วันที่ 19 พฤษภาคม 2024

จบรถไฟฟ้า-แบน 3 สารพิษ! “อนุทิน”ลุยยันปลูกกัญชา 6 ต้น

People Unity : จบรถไฟฟ้า-แบน 3 สารพิษ! “อนุทิน”ลุยยันปลูกกัญชา 6 ต้น รุดตรวจองค์การเภสัชกรรมพัฒนาสายพันธุ์แปรรูปเป็นผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ พร้อมรับปากกทวงหนี้ 5 พันล้านคืนให้

วันที่ 25 ต.ค.2562 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีแและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หลังจากตรวจเยี่ยมองค์การเภสัชกรรม คลอง 10 จ.ปทุมธานี ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพที่เกี่ยวกับกัญชาผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน ตรวจเยี่ยมความก้าวหน้าของการพัฒนาสายพันธุ์กัญชาเพื่อให้ได้สารสกัดน้ำมันกัญชาในระดับ MEDICAL GRADE ซึ่งมีสรรพคุณในการรักษาโรคต่างๆด้วยความปลอดภัยและมีมาตรฐานในทุกช่วงของกระบวนการผลิต หลังจากนี้ก็จะได้มีการรวบรวมสถิติข้อมูลจากการใช้รักษาโรคเพื่อนำไปสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติกัญชาที่พรรคภูมิใจไทยได้เสนอต่อรัฐสภาไปเรียบร้อยแล้ว

ที่ถามมาว่าปลูกที่บ้านหกต้นอยู่ที่ไหน โกหกหรือเปล่า นี่คือคำตอบ ถ้าประชาชนที่เห็นคุณค่าและประโยชน์ของการใช้กัญชาในทางการแพทย์ออกมาช่วยกันผลักดัน ก็จะเห็นผลเร็วขึ้น ทุกอย่างผมต้องเน้นความปลอดภัยและทำให้มีสายพันธุ์ที่ให้สารสกัดที่ปลอดภัย ไม่ใช่มั่วเอาอะไรก็ได้”

ทั้งนี้ตามที่นายอนุทินได้ตรวจเยี่ยมองค์การเภสัชกรรม คลอง 10 จ.ปทุมธานีนั้น ได้กล่าวว่า องค์การเภสัชกรรมเป็นหน่วยงานที่มีศักยภาพ สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ ออกมาได้มากมาย ซึ่งล้วนแต่มีคุณภาพ ที่ประทับใจมากคือการพัฒนาสายพันธุ์กัญชา มีแปลงปลูกระดับเมดิคัลเกรด และปลูกมาก่อนปี 62 เท่ากับองค์การเภสัชกรรม เห็นประโยชน์จากกัญชา เป็นไปตามนโยบายปัจจุบัน ขอขอบคุณที่มาลงเรือลำเดียวกัน

ทั้งนี้ พูดอยู่เสมอว่าเรื่องนี้ หากไม่พบประโยชน์ มีแต่โทษ ก็ไม่ต้องเดินหน้าต่อ แต่องค์การเภสัชกรรม ยังเดินหน้าอยู่ แสดงว่ากัญชาต้องมีดี และองค์การเภสัชกรรม นับว่ามีองค์ความรู้เรื่องกัญชาที่มีประโยชน์ ข้อมูลดังกล่าวจะสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องแก่สังคมให้เปิดใจยอมรับมากขึ้น เวลาโพสต์อะไร มักจะมีคนถามเรื่อง 6 ต้น ขอทำความเข้าใจว่า เมื่อก่อนน้ำมันกัญชา อยู่ใต้ดิน ต้องแอบทำ แอบใช้ ตอนนี้ อนุญาตให้ใช้ตามสถานพยาบาลแล้ว นี่คือความคืบหน้าที่จับต้องได้ ตนมาเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ เพราะมองเห็นประโยชน์ภาพรวมต่อคนไทย สำหรับเรื่อง 6 ต้น กำลังผลักดันผ่านช่องทางสภา ยืนยัน ทำเต็มความสามารถ ส่วนญาติพี่น้อง ไม่มีใครยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจกัญชาทั้งสิ้น

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า องค์การเภสัชกรรมมีศักยภาพในการแข่งขัน และทำกำไรได้อย่างน่าชื่นชม กระทั่งเป็นเจ้าหนี้ถึง 5 พันล้านบาท มีลูกหนี้คือกระทรวงสาธารณสุข 3 พันล้านบาท และ สปสช. 2 พันล้านบาท ซึ่งในฐานะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะรับทวงหนี้ให้ โดยงบกระทรวงมีหลักแสนล้านบาท มันต้องมีวิธีจัดการ ตอนนี้ ปัญหา ยังพอมีทางออก แต่ถ้าปล่อยให้หนี้สูงถึงระดับหมื่นล้านบาท รับรองว่าแก้ยากแน่นอน แนวทางแก้ไข อาจจะให้ทยอยจ่ายให้จบใน 3 ปี

“ขอให้องค์การเภสัชกรรมรักษามาตรฐานการทำงานต่อไป เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว สมัยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ เกิดวิกฤติไข้หวัดนก แล้วหายายากมาก ทำให้ตระหนักถึงคุณค่าขององค์การเภสัชกรรมทันที ทั้งนี้ การให้คือบุญที่ยิ่งใหญ่ หากเกิดภาวะโรคระบาด แล้วไทยมีสำรองยาสำหรับนานาชาติ มันจะเป็นเรื่องดีแค่ไหน”นายอนุทิน กล่าว

