วันที่ 27 กรกฎาคม 2024

“พล.อ.ประวิตร” ทุ่ม 100 ล้านเร่งแก้น้ำเค็มรุกบางปะกง

People Unity News : 1 กันยายน 2565 “พล.อ.ประวิตร” ยันน้ำไม่ท่วมเหมือนปี 54 ย้ำมีคณะกรรมการดูแลใกล้ชิด ไม่แล้ง 3 ปีแล้ว เตรียมทุ่ม 100 ล้านแก้น้ำเค็มรุกบางปะกง ระบุ ขรก.ต้องตอบสนอง ปชช.

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ลงพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำลุ่มน้ำบางปะกง การเพิ่มปริมาณน้ำตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี โดยประชุมและมอบนโยบายให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมรับฟังการบริหารจัดการน้ำ ภาพรวมและในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา การบริหารจัดการน้ำพื้นที่ฝั่งขวาแม่น้ำบางปะกง รวมถึงสถานการณ์น้ำต้นทุนเพื่อการผลิตน้ำประปา เพื่อการอุปโภคบริโภคของพื้นที่

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า สัปดาห์หน้ารัฐจะอนุมัติงบ 100 ล้านบาทสร้างประตูน้ำแก้ปัญหาน้ำเค็มลุกลาม ซึ่งขณะนี้จะรอระบบนิเวศอย่างเดียวไม่ได้ เพราะน้ำเค็มรุกไปถึง อ. บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี หากไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำได้ประชาชนก็จะด่ารัฐบาล ตอนนี้ประชาชนกำลังห่วงเรื่องฝน รับรองว่าจะไม่เกิดน้ำท่วมอย่างปี 54 แน่นอน เพราะที่ผ่านมามีคณะกรรมการทั้งระดับจังหวัดและลุ่มน้ำดูแล จนไม่เกิดภัยแล้งมา 3 ปี และร่วมมือกันการกระจายน้ำตลอดเวลาจากฝนตกทางเหนือ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาน้ำท่วม นอกจากนี้การประปาต้องมีแหล่งน้ำสำรอง จะรอแต่น้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติลุ่มน้ำต่างๆอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเก็บน้ำดิบ มีแหล่งน้ำสำรองตลอดเวลา

“การแก้ปัญหาเรื่องน้ำ ถ้ามีน้ำสมบูรณ์ทุกฤดูจะทำให้การปลูกพืชต่างๆได้ พัฒนาการทั้งด้านชีวิตความเป็นอยู่จะเกิดขึ้น ขอฝากข้าราชการและประชาชนต้องทำงานร่วมกัน โดยข้าราชการจะต้องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของประชาชน เพราะเงินเดือนมาจากภาษีของประชาชนจึงต้องจำไว้ว่าจะต้องประสานกับประชาชนเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการทำงาน โดยจะต้องบูรณาการสร้างความรับรู้ให้ประชาชนเข้าร่วมส่วนร่วมในการแก้ปัญหาน้ำด้วย ขณะที่ประชาชนมีเรื่องเดือดร้อนอะไร ต้องบอกข้าราชการ และข้าราชการก็จะต้องสนองความต้องการของประชาชน” พล.อ.ประวิตร กล่าว

Advertisement

“อาเซียน-อินเดีย”ร่วมเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์พัฒนาทุกมิติเป็นรูปธรรม

People Unity News : “อาเซียน-อินเดีย” ร่วมผลักดันความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ เพื่อการพัฒนาในทุกมิติอย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่ “อาเซียน-ยูเอ็น” พร้อมสร้างความร่วมมือบริหารชายแดนในอาเซียน

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2562 เวลา 11.15 น. ณ ห้อง Sapphire 203 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน และนายกรัฐมนตรีนเรนทร โมที (His Excellency Shri Narendra Modi) ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอด อาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ 16 ภายหลังเสร็จสิ้น ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้

การประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ 16 จัดขึ้นเพื่อทบทวนความร่วมมือในกรอบอาเซียน-อินเดียในมิติการเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมและวัฒนธรรมในรอบปีที่ผ่านมา รวมทั้งเพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดียในอนาคต และเพื่อหารือ แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับประเด็นสำคัญระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ

โดยประเทศอินเดียถือเป็นมิตรประเทศที่ใกล้ชิดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับอาเซียนที่จะร่วมมือกันในการส่งเสริมเสถียรภาพในภูมิภาค ขับเคลื่อนความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนสร้างความใกล้ชิดทางวัฒนธรรมมาโดยตลอด อาเซียนยินดีที่นายกรัฐมนตรีอินเดียให้ความสำคัญกับอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านนโยบายมุ่งตะวันออกของอินเดีย เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญทำให้ยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียน-อินเดียมีพลวัตมากยิ่งขึ้น

ด้านความมั่นคง อาเซียนชื่นชมที่อินเดียสนับสนุนความเป็นแกนกลางของอาเซียนบนพื้นฐานของภาคีสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (TAC) และผ่านกลไกที่อาเซียนมีบทบาทนำหลากหลาย อาทิ การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS) การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก(ARF) และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา(ADMM plus) ซึ่งนำไปสู่การรักษาสันติภาพ ความมั่นคง เสถียรภาพ และความเจริญก้าวหน้าในภูมิภาค ตลอดจนชื่นชมอินเดียที่ให้การสนับสนุนมุมมองของอาเซียนต่อแนวคิดอินโด-แปซิฟิก โดยเป็นมุมมองที่ตั้งอยู่บนหลักการ 3M ได้แก่ ความเคารพซึ่งกันและกัน(Mutual Respect) ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน(Mutual Respect) ผลประโยชน์ร่วมกัน(Mutual Benefit) และความร่วมมือนี้จะช่วยส่งเสริมหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อาเซียน-อินเดียให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ตลอดจนย้ำถึงความร่วมมือกันต่อต้านการก่อการร้าย แนวคิดสุดโต่งที่นิยมความรุนแรง อาชญากรรมข้ามชาติและความร่วมมือด้านความมั่นคงทางไซเบอร์

