วันที่ 4 ธันวาคม 2025

ด่วน!! ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 สั่ง ​”แพทองธาร” หยุดปฏิบัติหน้าที่​นายกฯ​

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 กรกฎาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญสั่ง ​”แพทองธาร” หยุดปฏิบัติหน้าที่​นายกฯ​ หลังรับคำร้อง 36 สว. ยื่นถอดถอน ปมคลิปเสียงคุย “ฮุน เซน” ผิดจริยธรรม​ เปิดชื่อ 2 ตุลาการเสียงข้างน้อย “นครินทร์-อุดม” ไม่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ แค่ห้ามใช้อำนาจหน้าที่ด้านความมั่นคง-การต่างประเทศ-การคลัง

ศาลรัฐธรรมนูญ นัดประชุมปรึกษาคดีที่นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้ยื่นคำร้องของ 36 สว. ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 ว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กระทำฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ รวมทั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นางสาวแพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย จากกรณีคลิปเสียงสนทนาเรื่องข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชากับสมเด็จ ฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและและเอกสารประกอบคำร้องแล้วเห็นว่า กรณีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 7 (4) ศาลรัฐธรรมนูญญมีมติเป็นเอกฉันท์ มีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย แจ้งผู้ร้องทราบ และให้ผู้ถูกร้อง (น.ส.แพทองธาร) ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง

สำหรับคำขอให้สั่งให้ผู้ถูกร้อง (น.ส.แพทองธาร) หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีนั้น ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (7 ต่อ 2) เห็นว่า ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้องตามรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีนับแต่วันที่ 1 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย แจ้งให้ผู้ร้องและผู้ถูกร้องทราบ

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 2 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ และนายอุดม สิทธิวิรัชธรรม เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องยังไม่ยุติชัดเจน ให้ปรากฎเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคสอง แต่เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การแก่ไขเยียวยาในภายหลัง ให้ใช้มาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 71 ห้ามมิให้ผู้ถูกร้อง (น.ส.แพทองธาร) ใช้หน้าที่และอำนาจด้านความมั่นคง ด้านการต่างประเทศ และต้านการคลัง จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ

Advertisement

นายกฯ ย้ำจุดยืนไทย มุ่งพัฒนาคุณภาพกฎหมายตามมาตรฐานสากล

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 เมษายน 2568 นายกฯ ปาฐกถาผ่านวิดิทัศน์ ย้ำจุดยืนไทยในการประชุมคณะกรรมการด้านกฎหมาย OECD มุ่งพัฒนาคุณภาพกฎหมายตามมาตรฐานสากล พร้อมสนับสนุนการใช้ OECD Regulatory Policy Outlook ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ

เมื่อเวลา 18.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งตรงกับเวลาท้องถิ่นกรุงปารีส 13.30 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาผ่านบันทึกวีดิทัศน์ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายด้านกฎหมายขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (The Organization for Economic Co-operation and Development: OECD) ภายใต้หัวข้อ “ความสำคัญของการพัฒนากฎหมาย” เพื่อแสดงจุดยืนและความตั้งใจของไทยในการดำเนินกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD และสนับสนุนการเปิดตัวรายงานนโยบายด้านกฎหมายของ OECD (OECD Regulatory Policy Outlook) ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยสรุปสาระสำคัญของปาฐกถา ดังนี้

นายกรัฐมนตรี ยินดีอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเปิดตัวรายงานนโยบายด้านกฎหมายของ OECD ในวันนี้ พร้อมชื่นชม OECD ที่สามารถคงบทบาทนำในการส่งเสริมแนวปฏิบัติด้านการกำกับดูแลที่ดี ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ นวัตกรรม และการพัฒนาที่ยั่งยืนทั่วโลก โดยไทยยอมรับมาตรฐานและแนวทางของ OECD ซึ่งช่วยปรับนโยบายให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากลมากขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าสภาพแวดล้อมการกำกับดูแลจะสนับสนุนให้เกิดการสร้างนวัตกรรม ดึดดูดการลงทุน และนำมาซึ่งผลประโยชน์ให้กับประชาชนไทย ตลอดจนช่วยให้ไทยพร้อมรับมือกับความท้าทายในระดับโลก และส่งเสริมบทบาทของไทยในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า ไทยยึดมั่นต่อการดำเนินการตามคำแนะนำของ OECD ในเรื่องนโยบายกฎระเบียบและธรรมาภิบาล (2012 Recommendation of the Council on Regulatory Policy and Governance) และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตามคำแนะนำของ OECD ต่อไป โดยไทยจะส่งเสริมความร่วมมือกับ OECD ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และมุ่งมั่นเข้าเป็นสมาชิกของ OECD ซึ่งจะสนับสนุนไทยในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญกับประเทศสมาชิกมากขึ้น ตลอดจนช่วยปรับปรุงนโยบายของไทยและการรับมือกับความท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเป็นการส่งสัญญาณถึงนานาชาติว่า ไทยมุ่งมั่นส่งเสริมหลักธรรมาภิบาล การปฏิรูปเศรษฐกิจ และการเติบโตอย่างยั่งยืน