“พิพัฒน์​”​เปิดสเปเชียลโอลิมปิกยูนิฟายด์แบดมินตันชิงแชมป์เอเชียแปซิฟิคครั้งที่ 1

People Unity News : รมว.ท่องเที่ยว​และ​กีฬา​ เป็น​ประธาน​เปิดสเปเชียลโอลิมปิกยูนิฟายด์แบดมินตันชิงแชมป์เอเชียแปซิฟิค ครั้งที่ 1

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน​ 2562​ เวลา 19.00 น. นาย​พิพัฒน์​ รัช​กิจ​ประการ​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวงการ​ท่องเที่ยว​และ​กีฬา​ เป็น​ประธาน​เปิดการแข่งขันสเปเชียลโอลิมปิกยูนิฟายด์แบดมินตันชิงแชมป์เอเชียแปซิฟิค ครั้งที่ 1 ปี 2562 ระหว่างวันที่ 12-16 พฤศจิกายน 2562 โดยมีนายเขมพล​ อุ้ย​ต​ยะ​กุล​ เลขานุการ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​การ​ท่องเที่ยว​และ​กีฬา​ คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการ​คณะกรรมการโอลิมปิกสากล ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ดร.นริศ ชัยสูตร นายกสมาคมกีฬาสเปเชียลโอลิมปิกแห่งประเทศไทย คณะ​ผู้บริหาร​ฯ และแขกผู้​มีเกียรติ ร่วมในพิธี ณ อินดอร์สเตเดี้ยม การกีฬาแห่งประเทศไทย หัวหมาก

การแข่งขันกีฬายูนิฟายด์เป็นการแข่งขันกีฬาในรูปแบบที่ส่งเสริมการเรียนรู้และการอยู่ร่วมกันในสังคม (Inclusive Society) ประกอบด้วยผู้เล่นที่เป็นนักกีฬาพิเศษ (พิการทางสติปัญญา และนักกีฬาทั่วไป(ไม่พิการ) ในทีมหรือคู่เดียวกันซึ่งอยู่ในเพศเดียวกัน วัยเดียวกัน และมีทักษะกีฬาเท่าเทียมกัน จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการร่วมมือระหว่างคนพิเศษกับคนปกติ และเพื่อแสดงให้เห็นว่าคนพิเศษสามารถเป็นส่วนหนึ่งของสังคมได้ อันเป็นการสร้างการยอมรับทางสังคมให้กับผู้พิการกลุ่มนี้

โดยได้รับความสนใจ​จากคณะนักกีฬาสเปเชียลโอลิมปิก 14 ประเทศ ในภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิค เข้าร่วม ประกอบด้วย อินเดีย ฮ่องกง มาเก๊า เกาหลีใต้ ปากีสถาน บังคลาเทศ ศรีลังกา เมียนมาร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนิเซีย มัลดีฟ และประเทศไทย แต่ละประเทศส่งผู้เข้าร่วมได้ 11 คน ประกอบด้วย คู่ยูนิฟายด์ชาย 2 คู่ + คู่ยูนิฟายด์หญิง 2 คู่ รวมนักกีฬา 8 คน ผู้ฝึกสอนชาย 1 คน + ผู้ฝึกสอนหญิง 1 คน รวมผู้ฝึกสอน 2 คน (ไทยในฐานะประเทศเจ้าภาพ สามารถส่งได้ 2 ทีม) ผู้จัดการทีม 1 คน

สำหรับ​ประเภทการแข่งขัน แบ่งออกเป็น 2 รุ่นอายุ คือ
1. รุ่นอายุ 16-21 ปี ประเภทคู่ยูนิฟายด์ ชาย และ หญิง
2. รุ่นอายุ 22-29 ปี ประเภทคู่ยูนิฟายด์ ชาย และหญิง

ย้ำอีกครั้ง! พ.ร.บ.ประกันสังคม เพิ่มสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตนให้สอดคล้องสถานการณ์ปัจจุบัน

People Unity News : 23 พฤษภาคม 65 ตามที่เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 65 ที่ผ่านมา ครม. เห็นชอบหลักการ (ร่าง) พ.ร.บ.ประกันสังคม ฉบับใหม่ เนื่องจากกฎหมายปัจจุบันมีบทบัญญัติบางประการไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน และด้วยสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่กระทบต่อผู้ประกันตน รัฐบาลจึงเร่งแก้กฎหมายเพื่อเพิ่มหลักประกันทางสังคมและสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนให้มากขึ้น ดังนี้

1.การขยายความคุ้มครองให้กับผู้ประกันตนเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยขยายอายุขั้นสูงของผู้ประกันตน ม.33 (จาก 60 ปี เป็น 65 ปีบริบูรณ์) ให้ผู้รับเงินบำนาญชราภาพสามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนได้ รวมถึงขอรับเงินบำนาญจ่ายล่วงหน้าได้

2.การแก้ไขเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ (3 ขอ) เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประกันตน

✅“ขอเลือก” สามารถเลือกรับเงินบำเหน็จหรือเงินบำนาญชราภาพได้

✅“ขอคืน” สามารถนำเงินสะสมกรณีชราภาพบางส่วนออกมาใช้ก่อนได้ หากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สาธารณภัย หรือเหตุการณ์ที่กระทบต่อผู้ประกันตน

✅“ขอกู้” สามารถนำเงินสะสมกรณีชราภาพไปเป็นหลักประกันกับสถาบันการเงินได้

3.การแก้ไขเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์อื่นๆ

✅เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร จากเดิมจ่าย 90 วัน เป็น 98 วัน

