วันที่ 6 พฤษภาคม 2024

กระทรวงวัฒนธรรม ชู “เทศกาลงานประเพณี” 16 เทศกาล ส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

People Unity News : กระทรวงวัฒนธรรม ชู “เทศกาลงานประเพณี” 16 เทศกาล ส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ขับเคลื่อน “Soft Power” กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก

25 มีนาคม 65 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้คัดเลือกงานเทศกาล/ประเพณี ที่มีความโดดเด่นในจังหวัดต่างๆ ที่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด (สวจ.) กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันคัดเลือก เป็นงานเทศกาลและประเพณี 16 กิจกรรม เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างเศรษฐกิจฐานราก สร้างงาน สร้างรายได้แก่ชุมชน

งานเทศกาลและประเพณีจำนวน 16 เทศกาล จะจัดขึ้นในระหว่างเดือนเมษายน – กันยายน 2565 ประกอบด้วย

📌 เดือนเมษายน 4 เทศกาล ได้แก่ 1.ประเพณีแห่สลุงหลวง สืบสานกลองใหญ่ ปีใหม่เมืองนครลำปาง จ.ลำปาง 2. ประเพณีภูไทรำลึก จ.สกลนคร 3.ประเพณีปอยส่างลอง จ.แม่ฮ่องสอน 4. ประเพณีแห่ช้างบวชนาคไทยพวน บ้านหาดเสี้ยว จ.สุโขทัย

📌 เดือนพฤษภาคม 3 กิจกรรม ได้แก่ 1. ประเพณีบวชนาคบนหลังช้าง จ.สุรินทร์ 2. ประเพณีเวียนเทียนทางน้ำกลางกว๊านพะเยา จ.พะเยา 3. ประเพณีสืบสานงานนมัสการหลวงพ่อพระสุก จ.ยโสธร

📌เดือนมิถุนายน 2 กิจกรรม ได้แก่ 1. เทศกาลเสน่ห์ชุมชน ยลวิถีย่านเมืองเก่า“วิวาห์บาบ๋าภูเก็ต” จ.ภูเก็ต 2. มหกรรมสืบสานตำนานวันสุนทรภู่ กวีเอกของโลก

📌เดือนกรกฎาคม 4 กิจกรรม ได้แก่ 1. ประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ห่มพระบรมธาตุสวี จ.ชุมพร 2. ประเพณีบูชาพระธาตุ ย้อนรอยประวัติศาสตร์เมืองคนดี จ.สุราษฎร์ธานี 3. ประเพณีสืบสานวัฒนธรรมสี่เผ่าไทศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ 4. ประเพณีห่มผ้าพระนอน จ.อ่างทอง

📌เดือนสิงหาคม 3 กิจกรรม ได้แก่ 1. เทศกาลหนังใหญ่วัดขนอน จ.ราชบุรี  2. ประเพณีทิ้งกระจาด จ.สุพรรณบุรี  3. มหกรรมสืบสานพหุวัฒนธรรม งานของดีเมืองนรา จ.นราธิวาส

การจัดงานเทศกาลและประเพณีทั้ง 16 เทศกาล เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในจังหวัด ช่วยให้มีนักท่องเที่ยวทั้งในพื้นที่ จังหวัดใกล้เคียง นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น เกิดการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน ผู้ประกอบการ ผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยว อาหาร ที่พัก การเดินทาง ศิลปินพื้นบ้าน ผลิตภัณฑ์และบริการทางวัฒนธรรมสูงยิ่งขึ้น

Advertising

“อนุทิน”เดือดลั่น”หยาบช้าป่าเถื่อน” สั่งฟ้องแก็งค์อันธพาลตีกันใน ร.พ.

