที่ดินเป็นเอกสารสิทธิ์ที่มีความสำคัญมาก สามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน และใช้เป็นแหล่งทุนในการประกอบอาชีพ ซึ่งนับวันที่ดินจะหายาก และมีราคาสูงขึ้น จึงตัองรู้จักหวงแหนโฉนดที่ดินของตน ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิฺ์ที่สำคัญไว้ให้ดี และถ้าหากประสงค์จะดำเนินการจดทะเบียนสิทธิ และนิติกรรมประเภทใด สามารถที่จะขอคำปรึกษาจากเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสงขลา หรือเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินได้ทุกแห่ง

“ประยุทธ์” บินเบลเยียม วอนอยู่กันดีๆ ลดขัดแย้ง

People Unity News : 12 ธันวาคม 2565 “พล.อ.ประยุทธ์” เผยไปราชการต่างประเทศ ขอสื่อลดเสนอข่าวสร้างความขัดแย้ง ไม่สนผลโพลความนิยมนายกฯ ร่วงไปอันดับ 6 ไม่มีผลต่อการตัดสินใจทางการเมือง ชี้ไม่รู้ใครทำ-ใครตอบ

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะเดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน – สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน – สหภาพยุโรป (ASEAN – EU Commemorative Summit) ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม ระหว่างวันที่ 12 – 15 ธันวาคม 2565

โดยก่อนเดินทางไปประชุม พลเอกประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ว่า ตนเองไปฏิบัติภารกิจหลายวันขอให้อยู่กันดีๆ ส่วนเรื่องงานได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีได้ปฏิบัติหน้าที่แทน ซึ่งแต่ละหน่วยงานก็ทำงานกันอยู่ทุกวัน เพราะนายกฯได้สั่งการแต่ละนโยบายไปหมดแล้ว กรรมการแต่ละระดับก็ทำงานกันไป ผลสำเร็จก็จะตามมา แต่เรื่องเดียวที่นายกรัฐมนตรีเป็นห่วงคือความขัดแย้งก็ขอให้ลดลงบ้าง ในการนำเสนอข่าวให้เบาๆ กันหน่อย รู้ว่าเป็นสิทธิที่พูดได้แต่ต้องพูดให้อยู่ในขอบเขตไม่เช่นนั้นจะมีผลต่อการทำงาน เพราะในเวลานี้หลายอย่างต้องดำเนินต่อไปตามขั้นตอน ถ้าพูดกันแล้วก็จะขัดแย้งกันไปทุกเรื่องจะไปได้อย่างไร

พลเอกประยุทธ์ ยังกล่าวอีกว่า เวลาทำงานของรัฐบาลมีเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ทุกอย่างก็ว่าไปตามรัฐธรรมนูญ ส่วนผลสำรวจความคิดเห็นของสำนักโพลที่ความนิยมของ พลเอกประยุทธ์ ลดลงอยู่อันดับ 6 นั้น พลเอกประยุทธ์ได้ย้อนถามผู้สื่อข่าวว่า “โพลของใครทำอยู่ก็ไม่รู้กัน ใครตอบก็ไม่รู้เหมือนกัน” ยืนยันว่าผลสำรวจที่ออกมานั้นไม่ได้กระทบกับความรู้สึก โดยระหว่างตอบคำถาม พลเอกประยุทธ์ ได้ทำท่าแบมือทั้งสองข้างพร้อมยักไหล่ ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่าหลังจากเสร็จภารกิจต่างประเทศจะตัดสินใจเปิดตัวทางการเมืองหรือไม่นั้น พลเอกประยุทธ์ ตอบสั้นๆ ว่า “รอกลับมาก่อน”

Advertisement

‘อ้น’ตอก’ธนาธร’เลิกฟังข้อมูลผิดจากนักบัญชี-นักกฎหมายปมให้เงินกู้พรรค

People Unity News : ‘อ้น’ตอก’ธนาธร’เลิกฟังข้อมูลผิดจากนักบัญชี-นักกฎหมายปมให้เงินกู้พรรค อ้างมั่วกฎหมายเอกชนกับกฎหมายมหาชนเพราะพรรคการเมืองอยู่ใต้กฎหมายมหาชน จี้’ปิยบุตร’สอนกฎหมายหัวหน้าพรรค หยุดดื้อแพ่ง ยึดหลักกูแทนกฎหมาย ชี้นำสังคมด้วยตรรกะที่อาจนำไปสู่ความไม่สงบของประเทศ