✅เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ จากเดิมจ่ายร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 70

✅กรณีสงเคราะห์บุตรให้ได้รับการคุ้มครองต่อไปอีก 6 เดือน นับแต่วันที่สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน

Advertisement

สสส. ยก”ตำบลชมภูโมเดล” ต้นแบบพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ด้วย”สุนทรียสนทนา”

People Unity News : สสส. ยก”ตำบลชมภูโมเดล” ต้นแบบพื้นที่บูรณาการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ สร้างงาน-รายได้ ฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการโดยชุมชน ผลิตนักสร้างเสริมสุขภาวะคนพิการในชุมชน ขยายผลสู่ 5 จังหวัดภาคเหนือ พร้อมเดินหน้านำร่อง “ธนาคารเวลา”  

วันที่ 15 พ.ย. 2562 ที่ศูนย์บริการคนพิการตำบลชมภู ต.ชมภู อ.สารภี จ.เชียงใหม่ นายพิทยา จินาวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารแผน คณะที่ 2 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการกำกับทิศทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ คณะกรรมการกำกับทิศทางการขับเคลื่อนการสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ และคณะกรรมการกำกับทิศทางการจัดสภาพแวดล้อมและพัฒนาบริการสาธารณะตามแนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคน นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ศึกษาเรียนรู้สุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ “การสร้างเสริมสุขภาวะผู้สูงอายุ คนพิการ และการปรับสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน” ภายใต้โครงการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการแบบมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น ชุมชน และคนพิการ โครงการพัฒนากลไกสร้างเสริมสุขภาวะสำหรับคนพิการที่มีงานทำและมีอาชีพ  โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ: บูรณาการและยกระดับกลไกขับเคลื่อนการเข้าถึงโอกาสงานและอาชีพของคนพิการให้ดำเนินการได้อย่างยั่งยืน และ  โครงการประเมินความเป็นไปได้และถอดบทเรียนการดำเนินงานธนาคารเวลาในระดับชุมชน

ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จากข้อมูลการประมาณการผู้พิการในภาพรวมทั้งประเทศปี 2562 พบว่าประเทศไทยมีจำนวนผู้พิการประมาณ 2 ล้านคน หรือร้อยละ 3.01 โดย 3 อันดับแรกเป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกาย รองลงมาคือคนพิการทางการได้ยิน และคนพิการทางการมองเห็น ซึ่งสสส.โดยแผนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะทำงานครอบคลุม 4 มิติ คือ ด้านการส่งเสริมสุขภาพ, ด้านเศรษฐกิจ, ด้านสังคมและการเรียนรู้ และด้านสภาพแวดล้อม เพื่อให้คนพิการทุกคนมีศักยภาพและสามารถทำงานหรืออยู่ร่วมกันกับคนปกติได้อย่างเท่าเทียมและเสมอภาคกัน

ทพ.ศิริเกียรติ กล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตำบลชมภู อ.สารภี จ.เชียงใหม่ สสส.ได้ให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน ผ่านการดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการต่างๆของสสส. อาทิ  “โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ: บูรณาการและยกระดับกลไกขับเคลื่อนการเข้าถึงโอกาสงานและอาชีพของคนพิการให้ดำเนินการได้อย่างยั่งยืน” เพื่อส่งเสริมและยกระดับให้คนพิการที่ได้รับการจ้างงานและการประกอบอาชีพ มีศักยภาพ มีสุขภาวะ สามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระและพึ่งพาตนเองได้ โดยระหว่างปี 2561-2562 มีการจ้างงานและสนับสนุนอาชีพคนพิการต่อเนื่อง กว่า 4,000 อัตรา นอกจากนี้มีการพัฒนาศักยภาพคนพิการ รวมถึงผลิตนักสร้างเสริมสุขภาวะคนพิการในชุมชน (นสส) ภายใต้โครงการพัฒนากลไกสร้างเสริมสุขภาวะสำหรับคนพิการที่มีงานทำและมีอาชีพ และเน้นกระบวนการทำงานสร้างเสริมการมีส่วนร่วมในชุมชนผ่านโครงการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการแบบมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น ชุมชน และคนพิการ เพื่อให้การทำงานด้านการฟื้นฟู และพัฒนาศักยภาพของคนพิการ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จนเป็นต้นแบบ ขยายผลไปสู่พื้นที่ ในภาคเหนือ 5  จังหวัด ได้แก่เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย และแม่ฮ่องสอน จำนวน  17  พื้นที่

นายอนันต์ แสงบุญ ผู้ใหญ่บ้าน ม.4 ตำบลชมภู จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ตำบลชมภูมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 9,676 ไร่มีประชากรทั้งหมด 7,215 คน เป็นคนพิการ 291 คนหรือร้อยละ 4 คนพิการส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุจำนวน 164 คน (ร้อยละ 56.4) รองลงมาอยู่ในวัยแรงงาน วัยรุ่น และวัยเด็กคิดเป็น ร้อยละ 38.8 ,2.7 และ2.1 ตามลำดับส่วนใหญ่เป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหวคิดเป็นร้อยละ 71.1 ในการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตำบลชมภูนั้น เดิมติดรูปแบบสังคมสงเคราะห์ คือตั้งรับงบประมาณและสิ่งของบริจาค ขาดการเสริมสร้างศักยภาพคนพิการที่ครบองค์รวมกาย จิต ปัญญา สังคม(สุขภาวะ) ขาดการรวมกลุ่มที่มีประสิทธิภาพ ขาดข้อมูลเกี่ยวกับคนพิการและบริบทต่างๆรอบด้าน ในเรื่องสิทธิการจ้างงาน

ภายหลังได้มีการปรับเปลี่ยนแนวคิดทำความเข้าใจเรื่องคนพิการโดยผ่านการทำกิจกรรมที่เรียกว่า “สุนทรียสนทนา” และการจำลองความพิการ ทำให้เครือข่ายได้ปรับมุมมองที่มีต่อคนพิการและปรับรูปแบบการทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เปลี่ยนจากการมองคนพิการเป็นเพียงผู้รับ กลายเป็นการสนับสนุนให้คนพิการมีความเข้มแข็งและมีความมั่นใจในตนเองจนสามารถลุกขึ้นมาทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆในชุมชน สามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับคนพิการ จนสามารถรวมกลุ่มกันตั้งเป็นศูนย์บริการคนพิการ ต.ชมภู อ.สารภี จ.เชียงใหม่และกำลังเข้าสู่การจดทะเบียนเป็นศูนย์บริการคนพิการทั่วไปของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)

นอกจากนี้ ศูนย์บริการคนพิการยังได้ดำเนินการด้านอีกอื่นๆได้แก่ ธนาคารเวลา เป็นหน่วยจัดการร่วม สสส.ระดับพื้นที่(Node)เพื่อขยายงาน CBR ในพื้นที่อื่นๆต่อไป และร่วมกับโครงการอื่นๆของสสส.ในการพัฒนานักสร้างเสริมสุขภาวะคนพิการ(นสส.)และร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในการดำเนินงานปรับสภาพบ้านคนพิการและผู้สูงอายุอีกด้วย

นางมัลลิกา ตะติยาพรพันธ์ ผู้อำนวยการ รพ.สต. ต.บ้านพญาชมพู กล่าวว่า ตำบลชมภูมีการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการโดยใช้กระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการโดยชุมชน CBID (Community-based Inclusive Development) พัฒนาด้านสาธารณสุข ด้านการศึกษา การเลี้ยงชีพ  ด้านสังคมและการเสริมพลังไปพร้อมๆกันในคนพิการและครอบครัวคนพิการ มีการพัฒนาองค์ความรู้ที่เหมาะสมโดยเฉพาะความรอบรู้ที่เป็นปัจจัยกำหนดความเข้าใจด้านสุขภาพ โดยมีเครือข่ายของนักสร้างเสริมสุขภาวะในชุมชน(นสส.) เป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับคนในชุมชน มุ่งเน้นเป้าหมาย “ป้องกันความพิการ” ใช้วิธีมองปัญหาแบบรอบด้านและส่งเสริมป้องกันความพิการในผู้ที่มีความเสี่ยง ทั้งกลุ่มแม่และเด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ป่วยความดัน

ครม.เข้มแก้ปัญหาอาวุธปืน-ยาเสพติด ขออนุญาตมีอาวุธปืนต้องมีใบรับรองแพทย์ ตรวจสุขภาพจิต

People Unity News : 7 กุมภาพันธ์ 2566 ครม.รับทราบ 4 มาตรการเร่งด่วนแก้ปัญหาอาวุธปืน-ยาเสพติด โชว์ผลงานจับผู้ต้องหากระทำผิดอาวุธปืน-ระเบิดได้ 2.7 หมื่นราย กวาดล้างยาบ้า 12.29 ล้านเม็ด อายัดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติด 11 ล้านบาท

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการสำคัญแก้ไขปัญหาอาวุธปืนและยาเสพติดตามที่ ครม. มีมติเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2565 ให้กระทรวงยุติธรรมรวบรวมข้อมูลผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาอาวุธปืนและยาเสพติดในภาพรวมเสนอต่อครม.ภายใน 90 วัน

“สรุปผลการดำเนินการตามมาตรการฯ รวม 4 ประการ ดังนี้ 1. มาตรการเกี่ยวกับอาวุธปืน  1.1 การอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน เช่น เพิ่มเติมเอกสารใบรับรองแพทย์ ออกหนังสือรับรองจากหน่วยงานต้นสังกัดหรือนายจ้าง และตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขออนุญาต นั้น กระทรวงมหาดไทยได้หารือกับกรมสุขภาพจิตและโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาในเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการในการตรวจสุขภาพจิตและหาสารเสพติดของผู้ยื่นขอใบอนุญาต และได้ศึกษาแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 เพื่อเพิ่มอำนาจให้นายทะเบียนท้องที่ออกคำสั่งให้ผู้ขออนุญาตดำเนินการตรวจสุขภาพจิตและหาสารเสพติดและตรวจสอบประวัติอาชญากรและการรับรองความประพฤติของผู้ขออนุญาตทุกราย” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า 1.2 กำชับนายทะเบียนท้องที่ให้ตรวจสอบคุณสมบัติผู้ยื่นคำขออนุญาตทั้งก่อนและหลังการออกใบอนุญาตและซักซ้อมแนวทางปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแนวทางการอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวภายในเขตจังหวัด 1.3 เชื่อมโยงฐานข้อมูล โดยกระทรวงมหาดไทยได้อนุมัติสิทธิให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ส่วนกลาง) สามารถเข้าระบบเพื่อตรวจดูข้อมูลทะเบียนอาวุธปืน และอยู่ระหว่างหารือด้านเทคนิคการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน 1.4 กระทรวงมหาดไทยได้เสนอร่างพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และอยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นในระบบกฎหมายกลางเพื่อจัดการอาวุธปืนที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือที่มีกฎหมายห้ามออกใบอนุญาต

“1.5 การป้องกันและปราบปรามในเชิงรุก ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลประวัติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืน และสืบสวน ปราบปราม ตรวจค้นแหล่งค้า/ผลิตอาวุธปืนผิดกฎหมาย ทั้งนี้ สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนและวัตถุระเบิด (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 15 ธันวาคม 2565) รวม 29,464 คดี ผู้ต้องหา 27,637 ราย 1.6 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ดำเนินการมาตรการทางดิจิทัล เช่น การป้องกันการค้าอาวุธปืนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลและเครือข่ายสังคมออนไลน์ และการป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ไม่เหมาะสมในการปิดกั้นแพลตฟอร์มหากมีข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอันเกี่ยวเนื่องกับอาวุธปืนและยาเสพติด” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า 2. มาตรการด้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด 2.1 การควบคุมสารเคมีที่นำไปใช้ผลิตยาเสพติด เช่น ระงับการส่งออก และชะลอการนำเข้าวัตถุอันตรายบางรายการชั่วคราว ยึดและอายัดวัตถุอันตราย ที่ใช้ในกระบวนการผลิตยาเสพติด โดยอายัดสารโซเดียมไซยาไนด์ 220 ตัน หากนำไปใช้ในกระบวนการผลิตสารตั้งต้นจะสามารถนำไปใช้ในการผลิตยาบ้า 4,840 ล้านเม็ด 2.2 การทำลายเครือข่ายนักค้ายาเสพติดและยึดอายัดทรัพย์สิน เช่น ดำเนินการสืบสวนและขยายผลเพื่อทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดโดยได้จัดทำรายงานข่าวสารยาเสพติดของเครือข่าย 739 ฉบับและรายงานเป้าหมายบุคคลในเครือข่าย 1,098 คน และสามารถอายัดทรัพย์สิน รวมมูลค่าทั้งสิ้น 11,280 ล้านบาท (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2565)

“2.3 การติดตามจับกุมผู้มีหมายจับคดียาเสพติด สามารถดำเนินการเร่งรัดติดตามจับกุมผู้มีหมายจับคดียาเสพติดได้ 88หมายจับ โดยกระทรวงกลาโหมได้เพิ่มความเข้มข้นในการเฝ้าระวังการลักลอบนำเข้า-ส่งออกบริเวณชายแดน ทำให้สกัดกั้นจับกุมยาเสพติด ได้แก่ ยาบ้า 12.29 ล้านเม็ด เฮโรอีน 11 กิโลกรัม ยาไอซ์ 586,956.75 กรัม และยาอี 15,000 เม็ด (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 26 ธันวาคม 2565) และได้ปราบปรามยาเสพติดโดยในเดือนพฤศจิกายน 2565 สามารถจับกุม/ตรวจยึดยาเสพติด ผู้ต้องหา 18 คน ยาบ้า 11.93 ล้านเม็ด ยาไอซ์ 435.1 กิโลกรัม และเคตามีน 9.9 กิโลกรัม”  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า 2.4 การทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นเพื่อค้นหาผู้เสพยาเสพติดทั่วประเทศ เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทยได้หารือร่วมกันในการบูรณาการฐานข้อมูลผู้เสพ ผู้ติด ผู้มีอาการทางจิตเวช โดยจัดตั้งฐานข้อมูลด้านยาเสพติดที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ Re X-ray ผู้ใช้ ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ผู้มีอาการทางจิตเวช 158,333 ราย โดยผู้ใช้ ผู้เสพ เข้าสู่กระบวนการบำบัด 106,937 ราย ผู้มีอาการทางจิตเวชที่มีสาเหตุจากยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัด 25,586 ราย (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 20 ธันวาคม 2565)

“2.5 การตรวจสอบและติดตามข้อร้องเรียนของประชาชน มีการดำเนินการต่อข้อร้องเรียนของประชาชนผ่านสายด่วน 1386 มีการรับเรื่องร้องเรียนทั้งหมด 5,016 เรื่อง ดำเนินการแล้ว 2,256 เรื่อง และดำเนินการปิดล้อมตรวจค้นและจับกุมนักค้ายาเสพติดในพื้นที่ 330 หมู่บ้าน/ชุมชน (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2565) 3. มาตรการด้านการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด มีระบบบูรณาการดูแลผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดที่มีความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง (SMI-V) ระหว่างหน่วยงานภาคีเครือข่าย 30 จังหวัดในพื้นที่ต้นแบบเพื่อลดอัตราการกลับมาเสพซ้ำและไม่ก่อความรุนแรง และเร่งรัดสำรวจศูนย์คัดกรองให้ครอบคลุมทุกตำบล โดยได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนศูนย์คัดกรองแล้ว จำนวน 9,473 แห่ง รวมถึงเร่งรัดประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการมีส่วนร่วมของครอบครัวแล้ว 659 ชุมชน  และจัดตั้งกลุ่มงานจิตเวชในโรงพยาบาลชุมชน 439 แห่ง รวมถึงสนับสนุนการดำเนินงานของสถานฟื้นฟูผู้ติดยา และยื่นขึ้นทะเบียนศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมให้ครอบคลุมทุกจังหวัดถึงระดับตำบล” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า 4. มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพจิต เช่น จัดทำแนวปฏิบัติในการขอรับการตรวจประเมินปัญหาสุขภาพจิตสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งหอผู้ป่วยในจิตเวชและยาเสพติดทุกโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปให้ครอบคลุม 65 จังหวัด ใน 12 เขตสุขภาพ 97 แห่ง จัดตั้งกลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติดในโรงพยาบาลชุมชนให้ครบทุกแห่ง โดยได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนแล้ว 1,080 แห่ง และสนับสนุนให้สภาเด็กและเยาวชนเป็นกลไกอบรมเพื่อป้องกันยาเสพติดใน 603 กิจกรรม จำนวน 37,620 คนทั่วประเทศ

Advertisement

กรมควบคุมโรค ชวนโรงงานทั่วไทย ทำบับเบิลแอนด์ซีลแบบป้องกันโรคโควิด-19

People Unity News : กรมควบคุมโรค ชวนโรงงานทั่วไทย ทำบับเบิลแอนด์ซีลแบบป้องกันโรคโควิด-19

9 กันยายน 2564 นายแพทย์อภิชาต วชิรพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 สถานประกอบกิจการและโรงงานหลายแห่งได้รับผลกระทบ กรมควบคุมโรค จึงนำมาตรการบับเบิลแอนด์ซีล มาใช้ควบคุมโรคโควิด-19 ในโรงงาน โดยออกแบบ 2 ระบบคือ ระบบการควบคุมโรคซึ่งใช้ในพื้นที่ความคุมสูงสุดและเข้มงวด เช่น จังหวัดสมุทรสาคร ในช่วงเดือนมกราคม 2564 แต่ละแห่งมีพนักงานจำนวนมาก โดยทำการคัดแยกผู้ติดเชื้อ มาแยกกักรักษาตัวที่ รพ.สนาม หรือสถานที่แยกกักอื่นๆ ส่วนพนักงานในโรงงาน ที่สัมผัสโรคแต่ไม่ป่วย ให้โรงงานจัดที่พักในโรงงานแยกจากครอบครัว ชุมชนและให้สามารถทำงานได้ พบว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในช่วงสั้นๆ ประมาณ 4 สัปดาห์ จึงพัฒนามาสู่ระบบบับเบิลแอนด์ซีลเพื่อป้องกันโรคในโรงงาน ที่ยังไม่มีการระบาด ซึ่งมีมากกว่าโรงงานที่มีผู้ติดเชื้อ หลังจากที่ดำเนินการในโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ผลพบว่าแทบไม่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เลย หรือมีน้อยมากและสามารถควบคุมได้เร็ว ทั้งแรงงานและโรงงานไม่ต้องหยุดการผลิต พนักงานยังมีรายได้ปกติ จึงอยากเชิญชวนให้โรงงานอุตสาหกรรมทุกแห่งทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ให้จัดทำแผนทำบับเบิลแอนด์ซีล เพื่อการป้องกันโรค โดยแบ่งกลุ่มพนักงานที่ไลน์การผลิตเดียวกันออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ไม่ปะปนกัน เพื่อจำกัดการแพร่เชื้อระหว่างกลุ่ม ทุกโรงงานต้องมีการสุ่มตรวจการติดเชื้อพนักงานด้วยชุดตรวจ ATK เพื่อเฝ้าระวังอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง

Advertising

ผู้ค้าตลาดนัดจตุจักรเข้าพบขอบคุณ พล.อ.ประวิตร หลังแก้ปัญหาตลาดนัดจตุจักรสำเร็จ

People unity news online : ผู้ค้าตลาดนัดจตุจักร เข้าพบและขอบคุณ พล.อ.ประวิตร หลังประสบความสำเร็จช่วยแก้ไขปัญหาตลาดนัดจตุจักร

เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2561 เวลา 15.00 น. ณ ห้องรับรอง สโมสรทหารบก (วิภาวดี) พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี โดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รองผู้บัญชาการทหารบก พร้อมด้วย นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้แทนนายกรัฐมนตรี และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นำผู้แทนกลุ่มสหกรณ์บริการผู้ค้าตลาดนัดจตุจักรและกลุ่มผู้ค้าตลาดนัดจตุจักร เข้าพบเพื่อมอบดอกไม้ แสดงความขอบคุณรัฐบาลและคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 (กขป.5) เพื่อแสดงความขอบคุณรัฐบาลที่ได้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ค้าในตลาดนัดจตุจักรจนได้ข้อยุติที่เป็นที่พอใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสามารถช่วยลดค่าเช่าแผงค้ารายเดือน และปรับให้ กทม. เข้ามาบริหารจัดการตลาดนัดจตุจักรแทนการรถไฟแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลในการบริหารจัดการพื้นที่สาธารณประโยชน์ให้มีความสมดุล และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งเป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่สอดคล้องกับนโยบายที่รัฐบาลได้เร่งดำเนินอยู่ในขณะนี้

สําหรับปัญหาความเดือดร้อนของผู้ค้าตลาดนัดจตุจักรเป็นปัญหาที่เกิดจากการปรับระบบการบริหารจัดการตลาดตั้งแต่ปี 2555 และส่งผลให้ค่าเช่าแผงมีราคาสูงขึ้นอย่างมาก (3,157 บาท/เดือน) จนกลายเป็นปัญหายืดเยื้อและผลส่งกระทบต่อผู้ค้าตลาดนัดจตุจักร ซึ่งมีอยู่ประมาณ 90,000 แผง จนเมื่อเดือนกันยายน 2561 ผู้ค้าตลาดนัดจตุจักรประมาณกว่า 2,000 ราย ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้รัฐบาลเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนดังกล่าว และลดผลกระทบต่อประชาชาชนผู้ใช้บริการในตลาดนัดจตุจักร

โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณทุกคนที่เข้าพบและและขอบคุณหน่วยงานภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่ให้ความร่วมมือเร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ค้าตลาดนัดจตุจักรแล้วเสร็จ พร้อมกล่าวว่า การเร่งรัดขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จนกระทั่งได้ข้อยุติ โดยกําหนดให้การรถไฟแห่งประเทศไทย ส่งมอบการบริหารตลาดนัดจตุจักรให้กับกรุงเทพมหานคร และลดค่าเช่าแผงลงจากเดิมเดือนละ 3,157 บาท เหลือเดือนละ 1,800 บาท ตามรายละเอียดที่กระทรวงคมนาคมได้รายงานให้คณะรัฐมนตรีรับทราบแล้วเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2561 สําหรับรายละเอียดอื่นๆอยู่ระหว่างการจัดทําบันทึกความเข้าใจร่วมกันระหว่างการรถไฟแห่งประเทศและกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ กรุงเทพมหานครสามารถเข้ามาเริ่มบริหารจัดการตลาดนัดจตุจักรได้ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไป

รองนายกรัฐมนตรีย้ำว่ารัฐบาลไม่เพียงแต่ดูแลบรรเทาความเดือดร้อนของร้านค้าตลาดนัดจตุจักรเท่านั้น แต่ดูแลบรรเทาความเดือนร้อนให้กับประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งมีหลายโครงการที่กำลังเร่งดำเนินการอยู่ในขณะนี้ และได้ฝากให้ผู้ประกอบการร้านค้าตลาดนัดจตุจักรให้รักษาความสะอาด และขายสินค้าในราคาย่อมเยา ยุติธรรม กับประชาชนด้วย

People unity news online : post 28 พฤศจิกายน 2561 เวลา 11.04 น.

สภากาชาดไทย ชวนบริจาคโลหิตรับเทศกาลตรุษจีน สร้างบุญ เสริมเฮง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์  : 3 กุมภาพันธ์ 2567 ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคโลหิตเป็นมงคลชีวิต ต้อนรับเทศกาลตรุษจีน ระหว่างวันที่ 9-11 ก.พ.67 ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย และหน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ 7 แห่ง (Fixed Station) รับปฏิทินจีน เป็นของที่ระลึก

รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า วันตรุษจีน ถือเป็นเทศกาลสำคัญของจีน เพราะถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งในปี 2567 วันตรุษจีนตรงกับวันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 ทั้งนี้เพื่อเป็นการเริ่มต้นทำสิ่งดีๆ ในเทศกาลตรุษจีน ซึ่งในปีนี้ตรงกับปีนักษัตรมะโรงหรือปีมังกรทอง นับเป็นปีมงคลที่เหมาะแก่การทำบุญเสริมมงคลชีวิตให้แก่ตนเองและครอบครัว ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ขอเชิญชวนชาวไทยเชื้อสายจีน และประชาชนทั่วไป ร่วมบริจาคโลหิตในโครงการ “ตรุษจีนนี้ มอบโลหิต เป็นมงคลชีวิต” ระหว่างวันที่ 9-11 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย และหน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ 7 แห่ง (Fixed Station) ผู้บริจาคโลหิตจะได้รับปฏิทินจีน “Year of The Dragon Chinese New Year 2024” แทนคำขอบคุณ เพื่อมอบเป็นที่ระลึกให้กับผู้บริจาคโลหิต ในช่วงเทศกาลตรุษจีน และส่งต่อพลังดีๆ ต้อนรับปีมังกรทอง

การทำบุญด้วยการบริจาคโลหิต นับได้ว่าเป็นการให้ทานที่ยิ่งใหญ่และเป็นบุญกุศลแก่ผู้ให้ เพราะเป็นการสละโลหิตในร่างกายของตนเอง เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ และผู้ที่ต้องการใช้โลหิตในการรักษา นอกจากจะได้บุญในการช่วยเหลือผู้ป่วยแล้ว การบริจาคโลหิตยังส่งผลให้ผู้บริจาคมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงอีกด้วย ทั้งนี้สามารถบริจาคโลหิตได้เป็นประจำทุก 3 เดือน เพื่อให้มีปริมาณโลหิตที่เพียงพอสำหรับผู้ป่วยอย่างยั่งยืน

บริจาคโลหิตได้ที่ : ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์, หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ (Fixed Station) ได้แก่ สถานีกาชาด 11 วิเศษนิยม (บางแค) เดอะมอลล์ สาขาบางแค สาขาบางกะปิ สาขางามวงศ์วาน สาขาท่าพระ ศูนย์การค้าดิเอ็มโพเรียม และบ้านทรงไทย (ย่านวงศ์สว่าง)

ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ จังหวัดลพบุรี ชลบุรี ราชบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี นครสวรรค์ พิษณุโลก เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช (ทุ่งสง) สงขลา และภูเก็ต

โรงพยาบาลสาขาบริการโลหิตทั่วประเทศ

Advertisement

วัดพระธรรมกายถวายสังฆทาน คณะสงฆ์ 323 วัด 4 จว.ใต้ ปีที่ 15 ครั้งที่ 148

People Unity News : วัดพระธรรมกายจัดพิธีถวายสังฆทานคณะสงฆ์ 323 วัด 4 จังหวัดชายแดนใต้ ปีที่ 15 ครั้งที่ 148

วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ.2562 พระภาวนาธรรมวิเทศ ผู้แทนวัดพระธรรมกายและกัลยาณมิตรทั่วทั้งโลก ร่วมกับคณะสงฆ์จังหวัดยะลา หน่วยงานภาครัฐ – เอกชน และประชาชน จัดพิธีถวายสังฆทานแด่คณะสงฆ์ 323 วัด พิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลแด่ผู้วายชนม์จากเหตุการณ์ความไม่สงบ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา) ปีที่ 15 ครั้งที่ 148 และพิธีมอบกองทุนหนุนแรงใจช่วยครูใต้ ปีที่ 12 ครั้งที่ 113 จำนวน 357 กองทุน ณ ศาลาการเปรียญ วัดพุทธภูมิ พระอารามหลวง จังหวัดยะลา

พิธีเริ่มเวลา 06.30 น. ประชาชนร่วมทำบุญตักบาตรพระ 100 รูป โดยมีพระราชปัญญามุนี เจ้าคณะจังหวัดยะลา เป็นประธานสงฆ์ นายสุริยา บุญพันธ์ ปลัดอาวุโสอำเภอเมืองยะลา รักษาการแทนนายอำเภอเมืองยะลา เป็นประธานฝ่ายฆราวาส จากนั้นเป็นพิธีมอบกองทุนหนุนแรงใจช่วยครูใต้ ปีที่ 12 ครั้งที่ 113 พิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลแด่ผู้วายชนม์ อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบ และพิธีถวายสังฆทานแด่คณะสงฆ์ 323 วัด 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณพระโพธาภิรามมุนี เจ้าคณะจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส (ธรรมยุต) เจ้าอาวาสวัดยะลาธรรมาราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และ พ.ต.อ. ธนูศาตนันทน์ ชูสมทิวัตถ์ ผู้กำกับการ กองบังคับการ สืบสวนสอบสวนจังหวัดชายแดนใต้ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส จากนั้นพระภาวนาธรรมวิเทศ กล่าวความในใจ พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภคช่วยเหลือทหาร ตำรวจ ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงภัย

นายสำเริง ดิษฐวิชัย ครูโรงเรียนนิคมสร้างตนเองพัฒนาภาคใต้ จ.ยะลา กล่าวว่า “ตนสอนอยู่ในถิ่นทุรกันดารและเสี่ยงภัย การได้รับมอบกองทุนหนุนแรงใจช่วยครูใต้ ทำให้เกิดขวัญและกำลังใจในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ การเป็นครูต้องทุ่มเท ต้องมีจิตเมตตา ชาวพุทธต้องมีความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน ท้อได้แต่อย่าท้อถอย ถ้าเราสู้เราต้องชนะ”

พิธีถวายสังฆทานแด่คณะสงฆ์ 323 วัด 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลแด่ผู้วายชนม์จากเหตุการณ์ความไม่สงบ จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2548 ณ วัดมุจลินทวาปีวิหาร จ.ปัตตานี ปัจจุบันจัดติดต่อกันเป็นปีที่ 15 ครั้งที่ 148 รวมมูลค่าความช่วยเหลือกว่า 416 ล้านบาท และจัดอย่างต่อเนื่องทุกเดือนจนกว่าเหตุการณ์จะสงบ ส่วนกองทุนหนุนแรงใจช่วยครูใต้ รวม 12 ปี มอบแล้วกว่า 30,000 กองทุน เป็นเงินกว่า 60 ล้านบาท

โฆษณา

ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่คำสั่ง ห้ามออกใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว เป็นเวลา 1 ปี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 ธันวาคม 2566 ราชกิจจานุเบกษา – กระทรวงมหาดไทยเผยแพร่คำสั่งห้ามการออกใบอนุญาตพกอาวุธปืนเป็นเวลา 1 ปี เริ่มมีผลบังคับตั้งแต่วันนี้ (20 ธ.ค.66)

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทย และโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (19 ธ.ค. 66) ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ห้ามการออกใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว (แบบ ป.12) เป็นการชั่วคราว เป็นระยะเวลา 1 ปี เริ่มมีผลบังคับตั้งแต่วันนี้ (20 ธ.ค. 66) ถึง วันที่ 19 ธ.ค. 67 เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยสาธารณะ ลดอาชญากรรมและควบคุมสถานการณ์ให้บ้านเมืองกลับมาเป็นปกติสุข เนื่องจากปัจจุบันได้มีการนำอาวุธปืนติดตัวไปในที่สาธารณะและก่อเหตุร้าย เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน ส่งผลกระทบต่อสวัสดิภาพในด้านความปลอดภัยของประชาชน และขัดต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม

ทั้งนี้ น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ด้วยนโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย กระทรวงมหาดไทยจึงมีการออกมาตรการต่าง ๆ ทั้งการงดการออกใบอนุญาตให้ร้านค้าอาวุธปืน ในการสั่ง หรือนำเข้าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน (แบบ ป.2) รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติผู้ที่จะขอรับใบอนุญาตซื้อปืน (แบบ ป.3) จะต้องเข้มงวดมากขึ้น

นอกจากนี้ ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการเสนอร่างแก้ไขพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ เพื่อให้มีการขึ้นทะเบียนและส่งมอบอาวุธปืนที่ผิดกฎหมาย และการจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับอาวุธปืน (จัดเก็บอัตลักษณ์อาวุธปืน) ด้วย

Advertisement

Verified by ExactMetrics