People Unity News : “อนุทิน”วอนสังคมจัดหนัก “แก็งค์อันธพาลตีกันใน ร.พ.” ชี้ เป็นการกระทำ “หยาบช้าป่าเถื่อน” พร้อมสั่ง สธ.ลุยดำเนินคดี

วันที่ 11 พ.ย.2562 จากกรณีที่ กลุ่มวัยรุ่นยกพวกตีกันถึงหน้าห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลอ่างทอง เมื่อกลางดึกวันที่ 9 พ.ย. ที่ผ่านมา ล่าสุดนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้โพสต์เฟซบุ๊ค “อนุทิน ชาญวีรกูล” ขอให้ทุกภาคส่วน ช่วยกันป้องกันปัญหาการทะเลาะวิวาทภายในโรงพยายาลอย่างเด็ดขาด พร้อมเปิดเผยว่าจะให้กระทรวงสาธารณสุข เร่งดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุทั้งหมด นายอนุทิน ระบุว่า

“ช่วยกันจัดให้หนัก
……….
เราควรจะทำอย่างไร ?
กับอันธพาลกระจอก ที่ชอบยกพวกมาก่อเหตุทำร้ายร่างกาย ทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาล

กี่ครั้งแล้ว ที่ห้องฉุกเฉิน และโรงพยาบาล ต้องเสียหาย
แพทย์ เจ้าหน้าที่ ต้องเสี่ยงบาดเจ็บ ทำงานไม่ได้ ทรัพย์สินโรงพยาบาล เครื่องมือแพทย์ เสียหาย ผู้ป่วยคนอื่นๆ เดือดร้อน

ขอแบบเอาให้เข็ดหลาบ ไม่แสดงสันดานหยาบช้าป่าเถื่อนแบบนี้อีก

ในสงคราม ยังเว้นพื้นที่ปลอดภัยให้โรงพยาบาล แพทย์ และ เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์

แต่ในหัวใจอันธพาลกระจอกพวกนี้ ไม่มีอะไรเลย รวมทั้งคำสอนของพ่อแม่ แย่จริงๆ

กระทรวงสาธารณสุข จะดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุด ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างเลวร้าย อีกต่อไป

https://tna.mcot.net/view/5dc8070be3f8e40b313b27b7

#saveโรงพยาบาล
#saveผู้ป่วย”

ประยุทธ์ ย้ำคนไทยต้อง “มีบ้าน – มีอาชีพ – มีรายได้ – มีสุข”

People Unity News : ประยุทธ์ ย้ำคนไทยต้อง “มีบ้าน – มีอาชีพ – มีรายได้ – มีสุข” พร้อมส่งเสริมสนับสนุน “โครงการบ้านเคหะสุขประชา” ให้เป็นพื้นที่ “เศรษฐกิจสุขประชา”

วันนี้ 3 ธ.ค.64 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีส่งมอบสิทธิโครงการบ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย “บ้านเคหะสุขประชาร่มเกล้า” ให้กับผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบางจำนวน 270 ครัวเรือน บริเวณแขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง กรุงเทพ

โครงการดังกล่าว เป็นโครงการที่ช่วยให้ผู้มีรายได้น้อย สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพราคาประหยัด สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้คนในชุมชน รวมทั้งการเข้าถึงบริการของภาครัฐและสาธารณูปโภคพื้นฐาน

ระยะต่อไป จะดำเนินการส่งเสริมสนับสนุนให้เป็นพื้นที่ “เศรษฐกิจสุขประชา” เพื่อสร้างเศรษฐกิจชุมชนคู่ขนาน โดยผู้อยู่อาศัยสามารถประกอบอาชีพอิสระเพิ่มขึ้นในชุมชน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

Advertising

“พม.”อบรมจิตอาสาพร้อมเป็น “อพม.ที่มีหัวใจ ผู้ให้”

People Unity News : “พม.”อบรมจิตอาสาพร้อมเป็น “อพม.ที่มีหัวใจ ผู้ให้” ตั้งเป้า 5 แสนคน หวังเพิ่มทักษะความชำนาญเฉพาะด้าน

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 2 กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดโครงการอบรม “อพม.ใหม่” เชี่ยวชาญด้านคนพิการและผู้สูงอายุ และเป็นเครือข่ายต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ” ประจำปีงบประมาณ 2563 เพื่อเป็นการอบรมให้ความรู้กับประชาชนทั่วไปที่มีจิตอาสา และสนใจเข้าร่วมเป็นอพม. ซึ่งในระยะแรกมีการดำเนินการอบรม 6 รุ่นๆ ละ 150 คน รวมทั้งสิ้น 900 คน โดยอบรมรุ่นละ 2 วัน