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ หรือ’อ้น’ อดีตผู้สมัครส.ส.กทม. รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ อ้างความเห็นนักบัญชีและนักกฎหมายว่าการให้เงินกู้กับพรรคอนาคตใหม่ไม่ผิดกฎหมายเนื่องจากเงินกู้เป็นหนี้สินอยู่ในงบดุลไม่ใช่รายได้ ไม่อยู่ในงบกำไรขาดทุน นั้น สังคมเกิดคำถามว่า ถึงจะบอกว่าเงินกู้ยืมเป็นหนี้สิน แต่การที่พรรคอนาคตใหม่เอาเงินกู้นั้นไปใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ของพรรคและในกิจกรรมต่างๆ ของพรรค ก็ต้องถือว่าพรรคมีรายได้ที่จะใช้จ่ายและได้รับประโยชน์จากเงินดังกล่าวอย่างชัดเจน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีหลักฐานพิสูจน์ได้ทั้งทางวิทยาศาสตร์และทางกฎหมายได้ทันที อีกทั้งนักบัญชีและนักกฎหมายที่แนะนำใช่คนเดียวกับที่แนะนำเรื่องการจัดการโอนหุ้นบริษัทสื่อและการต่อสู้คดีถือครองหุ้นสื่อหรือไม่ หากใช่คนเดียวกัน นายธนาธรควรพิจารณาอย่างรอบคอบและตรวจสอบความถูกต้องก่อนที่จะออกมาให้ข้อมูลแก่สังคม

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกกล่าวอ้างว่ามีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน นั้น ควรให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่หัวหน้าพรรคว่า พรรคการเมืองเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชนไม่สามารถเอาหลักการของกฎหมายเอกชนมาใช้ได้ หลักการบัญชีและหลักกฎหมายที่นายธนาธรกล่าวอ้างเป็นหลักการที่ใช้กับนิติบุคคลตามกฎหมายเอกชน เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วน ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อมุ่งแสวงหากำไร แต่พรรคการเมืองเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน การกระทำใดๆ ของพรรคการเมืองต้องยึดถือปฏิบัติตามข้อบัญญัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่สามารถทำตัวศรีธนญชัยตีความใช้ช่องว่างทางกฎหมายหรือเอาหลักกฎหมายที่แตกต่างกันมาอ้างเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง

ทั้งนี้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 62 กำหนดไว้ชัดเจนถึงแหล่งรายได้ของพรรคการเมืองว่ามี 7 อย่าง เงินกู้ยืมไม่อยู่ใน 7 อย่าง เป็นแหล่งเงินที่อยู่นอกเหนือจากที่กฎหมายอนุญาต ดังนั้นเงินกู้ยืมที่พรรคอนาคตใหม่รับมาจึงเป็นเป็นเงินที่มีแหล่งที่มาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อพรรคทำผิดกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง จึงมีโทษถูกยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคตามมาตรา 92 (3)

รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวอีกว่า หรือหากมีการมองว่าเงินกู้ยืมนั้นเป็น “เงิน ทรัพย์สิน และประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการรับบริจาค” ตามมาตรา 62(5) แล้ว การที่เงินกู้ยืมจำนวนถึง 191 ล้านบาทจึงเกินกว่าจำนวน 10 ล้านบาทที่กฎหมายอนุญาตตามมาตรา 66 และเมื่อบุคคลนั้นฝ่าฝืนก็จะได้รับโทษตามมาตรา 124 กล่าวคือนายธนาธรอาจถูกลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ และถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี สำหรับพรรคอนาคตใหม่ก็เข้าข่ายรับโทษตามมาตรา 125 คือ ถูกปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี เงินที่เกิน 10,000,000 บาทถูกริบเข้ารัฐเข้ากองทุนพรรคการเมือง

