วันที่ 15 มิถุนายน 2025

มหาดไทย แจ้ง อปท. ทั่วประเทศ จัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ รร.ในสังกัด ตั้งแต่ภาคเรียน 1/2567

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 ธันวาคม 2566 กระทรวงมหาดไทยแจ้ง อปท. จัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ตั้งแต่ภาคเรียน 1/67 รุกปลูกจิตสำนึกเทิดทูนสถาบันหลักตามนโยบาย “อนุทิน”

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า จากการที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีนโยบายให้หน่วยงานภายใต้การกำกับร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศให้เป็นผู้ที่มีความรักเทิดทูนในสถาบันหลักและภูมิใจในประวัติศาสตร์ของชาติ ควบคู่ไปกับการพัฒนายกระดับการศึกษาและทักษะแรงงาน นำไปสู่การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU) ระหว่าง 4 กระทรวง และ 1 องค์การมหาชน ได้แก่กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงแรงงาน และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 66 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้เริ่มนำข้อตกลงตาม MOU มาขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิบัติ โดยแปลงไปสู่นโยบายรื้อฟื้นวิชาประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมืองและจริยธรรมศึกษา สำหรับสถาบันการศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมกับมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกจังหวัดทั่วประเทศแจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการให้สถานศึกษาในสังกัดจัดการเรียนการสอนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยนำวิชาประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมืองและจริยธรรมศึกษาเป็นวิชาหลักในการเรียน ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 เป็นต้นไป

พร้อมกันนี้ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและสถานศึกษาจัดกิจกรรม หรือ โครงการที่มุ่งเน้นในเรื่องการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ การตระหนักในหน้าที่พลเมือง การยกย่องบุคคลที่ทำความดีมีคุณธรรม จริยธรรม ซึ่งการเรียนและกิจกรรมต่างๆ นอกจากจะนำไปสู่ความรักและภูมิในสถาบันหลัก เกิดความเป็นหนึ่งเดียวกัน และสามารถลดความขัดแย้งของเยาวชน และไม่ถูกถูกผู้อื่นนำพาไปกระทำในสิ่งไม่ดีหรือผิดกฎหมาย

Advertisement

ลานพระธรรม!วัดโคราชเห็นใจชาวนาเปิดให้ตากข้าวฟรี

People Unity News : ลานพระธรรม!วัดโคราชเห็นใจชาวนาเปิดให้ตากข้าวฟรี เจ้าอาวาสเผยทางวัดรู้สึกสงสารและเห็นใจชาวนาที่ไม่มีสถานที่ตาก ตั้งกติกาตากได้ไม่เกินคนละ 2 วัน

วันที่ 15 พ.ย.2562 จากความทุกข์ของชาวนาเมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วไม่มีที่ตากให้แห้งบางพื้นที่ต้องตากบนถนนเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุรถชนกันจากการหักหลบกองข้าวเปลือกทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย ที่อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมานั้น ชาวนาบ้านท่าหลวง ตำบลท่าหลวง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ได้นำข้าวเปลือกมาตากพึ่งแดดไว้ภายในลานวัดบ้านท่าหลวงเป็นจำนวนมาก หลังจากหน่วยงานภาครัฐได้ขอความร่วมมือชาวนาไม่ให้ตากข้าวเปลือกบนถนน หวั่นเกิดอุบัติเหตุและกีดขวางการจราจร

พระสมุหะบุญมี ฐาระจิตโต เจ้าอาวาสวัดบ้านท่าหลวง กล่าวว่า ทางวัดรู้สึกสงสารและเห็นใจชาวนาที่ไม่มีสถานที่ตากข้าวเปลือกหลังจากเก็บเกี่ยวมาแล้ว จึงเปิดพื้นที่ลานวัดให้ชาวนานำข้าวเปลือกมาตาก เพราะไม่อยากให้ชาวนาไปตากข้าวบนถนน ซึ่งอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้