นายจุติ กล่าวว่า กระทรวง พม. จะมีการขับเคลื่อนนโยบายการบูรณาการงานอาสาสมัครให้เป็นหนึ่งเดียว ภายใต้นโยบาย “อ. เดียว” ที่ให้อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ช่วยเหลือคนพิการ (อพมก.) และอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ (อผส.) เป็นอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ทำงานร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อเป็นพลังสำคัญในการให้ความช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาทางสังคม และเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานจิตอาสา เพื่อการช่วยเหลือสังคม อีกทั้งร่วมกันสืบสาน รักษา ต่อยอด และสร้างสุขให้กับประชาชนในสังคมภายใต้แนวคิด “เราทำความดี ด้วยหัวใจ” และเป็น “อพม. ที่มีหัวใจ ผู้ให้” โดยมีเป้าหมายเดียวกัน คือ “สังคม ปันความสุข”

นายจุติ กล่าวด้วยว่า โครงการนี้เป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างหลายกรมในกระทรวงพม. ทุกกรมได้เข้ามาร่วมกันทำงาน เพราะเราต้องการอาสาสมัครพัฒนาสังคมเป็นจำนวนมาก โดยเราจะเป็นวันโฮมคือมีหนึ่งเดียวที่เป็นอาสาสมัครพัฒนาสังคมไม่ได้เป็นของกรมใด แต่อยู่ที่แต่ละคนที่อยากจะทำว่ามีความชำนาญเฉพาะในด้านไหน เช่น ในเรื่องคนพิการ ผู้สูงอายุ เด็ก หรือเรื่องสตรี และเราได้มีการประเมินเพื่อเตรียมการรองรับสังคมผู้สูงอายุที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

“กระทรวงพม. จะเริ่มอบรมให้ทักษะความรู้กับอาสาสมัครพัฒนาสังคมทั้งประเทศ โดยตั้งเป้าไว้ ประมาณ 5 แสนคน และต้องให้เขาได้รับรู้ความเปลี่ยนแปลงของโลก รับรู้เรื่องผลกระทบจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ว่าสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เขาจะได้เข้าใจกลุ่มเป้าหมายว่า มีผลกระทบอย่างนี้จะต้องมีการจัดการกับปัญหาอย่างไร หลักที่เราพยายามให้คือให้ทุกคนมีทักษะ และสร้างอาชีพให้ทุกคนพึ่งพาตนเอง อย่าไปพึ่งระบบสงเคราะห์” นายจุติ กล่าว

นายจุติ กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน อพม. ที่ทำงานอยู่ขณะนี้มีประมาณ 9 หมื่นคน เรามีข้อตกลงกับ อพม. ว่าในปลายปีนี้ ขอให้ประธาน อพม. จังหวัดช่วยขยายคน โดยจะสอดคล้องกับตัวเลขของกรมกิจการผู้สูงอายุ และกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการที่วิเคราะห์ไว้ว่า ถ้าจะดูแลให้ทั่วถึงได้อย่างมีคุณภาพน่าจะมีอาสาสมัครไม่ต่ำกว่า 5 แสนคน ซึ่งทุกอย่างเป็นจิตอาสาไม่มีค่าตอบแทน ไม่มีเงินเดือน ทุกคนที่เข้ามาร่วมมีต้นทุนที่เหมือนกันคือหัวใจที่ยิ่งใหญ่ โดยหวังว่าจะเป็นสังคมที่ดีขึ้นในอนาคต

รฟท.ห่วงความปลอดภัยผู้โดยสาร หลังยุบตำรวจรถไฟ

People Unity News : 30 มิถุนายน 2566 รฟท. ห่วงความปลอดภัยผู้โดยสาร หลังยุบตำรวจรถไฟ เร่งหาแนวทางเพิ่มมาตรการดูแล

นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า จากที่กองบังคับการตำรวจรถไฟ (บก.รฟ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จะถูกยุบเลิก ตั้งแต่เดือน ต.ค. 66 นี้ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อ รฟท. ที่เดิมมีกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจรถไฟ ดูแลรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ ทั้งสถานีและบนขบวนรถไฟ แม้ว่า รฟท. จะมีเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยในการให้บริการผู้โดยสารอยู่แล้ว แต่ก็มีข้อจำกัดในกรณีเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง

“การที่ไม่มีตำรวจรถไฟกระทบแน่นอน แต่ไม่ได้ทั้ง 100% เพราะมีเจ้าหน้าที่ รฟท. ดูแลอยู่แล้วส่วนหนึ่ง แต่ต้องเข้าใจว่ากรณีมีคนร้ายหรือเกิดเหตุรุนแรง การมี รปภ. กับมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งที่ผ่านมาตำรวจช่วยเราได้มาก ดังนั้น จะประสานกับตำรวจในการขอให้จัดกำลังมาดูแลในพื้นที่จำเป็น เพราะปัญหาจะอยู่ที่บนขบวนรถไฟ ซึ่งเดิมมีตำรวจรถไฟ ประจำบนขบวนรถไฟไปตลอดทาง โดยจะมีการจัดกำลังรับช่วงต่อกันในแต่ละพื้นที่ แต่เมื่อตำรวจรถไฟถูกยุบ กำลังตำรวจบนรถไฟก็จะหายไป” นายนิรุฒ กล่าว

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา รฟท. ได้หารือกับทางตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ซึ่งจะจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ช่วยดูแลความปลอดภัยต่อไปก่อน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน แต่อาจจะมีประเด็นในเรื่องของเขตอำนาจในการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ อาจจะเป็นอุปสรรคอยู่บ้าง

ในส่วนของ รฟท. ได้เตรียมแผนรองรับ เช่น แนวทางจัดจ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพิ่ม หรืออาจจะทำเอ็มโอยูร่วมกับตำรวจให้จัดกำลังมาดูแล โดย รฟท. อาจจะจัดงบประมาณรองรับในส่วนนี้ ซึ่งต้องหารือกันว่าโครงสร้างตำรวจจะดำเนินการในรูปแบบดังกล่าวได้หรือไม่

ผู้ว่าการ รฟท. กล่าวว่า จะเร่งหารือร่วมกับทางตำรวจเพิ่มเติม ซึ่งล่าสุดมีการเสนอการจัดพื้นที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ให้ทางตำรวจ ขณะนี้กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ประสานขอใช้พื้นที่ ซึ่งคาดว่าจะมีตำรวจอีกหลายหน่วยที่จะเข้ามาใช้พื้นที่ เพราะในอนาคตสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ จะเป็นศูนย์กลางการคมนาคม ซึ่งจะมีประชาชนเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก

Advertisement

สำนักงานตำรวจแห่งชาติแจ้งเตือนประชาชน ระวัง! 10 แก๊งร้าย อันตรายช่วงปีใหม่

People Unity News : ระวัง! 10 แก๊งร้าย อันตรายช่วงปีใหม่ หากพบแจ้ง 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชม.

27 ธ.ค.64 สำนักงานตำรวจแห่งชาติแจ้งเตือนประชาชนระวัง 10 กลุ่มมิจฉาชีพที่อาจแฝงตัวเข้ามาหลอกลวงประชาชนที่มีการสัญจรเดินทาง ซื้อของขวัญ ทำบุญ หรือไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินในช่วงเทศกาลปีใหม่ได้ ดังนี้

1.แก๊งส่งของขวัญปีใหม่

2.แก๊งเรี่ยไรทำบุญ

3.แก๊งขายสินค้าราคาถูก

4.แก๊งชุบทองล้างทองรูปพรรณ

5.แก๊งสารพัดช่าง

6.แก๊งชวนเล่นการพนัน

7.แก๊งล้วงและกรีดกระเป๋า

8.แก๊งจัดงานเลี้ยง

9.แก๊งมอมยา

10.แก๊งใช้ธนบัตรปลอม และบัตรเครดิตปลอม

หากประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากแก๊งมิจฉาชีพหรือพบเห็นการกระทำความผิด ขอให้รีบแจ้งสถานีตํารวจใกล้บ้าน หรือโทรสายด่วน 191 หรือ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง

Advertising

นายกฯ สั่ง สตช.เร่งจับเครือข่ายกลุ่มทุนจีนสีเทา

People Unity News : 27 ธันวาคม 2565 โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย นายกฯ สั่ง สตช.เร่งจับเครือข่ายกลุ่มทุนจีนสีเทา พร้อมรายงานความคืบหน้าทุก 15 วัน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังประชุมคณะรัฐมนตรีว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้สั่งการในกรณีการตรวจและจับกุมเครือข่ายกลุ่มทุนต่างชาติที่ประกอบธุรกิจผิดกฎหมายที่เรียกว่า คดีเครือข่ายธุรกิจกลุ่มทุนจีนสีเทา โดยนายกรัฐมนตรีสั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งตรวจสอบและดำเนินคดีกับกลุ่มทุนจีนตู้ห่าวและคณะ ซึ่งมีพฤติกรรมความผิดอาชญากรรมข้ามชาติ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมืออย่างเต็มกำลังความสามารถ ทั้งนี้ ได้ให้หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายรายงานผลความคืบหน้าและอุปสรรคให้นายกรัฐมนตรีทราบทุก 15 วันด้วย

Advertisement

ก.เกษตร Set Zero นมโรงเรียนทั้งระบบ ลดการมีผลประโยชน์ทับซ้อน ให้ทันก่อนเปิดเทอมนี้

People Unity : กระทรวงเกษตรฯ Set Zero นมโรงเรียนทั้งระบบ เน้นบริหารจัดการอย่างมีเอกภาพ ปรับแผนดำเนินการให้ทันก่อนเปิดเทอมนี้

นางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่ ครม.มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทบทวนกลไกในการบริหารจัดการโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนทั้งระบบ เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีเอกภาพและมีประสิทธิภาพ นั้น กระทรวงเกษตรฯจึงได้เร่งประชุมคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน ครั้งที่ 1/2562 เมื่อ 4 เมษายน 2562

“ระบบและกลไกใหม่นี้เน้นการกระจายอำนาจการจัดสรรโควต้าลงกลุ่มพื้นที่เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและเกิดความเป็นธรรมในการบริหารจัดการนมโรงเรียน โดยบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และลดปัญหาการมีผลประโยชน์ทับซ้อน อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ องค์กรเกษตร สหกรณ์  เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม ตลอดจนผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องอาจยังไม่เข้าใจและกังวล สามารสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากกรมปศุสัตว์ได้” รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าว

โดยที่ประชุมมีการพิจารณา 3 ประเด็นหลัก คือ 1) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องตามแนวทางการปฏิรูประบบบริหารจัดการโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประกอบด้วย 3 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการบริหารกลางโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน คณะอนุกรรมการรณรงค์การบริโภคนมในสถาบันการศึกษาทุกระดับ และคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชนทุกระดับกลุ่มพื้นที่ 2) จัดทำแผนการใช้จ่ายงบประมาณสำหรับใช้ในการบริหารจัดการและภารกิจของคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชนในแต่ละปี เพื่อนำเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี โดยที่ประชุมเห็นชอบกรอบวงเงินในปี 2562 เดือนเมษายน – กันยายน ประมาณ 103,762,500 บาท และในปี 2563 ประมาณ 391,573,800 บาท และ 3) แผนการบริหารจัดการโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประจำปีการศึกษา 2562 โดยวางแผนการดำเนินงานอย่างเร่งด่วนเป็นรายสัปดาห์ ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกลางโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการฯ ประจำปีการศึกษา 2562

ด้าน นายสรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการที่กรมปศุสัตว์จะดำเนินการต่อจากนี้คือ ดำเนินการจัดประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกลางโครงการอาหารเสริมนมโรงเรียนเพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนประจำปี 2562 และจัดการประชุมชี้แจงหน่วยงานของกรมปศุสัตว์ ได้แก่ ปศุสัตว์เขต ปศุสัตว์จังหวัด ทั่วประเทศในวันพุธที่ 10 เมษายน 2562 เพื่อชี้แจงแนวทางการปฏิรูปโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนและการขับเคลื่อนโครงการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน และจะจัดให้มีการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชนกลุ่มพื้นที่ (5 กลุ่ม) โดยมีปศุสัตว์จังหวัดเป็นอนุกรรมการและเลขานุการแต่ละกลุ่มเพื่อดำเนินการจัดสรรสิทธิ์และพื้นที่จำหน่ายนมโรงเรียนให้เด็กนักเรียนได้ดื่มนมทันวันเปิดภาคเรียนปีการศึกษา 2562

สังคม : ก.เกษตร Set Zero นมโรงเรียนทั้งระบบ ลดการมีผลประโยชน์ทับซ้อน ให้ทันก่อนเปิดเทอมนี้

People Unity : post 8 เมษายน 2562 เวลา 15.00 น.