“เมื่อนายปิยบุตรได้อธิบายกฎหมายมหาชนให้นายธนาธรเข้าใจแล้ว นายธนาธรควรพิจารณาเรื่องนี้ให้รอบคอบ หากทำผิดจริงก็ควรรับผิด อย่าดื้อแพ่ง อย่าสร้างวาทกรรมต่างๆ โดยเอาหลักกูที่ไม่เป็นหลักกฎหมายมาปรับใช้ หยุดเบี่ยงเบนประเด็นกฎหมาย หยุดชี้นำสังคมด้วยข้อมูลตรรกะความคิดผิดๆ และจากผลคดีหุ้นวีลัคนั้น นายธนาธรควรพิจารณาทั้งเจตนาและคุณสมบัติของนักกฎหมายที่ช่วยให้ความเห็น ว่ามีเจตนาที่ดีกับนายธนาธรและมีความรู้กฎหมายเพียงพอหรือไม่” รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าว

“พิธา” ประกาศยุทธศาสตร์ “ก้าวไกล” ชนะทั้งกว้าง-ชนะทั้งลึก เตรียมยึด อบจ.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 พฤศจิกายน 2566 “พิธา” ประกาศ “ก้าวไกล” พร้อมชนะกว้าง-ชนะลึก เตรียมสู้ศึก อบจ. ชู 3ข “ขยับ-ขยาย-แข่ง” ภูมิใจคะแนนเลือกตั้งอุดรธานี เพิ่มขึ้นมีนัยสำคัญ หวังเก็บชัยเลือกตั้ง อบจ.อุดรฯ รอบนี้ ชี้ประเทศไทยต้องกระจายอำนาจ งบประมาณ-บุคลากร-ภารกิจ เพื่อการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางเยือนจังหวัดอุดรธานี ร่วมเวทีบรรยาย “ก้าวต่อไป อุดรท้องถิ่น” จัดขึ้น ณ โรงแรมสยามแกรนด์ โดยมีนายณัฐพงษ์ พิพัฒน์ไชยศิริ ส.ส.อุดรธานี เขต 1 พร้อมด้วยสมาชิกพรรคก้าวไกล จังหวัดอุดรธานี และมีประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมรับฟังการบรรยายกว่า 400 คน

ช่วงต้นของการบรรยาย นายพิธา กล่าวว่า พรรคก้าวไกลไม่เสียกำลังใจและมีสมาธิพร้อมทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน คะแนนเลือกตั้งที่พี่น้องชาวอุดรธานีมอบให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่ เริ่มต้นที่ 140,000 คะแนน จนมาถึงพรรคก้าวไกล ช่วงเลือกตั้งนายก อบจ. เมื่อปี 2563 เพิ่มเป็น 180,000 คะแนน และ 220,000 คะแนน จากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด เชื่อว่าเลือกตั้ง อบจ. รอบนี้จะเก็บคะแนนเพิ่มและคว้าชัยชนะแน่นอน

ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังกล่าวถึง “3ข” ได้แก่ “ขยับ” เนื่องจากพรรคก้าวไกลมี ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ประธานกรรมาธิการที่ดินฯ ก็เป็นของก้าวไกล จึงพร้อมเดินหน้าผลักดันและขยับเพื่อชาวอุดรธานี ต่อมาคือ “ขยาย” พรรคต้องขยายฐานสมาชิกให้มากขึ้น ขยายอาสาสมัครและแนวร่วมให้มากขึ้น เมื่อขยายแล้วจึงพร้อม “แข่ง” โดยไม่ต้องรอถึง 4 ปี ในการเลือกตั้งใหญ่ เพราะยังมีการเลือกตั้ง อบจ. ที่ต้องแข่งขันในระดับท้องถิ่น

