วันที่ 5 พฤษภาคม 2024

สธ.หนุนมรภ.สวนสุนันทา เปิดหลักสูตร”กัญชาเวชศาสตร์”แห่งแรกในไทย

People Unity News :  ปลัดสธ.เปิดการประชุมสัมมนาวิชาการ ครั้งที่ 2 เรื่อง “เทคโนโลยีการผลิตสารสกัดจากกัญชา” หนุนมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา เปิดหลักสูตร “กัญชาเวชศาสตร์”  หลักสูตรแรกในประเทศไทย

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาวิชาการ ครั้งที่ 2 เรื่อง “เทคโนโลยีการผลิตสารสกัดจากกัญชา” (Cannabis Extraction Technologies) ขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์กัญชาทางการแพทย์ ตั้งเป้าหมายบรรจุเข้าบัญชียาหลักและระบบหลักประกันสุขภาพ เพิ่มทางเลือกการรักษาของผู้ป่วย เข้าถึงยากัญชาอย่างปลอดภัย และสนับสนุนการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โดยมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา เปิดหลักสูตร “กัญชาเวชศาสตร์” หลักสูตรแรกในประเทศไทย

“จุติ” ระบุงบประมาณของกระทรวง พม. คืองบของชีวิตมนุษย์  สำคัญกว่างบสร้างตึก

People Unity : “จุติ” ย้ำจะไม่ชะลอโครงการ เพราะทุกชีวิตสำคัญเท่าเทียมกัน รอไม่ได้

เมื่อวานนี้ (5 ส.ค. 2562) เวลา 12.00 น. ที่ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือร่วมกับสำนักงบประมาณ โดยมี นายภูมิรักษ์ ชมแสง รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ สำหรับแนวทางการจัดสรรงบประมาณปี 2563 ในการขับเคลื่อนงานของกระทรวง พม. อย่างมีประสิทธิภาพ ว่า กระทรวง พม. มุ่งเน้นการจัดลำดับความสำคัญของงาน และผลลัพธ์ที่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายจะได้รับประโยชน์สูงสุด โดยคำนึงถึงความจำเป็นและความคุ้มค่าของโครงการต่างๆ ภายใต้การพัฒนาคนสู่ศตวรรษที่ 21

นายจุติ กล่าวย้ำถึงการบูรณาการจากกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อการประหยัดงบประมาณ ลดความซ้ำซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานสำหรับผู้รับบริการให้มากที่สุด โดยผู้บริหารของแต่ละหน่วยงานจำเป็นต้องมีการประชุมทำแผนร่วมกันภายในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป

ในส่วนของงบประมาณที่ไม่ได้รับจัดสรร ทางกระทรวง พม. ได้ชี้แจงต่อสำนักงบประมาณว่าเนื่องจากภารกิจที่มีมาก แต่งบประมาณที่ได้รับมีจำนวนจำกัด และโครงการใดที่มีการชะลอไม่ได้เป็นโครงการก่อสร้าง แต่เป็นชีวิตมนุษย์ความเป็นความตาย ความเจ็บป่วย และความสุขความทุกข์ ซึ่งไม่สามารถรอได้เหมือนตึกอาคาร โดยขอให้คำนึงถึงความเป็นมนุษย์มากกว่าวัตถุดิบหรือโครงสร้าง ในส่วนของกระทรวง พม. ยืนยันว่าทุกโครงการต้องมีความคุ้มค่าและมีความเร่งด่วนต่อสังคม เช่น การป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยเรียน จำเป็นต้องเร่งดำเนินการยับยั้ง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว จำเป็นต้องสร้างความมั่นคงในชีวิต ด้วยการสร้างอาชีพให้สามารถดูแลตนเองได้ และเปิดโอกาสให้กลับคืนสู่สังคมได้อย่างปกติสุข

“เรื่องของชีวิตมนุษย์ของทุกคนมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน แต่ความเร่งด่วนของปัญหาภายใต้ข้อจำกัดของงบประมาณ นับว่าเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งในการดำเนินงาน ดังนั้น กระทรวง พม. จะมีการใช้เงินกองทุนฯที่มีอยู่ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ถ้าไม่เพียงพอ ขอให้สำนักงบประมาณช่วยมาเติม และที่สำคัญ สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการแบ่งปัน คือ ใครที่มีมาก สบายแล้ว ก็ขอให้มาช่วยกันเฉลี่ยสุข เฉลี่ยทุกข์ ให้กับคนที่ยังไม่มี จะสามารถช่วยแก้ปัญหาได้อีกเยอะเช่นกัน” นายจุติ กล่าวในตอนท้าย

สังคม : “จุติ” ระบุงบประมาณของกระทรวง พม. คืองบของชีวิตมนุษย์  สำคัญกว่างบสร้างตึก

People Unity : post 6 สิงหาคม 2562 เวลา 12.50 น.