ด้านนายเจริญ โจ้พิมาย ชาวบ้าน บ้านท่าหลวง บอกว่า ดีใจที่ทางวัดอนุญาตให้นำข้าวมาตากบริเวณลานวัด เพราะชาวนาส่วนใหญ่ไม่มีที่ตากข้าว แต่กติกาการตากข้าวที่ลานวัดแห่งนี้ ต้องสลับสับเปลี่ยนกันไป หากชาวนาคนไหนเกี่ยวข้าวก่อน ก็จะนำข้าวมาตากก่อน ตากได้ไม่เกินคนละ 2 วัน จากนั้นก็เป็นคิวของชาวนาคนต่อไป ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความขัดแย้งแย่งที่ตากข้าวกันอีก ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบนถนน และช่วยไม่ให้เกิดปัญหาการนำวัสดุมาวางกีดขวางการจราจรบนพื้นผิวถนนได้ด้วย

Cr.ภาพตากข้าวถนนจาก https://www.posttoday.com/social/local/606260

การไฟฟ้านครหลวง เดินหน้าตามแผน สายไฟฟ้าใต้ดิน

People Unity News : 12 ตุลาคม 2566 ผู้ว่าการ MEA ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมภารกิจอุโมงค์สายส่งไฟฟ้าใต้ดิน Outgoing ชิดลม ย้ำลงทุนตามแผนให้มีระยะทางสายใต้ดินสะสมรวม 91.2 กิโลเมตร

นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมภารกิจการบำรุงรักษาอุโมงค์สายส่งไฟฟ้าใต้ดิน Outgoing ชิดลม ซึ่งเป็นอุโมงค์สายส่งไฟฟ้าใต้ดินขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 2564 มีระบบไฟฟ้าแรงดัน 115/69 และ 24 กิโลโวลต์ (kV) อยู่ใต้ถนนชิดลม ถึงถนนสารสิน และถนนเพลินจิต (จากสี่แยกชิดลม ถึงสี่แยกเพลินจิต) เส้นผ่านศูนย์กลาง 3.6 เมตร ยาว 1.3 กิโลเมตร อยู่ลึกกว่า 35 เมตร มีการเชื่อมโยงกับอุโมงค์สายส่งไฟฟ้าใต้ดินเดิมที่มีขนาดแรงดัน 230 kV เชื่อมต่อระหว่างสถานีต้นทางบางกะปิ ถึงสถานีต้นทางชิดลม ยาว 7 กิโลเมตร อยู่ลึกกว่า 30 เมตร ลอดใต้แนวคลองแสนแสบ อุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน และอุโมงค์ระบายน้ำของกรุงเทพมหานคร สร้างขึ้นเพื่อรองรับความต้องการการใช้ไฟฟ้าในย่านธุรกิจสำคัญใจกลางเมืองที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วยสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ลดปัญหาไฟฟ้าดับ ลดความเสี่ยงทางกายภาพที่อาจเกิดขึ้นกับสายไฟฟ้าแรงสูงบนพื้นดิน พร้อมทั้งสร้างภูมิทัศน์ที่สวยงามให้กับเมืองมหานครของประเทศไทย

ทั้งนี้ นอกจากการดำเนินโครงการนำสายไฟฟ้าแรงดันสูง 230 กิโลโวลต์ (kV) ลงใต้ดินแล้ว MEA ยังได้นำสายไฟฟ้าแรงดันสูงขนาด 12/24 กิโลโวลต์ (kV) รวมถึงแรงดันต่ำขนาด 220/380 โวลต์ (V) ลงใต้ดิน ภายใต้ชื่อโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน มีระยะทางดำเนินโครงการทั้งสิ้น 236.1 กิโลเมตร มีเป้าหมายก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในปี 2570 โดยขณะนี้สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จรวม 62 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่สำคัญในถนนต่างๆ เช่น ถนนสีลม ถนนสุขุมวิท ถนนพหลโยธิน ถนนพญาไท ถนนพระราม 1 ถนนราชดำริ ถนนราชวิถี ถนนราชปรารภ ถนนศรีอยุธยา ถนนสวรรคโลก ถนนสาธุประดิษฐ์ และถนนสว่างอารมณ์ เป็นต้น ขณะเดียวกันมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ 174.1 กิโลเมตร เช่น โครงการพระราม 3 โครงการรัชดาภิเษก และโครงการก่อสร้างตามแนวรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ โดย MEA คาดว่าภายในสิ้นปี 2566 จะมีระยะทางที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จเพิ่มขึ้นอีก 29.2 กิโลเมตร ทำให้มีระยะทางสายใต้ดินสะสมรวมทั้งสิ้น 91.2 กิโลเมตร

