วันที่ 30 ตุลาคม 2025

“จิราพร” เผยประชาชนพอใจงานปราบบุหรี่ไฟฟ้ามากที่สุด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 6 เมษายน 2568 “จิราพร” เผยประชาชนโหวตปราบบุหรี่ไฟฟ้า เป็นผลงานที่พอใจมากที่สุดประจำเดือน มี.ค.68 ย้ำรัฐบาลเดินหน้าปราบต่อ พร้อมเปิดแจ้งเบาะแสผ่านแอปทางรัฐ

นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากผลการสำรวจความพึงพอใจของประชาชนต่อนโยบายรัฐบาล ประจำเดือนมีนาคม 2568 ของ Line Today ซึ่งมีการสำรวจระหว่างวันที่ 1-24 มีนาคม 2568 พบว่า ประชาชนกว่า 26.69% โหวตให้การปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า เป็นอันดับที่ 1 รองลงมาคือ มาตรการลดราคาเบนซิน-ดีเซล 1 บาท ของขวัญวันสงกรานต์ คิดเป็น 21.62% และมาตรการขยายสิทธิบัตรทอง พบหมอออนไลน์-จัดส่งยาถึงบ้าน คิดเป็น 12.13%

นางสาวจิราพร กล่าวว่า การปราบปรามการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า เป็นหนึ่งในข้อสั่งการที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะการป้องกันการแพร่ระบาดในกลุ่มเด็กและเยาวชน รัฐบาลจึงได้ดำเนินการกวาดล้างอย่างจริงจัง จนสามารถจับกุมได้ 2,236 คดี ยึดของกลางได้จำนวน 1,608,445 ชิ้น มูลค่ารวม 295,686,734 ล้านบาท ในระยะเวลาเพียงเดือนเศษ ซึ่งถือเป็นยอดการจับกุมและการยึดของกลางที่สูงกว่าตลอดสองปีที่ผ่านมา

“นอกจากการทำงานปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าเชิงรุกของเจ้าหน้าที่แล้ว เรายังได้เปิดให้พี่น้องประชาชนมีส่วนร่วมในการแจ้งเบาะแสร้านค้าที่ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ทั้งรูปแบบร้านค้าออนไลน์ และร้านมีที่ตั้ง ผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐอีกด้วย” นางสาวจิราพร กล่าว

Advertisement

 

ธ.ก.ส.จัดรถขนส่งสิ่งของ-เครื่องอุปโภคบริโภคไปให้ผู้ป่วยโควิด-บุคลากรทางการแพทย์ ฟรี

People Unity News : ธ.ก.ส.ร่วมส่งต่อน้ำใจสู่สังคม ด้วยการจัดรถให้บริการขนส่งสิ่งของ เครื่องอุปโภคบริโภคของผู้บริจาคไปยังบุคลากรทางการแพทย์ หรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ยังคงเกิดขึ้นในขณะนี้ ส่งผลให้มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้การเข้าไปดูแลช่วยเหลือไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างทันท่วงทีและไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว ธ.ก.ส. ได้ดำเนินโครงการช่วยขนส่งสิ่งของอุปโภคบริโภคของผู้ปันน้ำใจไปให้บุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ด้วยการจัดรถให้บริการขนส่งสิ่งของในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล  ฟรี ! ไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อสนับสนุนหน่วยงานหรือบุคคลที่มีความประสงค์บริจาคอาหารหรือสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตหรือผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยไปให้บุคลากรทางการแพทย์หรือ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยผู้ที่มีความประสงค์ใช้บริการดังกล่าว สามารถติดต่อ  ได้ที่ Call Center 02 555 0555

ธ.ก.ส.ในฐานะหน่วยงานของรัฐภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง  พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือและให้บริการกับประชาชน  ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างเต็มที่ เพื่อให้คนไทยทุกคนก้าวข้ามวิกฤติต่างๆไปด้วยกัน  โดยที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้มีนโยบายให้สาขาทั่วประเทศ เข้าไปสนับสนุน น้ำดื่ม อาหารกล่อง  รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หน่วยให้บริการฉีดวัคซีนในพื้นที่ อีกทั้งได้สมทบทุนเงินบริจาคให้กับหน่วยงานต่างๆในการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 อาทิ มูลนิธิโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช มูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ในการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ในการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส COVID-19 มูลนิธิไทยพีบีเอส เพื่อช่วยเหลือประชาชนทั่วไปผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อสนับสนุนโครงการตรวจคัดกรองโควิดทันใจ (Rapid Antigen Test) นำไปใช้สำหรับรองรับตรวจสอบการได้รับเชื้อไวรัส COVID-19 เป็นต้น

Advertising

ครม.รับทราบข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการศึกษารูปแบบ Fast Track สำหรับบุคคลที่มีสมรรถนะสูง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 มิถุนายน 2567 ครม.รับทราบข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการศึกษารูปแบบ Fast Track สำหรับบุคคลที่มีสมรรถนะสูง