กดปุ่มโอนเงินอุดหนุนเด็กแล้ว 1,461 ล้านบาท

People Unity News : 11 มีนาคม 2566 “ทิพานัน” แจ้งข่าวดี “พล.อ.ประยุทธ์” กดปุ่มโอนเงินอุดหนุนเด็กแล้ว 1,461 ล้านบาท ให้ผู้ปกครอง 2.3 ล้านราย ย้ำมุ่งพัฒนาเด็กทุกช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิด ส่งเงินตรงถึงมือกลุ่มเปราะบาง ทันที

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มุ่งลดเหลื่อมล้ำในทุกมิติ ควบคู่ไปกับการลงทุนเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รองรับเด็กทุกช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยทำงาน โดยได้จ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จำนวน 600 บาท ให้แก่เด็กแรกเกิดในครัวเรือนยากจนหรือครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจน เพื่อให้เด็กได้รับการดูแลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีพัฒนาการเหมาะสมตามวัยตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ล่าสุดขอแจ้งข่าวดีพี่น้องประชาชน เงินอุดหนุนเด็กประจำเดือนมีนาคม 2566 เข้าบัญชีแล้วเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 สำหรับผู้ปกครองที่มีสิทธิรับเงินอุดหนุนรายเดิมและรายใหม่ที่ลงทะเบียนสมบูรณ์ในระบบก่อนวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2566 จำนวน 2,313,966 ราย เป็นจำนวนเงิน 1,461,718,200 บาท ทั้งนี้ผู้ปกครองที่ได้รับสิทธิสามารถตรวจสอบยอดเงินจากเลขที่บัญชีธนาคารหรือพร้อมเพย์ที่แจ้งรับเงินอุดหนุนไว้ ส่วนการตรวจสอบสถานะสิทธิเงินอุดหนุนบุตรนั้น สามารถตรวจสอบได้ 3 ช่องทาง คือ 1)เว็บไซต์กรมกิจการเด็กและเยาวชน https://csgcheck.dcy.go.th/public/eq/popSubsidy.do 2)แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” และ 3)แอปพลิเคชัน “เงินเด็ก”

สำหรับผู้ปกครองที่ต้องการลงทะเบียนรับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด ต้องมีคุณสมบัติดังนี้

1.เป็นบิดา มารดา หรือบุคคลอื่นที่เป็นผู้เลี้ยงดูเด็กแรกเกิด

2.เด็กแรกเกิดต้องอาศัยร่วมด้วย

3.เป็นครอบครัวที่มีรายได้น้อย เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาท/ คน /ปี

ส่วนเด็กแรกเกิดต้องมีอายุไม่เกิน 6 ปี มีสัญชาติไทย อาศัยอยู่กับผู้ปกครองในครอบครัวที่มีรายได้น้อยและไม่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของหน่วยงานรัฐ หรือเอกชนตามที่อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชนประกาศกำหนด หากเข้าเกณฑ์คุณสมบัติรับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด สามารถลงทะเบียนผ่านออนไลน์ได้ที่แอปพลิเคชั่นเงินเด็ก ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อลงทะเบียนได้ในพื้นที่ที่เด็กแรกเกิดและผู้ปกครองอาศัยอยู่จริง โดยกรุงเทพมหานคร ลงทะเบียนที่สํานักงานเขต เมืองพัทยา ลงทะเบียนที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา ส่วนภูมิภาค ลงทะเบียนที่องค์การบริหารส่วนตําบล หรือเทศบาล สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม โทร. 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ ศูนย์ปฏิบัติการโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด โทร.082-091-7245, 082-037-9767, 083-4313533, 065-731-3199(ในวันเวลาราชการ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30 – 17.00 น.)

“พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เพียงมุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้วยการให้เงินอุดหนุนเด็ก 600 บาท และยังช่วยเหลือค่าครองชีพกลุ่มเปราะบางทั้ง เบี้ยผู้สูงอายุ 600-1,000 บาท ตามเกณฑ์อายุ และ เบี้ยผู้พิการ 800-1,000 บาท ตามเกณฑ์อายุอีกด้วย ซึ่งเป็นการช่วยเหลือที่ส่งเงินตรงถึงมือประชาชน” น.ส.ทิพานัน กล่าว

Advertisement

รัฐบาลตั้งเป้าขยายรถเมล์ไฟฟ้า 1,850 คัน ใน 45 เส้นทาง

People Unity News : 18 กุมภาพันธ์ 2566 โฆษกรัฐบาลเผย รัฐบาลเร่งอำนวยความสะดวกให้ประชาชน พร้อมแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ล่าสุด ก.คมนาคม เปิดเส้นทางบริการรถเมล์ไฟฟ้าเพิ่ม 2 สายใน กทม. ตั้งเป้าในปี 2566 ขยายรถเมล์ไฟฟ้าเพิ่มอีก 1,850 คัน ใน 45 เส้นทาง