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงรายงานนโยบายด้านกฎหมาย ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มของโลก แนวปฏิบัติเชิงนวัตกรรม และแนวทางแก้ไขเชิงปฏิบัติเพื่อปรับปรุงระบบการกำกับดูแล โดยสำหรับไทย รายงานดังกล่าวเป็นทั้งมาตรฐานและแผนงานในการปรับปรุงและนำเสนอนโยบาย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ นอกจากนี้ในโลกที่มีการเชื่อมโยงกันมากขึ้น ทำให้ความสอดคล้องของกฎระเบียบมีความสำคัญต่อการค้า การลงทุน และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งรายงานนี้จะเป็นเครื่องมือและความรู้ที่ช่วยสร้างเศรษฐกิจที่มองไปข้างหน้าและปรับตัวได้ โดยนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณ OECD สำหรับรายงานดังกล่าว พร้อมหวังว่าไทยจะได้ใช้ประโยชน์จากเครื่องมือนี้ เพื่อขับเคลื่อนวาระการพัฒนาของประเทศ

ช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี ย้ำความมุ่งมั่นของไทยต่อหลักความเป็นเลิศด้านการกำกับดูแล (Regulatory Excellence) และความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยการเปิดตัวรายงานนโยบายด้านกฎหมายของ OECD จะเป็นโอกาสสำคัญในการทบทวนความก้าวหน้า แลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับประเทศสมาชิก และกำหนดเป้าหมายสำหรับอนาคต โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณ OECD และพันธมิตร สำหรับความร่วมมือและการมีบทบาทนำ เพื่อร่วมกันสร้างระบบการกำกับดูแลที่ขับเคลื่อนความเจริญรุ่งเรือง ความเสมอภาค และความยั่งยืนสำหรับทุกคน

Advertisement

“ชวลิต”จี้รัฐรีบตั้งห้องแล็บด่านเชียงของตรวจผักผลไม้จีนอาจปนเปื้อสารเคมี

People Unity : “ชวลิต”จี้รัฐรีบตั้งห้องแล็บที่ด่านเชียงของใน 1 ธ.ค.62 หรือระงับการนำเข้าผัก ผลไม้จากจีนไว้ก่อน

วันที่ 25 ต.ค.2562 นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส. นครพนม ในฐานะประธานคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางควบคุมการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฏร ให้ความเห็นภายหลังคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติแบน 3 สารพิษร้ายแรงในภาคเกษตรกรรม คือ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 ว่า ยังมีผัก ผลไม้ ที่ไทยนำเข้าจากจีนผ่านด่านเชียงของ จ.เชียงราย ป้อนผู้บริโภคชาวกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยในปี 2561 ผัก ที่นำเข้าจากจีนผ่านด่านเชียงของ มีมูลค่า ปีละกว่า 2,600 ล้านบาท ผลไม้ มีมูลค่าปีละ 2,450 ล้านบาท สำหรับในปี 2562 แม้ยังไม่สิ้นปี ผัก มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น 23% คิดเป็นมูลค่า 3,200 ล้านบาท และผลไม้มีมูลค่ากว่า 2,800 ล้านบาท

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ที่ด่านเชียงของไม่มีห้องแล็บสำหรับสุ่มตรวจผัก ผลไม้ จากจีนว่ามีสารเคมีปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานหรือไม่ อย่างไร นับว่าเป็นความบกพร่องของส่วนราชการในการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภคอย่างยิ่ง ดังนั้น เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ปลอดภัยจากสารเคมีอันตราย เมื่อมีมาตรการควบคุมการใช้สารเคมีในประเทศดังที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายได้มีมติดังกล่าวแล้ว นั้น ผัก ผลไม้ ที่นำเข้าจากต่างประเทศ รัฐบาลก็ควรมีมาตรการที่จะคุ้มครองผู้บริโภคให้ปลอดภัยจากสารเคมีที่อาจปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานด้วยเช่นกัน

