วันที่ 27 พฤศจิกายน 2025

เลขาฯ กกต. มั่นใจระบบนับคะแนน ECT Report โปร่งใสแม่นยำ

People Unity News : 24 กุมภาพันธ์ 2566 เลขาฯ กกต. ยืนยันระบบนับคะแนนเลือกตั้ง ECT Report โปร่งใสแม่นยำ ตรวจสอบได้ คาดรู้ผลไม่เป็นทางการคืนวันเลือกตั้ง รอศาล รธน.วินิจฉัยราษฎรแบ่งเขต เชื่อไม่กระทบไทม์ไลน์

นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงการรายงานผลการเลือกตั้ง ส.ส. แบบเรียลไทม์ หรือ ECT Report ว่า ยังทำเหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนคนกรอกข้อมูล เพราะงานของ กกต. ความถูกต้องต้องมาก่อน เพราะเป็นหน่วยงานราชการ ผิดไปคะแนนเดียวก็ไม่ได้ นี่คือเป้าหมาย ถ้าให้กรรมการประจำหน่วย (กปน.) ซึ่งเป็นชาวบ้านกรอกก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะไม่ถูกต้อง เมื่อตรวจสอบเอกสารรายงานผลคะแนนหน้าหน่วย (แบบ ส.ส. 5/18) ถูกต้องแล้วติดหน้าหน่วย จากนั้นคะแนนจะไหลเข้าไปในระบบ จะทยอยเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วให้สื่อมาเชื่อมต่อกับเรา

“เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่ง ก็จะมาตกลงกับสื่อมวลชนว่าจะนำเสนอข้อมูลอย่างไร จะไม่นำเสนอกับประชาชนเอง ส่วนรูปแบบการนำเสนอก็อยู่ที่สื่อจะนำเสนอ ข้อมูลที่สื่อจะได้รับก็ตั้งแต่คะแนนแรกที่ กกต.กลางได้รับข้อมูล ผมไม่สามารถระบุเวลาได้ เมื่อแต่ละหน่วยตรวจสอบความถูกต้องแล้ว แล้วกรอกข้อมูลในเอกสาร 5/18 แล้วนำไปติดหน้าหน่วย แล้วนำสำเนาของ 5/18 ในระบบ เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบว่าตรงกันหรือไม่ คนที่บวกคะแนนไม่สำคัญเท่ากับเอกสาร 5/18 ที่ติดหน้าหน่วยกับเอกสาร 5/18 ในระบบที่ตรงกัน ซึ่งในเอกสาร 5/18 มี กปน.ลงชื่อทั้งหมด 9 คน ยืนยันไม่มีใครแก้คะแนน” เลขาธิการ กกต. กล่าว

เมื่อถามว่า จะรายงานผลเลือกตั้งเป็นระยะหรือไม่ นายแสวง กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับสื่อที่จะนำข้อมูลไปเผยแพร่ แต่การคำนวณสัดส่วนประชากรต่อการแบ่งเขตเลือกตั้ง อาจเกิดการผิดพลาดทางเทคนิคแล้วระบบล่มได้ จึงเป็นเรื่องทางเทคนิค

ส่วนกรณีการนับคะแนนเลือกตั้งที่มาจากต่างประเทศครั้งที่ผ่านมาเกิดข้อผิดพลาดที่นับคะแนนไม่ทัน ครั้งนี้วางแนวทางแก้ไขเพื่อไม่ให้คะแนนตกน้ำหรือไม่ เลขาธิการ กกต. กล่าว กกต.เตรียมการแก้ไขไว้แล้ว เพราะมีบทเรียนและจะไม่เกิดขึ้นอีก โดยจะติดตามถุงส่งบัตรลงคะแนนไม่ให้คลาดสายตา เพื่อจะให้มาถึงก่อนวันเลือกตั้งแล้วนำส่งไปยังหน่วยเลือกตั้งของผู้ใช้สิทธิ ยืนยันว่ามีแนวทางป้องกันคะแนนสูญเปล่าไว้แล้ว ประชาชนสามารถเข้าถึงการรายงานผลตามระบบ ECT Report ได้ โดยติดตามได้ที่หน่วยเลือกตั้ง และเข้าเว็บไซต์ของ กกต.แต่ละจังหวัด

“ขณะนี้ ECT report กำลังพัฒนาใกล้จะเรียบร้อยแล้ว ไม่เหมือนกับระบบเดิม เพราะ กกต.เป็นผู้ดำเนินการเอง การรายงานผลคะแนนครั้งนี้น่าจะได้รับความสนใจและเร็วที่สุด ภายในคืนวันเลือกตั้งน่าจะรู้ผลอย่างไม่เป็นทางการแล้ว ทั้งนี้ หากซักซ้อมให้ดี อำนวยความสะดวกทั้งเรื่องการนับคะแนน และการให้ประชาชนลงคะแนน ภายในคืนนั้นก็น่าจะทราบผลทั้ง 77 จังหวัด กกต.ตั้งเป้าหมายการรายงานผลถูกต้องทั้งคะแนน และทุกอย่างถูกต้อง 100% โดยนำบทเรียนจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้วพิจารณาว่าทำอย่างไรให้มีเงื่อนไขให้น้อยที่สุด ในส่วนของ กกต. ยังไม่มีเงื่อนไขอะไร และอยากทำให้การเลือกตั้งเรียบร้อยและถูกต้องที่สุด” นายแสวง กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการคำนวณสัดส่วนราษฎรต่อการแบ่งเขตเลือกตั้ง เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า ได้เตรียมการไว้ทั้งหมดแล้ว ขอให้สบายใจได้ว่าทุกอย่างเป็นไปตามรัฐธรรมนูญกำหนด ส่วนไทม์ไลน์การแบ่งเขตอาจจะขยับบ้าง แต่ไม่เกินตามที่วางไว้ ซึ่งพยายามเร่งเวลาการทำงาน เพราะ กกต.ต้องให้เวลากับพรรคการเมืองในการทำไพรมารี ซึ่งการดำเนินการยึดตามอายุครบของสภาฯ คือเวลาที่นานที่สุดแล้ว แต่ต้องทำให้เสร็จก่อนที่พรรคการเมืองจะทำไพรมารี ซึ่ง กกต.ให้เวลาพรรคการเมืองทำไพรมารี 10 วัน