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบการเปิดให้บริการเดินรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าเพิ่ม 2 สาย ได้แก่ สาย 38 มหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตบางนา-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และสาย 48 มหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตบางนา-ท่าช้าง ของบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด ภายใต้แนวคิด “Thai Smile Change For The Better” เปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีกว่า อำนวยความสะดวกให้ประชาชนพร้อมแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในปี 2565 ภาครัฐและภาคเอกชนได้ร่วมมือจัดสรรให้บริการรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าแก่ประชาชนกว่า 1,250 คัน ใน 77 เส้นทาง เพิ่มความสะดวกให้กับประชาชน และในปี 2566 กระทรวงคมนาคมได้ตั้งเป้าหมายให้มีรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าให้บริการประชาชนเพิ่มขึ้นอีก 1,850 คัน เพื่อขยายผลบริการรถโดยสารสาธารณะที่มีคุณภาพ โดยภาคเอกชนมีการพัฒนาคุณภาพบริการรถโดยสารเอกชนจากรถที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปเป็นรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า ในอีก 45 เส้นทาง ตั้งเป้าภายในปี 2566 จะมีรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าให้บริการถึง 3,100 คัน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ผลักดันนโยบายเพื่อพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพ สะดวก สะอาด ประหยัด ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ได้ดำเนินการปฏิรูปเส้นทางเดินรถให้ประชาชนเดินทางได้สะดวก โดยเน้นการเชื่อมต่อกับทางเดินในรูปแบบอื่นอย่างไร้รอยต่อ รวมถึงปรับปรุง แก้ไข กฎระเบียบ เพื่อสนับสนุนให้เอกชนเริ่มใช้รถโดยสารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งสร้างความรู้กับภาคเอกชนในการพัฒนาปรับปรุงรูปแบบการให้บริการขนส่งสาธารณะที่ดี และขอความร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะที่ราคาประหยัด และช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนอีกด้วย นอกจากนี้ ทางบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด ได้จัดทำรูปแบบการชำระค่าโดยสารราคาพิเศษผ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (บัตร HOP CARD) เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

“นายกรัฐมนตรีชื่นชมและขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่มุ้งเน้นให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ พัฒนาบริการที่ดีแก่ประชาชน และให้ความสำคัญต่อนโยบายของรัฐบาลในการเพิ่มประสิทธิภาพรถโดยสารสาธารณะเพื่อให้บริการประชาชน และสนับสนุนให้ผู้คนที่เดินทางมาใช้บริการขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพ สะดวก สะอาด ปลอดภัย ในราคาที่ประหยัด และช่วยการแก้ปัญหามลพิษ PM 2.5 รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม และการจราจรของกรุงเทพฯ ” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

ศุลกากรเอาจริงส่งดำเนินคดีทุกรายลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์-เศษพลาสติก

People Unity : ศุลกากร เผยมาตรการเร่งด่วน แก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติก

4 กรกฎาคม 2562 : นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมศุลกากร แถลงข่าวเกี่ยวกับการกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาการลักลอบหรือหลีกเลี่ยงการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติกที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขอนามัย

นายกฤษฎา กล่าวว่า  จากเดิมจีนเป็นประเทศที่นำเข้าเศษขยะรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยเฉพาะเศษขยะอิเล็กทรอนิกส์ (พิกัด 84 และ 85 ที่มีการกำหนดรหัสสถิติเป็น 800 และ 899) และเศษพลาสติก (พิกัด 3915) ต่อมาจีนเริ่มมีนโยบายในการห้ามการนำเข้าเศษขยะหลายชนิด ประกอบกับผลการประชุมสนธิสัญญาบาร์เซล (Basel Convention) ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มีมติให้เพิ่มความเข้มงวดของชนิดขยะที่สามารถนำเข้าส่งออกระหว่างกันได้ รวมทั้งต้องได้รับความยินยอมในการนำเข้าจากประเทศปลายทางด้วย ส่งผลให้ประเทศอุตสาหกรรม เช่น ประเทศญี่ปุ่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา และประเทศในทวีปยุโรป เปลี่ยนจุดหมายการส่งออกเศษขยะมายังประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทน ซึ่งทำให้มีการนำเข้าเศษขยะมากเกินความจำเป็น ส่งผลให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มมีมาตรการตอบโต้การนำเข้าเศษขยะ โดยเฉพาะเศษพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปในทิศทางเดียวกัน คือ ห้ามหรือลดการนำเข้าเศษพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์

สำหรับกรณีขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยนั้น ผู้นำเข้าจะต้องได้รับอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมก่อนการนำเข้า แต่เนื่องจากคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ที่มี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2561 มีมติให้ระงับการอนุญาตนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์จากโรงงานที่ปฏิบัติไม่ถูกต้องตามอนุสัญญาบาเซล ทำให้เหลือผู้ได้รับอนุญาตนำเข้าเพียง 1 รายเท่านั้น นอกจากนี้ การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2562 มีมติเห็นชอบมาตรการห้ามนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้แล้วเข้ามาในประเทศ โดยได้อนุมัติร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดชนิดและแหล่งกำเนิดวัตถุดิบที่จะทำมาใช้ในโรงงาน พ.ศ. …. เพื่อกำหนดนิยามและข้อห้ามไม่ให้โรงงานใช้ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตของโรงงาน พร้อมมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการออกประกาศห้ามนำเข้าซึ่งสินค้าอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้แล้วที่จะนำมาถอดแยก เพื่อนำโลหะกลับมาใช้ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เป็นต้นมา มีการลดโควตาการนำเข้าของเศษพลาสติกจากหลายแสนตัน เหลือเพียง 70,000 ตัน เท่านั้น จากข้อมูลสถิติการนำเข้าของขยะอิเล็กทรอนิกส์ และการนำเข้าเศษพลาสติก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 จนถึงปัจจุบันของประเทศไทย พบว่ามีการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เริ่มมีแนวโน้มลดลงในปี พ.ศ. 2562 เนื่องจากมีการควบคุมการนำเข้าอย่างเข้มงวดจากภาครัฐ