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. 4 มิถุนายน 2567 รับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการศึกษารูปแบบ Fast Track สำหรับบุคคลที่มีสมรรถนะสูง ของคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา ดังนี้ 1.ข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการศึกษารูปแบบ Fast Track สำหรับบุคคลที่มีสมรรถนะสูง ได้แก่ 1) ควรมีหลักการในการจัดทำกรอบคุณวุฒิทางการศึกษาโดยกำหนดให้สมรรถนะเป็นผลลัพธ์ของการเรียนรู้ (Learning Outcomes) 2) ควรส่งเสริมสนับสนุนให้มีแพลตฟอร์มสำหรับผู้มีสมรรถนะสูงและคนไทยทุกระดับให้เข้ารับการพัฒนาและเทียบระดับสมรรถนะ โดยมีการออกแบบเพื่อให้คนไทย Up-Skill และ Re-Skill ได้ทุกที่ทุกเวลา ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 2.ข้อเสนอเชิงนโยบายการเทียบระดับการศึกษา จัดการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ (Online) เพื่อแก้ไขสภาพปัญหาในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อส่งเสริมให้ผู้มีสมรรถนะสูงสามารถศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมได้อย่างต่อเนื่องทุกที่ทุกเวลา

นายคารม กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการศึกษารูปแบบ Fast Track สำหรับบุคคลที่มีสมรรถนะ พร้อมทั้งข้อเสนอแนะ โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาศึกษาการดำเนินงานประเมินเทียบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานของผู้เรียนการศึกษานอกโรงเรียน และการเทียบประสบการณ์บุคคลที่มีสมรรถนะสูงสู่การศึกษาระบบ Fast Track ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้ว สรุปผลการพิจารณาว่า กรอบคุณวุฒิแห่งชาติครอบคลุมกรอบคุณวุฒิการศึกษาที่เน้นการประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ตามสมรรถนะของบุคคลทั้งคุณวุฒิทางการศึกษา และมาตรฐานอาชีพ และกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการจัดทำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (ฉบับปรับปรุง) เพื่อใช้เป็นกลไกในการเชื่อมโยงระบบการเรียนรู้ของภาคการศึกษาให้ยึดโยงกับมาตรฐานการปฏิบัติงานที่ตลาดแรงงานยอมรับ และได้จัดแผนปฏิบัติการด้านการผลิตและพัฒนากำลังคนในสาขาวิชาชีพที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อการพัฒนาประเทศตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ พ.ศ.2562 – 2565 เพื่อเป็นต้นแบบในการพัฒนาความร่วมมือกับกลุ่มอุตสาหกรรมอันจะนำไปสู่การจัดทำหลักสูตรฐานสมรรถนะที่เชื่อมโยงกับมาตรฐานอาชีพ รวมถึงได้ทดลองนำร่องจัดตั้งธนาคารหน่วยกิตระดับจังหวัดใน 4 ภูมิภาคของประเทศไทย เพื่อสร้างระบบการสะสมและการเทียบโอนหน่วยการเรียนทั้งการศึกษาในระบบและการศึกษานอกระบบให้มีความยืดหยุ่นหลากหลายในช่วงวัยเรียน และวัยทำงาน โดยจะมีการพัฒนาแพลตฟอร์มรองรับได้อย่างสะดวก และง่ายต่อการดำเนินการ

Advertisment

ชำระหนี้ กยศ.ใช้สิทธิลดหย่อน 2 เดือนสุดท้าย

People Unity News : 26 เมษายน 2566 รัฐบาลเชิญชวนผู้อยู่ระหว่างชำระคืนหนี้ กยศ. ใช้สิทธิตามมาตรการลดหย่อน 2 เดือนสุดท้าย ลดดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 0.01 ลดเงินต้น เบี้ยปรับสำหรับผู้ปิดบัญชีถึง 30 มิ.ย.นี้

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)  ได้มีมาตรการลดหย่อนหนี้ เพื่อช่วยเหลือผู้กู้ยืมที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมาตรการดังกล่าวจะสิ้นในวันที่ 30 มิ.ย.ที่จะถึงนี้แล้ว จึงขอเชิญชวนผู้กู้ยืมกองทุน กยศ. ที่อยู่ระหว่างการชำระหนี้ ใช้สิทธิเพื่อรับประโยชน์จากมาตรการตามกรอบเวลาดังกล่าว

ทั้งนี้ มาตรการลดหย่อนการชำระหนี้ กยศ. ประกอบด้วย การลดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจากเดิมร้อยละ 1 ต่อปี เหลือร้อยละ 0.01 ต่อปี สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืนกองทุนและไม่เคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้, ลดเงินต้นร้อยละ 5 สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ไม่เคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้และต้องการปิดบัญชีในคราวเดียว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พร้อมกันนี้ มีการลดเบี้ยปรับร้อยละ 100 สำหรับผู้กู้ยืมเงินทุกกลุ่มที่ชำระหนี้ปิดบัญชี โดยแยกเป็น ผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดี สามารถชำระได้ที่ธนาคารกรุงไทยและธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยทุกสาขา ส่วนผู้กู้ยืมเงินที่ถูกดำเนินคดีแล้ว ต้องลงทะเบียนขอรับสิทธิและนัดหมายวันที่ประสงค์จะชำระหนี้ปิดบัญชีได้ที่ https://www.studentloan.or.th/promotion เนื่องจากมีขั้นตอนที่ผู้กู้ยืมต้องชำระค่าทนายความและค่าฤชาธรรมเนียมศาลให้เสร็จสิ้นก่อนปิดบัญชี และลดเบี้ยปรับร้อยละ 80 สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีที่ชำระหนี้ค้างทั้งหมดให้มีสถานะปกติ

