วันที่ 26 เมษายน 2024

ดร.สาธิต ชื่นชม รพ.สวนสราญรมย์ บำบัดผู้ป่วยจิตเวชจากสารเสพติด แห่งเดียวของกรมสุขภาพจิต

People Unity News : รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ บำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยจิตเวชจากสารเสพติดของกรมคุมประพฤติด้วยแนวคิดชุมชนบำบัดแห่งเดียวของกรมสุขภาพจิต ได้ผลดีไม่กลับไปเสพซ้ำภายใน 1 ปี ถึงร้อยละ 64

เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2562 ที่ จ.สุราษฏร์ธานี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยม “ศูนย์สาธิตจิตสังคมบำบัด” และให้กำลังใจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ที่โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ จ.สุราษฏร์ธานี ว่า โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ เป็นโรงพยาบาลเดียวของกรมสุขภาพจิตที่มีสถานที่เฉพาะสำหรับบำบัดและฟื้นฟูผู้ป่วยจิตเวชจากการใช้สารเสพติดที่กรมคุมประพฤติส่งมาบังคับบำบัดแบบไม่เข้มงวด ไม่ปะปนกับผู้ป่วยจิตเวชอื่น ด้วยแนวคิดชุมชนบำบัด ใช้ชีวิตร่วมกันในชุมชนจำลองเสมือนบ้าน ช่วยเหลือกันเหมือนคนในครอบครัว มีบทบาทหน้าที่รับผิดชอบตามความสามารถ ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม เน้นการจัดการ 4 ด้าน คือ พฤติกรรม อารมณ์ สติปัญญาและจิตวิญญาณ อาชีพและการอยู่รอด มีเป้าหมายกระตุ้นให้ผู้ป่วยมุ่งมั่นในการเลิกยา หยุดการใช้สารเสพติด ป้องกันการกลับไปเสพซ้ำ เพิ่มศักยภาพด้านพฤติกรรม จิตใจ อารมณ์ และสังคม มีแบบแผนการดำเนินชีวิตที่เหมาะสม

โดยผู้ป่วยจากการใช้สารเสพติดที่เข้ารับการบำบัดทุกคน จะต้องเข้ารับการบำบัดนานถึง 4 เดือน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมได้ โดยผลการดำเนินงานพบว่าได้ผลดี มีผู้บำบัดครบระยะที่กำหนดถึงร้อยละ 87 ที่สำคัญคือผู้ป่วยไม่กลับไปเสพสารเสพติดซ้ำในระยะ 1 ปี คิดเป็นร้อยละ 64

นอกจากนี้ โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ยังเป็นศูนย์เชี่ยวชาญจิตเวชผู้สูงอายุของภาคใต้ เพื่อเตรียมการรองรับสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีปัญหาซับซ้อนกว่าผู้ป่วยกลุ่มอายุอื่น อาการเจ็บป่วยไม่ตรงไปตรงมาจากสภาพร่างกายเสื่อมถอย ต้องให้การบำบัดทั้งการใช้ยาและไม่ใช้ยา เช่น การนวดฝ่าเท้าด้วยลูกแก้ว ศิลปะบำบัด ดนตรีบำบัด สวนบำบัด การบำบัดด้วยแสงสว่าง ปรับสภาพแวดล้อมคล้ายอยู่ที่บ้าน ป้องกันการลื่นล้ม หกล้ม รวมทั้งได้สร้างเครื่องมือคัดกรองโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ รักษาผู้สูงอายุจากจิตเวชเรื้อรังและจิตเวชจากการใช้สารเสพติดอีกด้วย

สำหรับโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ เป็นโรงพยาบาล ขนาด 450 เตียง รับดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิต ในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน 7 จังหวัด ประกอบด้วย สุราษฎร์ธานี ชุมพร ระนอง กระบี่ พังงา ภูเก็ต นครศรีธรรมราช มีผู้รับบริการแผนกผู้ป่วยนอกเฉลี่ยวันละ 280 คน ผู้ป่วยใน 300 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยเก่าที่อาการซับซ้อนไม่สามารถรักษาที่โรงพยาบาลจังหวัดได้ โดยโรคที่มารับบริการมากที่สุดคือ จิตเภท ร้อยละ 30 รองลงมาโรควิตกกังวล ซึมเศร้า และที่น่าสนใจคือ มีผู้ป่วยที่เป็นผู้ใช้สารเสพติดมีแนวโน้มเข้ารับบริการมากขึ้นทุกปี