นายพิธา กล่าวถึงการเลือกตั้ง อบจ. ที่จะมาถึงว่า พรรคก้าวไกลต้องการชนะในหลายจังหวัด เพื่อขยายผลจากการเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมา จากข้อมูลจะพบว่ามีประมาณ 40 จังหวัดทั่วประเทศ ที่คะแนนของพรรคก้าวไกลมาเป็นอันดับ 1 แต่ยังเหลืออีก 20-30 จังหวัด ที่คะแนนพรรคมาเป็นอันดับ 2 ดังนั้น ต้องเดินหน้ารณรงค์เต็มที่ โดยในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ พรรคก้าวไกลไม่ได้ส่งตัวแทนผู้สมัครลงเลือกตั้งครบทุกจังหวัด แต่อุดรธานีเป็นหนึ่งในจังหวัดที่เราส่ง และตนจะเดินทางมาหาเสียงที่อุดรธานีด้วยตัวเองอย่างแน่นอน มั่นใจว่าจะปักธงที่อุดรธานีได้ เนื่องจากมีคนทำงานท้องถิ่นอยู่แล้ว มี ส.ส.พรรคก้าวไกล ที่ทำงานอย่างแข็งขัน และคะแนนของพรรคก็โตขึ้นโดยตลอด ภายในระยะเวลา 1 ปี ตนมั่นใจว่าจะสามารถชนะได้

นายพิธา ยังได้ยกตัวอย่างการเมืองแนวกว้างที่พรรคก้าวไกลได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วประเทศครั้งที่ผ่านมา ที่ชนะทั้งในกลุ่มวัยรุ่นและผู้สูงอายุ ชนะในทุกจังหวัด สิ่งเหล่านี้คือชัยชนะในแนวกว้าง แต่ขณะเดียวกันต้องชนะในแนวลึกต่อไป นั่นคือสนามท้องถิ่น เพราะปัญหาของคนอุดรฯ ต้องแก้ไขด้วยคนอุดรฯ ปัญหาของคนท้องถิ่นต้องแก้ไขด้วยท้องถิ่นเอง ขณะที่หน้าที่ของผู้แทนฯ คือพูดแทนประชาชนในสภาฯ และผ่านกฎหมาย แต่หน้าที่ของนักการเมืองท้องถิ่น คือแก้ไขปัญหาให้ท้องถิ่น

ประเทศไทยต้องมีการกระจายอำนาจ และให้ท้องถิ่นแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ยกตัวอย่างปัญหาของคนอุดรธานี เช่น ปัญหาขยะ 1,400 ตันต่อวัน แต่กลับมีงบประมาณในการจัดการ 10 ล้านบาทต่อปี เพราะวิธีคิดคือเก็บภาษีและส่งไปยังส่วนกลางแล้วคิดตัวเลขกลับมา หรือปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย แต่กลับมีงบประมาณในการแก้ไขเพียง 50 ล้านบาทเท่านั้น สะท้อนว่าปัญหาของพี่น้องประชาชนในท้องถิ่นได้รับงบประมาณน้อย เราไม่สามารถปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปได้

ใน 4 ปีข้างหน้า หากก้าวไกลเป็นรัฐบาล และทำเรื่องการกระจายอำนาจแบบค่อยเป็นค่อยไป เพิ่มงบปีละ 2 แสนล้านบาททั่วประเทศ และได้นายก อบจ. เป็นของก้าวไกล รวมถึงมี ส.ส. ของก้าวไกลในสภาฯ เป็นแบบนี้ประเทศต้องเปลี่ยนแปลงแน่นอน ดังนั้น หากพี่น้องประชาชนไม่อยากให้เก็บภาษีแล้วส่งเข้ากรุงเทพฯ หากอยากให้ผู้ว่าฯ มาจากการเลือกตั้ง และทำงานเพื่อพี่น้องชาวอุดรธานี ขอให้ยึดแนวทางแบบพรรคก้าวไกล ประเทศไทยต้องมีการกระจาย 4 ด้าน ได้แก่ กระจายอำนาจ กระจายงบประมาณ กระจายบุคลากร และกระจายภารกิจ เพื่อแก้ไขปัญหาของคนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

Advertisement

“ช่อ” ย้ำชัด “เดียร์” เคยถือหุ้นเนชั่นโอนนอกตลาดหลักทรัพย์ก่อนสมัคร ส.ส. 7 วัน

People Unity News : “ช่อ” ย้ำชัด “เดียร์” เคยถือหุ้นเนชั่น ตั้งข้อสังเกตโอนนอกตลาดหลักทรัพย์ – ก่อนสมัคร ส.ส.เพียง 7 วัน ถามทำไมไม่ทำพร้อมหุ้นสื่ออื่นซึ่งเกิดในตลาดหลักทรัพย์ – จี้ กกต. ตรวจสอบ

เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 ที่อาคารรัฐสภา (เกียกกาย) นางสาวพรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนถึงกรณีการยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ให้ตรวจสอบคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราาฏรตามรัฐธรรมนูญ โดยพรรณิการ์ กล่าวว่า การที่ตนได้ตั้งคำถามถึงเรื่องการถือหุ้นบริษัทเครือเนชั่นของคุณวทันยา วงษ์โอภาสี ที่ก่อนหน้านี้คุณวทันยา ออกมาปฏิเสธว่า ไม่เคยเกี่ยวข้อง และไม่เคยถือหุ้นเครือเนชั่นเลย ตนยืนยันได้ว่าสามารถไปตรวจเช็คได้ในบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของคุณวทันยา และคุณฉาย บุนนาค คู่สมรส

“มีการยืนยันชัดเจนว่าคุณวทันยา ได้โอนหุ้นบริษัทเครือเนชั่น มัลติมีเดียกรุ๊ป ไปเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นั่นหมายความว่าคุณวทันยา เคยถือหุ้นบริษัทเครือเนชั่น ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกี่ยวข้องกับเนชั่นตามที่เป็นข่าวออกมา ข้อสังเกตในความผิดปกติที่มากไปกว่านั้นก็คือ การโอนหุ้นเครือเนชั่น ของคุณวทันยา เกิดขึ้นก่อนที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐเพียง 7 วัน ถือเป็นการกระทำที่กระชั้นชิดเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้คุณวทันยา ได้ขายหุ้นของนิวส์ เน็ตเวิร์ค ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นการกระทำที่มีพยานหลักฐานชัดเจน ไม่สามารถบิดเบือนได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2561” นางสาวพรรณิการ์ กล่าว

นางสาวพรรณิการ์ กล่าวต่อ ตนขอตั้งคำถามไปยังคุณวทันยาดังนี้ 1.เหตุใดเมื่อมีการโอนหุ้น นิวส์ เน็ตเวิร์ค ไปตั้งแต่เดือน พ.ย. 2561 แต่หุ้นจำนวนเพียงเล็กน้อยของเครือเนชั่น ที่คุณวัทนยาถืออยู่ จึงไม่ได้มีการโอนออกไปในช่วงเวลาเดียวกัน กลับมีการโอนในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งก่อนการรับสมัครรับเลือกตั้งเพียง 7 วัน 2.การโอนหุ้น นิวส์ เน็ตเวิร์ค เกิดขึ้นในตลาดหลักทรัพย์ แต่ว่าการโอนหุ้นเครือเนชั่น มัลติมีเดียกรุ๊ปนั้น กลับเป็นการโอนนอกตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งการโอนหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์หมายความว่า เป็นการทำหนังสื่อสัญญาฝ่ายเดียวของเนชั่น ก็มีข้อสงสัยเกิดขึ้นได้ว่า หากเป็นหนังสือสัญญาฝ่ายเดียวไม่ต้องแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ ไม่ได้ผ่าน TSD (ศูนย์กลางรับฝากหลักทรัพย์) อย่างที่คุณวทันยาได้อ้างเอาไว้ และจะมีข้อสงสัยเกิดขึ้นได้ไหมว่า 3.ทำไมถึงมีการโอนหุ้นที่กระชั้นชิดเพียงไม่ถึง 7 วันก่อนรับสมัครเลือกตั้ง ทั้งที่หุ้นสื่ออื่นๆที่คุณวทันยาถืออยู่ ได้โอนไปหลายเดือนก่อนหน้านั้นแล้ว

“ทั้งหมดทั้งมวลนี้ดิฉันอยากจะขอฝากไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งตอนนี้ได้ยื่นเรื่องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงการถือหุ้นของคุณวทันยา และการโอนหุ้นนอกตลาดในครั้งนี้ มีความผิดปกติหรือไม่อย่างไร ดิฉันต้องการให้คุณวทันยาได้ชี้แจงต่อกกต. ในเรื่องนี้” นางสาวพรรณิการ์กล่าว