ด้านการค้าการลงทุน เน้นย้ำการพยายามเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างกันเพื่อบรรลุตัวเลขการค้าร่วมกันที่ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2022 โดยใช้ประโยชน์จากเขตการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) ในการนี้ ไทยยินดีที่ได้ริเริ่มการทบทวนความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-อินเดีย (AITIGA) เพื่อทำให้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-อินเดียสามารถใช้ประโยชน์ได้สะดวกและง่ายในทางปฏิบัติและอำนวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจมากยิ่งขึ้น รวมทั้งขจัดอุปสรรคทางการค้า พร้อมเน้นย้ำความสำคัญในการบูรณาการเศรษฐกิจในภูมิภาคผ่านการสรุปการเจรจา RCEP ภายในปี 2019

ด้านวัฒนธรรม ชื่นชมกับความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมที่รุ่งเรืองระหว่างอาเซียนกับอินเดีย ส่งเสริมให้มีความร่วมมือด้านความหลากหลายทางชีวภาพ การท่องเที่ยว การศึกษา การแลกเปลี่ยนนักวิชาการและเยาวชน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นวัตกรรม และไอซีที ทั้งนี้ ไทยส่งเสริมให้อาเซียนและอินเดียเพิ่มความพยายามในการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการอาเซียน-อินเดียปี ค.ศ. 2016-2020 และยินดีต่อความสำเร็จของปีความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวอาเซียน-อินเดีย 2019

ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณอินเดียในฐานะหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่สำคัญของอาเซียน และให้การสนับสนุนไทยและอาเซียนมาโดยตลอด โดยเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันจะพัฒนาในมิติที่หลากหลายเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองภูมิภาคร่วมกัน

อาเซียน-ยูเอ็นพร้อมสร้างความร่วมมือบริหารชายแดนในอาเซียน

ต่อมาเวลา 14.00 น. ที่ห้อง Sapphire 203 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหประชาชาติ ครั้งที่ 10 ภายหลังเสร็จสิ้น นางนฤมล สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหประชาชาติ ครั้งที่ 10 เพื่อรับทราบความคืบหน้าและทบทวนความร่วมมือระหว่างอาเซียนและสหประชาชาติ รวมทั้งการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ 5 ปี เพื่อดำเนินการตามปฏิญญาร่วมว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติ ปี ค.ศ. 2016-2020 รวมทั้งเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและวิสัยทัศน์ และร่วมกำหนดทิศทางและเป้าหมายในการดำเนินความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติ โดยเฉพาะการสร้างความยั่งยืนในทุกมิติตามแนวคิด “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” โดยมีผู้นำ 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน และเลขาธิการสหประชาชาติเข้าร่วมประชุม

นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดการประชุมว่า อาเซียนและสหประชาชาติควรร่วมกันสนับสนุนและเสริมสร้างระบบพหุภาคีนิยมและภูมิภาคนิยม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาค และขอบคุณเลขาธิการสหประชาชาติที่สนับสนุนความพยายามของอาเซียนในการเสริมสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ซึ่งรวมถึงการจัดตั้งศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน

โดยไทยได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียนและสหประชาชาติอย่างรอบด้าน อาทิ การส่งเสริมความร่วมมือด้านการบริหารจัดการชายแดนอย่างมีประสิทธิภาพ การเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ การส่งเสริมบทบาทและสิทธิของสตรี เยาวชน ผู้พิการ และกลุ่มเปราะบาง และการเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจ เป็นต้น เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ประชาชน และความยั่งยืนในทุกมิติแก่อาเซียนและระบบพหุภาคีนิยม

นายกรัฐมนตรีกล่าวในนามอาเซียน ยินดีและชื่นชมที่ทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินการตามปฏิญญาร่วมว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนที่ครอบคลุมระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติปี ค.ศ. 2016-2020 ไปกว่าร้อยละ 93 และเห็นว่า แผนปฏิบัติการฉบับใหม่ควรมุ่งเน้นการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2025 และวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ของสหประชาชาติผ่านการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ การส่งเสริมศักยภาพของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 การเสริมสร้างความแข็งแกร่งและการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ การยกระดับการลงทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การเสริมสร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาเทคโนโลยี และการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย

ทั้งสองฝ่ายควรร่วมกันรับมือกับความท้าทายข้ามพรมแดน ผ่านการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการบริหารจัดการชายแดนในอาเซียน เสริมสร้างศักยภาพในการรับมือกับภัยพิบัติ ผ่านความร่วมมือระหว่างศูนย์ และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ตลอดจนผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งรวมถึง การอนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางทะเล ปัญหาขยะทะเลและการประเมินผลกระทบต่อสุขภาวะและสิ่งแวดล้อม ขยะพลาสติก รวมถึง มลพิษและหมอกควัน

สำหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ทั้งสองฝ่ายควรร่วมมือกันในการอำนวยความสะดวกทางการค้า สร้างเครือข่ายความเชื่อมโยง การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ตลอดจนส่งเสริมการบริโภค การผลิต การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพื่อให้บรรลุความพยายามในการสร้าง “ประชาคมอาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และมองไปสู่อนาคต”

“เศรษฐา” ตอบกระทู้ในสภาฯ เผยเตรียมกวาดล้างยาเสพติดครั้งใหญ่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 กรกฎาคม 2567 นายกฯ ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหายาเสพติด เตรียมกวาดล้างยาเสพติดครั้งใหญ่ ยืนยันรัฐบาลดูแลทุกมิติ