โฆษณา

“อนุทิน”เผยนานาชาติชื่นชมระบบ สธ.ไทย

People Unity News : “อนุทิน”รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ต้อนรับผอ.องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน เผยนานาชาติชื่นชมระบบ สธ.ไทย

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ให้การต้อนรับนายแอนโตนิโอ วิตอรีโน (Antonio Vitorino)ผอ.องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน และคณะ เนื่องในโอกาสมาเยือนประเทศไทย โดยใช้เวลาหารือประมาณ 20 นาที

นายอนุทิน กล่าวว่า ผอ.องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน ได้แสดงความชื่นชมประเทศไทย ซึ่งให้การดูแลแรงงานต่างชาติ และชาวต่างชาติที่มาทำงานในประเทศไทยเป็นอย่างดี โดยเฉพาะด้านการดูแลสุขภาพ และการรักษาพยาบาล ซึ่งทางยูนีเซฟ ก็เคยชื่นชมในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ ระบบบริการสุขภาพของไทย ไม่เป็น 2 รองใคร ต้องขอบคุณ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่ดูแลเรื่องการต่างประเทศ วันนี้ การสาธารณสุขของไทยมีชื่อเสียง และเป็นแบบอย่างให้หลายประเทศ

เมื่อถามถึงความคืบหน้าเรื่องการหาสารทดแทน 3 สารพิษที่ถูกแบน นายอนุทิน กล่าวว่า จะเป็นสารอะไรก็ได้ ขออย่ามีปัญหากับสุขภาพของประชาชน ใช้แล้วไม่เกิดโรค เกิดแผล เพราะถ้ามีผลกระทบแบบเดิมอีก ก็ต้องแบน กระทรวงสาธารณสุขมีแลบของกรมการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ คณะกรรมการอาหารและยา ดังนั้น อะไรที่เป็นอันตราย รับรองว่าตรวจพบแน่ และถ้าพบ ก็ต้องเจอดี

สธ.เตือนประชาชน!! กินหมูดิบเสี่ยงโรคไข้หูดับ เสียชีวิต!!

People Unity : กระทรวงสาธารณสุขห่วงประชาชนบริโภคแหนมหมู หมูดิบ เสี่ยงโรคไข้หูดับ อาจเสียชีวิตได้ ให้สาธารณสุขจังหวัดเร่งลงพื้นที่สอบสวนโรค และแนะนำประชาชนบริโภคอาหารถูกสุขลักษณะ

นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากกรณีที่มีข่าวประชาชนในจังหวัดแพร่และน่าน เกิดอาการผิดปกติเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล และมีบางรายเสียชีวิต หลังจากรับประทานแหนมหมูดิบ หมูป่าดิบ จึงให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเร่งลงพื้นที่สอบสวนโรค และให้ความรู้ประชาชนในการบริโภคอาหารที่ถูกสุขลักษณะ เบื้องต้นได้รับรายงานว่า ผู้ป่วยเป็นโรคไข้หูดับ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อสเตร็ปโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) มักพบใน เนื้อหมู เครื่องในและเลือดหมูที่เป็นโรค จากข้อมูลสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ตั้งแต่ 1 ม.ค. 62 – 10 พ.ค. 62 มีผู้ป่วยแล้วจำนวน 113 ราย จาก 22 จังหวัด และเสียชีวิต 15 ราย

นายแพทย์สุขุม กล่าวต่อว่า การรับประทานเนื้อหมูดิบ หรือปรุงสุกๆ ดิบๆ เสี่ยงต่อการการเกิดโรคไข้หูดับได้ แนะนำให้ปรุงเนื้อหมูให้สุกด้วยความร้อนจนเนื้อไม่มีสีแดง รวมถึงเลือกซื้อวัตถุดิบมาจากแหล่งที่ได้มาตรฐาน สะอาด ผ่านการตรวจจากโรงฆ่าสัตว์หรือจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ไม่ซื้อเนื้อหมูที่มีกลิ่นคาว สีคล้ำ หรือมีลักษณะเป็นเม็ดสาคู หลังจากสัมผัสกับเนื้อหมูควรรีบล้างมือทันที ส่วนการใช้มะนาวหรือไข่มดแดงนั้นไม่สามารถทำให้สุกหรือฆ่าเชื้อโรคได้