นายแสวง กล่าวว่า ช่วงเลือกตั้งยังสามารถทำโพลสำรวจได้ แต่อย่าชี้นำหรือจูงใจ และอย่าเปิดเผยก่อน 7 วันก่อนวันเลือกตั้ง แต่ให้ไปเปิดเผยหลังวันเลือกตั้ง

เมื่อถามกรณีนายแสวง ระบุว่า ในช่วงการเลือกตั้ง 18 ชั่วโมง หากไม่ทำให้เรียบร้อยจะอยู่ไม่ได้ หมายความว่าอย่างไร เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า การบริหารจัดการของสำนักงาน กกต. ต้องมีประสิทธิภาพ ซึ่งตนพูดกับพนักงานของตนเสมอว่า เราทำงานเหนื่อยขนาดนี้ ยังมีคนไม่เข้าใจ อย่างเรื่องบัตรหรือเรื่องอื่น ๆ ที่พนักงาน กกต.ไม่ได้ทำ แต่ กปน.ทำ โดย กกต.เป็นคนออกแบบให้ กปน.ทำงาน ซึ่งต้องไม่มีความผิดพลาดในหน่วยเลือกตั้ง อย่าให้ประชาขนเคลือบแคลงใจในการทำงาน

เมื่อถามว่า จะมั่นใจได้อย่างไรว่าโปร่งใส นายแสวง กล่าวว่า คำว่าโปร่งใส บางอย่างเห็นได้ หากผลในเอกสาร 5/18 ผิด ระบบก็จะแจ้งขึ้นมาทันที เราออกแบบเพื่อให้โปร่งใสที่สามารถดูได้ทุกครั้ง ดูได้ทุกอย่าง แต่บางอย่างถ้าเกิดความสงสัย ก็สามารถตรวจสอบได้ จึงออกระบบมาเช่นนี้ การนับคะแนนเหมือนเดิม เพียงแค่เปลี่ยนคนกรอก ระบบก็จะเปลี่ยน เพราะคนกรอกแสนแผ่นก็กรอกไม่ไหว จึงต้องเปลี่ยนระบบให้โปร่งใสและดีขึ้น

Advertisement

“หมวดเจี๊ยบ”สอนรัฐบาล”บิ๊กตู่”รีบแจงมะกันตัดจีเอสพีไม่เกี่ยวแบน 3 สารพิษ

People Unity : “หมวดเจี๊ยบ”สอนรัฐบาล”บิ๊กตู่”รีบแจงมะกันตัดจีเอสพีไม่เกี่ยวแบน 3 สารพิษ อย่าปล่อยให้สังคมตื่นตระหนกและเข้าใจผิด จนกลายเป็นปัญหาลุกลามกระทบความสัมพันธ์ ไทย-สหรัฐ

วันที่ 27 ต.ค.2562 ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ควรทำความเข้าใจกับสังคมไทยให้ทั่วถึงว่าการแบน 3 สารพิษ ไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้สหรัฐตัด GSP ของสินค้าไทย เพราะความจริงแล้วรัฐบาลสหรัฐได้ทบทวนการตัดGSP ของไทย และประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ มาเป็นปีแล้ว เพราะมีความเชื่อว่า จีนหันมาผลิตสินค้าในประเทศอาเซียนที่ได้รับสิทธิพิเศษด้านภาษีหรือ GSP จากสหรัฐ แล้วส่งสินค้ากลับไปขายที่สหรัฐโดยใช้ประเทศอาเซียนเป็นทางผ่าน ทั้ง ๆ ที่ จีนและสหรัฐทำสงครามการค้ากันอยู่ และนี่คือ ประเด็นหลักในการตัด GSP ไม่ใช่เรื่องการแบน 3 สารพิษอย่างที่บางคนเข้าใจ ทั้งนี้ รัฐบาลประยุทธ์รู้ตัวล่วงหน้านานแล้วว่าจะถูกตัด GSP เพราะสหรัฐไม่ได้ตัด GSP เฉพาะของไทยเพียงชาติเดียว แต่เขาไล่ตัดมาหลายประเทศแล้ว แม้แต่ อินเดีย ที่เคยได้โควต้า GSP มากที่สุดจากสหรัฐ ก็โดนตัดโควต้า GSP ทิ้งทั้งหมด จะเห็นว่าอินเดียเสียประโยชน์หนักกว่าไทยเสียอีก และการถูกตัด GSP ไม่ได้แปลว่าห้ามนำเข้าสินค้าเหล่านั้นเข้าสหรัฐ เพียงแต่จะทำให้ต้นทุนสินค้าบางรายการสูงขึ้น จนแข่งขันได้ยาก ซึ่งในภาพรวมมูลค่าการส่งออกของไทยในปี 2561 ก็ยังได้เปรียบดุลการค้าเหนือสหรัฐอยู่ ถึง 378,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสินค้ามูลค่า 40,00 ล้านบาท ที่จะถูกตัด GSP ถือว่าเป็นปริมาณที่น้อยเมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออกทั้งหมด และยังเป็นปริมาณที่อยู่ในวิสัยที่รัฐบาลไทยจะใช้เวทีเจรจาเพื่อแก้ปัญหาได้ โดยไม่ต้องกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ยกเว้นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไม่มีความสามารถหรือใช้เครื่องมือทางนโยบายไม่เป็น