รฟม.เผย รถไฟฟ้าสีชมพู แคราย-มีนบุรี โดยรวมคืบหน้า 98.03%

People Unity News : 10 กันยายน 2566 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) แจ้งความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2566 มีความก้าวหน้าเป็นไปตามแผนงาน โดยมีความก้าวหน้างานโยธา 96.71% งานระบบรถไฟฟ้า M&E 98.35% และความก้าวหน้าโดยรวม 98.03%

โดยในส่วนของงานโยธาของโครงการฯ ปัจจุบันผู้รับสัมปทานโครงการฯ อยู่ระหว่างการเก็บรายละเอียดของงานสถาปัตยกรรมและเตรียมความพร้อมของงานระบบไฟฟ้าในแต่ละสถานี เช่น การตกแต่งสถานี ห้องควบคุมระบบไฟฟ้า ห้องจำหน่ายตั๋ว ชั้นจำหน่ายตั๋ว เป็นต้น โดยในส่วนของสถานีแจ้งวัฒนะ14 (PK11) สถานีศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ (PK12) และสถานีโทรคมนาคมแห่งชาติ (PK13) อยู่ระหว่างการดำเนินการรื้อย้ายระบบสาธารณูปโภค ก่อนเตรียมดำเนินการติดตั้งบันไดทางขึ้น-ลง โดย รฟม. ได้กำชับให้ผู้รับสัมปทานเร่งดำเนินงานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งเร่งรัดการคืนผิวจราจรบนถนนรามอินทรา ถนนแจ้งวัฒนะ ถนนสีหบุรานุกิจ และถนนติวานนท์ ซึ่งเป็นแนวสายทางโครงการฯ เพื่ออำนวยความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทางให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน

สำหรับด้านการเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดให้บริการโครงการฯ นั้น ปัจจุบันผู้รับสัมปทานโครงการฯ ยังอยู่ระหว่างการทดสอบเดินรถเสมือนจริง (Trial Run) ในช่วงแรก จากสถานีศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ (PK12) ถึง สถานีมีนบุรี (PK30) ซึ่งการทดสอบดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งนี้ รฟม. ได้มอบหมายให้ที่ปรึกษาควบคุมโครงการฯ กำกับดูแลและติดตามผลการทดสอบเดินรถอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งรายงานปัญหา อุปสรรคต่างๆ ให้ รฟม. ทราบเป็นระยะ เพื่อนำมาพิจารณาความพร้อมและความเหมาะสมของแผนงาน โดยคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดและความสะดวกในการเข้าถึงบริการของประชาชนเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ เมื่อการดำเนินงานทั้ง 2 ส่วนข้างต้น ได้แก่ การทดสอบเดินรถเสมือนจริง และงานโยธาแล้วเสร็จ วิศวกรอิสระ (ICE) และ รฟม. จะดำเนินการตรวจสอบและประเมินความพร้อมในภาพรวมทั้งหมดของโครงการ เพื่อให้การดำเนินงานมีความปลอดภัยตามมาตรฐานในระดับสากล และเมื่อผ่านเกณฑ์การประเมินตามมาตรฐานสากลแล้วนั้น รฟม. จึงจะพิจารณาให้ผู้รับสัมปทานเปิดให้บริการเดินรถไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ (Full Operation) เชิงพาณิชย์ได้ พร้อมทั้งแจ้งกำหนดการเปิดให้ประชาชนได้ทดลองใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และกำหนดการเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการให้ประชาชนได้รับทราบต่อไป

ในส่วนของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี ปัจจุบันมีความก้าวหน้างานโยธา 36.86% งานระบบรถไฟฟ้า M&E 19.12% และความก้าวหน้าโดยรวม 30.23% โดยตามแผนงานคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปี 2568

Advertisement

บอร์ด สปสช. หนุน “อนุทิน”หลังคุย”หมอเลี๊ยบ” เร่งปฏิรูป “ห้องฉุกเฉิน” ลดแออัด

People Unity News : “อนุทิน” คุย “หมอเลี๊ยบ” ยกระดับห้องฉุกเฉินตั้งเป้าลดความแออัด จัดลำดับการรักษาอย่างถูกต้อง ขณะที่ บอร์ด สปสช. หนุน “แนวทางปฏิรูป” แยกจัดบริการนอกเวลาราชการ นำร่อง ปี 2563 ยกคุณภาพบริการลดความขัดแย้งวินิจฉัย

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้าในโครงการยกระดับห้องฉุกเฉิน 21 โรงพยาบาลว่า ได้เชิญนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาหารือเรื่องนี้ พร้อมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง แนวคิดคือสร้างระบบคัดกรองผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพ ห้องฉุกเฉิน ต้องใช้รักษาผู้ป่วยฉุกเฉินจริงๆ แต่ก็เข้าใจว่าใครป่วย ก็ต้องการรักษาด่วนทั้งนั้น ซึ่งมันต้องหาทางออก ต้องปรับปรุงระบบคัดกรอง ได้ฟังข้อเสนอจากหลายฝ่าย เมื่อฟังแล้วเป็นประโยชน์กับประชาชน ลดความแออัดในโรงพยาบาลและห้องฉุกเฉิน ย่อมเป็นเรื่องที่น่าสนับสนุน ส่วนเรื่องงบประมาณอย่าเป็นห่วง เพราะถ้ามีประโยชน์ เรื่องนี้ ไม่ใช่ปัญหา

จากนั้น นายอนุทินได้กล่าวถึงโครงการโรงพยาบาลอาหารปลอดภัยว่า เป็นโครงการที่มีอยู่แล้ว เพราะอาหารโรงพยาบาล ต้องสะอาด ถูกหลักอนามัย เพียงแต่ช่วงนี้ หยิบมาพูดถึงอีกครั้ง ซึ่งมีนโยบายให้ทุกโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ซื้อวัตถุดิบจากเกษตรกรไทย สร้างเม็ดเงินให้คนไทยด้วยกัน แต่ต้องระมัดระวังเรื่องสารเคมีตกค้างด้วย

ประเด็นเรื่องการยกระดับห้องฉุกเฉินนั้น สืบเนื่องมากจากที่นายอนุทินเคยโพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัวระบุว่า กำลังหารือแนวทางพัฒนาห้องฉุกเฉินโรงพยาบาล สร้างมาตรการ และมาตรฐานบริการประชาชน จะเริ่มต้นวันที่ 1 ธันวาคม นี้ ปรับปรุงศักยภาพ 21 โรงพยาบาล ก่อน ตามงบประมาณที่มี แล้วรองบประมาณปี 2563 ออกมา เพื่อจะพัฒนาให้ได้มากที่สุด

ผู้สื่อข่าวเปิดเผยว่า สำหรับโรงพยาบาล 21 แห่งข้างต้น ที่จะมีการปรับปรุงห้องฉุกเฉิน ประกอบด้วย เขต 1 รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ รพ.ลำปาง เขต 2 รพ.พุทธชินราช จ.พิษณุโลก เขต 3 รพ.สวรรค์ประชารักษ์ เขต 4 รพ.สระบุรี รพ.พระนครศรีอยุธยา รพ.ปทุมธานี เขต 5รพ.นครปฐม เขต 6 รพ.ชลบุรี รพ.ระยอง เขต 7 รพ.ขอนแก่น เขต 8 รพ.อุดรธานี เขต 9 รพ.มหาราชนคราราชสีมา รพ.บุรีรัมย์ เขต 10 รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี เขต 11 รพ.สุราษฎร์ธานี รพ.วชิระภูเก็ต เขต 12 รพ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และรพ.สังกัดกรมการแพทย์ 3 แห่ง คือรพ.ราชวิถี รพ.นพรัตนราชธานี และรพ.เลิดสิน