อย่างไรก็ดี คาดว่าความต้องการขยะอิเล็กทรอนิกส์ภายในประเทศยังคงมีอยู่ และอาจมีการลักลอบหรือหลีกเลี่ยงการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์อยู่ ซึ่งจากข้อเท็จจริงดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติกเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขอนามัย และมีแนวโน้มในการนำเข้าโดยไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ จำเป็นต้องมีการกำหนดมาตรการแก้ไขอย่างเร่งด่วน กรมศุลกากรจึงมีมาตรการในการแก้ไขปัญหา ดังนี้

1.กรมศุลกากรได้มีการวิเคราะห์สถานการณ์เกี่ยวกับขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติก ดำเนินการติดตาม กำหนดเป้าหมายต้องสงสัยที่จะกระทำความผิดทางศุลกากร และเข้าตรวจสอบเพื่อติดตามและขยายผลอย่างต่อเนื่อง

2.สั่งการให้ กอง สำนักงาน และด่านศุลกากรทุกแห่ง เข้มงวดในการตรวจสอบของประเภทขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติก หรือของที่มีการสำแดงพิกัด หรือมีรูปลักษณ์ ใกล้เคียงกับขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติกเพื่อป้องกันการลักลอบหรือหลีกเลี่ยงทางศุลกากร

3.กรณีที่ตรวจพบการกระทำความผิดทางศุลกากรที่เกี่ยวกับของประเภทขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติก กรมศุลกากรจะดำเนินการส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป โดยไม่เปรียบเทียบงดการฟ้องร้องในชั้นศุลกากร

ทั้งนี้ ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ถึง 2562 กรมศุลกากรสามารถจับกุมคดีลักลอบและหลีกเลี่ยงนำเข้าเศษพลาสติกได้ทั้งสิ้น 103 คดี คิดเป็นมูลค่าทั้งหมด 17.5 ล้านบาท (น้ำหนักรวม 4,043 ตัน) โดยในปีงบประมาณ 2561 จับกุมได้ถึง 86 คดี คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 14.5 ล้านบาท (น้ำหนักรวม 3,664 ตัน) และในปีงบประมาณ 2562 (ตุลาคม 2561 – พฤษภาคม 2562) สามารถจับกุมได้แล้วถึง 17 คดี คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3 ล้านบาท (น้ำหนักรวม 379 ตัน)

สังคม : ศุลกากรเอาจริงส่งดำเนินคดีทุกรายลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์-เศษพลาสติก

People Unity : post 5 กรกฎาคม 2562 เวลา 10.20 น.

ชวนเติมแต้มบุญอิ่มใจ! โหวตสาวงาม พช.ชิงตำแหน่ง”ขวัญใจกาชาดปี 2562″

People Unity News : “อธิบดี พช.” ชวนเติมแต้มบุญ อิ่มใจ แต้มโหวตสาวงาม พช. ชิงตำแหน่ง”ขวัญใจกาชาด ปี 2562″

วันที่ 17 พฤศจิกายน 2562 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เปิดเผยว่า ตามที่สภากาชาดไทยจัดงานใหญ่ “งานกาชาด ประจำปี2562” ภายใต้แนวคิด “เย็นศิระเพราะพระบริบาล เกิดสายธารการให้ที่งดงาม” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชูปถัมภกสภากาชาดไทย และเพื่อหารายได้โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย ในการบรรเทาทุกข์ บำรุงสุข บำบัดโรค กำจัดภัย ระหว่างวันที่ 15- 24 พฤศจิกายน 2562 เวลา 10.30 – 22.30 น. ณ สวนลุมพินี กรุงเทพฯ

ภายในงานมีกิจกรรมการออกร้านกาชาด นิทรรศการของหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ที่สร้างความสนุกเพลิดเพลินให้กับผู้เที่ยวชมงาน และกิจกรรมการประกวดขวัญใจงานกาชาด โดยปีนี้กรมการพัฒนาชุมชนได้ร่วมส่งตัวแทนสาวงาม เข้าร่วมกิจกรรมประกวด จำนวน 3 ราย ได้แก่ 1.ว่าที่ร้อยตรีหญิงปราณี พรมวิชัย (ผู้เข้าประกวด หมายเลข17) 2.น.ส.กุลนิษฐ์ บัวหลวง (ผู้เข้าประกวด หมายเลข16) 3.น.ส.รวินท์อร สัมฤทธิ์กิจเจริญ (ผู้เข้าประกวด หมายเลข18)

อธิบดีกรมการพัฒนาชุมช กล่าวต่อว่า มาร่วมส่งแรงใจโหวตให้ตัวแทนสาวงามจากกรมการพัฒนาชุมชน ชิงตำแหน่ง”ขวัญใจกาชาด ปี2562″ ด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้ 1.ติดตั้งแอพพลิเคชั่น “งานกาชาด2562” ด้วยการดาวน์โหลดลงโทรศัพท์เคลื่อนที่ ใช้งานได้ทั้ง ในระบบ Android จาก Goggle Play และใน iOS จาก App Store หรือ คลิกลิงค์เพื่อดาวโหลดแอพพลิเคชั่น-> https://play.google.com/store/apps/details?id=com.ecartstudio.servcard.redcross

2. สมัครสมาชิก (Rigister) ด้วยการกรอกข้อมูล ส่วนบุคคล ให้ครบถ้วน 3.คลิกเลือก “รูปบัตรงานกาชาด” เพื่อเข้าสู่หน้าเมนูหลัก 4. คลิกเลือก คำว่า “โปรโมชั่น/เติมแต้ม” ที่รูปกล่องของขวัญเพื่อทำการเติมเงินเพิ่มแต้มเข้าสู่ระบบ 5. คลิกเลือก ปุ่มสีเขียว ที่มีตัวเลขจำนวนเงิน (บาท) ตามจำนวนที่ท่านต้องการเติมแต้มเข้าสู่ระบบ เช่น หากท่านต้องการเติม 10 แต้ม ให้ท่านคลิกที่ ปุ่มสีเขียว 10 บาท เมื่อกดแล้ว ระบบจะขึ้นกล่องข้อความถามยืนยัน “คุณต้องการเติมแต้ม จำนวน 10 แต้ม” เป็นเงินทั้งสิ้น 10 บาท โดยให้คลิก ที่คำว่า “ตกลง” เพื่อเข้าสู่ระบบการชำระเงิน

6. การชำระเงินเพื่อเติมแต้ม เมื่อท่านเข้าสู่หน้าระบบการชำระเงิน สามารถเลือกวิธีชำระเงิน ได้ 2 วิธี ได้แก่ 6.1 การชำระเงินด้วยพร้อมเพย์คิวอาร์โค้ด ให้ท่านเลือกที่ข้อความ “บันทึกรูปภาพ”คิวอาร์โค้ดเพื่อนำไปใช้ชำระเงินในระบบ อีแบงค์กิ้ง ของท่าน 6.2 การชำระเงินด้วย RABBIT LINE PAY ให้ท่านเลือกกดปุ่มสีเขียว “การชำระเงินด้วย RABBIT LINE PAY”

7.คลิกเลือก “โหวตขวัญใจงานกาชาด” เพื่อเข้าสู่หน้าเมนู “ร่วมโหวตขวัญใจงานกาชาด 2562” 8.คลิกเลือก หน้าที่ 3 ท่านจะพบ ตัวแทนผู้เข้าประกวดสาวงามพช. ทั้ง 3 คน (หมายเลข 16 /หมายเลข 17/ หมายเลข18) 9.คลิกเลือกรูปผู้เข้าประกวด เพื่อโหวตให้คะแนน ระบบจะตัดแต้มของท่านเพื่อทำการโหวตให้สาวงาม
โดยร่วมโหวตได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 23 พ.ย. 2562 เวลา 20.00 น.

นายสุทธิพงษ์ กล่าวเชิญชวนว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน และภาคีเครือข่ายทุกท่าน ตลอดจนชาวพัฒนาชุมชนทั่วประเทศ ร่วมทำบุญกับสภากาชาดไทย ร่วมโหวตคะแนนให้กับตัวแทนกรมการพัฒนาชุมชน ชิงตำแหน่ง ”ขวัญใจกาชาด 2562” 10 แต้ม 10 บาททำบุญกับกาชาด เติมแต้มได้บุญ สมทบทุนสภากาชาดไทย และอย่าลืมมาแวะชมร้านกาชาดกรมการพัฒนาชุมชน บริเวณโซน B 3.16 ประตู 1 วันนี้ จนถึงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 เวลา 10.30 -22.00 น. ณ สวนลุมพินี โดยไม่เก็บค่าบัตรผ่านประตู

“พิพัฒน์”พัฒนาสำนักวัดเขาอ้อพัทลุง เป็นแหล่งท่องเที่ยวว่าน-สมุนไพรใต้

People Unity News : รมว.พิพัฒน์ ลงพื้นที่สำนักวัดเขาอ้อ จ.พัทลุง เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและศูนย์กลางการศึกษาเชิงอนุรักษ์ว่านและพืชสมุนไพรในพื้นที่ภาคใต้

วันที่ 31 ตุลาคม​ 2562​ นายพิพัฒน์​ รัช​กิจ​ประการ​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวงการ​ท่องเที่ยว​และ​กีฬา​ เป็น​ประธาน​เปิดการประชุมหารือเรื่อง กำหนดยุทธศาสตร์ สำนักวัดเขาอ้อ จังหวัดพัทลุง เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและศูนย์กลางการศึกษาเชิงอนุรักษ์ว่านและพืชสมุนไพรในพื้นที่ภาคใต้ โดยมีนายคณนาถ หมื่นหนู โฆษกกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา คณะ​ผู้บริหาร​ฯ​ นางสาวศรอนงค์ สงสมพันธ์ นายอำเภอควนขนุน นายสุกษม อามระดิษ เลขานุการสมาคมแพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย นายเอกระพีร์ สุขกุลพิพัฒน์ รองประธานชมรมอนุรักษ์ว่านและพืชสมุนไพรวัดเขาอ้อ นายอนั้นต์ มณีประสิทธิ์ กำนันตำบลมะกอกเหนือและประธานกรรมการวัดเขาอ้อ ให้การต้อนรับ นำชม และรายงานความคืบหน้าของโครงการ ณ วัดเขาอ้อ ตำบลมะกอกเหนือ อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง

โดยที่ประชุม​ได้จัดทำข้อเสนอต่อรัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวงการ​ท่องเที่ยว​และ​กีฬา​ ดังนี้

1.โครงการมหกรรมการท่องเที่ยวเมือง​สมุนไพรไสยเวทย์ 560 ปี สำนักเขาอ้อ ส่งเสริมสนับสนุนจุดเด่นวัดเขาอ้อ ด้านอนุรักษ์พืชสมุนไพร การใช้สมุนไพรเพื่อไสยเวช เพิ่มช่องทางการเพิ่มมูลค่าสมุนไพร รวมถึงเรื่องเล่าตำนานความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นจุดขายวัดเขาอ้อ ที่มีคุณค่า และสร้างกระแสนิยมให้กับนักท่องเที่ยว

2.โครงการพัฒนาโครงสร้างสำคัญบริเวณวัดเขาอ้อ สนับสนุนการพัฒนาปรับภูมิทัศน์ โครงสร้างสำคัญบริเวณวัดเขาอ้อ ตามความเรียกร้องของนักท่องเที่ยว เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวก มองเห็นภูมิทัศน์ที่ชัดเจน เช่น โครงการก่อสร้างบันไดคอนกรีตขึ้นจุดชมวิวยอดเขาอ้อ โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณรอบวัดเขาอ้อ โครงการก่อสร้างอาคารบริการนักท่องเที่ยว จำหน่ายผลิต​ภัณฑ์ชุมชนและบริการสมุนไพรเพื่อสุขภาพ พร้อมอุปกรณ์แปรรูปสมุนไพร โครงการคลินิกแพทย์แผนไทยวัดเขาอ้อ โครงการศูนย์เรียนรู้แปลงสมุนไพรพร้อมดูแล

3.โครงการพัทลุงเมืองสมุนไพร ส่งเสริมจังหวัดพัทลุงและวัดเขาอ้อให้มีจุดเด่นในการอนุรักษ์พืชสมุนไพร​ และการใช้สมุนไพรเพื่อบำบัดรักษา

รมว.พิพัฒน์ กล่าวว่า วันนี้มาลงพื้นที่ ณ วัดเขาอ้อ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง เพื่อประชุมหารือการส่งเสริมมหกรรมการท่องเที่ยวเมืองสมุนไพรไสยเวทย์ 910 ปี สำนักเขาอ้อ ซึ่งเป็นจุดเด่นของวัด อาทิ ด้านการอนุรักษ์พืชสมุนไพร การใช้สมุนไพร นับเป็นการเพิ่มช่องทางการเพิ่มมูลค่าสมุนไพร รวมถึงสามารถเล่าขานตำนานความศักดิ์สิทธิ์ของวัดให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้รับทราบ ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะประสานความร่วมมือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตร เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันต่อไป

 

ก.สาธารณสุขพบสถิติคนไทยป่วยจิตเวชเกือบ 3 ล้านคน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 เมษายน 2567 สาธารณสุขพบสถิติคนไทยป่วยจิตเวชเกือบ 3 ล้านคน จิตแพทย์ชี้สถานการณ์สุขภาพจิตเชื่อมโยงกับเหตุรุนแรง ขณะสถิติพบไทยมีผู้ป่วยจิตเวชที่เข้ารับบริการเกือบ 3 ล้านคน คาดในจำนวนนี้ 1 ใน 5 เกิดจากปัจจัยใช้ยาเสพติด

นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีมีเหตุการณ์คนคลั่งจากอาการทางจิตเวช และมีการใช้ยาเสพติด ก่อเหตุรุนแรงถึงขั้นทำร้ายผู้อื่นและคนในครอบครัวจนเสียชีวิต ระบุว่า อาการผู้ป่วยที่มีลักษณะอาการคลั่งนั้นมักมีอาการรับรู้ความเป็นจริงที่ผิดเพี้ยนไป เช่น หูแว่ว เห็นภาพหลอน หวาดระแวง

ลักษณะอาการทางจิตเวชแบบนี้หากเกิดจากโรคทางจิตเวชทั่วไปมักเป็นโรคทางจิตเวชที่เป็นมานานแล้ว และไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นในกลุ่มที่มีอาการรุนแรง แต่บ่อยครั้งพบว่าปัจจัยมาจากเรื่องยาเสพติดที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสมอง ทำให้เกิดการรับรู้ที่ผิดเพี้ยนไป พอไม่รับรู้ความเป็นจริงก็จะแสดงออกพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง พฤติกรรมแปลกๆ นำไปสู่การก่อความรุนแรงได้

ส่วนการดูแลผู้ป่วยจิตเวช ความสำคัญคือต้องได้รับการรักษาสม่ำเสมอ เพราะหลายกรณีผู้ป่วยจิตเวชไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังป่วย ดังนั้น ครอบครัวหรือคนที่อยู่ใกล้ชิดต้องสังเกตและช่วยเหลือ พาเข้าสู่การรักษาต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้มีโอกาสก่อความรุนแรงจากอาการที่หนักขึ้น โดยผู้ป่วยจิตเวชที่มาจากการเสพยาเสพติดมีอยู่สองกรณีคือ กรณีใช้ยาครั้งแรกและเกิดผลกระทบทางจิตทันที กับอีกกรณีคือเป็นกลุ่มที่ใช้ยาเสพติดมาเป็นระยะเวลานาน พอวันหนึ่งเมื่อหยุดใช้สมองอาจจะไม่กลับไปอยู่ในสภาพได้เดิมก็จะมีอาการทางจิตได้ ซึ่งการดูแลรักษาต้องดูเป็นรายกรณีไป

ขณะที่ข้อมูลผู้ป่วยจิตเวชทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในจากระบบคลังข้อมูลการแพทย์และสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าอยู่ที่ประมาณเกือบ 3 ล้านคน ซึ่งเชื่อว่าในจำนวนนี้ประมาณ 1 ใน 4 ถึง 1 ใน 5 ที่มาจากเรื่องยาเสพติด โดยอาการคลั่งนั้นบางครั้งมีโอกาสเกิดจากโรคทางอารมณ์ได้ เช่น ไบโพลาร์ หรือโรคจิตเภท ก็มีโอกาสคลั่งได้ แต่มีโอกาสเกิดน้อย นอกจากจะมีอาการที่รุนแรงมาก และไม่ได้รับการรักษาต่อเนื่อง ก็มีโอกาสเกิดได้ แต่ว่าน้อยกว่าเรื่องยาเสพติดเยอะ เพราะยาเสพติดแม้ใช้ครั้งหรือสองครั้งก็อาจเกิดอาการคลั่งได้

ส่วนการรักษาผู้ป่วยจิตเวชนั้น หากเป็นกรณีที่รับการรักษา และแพทย์ประเมินว่าสามารถรักษาเป็นผู้ป่วยนอกได้ เท่ากับว่าสามารถกลับมาอยู่ที่บ้าน อยู่ในชุมชนได้ ซึ่งจะต้องมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือ

โฆษกกรมสุขภาพจิต ย้ำว่า อยากให้ทุกความรุนแรงที่เกิดขึ้นย่อมเคยมีการบ่งบอกสัญญาณมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงจากคำพูด ความคิด พฤติกรรมเล็กน้อย เช่น ความรุนแรงต่อสิ่งของ ต่อสัตว์ ก่อนที่จะไปก่อความรุนแรงต่อคนรอบข้างหรือกับสังคม ต้องใส่ใจ ซึ่งหลายครั้งที่พบว่ามีการส่งสัญญาณ แต่คนรอบข้างและสังคมไม่ได้สนใจหรือไม่อยากเข้าไปยุ่ง แต่พระราชบัญญัติสุขภาพจิต ปี 51 ระบุไว้ว่า หากเจอบุคคลที่สงสัยว่าจะป่วยทางจิตเวช และสมควรที่ต้องได้รับการรักษา ซึ่งกฎหมายให้อำนาจหน้าที่กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถใช้กฎหมายดังกล่าวในการพาตัวคนนั้นเข้าสู่กระบวนการรักษาได้

Advertisement

“นพ.ชลน่าน” ประกาศ 12 นโยบายสุขภาพเริ่มทำทันที

People Unity News : 16 กันยายน 2566 “นพ.ชลน่าน” ประกาศ 12 นโยบายสุขภาพเริ่มทำทันที แต่เห็นผลเชิงประจักษ์ 100 วัน การรักษามะเร็งครบวงจร และบริการวัคซีนมะเร็งปากมดลูก

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงผลการหารือประชุมนัดพิเศษกับผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขขับเคลื่อน 12 นโยบาย อาทิ โรงพยาบาลกรุงเทพมหานคร 50 เขต 50 โรงพยาบาล, การดูแลสุขภาพจิตและบำบัดฟื้นฟูยาเสพติด, การรักษามะเร็งแบบครบวงจร, การสร้างขวัญและกำลังใจให้กับบุคลากร, สาธารณสุขชายแดนรวมถึงการพัฒนาโรงพยาบาลชุมชนแม่ข่ายและดิจิทัลสุขภาพ รวมถึงส่งเสริมการมีบุตร ซึ่งในส่วนของนโยบายที่เป็นควิกวินนั้น สามารถทำให้เห็นผลได้ภายใน 100 วัน คือมะเร็งครบวงจร และการให้วัคซีนมะเร็งปากมดลูก ซึ่งทั้งหมดนี้ยังคงจะครอบคลุม และเป็นส่วนหนึ่งในนโยบาย 30 บาทพลัส ส่วนพื้นที่ไหนที่จะระบุให้มีการนำร่องใช้บัตรประชาชนใบเดียวในการรักษาระบบหลักประกันสุขภาพนั้นยังคงอยู่ในระหว่างการหารือ

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ส่วนเรื่องของการส่งเสริมการมีบุตรนั้นเนื่องจากตระหนักว่าขณะนี้อัตราวัยแรงงานลดลงและอัตราเกิดก็ลดลง เหลือ 500,000 คน ในปี 2565 ซึ่งหากจะให้มีอัตราแรงงานที่เหมาะสมและเกิดความสมดุลจะต้องมีอัตราเกิดต่อปีเพิ่มขึ้น ประมาณ 2.1% หรือมีอัตราเกิดประมาณ 1.5 ล้านคนต่อปี

Advertisement

2 กระทรวงจับมือสำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยผ่านทางแอพ “คนไทยมีบ้าน : Home for All”

People unity news online : 16 พฤษภาคม 2560 กระทรวงการคลัง โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) สำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยผ่านแอพพลิเคชั่น “คนไทยมีบ้าน : Home for All” รวมทั้งเว็บไซต์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นได้แล้วตั้งแต่วันนี้ (16 พฤษภาคม 2560) เป็นต้นไป หวังนำผลสำรวจไปจัดทำฐานข้อมูลในการวางแผนพัฒนาปริมาณที่อยู่อาศัยใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน พร้อมเตรียมแคมเปญสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยพิเศษมอบให้ผู้ที่ร่วมตอบแบบสำรวจ

พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการและบริการของรัฐ โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และผู้ด้อยโอกาส เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญประการหนึ่งในการสร้างความมั่นคงในชีวิตให้กับประชาชนให้มีที่อยู่อาศัย มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และเพื่อเป็นการนำนโยบายมาสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะหน่วยงานหลักในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยของประเทศ จึงได้จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) เพื่อใช้เป็นกรอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะยาวโดยบูรณาการความร่วมมือในการดำเนินงานกับภาคีทุกภาคส่วน ภายใต้วิสัยทัศน์ “คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่วและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2579 : Smart Housing” ซึ่งการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกระทรวงการคลัง โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ กับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  โดยการเคหะแห่งชาติ และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) จัดทำ “โครงการแอพพลิเคชั่นคนไทยมีบ้าน : Home for All” เพื่อสำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น “คนไทยมีบ้าน : Home for All” ที่ App Store (ระบบปฏิบัติการ iOS) และ Play Store (ระบบปฏิบัติการ Android) เพื่อกรอกแบบสำรวจผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ท หรือกรอกแบบสำรวจผ่านระบบอินเตอร์เน็ทบนคอมพิวเตอร์ได้ที่เว็บไซต์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ www.ghbank.co.th และเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ www.reic.or.th ขณะเดียวกัน การเคหะแห่งชาติ และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ซึ่งมีพันธกิจเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือและส่งเสริมให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัย จะนำผลสำรวจที่ได้ไปจัดทำเป็นฐานข้อมูลในการศึกษาวิเคราะห์ วางแผนในการพัฒนาปริมาณที่อยู่อาศัยใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในแต่ละกลุ่ม มีความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ช่วยให้คนไทยได้มีบ้านอย่างทั่วถึงต่อไป

ด้าน นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงานดำเนินการสำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างเป็นรูปธรรมจากประชาชนทั่วประเทศผ่านแอพพลิเคชั่น “คนไทยมีบ้าน : Home for All” ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นความมุ่งมั่น และความพยายามของรัฐบาลในการจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนทุกกลุ่มในสังคมอย่างเท่าเทียม โดย ธอส.เป็นผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นรวมทั้งดำเนินการด้านเทคนิคเพื่อให้สามารถใช้แอพพลิเคชั่นสำรวจและจัดเก็บข้อมูล จากนั้นศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์จะสรุปภาพรวมรายงานต่อกระทรวงการคลัง และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นรายสัปดาห์ และรายเดือน พร้อมนำมาวิเคราะห์เชื่อมโยงกับข้อมูลด้านอุปทานที่มีอยู่ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เพื่อนำผลเข้าเสนอต่อคณะกรรมการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน และนำไปจัดทำเป็นข้อเสนอในการจัดหาอุปทานที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนทั้งในปัจจุบันและอนาคตต่อผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ซึ่งถือเป็นการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาตามแนวทางประชารัฐได้อย่างสมบูรณ์อีกทางหนึ่งด้วย

ขณะที่ นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กล่าวว่า เมื่อประชาชนดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น “คนไทยมีบ้าน : Home for All” แล้วจะสามารถเข้าไปตอบแบบสำรวจผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ทได้ทันที ซึ่งผู้ที่ตอบแบบสำรวจจะต้องกรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ-นามสกุล อายุ อาชีพ รายได้ต่อเดือน วงเงินสินเชื่อที่ต้องการ ความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อ วัตถุประสงค์ในการขอสินเชื่อ ช่วงเวลา(ปี)ที่ต้องการมีบ้าน รวมถึงทำเลที่อยู่อาศัยที่ต้องการ และเมื่อกรอกข้อมูลครบถ้วนจะได้รับรหัส หรือ QR Code สำหรับนำมาติดต่อกับธนาคารเพื่อขอรับผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่เหมาะสม สิทธิพิเศษเพื่อการมีบ้านในอนาคต หรือคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน ธอส. ยังสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการวางแผนทางการเงินและพัฒนานวัตกรรมด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้นต่อไป

ทั้งนี้ สามารถดาวน์โหลดและกรอกแบบสำรวจในแอพพลิเคชั่น “คนไทยมีบ้าน : Home for All” รวมถึงที่เว็บไซต์  www.ghbank.co.th และ www.reic.or.th ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ (16 พฤษภาคม 2560) เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์

People unity news online : post 16 พฤษภาคม 2560 เวลา 21.23 น.

Verified by ExactMetrics