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงกรณีที่ เนชั่นจะดำเนินการฟ้องกลับฐานหมิ่นประมาท ด้วยการโฆษณา ว่า ตนเองขอยืนยันการแถลงข่าวกรณีที่พรรคอนาคตใหม่โดนโจมตีจากสื่อบางสำนัก เป็นการพูดบนหลักการของข้อเท็จจริง และเป็นการวิจารณ์แบบสุจริต อีกทั้งเป็นการเรียกร้องความเป็นธรรมในฐานะที่พรรคอนาคตใหม่ ถูกกล่าวร้ายป้ายสีมาโดยตลอด นอกจากนี้ ยังเป็นการให้สื่อมวลชนตระหนักถึงจรรยาบรรณและวิชาชีพในการเสนอข่าว
ส่วนการที่เนชั่นฟ้องกลับนั้น โดยส่วนตัวมองว่า เป็นสิทธิของเนชั่นที่สามารถทำได้

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเฟคนิวส์ ทีมกฎหมายของพรรค กำลังรวบรวมข้อมูลจากสื่อต่าง ๆ เพื่อจะดำเนินคดีกับผู้ที่เผยแพร่ข่าว และปล่อยข่าวที่บิดเบือน ซึ่งตนเอง ได้เตือนไปยังสื่อฯ ต่าง ๆ ให้เลิกเผยแพร่ข่าวที่ไม่เป็นความจริง พร้อมยืนยัน การดำเนินการลักษณะนี้ ไม่ได้เป็นการท้าชนในเรื่องการต่อสู้ทางกฎหมาย แต่เพื่อให้สื่อฯ ตระหนักถึงจรรยาบรรณวิชาชีพที่ควรจะเป็น นางสาวพรรณิการ์กล่าว

ครม.อนุมัติงบเงินกู้ 3.59 หมื่นล้าน ซื้อวัคซีนไฟเซอร์-แอสตร้าฯ 90 ล้านโดส

People Unity News : ครม. ไฟเขียว 3.59 หมื่นล้าน ซื้อวัคซีนไฟเซอร์ – แอสตร้าฯ 90 ล้านโดส เยียวยาผู้ประกันตนสถานบันเทิง และกระตุ้นท่องเที่ยว

22 ธ.ค.64 ที่ประชุม ครม. (21 ธ.ค.) เห็นชอบการใช้เงินกู้ภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงินฯ เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคโควิด-19 กรอบวงเงิน 35,967 ล้านบาท ใน 3 โครงการ ดังนี้

1.โครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ประจำปี 2565 รวม 90 ล้านโดส กรอบวงเงิน 35,060 ล้านบาท แบ่งเป็นวัคซีน  Pfizer 30 ล้านโดส และวัคซีน AstraZeneca 60 ล้านโดส

2.โครงการเยียวยาผู้ประกันตน ผู้ประกอบอาชีพอิสระในกิจการสถานบันเทิงที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการรัฐ กรอบวงเงิน 607.15 ล้านบาท โดยเยียวยารายละ 5,000 บาท ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 121,431 คน

3.โครงการ Thailand Festival Experience กรอบวงเงิน 300 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ และสร้างรายได้สู่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว – บริการกว่า 2,347 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 โครงการย่อย ได้แก่ โครงการ Amazing Sports & Extreme Month, โครงการ Dazzling of the Andaman และโครงการ Music Festival & Rhythm in Memory

Advertising

“เศรษฐา” ยันยังไม่ปรับ ครม. ปัดนั่งควบกลาโหม บอกสนิทกัน ไม่ต้องเป็นผู้บังคับบัญชาก็ได้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 16 เมษายน 2567 บ้านจันทร์ส่องหล้า  – “เศรษฐา” ยันยังไม่ปรับ ครม. ขออย่าทำให้รัฐมนตรีหวั่นไหว บอก เดินหน้าทำงานดีกว่าวิ่งเต้น ปรับเมื่อไหร่ก็รู้เอง ปัดนั่งควบกลาโหม ชี้ สนิทกัน แต่ไม่ต้องเป็นผู้บังคับบัญชาก็ได้