อย่างไรก็ตามที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นายอนุทิน ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) โดยที่ประชุมได้เห็นชอบข้อเสนอการใช้สิทธิบริการสาธารณสุข ตามนโยบาย “บริการเจ็บป่วยฉุกเฉินคุณภาพ” นำเสนอโดย นพ.การุณย์ คุณติรานนท์ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

นายอนุทิน กล่าวว่า ตามข้อเสนอ “แนวทางการปฏิรูปห้องฉุกเฉิน” โดยกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2562 มีหลักการเพื่อลดความแออัดในห้องฉุกเฉินเพื่อให้ผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินวิกฤตและเร่งด่วน ได้รับบริการมีคุณภาพมากขึ้น แยกการบริการเจ็บป่วยไม่รุนแรงและเจ็บป่วยทั่วไปออก และเพื่อให้ผู้ป่วยที่มีอาการที่ไม่ถึงเกณฑ์เจ็บป่วยฉุกเฉินเร่งด่วนมีสิทธิเข้ารับบริการนอกเวลาราชการ โดยมอบให้ สปสช. ร่วมพัฒนาระบบในการสนับสนุนค่าใช้จ่ายการบริการผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรง (สีเขียว) และผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการ

ที่ผ่านมา สปสช.ได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการปฏิรูปห้องฉุกเฉิน โดยมีการออกประกาศตามข้อ 10 วรรคสอง ของข้อบังคับมาตรา 7 กำหนดเพิ่ม “เหตุสมควรอื่นเพื่อลดความแออัดในห้องฉุกเฉินและเพิ่มคุณภาพในการใช้บริการนอกเวลาราชการ” เพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรง (สีเขียว) และผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและได้รับบริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน กำหนดเงื่อนไขจัดบริการนอกเวลาราชการเฉพาะหน่วยบริการเฉพาะที่มีศักยภาพตามแนวทางบริการฉุกเฉินคุณภาพ โดยแยกจัดบริการเป็น 2 ห้องชัดเจน ตามมาตรฐาน คือ ห้องฉุกเฉินคุณภาพเพื่อดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตและเจ็บป่วยฉุกเฉินเร่งด่วน (สีแดงและสีเหลือง) และห้องฉุกเฉินไม่รุนแรงเพื่อดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรง (สีเขียว) และที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลา พร้อมแยกระบบข้อมูลบริการนอกเวลาราชการ

นอกจากนี้ได้เพิ่มค่าบริการสาธารณสุขนอกเวลาราชการในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรงและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการเป็นรายการบริการใหม่ โดยกำหนดอัตราชดเชยค่าบริการ 150 บาทต่อครั้ง ซึ่งในปีงบประมาณ 2563 (10 เดือน) คาดว่าจะมีการรับบริการประมาณ 1.05 ล้านครั้ง หรือร้อยละ 10 ของการรับบริการผู้ป่วยนอก ใช้งบประมาณไม่เกิน 157.50 ล้านบาท โดยจะเป็นการใช้เงินกองทุนรายการรายได้สูง (ต่ำ) กว่าค่าใช้จ่ายสะสมในการดำเนินการ

ด้าน นพ.การุณย์ กล่าวว่า การจ่ายชดเชยค่าบริการสาธารณสุขนอกเวลาราชการในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรงและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการนี้ จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป โดยในปีงบประมาณ 2563 มีโรงพยาบาลร่วมนำร่องจับ 34 แห่ง ซึ่งผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรงและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

“สปสช.มีนโยบายสนับสนุนการปฏิรูปห้องฉุกเฉินตามข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับบริการที่มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อให้ห้องฉุกเฉินเป็นพื้นที่ดูแลเฉพาะรับผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตและผู้ป่วยเจ็บป่วยฉุกเฉินเร่งด่วนเท่านั้น ขณะเดียวกันเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรงและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากช่วยลดความแออัดในห้องฉุกเฉินแล้วยังลดความขัดแย้งระหว่างบุคลากรทางการแพทย์กับผู้ป่วยและญาติในความเห็นที่ไม่ตรงกันกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน” นพ.การุณย์ กล่าว

Verified by ExactMetrics