วันที่ 5 พฤษภาคม 2024

“สมศักดิ์” ชี้ ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต ต่าง “สมรสเท่าเทียม” แค่ ”หมั้น-นามสกุล”

People Unity News : 15 มิถุนายน 2565 “สมศักดิ์” ชี้ ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต ต่างกับ “สมรสเท่าเทียม” แค่ 2 ประเด็น “หมั้น-นามสกุล” ยัน “ยุติธรรม” ไม่ได้ชี้นำตรงข้าม แต่หวั่นพิจารณาไม่ทัน แนะ อย่าดึงดัน จนกลุ่มหลากหลายทางเพศ ไม่ได้อะไรเลย

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ชี้แจงสรุปถึงร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต ที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า ขอขอบคุณสมาชิก ที่ได้อภิปรายอย่างหลากหลายว่า จากที่ตนนั่งฟัง นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.พรรคก้าวไกล ได้เห็นว่าเป็นนักต่อสู้ และตนก็มีความรู้สึกดีด้วยมาโดยตลอด แต่การทำงานภาคราชการ ถึงแม้ว่า ในบางส่วนเป็นสิ่งที่ดี และเห็นด้วย แต่ก็ต้องรับฟังผลกระทบว่า มีมากน้อยแค่ไหน

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า จากที่ตนนั่งฟัง ในประเด็นหลักต่างกันเพียง 2 ประเด็น คือ เรื่องหมั้นและการใช้นามสกุล ที่อาจจะเร็วไป เพราะจะมีญาติพี่น้องเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมาก แต่เชื่อว่าในอนาคตเป็นไปได้แน่นอน ซึ่งกระทรวงยุติธรรม ไม่ได้ชี้นำในทางที่เป็นตรงข้าม แต่จากเหตุผลที่ คณะกรรมการกฤษฎีกา ให้เหตุผล มีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ โดยถ้าเราดึงดันไปทางนั้น กลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศ ที่รอคอยอยู่นั้น ก็จะไม่ได้อะไรเลย ซึ่งตนเข้าใจสภาฯ ในการออกฎหมายแต่ละฉบับ ต้องใช้เวลานาน โดยผ่านวาระ 1 จบได้ภายใน 1 ปีก็เป็นเรื่องที่เก่งมากแล้ว

“หากไม่ให้ความร่วมมือกัน บุคคลหลากหลายทางเพศ ก็จะไม่ได้อะไร ผมคิดว่า สภาจะมีมติรับร่างนี้ ซึ่งจะแสดงถึงความจริงใจ ในการทำกฎหมายให้ประชาชนได้ประโยชน์ ดังนั้น ผมขอให้ติดตามการประชุมกรรมาธิการฯ จะใช้เวลานานเท่าไหร่ รวมถึงส่วนที่ยังไม่ได้ ก็ไปแปรญัตติได้เพราะเราตั้งใจมอบเป็นของขวัญ ซึ่งสภาฯมีเวลา 9 เดือน ถ้ามีความตั้งใจ สภาฯก็ต้องทำให้เรียบร้อย” รมว.ยุติธรรม กล่าว

Advertisement

เช็คด่วน!! ครม.ไฟเขียวอัตราค่าจ้างฝีมือ 3 ระดับ 17 สาขา ถ้านายจ้างไม่จ่ายโทษทั้งจำทั้งปรับ

People Unity News : 31 มกราคม 66 ครม.เห็นชอบอัตราค่าจ้างฝีมือ 3 ระดับ รวม 17 สาขา มีผล 90 วันหลังประกาศราชกิจจาฯ ถ้านายจ้างไม่จ่ายตามที่กำหนด มีโทษจำคุก ปรับเป็นแสน หรือทั้งจำทั้งปรับ

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ 3 สาขาอาชีพ รวม 17 สาขา ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 21 ครั้งที่ 11/2565 โดยกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ 17 สาขา ดังนี้ กลุ่มสาขาอาชีพช่างอุตสาหการ ประกอบด้วย 1.สาขาช่างระบบส่งถ่ายกำลัง ค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ระดับ 1) 495 บาทต่อวัน 2.สาขาช่างระบบปั๊มและวาล์ว 515 บาทต่อวัน 3.สาขาช่างประกอบโครงสร้างเหล็ก 500 บาทต่อวัน 4.สาขาช่างปรับ 500 บาทต่อวัน 5.สาขาผู้ควบคุมระบบงานเชื่อมมิก – แม็ก ด้วยหุ่นยนต์ 520 บาทต่อวัน และ 6.สาขาช่างเมคคาทรอนิกส์และหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ระดับ 1) 545 บาทต่อวัน (ระดับ 2) 635 บาทต่อวัน (ระดับ 3) 715 บาทต่อวัน

“กลุ่มสาขาอาชีพช่างเครื่องกล ประกอบด้วย 1.สาขาช่างซ่อมรถแทรกเตอร์การเกษตร ค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ระดับ 1) 465 บาทต่อวัน (ระดับ 2) 535 บาทต่อวัน (ระดับ 3) 620 บาทต่อวัน 2.สาขาพนักงานควบคุมเครื่องจักรรถตักหน้าขุดหลัง 585 บาทต่อวัน 3.สาขาพนักงานควบคุมเครื่องจักรรถขุด 570 บาทต่อวัน 4.สาขาพนักงานควบคุมเครื่องจักรรถลากจูง 555 บาทต่อวัน (โดยปรับขึ้นจากเดิม 550 บาทต่อวัน) และ 5.สาขาพนักงานควบคุมเครื่องจักรรถตัก 520 บาทต่อวัน” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