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับ ครม.ว่ายังไม่มี ตนเองไม่ได้บอกว่ามีการปรับ ไปพูดกันเอง แต่อย่างไรก็ตามมันก็ต้องปรับในวันหนึ่ง และถ้าปรับเดี๋ยวก็ทราบกันเอง อย่าเพิ่งทำให้รัฐมนตรีที่มีชื่อออกมาหวั่นไหว มองว่าเร่งทำงานดีกว่า เพราะทุกวันมีค่า แทนที่จะต้องวิ่งเต้นมาหาท่านนั้นท่านนี้ โดยยืนยันว่าที่เข้าพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คุยปัญหาบ้านเมืองธรรมดา เช่น ข้าวโพด การเผาป่า ความสะอาดของบ้านเมือง และสถานการณ์เมียนมา

เมื่อถามว่าจะต้องเคลียร์กับรัฐมนตรีที่อยู่ในโผหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ไม่เคลียร์ ผมไม่ได้เป็นคนเขียน ไม่เคลียร์อยู่แล้ว” ผู้สื่อข่าวจึงกล่าวย้ำว่าอยากให้ทุกท่านตั้งใจทำงานใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนเองพูดมาตลอดในระยะหนึ่งเดือนที่มีข่าวปรับ ครม. ภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดคือการทำงาน การทำงานที่ถูกต้องดำเนินตามนโยบายของรัฐบาล แต่ละกระทรวงก็มีนโยบายเรือธง ทุกท่านทราบอยู่แล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง

ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลที่อยากจะปรับ ครม. ยังไม่ได้ส่งสัญญาณอะไรมา เขาทราบอยู่แล้ว เป็นสิทธิของเขา ถ้าอยากจะปรับ ตนเองคงไม่โทรไปถามว่าอยากปรับใครบ้าง เช่น พรรคพลังประชารัฐก็ยังมีเก้าอี้เหลืออยู่หนึ่งเก้าอี้ โดยกระแสข่าวที่ระบุว่าตนเองจะนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนั้น ไม่ทราบ คงเป็นเพราะตนเองไปเยี่ยมทหาร และมีความสนิทส่วนตัวกับ ผบ.เหล่าทัพ ยกหูคุยกันได้ ถือว่าเป็นหน้าที่อยู่แล้ว ตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีได้ขอให้ช่วยดูแลเรื่องชายแดน พื้นที่ทำกินของราษฎรก็ตอบสนองได้ดี ไม่จำเป็นจะต้องมาเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพราะสถาบันทหารและสถาบันความมั่นคงมีความเป็นมืออาชีพ มีวินัย หากนายกฯ ขอในเรื่องที่เหมาะสมและถูกต้อง ทุกคนก็พร้อมที่จะทำให้อยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาพูดคุยหรือมโนภาพว่าจะต้องเป็นอะไร

“ผมคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปลัดหรืออธิบดีในกระทรวงพาณิชย์อยู่แล้ว ทำไมถึงไม่บอกว่าผมจะไปควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์บ้าง เพราะเป็นหน้าที่ที่ต้องพูดคุยกันอยู่แล้ว ไม่มีนัยอะไร” นายเศรษฐา กล่าวทิ้งท้าย

Advertisement

“บิ๊กป้อม”ยัน “พปชร.” ส่ง “สมศักดิ์ คุณเงิน” เลือกซ่อมขอนแก่น

People Unity News : “บิ๊กป้อม”ยืนยัน “พปชร.” ส่ง “สมศักดิ์ คุณเงิน” ล้างตาเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ขอนแก่น เขต 7 ขณะที่ พท.จ่อส่ง “อดิศร” ลงรักษาเก้าอี้เดิม

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ขอนแก่น เขต 7 โดยยืนยันว่าจะส่งผู้สมัครคนเดิม คือนายสมศักดิ์ คุณเงิน ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคพลังประชารัฐ

พท.จ่อส่ง”อดิศร”ลงรักษาเก้าอี้เดิม

ทางด้านพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่เดิมมีรายงานว่า จะส่ง นายอดิศร เพียงเกษโฆษกผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎ อดีตส.ส.ขอนแก่นพรรค ลงในการเลือกตั้งครั้งนี้

Verified by ExactMetrics