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผู้ป่วยโรคไข้หูดับจะมีอาการหลังรับประทานเนื้อหมูดิบ 3-5 วัน  มักมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะอย่างรุนแรง เวียนศีรษะจนทรงตัวไม่ได้ อาเจียน คอแข็ง หูหนวก ท้องเสีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หากปล่อยไว้เชื้อจะเข้าไปทำลายอวัยวะภายในและระบบประสาท ทำให้เยื่อหุ้มสมอง เยื่อบุหัวใจอักเสบ ประสาทหูทั้ง 2 ข้างอักเสบและเสื่อมอย่างรุนแรง ทำให้หูหนวกตลอดชีวิต รวมถึงพบเลือดออกใต้ผิวหนังได้ เมื่อพบอาการผิดปกติหลังรับประทานเนื้อหมูดิบขอให้รีบพบแพทย์ทันทีและบอกประวัติการกินหมูดิบให้ทราบ เนื่องจากหากวินิจฉัยได้เร็ว จะช่วยลดอัตราการหูหนวกและการเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ กลุ่มที่ติดเชื้อแล้วจะมีอาการป่วยรุนแรง ได้แก่ ผู้ที่ติดสุราเรื้อรัง ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคไต โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ผู้ที่เคยตัดม้ามออก เป็นต้น

โรคไข้หูดับ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตร็ปโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) สามารถติดต่อได้ 2 ทาง คือ 1.การสัมผัสกับหมูที่ติดเชื้อ รวมทั้งเนื้อหมู เครื่องในและเลือดหมูที่เป็นโรค โดยติดต่อสู่คนทางบาดแผล รอยขีดข่วนตามร่างกายหรือทางเยื่อบุตา 2.เกิดจากการบริโภคเนื้อหมู หรือเลือดหมูที่ปรุงดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ ที่มีเชื้ออยู่

สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

สังคม : สธ.เตือนประชาชน!! กินหมูดิบเสี่ยงโรคไข้หูดับ เสียชีวิต!!

People Unity : post 21 พฤษภาคม 2562 เวลา 11.00 น.

“อนุทิน” ระบุ ขยายเวลาเปิดสถานบริการถึงตี 4 ขยายเวลาได้ก็ยกเลิกได้ หากทำผิด กม.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 ธันวาคม 2566 รมว.หาดไทย ย้ำ การขยายเวลาเปิดสถานบริการถึง 4:00 น. ผู้ประกอบการและผู้เข้าใช้บริการสถานบริการต้องปฏิบัติตามกฎหมาย หากพบการกระทำที่ผิดกฎหมาย ขยายเวลาได้ก็ยกเลิกได้เช่นกัน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า สำหรับการประกาศขยายเวลาเปิดสถานบริการอย่างเป็นทางการนั้น กระทรวงมหาดไทยได้ลงนามในกฎกระทรวงฯ โดยได้ระบุวันที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 ธันวาคม 2566 และได้ส่งต่อให้นายกรัฐมนตรีลงนามตามขั้นตอนแล้ว ซึ่งเหลือเพียงการรอการประกาศอย่างเป็นทางการในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ ต้องเน้นย้ำว่าการขยายเวลาเปิดของสถานบริการไปจนถึง 4:00 น. ตามนโยบายของรัฐบาลนั้น จะสามารถขยายได้เฉพาะสถานบริการที่อยู่ในโซนนิ่ง 4 จังหวัด 1 อำเภอนำร่อง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ชลบุรี ภูเก็ต และอำเภอเกาะสมุย สุราษฎร์ธานี โดยต้องเป็นสถานบริการที่มีการจดทะเบียน มีใบอนุญาตสถานบริการอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น หากไม่มีก็ไม่สามารถเปิดในช่วงที่มีการขยายเวลาได้ พร้อมเน้นย้ำว่า ทั้งผู้ประกอบการสถานบริการ และนักท่องเที่ยวผู้เข้าใช้บริการต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่พกพาอาวุธติดตัว ดื่มไม่ขับ และปัญหายาเสพติด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้มีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างตำรวจกับฝ่ายปกครองอยู่แล้ว หากพบการกระทำที่ผิดก็หมาย ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ก็สามารถยกเลิกการขยายเวลาได้เช่นกัน