Advertisement

3กระทรวงจับมือพัฒนาและยกระดับการฝึกอาชีพแก่สตรี

People Unity News : 3 กระทรวง จับมือลงนามการพัฒนาและยกระดับการฝึกอาชีพแก่สตรี มุ่งส่งเสริมคุณภาพชีวิตและรายได้ที่ดี

วันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 เวลา 10.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วย หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (รมว.รง.) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (รมว.ดศ.) ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาและยกระดับการฝึกอาชีพให้แก่กลุ่มเป้าหมายระหว่างกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมการจัดหางาน สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์

นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า บทบาทของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในด้านการพัฒนาแรงงานและฝึกอาชีพมีความจำเป็นและสำคัญ เนื่องจากในปีหน้าเป็นต้นไป จะมีความต้องการแรงงานอุตสาหกรรมด้านดิจิทัลเป็นจำนวนปีละกว่า 40,000 คน ซึ่งภาคการศึกษาผลิตไม่ทันเพราะต้องใช้เวลา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจึงต้องพัฒนากำลังคนด้วยวิธี Upskill ยกระดับทักษะของแรงงานเดิมให้ทันสมัย และ Reskill คือพัฒนาคนที่อยู่ในสายแรงงานที่ยังไม่มีทักษะด้านดิจิทัล ให้มีทักษะด้านดิจิทัล โดยรัฐบาลจะพูดคุยกับภาคเอกชน โรงงาน และบริษัทใหญ่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์เพื่อศึกษาความต้องการบุคลากร สาขาวิชาและอาชีพที่ต้องการ ซึ่งรัฐกำลังประสานงาน ทั้งเติมเต็มความต้องการผู้ใช้แรงงาน ทั้งในกลุ่มผู้พิการ และสตรี

ในปัจจุบันดิจิทัลเทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกคนในชีวิต รัฐต้องการผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางของ Asean Hub ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีการพัฒนาด้านแรงงาน ใน 4-5 ปีที่ผ่านมา มีการย้ายฐานแรงงานการผลิตของอุตสาหกรรมไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเหตุผลสำคัญคือแรงงาน แรงงานจึงเป็นหัวใจหลักสำคัญของการวางรากฐานอุตสาหกรรมของประเทศไทย ประเทศไทยยังขาดแรงงานเป็นแสนคน ซึ่งแนวทางการร่วมมือบูรณาการกันระหว่างสามกระทรวงจากสามพรรคทำงานร่วมมือกัน ในการพัฒนาแรงงานนี้เกิดเป็นครั้งแรก จึงแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลทำงานโดยเน้นพี่น้องประชาชนเป็นหลัก เป็นความตั้งใจดีของรัฐมนตรีจากทั้ง 3 กระทรวงที่ทำให้เห็นว่าประเทศไทยจะเดินหน้าด้วยความเชื่อมั่นและความมั่นใจ

ด้านนายจุติ กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน สังคมเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล การส่งเสริมและพัฒนาอาชีพมีความจำเป็นที่จะต้องปรับตัวในการนำเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมมาใช้ กระทรวง พม. จึงได้ร่วมมือกับกระทรวงแรงงาน และกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาและยกระดับการฝึกอาชีพให้แก่กลุ่มเป้าหมาย ระหว่างกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมการจัดหางาน สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อร่วมกันยกระดับการฝึกอาชีพให้ได้มาตรฐาน ส่งเสริม และสนับสนุนการนำเทคโนโลยีมาใช้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ทักษะความชำนาญของแต่ละหน่วยงานที่ร่วมลงนาม ซึ่งจะช่วยสนับสนุน สค. ตามภารกิจของตนเอง อาทิ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จะสนับสนุนข้อมูลเพื่อการวางแผนการจัดฝึกอบรมให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ร่วมกันพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมให้เหมาะสมสำหรับกลุ่มเป้าหมายให้ทันต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่ กรมการจัดหางานจะช่วยสนับสนุนในการส่งเสริมการมีงานทำแก่กลุ่มเป้าหมาย โดยการให้บริการจัดหางาน การแนะแนวอาชีพ การประกอบอาชีพ และการรับงานไปทำที่บ้าน

“พัชรวาท” สั่งตั้งศูนย์บัญชาการระดับพื้นที่ แก้ปัญหาช้างป่าบุกพื้นที่ทำกินแบบยั่งยืน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 ธันวาคม 2566 “เกณิกา“ เผย ”พล.ต.อ. พัชรวาท” สั่งตั้งศูนย์บัญชาการระดับพื้นที่ แก้ปัญหาช้างป่าบุกพื้นที่ทำกินแบบยั่งยืน เหยียบย่ำพืชผลเกษตรเสียหาย พร้อมจัด จนท.เฝ้าระวัง

น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการแก้ปัญหาช้างป่าที่ปัจจุบันประเทศไทยยังมีจำนวนช้างป่ารวมกันมากกว่า 4013-4422 ตัว โดยกระจายอยู่ในป่าอนุรักษ์ 69 แห่ง จากการรุกขยายพื้นที่เมืองและพื้นที่การเพาะปลูกเข้าสู่พื้นที่ป่าเพื่อพัฒนาประเทศ จึงเกิดเป็นความขัดแย้งระหว่างช้างป่าและมนุษย์ ซึ่ง พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้น จึงพยายามหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาช้างป่าออกนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ เข้ามาในพื้นที่หากินของประชาชนในหลายพื้นที่ อาทิ ตำบลวังท่าช้าง อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี รวมถึงตำบลลำนางรอง อำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์

“พล.ต.อ. พัชรวาท ต้องการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนอย่างยั่งยืน จึงได้สั่งการให้ตั้งศูนย์บัญชาการระดับพื้นที่ เพื่ออำนวยการแก้ไขปัญหาและกำหนดมาตรการในการผลักดันช้างป่ากลับคืนสู่พื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เพื่อป้องกันช้างป่าออกมานอกพื้นที่ทำลายพืชผลเกษตร รวมถึงบ้านเรือนประชาชนเสียหายหรือทำร้ายประชาชนจนเสียชีวิต และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จะจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังช้างป่าร่วมกับกลุ่มเครือข่ายเฝ้าระวังช้างป่าในพื้นที่ รวมถึงสร้างคูกันช้างป่า รอบพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จัดทำทุ่งหญ้า แหล่งน้ำ แหล่งอาหาร และโป่งเทียมในพื้นที่“

นอกจากนี้ จะมีการเร่งรัดของบกลาง สำหรับจัดจ้างราษฎรในพื้นที่ เพื่อเป็นชุดปฏิบัติการเฝ้าระวังผลักดันช้างป่า รวมถึงจัดสร้างสถานที่ควบคุมพฤติกรรมช้างป่าและจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเยียวยาราษฎรที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ จะมีการสำรวจประชากรช้างป่า โดยการศึกษาโมเดลแนวทางการแก้ปัญหาจากต่างประเทศ พร้อมทั้งขอให้กำหนดมาตรการเชิงรุกในการแก้ไขปัญหาช้างป่า เพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชนด้วย

Advertisement

“อนุทิน” ระบุ ขยายเวลาเปิดสถานบริการถึงตี 4 ขยายเวลาได้ก็ยกเลิกได้ หากทำผิด กม.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 ธันวาคม 2566 รมว.หาดไทย ย้ำ การขยายเวลาเปิดสถานบริการถึง 4:00 น. ผู้ประกอบการและผู้เข้าใช้บริการสถานบริการต้องปฏิบัติตามกฎหมาย หากพบการกระทำที่ผิดกฎหมาย ขยายเวลาได้ก็ยกเลิกได้เช่นกัน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า สำหรับการประกาศขยายเวลาเปิดสถานบริการอย่างเป็นทางการนั้น กระทรวงมหาดไทยได้ลงนามในกฎกระทรวงฯ โดยได้ระบุวันที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 ธันวาคม 2566 และได้ส่งต่อให้นายกรัฐมนตรีลงนามตามขั้นตอนแล้ว ซึ่งเหลือเพียงการรอการประกาศอย่างเป็นทางการในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ ต้องเน้นย้ำว่าการขยายเวลาเปิดของสถานบริการไปจนถึง 4:00 น. ตามนโยบายของรัฐบาลนั้น จะสามารถขยายได้เฉพาะสถานบริการที่อยู่ในโซนนิ่ง 4 จังหวัด 1 อำเภอนำร่อง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ชลบุรี ภูเก็ต และอำเภอเกาะสมุย สุราษฎร์ธานี โดยต้องเป็นสถานบริการที่มีการจดทะเบียน มีใบอนุญาตสถานบริการอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น หากไม่มีก็ไม่สามารถเปิดในช่วงที่มีการขยายเวลาได้ พร้อมเน้นย้ำว่า ทั้งผู้ประกอบการสถานบริการ และนักท่องเที่ยวผู้เข้าใช้บริการต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่พกพาอาวุธติดตัว ดื่มไม่ขับ และปัญหายาเสพติด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้มีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างตำรวจกับฝ่ายปกครองอยู่แล้ว หากพบการกระทำที่ผิดก็หมาย ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ก็สามารถยกเลิกการขยายเวลาได้เช่นกัน