น.ส.รัชดา กล่าวว่า กลุ่มสาขาอาชีพภาคบริการ ประกอบด้วย 1.สาขานักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม ไทยสัปปายะ (โภชนบำบัด) ค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ระดับ 1) 500 บาทต่อวัน (ระดับ 2) 600 บาทต่อวัน 2.สาขานักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม ไทยสัปปายะ (วารีบำบัด) (ระดับ 1) 500 บาทต่อวัน (ระดับ 2) 600 บาทต่อวัน 3.สาขานักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม ไทยสัปปายะ (สุคนธบำบัด) (ระดับ 1) 500 บาทต่อวัน (ระดับ 2) 600 บาทต่อวัน 4.สาขาพนักงานผสมเครื่องดื่ม  (ระดับ 1) 475 บาทต่อวัน (ระดับ 2) 525 บาทต่อวัน (ระดับ 3) 600 บาทต่อวัน 5.สาขาการเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย 530 บาทต่อวัน และ 6.สาขาช่างเครื่องช่วยคนพิการ (ระดับ 1) 520 บาทต่อวัน (ระดับ 2) 600 บาทต่อวัน ทั้งนี้ อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือจะมีผลใช้บังคับ 90 วัน หลังจากที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

“เมื่อประกาศกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำหรืออัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือมีผลใช้บังคับแล้ว ห้ามนายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างน้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำหรืออัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือที่กำหนด หากนายจ้างฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

ครม. ขยายกลุ่มเป้าหมายให้ทุนนักศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย

People Unity News : ครม. ขยายกลุ่มเป้าหมายให้ทุนนักศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย

23 ม.ค. 65 ที่ประชุม ครม. เมื่อ 18 ม.ค. 65 เห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการจัดส่งนักศึกษาชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย (ระยะที่ 10) ปี 2562 – 2566 โดยเปลี่ยนชื่อเป็น “โครงการจัดส่งนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย”

และปรับเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายผู้ได้รับทุนอุดหนุนการศึกษา “จากนักศึกษาชาวไทยมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นกลุ่มผู้ได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดในจังหวัดชายแดนภาคใต้” เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาให้ครอบคลุมกลุ่มผู้ได้ผลกระทบมากขึ้น

โดยจัดสรรทุนการศึกษาระดับปริญญาตรี จำนวน 44 ทุน

▶️ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ จำนวน 27 ทุน (ทุนละ 40,000 บาท/ปี)

▶️ สาขาวิชาสังคมศาสตร์ จำนวน 17 ทุน (ทุนละ 30,000 บาท/ปี)

ซึ่งจะได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐ 9 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม.เกษตรศาสตร์ ม.ขอนแก่น ม.เชียงใหม่ ม.ธรรมศาสตร์ ม.มหิดล ม.ลัยศิลปากร ม.ศรีนครินทรวิโรฒ ม.สงขลานครินทร์ และเพิ่มเติมอีก 3 แห่ง เมื่อปี 2564 ได้แก่ ม.เทคโนโลยีสุรนารี ม.นเรศวร และ ม.แม่ฟ้าหลวง

เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว ผู้รับทุนจะต้องกลับไปปฏิบัติราชการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี เพื่อมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่และแก้ไขปัญหาด้านสังคมจิตวิทยา การศึกษา รวมถึงปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย

Advertising

นายกฯขอบคุณรัฐบาลสหรัฐฯสนับสนุนการทวงคืนโบราณวัตถุกลับสู่ไทยสำเร็จ

People unity news online : นายกฯชื่นชมทุกฝ่ายติดตามโบราณวัตถุกลับสู่ไทยสำเร็จ พร้อมขอบคุณการสนับสนุนของรัฐบาลสหรัฐฯ แนะบันทึกประวัติศาสตร์-เผยแพร่ความรู้แก่สาธารณชน

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมการทำงานของกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยที่ได้ร่วมกันติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย โดยล่าสุดสหรัฐฯได้ส่งคืนโบราณวัตถุยุคก่อนประวัติศาสตร์ 12 ชิ้น จากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง จ.อุดรธานี ให้แก่รัฐบาลไทย ซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ในความครอบครองของสตรีอเมริกันรายหนึ่ง

นายกรัฐมนตรียังขอบคุณไปยังรัฐบาลสหรัฐฯที่เข้าใจและให้ความร่วมมือ พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกในการส่งโบราณวัตถุกลับมายังประเทศไทย รวมถึงเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ และเจ้าหน้าที่ทุกคนที่มีบทบาทสนับสนุนให้การดำเนินการสำเร็จลงด้วยดี

“นายกฯเน้นย้ำว่า การส่งคืนโบราณวัตถุครั้งนี้ถือเป็นประวัติศาสตร์สำคัญที่ควรบันทึกไว้ และเผยแพร่องค์ความรู้แก่ประชาชนโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนให้ได้รับทราบถึงความเป็นมาและขั้นตอนการดำเนินงานต่างๆ รวมทั้งควรนำโบราณวัตถุเหล่านี้ไปจัดแสดง เพื่อให้คนไทยได้เห็นถึงคุณค่าและภาคภูมิใจในมรดกทางวัฒนธรรมอันมีค่าของประเทศไทย”

ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีฝากให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่กำลังเตรียมงานหรือดำเนินการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศชิ้นอื่นๆอยู่ในขณะนี้ เช่น ทับหลังปราสาทหนองหงส์ จ.บุรีรัมย์ ทับหลังปราสาทเขาโล้น จ.สระแก้ว พระโพธิสัตว์ไมเตรยะสำริด พระพุทธรูปยืนปางแสดงธรรมสำริด เศียรพระพุทธรูปหินทราย นาคปักหินทราย แผ่นทองคำดุนลวดลาย เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดถูกจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของสหรัฐฯ โดยขอให้ภารกิจที่ทุกคนทุ่มเทอย่างเต็มที่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้โดยเร็ว

People unity news online : post 6 สิงหาคม 2561 เวลา 08.50 น.

ครม. ไฟเขียว ลดเงินสมทบประกันสังคม ม.40 อีก 6 เดือน เริ่ม 1 ก.พ. – 31 ก.ค. 65

People Unity News : ครม. ไฟเขียว ลดเงินสมทบประกันสังคม ม.40 อีก 6 เดือน เริ่ม 1 ก.พ. – 31 ก.ค. 65

2 ก.พ. 65 ที่ประชุม ครม. (1 ก.พ. 65) เห็นชอบขยายเวลาลดอัตราส่งเงินสมทบของผู้ประกันตน ม. 40 ที่ต้องจ่ายเข้ากองทุนประกันสังคม เป็นเวลา 6 เดือน เริ่มตั้งแต่ 1 ก.พ. – 31 ก.ค. 65  เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระบาด และเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน โดยมีอัตราส่งเงินสมทบภายหลังปรับลด 3 ทางเลือก

ทางเลือกที่ 1 ลดอัตราเงินสมทบเหลือ 42 บาทต่อเดือน จากเดิม 70 บาทต่อเดือน โดยได้ประโยชน์ทดแทนใน 3 กรณี คือ ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ และเสียชีวิต

ทางเลือกที่ 2 ลดอัตราเงินสมทบเหลือ 60 บาทต่อเดือน จากเดิม 100 บาทต่อเดือน โดยได้ประโยชน์ทดแทนใน 4 กรณี คือ ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต และชราภาพ

ทางเลือกที่ 3 ลดอัตราเงินสมทบเหลือ 180 บาทต่อเดือน จากเดิม 300 บาทต่อเดือน โดยได้ประโยชน์ทดแทนใน 5 กรณี คือ ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต ชราภาพ และสงเคราะห์บุตร

Advertising

“พิพัฒน์”เป็นสักขีพยาน”ททท.-อพท.” เซ็น MOU ส่งเสริมท่องเที่ยวยั่งยืน

People Unity News : รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้เกียรติเป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ระหว่าง ททท. กับ อพท.

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2562 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้เกียรติเป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) เรื่องการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. และองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยังยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) โดยนายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการ อพท. ณ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

มุ่งมั่นประเด็นสำคัญ ได้แก่ ยกระดับความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว (Safe) ส่งเสริมความสะอาดในแหล่งท่องเที่ยว (Clean) ส่งเสริมความเป็นธรรมในการท่องเที่ยว(Fair) และส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและรักษ์สิ่งแวดล้อม (Sustainability) ส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน (Community Based Tourism) เพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชนดังนั้น ททท. และ อพท.จึงเล็งเห็นถึงประโยชน์ของการเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการเตรียมความพร้อมให้กับสินค้าการท่องเที่ยวและพัฒนาสินค้าท่องเที่ยวชุมชนให้มีศักยภาพอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการท่องเที่ยว

โดยชุมชนเพื่อให้เกิดความเข้าใจในมิติการท่องเที่ยวมากขึ้น ในการนี้ ททท. และ อพท.จึงได้บูรณาการดำเนินงานส่งเสริมการตลาดการท่องเที่ยวอย่างเหมาะสม โดยมีระยะเวลาผูกพันตามข้อตกลง เป็นเวลา 2 ปี ซึ่งมีขอบเขตความร่วมมือในด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านส่งเสริมองค์ความรู้และพัฒนาศักยภาพให้ชุมชน โดยร่วมมือส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพชุมชนด้านการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน ผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ อาทิ Block chain เพื่อการท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มความสามารถด้านการแข่งขันและพัฒนาสินค้าสินค้าท่องเที่ยวชุมชนให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ด้านการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ททท. ส่งเสริมชุมชนท่องเที่ยวพร้อมขายในโครงการทัศนศึกษาของบริษัทนำเที่ยวหรือสมาคมท่องเที่ยวทั้งในกลุ่มตลาดในประเทศและต่างประเทศ (Agent Familiarization Trip) ตามความต้องการของกลุ่มตลาด อาทิ Consumer Fair, Travel Fair และ อพท. ส่งเสริมชุมชนท่องเที่ยวพร้อมขายและบริษัทนำเที่ยวเพื่อสังคม เข้าร่วมงานที่ ททท.จัดขึ้นทั้งในและต่างประเทศด้านการประชาสัมพันธ์ ร่วมส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ชุมชนท่องเที่ยวผ่านสื่อทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ส่งเสริมชุมชนท่องเที่ยวพร้อมขายให้อยู่ในโครงการทัศนศึกษาของสื่อมวลชน (Media Familiarization Trip)ที่ตรงตามความต้องการของตลาด

ทั้งนี้ ในปี 2563 ททท. จะดำเนินแผนงานสร้างสรรค์ พัฒนา สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการท่องเที่ยวที่สะท้อนวิถีไทยผ่านภูมิปัญญา วิถีชีวิต กิจกรรม ประเพณี ผลิตภัณฑ์ โดยสร้างสรรค์เรื่องราวให้ประสบการณ์ที่มีคุณคำของสินค้าและบริการท่องเที่ยวในพื้นที่ 5 แห่งได้แก่ ทะเลน้อย จ.พัทลุง, ชุมชนตะเคียนเตี้ย จ.ชลบุรี,ชุมชนบนแหลม จ.สุพรรณบุรี ชุมชนบ้านสนวนนอก จ.บรีรัมย์ และ ชุมชนบ้านสันลมจอย จ.เชียงใหม่ ททท. คาดว่าการดำเนินงานแบบบูรณาการ่วมกันนี้จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ กระจายรายได้สู่ชุมชน ตลอดจนขับเคลื่อนอุสาหกรมท่องเที่ยวไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

สธ.เดินหน้าจัดตั้ง”สถาบันกัญชาทางการแพทย์”ทำหน้าที่วิจัย

People Unity : สธ.เดินหน้าจัดตั้ง “สถาบันกัญชาทางการแพทย์” ทำหน้าที่สนับสนุน ส่งเสริม วิจัย พัฒนา การใช้กัญชาทางการแพทย์ในโรงพยาบาล

วันที่ 28 ต.ค.2562 ที่สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธเนศ ดุสิตสุนทรกุล ว่าที่ผู้อำนวยการสถาบันกัญชาทางการแพทย์ ได้เปิดเผยว่า หลังจากสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดระดมความคิดวางแผนจัดตั้ง “สถาบันกัญชาทางการแพทย์” ขึ้น เพื่อความยั่งยืนกัญชาทางการแพทย์ไว้ในกระทรวงสาธารณสุข การจัดตั้ง สถาบันกัญชาทางการแพทย์ ทำหน้าที่สนับสนุน ส่งเสริม วิจัย พัฒนา การใช้กัญชาทางการแพทย์ในโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงการใช้กัญชามากขึ้น เพราะปัจจุบันกัญชาได้รับความสนใจจากพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมากและสนใจปลูก แต่ไม่เข้าใจข้อกฎหมาย รวมไปถึงการขออนุญาติในการปลูก

ที่สำคัญที่สุดยังมีประชาชนไม่เข้าใจข้อกฏหมายพากันปลูกและถูกเจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปจับกุม ประชาชนบางส่วนบางกลุ่มที่ยังไม่ขึ้นมามาบนดินยังแอบปลูกกัญชา ปัญหาเหล่านี้สำนักปลัดกระทรวงเป็นห่วงพี่น้องประชาชน โดยนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีคำสั่งถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้ทำงานเร่งด่วนเพราะท่านห่วงพี่น้องประชาชนได้ใช้กัญชาอย่างถูกต้อง

วันนี้จึงได้มีการประชุมครั้งแรก เพื่อตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนให้พี่น้องประชาชนเข้าใจเรื่องของกัญชา มีองค์ความรู้เรื่องกัญชา ที่มีหลายหน่วยงานเข้ามาเป็นกรรมการและองค์กรภาคเอกชนมาระดมความคิด เพื่อก่อตั้งสถาบันกัญชาทางการแพทย์ โดยมีนายแพทย์สำเริง แหยงกระโทก กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.ภก.อนันต์ชัย อัศวเมฆิน คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลและเป็น ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย ม.รังสิต นายสุกษม อามระดิษ เลขานุการสมาคมแพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย และตัวแทนจากสภาเกษตรกรแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม ซึ่งการระดมคนทำงานเพื่อให้เกิดสถาบันกัญชาทางการแพทย์ ทางคณะทำงานต้องการให้ประสบผลสำเร็จอย่างรวดเร็ว เพราะพี่น้องประชาชนรอเรื่องนี้อยู่

หวยรูปแบบใหม่! บอร์ดกองสลากเห็นชอบ “สลากรูปภาพ 12 นักษัตร” ระบุเล่นเพื่อเพลิดเพลิน

People Unity : บอร์ดกองสลาก มีมติเห็นชอบกับรูปแบบสลากรูปภาพ 12 นักษัตร หรือ picture 12 ตามที่คณะทำงานเสนอ

วันนี้ (31 กรกฎาคม 2562) เวลาประมาณ 15.00 น. ที่ห้องประชุมอเนกประสงค์ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล นายพชร อนันตศิลป์ ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมด้วยนายธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลในฐานะประธานคณะทำงานศึกษาผลิตภัณฑ์และเกมสลากรูปแบบอื่นๆ และพันตำรวจเอกบุญส่ง จันทรีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล แถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า จากการที่คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลได้มีมติแต่งตั้งคณะทำงานศึกษาผลิตภัณฑ์และเกมสลากรูปแบบอื่นๆ โดยให้มีหน้าที่สรุปผลการศึกษาผลิตภัณฑ์ใหม่ตามพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2562 จัดทำแผนปฏิบัติ(Action Plan) แนวทางการสื่อสาร และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง โดยให้นำเสนอภายใน 30 วัน แล้วนำเสนอคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลพิจารณานั้น