“จึงขอเสนอให้รัฐบาลเร่งจัดตั้งห้องแล็บที่ด่านเชียงของ จะเป็นห้องแล็บถาวร หรือเคลื่อนที่ หรือจะใช้บริการห้องแล็บจากภาคเอกชน ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยขอให้เริ่มดำเนินการสุ่มตรวจได้ในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 เช่นกัน หากไม่สามารถดำเนินการได้ภายในเวลาดังกล่าว ก็ควรระงับการนำเข้าผัก ผลไม้ จากจีนไว้ชั่วคราวจนกว่าการจัดตั้งห้องแล็บจะเรียบร้อย ทั้งนี้ เพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทยเป็นเป้าหมายสำคัญสูงสุด” นายชวลิต กล่าว

“แพทองธาร” คิกออฟ ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 มีนาคม 2567 นครราชสีมา – คิกออฟ ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว เฟส 2 วันนี้ พร้อมกัน 8 จังหวัดทั่วประเทศ ด้าน “แพทองธาร” ประกาศเดินหน้าระบบสาธารณสุขอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง มีคุณภาพ ต่อยอด 30 บาทรักษาทุกโรคของพรรคไทยรักไทย

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร รองประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ พร้อมด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข , น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมเปิดงานนโยบาย “ยกระดับ 30 บาท รักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” ระยะที่ 2 ณ ชาติชายฮอลล์ และลิปตพัลลภ ฮอลล์ สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550

ขณะเดียวกันก็มีการจัดกิจกรรมคิกออฟโครงการ 30 บาท รักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ระยะที่ 2 ในจังหวัดอื่นๆ พร้อมกันทั่วประเทศด้วย ซึ่งการเดินหน้ายกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ระยะที่ 2 นี้ มีขึ้นใน 8 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ สิงห์บุรี สระแก้ว หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ และพังงา ส่วนในระยะที่ 3 จะเดินหน้าในเดือนพฤษภาคมนี้ และจะครอบคลุมทั่วทั้งประเทศภายในปีนี้

น.ส.แพทองธาร ระบุว่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 “โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค” หรือ “โครงการบัตรทอง” ได้ถูกพัฒนาสานต่อมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทยจนถึงรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยปัจจุบัน ตลอด 23 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดการปฏิรูประบบสาธารณสุขให้ประชาชน มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ครอบคลุม ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง และวันนี้ ถือเป็นการพลิกโฉมระบบสาธารณสุขไทยอีกครั้ง ด้วยนโยบาย “30 บาท รักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” ที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาพัฒนาระบบ ปรับกระบวนการดูแลสุขภาพให้สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ รองรับการให้บริการสุขภาพรูปแบบใหม่ด้วยระบบดิจิทัล เชื่อมโยงข้อมูลด้วยบัตรประชาชนเพียงใบเดียว

โดยนับตั้งแต่เริ่มให้บริการสุขภาพผ่านระบบดิจิทัล มีประชาชนเข้ารับบริการในรูปแบบออนไลน์ในทุกระบบ แล้วกว่า 37,000 ครั้ง และในช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีการออกใบรับรองแพทย์ดิจิทัลไปแล้วมากกว่า 70,000 ใบ ทั่วประเทศ ซึ่งประชาชนกว่าร้อยละ 90 พึงพอใจต่อการบริการในภาพรวมเป็นอย่างมาก

น.ส.แพทองธาร ย้ำว่า ภายใต้รัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาตินี้ ประชาชนจะได้รับการบริการทางสุขภาพ อย่างเท่าเทียม ทั่วถึง ลดเหลื่อมล้ำ ลดการรอคอย ด้วยมาตรฐานที่มีคุณภาพ และจะมุ่งมั่นเดินหน้าสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพให้ประชาชนอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ด้วยการ “ยกระดับ 30 บาท รักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว”

Advertisement

แพทองธาร ประกาศผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ต่อ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 สิงหาคม 2567 นางสาวแพทองธาร นายกรัฐมนตรี ประกาศสานต่อนโยบายเศรษฐกิจ ผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ สัญญาทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้ทุกตารางนิ้วของประเทศไทยเป็นโอกาสของคนไทยทุกคน