วันนี้ (11 กรกฎาคม 2567) เวลา 11.40 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 2 ครั้งที่ 4 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ตอบกระทู้ถามสดด้วยวาจากรณีเรื่องยาเสพติด ว่าปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาต่อเศรษฐกิจ ต้องยอมรับว่า ถ้าจะกระตุ้นเศรษฐกิจจะมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ มีการนำอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เข้ามา แต่หากประชาชนยังถูกมัวเมาด้วยยาเสพติดก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการลงพื้นที่หลายครั้งจะต้องเกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วย นอกจากปัญหาปากท้อง ปัญหายาเสพติดก็มีมาก ปัจจุบันนี้ก็ยังมีคนบ่นเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติดอยู่ทั้งหมด

นายกฯ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ที่ผ่านมา  ได้ไปตรวจเยี่ยมกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ทุกคนอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่ได้เล็งเห็นปัญหาของการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยตำรวจตระเวนชายแดนเป็นผู้รักษาตระเข็บชายแดน เป็นผู้ที่ดูแลชายแดนควบคู่ไปกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อไม่ให้มีการลักลอบยาเสพติดเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งตนได้สอบถามว่าทำไมเวลามีการต่อสู้กันแล้วเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ ไม่มีการเสนอข่าว ซึ่งตนหวังให้มีการเสนอข่าว พร้อมถามถึงเรื่องการบาดเจ็บของเจ้าหน้าที่จะได้รับขวัญกำลังใจเท่าไร โดยทางกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน แจ้งว่าได้รับจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นจำนวน 10,000 บาท และได้ขอร้องไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ต้องให้จำนวนเงิน 50,000 บาท เนื่องจากปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ และจะมีการกวาดล้างครั้งใหญ่ ซึ่งปัญหานี้เป็นปัญหาที่รัฐบาลดูแลในทุกๆ มิติ โดยการลงพื้นที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ได้หารือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่หน้างานจริงๆ ซึ่งมีความสำคัญมาก

นายกฯ กล่าวอีกว่าเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ได้ลงพื้นที่ กอ.รมน. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สภาผู้แทนราษฎรในที่นี้ไม่ค่อยเห็นด้วย อยากให้มีการยุบ แต่ตนเชื่อว่ายังมีบทบาทในการช่วยเหลือประเทศได้อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นมิติในการช่วยเหลือประชาชนในช่วงน้ำท่วม เรื่องการกันพื้นที่ของเขตทหารให้ประชาชนมีที่ดินทำกิน การดูแลชายแดนซึ่งส่วนนี้มีการทำงานร่วมกันกับ ฝ่ายปกครอง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะขจัดปัญหายาเสพติดนี้ออกไป

Advertisement

“พล.อ.ประวิตร” สั่งสแกนหาคนจนเพิ่ม เพื่อเข้าถึงสิทธิบัตรสวัสดิการฯครบถ้วน ทั่วถึง

People Unity News : 3 กุมภาพันธ์ 2566 “พล.อ.ประวิตร” นั่งหัวโต๊ะถกแก้ปัญหาความยากจน อนุมัติแผนปี 66 ผ่านระบบ TPMAP เน้นช่วยกลุ่มเป้าหมายเร่งด่วน-เปราะบาง ให้ได้สิทธิบัตรสวัสดิการฯ ทั่วถึง

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ครั้งที่ 1/2566 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ที่ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด โดยที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานในภาพรวม ทั้ง 76 จังหวัด จากเป้าหมายครัวเรือนยากจนในระบบ TPMAP (Thai People Map and Analytics Platform) ปี 2565 พบว่า ศูนย์อำนวยการฯ จังหวัด และศูนย์อำนวยการฯ อำเภอ พร้อมทีมปฏิบัติการฯ ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมบูรณาการให้ความช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาครัวเรือนเป้าหมาย จำนวน 653,524 ครัวเรือน คิดเป็น 100%

พบปัญหาในแต่ละมิติ ดังนี้ 1. มิติสุขภาพ ส่วนใหญ่ประสบปัญหาคนอายุ 6 ปีขึ้นไป ไม่ออกกำลังกาย เนื่องจากไม่เห็นความสำคัญของการมีสุขภาพดี 2. มิติความเป็นอยู่ ส่วนใหญ่ประสบปัญหาครัวเรือนไม่มีความมั่นคงในที่อยู่อาศัยและบ้านมีสภาพไม่คงทนถาวร 3. มิติการศึกษา ส่วนใหญ่ประสบปัญหาคนอายุ 15-59 ปี อ่านเขียนภาษาไทยและคิดเลขอย่างง่ายไม่ได้ รวมทั้งเด็กอายุ 6-14 ปี ไม่ได้รับการศึกษาภาคบังคับ หรือออกจากการเรียนกลางคัน เนื่องจากสถานะทางเศรษฐกิจ และ 4. มิติรายได้ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้านการเกษตร ประสบปัญหาการปลูกพืชได้เพียงปีละครั้ง ไม่มีปัจจัยการผลิต ขาดเงินทุน และขาดความรู้ด้านทักษะอาชีพ 5. มิติการเข้าถึงบริการภาครัฐ ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และผู้พิการ ไม่ได้รับการบริการจากภาครัฐ เนื่องจากเข้าไม่ถึง หรือได้รับแต่ไม่เพียงพอ

จากนั้น ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัย บนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ ในปีงบประมาณ 2566 ประกอบด้วย 4 แนวทางที่สำคัญ ได้แก่ แนวทางที่ 1 การเติมเต็มข้อมูลในระบบ TPMAP แนวทางที่ 2 ร่วมแก้ไขปัญหาในระดับบุคคล/ครอบครัว แนวทางที่ 3 ร่วมแก้ไขและพัฒนาเพื่อความยั่งยืน และแนวทางที่ 4 ร่วมติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล

พล.อ.ประวิตร ได้มอบหมายให้สภาพัฒน์ฯ ประกาศตัวเลขกลุ่มคนเป้าหมายเร่งด่วน และมอบให้ศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนฯ ทุกระดับและทีมปฏิบัติการ ร่วมกับหน่วยงานของรัฐ ดำเนินการช่วยเหลือและพัฒนากลุ่มเป้าหมาย โดยใช้ข้อมูลจากระบบ TPMAP เป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินงาน เน้นการช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายเร่งด่วน กลุ่มเปราะบาง และกลุ่มที่ต้องดูแลใกล้ชิด เพื่อได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ครบถ้วน ทั่วถึง ต่อไป

Advertisement

“อนุสรณ์”ชี้ผลเลือกตั้งซ่อมนครปฐมไม่ได้สะท้อนคะแนนนิยมรัฐบาล

People Unity : “อนุสรณ์”ชี้ผลเลือกตั้งซ่อมนครปฐมไม่ได้สะท้อนคะแนนนิยมรัฐบาล เหตุคะแนนผู้สมัครพรรคร่วมรัฐบาลไม่ใกล้เคียงกัน

วันที่ 24 ต.ค.2562 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานและโฆษกคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านและการมีส่วนร่วมของประชาชน กล่าวถึง ผลการเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 5 นครปฐมว่า ผลคะแนนเลือกตั้งซ่อมที่ออกมารัฐบาลไม่สามารถทึกทักเอาเองได้เลยว่า เป็นเพราะประชาชนในเขตเลือกตั้งซ่อม ชื่นชอบในผลงานของรัฐบาล เพราะคะแนนของพรรคร่วมรัฐบาล 2 พรรคก็แตกต่างกันมาก ถ้าชอบรัฐบาลคะแนนของพรรคร่วมรัฐบาลที่ออกมาต้องใกล้เคียงกันมากกว่านี้ ระหว่างการหาเสียงมีการแฉกันไปมาระหว่างผู้สมัครของพรรคร่วมรัฐบาลว่า มีการระดมสรรพกำลัง บุคลากร ทรัพยากร ใช้อำนาจรัฐอย่างเอิกเกริกเข้าไปในพื้นที่ ผลคะแนนที่ออกมาจึงน่าจะมาจากการบริหารจัดการแบบพิเศษของแต่ละพรรคเองมากกว่า รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังประสบปัญหาวิกฤตศรัทธาอย่างหนัก เศรษฐกิจวิกฤต ส่งออกลด หนี้ครัวเรือนเพิ่มสูง คนตกงานพุ่ง ความเชื่อมั่นตกต่ำ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทำได้แค่ชิมช้อปใช้เฟส 2 ซึ่งไม่มีอะไรใหม่ นอกจากแจกเงินแล้วก็หมดไป ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง จะไปหาคะแนนนิยมมาจากไหน

“แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามจุดพลุ เปิดประเด็น พล.อ.อภิรัตน์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากพล.อ.ประยุทธ์ นอกจากจะไม่ได้ช่วยอะไร ยังทำให้เกิดความสับสน วิกฤตศรัทธา ลุกลามขยายวงออกไป” นายอนุสรณ์ กล่าว

การเมือง/วิเคราะห์ : จับตาเกมถล่ม “อุตตม”-“สนธิรัตน์” ลดทอนอำนาจบารมี “ขั้วสมคิด”!!??

People Unity : กลายเป็น “จำเลย” ทั้งคู่ “อุตตม สาวนายน” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กับกรณีที่พรรคเล็กก่อหวอดเคลื่อนไหวจะแยกตัวออกจากซีกรัฐบาล เนื่องจากไม่พอใจที่ไม่ได้รับการเหลียวแลไม่ได้รับการจัดสรรตำแหน่งในรัฐบาล

โดยถูกหัวหน้าพรรคการเมืองที่มี ส.ส.เพียงเสียงเดียวอย่าง “มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์”  หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ซึ่งเป็นแกนนำพรรคเล็กที่ออกมาก่อหวอด ระบุชื่ออย่างไม่ให้เกียรติว่า เหตุผลหนึ่งที่จะแยกตัวออกจากรัฐบาลเพราะไม่พอใจอุตตมและสนธิรัตน์

ถูกหัวหน้าพรรคเล็กไม่ให้เกียรติยังไม่พอ ยังมาถูกผู้ใหญ่ในพรรคอย่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า”  รมช.เกษตรและสหกรณ์ ออกมาให้ท้ายมงคลกิตติ์และพรรคเล็ก ว่า “ใครไปสัญญาอะไรกับพรรคเล็กไว้ ก็ต้องไปทำตามสัญญา ไปแก้ปัญหากันเอง” ซึ่งพูดอย่างนั้นแม้ไม่เอ่ยชื่อใครก็รู้ว่าหมายถึงอุตตมและสนธิรัตน์ เพราะในช่วงที่กำลังรวบรวมเสียง ส.ส.เพื่อให้ได้เกินกึ่งหนึ่งเพื่อสนับสนุน “ลุงตู่” เป็นนายกฯ ทั้งอุตตมในฐานะหัวหน้าพรรคและสนธิรัตน์ในฐานะเลขาธิการพรรคต้องแบกรับภาระวิ่งสิบทิศเพื่อหาเสียงมาสนับสนุน “ลุงตู่” ให้พอ โดยไปเกลี้ยกล่อม 10 พรรคเล็กให้มาสนับสนุน “ลุงตู่” เป็นนายกฯด้วย