คณะทำงานได้รวบรวมข้อมูลสลากกินแบ่งและรูปแบบเกมสลากจากประเทศต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน มีอยู่ 5 รูปแบบ ได้แก่ (1) สลากแบบดั้งเดิม หรือสลากใบ (2) สลากแบบตัวเลข (3) สลากขูด (4) สลาก LOTTO และ (5) สลากกีฬา มาศึกษาและวิเคราะห์ โดยหลักการคือต้องเป็นไปตาม พระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2562 และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักคือ เป็นทางเลือกเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ต้องการเสี่ยงโชคถูกกฎหมายนอกเหนือจากการซื้อสลากกินแบ่ง ในขณะเดียวกันต้องสามารถบรรเทาปัญหาสลากเกินราคา และมีผลข้างเคียงในการสกัดการเล่นหวยใต้ดิน

คณะทำงานฯ ได้ศึกษาและวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์รูปแบบต่างๆ พบว่า รูปแบบของผลิตภัณฑ์ที่มีความเหมาะสม มี 2 ประเภท คือสลากแบบตัวเลข และสลาก Lotto ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นเกมต่างๆ ดังนี้

(1) สลากตัวเลข 3 หลัก (Number3)

(2) สลากตัวเลข 4 หลัก (Number4)

(3) สลากรูปภาพ 12 นักษัตร (Picture12)

(4) สลาก LOTTO 6/43

ผลิตภัณฑ์ทั้ง 4 แบบ มีราคาจำหน่ายรายการละ 50 บาท เป็นการออกรางวัลใหม่ ไม่อิงผลรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นการจำหน่ายผ่านออนไลน์หรือแอพพลิเคชั่น หรือระบบใดๆที่สามารถลงทะเบียนแสดงตัวตนของผู้ซื้อได้เท่านั้น ในขณะเดียวกันก็มีวิธีการเล่น และข้อดี-ข้อด้อยต่างกันออกไป โดยสลากตัวเลข 3 หลัก (Number3) ซื้อ 1 รายการมีโอกาสถูกรางวัล 2 แบบ คือ 3 ตัวตรง และ 3 ตัวสลับหลัก ในส่วนของสลากตัวเลข 4 หลัก (Number4) มีโอกาสถูกรางวัลเช่นเดียวกับสลากตัวเลข 3 หลัก ข้อดีของสลากแบบตัวเลข 3 หลัก หรือแบบตัวเลข 4 หลัก คือ สามารถเลือกหมายเลข หรือเลือกภาพตามความต้องการได้ ตอบโจทย์ปัญหาของสลากใบ ในขณะที่มีข้อด้อยคือ เป็นที่รู้จักแพร่หลาย เรียนรู้ง่าย คนไทยคุ้นเคย อาจสุ่มเสี่ยงให้ถูกมองว่าเป็นการมอมเมาได้ สำหรับสลากแบบรูปภาพ 12 นักษัตร (Picture12) มี 4 หลัก วิธีเล่นให้เลือก 1 ภาพต่อ 1 หลัก จาก 12 ภาพนักษัตร มีรางวัลตรงและโต๊ด ข้อดีของสลากประเภทนี้คือ สามารถเลือกเลขได้ตามความต้องการ ไม่มีปัญหาเรื่องตัวเลขที่ไม่ได้รับความนิยม หรือเลขเน่า อีกทั้งเป็นเกมใหม่ ที่เน้นการเล่นเพื่อความเพลิดเพลิน ไม่อิงผลการออกรางวัลสลากแบบเดิม ในขณะที่ข้อด้อยคือไม่มีรางวัลแจ๊คพอต อาจไม่จูงใจให้มีผู้ซื้อมากพอ ในส่วนของเกมสลาก Lotto 6/43 ราคาจำหน่ายรายการละ 50 บาท เป็นการเลือกชุดตัวเลข 1 ชุด มี 6 ตัวเลือกจาก ตัวเลขทั้งหมด 43 ตัว ผู้ซื้อสามารถเลือกเลขได้ตามความต้องการเป็นเกมสากลที่มีจำหน่ายทั่วโลก แต่ก็ยังมีข้อด้อยคือเป็นเกมที่มีความซับซ้อน ไม่เคยมีมาก่อน แม้จะเป็นเกมที่มีความเป็นสากล และได้รับความนิยมในภูมิภาคต่างๆทั่วโลก

คณะทำงานฯ ได้มีความเห็นเสนอคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลว่ารูปแบบสลากรูปภาพ 12 นักษัตรหรือ picture 12 มีความเหมาะสมกับสภาพสังคมไทยและสอดคล้องกับพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ.2517 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สำหรับการออกรางวัลสลากรูปภาพนี้ จะออกรางวัลในวันที่ 1 และ 16 แต่เป็นการออกรางวัลต่างหาก ไม่ใช้ผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล และมีการจำกัดอายุและความสามารถในการซื้อของผู้ซื้อด้วยการคัดกรองผ่านระบบแอพลิเคชั่นที่จะนำมาใช้ในการจำหน่าย ทั้งนี้ จะคำนึงถึงผู้บริโภคเป็นสำคัญ แต่ยังคงให้ความเป็นธรรมและเปิดโอกาสให้ผู้ค้ารายย่อยและผู้พิการเข้าถึงการจำหน่ายสลากในรูปแบบใหม่ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ควรนำประเภทและรูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ที่นำเสนอ หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในประเด็นเกี่ยวกับการดำเนินการทั้งหมด พร้อมทั้งจัดทำร่างประกาศ/ร่างกฎกระทรวง ให้มีความสอดคล้องและเป็นไปตามพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จากนั้น ให้รับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และศึกษาผลกระทบทางสังคม ตามมาตรา 13(7/1) เพื่อนำมาประกอบการพิจารณา ก่อนนำเสนอต่อคณะกรรมการสลากฯพิจารณาอีกครั้ง หากได้รับความเห็นชอบ จะได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป

จากการประชุมในวันนี้ คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล มีมติเห็นชอบกับรูปแบบสลากรูปภาพ 12 นักษัตรหรือ picture 12 ตามที่คณะทำงานเสนอ และเพื่อให้เกิดความรอบคอบและเป็นไปตามกฎหมายจึงให้สำนักงานฯหารือกฤษฎีกา พร้อมจัดทำร่างประกาศ/ร่างกฎกระทรวง แล้วนำเสนอคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลพิจารณา หลังจากนั้น ให้นำข้อมูลดังกล่าวไปดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและศึกษาผลกระทบทางสังคม เสนอคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลให้ความเห็นชอบอีกครั้ง ก่อนจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป

สังคม : หวยรูปแบบใหม่! บอร์ดกองสลากเคาะเห็นชอบ “สลากรูปภาพ 12 นักษัตร” ระบุเน้นเล่นเพื่อเพลิดเพลิน

People Unity : post 31 กรกฎาคม 2562 เวลา 22.30 น.

ศุลกากรเอาจริงส่งดำเนินคดีทุกรายลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์-เศษพลาสติก

People Unity : ศุลกากร เผยมาตรการเร่งด่วน แก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติก

4 กรกฎาคม 2562 : นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมศุลกากร แถลงข่าวเกี่ยวกับการกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาการลักลอบหรือหลีกเลี่ยงการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติกที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขอนามัย

นายกฤษฎา กล่าวว่า  จากเดิมจีนเป็นประเทศที่นำเข้าเศษขยะรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยเฉพาะเศษขยะอิเล็กทรอนิกส์ (พิกัด 84 และ 85 ที่มีการกำหนดรหัสสถิติเป็น 800 และ 899) และเศษพลาสติก (พิกัด 3915) ต่อมาจีนเริ่มมีนโยบายในการห้ามการนำเข้าเศษขยะหลายชนิด ประกอบกับผลการประชุมสนธิสัญญาบาร์เซล (Basel Convention) ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มีมติให้เพิ่มความเข้มงวดของชนิดขยะที่สามารถนำเข้าส่งออกระหว่างกันได้ รวมทั้งต้องได้รับความยินยอมในการนำเข้าจากประเทศปลายทางด้วย ส่งผลให้ประเทศอุตสาหกรรม เช่น ประเทศญี่ปุ่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา และประเทศในทวีปยุโรป เปลี่ยนจุดหมายการส่งออกเศษขยะมายังประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทน ซึ่งทำให้มีการนำเข้าเศษขยะมากเกินความจำเป็น ส่งผลให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มมีมาตรการตอบโต้การนำเข้าเศษขยะ โดยเฉพาะเศษพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปในทิศทางเดียวกัน คือ ห้ามหรือลดการนำเข้าเศษพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์

สำหรับกรณีขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยนั้น ผู้นำเข้าจะต้องได้รับอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมก่อนการนำเข้า แต่เนื่องจากคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ที่มี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2561 มีมติให้ระงับการอนุญาตนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์จากโรงงานที่ปฏิบัติไม่ถูกต้องตามอนุสัญญาบาเซล ทำให้เหลือผู้ได้รับอนุญาตนำเข้าเพียง 1 รายเท่านั้น นอกจากนี้ การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2562 มีมติเห็นชอบมาตรการห้ามนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้แล้วเข้ามาในประเทศ โดยได้อนุมัติร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดชนิดและแหล่งกำเนิดวัตถุดิบที่จะทำมาใช้ในโรงงาน พ.ศ. …. เพื่อกำหนดนิยามและข้อห้ามไม่ให้โรงงานใช้ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตของโรงงาน พร้อมมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการออกประกาศห้ามนำเข้าซึ่งสินค้าอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้แล้วที่จะนำมาถอดแยก เพื่อนำโลหะกลับมาใช้ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เป็นต้นมา มีการลดโควตาการนำเข้าของเศษพลาสติกจากหลายแสนตัน เหลือเพียง 70,000 ตัน เท่านั้น จากข้อมูลสถิติการนำเข้าของขยะอิเล็กทรอนิกส์ และการนำเข้าเศษพลาสติก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 จนถึงปัจจุบันของประเทศไทย พบว่ามีการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เริ่มมีแนวโน้มลดลงในปี พ.ศ. 2562 เนื่องจากมีการควบคุมการนำเข้าอย่างเข้มงวดจากภาครัฐ

อย่างไรก็ดี คาดว่าความต้องการขยะอิเล็กทรอนิกส์ภายในประเทศยังคงมีอยู่ และอาจมีการลักลอบหรือหลีกเลี่ยงการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์อยู่ ซึ่งจากข้อเท็จจริงดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติกเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขอนามัย และมีแนวโน้มในการนำเข้าโดยไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ จำเป็นต้องมีการกำหนดมาตรการแก้ไขอย่างเร่งด่วน กรมศุลกากรจึงมีมาตรการในการแก้ไขปัญหา ดังนี้

1.กรมศุลกากรได้มีการวิเคราะห์สถานการณ์เกี่ยวกับขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติก ดำเนินการติดตาม กำหนดเป้าหมายต้องสงสัยที่จะกระทำความผิดทางศุลกากร และเข้าตรวจสอบเพื่อติดตามและขยายผลอย่างต่อเนื่อง

2.สั่งการให้ กอง สำนักงาน และด่านศุลกากรทุกแห่ง เข้มงวดในการตรวจสอบของประเภทขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติก หรือของที่มีการสำแดงพิกัด หรือมีรูปลักษณ์ ใกล้เคียงกับขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติกเพื่อป้องกันการลักลอบหรือหลีกเลี่ยงทางศุลกากร

3.กรณีที่ตรวจพบการกระทำความผิดทางศุลกากรที่เกี่ยวกับของประเภทขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติก กรมศุลกากรจะดำเนินการส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป โดยไม่เปรียบเทียบงดการฟ้องร้องในชั้นศุลกากร

ทั้งนี้ ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ถึง 2562 กรมศุลกากรสามารถจับกุมคดีลักลอบและหลีกเลี่ยงนำเข้าเศษพลาสติกได้ทั้งสิ้น 103 คดี คิดเป็นมูลค่าทั้งหมด 17.5 ล้านบาท (น้ำหนักรวม 4,043 ตัน) โดยในปีงบประมาณ 2561 จับกุมได้ถึง 86 คดี คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 14.5 ล้านบาท (น้ำหนักรวม 3,664 ตัน) และในปีงบประมาณ 2562 (ตุลาคม 2561 – พฤษภาคม 2562) สามารถจับกุมได้แล้วถึง 17 คดี คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3 ล้านบาท (น้ำหนักรวม 379 ตัน)

สังคม : ศุลกากรเอาจริงส่งดำเนินคดีทุกรายลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์-เศษพลาสติก

People Unity : post 5 กรกฎาคม 2562 เวลา 10.20 น.

บอร์ด สปสช. หนุน “อนุทิน”หลังคุย”หมอเลี๊ยบ” เร่งปฏิรูป “ห้องฉุกเฉิน” ลดแออัด

People Unity News : “อนุทิน” คุย “หมอเลี๊ยบ” ยกระดับห้องฉุกเฉินตั้งเป้าลดความแออัด จัดลำดับการรักษาอย่างถูกต้อง ขณะที่ บอร์ด สปสช. หนุน “แนวทางปฏิรูป” แยกจัดบริการนอกเวลาราชการ นำร่อง ปี 2563 ยกคุณภาพบริการลดความขัดแย้งวินิจฉัย

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้าในโครงการยกระดับห้องฉุกเฉิน 21 โรงพยาบาลว่า ได้เชิญนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาหารือเรื่องนี้ พร้อมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง แนวคิดคือสร้างระบบคัดกรองผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพ ห้องฉุกเฉิน ต้องใช้รักษาผู้ป่วยฉุกเฉินจริงๆ แต่ก็เข้าใจว่าใครป่วย ก็ต้องการรักษาด่วนทั้งนั้น ซึ่งมันต้องหาทางออก ต้องปรับปรุงระบบคัดกรอง ได้ฟังข้อเสนอจากหลายฝ่าย เมื่อฟังแล้วเป็นประโยชน์กับประชาชน ลดความแออัดในโรงพยาบาลและห้องฉุกเฉิน ย่อมเป็นเรื่องที่น่าสนับสนุน ส่วนเรื่องงบประมาณอย่าเป็นห่วง เพราะถ้ามีประโยชน์ เรื่องนี้ ไม่ใช่ปัญหา

จากนั้น นายอนุทินได้กล่าวถึงโครงการโรงพยาบาลอาหารปลอดภัยว่า เป็นโครงการที่มีอยู่แล้ว เพราะอาหารโรงพยาบาล ต้องสะอาด ถูกหลักอนามัย เพียงแต่ช่วงนี้ หยิบมาพูดถึงอีกครั้ง ซึ่งมีนโยบายให้ทุกโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ซื้อวัตถุดิบจากเกษตรกรไทย สร้างเม็ดเงินให้คนไทยด้วยกัน แต่ต้องระมัดระวังเรื่องสารเคมีตกค้างด้วย

ประเด็นเรื่องการยกระดับห้องฉุกเฉินนั้น สืบเนื่องมากจากที่นายอนุทินเคยโพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัวระบุว่า กำลังหารือแนวทางพัฒนาห้องฉุกเฉินโรงพยาบาล สร้างมาตรการ และมาตรฐานบริการประชาชน จะเริ่มต้นวันที่ 1 ธันวาคม นี้ ปรับปรุงศักยภาพ 21 โรงพยาบาล ก่อน ตามงบประมาณที่มี แล้วรองบประมาณปี 2563 ออกมา เพื่อจะพัฒนาให้ได้มากที่สุด

ผู้สื่อข่าวเปิดเผยว่า สำหรับโรงพยาบาล 21 แห่งข้างต้น ที่จะมีการปรับปรุงห้องฉุกเฉิน ประกอบด้วย เขต 1 รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ รพ.ลำปาง เขต 2 รพ.พุทธชินราช จ.พิษณุโลก เขต 3 รพ.สวรรค์ประชารักษ์ เขต 4 รพ.สระบุรี รพ.พระนครศรีอยุธยา รพ.ปทุมธานี เขต 5รพ.นครปฐม เขต 6 รพ.ชลบุรี รพ.ระยอง เขต 7 รพ.ขอนแก่น เขต 8 รพ.อุดรธานี เขต 9 รพ.มหาราชนคราราชสีมา รพ.บุรีรัมย์ เขต 10 รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี เขต 11 รพ.สุราษฎร์ธานี รพ.วชิระภูเก็ต เขต 12 รพ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และรพ.สังกัดกรมการแพทย์ 3 แห่ง คือรพ.ราชวิถี รพ.นพรัตนราชธานี และรพ.เลิดสิน

อย่างไรก็ตามที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นายอนุทิน ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) โดยที่ประชุมได้เห็นชอบข้อเสนอการใช้สิทธิบริการสาธารณสุข ตามนโยบาย “บริการเจ็บป่วยฉุกเฉินคุณภาพ” นำเสนอโดย นพ.การุณย์ คุณติรานนท์ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

นายอนุทิน กล่าวว่า ตามข้อเสนอ “แนวทางการปฏิรูปห้องฉุกเฉิน” โดยกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2562 มีหลักการเพื่อลดความแออัดในห้องฉุกเฉินเพื่อให้ผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินวิกฤตและเร่งด่วน ได้รับบริการมีคุณภาพมากขึ้น แยกการบริการเจ็บป่วยไม่รุนแรงและเจ็บป่วยทั่วไปออก และเพื่อให้ผู้ป่วยที่มีอาการที่ไม่ถึงเกณฑ์เจ็บป่วยฉุกเฉินเร่งด่วนมีสิทธิเข้ารับบริการนอกเวลาราชการ โดยมอบให้ สปสช. ร่วมพัฒนาระบบในการสนับสนุนค่าใช้จ่ายการบริการผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรง (สีเขียว) และผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการ

ที่ผ่านมา สปสช.ได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการปฏิรูปห้องฉุกเฉิน โดยมีการออกประกาศตามข้อ 10 วรรคสอง ของข้อบังคับมาตรา 7 กำหนดเพิ่ม “เหตุสมควรอื่นเพื่อลดความแออัดในห้องฉุกเฉินและเพิ่มคุณภาพในการใช้บริการนอกเวลาราชการ” เพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรง (สีเขียว) และผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและได้รับบริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน กำหนดเงื่อนไขจัดบริการนอกเวลาราชการเฉพาะหน่วยบริการเฉพาะที่มีศักยภาพตามแนวทางบริการฉุกเฉินคุณภาพ โดยแยกจัดบริการเป็น 2 ห้องชัดเจน ตามมาตรฐาน คือ ห้องฉุกเฉินคุณภาพเพื่อดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตและเจ็บป่วยฉุกเฉินเร่งด่วน (สีแดงและสีเหลือง) และห้องฉุกเฉินไม่รุนแรงเพื่อดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรง (สีเขียว) และที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลา พร้อมแยกระบบข้อมูลบริการนอกเวลาราชการ

นอกจากนี้ได้เพิ่มค่าบริการสาธารณสุขนอกเวลาราชการในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรงและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการเป็นรายการบริการใหม่ โดยกำหนดอัตราชดเชยค่าบริการ 150 บาทต่อครั้ง ซึ่งในปีงบประมาณ 2563 (10 เดือน) คาดว่าจะมีการรับบริการประมาณ 1.05 ล้านครั้ง หรือร้อยละ 10 ของการรับบริการผู้ป่วยนอก ใช้งบประมาณไม่เกิน 157.50 ล้านบาท โดยจะเป็นการใช้เงินกองทุนรายการรายได้สูง (ต่ำ) กว่าค่าใช้จ่ายสะสมในการดำเนินการ

ด้าน นพ.การุณย์ กล่าวว่า การจ่ายชดเชยค่าบริการสาธารณสุขนอกเวลาราชการในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรงและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการนี้ จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป โดยในปีงบประมาณ 2563 มีโรงพยาบาลร่วมนำร่องจับ 34 แห่ง ซึ่งผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรงและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

“สปสช.มีนโยบายสนับสนุนการปฏิรูปห้องฉุกเฉินตามข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับบริการที่มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อให้ห้องฉุกเฉินเป็นพื้นที่ดูแลเฉพาะรับผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตและผู้ป่วยเจ็บป่วยฉุกเฉินเร่งด่วนเท่านั้น ขณะเดียวกันเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรงและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากช่วยลดความแออัดในห้องฉุกเฉินแล้วยังลดความขัดแย้งระหว่างบุคลากรทางการแพทย์กับผู้ป่วยและญาติในความเห็นที่ไม่ตรงกันกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน” นพ.การุณย์ กล่าว

Verified by ExactMetrics