วันนี้ (18 สิงหาคม 2567) เวลา 11.00  น. ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงแก่สื่อมวลชนภายหลังรับสนองพระบรมราชโองการ โดยกล่าวขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคร่วมรัฐบาลและประชาชน ที่ได้ให้ความไว้วางใจให้มาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31

นายกรัฐมนตรีให้คำมั่นสัญญาว่า จะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด พร้อมขอบคุณ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ทุ่มเทแรงกายทำเพื่อประเทศชาติตลอดเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ตนจะไม่ได้วางแผนในการเป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้มาก่อน แต่ขอให้ทุกคนมั่นใจว่า ตนพร้อมและเต็มใจที่จะรับใช้พี่น้องประชาชนอย่างสุดความสามารถ  ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีมีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ นำพาประเทศชาติผ่านปัญหา อุปสรรค ประเทศไทยเรายังมีปัญหาปากท้องที่รอการแก้ไขอยู่

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความมุ่งมั่นที่จะทำให้ปากท้องของพี่น้องประชาชนดีขึ้นและผลักดันนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ปัญหายาเสพติด ระบบสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกที่ และนโยบายซอฟต์พาวเวอร์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ที่ได้เริ่มทำมาตั้งแต่ต้น

นายกรัฐมนตรี ยังแสดงความจริงใจที่จะทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันนโยบายต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วง และขอให้ทุกคนได้ติดตามการแถลงนโยบายอย่างเป็นรูปธรรมได้ในเดือนกันยายนนี้

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี ขอขอบคุณพลังอันยิ่งใหญ่ คือ พลังของพี่น้องประชาชน ทั้งที่เลือกและไม่ได้เลือกดิฉัน  โดยสัญญาว่าจะทำหน้าที่นี้อย่างเต็มความสามารถ ทุกความหลากหลาย ไม่แบ่งแยก ในฐานะของนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ในฐานะแม่ ฐานะลูก ฐานะเพื่อน มุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำให้ประเทศไทยทุกตารางนิ้วเป็นพื้นที่ของโอกาส เป็นพื้นที่ที่คนไทยทุกคนมีความฝัน มีความคิดที่สร้างสรรค์และการที่กำหนดอนาคตของตัวเอง

Advertisement

ครม.เทงบฯ 3.4พันล้านสานต่อโรงเรียนประชารัฐชายแดนใต้

People Unity News : ครม.เห็นชอบสานต่อโรงเรียนประชารัฐชายแดนใต้ เทงบฯอุดหนุน 3.4พันล้าน

วันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า ครม.เห็นชอบหลักการดำเนินโครงการโรงเรียนประชารัฐจังหวัดชายแดนภาคใต้ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาสและ 4 อำเภอจังหวัดสงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี สะบ้าย้อย ทั้งนี้ สืบเนื่องจากข้อสั่งการของนายกฯเมื่อปี 60 ให้มีการปรับระดับโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในพื้นที่อำเภอละ 1 แห่งให้เป็นโรงเรียนประจำ

โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนที่ยากจน หรือนักเรียนที่ถูกทอดทิ้งไม่มีผู้อุปการะ และได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ให้ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียม และทั่วถึงเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ยกระดับคุณภาพชีวิตในคนในพื้นที่ด้วย ทั้งนี้โครงการดังกล่าวเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 61 ถึงปัจจุบันและมีโรงเรียนในโครงการ 64 โรงเรียน มีนักเรียน 5,049 คน คาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ของบประมาณจากครม.วงเงิน 3,416.54 ล้านบาท แบ่งเป็นจ้างครูรายเดือน ซื้อสื่อการเรียนการสอน 132.81 ล้านบาท งบลงทุนในการก่อสร้างหอนอนและครุภัณฑ์ 1,031.37 ล้านบาท งบอุดหนุนเพื่อเป็นค่าอาหาร 3มื้อและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากงบฯอุดหนุนรายหัว 2,252.36 ล้านบาท

รองโฆษกพปชร.คุยโว! ฝ่ายค้านงดออกเสียง คือหนุนหลักการงบฯปี63

People Unity : รองโฆษกพลังประชารัฐ มอง ส.ส.ฝ่ายค้าน งดออกเสียง สะท้อนไม่คัดค้านหลักการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี 2563 ขอบคุณทั้ง 2 ฝ่ายอภิปรายสร้างสรรค์ ยังยัน จำนำข้าวเหลวเป็นภาระผูกพันรัฐบาล”บิ๊กตู่”