“กยศ.ได้ออกมาตรการลดหย่อนเพื่อช่วยเหลือผู้กู้ยืมมาตลอดช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งในวันที่ 30 มิ.ย. 66 มาตรการต่างๆจะสิ้นสุดลง เหลือเวลาตามมาตรการอีกประมาณ 2 เดือน จึงขอเชิญชวนผู้กู้ กยศ. เลือกชำระหนี้เพื่อรับสิทธิตามมาตรการทั้งได้ลดดอกเบี้ย เงินต้น หรือเบี้ยปรับเมื่อดำเนินการตามเงื่อนไข” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

Advertisement

กยศ. คิดดอกเบี้ยในอัตรา 1% ตั้งแต่เริ่มกู้จนชำระเสร็จสิ้น ไม่มีการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 กรกฎาคม 2567 “คารม” ย้ำ กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาคิดดอกเบี้ยในอัตรา 1% ตั้งแต่เริ่มกู้จนชำระเสร็จสิ้น ไม่มีการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย ขอให้ผู้กู้ยืมชำระหนี้ตามจำนวนที่แจ้งในหน้าแอปพลิเคชัน กยศ.Connect ยืนยันไม่มีใครเสียสิทธิ์อันพึงได้ตามกฎหมายอย่างแน่นอน

วันนี้ (17 กรกฎาคม 2567) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรณีที่สื่อออนไลน์ได้นำเสนอข่าวเรื่อง   ผู้กู้ยืมได้มีข้อสงสัยเกี่ยวกับยอดหนี้ที่ปรากฏในแอปพลิเคชัน กยศ.Connect  กับตารางผ่อนชำระ 15 ปี มีจำนวนไม่ตรงกันนั้น กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ชี้แจงว่า ตารางชำระหนี้ของผู้กู้ยืมได้กำหนดขึ้นหลังจากจบการศึกษาและปลอดหนี้ 2 ปีแล้ว ซึ่งยอดหนี้และอัตราการผ่อนชำระของผู้กู้ยืมแต่ละรายจะไม่เท่ากัน โดยกำหนดผ่อนชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 15 ปี  สำหรับอัตราการผ่อนชำระรายปีกำหนดให้แบ่งชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ดังนี้  ปีที่ 1 ชำระเงินต้น 1.5% ไม่มีดอกเบี้ย ปีที่ 2 ชำระเงินต้น 2.5% พร้อมดอกเบี้ย 1% ของเงินต้นคงเหลือ และปีที่ 3 ชำระเงินต้น 3% พร้อมดอกเบี้ย 1% ของเงินต้นคงเหลือ โดยจะชำระเป็นขั้นบันไดจนถึงปีที่ 15 (ปีสุดท้าย) จะชำระเงินต้น 13% พร้อมดอกเบี้ย 1% ของเงินต้นคงเหลือ

“กองทุนฯ คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพียง 1% ไม่มีการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย ส่วนกรณีที่ยอดรวมที่ต้องชำระมีจำนวนแตกต่างกับตารางที่กำหนดนั้น เกิดจากเหตุต่าง ๆ เช่น ความเข้าใจคลาดเคลื่อนและชำระเงินไม่ตรงตามกำหนดทำให้เกิดดอกเบี้ยค้างหรือเบี้ยปรับ ซึ่งกองทุนฯ ขอให้ชำระตามยอดรวมที่ต้องชำระที่ปรากฏในแอปพลิเคชัน กยศ. Connect ส่วนดอกเบี้ยที่ผู้กู้ยืมมีข้อสงสัยว่าทำไมเพิ่มขึ้นรายวันนั้น ขอชี้แจงว่า หากเงินต้นจำนวน 200,000 บาท ดอกเบี้ย 1% ต่อปี จะเกิดดอกเบี้ยปีละ 2,000 บาท เมื่อคำนวณเป็นรายวัน จะเกิดดอกเบี้ย 5.48 บาทต่อวัน ทั้งนี้ ในระบบจะมีการคำนวณดอกเบี้ยเป็นรายวันจนกว่าผู้กู้ยืมจะชำระหนี้เสร็จสิ้น ขณะนี้กองทุนฯ อยู่ในระหว่างการคำนวณภาระหนี้ย้อนหลังนับตั้งแต่วันเริ่มกู้จนถึงปัจจุบันให้กับผู้กู้ยืม 3.6 ล้านราย ซึ่งมีรายการคำนวณประมาณ 100 ล้านรายการ และเมื่อการคำนวณภาระหนี้ทั้งหมด ในระบบเสร็จสมบูรณ์แล้ว กองทุนฯจะขึ้นระบบเพื่อทราบต่อไป และขอยืนยันว่าจะไม่มีใครเสียสิทธิ์อันพึงได้ ตามกฎหมายอย่างแน่นอน” นายคารม ย้ำ

Advertisement

ภูมิใจไทย กดดันรัฐบาลยุติกาสิโนถาวร แฉจีนเตือนแล้ว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 กรกฎาคม 2568 ภูมิใจไทย กดดันรัฐบาลยุติกาสิโนถาวร แฉจีนเตือนแล้ว ไทยไม่ฟัง สุดท้ายธุรกิจท่องเที่ยวล่ม

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยโพสต์ Facebook ส่วนตัว ในประเด็นการถอนร่างพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจรออกจากการพิจารณาในสภา ระบุว่า

พรรคภูมิใจไทยยินดีและพร้อมสนับสนุนให้มีการถอนญัตติ การนำเสนอร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร หรือร่างกฎหมายกาสิโน ออกจากวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ หากรัฐบาลยืนยันว่าจะยกเลิกนโยบายนี้และไม่นำกลับเข้าสู่การพิจารณาอีกต่อไป

นโยบายสถานบันเทิงครบวงจรเป็นสิ่งที่ถูกอ้างว่าพรรคภูมิใจไทยไม่ให้ความร่วมมือกับพรรคแกนนำรัฐบาลและเป็นหนึ่งในสารตั้งต้นที่มีความคิดจะกดดันให้พรรคภูมิใจไทยต้องออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งที่พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคก็แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าไม่พร้อมที่จะให้การสนับสนุนร่างกฏหมายนี้เพียงแต่ไม่พูดออกมาเพราะเห็นว่าพรรคภูมิใจไทยได้แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนี้อย่างชัดเจนแล้ว จึงพร้อมใจกันให้พรรคภูมิใจไทยรับบทเป็นผู้ร้ายต่อพรรคแกนนำรัฐบาลแต่เพียงผู้เดียว จนกระทั่งถึงวันที่มีความพยายามจะพิจารณากฎหมายฉบับนี้ในสมัยประชุมสภาที่แล้ว พรรคร่วมรัฐบาลแทบทุกพรรคก็ได้แสดงท่าทีที่ไม่สนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ และถึงขั้นที่มีพรรคร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่งออกแถลงการณ์เป็นลายลักษณ์อักษรไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจนต่อสาธารณชน โชคดีที่นายกรัฐมนตรีได้ตัดสินใจชะลอการนำเสนอกฎหมายในวันนั้นและได้ขอให้เลื่อนการพิจารณาออกไปอีกสมัยประชุมหนึ่ง

ถึงแม้ว่าวันนี้รัฐบาลจะมีการเสนอให้ถอนญัตตินี้ออกไปแต่ก็ถือว่ามันสายไปเสียแล้ว การดำเนินนโยบายนี้มาอย่างต่อเนื่องได้สร้างความเสียหายอย่างยับเยินแก่ภาคการท่องเที่ยวของไทยอย่างรุนแรงที่สุดจนไม่อาจเยียวยาได้อีก

รัฐบาลทราบเป็นอย่างดีว่าจีนมีท่าทีไม่เห็นด้วยที่ทางการไทยจะผ่านกฎหมายให้มีการจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจรพร้อมกับอนุญาตให้มีการเล่นการพนันได้และได้มีการพูดตอกย้ำถึงสามครั้งในที่ประชุมระดับผู้นำของทั้งสองประเทศว่าขอให้ยกเลิกนโยบายนี้เสีย มิฉะนั้นรัฐบาลจีนมีความจำเป็นที่จะต้องออกมาตรการต่างๆที่จะทำให้คนจีนและกิจการต่างๆของจีนปรับท่าทีต่อการท่องเที่ยวรวมไปถึงท่าทีต่อการค้าและการลงทุนกับไทยให้ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ นี่คือการหารือในระดับผู้นำประเทศทั้งสองคือ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนและนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งผมได้ร่วมประชุมอยู่ด้วยและได้จดบันทึกการประชุมในประเด็นนี้อย่างละเอียดในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยผู้ซึ่งจะต้องมีความเกี่ยวข้องเป็นอันมากต่อการดำเนินนโยบายนี้ แต่ท่าทีของรัฐบาลไทยออกไปในทางเมินเฉยและไม่ให้ความสำคัญต่อคำเตือนจากผู้นำของจีนในวันนั้น และยังดำเนินการผลักดันเร่งรัดให้ร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร(กาสิโน) ได้รับการบรรจุอยู่ในวาระแรกของสมัยประชุมสภานี้

นายอนุทินระบุเพิ่มเติมว่า ผลพวงอันเลวร้ายที่ได้เกิดขึ้นมาจนถึงบัดนี้ก็คือ การหายไปของนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนกว่าร้อยละ 90 ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ประชาชนที่อยู่ในภาคธุรกิจบริการ กิจการโรงแรม ที่พัก การขายสินค้าไทย ของที่ระลึก อาหาร เครื่องดื่ม ร้านค้าปลีก แผงขายของ ทั้งหมดได้รับผลกระทบอย่างมหาศาลที่พวกเขาไม่เคยประสบมาก่อน นี่เพียงแค่อยู่ในขั้นตอนการบรรจุญัตติเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายเท่านั้นนะ เขายังส่งสัญญาณเตือนมาขนาดนี้ คงไม่ต้องนึกถึงความหายนะที่จะเกิดขึ้นหากกฎหมายฉบับนี้ผ่านสภาและมีผลบังคับใช้ ซึ่งหากการถอนญัตตินี้ รัฐบาลไม่แสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าจะไม่นำกลับเข้ามาอีกแล้ว ความสูญเสียและความเสียหายของภาคธุรกิจท่องเที่ยวและภาคส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้องก็จะยังคงดำรงอยู่ต่อไปโดยไม่มีใครทราบว่าจะฟื้นสภาพขึ้นมาได้อีกเมื่อใด ผู้คนที่อยู่ในภาคส่วนนี้ก็คงจะต้องประสบสภาวะสิ้นเนื้อประดาตัว เป็นหนี้สินล้นพ้นตัวอย่างสาหัสที่สุดเป็นแน่แท้ คนจีนที่ยังคงอยู่ในเมืองไทยก็คงจะเป็นพวกจีนเทาเสียเป็นส่วนใหญ่ คนเหล่านี้ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายที่จะทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเรา

นายอนุทินระบุอีกว่า ช่วงนี้รัฐบาลดำเนินการผิดพลาดหลายเรื่องซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจที่ประมาณค่าความเสียหายไม่ได้ ทั้งเรื่องความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน การเปลี่ยนนโยบายแจกเงินประชาชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และล่าสุดการยืนยันของประธานาธิบดีสหรัฐในเรื่องภาษี ดังนั้นวันนี้ขอรัฐบาลอย่าทำผิดพลาดอีกเลย อย่านึกถึงกลุ่มทุนเพียงไม่กี่กลุ่มแล้วแลกด้วยความเสียหายย่อยยับของพี่น้องประชาชนที่เขาเคยได้รับรายได้เลี้ยงชีพจากนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมหาศาลก่อนที่จะมีคำว่าสถานบันเทิงครบวงจรซึ่งแฝงด้วยบ่อนการพนันหรือคาสิโนมาทำลายชีวิตและธุรกิจของพวกเขาโดยสิ้นเชิง รัฐบาลมีหน้าที่สร้างความมั่นคง สร้างรายได้ให้กับประชาชนของประเทศ ไม่ใช่ให้กับกลุ่มทุนซึ่งมีสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรของเรา รัฐบาลต้องไม่ผลักดันนโยบายที่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศและต่อคู่ค้าที่มีสถานะเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอีกด้วย เราควรต้องให้ความสำคัญต่อความเห็นและท่าทีของประเทศที่มีทัศนคติที่ดีต่อเราและยังมีการสานต่อสายสัมพันธ์อันดี จนมีคำกล่าวว่า “จีนและไทยมิใช่อื่นไกล เป็นพี่น้องกัน” หากการยกเลิกนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรจะมีส่วนทำให้นักท่องเที่ยวและการค้าการลงทุนจากจีนพลิกฟื้นกลับขึ้นมาแล้วส่งผลให้ประชาชนของเราได้สร้างรายได้อย่างที่เคยเป็นมา รัฐบาลก็ต้องนึกถึงโอกาสของพวกเขาเป็นลำดับแรก

นายอนุทิน ระบุ แม้ว่าพรรคภูมิใจไทยจะอยู่ในซีกฝ่ายค้านในวันนี้ แต่ผมในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยที่ยืนยันเสมอว่า พรรคพร้อมที่จะให้การสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล หากนโยบายนั้นเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน วันนี้ขอให้พรรคภูมิใจไทยได้สนับสนุนการถอนญัตติกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจรหรือ Entertainment Complex และได้ยินการประกาศยกเลิกนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรของรัฐบาลชุดนี้ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ด้วยเถิดครับ พรรคภูมิใจไทยพร้อมยกมือเห็นด้วย และเชื่อว่าสิ่งที่เป็นมงคลก็จะเกิดขึ้นกับรัฐบาลและประเทศไทยอันเป็นที่รักของเราในที่สุด

Advertisement

รัฐบาลเตือนเที่ยวคืนฮาโลวีนอย่างระมัดระวัง

People Unity News : 30 ตุลาคม 2566 ทำเนียบรัฐบาล – โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ห่วงใย ปชช.ทั้งใน ปท.และ ตปท. เที่ยวคืนฮาโลวีนอย่างระมัดระวัง มีสติ เลี่ยงสถานที่แออัด พลุกพล่าน

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นห่วงคนไทยทุกพื้นที่ ในช่วงการเฉลิมฉลองเทศกาลฮาโลวีน และขอให้หลีกเลี่ยงการเฉลิมฉลองในสถานที่แออัด ซึ่งคืนพรุ่งนี้ (31 ต.ค.) เป็นวันฮาโลวีน สถานบันเทิงจะจัดงานเฉลิมฉลอง หน่วยงานต่าง ๆ จึงมีมาตรการคำแนะนำป้องกัน ดูแลความปลอดภัยคนไทย  เช่น ตำรวจท่องเที่ยว ได้ออกคำแนะนำทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ให้กับนักท่องเที่ยว ดังนี้ 1. วางแผนการเดินทางล่วงหน้า เพื่อให้รู้ว่าจะเดินทางไปอยู่ตรงไหน จะได้รู้จักเส้นทางก่อน และควรดูพยากรณ์อากาศด้วย 2. หากเป็นสถานที่ปิด ควรดูทางออกฉุกเฉิน และควรมีเพื่อนไปด้วยอย่างน้อย 1 คน 3. หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด เพื่อป้องกันเรื่องการถูกล้วงกระเป๋าจากมิจฉาชีพ และการไปเบียดเสียดกับคนอื่น 4. ดื่มอย่างมีสติ อย่าทิ้งตัว และดื่มไม่ขับ 5. อย่าลืมปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ หรือมาตรการรักษาความปลอดภัยของสถานที่นั้น ๆ หากมีเหตุฉุกเฉิน สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน หมายเลข 1155 ตำรวจท่องเที่ยว