ทั้งนี้ บุคคลที่สมควรถูกตำหนิมากที่สุด ในกรณีการตัด GSP ครั้งนี้ คือ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่ไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องการคุ้มครองสิทธิผู้ใช้แรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลได้ตามที่องค์กรแรงงานระหว่างประเทศ หรือ ILO ร้องทุกข์ไปยังสำนักงานผู้แทนการค้าของสหรัฐ ซึ่งส่งผลให้สหรัฐใช้ประเด็นนี้เป็นข้ออ้างตัด GSP สินค้าไทย ทำให้ประเทศไทยต้องเสียประโยชน์ทางการค้า และรัฐบาลประยุทธ์ ก็ไม่เคยบอกความจริงเรื่องนี้กับคนไทย จึงทำให้สังคมตื่นตระหนกและโยงเรื่องนี้กับเรื่องการแบน 3 สารพิษ เพราะเป็นข่าวที่เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน

ซึ่งอันที่จริง รัฐบาลประยุทธ์ ต้องเตรียมตัวรับมือกับนโยบายการค้าของสหรัฐที่ต้องเปลี่ยนไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง เพราะข้อกำหนดเรื่อง GSP เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคสงครามเย็น เพื่อสร้างพันธมิตรทางการเมืองของโลกตะวันตกเพื่อต่อสู้กับค่ายคอมมิวนิสต์ดังนั้น จึงมีการหยิบยื่นความช่วยเหลือต่าง ๆ ให้ประเทศกำลังพัฒนาเพื่อหาพวก แต่วันนี้ สถานการณ์การเมืองโลกเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้น สิทธิพิเศษต่าง ๆ ในโลกยุคสงครามเย็นย่อมเปลี่ยนไปด้วย ซึ่ง รัฐบาล ประยุทธ์ ต้องใช้สติและใช้เวทีเจรจาเป็นหลักในการหาทางออกในเรื่องนี้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ อย่าใช้วิธีปลุกกระแสคลั่งชาติ แต่ต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชนจะได้ไม่ตื่นตระหนก เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาที่เกิดขึ้นลุกลามไปส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ด้านอื่น ๆ ระหว่างไทยและสหรัฐ ทั้งนี้ การแก้ปัญหาบนโต๊ะเจรจา ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยดูขี้ขลาด แต่เป็นการแก้ปัญหาอย่างมีสติแบบคนที่เจริญแล้ว

รัฐบาลไทยชี้แจง Amnesty ที่เรียกร้องรัฐบาลไทยยกเลิกข้อกล่าวหาผู้ชุมนุม

People Unity News : รัฐบาลไทยชี้แจงกรณี Amnesty International เรียกร้องรัฐบาลไทยยกเลิกข้อกล่าวหาผู้ชุมนุมอันเป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่ Amnesty International (AI) หรือองค์การนิรโทษกรรมสากล สำนักงานใหญ่ กรุงลอนดอน เชิญชวนสมาชิก นักกิจกรรม และผู้สนับสนุนกว่า 8 ล้านคนทั่วโลก ส่งจดหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรียกร้องทางการไทยยกเลิกการตั้งข้อกล่าวหาต่อแกนนำ 31 คน และขอให้ยุติการขัดขวางการร่วมชุมนุมของประชาชน ที่เป็นการปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล รวมทั้งขอให้ยกเลิกกฎหมายที่มีเนื้อหากำกวม หรือคลุมเครือ เพื่อเป็นการเคารพ คุ้มครอง สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งการรณรงค์นี้จะมีไปถึงวันที่ 21 ตุลาคม 2563

กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงดังนี้

1.รัฐบาลมิได้ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกรวมทั้งการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและอนุญาตให้มีการชุมนุมของนักเรียน นักศึกษาและประชาชนหลายครั้งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาโดยคำนึงถึงความสำคัญของสิทธิในเสรีภาพแห่งการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของสังคมประชาธิปไตย อย่างไรก็ดี การใช้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวต้องดำเนินการภายใต้กฎหมายและต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นด้วย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของรัฐ ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR) ที่ไทยเป็นภาคี

2.รัฐบาลสนับสนุนการใช้เสรีภาพในการแสดงออกที่สร้างสรรค์ ไม่ก้าวร้าวหรือมีลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น หรือใช้คำพูดที่สร้างความเกลียดชังอันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น รวมทั้งสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ โดยเคารพมุมมองของผู้ที่เห็นต่าง

3.เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดูแลการชุมนุมให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย โดยใช้ความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ทั้งนี้ เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมชุมนุมและประชาชนที่สัญจรในบริเวณโดยรอบที่ชุมนุม สำหรับกรณีการดำเนินคดีผู้ชุมนุมบางรายนั้น เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายและพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาที่ละเมิดกฎหมาย โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด และผู้ถูกกล่าวหาสามารถต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ชุมนุมที่ถูกดำเนินคดีจะได้รับการเคารพอย่างเต็มที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนต่างๆที่ประเทศไทยเป็นภาคี

Advertising

นายกฯกำชับทุกหน่วยบูรณาการแก้ปัญหายาเสพติดทุกมิติ

People Unity News : 23 พฤศจิกายน 2565 นายกฯ ย้ำทุกหน่วยงานบูรณาการป้องกัน ปราบปราม บำบัดรักษายาเสพติด สั่งคุมเข้มสารตั้งต้นส่วนผสมยาเสพติด หวังบ้านเมืองสงบเรียบร้อยสวยงามเหมือนช่วงประชุมเอเปค

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดปฏิบัติการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดตามนโยบายของรัฐบาล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ระยะเร่งด่วน 3 เดือน โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมถึงผู้แทนสำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ที่สโมสรทหารบก

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน ยิ่งปรับวิธีการและปรับการทำงาน แต่อีกฝ่ายก็ปรับเช่นกัน ดังนั้น ต้องทำอย่างไรที่จะแก้ปัญหาที่มีความซับซ้อนให้ได้ เพราะส่งผลกระทบต่อความมั่นคง สังคมและเศรษฐกิจของประเทศ โดยจะต้องแก้ให้ลดลง สิ่งสำคัญคือความเข้าใจ และต้องมีการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานต่างๆ และในหลายระดับ

“สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องดูว่าจะแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างไร เน้นการป้องกันปราบปราม และการบำบัดรักษา รวมถึงดีมานด์และซัพพลาย ลดผู้เสพรายใหม่ แก้ไขผู้เสพรายเก่า ทุกวันนี้สังคมเปลี่ยนแปลงไปมาก จำเป็นต้องบูรณาการกันอย่างใกล้ชิดและร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลกำหนดให้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ และเป็น 1 ใน 12 นโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่ผ่านมาได้ปฏิบัติและพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ทำในวันนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในระดับนโยบาย คือ การปรับปรุงกฎหมายกฎระเบียบต่างๆ ที่อาจจะมีความเกี่ยวข้องในหลายกฎหมายด้วยกัน พร้อมกับต้องเร่งปราบปราม จับกุม และขยายผลไปสู่นายทุนและผู้ที่เกี่ยวข้อง จนสามารถยึดอายัดทรัพย์สินได้ถึง 11,000 ล้านบาท

“ขอเน้นย้ำให้ทุกคน ทุกหน่วยงานปฏิบัติการตามแผนการป้องกันและปรับปรามยาเสพติด ภายในระยะเวลา 3 เดือน ตามที่กำหนดไว้แล้ว ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ขณะที่การป้องกันคือทำอย่างไรให้คนไม่อยากเสพยาเสพติด เพราะจะทำให้การขายลดลงได้ ซึ่งการศึกษาเป็นส่วนสำคัญที่ต้องสร้างความรู้และหลักการที่ถูกต้องให้กับเยาวชน มีกลไกป้องกันยาเสพติด กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ สร้างความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กองทัพต้องเพิ่มความเข้มงวดในการป้องกันสกัดกั้นยาเสพติดทางชายแดน ทั้งทางบกและทางน้ำ และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปราบปรามผู้ค้ายาและจับกุม ยึดทรัพย์ ทำลายเครือข่าย โดยเจ้าหน้าที่ที่ไปเกี่ยวข้องจะต้องถูกลงโทษ ซึ่งถ้าทุกคนทำงานร่วมกันได้ ทุกอย่างจะต้องเบาบางลง เพื่อคืนอนาคตให้กับลูกหลาน ยกตัวอย่างกรณีที่จังหวัดหนองบัวลำภู ถือเป็นบทเรียน แต่ไม่ใช่การทำงานแบบวัวหายล้อมคอก แต่ต้องนำบทเรียนทุกอย่างมาดำเนินการ คิดวิเคราะห์ และหาวิธีการแก้ไขปัญหา ซึ่งพบว่าสถานการณ์ในขณะนี้ไม่ใช่เพียงผู้เสพ ผู้ซื้อและผู้ขาย แต่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป จึงต้องให้ความสำคัญกับการบำบัดรักษาฟื้นฟู

“ขอให้กระทรวงสาธารณสุข เร่งรัดทำกฎหมายมารองรับสำหรับการปฏิบัติ ดูแลรักษาคัดกรองผู้ติดยาเสพติด เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการอย่างเหมาะสม จัดตั้งสถานที่รักษา โดยมีแนวคิดที่จะให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อให้การบำบัดรักษามีมาตรฐาน ให้กระทรวงแรงงานส่งเสริมให้ผู้บำบัดมีทักษะในด้านอาชีพ ขณะเดียวกัน ต้องทำให้ประชาชนมีความมั่นใจและความเชื่อใจในการแจ้งเบาะแส และสิ่งสำคัญคือการสร้างความรับรู้ให้กับประชาชน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องสร้างความเชื่อมั่น เพราะคือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เห็นจากการประชุมเอเปคที่มีความร่วมมือที่กว้างมากขึ้น ไม่มีใครที่จะแก้ปัญหาได้เพียงหน่วยงานเดียว ดังนั้น ต้องให้ความสำคัญกับหมู่บ้านและชุมชน ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องบูรณาการทรัพยากรทุกอย่าง ทั้งแผนงาน การปฎิบัติงานร่วมมือกับทุกหน่วยงานให้เป็นหนึ่งเดียว ให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนเพื่อขจัดยาเสพติดให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะเดียวกันต้องระดมสรรพกำลังในการร่วมมือกันปราบปรามยาเสพติด และจะต้องมีบทบาทในการคืนคนดีสู่สังคม เพื่อให้ทุกคนได้กลับสู่อ้อมกอดของครอบครัว และทำให้สังคมไทยปลอดยาเสพติด ส่วนการดูแลควบคุมสารตั้งต้น ที่ใช้ไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด เพราะเป็นอันตรายและเป็นต้นตอ การนำไปสู่การผลิตยาเสพติด จึงขอให้มีการติดตามดำเนินคดีในเรื่องนี้ ซึ่งตนรอผลงานตรงนี้ด้วย อยากให้บ้านเมืองของเรามีความเจริญเติบโต อยากให้บ้านเมืองมีรายได้ที่ดี มีการค้าขายที่ดี ทุกคนมีความสุข สิ่งสำคัญที่สุดคือพื้นฐานด้านความมั่นคงทั้งสิ้น

“อยากให้ทุกคนได้ทราบว่า ความมั่นคงเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจ สังคม และทุกอย่าง ขณะนี้บ้านเมืองเราอยู่ในสถานการณ์สงบเรียบร้อย และในช่วงการประชุมเอเปคที่ผ่านมา ได้เห็นบ้านเมืองที่สวยงาม มีความสะอาด นี่คือประเทศไทย ทุกคนยิ้มแย้มมีความสุข ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จะหาได้ง่าย ๆ เพราะได้เห็นคนไทยมีรอยยิ้ม เป็นเจ้าบ้านที่ดี ดังนั้น หลังการประชุมเอเปค ก็หวังว่าทุกอย่างจะสงบเรียบร้อยไปได้ด้วยดี เพื่อให้ทุกอย่างดีกว่าเดิมในทุกมิติ สิ่งไหนที่เป็นปัญหาก็แก้ไข หากติดขัดก็ติดตามขับเคลื่อน หากทุกคนพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในทุกประชาคมโลกและทุกภูมิภาค ดังนั้น ขอบคุณข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชน หากทุกคนร่วมมือกันแก้ไขปัญหาด้วยความเข้าใจ ทุกอย่างจะสำเร็จแน่นอนและนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนตลอดไป” นายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

“อนุทิน”แท็กทีม”มนัญญา” นำภาคีแสดงพลัง”แบน 3 สารพิษ”

People Unity : โค้งสุดท้ายก่อนวันชี้ชะตา ! “อนุทิน” แท็กทีม “มนัญญา” นำทีม สธ. เกษตรกร ภาคประชาชน แสดงพลัง “แบนสารพิษ”

วันที่ 21 ต.ค.2562 จากกรณีที่ในวันที่ 22 ตุลาคม คณะกรรมการวัตถุอันตรายจะประชุมร่วมกัน เพื่อกำหนดอนาคตของการใช้ 3 สารพิษทางการเกษตร พาราควอต ไกรโฟเซต คลอร์ไพริฟอสนั้น ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่ากากระทรวงเกษตรและสหกรณ์, ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข อาทิ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข, นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการ อย., นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์, เกษตรกร

และภาคประชาชน นำโดย นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ รพ. จุฬาลงกรณ์, รศ. ดร. พวงรัตน์ ขจิตวิชยานุกูล มหาวิทยาลัยนเรศวร, ศ.ดร. พรพิมล กองทิพย์ อ. ประจำภาควิชาชีวอนามัยและความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, นางสาวปรกชล อู่ทรัพย์ เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN), นายสุนทร รักษ์รงค์ นายกสมาคมเกษตรกรชาวสวนยาง 16 จังหวัดภาคใต้และเลขาธิการสภาเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย (สกยท.) ร่วมกันแสดงจุดยืนแบนสารพิษ มีประชาชน และผู้สื่อข่าวเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

นายอนุทิน กล่าวว่า กิจกรรมวันนี้ เกิดขึ้นด้วยความสมัครใจเพื่อแสดงจุดยืนเรื่องการไม่เอาสารพิษ ซึ่งไม่ได้เพียงช่วยเกษตรกร แต่ช่วยประชาชนทุกคน ให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น และอย่ามาถามว่าจะเอาอะไรมาทดแทน เพราะกระทรวงสาธารณสุข ไม่ได้มีหน้าที่ในการจัดหาสารทดแทน งานของเราคือตรวจสอบว่าอะไรอันตรายกับสุขภาพ และเดินหน้าจัดการทันที อย่าเอาเรื่องกำไร ขาดทุนมาคุย เพราะชีวิตคน ตีเป็นตัวเงินไม่ได้ ถึงจะมีเงินมาก แต่ต้องเก็บไว้รักษาตัวเอง คงไม่คุ้ม

สำหรับตัวแทนของกระทรวง ซึ่งจะเป็นคณะกรรมการในวันพรุ่งนี้ ได้แก่ นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการ อย., นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ทั้งหมดจะโหวตแบน และจะขอให้ที่ประชุมโหวตอย่างเปิดเผย การจัดกิจกรรมก็เพื่อให้กำลังใจท่านทั้ง 3 พร้อมกับให้กำลังใจนางสาวมนัญญา ซึ่งการตัดสินใจของท่าน นับว่ามีความเสี่ยงมาก ในความเป็นจริง ท่านจะนิ่งเฉยเสียก็ได้ แต่ท่านกลับเดินหน้าเพื่อสุขภาพของประชาชน ทั้งที่อาจกระทบกับคะแนนเสียงของท่าน เมื่อท่านกล้า ก็ต้องสนับสนุน

นายอนุทิน กล่าวว่า หน่วยงานในความดูแลของนางสาวมนัญญา น่าจะแบนเหมือนกัน เช่นเดียวกับตัวแทนจากกระทรวงคมนาคม ส่วนจากกระทรวงอื่น ตนตอบแทนไม่ได้ แต่ขอให้ทราบไว้ว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่สะท้อนเอกภาพของรัฐบาล สำหรับสารพิษที่เป็นประเด็น มันไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องดี เพราะทุกวันนี้ ก็นำเข้าผ่านนอมินี ใช้คนอื่นบังหน้า ถ้าดีจริง เขาเปิดหน้าโชว์ไปแล้ว

“ที่บอกว่าผมโดนหลอก ผมก็คิดว่า ถ้าหลอกแล้ว มันทำให้คนไทยสุขภาพดี ก็ไม่เป็นไร รู้ว่าหลอก แต่เต็มใจให้หลอก”

ด้านนางสาวมนัญญา กล่าวว่า จุดกำเนิดของเรื่องนี้มาจากสมัยทำงานการเมืองท้องถิ่น เห็นมีการใช้สารข้างต้น ฉีดฆ่าหญ้า แล้วมีคนเดินผ่าน ปรากฏว่าเท้าเน่า ทุกข์ทรมาณ เห็นแล้วคิดว่าไม่ดีแน่นอน ต้องหาทางแก้ไข บางครั้งลงพื้นที่ มีคนมาบอกว่า อย่าเดินผ่านตรงนั้น ตรงนี้ เพราะเพิ่งฉีดยา พิษมันแรงขนาด แต่เราฉีดลงไปในพื้นที่ซึ่งปลูกผักผลไม่ให้คนกิน จึงคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว

ที่เห็นคือสารดังกล่าวทำให้เกิดวงจรการเจ็บป่วยและเสียชีวิต แม่เผาลูก ลูกเผาแม่ และด้วยเพราะเราใช้สารเคมีอย่างหนักมาตลอด หากต้องการปลูกพืช ให้ได้ผลผลิตที่สะอาด ต้องขุดหน้าดินประมาณหนึ่งฟุต จากนั้น จึงจะเริ่มปลูกได้ ถ้ายิ่งใช้ต่อไป ต้องขุดหน้าดินเพิ่มเท่าไร ถึงวันนั้น อาจไม่ทันการ อยากฝากถึงคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่จะโหวตในวันพรุ่งนี้ ขอให้ตัดสินใจ โดยนึกถึงพี่น้องประชาชน

ร.ท.หญิงสุณิสาระบุโครงการ 100 เดียวเที่ยวทั่วไทย และเที่ยววันธรรมดาราคาช็อคโลก

People Unity News : ร.ท.หญิงสุณิสาระบุโครงการ 100 เดียวเที่ยวทั่วไทย และเที่ยววันธรรมดาราคาช็อคโลก ของรัฐบาลประยุทธ์ จะล้มเหลวในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับ โครงการ ชิม ช็อป ใช้ และ ถือเป็นการใช้เงินงบประมาณอย่างไม่คุ้มค่า

วันที่ 11 พ.ย.2562 ร.ท.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า โครงการ 100 เดียวเที่ยวทั่วไทย และเที่ยววันธรรมดาราคาช็อคโลกของรัฐบาลประยุทธ์ ซึ่งใช้งบประมาณจาก งบกลาง จำนวน 116 ล้าน บาท รวม 2 โครงการ จะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ อย่างเป็นรูปธรรมและถือเป็นการใช้เงินงบประมาณอย่างไม่คุ้มค่า โดยเฉพาะ มาตรการ 100 เดียวเที่ยวทั่วไทยที่เริ่มโครงการในวันนี้ เป็นเพียงโครงการประชานิยมที่ไม่ได้สร้างกำลังซื้อให้ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งยังไม่มีผลต่อการกระตุ้น GDP เพราะการเพิ่ม GPD จากรายได้จากการท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ต้องทำโดยการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศ ไม่ใช่ด้วยการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ

ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีนักเศรษฐศาสตร์ทักท้วงเรื่องนี้ แล้ว โดยชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของโครงการชิมช็อปใช้ทั้ง 2 เฟส ที่ไม่สามารถสร้างรายได้ให้ภาคการท่องเที่ยวได้ตามเป้า เพราะคนส่วนใหญ่เลือกใช้สิทธิ์ซื้อของกินของใช้มากกว่าไปเที่ยว เม็ดเงิน 10,667ล้านบาท ที่รัฐบาลเทลงไปจึงไหลไปสู่ภาคการท่องเที่ยวเพียง 0.01 เปอร์เซ็นต์หรือ ราว 141 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งรัฐบาลเองก็ยอมรับว่ารายได้ในส่วนของการท่องเที่ยวนั่นต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ แต่รัฐบาลประยุทธ์ก็ไม่เข็ดและยังจะทำผิดซ้ำซากอีก ซึ่งสะท้อนว่ารัฐบาลประยุทธ์ขาดความระมัดระวังในการใช้เงินงบประมาณของประเทศ และลงทุนด้วยความเสี่ยง โดยไม่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจนเลยว่าผลตอบแทนจะคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ใช้ไปหรือไม่ เพราะรัฐบาลย่อมไม่รู้ล่วงหน้าว่าประชาชน 40,000 ราย ที่จะใช้สิทธิ์ในโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวดังกล่าว จะมีพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินอย่างไร แล้วรัฐบาลจะคำนวณผลตอบแทนที่จะกลับเข้ามาในระบบเศรษกิจได้อย่างแม่นยำได้อย่างไร

นอกจากนี้ ตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวก็มีสัญญาณไม่ดีเลยโดยเฉพาะดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในภาพรวม ก็ตกต่ำอย่างต่อเนื่องมาตลอด ภายหลังการรัฐประหาร โดยข้อมูลของกองดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในภาพรวม ประจำเดือน ต.ค 62 อยู่ที่ระดับ 46.3 ซึ่งต่ำกว่าระดับ 50 แปลว่าคนไทย ไม่กล้าใช้จ่าย เพราะมีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจไม่ดี แล้ว พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจไปพกเอาความมั่นใจจากไหนมา ทำไมถึงคิดจะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยวทั้ง ๆ ที่ คนไทยกำลังท้อแท้สิ้นหวัง มีคนตกงานเป็นแสน ๆ คน และเป้าหมายการส่งออกก็หดตัว ทั้งยัง มีข่าวคนฆ่าตัวตายหนีหนี้รายวัน นอกจากนี้ เพื่อความโปร่งใสของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว รัฐบาลต้องแจกแจงรายชื่อผู้ประกอบการที่ได้ส่วนแบ่งจากเงินอุดหนุน 116 ล้านบาทของรัฐบาล เพื่อให้สังคมเห็นว่าเม็ดเงินดังกล่าวกระจายไปอย่างทั่วถึง หรือกระจุกตัวอยู่ที่ผู้ประกอบการแค่บางกลุ่มกันแน่ รวมทั้ง ต้องเปิดเผยรายชื่อประชาชน 40,000 รายที่ได้สิทธิ์ในโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาลว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ หรือเป็นแค่นายหน้าที่เข้ามาจองสิทธิ์แทนผู้ประกอบการบางรายเพื่อหวังเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ในวงเงิน 116 ล้านบาทกันแน่ ทั้งนี้ แม้มูลค่าโครงการจะไม่สูง มีมูลค่าเพียงหลักร้อยล้านต้น ๆ แต่ก็เป็นเงินของแผ่นดิน ต่อให้เป็นการใช้งบประมาณเพียงบาทเดียว รัฐบาลก็ต้องใช้อย่างรอบคอบระมัดระวังและต้องใช้เงินด้วยความรับผิดชอบเพราะเป็นเงินของส่วนรวม นอกจากนี้ รัฐบาลประยุทธ์ควรหยุดทำให้ประชาชนเสพติดการแจกเงิน และควรฟังคำทักท้วงของทุกฝ่าย โดยเฉพาะ IMF ที่เตือนให้รัฐบาลระวังการใช้นโยบายประชานิยม แต่รัฐบาลควรกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการสร้างงาน สร้างอาชีพ และกระตุ้นการผลิต ซึ่งจะเป็นการสร้างกำลังซื้อที่ยั่งยืน ทั้งนี้ รัฐบาลประยุทธ์ควรดูตัวอย่างประเทศซึ่งมีรากฐานเศรษฐกิจที่แข่งแกร่ง เช่น ญี่ปุ่น ซึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการลดค่าครองชีพประชาชน เช่น ลดภาษีการบริโภคอาหารบางประเภท เพื่อให้คนญี่ปุ่นมีเงินเหลือในการบริโภค ในขณะที่ อินโดนีเซีย ซึ่งโดนสหรัฐตัด GSP เหมือนไทย เขาใช้วิธีกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมการส่งออกในอุตสาหกรรมที่ไม่ใช้น้ำมันและก๊าซ เพื่อเพิ่ม GDP ไม่มีชาติไหนเน้นการแจกเงิน ดังนั้น พล.อ. ประยุทธ์ควรเปลี่ยนแนวคิดในการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดิน และควรยึดถือคำสอนของพระราชาในอดีตที่สอนให้ประชาชนจับปลา ไม่ใช่เอาปลาไปแจกประชาชน.

เลขา สมช.เผยความรุนแรงภาคใต้ลดลง-เตรียมเสนอซ่อมกล้อง CCTV ทั่ว 3 จว.ชายแดนใต้

People unity news online : เมื่อวานนี้ (2 สิงหาคม 2560) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 อาคารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) ครั้งที่ 2/2560 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล พลเอก ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในส่วนกลาง และในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาลทั้ง 13 คน ในฐานะกรรมการ คปต. เข้าร่วมประชุมด้วย

รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต่อที่ประชุม คปต. ว่า การใช้เครื่องมือสนับสนุนการปฏิบัติงานของทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง เพื่อมุ่งป้องกัน และขจัดเงื่อนไขภัยคุกคามความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นต้องเร่งจัดระบบให้มีกรอบการจัดหา และการบำรุงรักษาให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับสถานการณ์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งเหล่าทัพและ กอ.รมน. เร่งจัดทำและปรับปรุงแผนงานที่เกี่ยวข้องให้สมบูรณ์ ทันสมัย เพื่อนำเสนอ คปต. พิจารณาต่อไป

ขณะที่การใช้กล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความก้าวหน้าไปเป็นลำดับ โดยมอบหมายให้ กอ.รมน. และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เป็นหน่วยงานรับผิดชอบจัดทำรายละเอียดของแผนการซ่อมบำรุงกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ฯ และพิจารณาจัดทำแผน/ โครงการที่สำคัญเร่งด่วน โดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนฯ เพื่อนำเสนอ คปต. พิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป

ส่วนแผนการเสริมสร้างกองกำลังประจำถิ่นและกำลังประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2560 – 2564 ซึ่ง กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า ดำเนินการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) เพื่อร่วมปฏิบัติงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครองอย่างมีประสิทธิภาพ นั้น รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ สมช. ไปพิจารณาทบทวนแผนงานโครงการที่หน่วยดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน เพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์สอดคล้องกับแผนดังกล่าว รวมทั้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบริเริ่มจัดทำแผนงานโครงการใหม่ๆภายใต้แผนงานฯดังกล่าว ทั้งนี้ งานเสริมสร้างกองกำลังประจำถิ่นและกำลังประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ รวมถึงการจัดกำลังทหารพรานเป็นกำลังรับผิดชอบหลักในพื้นที่เสริมสร้างความมั่นคงและพื้นที่เศรษฐกิจให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด ตลอดจนให้จัดกำลังตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม และดูแลพื้นที่ภายในให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พลเอก ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ประชุม คปต. ได้รับทราบเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะการประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในรอบ 9 เดือน ที่ผ่านมา สรุปว่า เหตุการณ์รุนแรงลดลงมาโดยลำดับ เมื่อเทียบกับห้วงเดียวกันในปีที่แล้ว รวมทั้ง ได้มีวาระติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการตามมติ คปต. หรือข้อสั่งการประธาน คปต. ได้แก่ การพัฒนาระบบประสานงานด้านการข่าว มาตรการเฝ้าระวังรักษาความปลอดภัยพื้นที่โครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” และการใช้ประโยชน์จากระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้เร่งรัดซ่อมบำรุงกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ชำรุดให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบกรอบแผนซ่อมบำรุงกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า เสนอ โดยแผนซ่อมบำรุงกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ดังกล่าวเป็นแผนซ่อมบำรุงที่จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อเฝ้าระวังป้องการก่อเหตุร้ายเชิงรุกก่อนที่จะมีการก่อเหตุขึ้น

อีกทั้ง ที่ประชุม คปต.ได้เห็นชอบร่างแผนการเสริมสร้างกองกำลังประจำถิ่นและกำลังประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2560 – 2564 ตามที่ กอ.รมน. เสนอ ซึ่งเป็นกรอบแผนดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจความมั่นคงของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักระดับหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจในมาตรการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น รวมทั้งได้เห็นชอบการขออนุมัติกรอบอัตรากำลังพนักงานมหาวิทยาลัยในพื้นที่เพิ่มเติมของสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ และ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา และเห็นชอบโครงการสานฝันกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนในพื้นที่มีโอกาสศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างยั่งยืน

People unity news online : post 3 สิงหาคม 2560 เวลา 22.30 น.