วันที่ 20 ต.ค.2562 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรผ่านร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ในวาระแรก วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ว่า ที่ประชุมสภาฯ มีมติเห็นชอบหลักการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ด้วยคะแนนเสียง 251 เสียง โดย ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้าน งดออกเสียง 234 เสียง และไม่ลงคะแนน 1 เสียง สะท้อนว่าฝ่ายค้านไม่คัดค้านหลักการของร่างกฎหมายดังกล่าว ถือเป็นมิติใหม่ทางการเมือง สร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีในสภาฯ

รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวต่อว่า ต้องขอบคุณทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลที่อภิปรายอย่างสร้างสรรค์ ข้อเสนอแนะต่างๆ ไปพัฒนาประเทศตามกรอบงบประมาณ โดยยึดประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก โดยเฉพาะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ตอบอภิปรายได้อย่างครบถ้วน ชี้ให้เห็นถึงการจัดสรรงบประมาณที่เป็นไปอย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ ครอบคลุม กระจายไปในทุกพื้นที่อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม แม้จะมีการปรับเปลี่ยนโครงการภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ แต่ก็เป็นไปอย่างสอดคล้องและครอบคลุมกับสถานการณ์โลก โดยจะเห็นได้ว่าแผนการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาล มุ่งพัฒนาทักษะทรัพยากรมนุษย์ที่ตรงกับความต้องการของประเทศและแนวโน้มเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งหลังจากนี้พรรคพลังประชารัฐจะเดินหน้าทำตามนโยบายต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์มากที่สุด

ส่วนการวิพากษ์วิจารณ์การกู้เงินเพื่อชดเชยการจัดทำงบประมาณขาดดุลนั้น น.ส.ทิพานัน ระบุว่า จะเห็นได้ว่ารัฐบาลพยายามกู้เท่าที่จำเป็น และคำนึงถึงขีดความสามารถในการชำระคืน อีกทั้งการหารายได้ให้กับประเทศ และข้อเท็จจริงที่ต้องยอมรับก็คือ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องแบกภาระความล้มเหลวของการบริหารงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ใช้งบประมาณซึ่งเป็นภาษีของประชาชนไปดำเนินการโครงการรับจำนำข้าว และเกิดความเสียหายกว่า 9 แสนล้านบาท ทั้งที่เป็นโครงการที่ดีแต่มีการทุจริตทุกขั้นตอน ดังนั้น ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ มีสิทธิ์โดยชอบธรรมในการพูดถึงปัญหาดังกล่าวซึ่งภาระงบประมาณ อีกทั้ง ภาระหนี้ก้อนนี้ไม่ได้เป็นวงเงินคงที่ ดอกเบี้ยย่อมปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นทุกวันอย่างปฏิเสธไม่ได้นอกจากนี้ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ยังกล่าวถึงการวิจารณ์งบประมาณกระทรวงกลาโหมที่ได้รับงบประมาณวงเงิน 2.33 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติว่า เป็นเรื่องที่ไม่เกินความคาดหมาย เนื่องจากกระทรวงกลาโหมตกเป็นเป้าในการจับจ้อง มีที่มาจากประเด็นทางการเมืองมากกว่าการพิจารณารายละเอียดข้อเท็จจริงและความจำเป็นที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งงบประมาณส่วนที่เพิ่มขึ้นในปีนี้เพื่อใช้ดูแลสวัสดิการของข้าราชการ ปรับปรุงที่อยู่อาศัย ซ่อมแซม รวมทั้งจัดหาเครื่องมือช่วยเหลือประชาชน ซ่อมปรับปรุงยุทโธปกรณ์ ขณะที่การซื้อทดแทนยุทโธปกรณ์ที่ไม่สามารถหาชิ้นส่วน หรือซ่อมแซมได้ เป็นไปตามแผนพัฒนากองทัพ และเพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ คิดเป็น 1 ใน 3 กองกำลังที่มีทั้งหมด แต่ถึงอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบวงเงินงบทหาร งบความมั่นคง และกลาโหมของกลุ่มประเทศอาเซียน พบว่าจะมีค่าเฉลี่ยสากลอยู่ที่ 2.2 ของจีดีพี แต่ของไทยอยู่ที่ 1.3 ต่อจีดีพีเท่านั้น

“จะเห็นได้ว่า หลายครั้งที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์นักฟุตบอลทีมหมูป่า อะคาเดมี ติดถ้ำหลวงที่กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก เครื่องมือต่างๆ ทางการทหารนั้นสามารถเข้าไปช่วยเหลือนสถานการณ์วิกฤติดังกล่าวได้”

ขณะที่งบกลางจำนวน 4 แสนล้านบาทนั้น น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า แม้วงเงินอาจจะสูง แต่ต้องมีไว้เพื่อรองรับในกรณีที่ประชาชนประสบปัญหา เช่น ปัญหาอุทกภัย การแก้ไขปัญหาและโครงการต่างๆ ในพื้นที่ ที่จะนำเสนอต่อรัฐบาลเป็นโครงการเร่งด่วน ก็จะนำเงินงบประมาณจากงบกลางนี้ไปจัดสรร เพื่อการแก้ไขปัญหาให้ทันท่วงทีและทันต่อการพัฒนาในพื้นที่ต่างๆ โดยหลังจากนี้ทางพรรคพลังประชารัฐจะเร่งเดินหน้าตามกรอบนโยบายต่างๆ ต่อไป

ดีอีเอส เดินหน้าติดตั้งฟรีอินเทอร์เน็ต (ไวไฟ) สำหรับผู้มีรายได้น้อย 2,000 ชุมชนทั่วประเทศ

People Unity News : ดีอีเอส เดินหน้าติดตั้งฟรีอินเทอร์เน็ต (ไวไฟ) สำหรับผู้มีรายได้น้อย @ชุมชนทั่วประเทศ

11 ม.ค. 65 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เร่งดำเนินโครงการฟรีอินเทอร์เน็ต (ไวไฟ) สำหรับผู้มีรายได้น้อยในชุมชนต่างๆ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย อำนวยความสะดวก ส่งเสริมการสร้างรายได้ของประชาชนอย่างทั่วถึง รวมถึงลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐในการให้บริการ – ข้อมูลแก่กลุ่มเป้าหมาย ตั้งเป้าเฟสแรกติดตั้งในชุมชนแออัดและชุมชนผู้มีรายได้น้อยกว่า 2,000 ชุมชนทั่วประเทศ

โดยคัดเลือกชุมชนจากข้อมูลของหน่วยงานต่างๆ เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ฯลฯ ให้อินเทอร์เน็ตเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนเข้าถึงได้ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม

Advertising

“เพื่อไทย”ยังอารมณ์ค้าง! อัดรัฐทำงบฯไม่โปร่งใส

People Unity : “เพื่อไทย”ยังอารมณ์ค้าง! อัดรัฐทำงบฯไม่โปร่งใส แนะประชาชนจับตารัฐใช้เงินนอกงบประมาณ

วันที่ 23 ตุลาคม 2562 นายสงวน พงษ์มณี สส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมการอภิปรายงบประมาณปี 2563 ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน มีหลายประเด็นที่สังคมยังคงสงสัยในการจัดทำงบประมาณของรัฐบาล ผลโดยรวมของการอภิปรายพบว่ารัฐบาลตอบไม่ตรงคำถามและในหลายประเด็นเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามหรืออธิบายถึงการใช้จ่ายงบประมาณว่าจะก่อให้เกิดความคุ้มค่าได้อย่างไร

การใช้เงินงบประมาณกว่า 3.2 ล้านล้านบาทที่เป็นภาษีของประชาชน เป็นเพียงส่วนเดียวที่รัฐเปิดเผยตัวเลข ยังคงมีเงินที่รัฐเก็บไว้ ที่เรียกว่าเป็นเงินนอกงบประมาณที่อยู่ในความรับผิดชอบของส่วนราชการ นอกจากเงินงบประมาณรายจ่ายเงินรายได้แผ่นดิน เงินเหล่านี้ คือ เงินเบิกเกินส่งคืน และเงินเหลือจ่ายปีเก่าส่งคืน แต่ไม่มีการส่งคืนให้กระทรวงคลังยังคงค้างอยู่ที่หน่วยราชการ ที่ผ่านมารัฐไม่มีการแจงตัวเลขว่าเงินนอกงบประมาณมีจำนวนเท่าไหร่นำไปใช้ในโครงการอะไรบ้าง