ด้าน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวด้วยว่า สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีสถานบริการทั้งหมด 207 แห่ง ซึ่งจากการตรวจสอบสถานะแต่ละร้าน พบว่ามีเพียงประมาณ 140 กว่าแห่งเท่านั้นที่สามารถเปิดในช่วงขยายเวลาได้ ทั้งนี้ นายอนุทิน เชื่อมั่นว่า ความเดือดร้อนจากการขยายเวลาเปิดสถานบริการออกไปจะไม่เกิดขึ้นถ้าทุกคนทำตามกฎหมาย

Advertisement

ก.อุดมศึกษาฯลุยทำแผน”สมาร์ทฟาร์มเมอร์เครือข่ายม.ราชภัฏลำปาง-สสน.

People Unity : “องอาจ ปัญญาชาติรักษ์” ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษาฯ ลุยทำแผน”สมาร์ทฟาร์มเมอร์เครือข่ายม.ราชภัฏลำปาง-สสน.

วันที่ 26 ต.ค.2562 นายองอาจ ปัญญาชาติรักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม ประชุมทำแผนปฏิบัติการกับกลุ่มเครือข่ายมหาวิทยาลัยในจังหวัดลำปาง และสถาบันสารสนเทศและทรัพยากรน้ำ (สสน.) เพื่อพัฒนา “สมาร์ทฟาร์มเมอร์” ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

นายองอาจ กล่าวว่า จากที่ รมว กระทรวง อว. มีนโยบายการพัฒนา “สมาร์ทฟาร์มเมอร์” วันนี้ได้มีโอกาสขึ้นรูปแผนการพัฒนาเกษตรกรไปสู่สมาร์ทฟาร์มเมอร์ ทั้งในส่วนของพืชสัตว์เศรษฐกิจยุคปัจจุบัน และยุคใหม่ เช่น ไผ่ กัญชง ซึ่งนอกจากการขยายผลจากของเดิม ยังจะต้องมีแผนในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตร การรับรองคุณภาพ การวิจัยความรู้ก่อนและหลังการเก็บเกี่ยว การศึกษาตลาดในรูปแบบต่างๆ การขนส่งผลิตภัณฑ์ การบริหารจัดการที่ครบทั้งห่วงโซ่และจะต้องเตรียมแผนการพัฒนาเกษตรกรต่อไป

“รมว. กระทรวง อว. ได้ตั้งงบประมาณสำหรับการพัฒนา Smart Farmer ไว้ 500 ล้านบาท ในปี 2563 ซึ่งแนวทางคือ ให้ทุกภาคส่วนของกระทรวงที่มีทั้ง สถานบันวิจัยต่างๆ เช่น สวทช วว วศ รวมผลังกับมหาวิทยาลัยในพื้นที่ พัฒนากลุ่มเกษตรกรเป้าหมาย โดยตั้งเป้าอย่างเป็นรูปธรรมที่ 500 กลุ่มภายใน 6 เดือน และเพิ่มรายได้จากการพัฒนาการผลิต ลดต้นทุน เพิ่มมูลค่า อย่างใน 20% รวมทั้งจะดึงเอาพลังและองค์ความรู้ของนักศึกษาลงไปช่วยแก้ไขปัญหาทางการ เกษตรในพื้นที่จริงอีกด้วย”

ครม.อนุมัติงบ 107 ลบ. โครงการอาชีวะ ฝีมือชน พัฒนากำลังคนชายแดนใต้ นักเรียนด้อยโอกาส

11367069 - yala, thailand - december 3: unidentified students attend for religious seminar in religious seminar for thai king's birthday on dec 3, 2011 at youth center yala, thailand

People Unity News : ครม.อนุมัติกว่า 107 ล้านบาท โครงการอาชีวะ ฝีมือชน พัฒนากำลังคนชายแดนใต้ สร้างทักษะอาชีพที่มั่นคงแก่นักเรียนด้อยโอกาส

9 มี.ค. 2565 ที่ประชุม ครม. วานนี้ (8 มี.ค. 65) ครม.อนุมัติโครงการอาชีวะ ฝีมือชน พัฒนากำลังคนชายแดนใต้ กรอบวงเงินงบประมาณ 107.6 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2564 – 2568 ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลือนักเรียนด้อยโอกาสในเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้เรียนรู้วิชาชีพและสร้างทักษะประกอบอาชีพที่มั่นคง

โครงการอาชีวะ ฝีมือชน พัฒนากำลังคนชายแดนใต้นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ช่วยเหลือนักเรียนด้อยโอกาสและครอบครัวผู้มีรายได้น้อย 2)สร้างโอกาสให้เยาวชนในเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ได้เรียนรู้วิชาชีพอย่างมีคุณภาพ 3)ลดความเหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษาและสร้างแรงจูงใจให้เยาวชนได้มีโอกาสสร้างทักษะในการประกอบอาชีพที่มั่นคง โดยดำเนินการในลักษณะการจัดตั้งโรงเรียนประจำในสถานศึกษาสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดสงขลา ในอำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย รวม 4 แห่ง ได้แก่ 1)วิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกปัตตานี 2)วิทยาลัยอาชีวศึกษายะลา 3)วิทยาลัยการอาชีพสุไหง-โกลก และ 4)วิทยาลัยเทคนิคจะนะ สำหรับกลุ่มเป้าหมายของโครงการจะเปิดรับนักเรียน/นักศึกษาในระดับ ปวช. จำนวน 135 คนต่อชั้นเรียน และระดับ ปวส. จำนวน 247 คนต่อชั้นเรียน ซึ่งเป็นนักเรียน/นักศึกษาที่ยากจน ถูกทอดทิ้ง ไม่มีผู้อุปการะ และได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีคุณสมบัติ อาทิ 1)ครอบครัวมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี โดยใช้ข้อมูลจากผู้ที่ลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยเพื่อรับสวัสดิการของรัฐ 2)เป็นนักเรียนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 3)มีภูมิลำเนาในจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดสงขลา ในอำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย

โครงการนี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและสร้างโอกาสให้นักเรียนด้อยโอกาสในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ศึกษาต่อด้านวิชาชีพอย่างทั่วถึงและมีทักษะประกอบอาชีพที่มั่นคง ทั้งนี้ ผลการดำเนินโครงการในปีงบประมาณ พ.ศ.2561 – 2563 ที่ผ่านมา มีนักเรียน/นักศึกษาเข้าร่วมโครงการรวมทั้งสิ้น 858  คน แบ่งเป็นระดับ ปวช .จำนวน 318 คน และระดับ ปวส.จำนวน 540 คน ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น

Advertising

นายกฯ สั่ง ตร.เข้มกฎหมายจราจร หลังพบสถิติอุบัติเหตุสูง

People Unity News : 4 กุมภาพันธ์ 2566 นายกฯ ห่วงใยผู้ใช้รถใช้ถนน หลังข้อมูลเดือน ม.ค. ยอดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนยังเพิ่มขึ้น กำชับ ตร.บังคับใช้มาตรการตามกฎหมาย

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมการขนส่งทางบกได้เริ่มใช้ระบบตัดแต้มใบอนุญาตขับขี่ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค. 66 เป็นต้นมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้ให้ความสนใจติดตามข้อมูลเกี่ยวกับดำเนินการตามมาตรการและผลต่อสถานการณ์อุบัติเหตุบนท้องถนนอย่างใกล้ชิดอย่างไรก็ตาม ข้อมูลผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนในเดือน ม.ค. 66 ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้นายกรัฐมนตรีห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนทุกท่าน และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการกวดขัน บังคับใช้มาตรการทั้งส่วนของการตัดแต้มใบอนุญาตขับขี่ และตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวด เพื่อสร้างวินัยจราจรให้เกิดขึ้นกับผู้ขับขี่

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังห่วงใยกรณีของอุบัติเหตุที่เกิดจากงานก่อสร้างบนท้องถนน จึงขอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการก่อสร้างทั้งส่วนของกรมทางหลวง ทางหลวงชนบท หรือหน่วยงานท้องถิ่นที่ควบคุมการก่อสร้างในสายทางย่อย ให้กำกับติดตามการทำงานของผู้รับเหมาให้มีการจัดสัญญาณแจ้งเตือนประชาชน หรือมีมาตรการป้องกันอุบัติเหตุให้รัดกุมด้วย

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุทางถนน รายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 1-31 ม.ค.66 ได้มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนทั้งสิ้น 1,408 ราย เพิ่มขึ้นจาก 1,302 ราย ในช่วงเดียวกันของปี 65 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.14 ขณะที่จำนวนผู้บาดเจ็บอยู่ที่ 70,044 คน ลดลงจาก 80,178 คน ในปี 65 หรือลดลงร้อยละ 12.63 ซึ่งจากผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งหมดนี้เป็นผู้ประสบภัยจากจักรยานยนต์ถึงร้อยละ 80 ส่วนอีกร้อยละ 20 มาจากรถยนต์

ทางด้านกรมการขนส่งทางบก รายงานข้อมูลการดำเนินการตัดแต้มใบอนุญาตขับขี่ตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค.เป็นต้นมา พบว่าจนถึงวันที่ 30 ม.ค.66 มีผู้กระทำผิดกฎหมายจราจรและถูกตัดแต้มสะสม 11,531 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ถูกตัด 1 คะแนน ซึ่งเป็นกลุ่มความผิด เช่น ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ ไม่สวมหมวกนิรภัย ไม่รัดเข็มขัดนิรภัย ขับรถเร็วเกินกำหนด ขับรถบนทางเท้า ไม่หยุดให้คนข้ามทางม้าลาย ไม่หลบรถฉุกเฉิน เป็นต้น

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า จากผู้ถูกตัดแต้มใบอนุญาตขับขี่ทั้งหมดข้างต้นเป็นผู้มีคะแนนคงเหลือจากคะแนนเต็ม 12 คะแนน สรุปได้ดังนี้ เหลือ 11 คะแนน จำนวน 9,717 คน เหลือ 10 คะแนน 1,718 คน เหลือ 9 คะแนน 71 คน เหลือ 8 คะแนน 14 คน เหลือ 7,6,5 และ 2 คะแนน อย่างละ 1 คน และเหลือ 1 คะแนน 7 คน

ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกได้เตรียมความพร้อมสำหรับผู้ที่กระทำผิดแล้วโดนตัดแต้มใบขับขี่ให้สามารถเข้าอบรบเพื่อขอคืนแต้ม ซึ่งจะเป็นแนวทางที่ช่วยสร้างพฤติกรรมการขับรถที่ถูกต้องตามกฎหมาย ลดพฤติกรรมเสี่ยงสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัย ลดอุบัติเหตุและการสูญเสียในภาพรวมลง

Advertisement

“พิพัฒน์”ร่วมขบวนแห่ “เจ้าแม่ทับทิม” ย่านเยาวราช

People Unity News : รมว.ท่องเที่ยวและกีฬาร่วมขบวนแห่ “เจ้าแม่ทับทิม” ย่านเยาวราช พร้อมทัพใหญ่ “ทัวร์ตระกูลแซ่” เชื่อมั่นสัมพันธ์ไทย-จีน แน่นแฟ้น ส่งผลดีต่อภาพรวมด้านท่องเที่ยวทั้งสองประเทศ

เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพร้อมด้วยผู้บริหารร่วมขบวนแห่ “เจ้าแม่ทับทิม” (หม่าโจ้ว) รอบย่านเยาวราช ตามที่สมาคมตระกูลลิ้มแห่งประเทศไทย ได้อัญเชิญเจ้าแม่ทับทิมจากสาธารณรัฐประชาชนจีนมาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งไทย-จีนได้เคารพสักการะ

ทั้งนี้ หลังจากเจ้าแม่ทับทิมได้รับการอัญเชิญมาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 14 โดยมีพิธีต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ณ สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิแล้ว ทางสมาคมฯ ได้อัญเชิญองค์เจ้าแม่ทับทิมไปประทับ ณ สมาคมฉวนโจว-จิ้นเจียง ประเทศไทย ถนนราชพฤกษ์-สำเพ็ง 2, สมาคมตระกูลลิ้มแห่งประเทศไทย และวันนี้ได้มีพิธีแห่องค์เจ้าแม่ไปยังถนนย่านเยาวราช เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวไทย-จีนที่มีความเลื่อมใสศรัทธา ได้มีโอกาสกราบสักการะและขอพร ซึ่งเจ้าแม่ทับทิมหรือเจ้าแม่หม่าโจ้วมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพสักการะของคนจีนที่ทำอาชีพประมงหรือออกเดินเรือไปหาปลาเป็นอย่างมาก ถ้าเปรียบกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคนไทยก็จะหมายถึงแม่ย่านางที่เรามักจะกราบไหว้ขอพรก่อนการออกเดินทางทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นทางรถหรือทางเรือ

รมว.พิพัฒน์ กล่าวว่า การเดินทางมาประเทศไทยขององค์เจ้าแม่ทับทิมครั้งนี้ ไม่เพียงแต่นักท่องเที่ยวไทยจีน รวมถึงผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาในองค์เจ้าแม่ทับทิมได้มีโอกาสกราบสักการะ เพื่อความเป็นสิริมงคลแล้ว ยังมีคณะนักท่องเที่ยวตระกูลแซ่จำนวนมากกว่า 600 คน เดินทางมาด้วย ซึ่งเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานตามนโยบายที่ผมเคยให้ไว้แก่หน่วยงานของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพราะในโลกนี้มีคนจีนเป็นจำนวนมาก มีสายสัมพันธ์อันดีกับชาวไทยเรามาช้านาน จึงเป็นกุศโลบายที่ดีที่จะเชื้อเชิญชาวจีนตระกูลแซ่ต่างๆ ได้มาท่องเที่ยวในเมืองไทย มาพบปะเยี่ยมเยียนบรรพบุรุษญาติมิตรเชื้อสายเดียวกันที่พักอาศัยอยู่ในประเทศไทย นอกจากจะเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอันดีงามของทั้งสองเชื้อชาติแล้ว ความอบอุ่นประทับใจที่เกิดขึ้นย่อมได้รับการประชาสัมพันธ์บอกต่อให้ชาวจีนคนอื่นๆ ได้เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย เกิดการจับจ่ายใช้สอยอันจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างรายได้แก่ประเทศไทยโดยรวมต่อไป หน้าที่ของประชาชนคนไทยคือการต้อนรับผู้มาเยี่ยมเยือนเหล่านี้ด้วยการไม่เอารัดเอาเปรียบ ต้มตุ๋นหลอกลวง สร้างความอบอุ่นประทับใจให้เกิดขึ้น เพียงเท่านี้ก็ถือว่าทุกท่านได้ปฏิบัติหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีแล้ว

ยะลาชุบชีวิต “ต้าสวุ่ยต้อ” จากอุโมงค์หลบภัย สู่แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่

People Unity News : ยะลาชุบชีวิต “ต้าสวุ่ยต้อ” จากอุโมงค์หลบภัย สู่แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่

12 มี.ค. 2565 กรมป่าไม้ และ ศอ.บต. ดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศและประวัติศาสตร์ อุโมงค์ใหญ่ “ต้าสวุ่ยต้อ” ป่าสงวนแห่งชาติ อ.เบตง จ.ยะลา ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์แก่คนรุ่นหลังและนักท่องเที่ยวที่สนใจ เริ่มดำเนินการตั้งแต่ ต.ค. 64 – ก.ย. 67 โดยจะเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กห. เพื่อทราบ ในพิธีเปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ ดอนเมือง – เบตง วันจันทร์ที่ 14 มี.ค. 65

อุโมงค์ใหญ่ “ต้าสวุ่ยต้อ” ขุดด้วยแรงคนและใช้งานในสมัยการสู้รบระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์มลายากับรัฐบาลมาเลเซีย ช่วงปี พ.ศ. 2491 – 2532 เพื่อเป็นที่หลบภัยทางอากาศ มีการขุดเจาะหลายสิบอุโมงค์ทางเข้าออกหลายทางเชื่อมโยงถึงกันคล้ายใยแมงมุม มีห้องนอนและพื้นที่ปฏิบัติการ เช่น สถานีวิทยุ ห้องเก็บเสบียง ฯลฯ นับเป็นการก่อสร้างจากฝีมือมนุษย์ที่ชาญฉลาด

Advertising

สถานบันเทิงเตรียมยิ้ม มท.1 ชง ครม.เปิดตี 4 15 ธ.ค.นี้

People Unity News : 30 ตุลาคม 2566 มท.1 มอบนโยบายกรมการปกครอง ย้ำบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน จ่อออกกฎหมายคุมปืนระบุตัวตนเจ้าของทุกกระบอก ไม่เว้น จนท.รัฐ เตรียมชง ครม. เห็นชอบเปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 ภายใน 15 ธ.ค.นี้

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายเกรียง กัลป์ตินันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมคณะตรวจเยี่ยมกรมการปกครองและหน่วยงานในสังกัด พร้อมมอบนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดกรมการปกครอง สังกัดกระทรวงมหาดไทย โดยมีผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง ให้การต้อนรับ

ภายหลังเสร็จสิ้นการมอบนโยบาย นายอนุทิน ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ได้มามอบนโยบายให้กรมการปกครอง และรับฟังสรุปนโยบายของกรมการปกครอง โดยเน้นเรื่องการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข พี่น้องประชาชนให้คุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคนดีขึ้น เช่น การจัดระเบียบสังคม การปราบปรามผู้มีอิทธิพล การควบคุมอาวุธปืน การให้ความช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานในอิสราเอล ฯลฯ ตามนโยบาย 10 ข้อหลักของกระทรวงมหาดไทยที่เคยประกาศไปก่อนหน้านี้ และนโยบายของรัฐบาล

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำบัญชีรายชื่อปราบปรามผู้มีอิทธิพลว่า ขณะนี้กรมการปกครองมีการติดตามอย่างใกล้ชิด บุคคลแต่ละคนมีความเคลื่อนไหวที่เป็นภัยต่อสังคมหรือทำผิดกฎหมายอย่างไร ทางกระทรวงมหาดไทยทำงานเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลต่างๆ แก่สาธารณะได้ โดยติดตามและใช้กฎหมายควบคุมคนเหล่านี้ ไม่ให้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน คนเหล่านี้มีจำนวนมาก เราต้องทำงานกับภาคส่วนต่างๆ เช่น ตำรวจ ทหาร ช่วยกันปราบปรามเพื่อให้สังคมเกิดความสงบ

ส่วนของความคืบหน้าเรื่องการควบคุมอาวุธปืนและสิ่งเทียมปืน นายอนุทิน กล่าวว่า ขณะนี้มีการขอให้ออกระเบียบ เก็บอาวุธปืนไว้ในที่ปลอดภัย เช่น สนามยิงปืนให้เก็บเอาไว้ในล็อกเกอร์ ผู้ที่อยากทดลองหรือซ้อมยิงปืนก็ให้ไปใช้ในสนามยิงปืน เอาออกมาไม่ได้ จะทำให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้น และในส่วนของการระบุตัวเจ้าของอาวุธปืนนั้น จะมีการบันทึกรอยหัวกระสุนปืนเพื่อยืนยันตัวตนเจ้าของอาวุธปืน ทั้งบุคคลทั่วไปและเจ้าหน้าที่รัฐทุกกระบอก ขณะนี้กำลังจะมีการร่าง พ.ร.บ.เสนอให้คณะรัฐมนตรีและบรรจุเข้าสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

เมื่อถามถึงความคืบหน้านโยบายการอนุญาตให้เปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า จะกำหนดโซนนิ่ง โดยจะเน้นในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต กรุงเทพฯ เป็นต้น ขั้นตอนต่อมาจะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในโซนที่กำหนดไว้ เรากำหนดเดดไลน์ไว้ หากทุกอย่างเรียบร้อย จะออกประกาศเป็นกฎกระทรวง และจะนำเสนอเข้าสู่คณะรัฐมนตรีภายในวันที่ 15 ธันวาคมนี้เพื่อให้สอดคล้องกับช่วงเทศกาลท่องเที่ยว

“ยืนยันว่ามาตรการทั้งหลาย ทำเพื่อผู้มีเจตนาไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะอนุญาตให้เปิดถึงกี่โมงก็แล้วแต่ ขอให้ความร่วมมือกับภาครัฐ ไม่ทำผิดกฎหมาย จะเปิดถึงกี่โมงก็ไม่มีปัญหา สามารถเปลี่ยนปัญหาเป็นโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจ มีรายได้เพิ่มมากขึ้น หากมองในมิตินี้ก็ถือว่าเป็นประโยชน์” นายอนุทิน กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics