วันที่ 8 ธันวาคม 2025

รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมงานประเพณีลอยกระทง 15 พฤศจิกายน 2567

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 พฤศจิกายน 2567 รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมงานประเพณีลอยกระทง 15 พฤศจิกายน 2567 ภายใต้แนวคิด “ลอยกระทงวิถีไทย ปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” สืบสานคุณค่าสาระวัฒนธรรมไทย ผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ สู่ World Event ชู 5 เมืองอัตลักษณ์ 8 เมืองน่าเที่ยว

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล เชิญชวนประชาชนร่วมงานประเพณีลอยกระทง ร่วมกันสืบสาน รักษา ประเพณีลอยกระทงให้คงคุณค่าความเป็นไทย ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาประเพณีลอยกระทงอันเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมให้เป็น Soft Power เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ ผลักดันประเพณีลอยกระทงให้เป็น World Event เป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลก และขอให้พี่น้องชาวไทย ร่วมงานประเพณีลอยกระทงอย่างมีความสุข สนุกสนานรื่นเริง เป็นเจ้าบ้านที่ดีในการต้อนรับชาวต่างชาติ ที่มาร่วมงานลอยกระทง ให้เกิดความประทับใจในประเพณีไทย และเห็นคุณค่าที่แท้จริงของประเพณีไทยที่มีการสืบสานมาอย่างยาวนาน

สำหรับกิจกรรมรณรงค์แนวทางและมาตรการการจัดงานประเพณีลอยกระทงปีนี้ รัฐบาล โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรมบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ภายใต้แนวคิด “ ลอยกระทง วิถีไทย ปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อมใน 3 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านลอยกระทง วิถีไทย 2.ด้านความปลอดภัย และ 3.ด้านใส่ใจสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังมีการจัดงานประเพณีลอยกระทง ในวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ณ วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร ในส่วนภูมิภาค กระทรวงวัฒนธรรม จัดงานในพื้นที่ 5 เมืองอัตลักษณ์ ได้แก่ เชียงใหม่, สุโขทัย, ตาก, สมุทรสงคราม, ร้อยเอ็ด และพื้นที่ 8 เมืองน่าเที่ยว ได้แก่ กาญจนบุรี, พระนครศรีอยุธยา, ลำปาง, นครราชสีมา, ขอนแก่น, บุรีรัมย์, สุรินทร์, ภูเก็ต และทุกจังหวัดทั่วประเทศ

“รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญ และเร่งขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว ผ่านการยกระดับภูมิปัญญาไทยสู่วัฒนธรรมสร้างสรรค์ (Creative Culture) พร้อมส่งเสริม Soft Power และภูมิปัญญาพื้นบ้าน (Local Wisdom) พร้อมผลักดันการส่งเสริมคุณค่าเทศกาลประเพณีของชาติ และเทศกาลอื่น ๆ ด้านวัฒนธรรม โดยเฉพาะประเพณีลอยกระทงให้ยกระดับสู่งานเฟสติวัลระดับโลก หรือ World Event เพื่อเป็นหนึ่งในหมุดหมายด้านการท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างชาติ รวมทั้งเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศพร้อมกระจายรายได้สู่ชุมชน การจัดงานประเพณีลอยกระทงให้เป็นที่รู้จักในระดับสากลมากยิ่งขึ้น ทั้งเพื่อสืบสานวัฒนธรรมอันดีงามของไทย ควบคู่ไปกับการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน เพื่อให้ทั่วโลกได้ประจักษ์ และสัมผัสกับมนต์เสน่ห์อันน่าประทับใจของวิถีชุมชนริมสายน้ำ ที่เป็นบ่อเกิดแห่งวัฒนธรรมอันหลากหลาย สะท้อนถึงอัตลักษณ์ความเป็นไทยอย่างแท้จริง” นายคารม กล่าว

Advertisement

“มหาดไทย” ขับเคลื่อน สร้างพื้นที่ปลอดภัย หยุดยั้งยาเสพติด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 พฤษภาคม 2568 ปลัด มท. “อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์” สั่งการผู้ว่าฯ สนองนโยบาย “อนุทิน” ดำเนินการเชิงรุก ขับเคลื่อนมหาดไทยสีขาว สร้างพื้นที่ปลอดภัย หยุดยั้งยาเสพติด เดินหน้าตรวจหาสารเสพติดบุคลากร มท.-อปท. ทั่วประเทศภายในเดือน มิ.ย. 68 นี้

นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลและนโยบายหลักของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ได้เน้นย้ำทุกกลไกของกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

นายอรรษิษฐ์ กล่าวว่า ตนได้มอบหมายให้กรมการปกครองจัดทำโครงการมหาดไทยสีขาว สร้างพื้นที่ปลอดภัย หยุดยั้งยาเสพติด (Safe Zone No Drugs) เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และบุคลากรในสังกัดกระทรวงมหาดไทยทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงพนักงานรัฐวิสาหกิจ ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดในทุกรูปแบบ

“สำหรับแนวทางการดำเนินการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแจ้งให้ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และบุคลากรในสังกัดกระทรวงมหาดไทยทุกประเภท ได้พิจารณาให้ความยินยอมและสมัครใจเข้ารับการตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะโดยปราศจากการบังคับ พร้อมทั้งประสานผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสำหรับข้าราชการในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัด (ศอ.ปส.จ.) จัดหาชุดทดสอบสารเสพติดเพื่อสนับสนุนการตรวจหาสารเสพติดในร่างกายของศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอำเภอ (ศป.ปส.อ.) และศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ศป.ปส.อปท.) ในพื้นที่ให้เพียงพอ” นายอรรษิษฐ์ กล่าว

นายอรรษิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในกรณีหากพบว่าบุคลากรมีสารเสพติดในร่างกาย ให้หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ หรือผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้นสังกัดของบุคลากรรายนั้น ๆ พิจารณาสอบถามความสมัครใจและยินยอมเข้ารับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพในระบบของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้โอกาสตามหลักนโยบาย “ผู้เสพคือผู้ป่วย” และปกปิดข้อมูลของบุคลากรดังกล่าวเป็นความลับ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของบุคลากรและครอบครัวเป็นสำคัญ พร้อมทั้งกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อควบคุมพฤติกรรมอย่างใกล้ชิดในระหว่างการเข้ารับการบำบัดรักษาฯ เช่น การรายงานตัวต่อต้นสังกัดเป็นระยะ เพื่อให้คำแนะนำ สอบถามอาการ หรือความต้องการช่วยเหลือเพิ่มเติมจากต้นสังกัด หรือหน่วยงานอื่นเพื่อเลิกพฤติกรรมเกี่ยวกับยาเสพติด และเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาของการบำบัดรักษาหรือระยะเวลาที่หน่วยงานต้นสังกัดและบุคลากรผู้นั้นตกลงร่วมกันแล้ว แต่ก็ยังไม่เลิกพฤติกรรมเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่สมัครใจเข้ารับการบำบัดรักษาฯ หลบหนีการบำบัดรักษา หรือกระทำการใด ๆ อันเป็นการแสดงออกว่าไม่ยินยอมเข้ารับการบำบัดรักษาฯ ตามข้อตกลงของหน่วยงานต้นสังกัด ให้ดำเนินการลงโทษทางวินัยตามกฎหมายเกี่ยวกับวินัยของข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ และดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่เป็นเยี่ยงอย่างแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภท

Advertisement

ปตท. ร่วมแก้วิกฤตฝุ่น PM 2.5 ให้พนักงาน Work from Home ลดการสัญจร

People Unity News : 3 กุมภาพันธ์ 2566 ปตท. ให้พนักงานที่ปฏิบัติงานในกรุงเทพฯ และอีก 6 จังหวัดปฏิบัติงานในที่พักระหว่างวันที่ 3 – 5 กุมภาพันธ์เพื่อร่วมลดฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดจากการสัญจร

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.)  กล่าวว่า จากสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่มีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศที่นิ่งและปิด ทำให้ฝุ่นละอองสะสมตัวมากขึ้น และส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานของคนไทย เราตระหนักถึงปัญหาจึงมีนโยบายให้พนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่ในกรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นครราชสีมา พระนครศรีอยุธยา ระยอง ราชบุรี และขอนแก่น ปฏิบัติงานในที่พัก (Work from Home) ระหว่างวันที่ 3 – 5 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อร่วมลดผลกระทบที่เกิดจากการสัญจร

ทั้งนี้ ปตท. ยึดมั่นดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการดูแลสังคม ชุมชม และสิ่งแวดล้อม พร้อมตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) ซึ่งเร็วกว่าที่ประเทศกำหนด ด้วยกลยุทธ์เชิงรุก “ปรับ เปลี่ยน ปลูก” ปรับกระบวนการผลิต ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการให้ได้สูงสุด เปลี่ยนสู่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มสัดส่วนการลงทุนโดยมุ่งธุรกิจพลังงานสะอาด อาทิ พลังงานหมุนเวียน ระบบกักเก็บพลังงาน และธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร ปลูกป่าเพิ่ม 2 ล้านไร่ โดย ปตท. เป็นแกนหลักในการปลูก 1 ล้านไร่ ภายในปี 2573 (ค.ศ. 2030) และกลุ่ม ปตท. อีก 1 ล้านไร่ เพื่อเพิ่มปริมาณการดูดซับก๊าซเรือนกระจกจากชั้นบรรยากาศด้วยวิธีทางธรรมชาติ

ปตท. พร้อมดำเนินการในทุกมิติเพื่อเป็นส่วนหนี่งในการช่วยลดปริมาณฝุ่นละออง PM 2.5 ที่ทุกคนกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ และจะอยู่เคียงข้างคนไทยเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างมั่นคงและยั่งยืน

Advertisement

โฆษก มท. เผย “อนุทิน” ปลื้มผลงาน”ศูนย์ดำรงธรรม” ปี 67 ยุติเรื่องได้ถึง 99.43%

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 พฤศจิกายน 2567 “อนุทิน” ชื่นชมการทำงาน “ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย” หลังผลสำรวจนิด้าโพลเผยประชาชนให้ความเชื่อมั่นสูงสุดเป็นหน่วยงานช่วยเหลือเมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรม เผยผลงานปี 67 ยุติเรื่องได้ถึง 99.43%

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทย และโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ตามที่ “นิด้าโพล” ได้จัดทำและเผยแพร่ผลสำรวจเรื่อง “ทนายความจิตอาสาจริง ๆ” ซึ่งเป็นการสำรวจความไว้วางใจของประชาชนต่อบุคคลหรือหน่วยงานในการขอความช่วยเหลือเมื่อไม่ได้ความยุติธรรมจากคดีความต่างๆ ซึ่งปรากฏว่า “ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย” เป็นหน่วยงานที่ได้รับคะแนนความไว้วางใจเป็นอันดับหนึ่งที่ 42.06% ซึ่งนับเป็นผลสะท้อนความมุ่งมั่นการทำงานหน่วยงานของกระทรวงมหาดไทย ตามนโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ที่เน้นย้ำในเรื่องเร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนกรณีประชาชนต้องการความช่วยเหลือ

ทั้งนี้ ปัจจุบันศูนย์ดำรงธรรม เป็นส่วนงานที่ให้การสนับสนุนภารกิจการบริการประชาชนทั้งในส่วนกลางและระดับพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมาได้เป็นกลไกในการสนับสนุนหลายนโยบายสำคัญของรัฐบาล อาทิ ปัญหาหนี้นอกระบบ การจัดระเบียบสังคมและปราบปรามผู้มีอิทธิพล การแก้ไขปัญหายาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมาย บริการเบ็ดเสร็จ (OSS) การแก้ไขปัญหาความยากจน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในปี 2567 ศูนย์ดำรงธรรมกระทรวงมหาดไทย ได้ให้บริการประชาชน รวมจำนวนทั้งสิ้น 293,531 เรื่อง แบ่งเป็นเรื่องที่ดำเนินการจนได้ข้อยุติ จำนวน 291,841 เรื่อง คิดเป็น 99.43% และเรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการ เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายของหลายหน่วยงาน จำนวน 1,690 เรื่อง คิดเป็น 0.57% นอกจากนี้ ได้มีการสำรวจความพึงพอใจของประชาชนต่อการดำเนินงานของศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย พบว่า ในปี 2567 ประชาชนมีความพึงพอใจต่อการดำเนินงานของศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย คิดเป็น 94.30%

“นายอนุทิน ชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกคนตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ลงมือทำงานหนักจนได้รับความไว้วางใจดังผลสะท้อนออกมาที่โพลซึ่งจัดทำโดยสถาบันที่น่าเชื่อถือ พร้อมมอบกำลังใจขอให้ทุกคนทำหน้าที่เร่งบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้ประชาชนทุกพื้นที่ของประเทศ” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ปัจจุบัน ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย มีโครงสร้างการบริหารงาน 2 ระดับ ได้แก่ 1. ส่วนกลาง คือ ศูนย์ดำรงธรรมกระทรวงมหาดไทย ศูนย์ดำรงธรรมกรม และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัด และ 2. ส่วนภูมิภาค คือ ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด และศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ รวมถึงศูนย์ดำรงธรรมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบในการรับเรื่องร้องเรียน/ร้องทุกข์ ตลอด 24 ชั่วโมง แล้วนำข้อมูลที่ได้รับทำการวิเคราะห์ ติดตาม ประสาน และประเมินผลการทำงาน พร้อมทั้งรายงานความก้าวหน้าของเรื่องที่ได้รับแจ้งกับผู้แจ้งและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ในกรณีที่เป็นเรื่องเดือดร้อนเร่งด่วน จะมีชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็วลงในการพื้นที่ ตามนโยบายทันโลก ทันสมัย ทันท่วงทีของนายอนุทิน

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถแจ้งร้องเรียนร้องทุกได้ในหลายช่องทาง ทั้ง สายด่วน 1567 เว็บไซต์ https://damrongdham.moi.go.th/ ตลอดจนการเดินทางมารับบริการด้วยตนเอง (Walk in) ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดและอำเภอทั่วประเทศ

Advertisement

รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้เชื่อมโยงกับบัตรโดยสารสาธารณะ

People unity news online : “ประยุทธ์” สั่งการเดินหน้าปรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้เชื่อมโยงกับบัตรโดยสารสาธารณะ พร้อมสั่งให้กระทรวงดิจิทัลฯเร่งให้ทุกหน่วยงานบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลกันเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องความก้าวหน้าด้านดิจิทัลบัตรสวัสดิการแห่งรัฐว่า การดำเนินการดังกล่าวมีความคืบหน้าในหลายเรื่อง เช่น ที่ผ่านมาได้มีการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐซื้อของผ่านร้านค้าธงฟ้า แต่ปัจจุบันได้มีการปรับให้สามารถซื้อสินค้าที่อื่นได้ด้วย ทำให้เกิดการหมุนเวียนทางการเงินในเศรษฐกิจโดยรวม รวมทั้งปัจจุบันได้นำไปเชื่อมโยงกับบัตรโดยสารสาธารณะซึ่งรัฐบาลกำลังเร่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทุกอย่างที่รัฐบาลเร่งดำเนินการเพื่ออนาคตข้างหน้าของประเทศ

รวมถึงการพัฒนาการใช้ดิจิทัลทดแทนเอกสารในการติดต่อระบบราชการ โดยใช้เลขบัตรประชาชน 13 หลัก ในการทำธุรกรรมด้านต่างๆ ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกำลังเร่งดำเนินการอยู่ในขณะนี้ พร้อมทั้งได้ให้ทุกหน่วยงานบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันให้ได้ ซึ่งขณะนี้ พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ และพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ ได้ประกาศและมีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการขอใบอนุญาตต่างๆได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

People unity news online : post 8 ตุลาคม 2561 เวลา 11.30 น.

นายจ้าง-สถานประกอบการ จ้างงานคนพิการ นำมาลดหย่อนภาษีได้ 2-3 เท่า

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 พฤษภาคม 2568 รัฐบาลมุ่งส่งเสริมผลักดันให้คนพิการมีงานทำ หนุนนายจ้าง สถานประกอบการ จ้างงานคนพิการ นำมาลดหย่อนภาษีได้ 2-3 เท่า

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เดินหน้าผลักดันการมีงานทำของคนพิการ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมั่นคงในการดำรงชีวิตอย่างเท่าเทียม เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติต่อคนพิการ ตามกฎหมายมาตรา 33 , 34 และ 35 โดยกำหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐ รับคนพิการเข้าทำงาน ในอัตรา 100 : 1 (คนปกติ 100 คน ต่อคนพิการ 1 คน) เศษเกิน 50 คน ต้องจ้างเพิ่มอีก 1 คน เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาศักยภาพคนพิการ และการส่งเสริมการจ้างงานคนพิการ

นายอนุกูล กล่าวว่า สำหรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่รับคนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการเข้าทํางาน มีสิทธินําค่าใช้จ่ายที่จ้างคนพิการเข้าทํางาน มาเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นจํานวน 2 เท่าของรายจ่ายที่ได้จ่ายไป กรณีการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นจํานวน 3 เท่าของรายจ่ายที่ได้จ่ายไป เมื่อจ้างคนพิการเข้าทํางานเกินกว่าร้อยละ 60 ของลูกจ้างในสถานประกอบการนั้น โดยมีระยะเวลาจ้างเกินกว่าหนึ่ง 180 วัน ในปีภาษี หรือรอบระยะเวลาบัญชีที่มีเงินได้

“หากนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ ไม่มีการรับคนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการเข้าทํางาน และไม่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ แต่มีการให้สัมปทาน จัดสถานที่จําหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงาน หรือจ้างเหมาบริการ ให้ฝึกงาน หรือจัดให้มีอุปกรณ์ หรือสิ่งอํานวยความสะดวก ล่ามภาษามือ หรือให้ความช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ โดยค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายไปจริงซึ่งเกี่ยวข้องกับกิจการของตนเอง นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการนั้น มีสิทธินําค่าใช้จ่ายนั้นมาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ แต่รายจ่ายดังกล่าวจะต้องไม่เกินจํานวนเงินที่ต้องจ่ายเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

“ประยุทธ์” ห่วงใยสถานการณ์โควิด 4 จ.ชายแดนใต้ ยังพบยอดผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่ม

People Unity News : ประยุทธ์ ห่วงใยสถานการณ์โควิด-19 4 จ.ชายแดนใต้ ยังพบยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่ม วอนประชาชนแม้อยู่ภายในครอบครัว ต้องปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข Universal Prevention อย่างเคร่งครัด

18 ต.ค.64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 ใน 4 จังหวัดชายแดนใต้ซึ่งขณะนี้ยอดผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นด้วยความห่วงใย ย้ำประชาชนทุกคนรวมถึงผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว ยึดหลักปฏิบัติตนตามการป้องกันการติดเชื้อโควิด19 ส่วนบุคคล แบบครอบจักรวาล (Universal Prevention)  อย่างเคร่งครัด งดการรวมกลุ่มหรือจัดกิจกรรมที่ไม่จำเป็น แม้อยู่บ้าน ก็ขอให้ใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า หมั่นล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างระหว่างกันภายในครอบครัว เพื่อลดการติด/แพร่เชื้อภายในครอบครัวด้วย นอกจากนี้ ยังขอความร่วมมือกิจการร้านค้า ตลาด ชุมชนต่างๆ ยกระดับความปลอดภัยกิจการ/กิจกรรม ตามมาตรการ “โควิดฟรีเซตติ้ง” (COVID Free setting) ด้วย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังสั่งการเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ คุมเข้มสถานบริการ ผับ คาราโอเกะ ที่ฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ  หากพบแอบเปิดให้บริการหรือจำหน่ายสุรา จะถูกดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด

“นายกรัฐมนตรียังเร่งให้มีการกระจายการฉีดวัคซีนโควิด-19 และชุดตรวจเร็ว ATK  เวชภัณท์และยา พร้อมแต่งตั้ง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี สั่งการให้ตั้งศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศบค.ส่วนหน้า ขณะนี้ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศบค.ส่วนหน้า จะบูรณาการทำงานกับคณะกรรมการโรคติดต่อระดับจังหวัด เพื่อร่วมกันกำหนดมาตรการควบคุมให้เข้มข้นยิ่งขึ้น รวมทั้งการล็อคดาวน์พื้นที่บางส่วน เพื่อเร่งควบคุมการแพร่ระบาดโดยเร็ว” นายธนกร กล่าว

Advertising

PDPC ตรวจสอบเชิงรุก 2 เดือน สกัดการรั่วไหลข้อมูลส่วนบุคคลกว่า 5,000 เคส

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 มกราคม 2567 PDPC เดินหน้าตรวจสอบเชิงรุกต่อเนื่อง ในรอบ 2 เดือน สกัดการรั่วไหลข้อมูลส่วนบุคคลกว่า 5,000 เคส และร่วมตรวจสอบเพื่อขยายผลสู่การจับกุมผู้ต้องหาซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลแล้ว 5 ราย โดยมีโทษหนักถึงจำคุก

PDPC หรือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) เร่งทำงานเชิงรุกตรวจสอบเฝ้าระวังการรั่วไหลและการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ตามข้อสั่งการของรัฐบาล และมาตรการยกระดับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศ ที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งดำเนินการและบูรณาการความร่วมมือกัน เมื่อคราวประชุมวันที่ 9 พ.ย.2566

ในช่วงเวลากว่า 2 เดือน นับแต่วันที่ 9 พ.ย. 2566 – 12 ม.ค. 2567 ศูนย์ PDPC Eagle Eye ได้ตรวจพบการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลประชาชนบนเว็บไซต์ของหน่วยงานอย่างเกินความจำเป็นหรือไม่มีการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสม และได้แจ้งเตือนให้หน่วยงานปรับปรุงแก้ไขแล้ว จำนวน 5,261 กรณี เป็นหน่วยงานภาครัฐและส่วนท้องถิ่น จำนวน 4,886 กรณี โดยสำนักงานฯ จะดำเนินการที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย PDPA อย่างเคร่งครัด กับหน่วยงานที่มีการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่องต่อไป

นอกจากนี้ ได้ตรวจสอบพบการประกาศซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์เฟซบุ๊ก (Facebook) และดำเนินการปิดเพจแล้ว จำนวน 23 กรณี และได้มีการดำเนินการร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ในการสืบสวนสอบสวนขยายผลกรณีการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลประชาชนให้แก่แก๊งมิจฉาชีพ เมื่อวันที่ 23 พ.ย. และ 12 ธ.ค. 2566 ซึ่งล่าสุดวันที่ 11 ม.ค. 2567 ซึ่งนำไปสู่การจับกุมหรืออยู่ระหว่างการจับกุมผู้ต้องหาซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลโดยมิชอบ จำนวน 5 ราย

ทั้งนี้ ศาลได้ตัดสินลงโทษจำคุกผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในช่วงก่อนหน้านี้แล้วจำนวน 2 ราย โดยรายล่าสุด เมื่อวันที่ 14 พ.ย.66 ศาลจังหวัดภูเก็ตได้มีคำพิพากษาให้จำเลยมีความผิดตามกฎหมายหลายฉบับ รวมถึง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 80 และ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 โดยลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี (หลังลดโทษให้กึ่งหนึ่งจากการรับสารภาพ) แต่ไม่รอลงอาญา ด้วยพิจารณาเห็นว่า “การนำข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นไปขายทำให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างร้ายแรง ทั้งยังส่งผลกระทบกับบุคคลอื่นเป็นวงกว้างและเป็นการสนับสนุนให้กลุ่มมิจฉาชีพนำข้อมูลดังกล่าวไปกระทำความผิดอื่นอีก พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง แม้จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนก็ไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุกจำเลย”

PDPC จะเดินหน้าตรวจสอบเชิงรุกและเฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศ ตามข้อสั่งการของรัฐบาล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมต่อไป

สำนักงานสลากฯ พร้อมทำการออกรางวัลสัญจร จ.เชียงใหม่ งวด 1 ธันวาคม 2567 นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 พฤศจิกายน 2567 การออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก และสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก ในงวดวันที่ 1 ธันวาคม 2567 นี้ สำนักงานสลากฯ จะเดินทางไปออกรางวัลสลากสัญจร ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

19 พฤศจิกายน 2567 พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (GLO) เปิดเผยว่า การออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก และสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก ในงวดวันที่ 1 ธันวาคม 2567 นี้ สำนักงานสลากฯ จะเดินทางไปออกรางวัลสลากสัญจร ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่ต่างจังหวัดได้เห็นความโปร่งใสของกระบวนการและวิธีการในการออกรางวัล ตลอดจนอุปกรณ์ที่ใช้ในการออกรางวัลด้วยตนเอง

นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มความรู้ความเข้าใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนผู้ซื้อสลาก จะได้ไม่หลงเชื่อข่าวลือเรื่องเลขเด็ดจากกลุ่มมิจฉาชีพที่ทำการหลอกลวงต้มตุ๋น ผ่านทางสังคมออนไลน์ และการส่งจดหมายแอบอ้างว่าสามารถให้ตัวเลขที่จะออกรางวัลได้ ซึ่งอาจส่งผลให้ต้องสูญเสียทรัพย์สินได้

สำหรับการออกรางวัลครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมเป็นประธานกรรมการออกรางวัล รวมทั้งข้าราชการระดับสูง ผู้แทนภาคประชาชนและผู้แทนสื่อมวลชนในพื้นที่ เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการออกรางวัล และในโอกาสนี้ ได้เปิดโอกาสให้ข้าราชการหรือบุคลากรของจังหวัดร่วมทำหน้าที่หมุนวงล้อสลับกับพนักงานหมุนวงล้อของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลอีกด้วย

ประชาชนที่สนใจสามารถเข้าชมการออกรางวัลได้ด้วยตนเองโดยไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมนำบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรที่ทางราชการออกให้แสดงในวันดังกล่าว นอกจากนี้ยังสามารถรับชมการถ่ายทอดสดได้ผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ สถานีโทรทัศน์อมรินทร์ ทีวี ตั้งแต่เวลา 13.50 น. เป็นต้นไป, สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี ตั้งแต่เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ช่องทาง LINE TODAY, เว็บไซต์สำนักงานสลากฯ www.glo.or.th, แอปพลิเคชันของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล “GLO Lottery official” รวมทั้งการถ่ายทอดเสียงผ่านทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ ตั้งแต่เวลา 14.30 น. เป็นต้นไป

ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการเดินทางมาออกรางวัลสลากสัญจรแล้ว สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้จัดกิจกรรมการช่วยเหลือสังคม (CSR) ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 โดยจัดกิจกรรมจัดเลี้ยงอาหารและมอบของใช้จำเป็นที่โรงเรียนโสตศึกษาอนุสารสุนทร จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งนี้ สามารถติดตามข่าวสารและภารกิจที่น่าสนใจของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้ที่  www.glo.or.th, เฟซบุ๊กแฟนเพจ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล, Line Official และแอปพลิเคชัน GLO Lottery

Advertisement

กรมควบคุมโรคเตือนถูกแมลงยุงกัดเสี่ยงป่วยโรคเนื้อเน่าได้

People Unity News : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนหากถูกแมลง ยุงกัดหรือมีบาดแผล แม้เพียงเล็กน้อย ขอให้ดูแลแผลให้สะอาด เพราะอาจเสี่ยงต่อการป่วยด้วยโรคเนื้อเน่าได้ หากแผลเกิดการอักเสบ เช่น บริเวณบาดแผลมีลักษณะปวด บวม ร้อน แดงมากขึ้น หรือมีไข้ แล้วลุกลามให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการวินิจฉัย ซึ่งโรคนี้สามารถรักษาได้

วันที่ 4 พฤศจิกายน 2562 นายแพทย์อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีและโฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากกรณีที่มีข่าวดาราชื่อดัง ถูกแมลงกัดขณะไปเที่ยวบ่อน้ำร้อนในต่างประเทศ ต้องเข้ารักษาตัวด่วน นั้น กรมควบคุมโรค ขอให้ข้อมูลว่า โรคเนื้อเน่า หรือเรียกว่า เนคโครไทซิ่ง แฟสเชียไอติส (Necrotizing fasciitis) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนในแผล ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อย 2 ชนิด คือ Streptococcus pyogenes และStaphylococcus aureus โดยมีการติดเชื้อบริเวณผิวหนังและชั้นไขมันใต้ผิวหนังอย่างรุนแรง โรคนี้พบบ่อยในช่วงฤดูฝน มักพบในผู้ที่มีบาดแผลเล็กๆน้อยๆ หรือแผลจากการถูกแมลงหรือยุงกัด แล้วสัมผัสกับแบคทีเรียที่อยู่ในดินหรือในน้ำ และอาจดูแลแผลไม่ดี จนแผลลาม ทำให้แผลติดเชื้อซ้ำซ้อน

สำหรับประเทศไทย แต่ละปีจะพบผู้ป่วยโรคเนื้อเน่าประมาณ 100-200 ราย พบผู้ป่วยมากในช่วงฤดูฝน และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ตำแหน่งที่เกิดมากสุดคือที่บริเวณขา รองลงมาเป็นบริเวณเท้า เมื่อเชื้อโรคที่พบในดินในน้ำทั่วๆไปเข้าไปในแผล จะทำให้เกิดการอักเสบ ลุกลามได้ง่าย รายที่รุนแรงอาจเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด ภาวะไตวาย ช็อค และอาจเสียชีวิตได้ ที่สำคัญหากมาพบแพทย์ช้า เมื่อมีอาการรุนแรงถึงขั้นช็อกแล้ว จะทำให้อัตราการเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและความรุนแรงด้วย

นายแพทย์อัษฎางค์ กล่าวต่อไปว่า ประชาชนที่มีความเสี่ยงเกิดโรคเนื้อเน่า ได้แก่ ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำหรือเป็นโรคเกี่ยวกับเส้นเลือด เช่น เบาหวาน ไตวาย มะเร็งที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัด ผู้สูงอายุ คนอ้วน ผู้ที่กินยาสเตียรอยด์หรือยาชุด ผู้ที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ เป็นต้น

สำหรับการป้องกันโรค ขอให้ประชาชนระมัดระวังอย่าให้เกิดบาดแผลขึ้น โดยเฉพาะบริเวณขาหรือเท้า แต่หากมีบาดแผลขอให้หลีกเลี่ยงการลุยน้ำ และทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาด ฟอกสบู่ และใส่ยาฆ่าเชื้อ ระวังอย่าให้มีสิ่งสกปรกเข้าไปในบาดแผล โดยเฉพาะบาดแผลที่เกิดจากวัสดุที่สกปรก เช่น ตะปู หนาม ไม้ที่อยู่ในน้ำ ทิ่มแทง ควรไปพบแพทย์หรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน ทั้งนี้ ถ้าปวดบริเวณแผล บวม ร้อน แดงมากขึ้น หรือมีไข้ร่วมด้วย อาจเกิดการติดเชื้อได้ ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการวินิจฉัย ซึ่งโรคนี้สามารถรักษาได้ ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

Verified by ExactMetrics