นายสงวน กล่าวด้วยว่า การจัดทำงบประมาณของรัฐบาลขาดความโปร่งใส และไม่เปิดเผยต่อประชาชน อยากให้ประชาชน จับตาดูการใช้เงินนอกงบประมาณที่รัฐจัดเก็บไว้ เพราะเงินทั้งหมดนี้เป็นภาษีของประชาชน ดังนั้นประชาชนควรจับตาดูการใช้จ่ายงบประมาณว่ารัฐใช้เงินอย่างไร เกิดประโยชน์กับประชาชนหรือไม่

อย่างไรก็ตาม เงินนอกงบประมาณมีจำนวนเท่าไหร่ ประชาชนไม่เคยทราบ แม้กฎหมายกำหนดให้หน่วยงานรัฐต้องมีการแจ้งว่าแต่ละหน่วยงานมีเงินเหลือเท่าไหร่ ถึงจะต้องจัดเงินงบประมาณไปเพิ่ม การจัดทำงบประมาณต้องนำเงินส่วนนี้มาร่วมด้วยหากนำเงินคงเหลืออยู่การจัดทำงบประมาณก็อาจจะไม่ถึง 3.2 ล้านล้านบาท ดังนั้นการจัดทำงบประมาณครั้งนี้จึงขาดความโปร่งใสและไร้การตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐ

ศปช. แจ้งผู้ประสบภัย 16 จว. เร่งยื่นรับเงินเยียวยาน้ำท่วมได้ถึง 15 ม.ค. 68

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 ธันวาคม 2567 ศปช. แจ้งผู้ประสบภัย 16 จว. เร่งยื่นรับเงินเยียวยาน้ำท่วมได้ถึง 15 ม.ค. 68 คาดฝนส่งท้ายปี 27-28 ธ.ค. มาเร็ว-ไปเร็ว

วันนี้ (26 ธันวาคม 2567) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ศปช. รับทราบการเร่งรัดเยียวยาจำนวน 9,000 บาท ให้ถึงมือประชาชนโดยเร็ว กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ส่งหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้ง 16 จังหวัด เพื่อกำชับหน่วยงานในพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง รวมทั้งประชาสัมพันธ์สื่อสารถึงประชาชนที่จะได้รับเงินเยียวยาสามารถลงทะเบียนได้ถึงวันที่ 15 มกราคม 2568 เท่านั้น

“ศปช. เน้นย้ำ 16 จังหวัด ประสานหน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ ไม่ให้มีการลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือซ้ำซ้อน โดยผู้ที่จะได้รับเงินจะต้องเข้าเงื่อนไข ดังนี้ อยู่ในพื้นที่ จ.ชัยนาท บุรีรัมย์ สมุทรสาคร และสิงห์บุรี ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในห้วงวันที่ 20 พ.ค. – 2 พ.ย. 67 และพื้นที่ 12 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ จ.กระบี่ ชุมพร นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ ตรัง พัทลุง ยะลา สงขลา สตูล และสุราษฎร์ธานี ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในห้วงวันที่ 3 พ.ย. 67 เป็นต้นไปเท่านั้น และได้รับผลกระทบจากอุทกภัยสองกรณี คือ 1.ที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมไม่เกิน 7 วัน และมีทรัพย์สินเสียหาย และ 2.ที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมเกิน 7 วัน ในกรณีที่ถูกน้ำท่วมหลายครั้งจะได้รับความช่วยเหลือเพียงครั้งเดียว”

รองโฆษกฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้สถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายเกือบทั้งหมด เหลือเพียง 1 จังหวัด ได้แก่ จ.นครศรีธรรมราช (อ.ปากพนัง พระพรหม เฉลิมพระเกียรติ เชียรใหญ่ และชะอวด) โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ระดมกำลังติดตั้งเครื่องสูบน้ำและเครื่องผลักดันน้ำออกจากพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

ส่วนแนวโน้มฝนที่จะตกในพื้นที่ภาคใต้ วันที่ 27 – 28 ธ.ค. นี้  จะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ในพื้นที่ จ.ชุมพร ระนอง  สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ส่วนในวันที่ 29 ธ.ค.ฝนจะตกหนักในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส โดยฝนจะมาเร็วไปเร็ว ไม่เหมือนครั้งที่ผ่านมา

“ขอให้ประชาชนในภาคใต้ตอนล่างยังคงต้องเฝ้าระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม” รองโฆษกฯ ศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics