วันที่ 31 กรกฎาคม 2025

เตือน 5 พฤติกรรมเสี่ยงโรคหัวใจ “วัยรุ่น-วัยทำงาน”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 กรกฎาคม 2568 เตือน 5 พฤติกรรมเสี่ยงโรคหัวใจในวัยรุ่นและวัยทำงาน แนะ ลด ละ เลิก พฤติกรรมเสี่ยง ตรวจสุขภาพประจำปี ป้องกันการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เตือนคนรุ่นใหม่ถึงพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน ที่อาจเป็นสาเหตุสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจ โดยโรคหัวใจไม่ใช่โรคที่เกิดขึ้นเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้น แต่สามารถพบได้ในประชาชนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานและวัยรุ่นที่อาจมีพฤติกรรมเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว โดยโรคหัวใจนั้นเกิดได้จากทั้งปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น พันธุกรรม อายุ และเพศ ซึ่งหากสมาชิกในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหัวใจตั้งแต่อายุน้อย ก็จะทำให้บุคคลนั้นมีโอกาสเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป และเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ระบบการทำงานของร่างกายย่อมเสื่อมถอยตามธรรมชาติ ส่งผลให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย โดยในภาพรวมพบว่าเพศชายมีแนวโน้มเป็นโรคหัวใจมากกว่าเพศหญิง

นายอนุกูล กล่าวว่า หนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจ คือ พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง เช่น อาหารประเภททอด อาหารมันจัด เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารที่ปรุงด้วยกะทิ รวมถึงของหวานจำพวกเค้กและเบเกอรี่ หากรับประทานเป็นประจำอย่างต่อเนื่องก็อาจส่งผลให้ระดับไขมันในเลือดสูง และนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตันได้ในที่สุด นอกจากนี้ ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องระวัง เนื่องจากกลุ่มนี้เสี่ยงต่อโรคเรื้อรังและอันตรายต่อการทำงานของหัวใจ ไม่ว่าจะโรคเบาหวานและไขมันในเลือดสูง ซึ่งล้วนส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ หากไม่ดูแลอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจขาดเลือดได้ รวมถึงความเครียดสะสมจากการทำงาน ก็ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากความเครียดจะทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น และอาจเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะตามมา

ขณะเดียวกัน การพักผ่อนไม่เพียงพอและการขาดการออกกำลังกาย อาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว รวมทั้ง พฤติกรรมการสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้สูบเอง หากอยู่ใกล้ชิดกับผู้สูบบุหรี่ หรือได้รับควันบุหรี่มือสอง ก็ยังมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้เช่นเดียวกัน

“โรคหัวใจสามารถป้องกันได้ หากประชาชนมีความตระหนักรู้ในการดูแลสุขภาพ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง และเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการตรวจคัดกรองเกี่ยวกับโรคหัวใจ เพื่อค้นหาความผิดปกติในระยะเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตและเพิ่มโอกาสในการรักษาให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ การลด ละ เลิก พฤติกรรมเสี่ยงถือเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลหัวใจให้แข็งแรง” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

นายกฯสั่งเด็ดขาด ภายใน 30 วัน ปราบ “บุหรี่ไฟฟ้า” ในเยาวชนและสถานศึกษาต้องเห็นผล

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 กุมภาพันธ์ 2568 นายกรัฐมนตรีสั่งเด็ดขาด ภายใน 30 วัน ปราบ “บุหรี่ไฟฟ้า” ในเยาวชนและสถานศึกษาต้องเห็นผลเป็นรูปธรรม สั่งซีลผู้นำเข้าทุกจุด จับกุมผู้ขายอย่างจริงจัง สั่งฟันหากพบ ตำรวจ-ข้าราชการ เอี่ยวมีโทษทั้งวินัยและอาญา

วันนี้ (26 ก.พ. 68) ณ ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หารือการปราบบุหรี่ไฟฟ้าโดยเฉพาะในเยาวชน-พื้นที่ใกล้โรงเรียน ร่วมกับพล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และนางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้มอบหมายให้ดูแลเรื่องนี้เป็นหลัก โดยนายกรัฐมนตรีได้หารือถึงมาตรการคุมเข้มและปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน กำชับให้ทุกฝ่ายดูแลอย่างเข้มงวด พื้นที่ใกล้โรงเรียน-สถานศึกษาต้องไม่มีการขายให้เยาวชน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโทษของบุหรี่ไฟฟ้าและข้อกฎหมายให้กับประชาชนได้เข้าใจอย่างถูกต้อง โดยเริ่มต้นที่การจัดการกับผู้นำเข้า seal ทุกจุด และจับกุมผู้ขายอย่างจริงจัง ตั้งเป้าหมายภายใน 30 วัน ร่วมกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกรมศุลกากรในการปราบปรามอย่างเด็ดขาด

“สำหรับการปราบปรามนี้เป็นการดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ความปลอดภัยของเด็กและเยาวชน ถือเป็นหน้าที่ร่วมกันของทุกคนในสังคม ทั้งนี้ ขอความร่วมมือจากทุกคน ทุกภาคส่วน ให้ช่วยดูแลเยาวชนในสังคม หากพบเห็นการขายให้แก่เด็ก และเยาวชน ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินคดีต่อไป” นายกรัฐมนตรีกล่าว

Advertisement

รัฐบาล เชิญชวนคนไทย ลด ละ เลิกเหล้าเข้าพรรษา

People Unity News : 31 กรกฎาคม 2566 รัฐบาล เชิญชวนคนไทย ลด ละ เลิกเหล้าเข้าพรรษา สร้างภูมิคุ้มกันร่างกาย ลดความเสี่ยงโรค และช่วยลดรายจ่ายของครอบครัว

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เนื่องด้วยวันเข้าพรรษาของทุกปี เป็นวันงดดื่มสุราแห่งชาติ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 2 สิงหาคม 2566 กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคประชาสังคม และเครือข่ายงดเหล้า จัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์ให้คนไทย ลด ละ เลิกการดื่มแอลกอฮอล์ ภายใต้คำขวัญ “ไกลเหล้า ไกลโรค ไกลอุบัติเหตุ” ในโอกาสนี้ รัฐบาล จึงเชิญชวนคนไทยทุกคน ร่วมลด ละ เลิก เหล้า หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดตลอดเทศกาลเข้าพรรษา ให้ช่วงเวลานี้เป็นจุดเริ่มต้นในการดูแลสุขภาพ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่างๆ ซึ่งข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก ระบุว่า ทุกปีทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากพิษของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประมาณ 3 ล้านคน และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมากกว่า 230 ชนิด นอกจากนี้ ยังช่วยลดโอกาสที่เกิดความสูญเสียกับครอบครัวและสังคมโดยรวมจากอุบัติเหตุ นำมาซึ่งการบาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ซึ่งไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าความเสียหายได้

ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีแนวนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้มีความสมดุลระหว่างมิติทางเศรษฐกิจ และมิติของสังคม โดยมีกฎกระทรวงที่ลดข้อจำกัดทางกฎระเบียบการอนุญาตให้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เริ่มมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2565

เพื่อประโยชน์ในการรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่น และลดการผูกขาดทางการตลาด ขณะเดียวกัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ขับเคลื่อนให้มีการบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 เพื่อจำกัดไม่ให้กิจกรรมที่มาจากการแข่งขันทางธุรกิจกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการดื่มที่มากขึ้น ตลอดจนขับเคลื่อนการรณรงค์เพื่อสร้างความรอบรู้ผลกระทบต่อสุขภาพที่มาจากการดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ประชาชน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนเน้นการป้องกันนักดื่มหน้าใหม่

Advertisement

รัฐบาลจัดให้! ลูกจ้างราชการ 1 ล้านคน เฮ! สิทธิกองทุนเงินทดแทนคุ้มครอง มีผล 9 ธ.ค.นี้

People unity news online : รมว.แรงงาน แถลง พ.ร.บ.กองทุนเงินทดแทน ฉบับที่ 2 พ.ศ.2561 ลูกจ้างส่วนราชการ 1 ล้านคนรับอานิสงส์ได้รับความคุ้มครอง เพิ่มค่าทดแทนเป็นร้อยละ 70 จากเดิมร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายเดือน หยุดงาน 1 วันได้รับค่าทดแทน ทุพพลภาพได้รับค่าทดแทนไม่น้อยกว่า 15 ปี เสียชีวิตได้รับค่าทำศพ 40,000 บาทเท่ากองทุนประกันสังคม และทายาทได้รับค่าทดแทนนาน 10 ปี พร้อมอำนวยความสะดวกนายจ้าง ลดเงินเพิ่มเหลือร้อยละ 2 และลดการจ่ายเงินเพิ่ม กรณีภัยพิบัติ มีผลบังคับใช้ 9 ธันวาคมนี้

วันนี้ (15 พฤศจิกายน 2561) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการแถลงข่าว เรื่อง พระราชบัญญัติกองทุนเงินทดแทน ฉบับที่ 2 พ.ศ.2561 ณ ห้องประชุม ชั้น 7 อาคารสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 3 โดยกล่าวว่า กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักในการเสริมสร้างความมั่นคง ให้ประชาชนของประเทศมีหลักประกันในชีวิต เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม มีสำนักงานประกันสังคมเป็นหน่วยงานที่ขับเคลื่อนดูแลสิทธิประโยชน์แรงงานในระบบจำนวนประมาณ 12 ล้านคน และแรงงานนอกระบบประมาณ 22 ล้านคน ซึ่งปัจจุบันสำนักงานประกันสังคมมีกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน โดยกองทุนประกันสังคม ประกอบด้วย เงินสมทบที่มาจากลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาล เพื่อให้ความคุ้มครองกรณีประสบอันตราย เจ็บป่วย ทุพพลภาพ หรือตาย อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน รวมทั้งกรณีคลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และว่างงาน ส่วนกองทุนเงินทดแทน เป็นเงินที่จ่ายในกรณีที่ประสบอันตรายในการทำงานให้กับนายจ้าง โดยนายจ้างเป็นผู้จ่ายเข้ากองทุนฯ 480 บาท/คน/ปี ให้ความคุ้มครองการจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงาน ค่าทำศพ จ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้างแทนนายจ้าง เมื่อลูกจ้างประสบอันตราย หรือเจ็บป่วย ตาย หรือสูญหาย

พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวต่อว่า ในปีนี้กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ได้กำหนดให้มีการแก้ไข พ.ร.บ.เงินทดแทน เหตุเพราะบทบัญญัติบางประการไม่เหมาะสม ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของลูกจ้าง กระทรวงแรงงานจึงได้เสนอแก้ไข พ.ร.บ.เงินทดแทนฯ ปี พ.ศ.2561 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 ธันวาคม 2561 นี้ สาระสำคัญของ พ.ร.บ.ดังกล่าวจะขยายความคุ้มครองแก่ลูกจ้าง อาทิ คุ้มครองลูกจ้างของส่วนราชการหรือองค์กรที่ไม่แสวงหากำไนทางเศรษฐกิจจำนวน 1 ล้านคน เพิ่มค่ารักษาพยาบาลจากเดิม 2 ล้านบาท จนถึงสิ้นสุดการรักษา เพิ่มค่าฟื้นฟูจากเดิม 24,000 บาท เป็น 40,000 บาท เพิ่มค่าทำศพ 33,000 บาทเป็น 40,000 บาท เพิ่มค่าทดแทนจากเดิม 60 % ของค่าจ้าง เป็น 70 % ของค่าจ้าง โดยจ่ายตั้งแต่จากเดิมหยุดงาน 3 วันเป็นตั้งแต่วันแรกที่เจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพจากเดิม 15 ปีเป็นตลอดชีวิต และกรณีตาย จะจ่ายค่าทดแทนแก่ทายาทจากเดิม 8 ปีเป็น 10 ปี ส่วนประโยชน์ของนายจ้าง ปรับลดเงินเพิ่มร้อยละ 2 ต่อเดือน จากเดิมร้อยละ 3 และเงินเพิ่มต้องไม่เกินจำนวนเงินสมทบที่นายจ้างต้องจ่าย ในกรณีที่ประสบภัยพิบัติ รัฐมนตรีมีอำนาจลดการจ่ายเงินเพิ่ม ตลอดจนเป็นการเพิ่มช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออำนวยความสะดวกในการยื่น – แจ้งเงินสมทบช่องทางอิเล็กทรอนิกส์อีกด้วย

People unity news online : post 15 พฤศจิกายน 2561 เวลา 13.04 น.

นายกฯ ติดตามการแก้ปัญหายาเสพติด ย้ำ! เร่งลดจำนวนผู้เสพยาให้มากที่สุด

People Unity News : 18 พฤษภาคม 65 วันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวมอบนโยบายการติดตามผลการบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด ณ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พร้อมรับฟังรายงานการปฏิบัติการผ่านระบบ Cisco Webex Meetings “ยุทธการพิทักษ์ไทย ยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด”

โอกาสนี้ Mr. Max Lenormand FANC Executive Committee หัวหน้าตำรวจสวีเดนประจำประเทศไทยในฐานะเลขานุการกลุ่มเจ้าหน้าที่ประสานงานยาเสพติดและอาชญากรรมต่างประเทศประจำประเทศไทย ได้มอบใบประกาศเกียรติคุณแด่นายกรัฐมนตรี เพื่อแทนความขอบคุณ ยกย่อง เชิดชูเกียรติ ต่อความพยายามมุ่งมั่น ตลอดจนความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อสู้กับยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติ

นายกฯ เน้นย้ำการแก้ปัญหาในขณะนี้ คือ การลดจำนวนผู้เสพยาให้มีจำนวนน้อยลงมากที่สุด ให้ความสำคัญกับ “หมู่บ้าน – ชุมชน” โดยภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ส่วนท้องถิ่นต้องบูรณาการทำงานร่วมกันทุกมิติ เพื่อไม่ให้มีการเพิ่มจำนวนนักเสพหน้าใหม่ สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างภูมิคุ้มกันสร้างความรู้ให้ทุกคนตระหนักถึงโทษและพิษภัยของยาเสพติด

Advertisement

กองสลากขอรับฟังความคิดเห็น เตรียมออกหวยบนดิน 3 ตัว

People Unity News : 2 กรกฎาคม 2565 สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จะดำเนินการออกสลากรูปแบบใหม่ เพื่อใช้แก้ปัญหาสลากเกินราคาให้หมดไป และสามารถนำเงินจากการดำเนินการผิดกฎหมาย เช่น หวยใต้ดิน กลับมาเป็นรายได้นำส่งรัฐไปใช้ประโยชน์กับประชาชนคนไทย

โดยจะขอรับฟังความคิดเห็นสำหรับ ปี 2565 จำนวน 2 รูปแบบ ได้แก่

1.สลากกินแบ่งรัฐบาลแบบ 6 หลัก  https://www.youtube.com/watch?v=S5pzD_uyz1o

ขั้นตอนการซื้อ https://youtu.be/iPtDCvsm9Bg

2.สลากกินแบ่งรัฐบาลแบบตัวเลข 3 หลัก https://www.youtube.com/watch?v=_IxP6b07ROw

ขั้นตอนการซื้อ https://youtu.be/-Poki7kkEtA

ทั้งนี้สามารถรับทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  https://newlottery.glo.or.th และจะเปิดให้แสดงความคิดเห็นได้ ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฏาคม 2565 – 10 สิงหาคม 2565

Advertisement

รู้ไว้!! ประกันสังคม แจ้งสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน “เกษียณ” และเพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่แก่ทายาท

People Unity News : 26 มี.ค. 65 สำนักงานประกันสังคม แจงสิทธิประโยชน์ หลังผู้ประกันตนเกษียณ หลักประกันดูแลคุณภาพชีวิตในวัยชราภาพ รวมถึงการปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่แก่ทายาท

กองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพ (เริ่มจัดเก็บ 31 ธ.ค. 2541) คิดร้อยละ 3 ของฐานเงินเดือน (หากจ่ายเงินสมทบในอัตราสูงสุดที่ 750 บาท/เดือน จะถูกหักเงินเป็นเงินออมชราภาพ 450 บาท) เงินออมชราภาพที่ได้รับแบ่งออกเป็น 2 แบบ (ขึ้นอยู่กับระยะเวลาส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม)

💵 เงินบำเหน็จ (เงินที่จ่ายเป็นก้อนใหญ่ครั้งเดียว)

🔘 หากจ่ายเงินสมทบไม่ถึง 180 เดือน หรือ 15 ปี จะได้รับเป็นเงินบำเหน็จชราภาพ แบ่งเป็น 2

กรณีคือจ่ายเงินสมทบน้อยกว่า 12 เดือน หรือ 1 ปี จะได้รับเงินก้อนเท่ากับเงินที่ผู้ประกันตนจ่ายสมทบมาทั้งหมดคืนกลับไป

🔘 กรณีจ่ายสมทบมากกว่า 12 เดือน แต่ไม่ถึง 180 เดือน หรือ 15 ปี จะได้รับเงินเป็นเงินก้อนเท่ากับเงินที่ผู้ประกันจ่ายสมทบ บวกกับเงินที่นายจ้างสมทบให้อีก และบวกกับผลประโยชน์ตอบแทนที่ประกันสังคมกำหนด

💵 เงินบำนาญ (ทยอยจ่ายเป็นรายเดือนไปตลอดชีวิต)

🔘 กรณีผู้ประกันตนจ่ายสมทบมากกว่า 180 เดือน มากกว่าหรือ 15 ปี จะติดต่อกันหรือไม่ก็ได้ ผู้ประกันตนจะได้รับเป็นเงินบำนาญชราภาพ หรือเงินรายเดือน ได้รับไปตลอดชีวิต คำนวนจากค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย (ฐานเงินเดือนสูงสุดที่คิดคือ 15,000 บาท) คูณกับร้อยละ 20 แต่หากผู้ประกันอายุ 55 ปี แต่ยังทำงานในระบบต่อเนื่อง จะได้รับเงินบำนาญเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ในทุกปี

*มีการปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีผู้ประกันตนรับเงินบำนาญชราภาพไม่ถึง 60 เดือนแต่เสียชีวิตลง

-เดิมทายาทจะได้รับเพียง 10 เท่าของเงินบำนาญชราภาพรายเดือน

-ปรับใหม่เพื่อเป็นการประกันเงินชราภาพให้สิทธิผู้ประกันตนได้รับเงินเพิ่มขึ้น เช่น หากรับเงินบำนาญชราภาพเพียง 1 เดือน และได้เสียชีวิตลง เงินบำนาญอีก 59 เดือนทายาทได้รับไปทันที

🛑 เงื่อนไขการรับเงินบำเหน็จ หรือบำนาญชราภาพ จะได้รับต่อเมื่อมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน

Advertising

นายกฯ เปิดโครงการบ้านเพื่อคนไทย ให้เป็นบ้านหลังแรก ราคาถูก ปลอดภัย ใกล้รถไฟฟ้า

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 มกราคม 2568 นายกฯ เปิดโครงการบ้านเพื่อคนไทย หวังสร้างที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย ให้เป็นบ้านหลังแรก ราคาถูก ทำเลใกล้รถไฟฟ้า เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตกลุ่มผู้ใช้แรงงานรายได้น้อย

วันนี้ ( 17 มกราคม พ.ศ. 2568) เวลา 14.15 น. ณ โถงกลางประตู 1 สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดชมห้องตัวอย่าง และจองสิทธิ์โครงการบ้านเพื่อคนไทย ตามนโยบายรัฐบาลที่มีแนวคิดว่าการมีบ้านเป็นของตนเองจะช่วยให้ประชาชนสามารถพัฒนาตนเองและครอบครัวได้อย่างมั่นคง อีกทั้งยังส่งเสริมเศรษฐกิจโดยรวม รัฐบาลจึงเลือกใช้พื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่ตั้งอยู่ตามแนวเส้นทางรถไฟ ซึ่งสะดวกต่อการเดินทาง และมีการเชื่อมโยงกับโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายในอนาคต ซึ่งมีเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการ คือ ผู้สมัครต้องเป็นผู้ไม่มีบ้านหลังแรก และยังไม่เคยขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้าน เพื่อป้องกันการเก็งกำไรในอนาคต โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมด้วย

นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดงานพิธีเปิดชมห้องตัวอย่าง และจองสิทธิ์โครงการบ้านเพื่อคนไทยว่า คนไทยกว่า 5.87 ล้านครอบครัว หรือคิดเป็นประมาณ 27% ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง รัฐบาลจึงได้เน้นย้ำเรื่องของการช่วยเหลือสนับสนุนพี่น้องประชาชน ผ่านการดำเนินนโยบายที่จะดูแลประชาชนทุกกลุ่มให้เข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ หรือทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและมั่นคงขึ้น ซึ่งโครงการบ้านเพื่อคนไทยจะช่วยสนับสนุนผู้ที่เริ่มทำงาน First Jobber หรือคนที่อยู่ในวัยทำงานที่กำลังพยายามเก็บเงินซื้อบ้าน มีบ้านเป็นของตัวเอง บนทำเลใกล้รถไฟฟ้า เพื่อประหยัดเวลาในการเดินทางไปทำงาน ทำให้มีแรงกาย แรงใจในการทำงานเพื่อขับเคลื่อน และพัฒนาประเทศ และเพื่อให้พี่น้องคนไทยทุกคนมีกิน มีใช้ มีเกียรติ และมีศักดิ์ศรี

นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า บ้านเพื่อคนไทยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับชีวิตของพี่น้องประชาชน ทำให้ประชาชนมีที่ดินเป็นของตัวเอง มีที่อยู่อาศัยอย่างปลอดภัย เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องการจะมอบให้ประชาชน โดยหลังจากนี้จะมีการให้ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับประชาชนที่สนใจโครงการบ้านเพื่อคนไทยผ่านช่องทางต่าง ๆ ของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ขอให้ประชาชนติดตาม Social Media ของรัฐบาลไว้ เพื่อให้ประชาชนไม่พลาดข้อมูลสำคัญ นอกจากนั้น ประชาชนยังสามารถเดินทางเข้ารับชมบ้านตัวอย่าง ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 31 มกราคมนี้

“ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ช่วยกันดำเนินโครงการบ้านเพื่อคนไทยในระยะนำร่อง ทุกหน่วยงานมีส่วนสำคัญอย่างมากในการผลักดันนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลเพื่อสนับสนุนประชาชน แต่ยังต้องร่วมมือ ร่วมใจผลักดันนโยบายของรัฐบาลในมิติอื่น ๆ เพื่อประเทศชาติและเพื่อพี่น้องประชาชนต่อไป” นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำ

จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ทำพิธีเปิดชมห้องตัวอย่าง และจองสิทธิ์โครงการบ้านเพื่อคนไทย ก่อนไปรับชมห้องตัวอย่าง และโมเดลบ้าน ณ บริเวณโถงสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์

สำหรับโครงการบ้านเพื่อคนไทยช่วยเพิ่มการใช้ประโยชน์จาก ที่ดินของ รฟท. ที่เคยรกร้างว่างเปล่าหรือถูกใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจและสร้างชุมชนที่มีคุณภาพโดยการวางแผนที่อยู่อาศัยถึง 100,000 ยูนิตในรูปแบบคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยวจะช่วยกระตุ้น GDP ของประเทศรวมถึงสร้างโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัยในราคาที่เอื้อมถึงได้

Advertisement

ประธานสภาสตรีแห่งชาติฯเป็นประธานพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ปี 2562 วัดโสธรวรารามวรวิหาร

People Unity News : พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ อัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทานประจำปี 2562 ไปถวายวัดโสธรวรารามวรวิหาร จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อน้อมนำไปถวายพระสงฆ์จำพรรษากาลถ้วนไตรมาส

วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2562 เวลา 14.00 น. ดร.วันดี กุญชร ยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติฯ เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ปี 2562 โดยมีนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นางรชตภร โตดิลกเวชช์ ประธานคณะกรรมการบริหาร นางยุวดี นิ่มสมบุญ ที่ปรึกษาสภาสตรีฯ นายประสงค์​ คงเคารพธรรม​ รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา ดร.ลาลีวรรณ กาญจนจารี รองประธานสภาสตรีฯนางมลสุดา ชำนิประศาสน์ รองประธานสภาสตรีฯ นายโชคชัย​ แก้วป่อง​ รองอธิบดี​กรมการพัฒนาชุมชน คณะกรรมการอำนวยการ คณะกรรมการบริหาร สภาสตรีแห่งชาติฯ นายกองค์กร สมาชิกองค์กร สภาสตรีแห่งชาติ สโมสรวัฒนธรรมหญิงฉะเชิงเทราและ หัวหน้าส่วนราชการข้าราชการ และประชาชนในพื้นที่ เข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก ณ พระอารามหลวง วัดโสธรวรารามวรวิหา จ.ฉะเชิงเทรา

โดยในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานสภาสตรีแห่งชาติฯประจำปี 2562 พระธรรมมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร พระราชปริยัติสุนทร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสฯ พระราชภาวนาพิธาน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสฯ พระครูโสภณสรกิจ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสฯ พร้อมด้วยคณะสงฆ์ 86 รูป สามเณร 211 รูป แม่ชี 10 คน มีผู้บริจาคร่วมถวายพระราชกุศล ในการถวายผ้ากฐินพระราชทาน เป็นจำนวนเงิน..3,099,999….บาท

วัดโสธรวรารามวรวิหารเป็นพระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เดิมชื่อว่า วัดหงษ์ สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นที่ประดิษฐาน หลวงพ่อพุทธโสธร พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของฉะเชิงเทรา เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางสมาธิ หน้าตักกว้าง 1.65 เมตร สูง 1.48 เมตร ฝีมือช่างล้านช้าง

ตามตำนานเล่าว่า หลวงพ่อพุทธโสธร เป็นพระพุทธรูปหล่อสำริดปางสมาธิหน้าตักกว้างศอกเศษ มีรูปทรงสวยงามมาก ได้แสดงปาฏิหาริย์ลอยน้ำมา และมีผู้อัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้ แต่พระสงฆ์ในวัดเกรงจะมีผู้มาลักพาไปจึงได้เอาปูนพอกเสริมหุ้มองค์เดิมไว้จนมีลักษณะที่เห็นในปัจจุบัน

แต่เดิมหลวงพ่อพุทธโสธรประทับอยู่ในโบสถ์หลังเก่าที่มีขนาดเล็ก รวมกับพระพุทธรูปอื่นๆ 18 องค์ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2509 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯเสด็จพระราชดำเนินมาที่วัดแห่งนี้ มีพระราชปรารภเรื่องความคับแคบของพระอุโบสถเดิม พระพรหมคุณาภรณ์ (จริปุณโญ ด. เจียม กุลละวณิชย์) อดีตเจ้าอาวาสจึงได้รวบรวมเงินบริจาคเพื่อจัดซื้อที่ดินสำหรับสร้างพระอุโบสถหลังใหม่

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์ประธานการสร้าง และทรงเป็นผู้กำกับดูแลงานสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนิน ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อ พ.ศ. 2531 และทรงประกอบพิธียกยอดฉัตรทองคำ น้ำหนัก 77 กิโลกรัม ประดิษฐานเหนือยอดมณฑป เมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2539 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จมาทรงตัดหวายลูกนิมิต เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2549
การก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ สร้างขึ้นครอบพระอุโบสถหลังเดิม โดยใช้เทคนิควิศวกรรมสมัยใหม่ โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายองค์หลวงพ่อพุทธโสธร และพระพุทธรูปทั้ง 18 องค์

ศิลปะภายในพระอุโบสถหลวงพ่อพุทธโสธร ประกอบด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังโดยรอบนับตั้งแต่พื้นพระอุโบสถ เสา ผนัง และเพดานจะบรรจุเรื่องราวให้เป็นแดนแห่งทิพย์ เป็นเรื่องราวของสีทันดรมหาสมุทร จตุโลกบาล สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พรหมโลก ดวงดาว และจักรวาล โดยตำแหน่งของดวงดาวบนเพดาน กำหนดตำแหน่งตรงกับวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2539 ณ เวลาที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงประกอบพิธียกยอดฉัตรทองคำ

กรมการจัดหางานรุกกวาดล้างต่างชาติแย่งงานคนไทย

24 ครม เห็นชอบ

People Unity News : 27 กันยายน 2566 กรมการจัดหางาน รุกหนักกวาดล้างต่างชาติแย่งงานคนไทย ตรวจสอบทั่วประเทศแล้วกว่า 5 แสนคน มีการดำเนินคดีกว่า 3 พันคน

นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า จากกรณีสื่อมวลชนเผยแพร่ความทุกข์ใจของแม่ค้าชาวไทย ที่พบคนต่างชาติเปิดแผงค้าขายในตลาด เข็นรถขายน้ำผลไม้ ขับขี่จักรยานยนต์พ่วงข้างขายอาหาร หรือเข้ามาค้าขายเปิดกิจการย่านการค้าสำคัญในประเทศไทยเป็นจำนวนมากจนคล้ายแย่งอาชีพคนไทยนั้น กรมการจัดหางานขอยืนยันว่าตลอดปีที่ผ่านมากรมฯ ไม่เคยนิ่งนอนใจ สั่งการเจ้าหน้าที่จากกองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน และเจ้าหน้าที่จากสำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศลงพื้นที่กวาดล้างแรงงานต่างชาติที่แย่งอาชีพคนไทย และแรงงานต่างชาติที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจในพื้นที่ และกรมการปกครอง โดยมีทั้งการสุ่มตรวจในพื้นที่ย่านการค้าแหล่งเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ ย่านเยาวราช ห้วยขวาง แยกราชประสงค์ ตลาดหทัยมิตร ถนนจันทร์ และจังหวัดที่พบคนต่างชาติเป็นจำนวนมาก อาทิ นนทบุรี เชียงใหม่ ชลบุรี นครปฐม และระนอง รวมทั้งในพื้นที่ที่มีการแจ้งเบาะแสร้องทุกข์โดยประชาชน หรือสื่อมวลชน ทำให้ปีงบประมาณ 2566 (1 ต.ค.65-25 ก.ย.666) มีการเข้าตรวจสอบสถานประกอบการทั่วประเทศที่จ้างแรงงานต่างชาติแล้ว จำนวน 53,732 แห่ง ดำเนินคดี 1,587 แห่ง และตรวจสอบคนต่างชาติแล้ว จำนวน 528,683 คน มีการดำเนินคดีทั้งสิ้น 3,464 คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมา 1,850 คน กัมพูชา 636 คน ลาว 562 คน เวียดนาม 145 คน และสัญชาติอื่น ๆ 271 คน ซึ่งพบเป็นความผิดแย่งอาชีพคนไทย ทั้งสิ้น 1,634 คน

จังหวัดที่พบนายจ้าง สถานประกอบการและแรงงานต่างชาติกระทำผิดมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.กรุงเทพมหานคร 2.สมุทรสาคร 3.นครปฐม 4. ชลบุรี และ 5.นนทบุรี และอาชีพที่พบคนต่างชาติแย่งอาชีพคนไทยมากที่สุด ได้แก่ งานเร่ขายสินค้า งานตัดผม งานขับขี่ยานพาหนะ งานนวด และมัคคุเทศก์ ตามลำดับ

นายไพโรจน์ กล่าวต่อว่า กรมการจัดหางานให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติ โดยผลักดันให้เกิดการจ้างงานที่ถูกต้องตามกฎหมายและเพียงพอต่อการขับเคลื่อนกิจการของนายจ้างในประเทศไทย พร้อมกับควบคุมให้มีจำนวนแรงงานต่างชาติเท่าที่จำเป็น และอนุญาตให้ทำเฉพาะงานที่คนไทยไม่ทำ เพื่อมิให้กระทบต่อโอกาสในการมีงานทำหรือรายได้ของคนไทย โดยแรงงานต่างชาติต้องมีเอกสารประจำตัวบุคคลและใบอนุญาตทำงานถูกต้อง รวมทั้งต้องทำงานตามสิทธิ ที่ระบุไว้ในประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ (มีทั้งสิ้น 40 งาน) ซึ่งหากคนต่างด้าวฝ่าฝืนทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือสิทธิ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000-50,000 บาท และถูกส่งกลับประเทศต้นทาง รวมถึงห้ามขอใบอนุญาตทำงานเป็นเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับโทษ และนายจ้าง/สถานประกอบการ ที่รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000- 200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี

“การลงพื้นที่ตรวจสอบดำเนินคดีอย่างเข้มงวด ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์แนวทางขออนุญาตทำงานตามกฎหมายประเทศไทย ส่งผลให้จำนวนนายจ้าง/สถานประกอบการ และแรงงานต่างชาติที่กระทำผิดลดลง เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการแรงงานภายในประเทศ เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคง และความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน สอดรับนโยบายสร้างรากฐานเศรษฐกิจ พัฒนาคุณภาพชีวิต ด้วยการคุ้มครองแรงงานของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน

Advertisement

Verified by ExactMetrics