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า สถานที่หลัก ๆ ที่มีคนจำนวนมากและมีความเป็นห่วงมากก็คือ ถนนข้าวสาร เพราะมีลักษณะของพื้นที่คล้ายกับอิแทวอน สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุโศกนาฎกรรมเมื่อปีที่แล้ว  ขณะที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ได้ออกประกาศ เรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยสำหรับคนไทยในสาธารณรัฐเกาหลี โดยขอให้คนไทยในสาธารณรัฐเกาหลีระมัดระวังการเข้าไปในสถานที่ที่คนพลุกพล่าน พยายามหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมเฉลิมฉลองในเทศกาล ฮาโลวีน ที่อาจจัดขึ้นในสถานที่ต่าง ๆของสาธารณรัฐเกาหลีในปีนี้

นายชัย กล่าวว่า หากจะเข้าร่วมงาน ก็ขอให้ระมัดระวังในการไปรวมตัวยังสถานที่ที่มีผู้คนแออัด หรือมีฝูงชนเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมากที่อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้ เช่น การล้มทับกันของฝูงชนที่เบียดเสียดกัน ทั้งนี้ หากรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย ก็ขอให้รีบหาทางหลบออกมาจากสถานที่ดังกล่าวโดยเร็ว หากคนไทยต้องการความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายกงสุลของสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโซล เบอร์โทรศัพท์ +82 10-6747-0095 หรือ +82 10-3099-2955

“นายกรัฐมนตรี ห่วงใยคนไทยที่ต้องการเข้าร่วมช่วงการเฉลิมฉลอง ขอให้เที่ยวอย่างมีสติ เตรียมการเดินทาง เข้าร่วมกิจกรรม อย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงบริเวณแออัด พื้นที่คนพลุกพล่าน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุไม่คาดฝัน” นายชัย กล่าว

Advertisement

นายก ฯ แพทองธาร ยืนยันจะทำให้ประเทศไทยมียาเสพติดน้อยลง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 พฤศจิกายน 2567 นายก ฯ แพทองธาร ยืนยันจะทำให้ประเทศไทยมียาเสพติดน้อยลงและปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้นและเด็ดขาด วอนสังคมร่วมเป็นกำลังใจให้กันและกัน

วันนี้ (1 พฤศจิกายน 2567) เวลา 14.30 น. ณ ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหายาเสพติด (อบต.น้ำใส) ตำบลน้ำใส อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมการฝึกอาชีพและแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้เข้ารับการบำบัด และพบปะพี่น้องประชาชนชาวร้อยเอ็ด   โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมบูธขายสินค้าผู้ผ่านการบำบัดยาเสพติด โดยได้สอบถามพร้อมอุดหนุนสินค้า และให้กำลังผู้ผ่านการบำบัดยาเสพติด ซึ่งผู้ผ่านการบำบัดยาเสพติดได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องที่ได้ทุ่มเทแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง ทำให้มีอาชีพ สร้างรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว กลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างเข้มแข็งด้วย

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการลงพื้นที่ว่า วันนี้นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีตั้งใจมาให้กำลังใจทุกคน ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาระดับชาติ รัฐบาลได้ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ  ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยประชาชนในเรื่องนี้เป็นพิเศษ ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่ไม่สามารถบำบัดรักษาได้เพียงคนเดียวหรือกลุ่มเล็ก ๆ เพียงกลุ่มเดียว แต่ทุกคนต้องช่วยกันเริ่มตั้งแต่สถาบันครอบครัว สถาบันที่ทำงาน จังหวัด รวมถึงระดับประเทศ ในบางครั้งเมื่อมีหัวใจที่อ่อนแอ อาจหลงผิดไปพึ่งสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เช่น ยาเสพติด แต่การจะช่วยพวกเขากลับมาได้นั้นต้องอาศัยกำลังใจอย่างมหาศาล ทั้งนี้ ต้องขอบคุณทุกคนที่มีส่วนในการช่วยให้ผู้บำบัดกลับสู่สังคมได้เร็วขึ้น

นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า การเดินทางมาจังหวัดร้อยเอ็ดในครั้งนี้เพื่อมาติดตามการดำเนินงาน ประสบปัญหาหรือต้องการอะไรเพิ่มเติม รัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุน ช่วยเหลือ รวมทั้งจะดำเนินนโยบายเกี่ยวกับ   ยาเสพติดอย่างเต็มที่ นอกจากนั้น รัฐบาลยืนยันว่าจะทำให้ประเทศไทยมียาเสพติดน้อยลงและปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้นและเด็ดขาด ขอให้ทุกคนช่วยเป็นกำลังใจให้กันและกัน

สำหรับการดำเนินงานศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหายาเสพติด ตำบลน้ำใส อำเภอจตุรพักตรพิมาน บำบัดรักษาโดยชุมชนเป็นศูนย์กลาง CBTx  สำหรับกลุ่มผู้เสพ ชุดปฏิบัติการประจำตำบลนำเข้าสู่กระบวนการบำบัดผ่านกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างการรับรู้ ส่งเสริมสุขภาพ และตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดทุกครั้ง จนครบ 9 ครั้ง ดำเนินการต่อเนื่องตามระยะห่าง 4 วัน/ครั้ง มีกลุ่มเป้าหมายเข้ารับการบำบัดรักษา CBTx 620 คน ผลปัสสาวะเป็นลบ 481 คน ผลปัสสาวะเป็นบวก 139 คน (ส่งเข้ารับการรักษาต่อมินิธัญญารักษ์ โรงพยาบาลจตุรพักตรพิมาน) ภายหลังทำการบำบัดรักษา ผู้บำบัดมีงานทำ จากการขยายโอกาสทางการศึกษา เพิ่มพูน ฝึกฝนทักษะ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน เกิดการเรียนรู้ ตลอดชีวิต โดยมีหน่วยงานสนับสนุน เช่น ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอจตุรพักตรพิมาน สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นต้น ทำให้ผู้ผ่านการบำบัดมีอาชีพ สร้างรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัวห่างไกลจากยาเสพติด

Advertisement

“ไทย” ติดอันดับ 3 Top Countries in the World

People Unity News : 6 ตุลาคม 2565 นายกฯ ยินดี ไทยติดอันดับ 3 Top Countries in the World จาก Condé Nast Traveler Readers’ Choice Awards 2022 ขอบคุณคนไทยช่วยให้ประเทศเป็นจุดสนใจของโลก พร้อมเดินหน้าทำงาน สนับสนุนการท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและยินดี ที่ประเทศไทยได้อันดับ 3 “ประเทศระดับท็อปของโลก” (Top Countries in the world) และกรุงเทพฯ ได้อันดับ 4 “เมืองที่ดีที่สุดในโลก” ในขณะที่เกาะ โรงแรม และรีสอร์ทของไทยหลายแห่ง ยังติดอันดับสูงในรายการ ‘ดีที่สุด’ อื่นๆอีกด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากรายงานผลการประกาศรางวัล Condé Nast Traveler Readers’ Choice Awards 2022 ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นอันดับที่ 3 ใน Top Countries in the World จากทั้งหมด 48 ประเทศ โดยได้รวม 90.46 คะแนน และอันดับ 1 คือ โปรตุเกส (91.22 คะแนน) และอันดับ 2 ญี่ปุ่น (91.17 คะแนน) ในขณะที่อันดับ 4 คือ สิงคโปร์ (90.09 คะแนน) โดยไทยและสิงคโปร์ เป็น 2 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่ได้รับการจัดให้อยู่ใน 10 อันดับแรก

นอกจากนี้ กรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทยก็ติดอันดับ 4 เมืองที่ดีที่สุดในโลก (Best Cities in the World) โดยกรุงเทพฯ ก็เป็นเพียง 1 ใน 2 เมืองในภูมิภาคอาเซียนที่ติดอันดับ 10 เมืองที่ดีที่สุดในโลกเช่นกัน ด้วยคะแนน 89.36 ซึ่ง เมืองซาน มิเกล เด อัลเลนเด (San Miguel de Allende) ประเทศเม็กซิโก ได้รับการจัดอันดับที่ 1 ด้วยคะแนน 92.94 สิงคโปร์ อันดับที่ 2 (89.49 คะแนน) และอันดับ 3 เมืองวิคทอเรีย ประเทศแคนาดา (89.46 คะแนน) ตามลำดับ

ในขณะที่การจัดอันดับ 10 ‘เกาะยอดนิยม’ ในเอเชีย เกาะสมุยได้อันดับที่ 3 ด้วยคะแนน 92.13 ภูเก็ตอยู่ที่ 5 ด้วย 90.88 คะแนน ส่วนเกาะพีพี อยู่ที่อันดับ 10 ด้วยคะแนน 76.41 นอกจากนี้ การประกาศรางวัลดังกล่าวได้มีการจัดอันดับ The Best ในส่วนของของรีสอร์ท โรงแรม สปา และอื่นๆ ซึ่งประเทศไทยก็ติดอันดับสูงในหลายรายการอีกด้วย

นายอนุชา กล่าวว่า รัฐบาลขอขอบคุณทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนทุกคน ที่มีส่วนร่วมสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย จากเสน่ห์ และความมีเอกลักษณ์ของประเทศ จนได้รับการยอมรับจากการจัดอันดับด้านต่างๆหลายรายการจากทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ไทยมีชื่อเสียงในสายตานักท่องเที่ยวทั่วโลก เป็นที่สนใจชาวต่างชาติประสงค์เดินทางมาไทย ทั้งเพื่อเดินทางมาท่องเที่ยว ทำงาน และมาอยู่อาศัย ซึ่งรัฐบาลได้อำนวยความสะดวกให้เกิดการเดินทางกระตุ้นเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมดำเนินนโยบายที่เหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการของกระแสโลก เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวไทย

Advertisement

“วราวุธ” เปิดงานวันผู้สูงอายุสากล 2567 ย้ำ ไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสมบูรณ์แล้ว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 กันยายน 2567 “วราวุธ” รมว.พม. เปิดงานวันผู้สูงอายุสากล 2567 ย้ำ ไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสมบูรณ์แล้ว ดัน นโยบาย พม. 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร

วันที่ 30 กันยายน 2567 ที่สถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดงานวันผู้สูงอายุสากล ประจำปี 2567 (International Day of Older Persons 2024) ภายใต้แนวคิด “การสูงวัยอย่างมีศักดิ์ศรี : ความสำคัญของการเสริมสร้างระบบการดูแล และสนับสนุนผู้สูงอายุทั่วโลก” “Ageing With Dignity: The Importance Of Strengthening Care And Support Systems For Older Persons Worldwide” โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) กล่าวรายงานถึงการจัดงาน และนายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ประธานสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี กล่าวถึงความร่วมมือในการจัดงาน พร้อมด้วย คณะผู้บริหารกระทรวง พม.  นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ผู้แทนภาคีเครือข่ายผู้สูงอายุ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน

ในงานมีการกล่าวสาส์นสากล โดยนางสาวสิริลักษณ์ เชียงว่อง หัวหน้าสำนักงานกองทุนประชากรแห่ง (UNFPA) ประจำประเทศไทยอาจารย์นคร ถนอมทรัพย์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล – ประพันธ์และขับร้อง) พุทธศักราช 2554 อายุ 92 ปี ร้องเพลง “สดใสวัยชรา” พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จากนั้นมีพิธีแสดงความยินดี นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ผู้นำขบวนการแพทย์ชนบท” (RURAL DOCTORS MOVEMENT) ได้รับรางวัลรามอนแมกไซไซไซ (Ramon Magsaysay Award) ประจำปี 2567

สำหรับภายในงานมีการจัดกิจกรรมในบรรยากาศย้อนไปในยุคดิสโก้ หรือยุค 70 อาทิ การประกาศเจตนารมณ์วันผู้สูงอายุสากล , นิทรรศการวิชาการ นโยบาย 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร , นิทรรศการระบบการดูแลและสนับสนุนผู้สูงอายุ โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ , การสาธิตผลิตภัณฑ์ผู้สูงอายุศูนย์การเรียนรู้การแสดงทางวัฒนธรรมและการสร้างเศรษฐกิจเพื่อชุมชนอย่างยั่งยืน , การสาธิตดนตรีบำบัด วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล , บริการตรวจสุขภาพฟัน โดยมูลนิธิทันตนวัตกรรมในพระบรมราชูปถัมภ์ฯ , บริการตรวจสุขภาพ โดยโรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง

นายวราวุธ กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับผู้สูงอายุ ซึ่งองค์การสหประชาชาติ กำหนดให้วันที่ 1 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันผู้สูงอายุสากล ถือเป็นวันเฉลิมฉลองที่สำคัญของผู้สูงอายุทั่วโลก เพื่อแสดงถึงคุณค่าของผู้สูงอายุให้คนทั่วไปตระหนักว่าตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา ผู้สูงอายุได้สร้างคุณประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง คุณงามความดี รวมทั้งสรรค์สร้างทุกสิ่งให้กับสังคมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขณะนี้ประเทศไทยมีประชากรผู้สูงอายุจำนวนมาก คิดเป็นร้อยละ 20.08 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว

นายวราวุธ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) จึงได้จัดงานมหกรรมวันผู้สูงอายุสากล ประจำปี 2567 เพื่อรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้สูงอายุ ในความสูงอายุยิ่งมีความสูงค่า เพราะผู้สูงอายุเป็นผู้เชี่ยวชาญชีวิต ผู้มากประสบการณ์ ไม่ใช่ผู้รอรับการสงเคราะห์ สามารถเป็นพลังของสังคมและเป็นส่วนสำคัญและเป็นทางออกของการแก้ปัญหาวิกฤตโครงสร้างประชากรของประเทศไทย ด้วยการใช้ศักยภาพมาร่วมพัฒนาสังคม และมีบทบาทในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองได้อย่างเหมาะสม ตามมาตรการสำคัญ 5 มาตรการ ภายใต้นโยบาย 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร ของกระทรวง พม. ได้แก่ 1. การมุ่งการป้องกันโรคมากกว่ารักษาโรค 2. การขยายโอกาสทางเศรษฐกิจให้ผู้สูงอายุ 3. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน 4. การส่งเสริมให้มีสภาพแวดล้อม ทั้งภายในบ้าน รอบบ้าน และในชุมชน และ 5. การส่งเสริมให้มีการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุในทุกมิติ ผู้สูงอายุทุกจะเป็นพลัง เป็นทรัพยากรที่สำคัญ เป็นทางออกของการแก้ปัญหาวิกฤตโครงสร้างประชากรของประเทศไทย ผู้สูงอายุไม่ได้เป็นภาระหรือผู้ไม่มีศักยภาพ

นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. และเครือข่ายทุกภาคส่วนจะร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายด้านการดูแลผู้สูงอายุ ให้ผู้สูงอายุสามารถอยู่ในชุมชนของตนเองได้อย่างมีคุณค่า มีศักดิ์ศรีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเท่าเทียมกัน และจะเสริมสร้างศักยภาพของผู้สูงอายุในประเทศไทยให้เป็นกลุ่มคนที่เป็นกำลังหลักคอยสนับสนุนคนรุ่นต่างๆ ในสังคมไทย

Advertisement

Verified by ExactMetrics