นายกฯ ไม่ตอบ นั่งหัวหน้ารวมไทยสร้างชาติ หรือไม่

People Unity News : 1 ธันวาคม 2565 นายกฯ ไม่ตอบเตรียมนั่งหัวหน้ารวมไทยสร้างชาติ หลังศาล รธน.วินิจฉัยร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. ไม่ขัด รธน.-ปรับ ครม.เรียบร้อย

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปฏิเสธตอบถึงความชัดเจนจะไปนั่งเป็นหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติเลยหรือไม่ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยร่าง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงวานนี้มีราชกิจจานุเบกษาประกาศเผยแพร่การปรับคณะรัฐมนตรี ก่อนที่จะเดินเข้าตึกสันติไมตรี เพื่อเป็นประธานมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ครั้งที่ 8 ประจำปีงบประมาณ 2564

Advertisement

รัฐบาลเปิดวอร์รูม เฝ้าระวังการใช้จ่ายเงิน พ.ร.ก.กู้เงินฯ

People Unity News : รัฐบาลเปิดวอร์รูม เฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณ พ.ร.ก.กู้เงินฯ ให้ประชาชนแจ้งเบาะแส รับร้องเรียน พร้อมตรวจสอบ

22 มิ.ย.2563 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 2 อาคารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการต่อต้านทุจริตแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

ที่ประชุมรับทราบมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง กลไกเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.63 ในโอกาสนี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) จึงได้รายงานผลการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณ พ.ร.ก.กู้เงินฯ 400,000 ล้านบาท โดยศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) พร้อมเสนอกลไก 4 ด้านในการดำเนินงาน ประกอบไปด้วย การเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแส การป้องกันและลดโอกาสการทุจริต การตรวจสอบข้อเท็จจริง และการดำเนินมาตรการทางปกครอง วินัย อาญา ทั้งนี้ ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสร้องเรียน รวมถึงตรวจสอบโครงการการใช้จ่าย พ.ร.ก.กู้เงินฯ ได้ทาง www.pacc.go.th หรือสายด่วน 1206 เพื่อสร้างความโปร่งใส และความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบการเพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมการอำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ โดยเพิ่มปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบูรณาการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รวมถึงที่ประชุมมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 4 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบ คณะอนุกรรมการสนับสนุนและติดตามการดำเนินตามยุทธศาสตร์ชาติ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ และ คณะอนุกรรมการเสริมสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วม เพื่อเน้นการส่งเสริมให้หน่วยงานรัฐเผยแพร่ข้อมูลการดำเนินงานใช้จ่ายงบประมาณแก่ประชาชน ลดการทุจริต สนับสนุนการทำงานร่วมกันของภาครัฐและภาคประชาสังคม

Advertising

“บิ๊กป้อม”เชียร์”บิ๊กแดง” เป็นนายกฯต่อจาก”บิ๊กตู่”

People Unity : “บิ๊กป้อม”เชียร์”บิ๊กแดง” เป็นนายกฯต่อจาก”บิ๊กตู่” ยันงบประมาณด้านความมั่นคงมีรายละเอียดชัดเจนอยู่แล้ว

วันที่ 19 ต.ค.2562 ที่รัฐสภา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีฝ่ายค้านอภิปรายโจมตีงบประมาณด้านความมั่นคง ที่ไม่ได้มีการลงรายละเอียด เนื่องจากเกรงใจพล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ว่า คงไม่ เพราะในงบประมาณก็มีรายละเอียดชัดเจนอยู่แล้ว ส่วนที่ยังไม่ชัดเจนนั้น เป็นเพราะบางอย่างยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเอาไปทำอะไร เป็นการกำหนดเอาไว้แบบกว้างๆ

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่พรรคฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตว่ามีการเพิ่มค่าตอบแทนให้ทหารชั้นนายพล ตำแหน่งพิเศษใช้งบประมาณสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ หรือ 7 พันล้านบาทต่อเดือนพล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ขอไปตรวจสอบก่อน แต่เท่าที่ดูไม่น่าจะมี เชื่อว่าคงไม่น่าจะมีการเพิ่มให้ทหารชั้นนายพล มีเพียงค่าปฎิบัติหน้าที่อย่างเดียว

เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่าการโหวตร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 จะเกิน 250 เสียง พล.อ.ประวิตร ย้อนถามสื่อมวลชนว่า “แล้วคุณว่าอย่างไร”

เมื่อถามว่านอกจากเสียงของรัฐบาลแล้วยังมีเสียงของพรรคฝ่ายค้านมาช่วยสนับสนุนหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวพร้อมอมยิ้มว่า “ยังไม่รู้”

เมื่อถามอีกว่าแต่ท่านยิ้ม พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ผมก็ยิ้มแบบนี้มาตลอดอยู่แล้ว”

ต่อข้อถามถามว่าก่อนหน้านี้ฝ่ายค้านโจมตีผบ.ทบ.ภายหลังบรรยายายพิเศษในหัวข้อ “แผ่นดินของเราในมุมมองด้านความมั่นคง” พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า จะให้ทำอย่างไรได้ ท่านก็ตั้งใจดี

ผู้สื่อข่าวถึงประเทศฝ่ายค้านคาดเดาว่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจาก พล.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมหรือ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ก็ไม่รู้สิ แต่ถ้าเป็นได้ก็ดี” ก่อนจะหัวเราะและเดินเข้าห้องประชุม

Verified by ExactMetrics