ด้าน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวด้วยว่า สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีสถานบริการทั้งหมด 207 แห่ง ซึ่งจากการตรวจสอบสถานะแต่ละร้าน พบว่ามีเพียงประมาณ 140 กว่าแห่งเท่านั้นที่สามารถเปิดในช่วงขยายเวลาได้ ทั้งนี้ นายอนุทิน เชื่อมั่นว่า ความเดือดร้อนจากการขยายเวลาเปิดสถานบริการออกไปจะไม่เกิดขึ้นถ้าทุกคนทำตามกฎหมาย

Advertisement

เช็กด่วน..!! เริ่มแล้วรัฐบาลมอบเงินสงเคราะห์บุตรอัตราใหม่ ของผู้ประกันตน ม.33 และ 39

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 พฤษภาคม 2568 เช็กด่วน..!! เริ่มแล้วรัฐบาลมอบเงินสงเคราะห์บุตรอัตราใหม่ ของผู้ประกันตน ม.33 และ 39 ย้ำเน้นยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ประกันตน

วันนี้ (1 พฤษภาคม 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาลในการปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรจาก 800 บาทเป็น 1,000 บาทต่อเดือนต่อคน ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป และเริ่มจ่ายงวดแรกในวันที่ 30 เมษายนนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของรัฐบาลที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในทุกกลุ่มอย่างเป็นรูปธรรม

โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 ที่มีบุตรอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ขวบ มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์บุตรเดือนละ 1,000 บาท ต่อคน ต่อเดือนได้คราวละไม่เกิน 3 คน มาตรการนี้เป็นผลสืบเนื่องจากการที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาโครงสร้างประชากรของประเทศ ที่อัตราการเกิดลดลง ขณะที่ประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรไม่เพียงช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกันตน แต่ยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการเกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพของเด็กทุกคนอย่างเท่าเทียม และยกระดับคุณภาพชีวิตในระยะยาว

สำหรับการจ่ายเงินสงเคราะห์บุตร 2568 จะโอนเข้าบัญชีธนาคารให้ผู้ประกันตน ทุก ๆ สิ้นเดือน ซึ่งอัตราใหม่ 1,000 บาท  ตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขการจ่ายเงินสงเคราะห์บุตร มีดังนี้

– สิทธิในเดือนมกราคม จะได้รับเงินในเดือนเมษายน

– สิทธิในเดือนกุมภาพันธ์ จะได้รับเงินในเดือนพฤษภาคม

– สิทธิในเดือนมีนาคม จะได้รับเงินในเดือนมิถุนายน

– สิทธิในเดือนเมษายน จะได้รับเงินในเดือนกรกฎาคม

– สิทธิในเดือนพฤษภาคม จะได้รับเงินในเดือนสิงหาคม

– สิทธิในเดือนมิถุนายน จะได้รับเงินในเดือนกันยายน

– สิทธิในเดือนกรกฎาคม จะได้รับเงินในเดือนตุลาคม

– สิทธิในเดือนสิงหาคม จะได้รับเงินในเดือนพฤศจิกายน

– สิทธิในเดือนกันยายน จะได้รับเงินในเดือน ธันวาคม

– สิทธิในเดือนตุลาคม จะได้รับเงินในเดือนมกราคม (ปีถัดไป)

– สิทธิในเดือนพฤศจิกายน จะได้รับเงินในเดือนกุมภาพันธ์ (ปีถัดไป)

– สิทธิในเดือนธันวาคม จะได้รับเงินในเดือนมีนาคม (ปีถัดไป)

“ความสำเร็จครั้งนี้เป็นผลจากการบูรณาการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งนายจ้าง ผู้ประกันตน และภาครัฐ ซึ่งต่างเห็นชอบให้ปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตร อายุ 0–6 ปี สำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และ 39 จากเดิม 800 บาท เป็น 1,000 บาทต่อเดือน รัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการเกิด และการเติบโตอย่างมีคุณภาพของเด็กทุกคนอย่างเท่าเทียม จนนำไปสู่การประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับใหม่ และเกิดผลเป็นรูปธรรมในวันนี้ สำหรับประชาชนที่มีต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการได้รับเงินสงเคราะห์บุตรของสำนักงานประกันสังคม สามารถติดต่อสอบถามได้ผ่านทาง เพจ Facebook “สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน” หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.sso.go.th” นางสาวศศิกานต์  ระบุ

Advertisement

เริ่มแล้ว สปสช. ใช้แพลตฟอร์ม ‘Traffy Fondue’ รับแจ้งปัญหาการใช้สิทธิบัตรทอง

People Unity News : 16 กรกฎาคม 2565 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพิ่มช่องทางการติดต่อสื่อสารรับแจ้งปัญหาการใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาท ระหว่าง สปสช. กับประชาชนที่สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ผ่านแพลตฟอร์ม Traffy Fondue (ทราฟฟี่ ฟองดูว์) ที่พัฒนาโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และปัจจุบัน สวทช. ได้เปิดระบบเครือข่ายให้ สปสช. เข้าร่วมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เริ่มเปิดให้ประชาชนผู้ใช้สิทธิบัตรทองแจ้งเรื่องร้องเรียน รวมถึงปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ในการใช้บริการสิทธิบัตรทอง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดย สปสช. ได้จัดเจ้าหน้าที่ในการติดตาม และทันทีที่มีการแจ้งเรื่องเข้ามาในระบบจะเร่งแก้ไขปัญหาให้โดยเร็ว

วิธีแจ้งปัญหาผ่าน ทราฟฟี่ฟองดูว์

  1. เพิ่ม Traffy Fondue เป็นเพื่อนใน LINE ค้นหาไอดี @traffyfondue หรือคลิกที่ลิงก์ https://landing.traffy.in.th?key=zHdDaLxF
  2. พิมพ์ปัญหาที่ต้องการแจ้งในช่องแชท แล้วกดส่ง
  3. ถ่ายรูปและระบุประเภทปัญหาและแชร์ตำแหน่งที่เกิดปัญหา
  4. หลังจากนั้น ระบบจะแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ สปสช. ให้เข้าไปติดตามข้อมูลเพื่อนำมาแก้ไขปัญหาต่อไป
  5. ผู้แจ้งรอรับการแจ้งเตือนเมื่อมีความก้าวหน้า

Advertisement

 

รัฐบาลออกประกาศ ‘เด็กนักเรียนท้อง ต้องได้เรียนต่อไป’

People Unity News : 19 กุมภาพันธ์ 2566 รองโฆษกรัฐบาล เผยรัฐบาลออกประกาศ “เด็กท้องต้องได้เรียน” แม่วัยรุ่นต้องได้โอกาสทางการศึกษา

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ราชกิจจานุเบกษา (18 กุมภาพันธ์ 2566) ได้เผยแพร่กฎกระทรวงกำหนดประเภทของสถานศึกษาและการดำเนินการของสถานศึกษา ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 โดยมีความว่า อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง และมาตรา 6 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้

ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของข้อ 7 แห่งกฎกระทรวงกำหนดประเภทของสถานศึกษา และการดำเนินการของสถานศึกษาในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2561 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

ข้อ 7 สถานศึกษาตามข้อ 2 ที่มีนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์อยู่ในสถานศึกษา ต้องไม่ให้นักเรียนหรือนักศึกษานั้นออกจากสถานศึกษาดังกล่าว เว้นแต่เป็นการย้ายสถานศึกษา ตามความประสงค์ของนักเรียนหรือนักศึกษานั้น ทั้งนี้ ในท้ายกฎกระทรวง ได้ระบุเหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงเอาไว้ด้วยว่า… ปัจจุบันพบว่ามีนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์ถูกสถานศึกษาให้ย้ายสถานศึกษาโดยมิได้สมัครใจสมควรแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การดำเนินการของสถานศึกษาเพื่อเป็นการคุ้มครองวัยรุ่นซึ่งตั้งครรภ์ขณะที่เป็นนักเรียนหรือนักศึกษาให้มีสิทธิได้รับการศึกษาในสถานศึกษาด้วยรูปแบบที่เหมาะสมและต่อเนื่องตามความประสงค์ของนักเรียนหรือนักศึกษานั้น จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้

นางสาวรัชดา กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเยาวชนซึ่งจะเป็นอนาคตชาติ โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่กระทรวงศึกษาธิการออกกฎกระทรวงให้สถานศึกษาทุกระดับที่มีเด็กตั้งครรภ์ ต้องไม่ให้เด็กออกจากสถานศึกษา โดยต้องจัดระบบดูแลช่วยเหลือที่เหมาะสมและต่อเนื่อง แต่ยังคงมีบุคลากรทางการศึกษารวมถึงผู้ปกครองอีกเป็นจำนวนมากที่เข้าใจผิดว่า การให้เด็กตั้งครรภ์เรียนร่วมกับเด็กทั่วไป เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะอาจเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ แต่ผลการศึกษาในต่างประเทศพิสูจน์แล้วว่า เด็กคนอื่น ๆ จะเกิดความตื่นตัวมากขึ้นในการดูแลป้องกันตนเองไม่ให้ตั้งครรภ์ ขณะเดียวกันจะเกิดความรู้สึกเห็นใจเพื่อนที่กำลังท้อง และให้การช่วยเหลือเป็นอย่างดีในขณะที่เรียนร่วมกัน

ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนทัศนคติของครูผู้สอนเป็นเรื่องสำคัญมาก ครูต้องมีจรรยาบรรณในวิชาชีพ ต้องไม่ปฏิบัติใด ๆ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์ ทุกฝ่ายต้องช่วยกันประคับประคองเด็กให้ได้เรียนต่อเนื่องโดยไร้ความกังวล

Advertisement

รพ.เอกชน นอกระบบบัตรทองกว่า 100 แห่ง พร้อมดูแลผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว

People Unity News : 24 เม.ย. 65 สปสช. เผย รพ.เอกชนกว่า 100 แห่ง พร้อมดูแลผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว เพิ่มความสะดวกและเข้าถึงบริการ ลดความแออัดใน รพ.รัฐ

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เผยว่าปัจจุบันมีโรงพยาบาลเอกชน (นอกระบบบัตรทอง) กว่า 100 แห่ง เข้าร่วมดูแลผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว

โดยโรงพยาบาลเอกชนกลุ่มนี้ จะให้บริการผู้ป่วยโควิด-19 สีเขียว ที่มีอาการดังต่อไปนี้

✔️มีไข้อุณหภูมิ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป

✔️จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส เจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก มีผื่น ถ่ายเหลว ตาแดง

ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับการคัดกรอง เพื่อแยกกลุ่มอาการก่อน “หากเข้าเกณฑ์โควิด-19 กลุ่มสีเขียว” จะเข้าสู่ระบบการรักษาและดูแล ทั้งนี้ รพ.เอกชน จะให้การรักษาผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค. 65 ที่ผ่านมา

นอกจากผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียวสิทธิบัตรทอง 30 บาท หรือสิทธิ สปสช. สามารถไปใช้บริการได้แล้วนั้น ผู้ป่วยสิทธิข้าราชการที่เบิกจากกรมบัญชีกลางก็สามารถไปรักษาได้ที่โรงพยาบาลเอกชนกลุ่มนี้ได้ รวมทั้งผู้ป่วยสิทธิพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

สำหรับรายชื่อโรงพยาบาลเอกชนที่แจ้งความประสงค์เข้าร่วมให้บริการผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว สามารถตรวจสอบรายชื่อได้ที่ https://www.nhso.go.th/page/privatehospital_green

Advertisement

Verified by ExactMetrics