แต่มาตอนนี้ ตั้งรัฐบาลเสร็จ ผู้ใหญ่ในพรรคได้ตำแหน่งรัฐมนตรีกันถ้วนหน้า แฮปปี้กันแทบทุกกลุ่มทุกมุ้ง เหลือแต่ 10 พรรคเล็กที่ยังไม่มีตำแหน่งในรัฐบาลให้ ก็โยนความผิดและภาระความรับผิดชอบมาให้อุตตมและสนธิรัตน์แก้ปัญหาเพียงลำพัง มันก็ออกจะ “โหด” เกินไป

ถ้าตอนนั้นอุตตมและสนธิรัตน์ไม่ไปเกลี้ยกล่อม 10 พรรคเล็กมาตุนเสียงไว้ในมือก่อน 10 พรรคเล็กก็คงไปเป็นฝ่ายค้าน และบางที “ลุงตู่” ก็อาจไม่ได้นั่งเก้าอี้นายกฯ เพราะเสียงสนับสนุนไม่พอ และจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ

เหตุการณ์จัดตั้งรัฐบาลตอนนั้น ก็รู้กันอยู่ว่ายากลำบากขนาดไหน เพราะ 7 พรรคฝ่ายค้านก็สู้จนยกสุดท้ายในการชิงตั้งรัฐบาล แต่ที่เหนื่อยหนักที่สุดและเป็นสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานที่สุด คือ พรรคใหญ่ต่างเล่นตัวต่อรองไม่ยอมตอบโอเคเข้าร่วมรัฐบาลง่ายๆ ทั้งประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย และชาติไทยพัฒนา ทั้งอุตตมและสนธิรัตน์จึงต้องใช้กลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง” หันไปดึงเสียงเล็กเสียงน้อยของ 10 พรรคเล็กมาตุนไว้ก่อน เพื่อให้มีอำนาจต่อรองกับพรรคใหญ่ ไม่ใช่ตัวเปล่าเล่าเปลือย และเพื่อมิให้ 10 เสียงของพรรคเล็กพรรคน้อยกระเด็นไปเป็นของฝ่ายค้าน ไม่งั้นจะยุ่งไปกันใหญ่

ล่าสุด อุตตมและสนธิรัตน์รับผิดชอบแก้ปัญหา 10 พรรคเล็กสำเร็จ ด้วยการหาเก้าอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรี ให้กับพรรคเล็กนั่งกันถ้วนหน้า โดยตนเองนั้นมอบเก้าอี้ผู้ช่วยรัฐมนตรีในกระทรวงที่ตนเป็นรัฐมนตรีให้ คือ คลัง และ พลังงาน

คิดแล้วมันน่าน้อยใจ สร้างพรรคมากับมือ กระสุนก็หาให้พรรค ทำทุกอย่างจน “ลุงตู่” ได้เป็นนายกฯ พรรคได้เป็นแกนรัฐบาล พอวันนี้ถูกพวก “มาทีหลัง” ดิสเครดิตไม่เว้นแต่ละวัน เป้าหมายลึกๆนั้นหวังแซะให้พ้นเก้าอี้หัวหน้าและเลขาฯพรรค โดยจะเชิด “ลุงตู่” เป็นหัวหน้าพรรค “ลุงป้อม” เป็นประธานยุทธศาสตร์พรรค ต่อจากนั้นจะได้ยึดเก้าอี้ รมว.พลังงาน และคลัง ลดทอนอำนาจบารมี “ขั้วสมคิด” !!??

จับตาเกมโค่น “อุตตม”-“สนธิรัตน์” ให้ดีๆ ทั้งการหาเหตุโจมตีการทำงานในพรรคและการทำงานในกระทรวงการคลังและพลังงาน?

การเมือง/วิเคราะห์ : จับตาเกมถล่ม “อุตตม”-“สนธิรัตน์” ลดทอนอำนาจบารมี “ขั้วสมคิด”!!??

People Unity : post 13 สิงหาคม 2562 เวลา 12.00 น.

“วิษณุ” รับแล้ว! ถกแกนนำ พปชร. ดูตัวกมธ.ศึกษาแก้รธน.จริง

People Unity News : “วิษณุ” รับแล้ว! ถกแกนนำ พปชร. ดูตัวกมธ.ศึกษาแก้รธน.จริง ป้องกันความขัดแย้งต้องมี ส.ว.ร่วมด้วย ขณะที่ “พุทธิพงษ์” คาดสัปดาห์หน้าสรุปชื่อ กมธ.แย้มมีคนนอก 2-3 คน ส่วน “วราวุธ” บอกปธ.กมธ.จะเป็นใคร “เอาที่พี่สะดวกเลย”

เมื่อเวลา 08.15 น.วันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวร่วมประชุมกับรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เกี่ยวกับการตั้ง กมธ.วิสามัญเพื่อศึกษาปัญหาและวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 6 พ.ย. ว่า ไม่เคยประชุมอย่างเป็นทางการ เพียงแต่คุยกันเล่นๆ ระหว่างนั่งรับประทานข้าว ไม่เคยนำไปสู่ข้อสรุปอะไร แต่มีการเอ่ยคนจะไปเป็น กมธ.ประมาณ 10 คน จากนั้นให้วิปรัฐบาลไปหารือ ส่วนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะหยิบยกเรื่องดังกล่าวมาหารือหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ

ผู้สื่อข่าวถามว่า กระแสข่าวที่ออกมาดังกล่าว แสดงว่าถูกแอบอ้างชื่อใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่ได้คุยกันจริง ไม่ใช่การหารือ มีการเอ่ยถึงคนนั้นคนนี้ ควรจะมีคนนอกหรือควรจะมี ส.ว.ด้วยหรือไม่ ซึ่งตนให้ข้อสังเกตว่า ควรให้มี ส.ว.เข้ามาด้วย เพราะถ้าไม่มีจะทำให้เกิดความขัดแย้งได้ง่าย ส่วนจะเป็นใครก็สุดแท้แต่ ทางที่ดีไปถามวิปวุฒิสภา ให้เขาเป็นคนส่งรายชื่อมา ส่วนที่ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว. ระบุว่า ส.ว.ไม่ควรเข้าร่วม เพราะเป็นเรื่องของสภาผู้แทนราษฎรนั้น ก็แล้วแต่ เราคุยกันเช่นนั้น พล.อ.สมเจตน์จะว่าอย่างไรเป็นเรื่องของเขา

เมื่อถามว่า การที่ พล.อ.สมเจตน์ให้ความเห็นเช่นนี้ แสดงว่า ส.ว.ไม่อยากเข้าร่วมใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า มีคนที่อยากจะมา ตนไปร่วมงานแต่งงาน ก็มีคนเข้ามาบอกหลายคนว่าอยากจะมาเป็น กมธ. เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่า หลายพรรคการเมืองอยากจะแก้อำนาจ ส.ว. เพราะถ้าเข้ามาจะถือเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือไม่ นายวิษณุ ย้อนถามกลับว่า แล้ว ส.ส.มีส่วนได้ส่วนเสียหรือไม่ มันก็มีด้วยกันทั้งประเทศ รัฐธรรมนูญเป็นของประเทศ จึงไม่เกี่ยวกับส่วนได้ส่วนเสีย เพราะมีด้วยกันทั้งหมด หากไม่อยากให้ใครมีส่วนได้ส่วนเสีย กมธ.ก็ต้องเป็นกลาง ไม่สังกัดพรรคการเมืองอะไร แต่นี่อุตส่าห์มาแบ่งโควต้ากัน จึงไม่ต้องมาพูดเรื่องส่วนได้ส่วนเสีย

“พุทธิพงษ์”คาดสัปดาห์หน้าสรุปชื่อ กมธ.แย้มมีคนนอก 2-3 คน

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ถึงตอนนี้ก็ได้ระดับหนึ่งแล้ว ยืนยันว่าคนที่จะมาจากพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)จะต้องเป็นคนที่มีความเข้าใจในเรื่องรัฐธรรมนูญและสามารถควบคุมการประชุมให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย เพราะทุกพรรคมีประเด็นที่แตกต่างกันไป

เมื่อถามว่าหากหลายฝ่ายมองว่าถ้าประธานกรรมาธิการเป็นคนนอกจะมีความเหมาะสมกว่าในการทำหน้าที่ นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ก็ต้องดู ขณะนี้มีคนนอกประมาณ 2-3 คนแล้ว รวมถึงมีคนในด้วย ซึ่งหากมีโอกาสก็คงจะได้พูดคุยกัน และความจริงวันนี้ก็อาจจะได้พูดคุยกันแต่นายกฯ ติดภารกิจจึงต้องรีบเดินทางกลับกรุงเทพฯ แต่ก็ได้มีการพูดคุยกันแล้วเบื้องต้น

เมื่อถามต่อว่ามีการทาบทามกันแล้วใช่หรือไม่ นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ก็มีรายชื่อคนที่เขาไปพูดคุยกันอยู่ ตามที่เห็นในข่าวประมาณนั้น ฉะนั้นขอให้รออีกไม่นานก็จะได้เห็นรายชื่อ คาดว่าในสัปดาห์หน้าอาจจะได้ข้อสรุป

นายสมศักดิ์ เทพสุทินรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ไม่มีความเห็น ปล่อยให้เขาว่ากันไป ตนเคยพูดไปแล้วแต่ตอนนี้เลยเวลาไปแล้ว เขาจึงต้องมีการพูดคุยกันใหม่ วันนี้เป็นเรื่องจริง ต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงกันแล้ว

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า มีการพูดคุยกันเป็นระยะๆอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่จำเป็นต้องมาหารือด้วย ให้เป็นหน้าที่ของพวกตนและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อถามย้ำว่าวันเดียวกันนี้ จะถือโอกาสพูดคุยกันหรือไม่ นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า มีการพูดคุยกันเป็นระยะอยู่แล้ว

“วราวุธ”บอกปธ.กมธ.แก้รธน.จะเป็นใคร”เอาที่พี่สะดวกเลย”

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า สำหรับเรื่องสัดส่วนการตั้งกรรมาธิการนั้น ยังไม่มีการหารือกันภายในพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งนี้ไม่ทราบว่าจะมีการหารือกันในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีหรือไม่ แต่ไม่มีบรรจุในวาระการประชุมแต่อย่างใด ต้องรอดูก่อนว่าจะมีการพูดคุยกันหรือไม่ ส่วนตำแหน่งประธานกรรมาธิการฯ นั้น พรรคชาติไทยพัฒนาไม่ได้คิด และไม่มีข้อคิดเห็นอะไร นอกจากขอย้ำอย่างที่เคยบอกไปว่าต้องมีความยืดหยุ่นและเก๋า ส่วนจะเป็นใครเอาที่พี่สะดวกเลย เมื่อถึงเวลาเสนอสัดส่วนกันมาธิการพรรคชาติไทยพัฒนาก็จะได้หารือกันซึ่งจะมีการประชุมพรรคในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้แล้วคงได้ข้อสรุปเรา 11 ส.ส.ได้ 1 คน ก็โอเคแล้ว

“อนุสรณ์”ถามรัฐบาลที่ตีรวนแก้รัฐธรรมนูญ แย่งชิงการนำหรือยื้อให้นานที่สุด

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี การช่วงชิงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญปี 2560 ว่า จริงๆแล้วพรรคร่วมรัฐบาลทราบดีว่า ประเด็นการเลือกตัวประธานนั้น ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนและสำคัญที่สุด เพราะการทำงานในรูปแบบคณะกรรมาธิการนั้นตัวกรรมาธิการทุกคนมีความสำคัญ แต่ละคนมีหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงเท่ากัน แต่ที่สังคมยังต้องรอความชัดเจนจากที่ประชุมวิปรัฐบาล อาจมาจาก 2 สาเหตุ คือ การเล่นการเมืองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลชิงการนำกันมากเกินไป หรือ ความพยายามตีรวน เพื่อยื้อการศึกษาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญออกไปให้ได้นานที่สุดของพรรคแกนนำหลักในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะพวกเขาได้ประโยชน์สูงสุด คนกลุ่มใดได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญ คนกลุ่มนั้นก็ต้องพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญนั้นให้นานที่สุด ส.ว.ที่ได้ประโยชน์ จึงพยายามร่วมด้วยช่วยยื้อ จุดพลุสร้างวาทกรรม แก้รัฐธรรมนูญจะก่อวิกฤติ ซึ่งห่างไกลจากสภาพปัญหาที่แท้จริงไปมาก แต่หากจะมีกลุ่มที่วิกฤติคือกลุ่มเสียผลประโยชน์จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้เท่านั้น การที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ไปพูดว่าเป็นตัวเองนายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง ได้เป็นนายกฯตั้งแต่ ส.ว.ยังไม่ทันเลือกนั้น อาจเข้าใจผิด หรือพูดความจริงไม่หมด

“พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งคนมาเขียนรัฐธรรมนูญ เพื่อพล.อ.ประยุทธ์ เอาบัตรเขย่งมาคำนวณคะแนนส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ จนได้ส.ส.เอื้ออาทร มาเลือกพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วก็บอกว่าตัวเองมาจากการเลือกตั้ง แต่ที่ไม่ได้บอกคือพล.อ.ประยุทธ์ มาจากการเลือกตั้งที่ออกแบบมาเพื่อตัวพล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นรัฐบาลเท่านั้น” นายอนุสรณ์ กล่าว

“ถาวร”เปิดเที่ยวบินฤดูหนาวสนามบินกระบี่ ชวนนักท่องเที่ยวมาไทย

People Unity News : “ถาวร”เปิดเที่ยวบินฤดูหนาวสนามบินกระบี่ ชวนนักท่องเที่ยวมาไทย ช่วยกระตุ้นรายได้ในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง

วันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “เบิกฟ้ารับท่องเที่ยวสู่ท่าอากาศยานกระบี่ Welcome High Season Krabi International Airport” โดยมีนายเจือ ราชสีห์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พันตำรวจโท หม่อมหลวง กิติบดี ประวิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ นายสมัย โชติสกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม นายสมเกียรติ มณีสถิตย์ รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน นายอรรถพร เนื่องอุดม ผู้อำนวยการท่าอากาศยานกระบี่ ผู้บริหารกรมท่าอากาศยาน ผู้บริหารหน่วยงานสังกัดกระทรวงคมนาคม ภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน และหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวในจังหวัดกระบี่ เข้าร่วม เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 ณ ท่าอากาศยานกระบี่

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวถึงการจัดกิจกรรม “เบิกฟ้ารับท่องเที่ยวสู่ท่าอากาศยานกระบี่ Welcome High Season Krabi International Airport” ว่าเป็นการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวและสายการบินได้ทราบถึงเส้นทางการท่องเที่ยวของไทยอีกเส้นทางหนึ่ง ที่ผ่านมาท่าอากาศยานกระบี่ถือเป็นท่าอากาศยานอันดับหนึ่งของกรมท่าอากาศยานที่มีศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารทั้งจากในและต่างประเทศ โดยในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะเน้นย้ำและช่วยกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวมายังจังหวัดกระบี่และจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้เกิดการใช้จ่าย ก่อให้เกิดรายได้ในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ระดับชาวบ้านในชุมชน ผู้ประกอบการร้านอาหาร ที่พัก สายการบิน และการบริการขนส่งด้านต่างๆ เช่น รถเช่า เรือโดยสาร เป็นต้น

สำหรับงานในวันนี้ได้รับความร่วมมือที่ดีจากทุกภาคส่วนทั้งในด้านการขนส่งทางอากาศ เช่น ผู้ประกอบการสายการบินที่มาแสดงถึงความพร้อมให้บริการ และแนะนำเส้นทางบินใหม่แก่นักท่องเที่ยว จังหวัดกระบี่ ทั้งในส่วนของส่วนราชการ และวิสาหกิจชุมชนที่นำผลิตภัณฑ์สินค้าจากฝีมือของชาวบ้านมาจัดจำหน่ายและจัดแสดง รวมไปจนถึงผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ที่มาร่วมประชาสัมพันธ์เส้นทางท่องเที่ยวที่น่าสนใจให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นความร่วมมือที่ดี ที่จะมีส่วนสนับสนุนให้บรรยากาศการท่องเที่ยว รวมถึงเศรษฐกิจในภาพรวมเป็นไปอย่างดี

นอกจากนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมยังได้กล่าวอีกว่า กระทรวงคมนาคม และกรมท่าอากาศยานได้ดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการสร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็ง มีการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำให้กับประชาชน ซึ่งที่ผ่านมากรมท่าอากาศยานได้เน้นย้ำในเรื่องของภารกิจนอกจากการให้บริการด้านการขนส่งทางอากาศให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลแล้ว ยังส่งเสริมให้ท่าอากาศยานมีส่วนสนับสนุนกิจกรรมต่างๆของชุมชนและส่งเสริมให้ชุมชนเกิดรายได้อีกด้วย

“พิธา” ย้ำสู้ไม่ถอย ยังมีสิทธิเป็นรัฐมนตรี

People Unity News : 23 กรกฎาคม 2566 ระยอง – “พิธา” หัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางไปยังตลาดดิโอโซน จ.ระยอง วานนี้ (22 ก.ค.) ระบุพรรคก้าวไกลขอสู้ไม่ถอย ไม่ได้เป็นนายกฯ ยังมีสิทธิเป็นรัฐมนตรีได้

เมื่อวานนี้ (22 ก.ค.) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางไปยังบริเวณตลาดดิโอโซน จังหวัดระยอง เพื่อร่วมงานสุราก้าวหน้า เฟสติวัล นายพิธา ได้ใช้เวลาปราศรัยทั้งเรื่องสุราก้าวหน้าและประเด็นการเมืองนานประมาณครึ่งชั่วโมง โดยพูดถึงประเด็นเรื่องการเมืองว่า พรรคก้าวไกลจะขอสู้ไม่ถอย ถึงแม้จะส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล นอกจากนี้ยังบอกว่าไม่ได้เป็นนายกฯ ยังมีสิทธิเป็นรัฐมนตรีได้ ขณะเดียวกันยังมีบางช่วงบางตอนที่นายพิธา กล่าวว่าเมื่อมาเมืองระยอง ต้องหวนคิดถึงบทกลอนของกวีเอกสุนทรภู่ ที่แต่งไว้เพื่อสอนคนถึงจิตใจของคน ที่ว่า “อย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน” เพราะบทกลอนนี้น่าจะใช้ได้ในสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ได้เป็นอย่างดีเพื่อเป็นคติไว้สอนใจ

นายพิธา ยังปราศรัยกรณีหุ้นไอทีวีด้วย โดยถามผู้คนที่มาต้อนรับว่าเคยเห็นพิธา ออกข่าวช่องไอทีวีหรือไม่และเคยเปิดทีวีดูข่าวช่องไอทีวีหรือไม่ ขณะที่เรื่องสุราก้าวหน้า ถือเป็นหนึ่งในนโยบายของพรรคก้าวไกลที่จะผลักดัน เพื่อสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นกับชุมชน หากเป็นรัฐบาลและในวันนี้ นายพิธา จะเดินทางไปยังจังหวัดจันทบุรี เพื่อขอบคุณชาวจันทบุรี

Advertisement

“เศรษฐา” แจงความเห็นที่แตกต่างกันกับ “วิษณุ” เป็นความสวยงามของระบอบประชาธิปไตย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 พฤษภาคม 2567 นายกฯ มั่นใจทำงานร่วมกับนายวิษณุ เครืองาม เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติ ความไม่เห็นด้วย เป็นแค่บางประเด็น เป็นเรื่องของความไม่ใช่เรื่องของคนสามารถทำงานร่วมกันได้

วันนี้ (29 พฤษภาคม 2567) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ หลังจากเดินทางกลับจากการเข้าร่วมงาน UBS AIC 2024 ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง

นายกรัฐมนตรีตอบคำถามเกี่ยวกับความเห็นกฤษฎีกา กรณีการดำเนินการเกี่ยวกับการให้ข้าราชการตำรวจ (พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.) ออกจากราชการไว้ก่อนนั้น ยังไม่ถูกต้องสมบูรณ์ โดยขอใช้คำว่ายังไม่สมบูรณ์ เชื่อว่าหากเป็นการทักท้วงมาต้องรับฟัง และให้ดำเนินการต่อไป อย่างรอบคอบ ดำเนินการตามกฎหมายให้ถูกต้อง ทั้งนี้ นายกกล่าวว่ากังวลใจต่อทุกเรื่อง เนื่องจากต้องการทำให้ถูกต้อง และแต่ละเรื่องมีรายละเอียดปลีกย่อย มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรับฟังความคิดเห็นให้ครบถ้วน และมีลำดับขั้นตอนก่อนหลัง

ส่วนกรณีการแต่งตั้งนายวิษณุ เครืองาม เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะส่วนตัวมีความเห็นที่แตกต่างกันบ้าง และมีความชื่นชมในตัวของนายวิษณุหลายเรื่อง  ซึ่งอาจจะไม่เห็นด้วยบางเรื่องเหมือนกับการดำรงชีวิตร่วมกันในสังคม ในครอบครัว สิ่งที่มีความเห็นไม่ตรงกันเป็นเรื่องของความ ไม่ใช่เรื่องของคน  และถือว่าเป็นความสวยงามของระบอบประชาธิปไตย นายวิษณุเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถเชื่อว่าสามารถสื่อสารกันได้ ทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติได้

ทั้งนี้ ในส่วนหน้าที่ของนายวิษณุขอดูที่ตัวเอกสารอีกครั้งโดยเป็นการแต่งตั้งเพื่อให้เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีมีงานในอำนาจหน้าที่หลากหลายเรื่อง ไม่ได้เป็นการแต่งตั้งเพื่อนำมาช่วยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

กรณี ดำเนินคดีนายทักษิณฯ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าให้ความเคารพต่อศาลยุติธรรมในเรื่องของรายละเอียด ขอให้เคารพระบบตุลาการ ซึ่งอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ขอให้เป็นไปตามขั้นตอนและกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้อง ส่วนการลงพื้นที่ร่วมกัน ยังไม่เคยมีการพูดคุยว่าจะลงพื้นที่พร้อมกัน และไม่ทราบว่ามีความประสงค์ว่าจะลงพื้นที่หรือไม่ ไม่เคยมีการพูดคุยกันเรื่องนี้ และได้ตอบคำถามเกี่ยวกับการกระทบภาพลักษณ์หรือไม่อย่างไร นายกรัฐมนตรีได้ตอบว่าในส่วนของรัฐบาลมีการแยกแยะการทำงานอย่างชัดเจน

Advertisment

Verified by ExactMetrics