วันที่ 6 กรกฎาคม 2025

ครม.ไฟเขียวงบ “กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา” ปี 66 วงเงิน 6.5 พันล้านบาท

People Unity News : ครม. ไฟเขียว งบ “กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา” ปี 66 เดินหน้า 9 แผนงาน วงเงิน 6.5 พันล้านบาท

16 ม.ค. 65 ที่ประชุม ครม. (11 ม.ค. 65) เห็นชอบแผนการใช้เงินของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ปี 2566 กรอบวงเงิน 6,556 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมโอกาสและพัฒนาคุณภาพนักเรียน โดยมี 9 แผนงานที่สำคัญ ดังนี้

นวัตกรรมและการวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, พัฒนาระบบหลักประกันความเสมอภาคทางการศึกษาตั้งแต่ปฐมวัย – ภาคบังคับ, พัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ, จัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ

พัฒนาระบบการผลิตและพัฒนาครูสำหรับโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล, ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพการศึกษาระดับสูงกกว่าภาคบังคับ, ส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนและประชากรวัยแรงงานนอกระบบ, สื่อสารขับเคลื่อนนโยบายและระดมความร่วมมือ และบริหารและพัฒนาระบบงาน เช่น พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ

ส่งผลให้เด็กและเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาสจะได้รับการอุดหนุนเงินเพื่อเข้าถึงการศึกษา และป้องกันการหลุดออกจากระบบการศึกษาทุกระดับชั้น ครูและหน่วยจัดการเรียนรู้ได้รับการพัฒนาคุณภาพทั่วถึง มีนวัตกรรม และต้นแบบ สำหรับภาครัฐและสังคมใช้เป็นแนวทางในการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา

Advertising

“เจ้าคุณประสาร”ถอดเขี้ยวเล็บ! มุ่งงานสอนหนังสือเป็นหลัก

People Unity News : “เจ้าคุณประสาร” ร่วมเวทีเสวนาวิชาการ มธ. ถกประเด็น “ถ้าไม่ยกย่องก็อย่าเหยียบย่ำ : การเคลื่อนไหวของพระสงฆ์ในบริบทการเมืองร่วมสมัย” เผยอดีตทำหน้าที่เพื่อส่วนรวมเป็นหลักไม่เกี่ยวกับการเมือง ปัจจุบันมุ่งงานสอนหนังสือเป็นหลัก

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 พระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) ฝ่ายวางแผนและพัฒนา เปิดเผยว่า ได้ร่วมการเสวนาทางวิชาการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งคณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดโครงการเสวนาวิชาการนับถอยหลังสู่วาระครบรอบ 55 ปี ของคณะ “No Man’s Land: คน สัตว์ สิ่งของ” ซึ่งมีกิจกรรมเสวนาวิชาการจำนวน 3 ครั้ง ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2562 ถึงเดือนมกราคม 2563 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทบทวน เปิดประเด็นร่วมสมัย และมุมมองใหม่ขององค์ความรู้ทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา

การจัดกิจกรรมเสวนาวิชาการวันนี้ ครั้งที่ 1 เรื่อง “ถ้าไม่ยกย่องก็อย่าเหยียบย่ำ : การเคลื่อนไหวของพระสงฆ์ในบริบทการเมืองร่วมสมัย” เพื่อร่วมฉลองในวาระครบรอบ 55 ปี ของการก่อตั้งคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา และแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจประเด็นสำคัญอันเป็นประโยชน์ต่อสังคม วิทยากรประกอบด้วย อาตมา อ.ดร.ประกีรติ สัตสุต จากคณะสังคมวิทยามนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ทำวิจัยเรื่องนี้ ดำเนินการโดย อ.ดร.เอกสิทธิ์ หนุนภักดี คณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

“วันนี้ส่วนตัวอาตมานั้นถือว่าเป็นเวทีทางวิชาการที่น่าสนใจโดยเฉพาะประเด็นการเคลื่อนไหวของพระสงฆ์ในสังคมไทยนั้น อ.ดร.ประกีรติ นักวิชาการหนุ่ม นักเรียนนอก อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้นำเสนอผลงานในเรื่องนี้ได้ศึกษาวิจัย ค้นคว้าอ้างอิงมาอย่างดีเยี่ยม อาตมาเพียงไปถ่ายทอดประสบการณ์ที่ผ่านมาให้ฟังโดยเน้นย้ำ

1.ที่ผ่านมาทำเพื่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในสังคมไทย 2.ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง นักการเมือง วัดใดวัดหนึ่ง บุคคลใดบุคคลหนึ่ง โดยเฉพาะแต่ทำเพื่อคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนาโดยรวม 3.ยอมรับในกฎกติกาที่เกิดขึ้น 4.ยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์ในฐานะพระสงฆ์เป็นคนสาธารณะ 5.ปัจจุบันมุ่งงานสอนหนังสือเป็นหลัก

“ท้ายสุดได้เน้นย้ำว่า ขอบคุณอ.ดร.ประกีรติ สัตสุต และคณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา มธ.ที่ได้ทำวิจัยในเรื่องนี้ และจัดเสวนารับฟังความคิดเห็นสาธารณะในเชิงวิชาการ อันนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายคือการพูดจากันด้วยหลักฐานเชิงเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์และแบ่งแยก ถ้าเราทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์โดยมุ่งหวังให้เกิดสันติสุขในสังคมและมีจิตอันแน่วแน่ในการพิทักษ์ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาเราก็สบายใจ” พระเมธีธรรมาจารย์ ระบุ

“บิ๊กตู่” กำชับดูแลฝุ่นละออง PM 2.5 ประสานความร่วมมือประเทศเพื่อนบ้าน

People Unity News : พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำชับดูแลฝุ่นละออง PM 2.5 ประสานความร่วมมือประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมดูแลความปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่

เมื่อวานนี้ (17 ธ.ค.62) เวลา 13.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงแก่สื่อมวลชนถึงมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองว่า รัฐบาลดำเนินการทุกอย่างเต็มที่ โดยสั่งการให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งรัดการแก้ไขปัญหา วัสดุที่เหลือจากการเกษตรเช่น อ้อย ข้าวโพด ฯลฯ ก็ให้นำมาทำผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าเกิดประโยชน์มากขึ้น หรือนำไปเป็นวัสดุเชื้อเพลิงในการผลิตพลังงานในโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดเล็กในชุมชน แทนการเผาที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ใช้มาตรการและวิธีการใหม่ๆที่เหมาะสมในการดูแลจุดความร้อนหรือฮอตสปอตในพื้นที่ต่างๆ รวมไปถึงการขอความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีปัญหาเรื่องดังกล่าวเช่นกัน

สำหรับการใช้รถขนส่งสาธารณะ ทั้งรถเมล์ รถไฟฟ้า รวมทั้งการก่อสร้างก็มีความก้าวหน้าโดยลำดับ หลายเส้นทางก็ได้มีการเปิดใช้แล้ว ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการใช้รถส่วนตัวลงได้บ้าง เพื่อผลดีต่อการจราจร นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความเข้าใจว่า บางกรณีก็มีความจำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวในการรับส่งลูกหลานไปโรงเรียน แต่ขอความร่วมมือในส่วนของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ หากไม่มีความจำเป็นมากนัก ก็ให้หันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะบ้าง เพราะที่ผ่านมารัฐบาลพยายามดูแลและส่งเสริมรถบริการสาธารณะให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น พร้อมๆไปกับการเร่งดำเนินการโครงสร้างพื้นฐาน ถนน เส้นทางต่างๆ ทั้งเส้นทางถนนปกติและทางด่วนพิเศษที่ต้องจ่ายเงิน เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มได้เข้าถึงบริการและรับความสะดวกอย่างทั่วถึงตามศักยภาพของแต่ละบุคคล

จากนั้น นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงสถานการณ์ภัยแล้งที่บางพื้นที่ไม่มีน้ำทำนาปลังว่า จะต้องหาวิธีการเพาะปลูกพืชแต่ละชนิดให้เหมาะสมกับพื้นที่และสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอต่ออุปโภคบริโภคของประชาชน โดยขอความร่วมมือประชาชนทุกคนใช้น้ำอย่างประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะต้องลดปริมาณการใช้น้ำสำหรับการทำการเกษตรลงให้ได้มากที่สุด เพราะมีบางประเทศมีการใช้น้ำทำการเกษตรน้อยกว่าประเทศไทย ซึ่งได้มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาวิธีการและแนวทางดังกล่าวเพื่อนำมาปรับใช้กับประเทศไทย นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เตรียมบริหารจัดการการให้ใช้น้ำบาดาลมากขึ้น เพื่อเตรียมรองรับแก้ไขปัญหากรณีน้ำอุปโภคบริโภคขาดแคลนน้ำที่และบรรเทาความเดือนร้อนให้กับประชาชน

ในช่วงท้ายของการแถลงข่าว นายกรัฐมนตรียังย้ำถึงมาตรดูแลความปลอดภัยประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีการประชุมและออกมาตรการและสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งการกวดขันบังคับใช้กฎหมาย การอำนวยความสะดวก การจารจร อาชญากรรม ฯลฯ ส่วนการแก้ไขปัญหาภาคใต้ ขณะนี้ได้มีการเพิ่มมาตรการเชิงรุกมากขึ้น โดยดำเนินการเป็นไปตามกติกาสากล ในการปฏิบัติหน้าที่ก็ขอให้เจ้าหน้าที่รัฐระมัดระวังดูแลตนเองให้ดี รวมถึงการดูแลประชาชนให้ได้รับปลอดภัย พร้อมขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ด้วย

โฆษณา

ขีดเส้น 31 มี.ค. หน่วยงานรัฐ-เอกชนต้องจ้างคนพิการทำงาน

People unity news online : เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2560 พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดูแลคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยเฉพาะเรื่องการจ้างงานให้คนพิการมีโอกาสประกอบอาชีพสร้างรายได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกับคนอื่น ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ

“ในปีนี้รัฐบาลตั้งเป้าส่งเสริมให้คนพิการได้ประกอบอาชีพเพิ่มขึ้นอีก 10,000 คน จากเมื่อปีที่แล้วคนพิการวัยทำงานมีงานทำแล้ว 192,393 คน จากทั้งหมด 799,342 คน โดยจะรณรงค์และบังคับใช้กฎหมายการจ้างงานคนพิการอย่างจริงจัง เพื่อให้ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนร่วมกันสนับสนุนการสร้างอาชีพให้แก่คนพิการ

ทั้งนี้ แต่ละหน่วยงานมี 3 ทางเลือก ได้แก่ 1) จ้างงานคนพิการในสัดส่วนลูกจ้างคนพิการ 1 คน ต่อลูกจ้าง 100 คน หรือ 2) ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หรือ 3) ให้สัมปทานแก่คนพิการเข้าไปขายสินค้าและบริการในพื้นที่ของหน่วยงานได้ โดยทางเลือกที่ 3 นี้ ขอให้หน่วยงานหรือองค์กรแจ้งความจำนงกับทางราชการเพื่อบันทึกเป็นข้อมูลไว้ โดยหากอยู่ในเขต กทม.ให้แจ้งต่อกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ส่วนในภูมิภาคแจ้งที่ สนง.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ภายใน 31 มี.ค.60 นี้”

สำหรับคนพิการที่กำลังมองหางานสามารถดูข้อมูลหน่วยงานที่เปิดรับสมัครงาน หรือหน่วยงานที่เปิดพื้นที่ให้คนพิการเข้าไปประกอบอาชีพได้ที่ www.ตลาดงานคนพิการ.com และหากต้องการร้องเรียนหรือขอความช่วยเหลือเรื่องการจ้างงานสามารถติดต่อศูนย์บริการคนพิการ โทร.0 2354 4542 หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694

“ท่านนายกฯ เน้นย้ำให้หน่วยงานของรัฐไปสำรวจว่าพื้นที่ของตนได้ปรับปรุงให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนพิการเพียงพอแล้วหรือยัง เช่น ทางเดิน ทางขึ้นอาคาร ห้องน้ำ ลานจอดรถ ฯลฯ ส่วนสถานที่สาธารณะ แหล่งท่องเที่ยวให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการในลักษณะเดียวกัน เพื่อส่งเสริมให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีเช่นเดียวกับคนปกติทั่วไป”

People unity news online : post 27 มีนาคม 2560 เวลา 09.55 น.

เชิญชวนลูกหนี้ กยศ.แจ้งขอรับเงินชำระเกินคืน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 มีนาคม 2567 ทำเนียบ – “คารม“ เชิญชวนลูกหนี้ กยศ.ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เพื่อขอรับเงินคืนในส่วนที่ชำระเกิน ทาง www.studentloan.or.th

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) คำนวณยอดหนี้คงเหลือใหม่ตาม พ.ร.บ. กยศ. (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 ให้แก่ผู้กู้ยืมกลุ่มเร่งด่วนที่ถูกบังคับคดีหรือถูกอายัดเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว จำนวน 50,614 ราย ทำให้ผู้กู้ยืมบางรายมีสถานะปิดบัญชีได้ทันทีและมีผู้กู้ยืมที่จะได้รับเงินคืนในส่วนที่ชำระเกินจำนวน 3,494 รายนั้น กองทุนฯ ได้มีการออกหนังสือแจ้งผู้กู้ยืมแต่ละรายให้ลงทะเบียนรับเงินคืน และเริ่มดำเนินการจ่ายเงินคืนแล้วผ่านระบบโอนเงินแบบพร้อมเพย์ที่ผูกบัญชีธนาคารด้วยเลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้กู้ยืมเท่านั้น  ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป

“ขอเชิญชวนลูกหนี้ กยศ.ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เพื่อขอรับเงินคืนทางเว็บไซด์ “กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา” โดย กศย.จะเร่งคืนเงินให้ตามลำดับต่อไป” นายคารม กล่าว

Advertisement

 

แจกฟรี!…”ท้าวเวสสุวรรณ” งานบุญทอดกฐิน หลวงพ่อณะโอ่งประจวบคีรีขันธ์

People Unity : แจกฟรี!…”ท้าวเวสสุวรรณ” งานบุญทอดกฐิน หลวงพ่อณะโอ่ง วันที่ 26 – 27 ตุลาฯ 62 @ สำนักปฏิบัติธรรมบ้านยุบพริกต.บ่อนอก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์

สำนักปฏิบัติธรรมบ้านยุบพริก ตั้งอยู่ ม.11 บ้านยุบพริก ต.บ่อนอก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีอาจารย์ปุณณะ อนิญชิโต หรือ หลวงพ่อณะโอ่ง เป็นเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้มากกว่า 20 ปี หลวงพ่อณะโอ่งได้มาจำพรรษาอยู่ที่สำนักปฏิบัติธรรมบ้านยุบพริก เพื่อต้องการความเงียบสงบและปฏิบัติธรรม ท่านมีความเชี่ยวชาญในการอ่านเขียนอักขระขอมโบราณ และภาษาบาลี ได้เริ่มเขียนอักขระบนวัตถุมงคลเมื่อประมาณ 20 ปี ที่ผ่านมา โดยเฉพาะช้อนเงินช้อนทอง ที่ผ่านมาได้จารอักขระบนช้อนเงิน (สเตนเลส) จำนวนหลายพันคัน

นอกจากนี้ยังจารอักขระและเขียนรูปไก่บนช้อนทอง (ทองเหลือง) ซึ่งมีเพียง 50 คัน หลวงพ่อโอ่งให้เหตุผลว่า “ที่เขียนไก่ เพราะเป็นสัตว์ที่ขยัน ต้องหากินตลอดเวลา จึงเป็นเครื่องเตือนสติแก่ผู้ได้รับว่า ต้องเป็นผู้ซื่อสัตย์ ประกอบสัมมาอาชีพ และขยันทำกิน”

สิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากพระรูปอื่นๆ คือหลวงพ่อณะโอ่งไม่นิยมแจกวัตถุมงคลพร่ำเพรื่อ ท่านจะแจกให้คนสนิทใกล้ชิด หรือพระที่ปฏิบัติธรรม เพื่อนำไปเป็นทุนในการบำรุงพระศาสนา บางรายเดินทางมาไกลหลายร้อยกิโลเมตรเพื่อวัตถุมงคล ไม่ได้กลับไปก็มีด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม วันที่ 26 – 27 ตุลาฯ 62 ขอญเชิญร่วม บุญทอดกฐิน กับหลวงพ่อณะโอง แห่งสำนักปฏิบัติธรรมบ้านยุบพริก ต.บ่อนอก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์

ผู้ที่มาร่วมงานแจก “ท้าวเวสสุวรรณ” ทุกท่าน ปลุกเสกวันที่ 19 ตุลาคม 2562 อีกทั้งยังมี ตะกรุด ลูกสะกด ปรกจ้อย จระเข้และปลัดขิก โดยได้รับแจกอย่างใดอย่างหนึ่ง้ท่านั้น ผู้ที่เป็นกรรมการพิเศษจะได้ทั้งหมด 6 อย่าง

บอร์ด สปสช. เห็นชอบข้อเสนองบบัตรทองปี 66 กว่า 2 แสนล้านบาท รองรับยกระดับบัตรทอง

People Unity News : บอร์ด สปสช. ผ่านข้อเสนองบบัตรทอง ปี 2566 รวม 2 แสนล้านบาท รองรับนโยบายยกระดับบัตรทอง เสริมนวัตกรรมการแพทย์ สิทธิประโยชน์ใหม่ 26 รายการ

12 ธ.ค.64 นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ครั้งที่ 13/2564 เมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมาได้มีมติเห็นชอบข้อเสนองบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ปีงบประมาณ 2566 จำนวน 207,093 ล้านบาท และให้ สปสช. เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป

สำหรับข้อเสนองบประมาณกองทุนฯ ปี 2566 ที่เพิ่มจากปีงบประมาณ 2565 กว่า 8,000 ล้านบาท เพื่อรองรับนโยบายโครงการยกระดับบัตรทอง โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ การส่งเสริมกัญชาทางการแพทย์ นโยบายผู้สูงอายุ การดูแลที่บ้านและชุมชน นโยบายลดความแออัดโรงพยาบาลปฐมภูมิในเขตเมือง นวัตกรรมด้านการแพทย์ บริการ Telemedicine และรองรับสิทธิประโยชน์ใหม่ที่จะประกาศเพิ่มภายในปี 2565 อีก 26 รายการ รวมทั้งการสนับสนุนอุปกรณ์และยาตามบัญชีนวัตกรรม

พร้อมกันนี้ยังพิจารณาภายใต้สถานการณ์ที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวหลังโควิด-19 ซึ่งคาดการณ์ว่าโรคโควิด-19 จะกลายมาเป็นโรคประจำถิ่น โดยงบบริการโควิด-19 จะผนวกอยู่ในข้อเสนองบกองทุนฯ ปี 2566 รวม 1,358 ล้านบาท แบ่งเป็นบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค หรือการตรวจหาเชื้อ บริการรักษาผู้ป่วยใน และผู้ป่วยนอก รวมทั้งเงินช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีผู้ให้และผู้รับบริการ หรือเงินเยียวยาการแพ้วัคซีนโควิด-19 ที่จะยังคงมีการดูแลอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ที่ประชุมฯยังเห็นชอบกรอบวงเงินสำหรับ ยา วัคซีน เวชภัณฑ์ อวัยวะเทียม อุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่จำเป็นตามโครงการพิเศษที่ให้เครือข่ายหน่วยบริการด้านยาและเวชภัณฑ์จัดหาให้ ปี 2566 รวม 14,736 ล้านบาท

Advertising

“อนุชา” เป็นประธานลงนาม MOU ช่วยผู้บริโภคได้คืนเงินจอง กรณีสินเชื่อบ้านไม่ได้รับอนุมัติ

People Unity News : อนุชา เป็นสักขีพยานร่วมลงนาม MOU ช่วยเหลือผู้บริโภคได้คืนเงินจอง กรณีสินเชื่อบ้านไม่ได้รับการอนุมัติ

วันนี้ (30 กันยายน 2563) เวลา 13.30 น. ณ ศูนย์ประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) แนวทางการช่วยเหลือผู้บริโภค กรณีสถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อเพื่อชำระค่าอสังหาริมทรัพย์ จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อผนึกกำลังของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือผู้บริโภคด้านอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอาคารชุดไทย และผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ร่วมลงนาม MOU เพื่อเป็นการยืนยันว่าจะปฏิบัติตามกรอบแนวทางของ สคบ. กรณีที่ผู้บริโภคประสบปัญหาที่ทางสถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อเพื่อชำระค่าอสังหาริมทรัพย์ เป็นผลให้เกิดการริบเงินจอง เงินทำสัญญา และเงินดาวน์สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้บริโภค โดยมี ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชนกว่า 300 คน เข้าร่วม

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีที่ภาครัฐบาลและภาคเอกชนได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม โดยเฉพาะการค้าด้านอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นผู้นำทางธุรกิจ เพราะเป็นการค้าที่มีมูลค่าสูง นับว่าเป็นธุรกิจชั้นนำที่เป็นปัจจัย 4 ที่ประชาชนต้องมี โดยความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อคุ้มครองประชาชนไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ ขณะเดียวกันการช่วยเหลือเยียวยาจากผู้ค้าด้วยความเห็นอกเห็นใจ จะเป็นต้นแบบในการสร้างความเชื่อมั่นระหว่างผู้บริโภคและผู้ประกอบการ พร้อมกล่าวแสดงความขอบคุณภาคีเครือข่าย และบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ทั้ง 13 แห่ง ที่ตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชนเป็นลำดับแรก แม้ข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวไม่ได้มีการบังคับใช้ในรูปแบบกฎหมาย แต่ถือว่าเป็นสัญญาประชาคมที่ภาคเอกชนได้ร่วมมือกับรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชนอย่างจริงจัง

Advertising 

ครม.เห็นชอบรายงานพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองเก่าน่าน

People Unity News : 14 มีนาคม 2566 ครม.เห็นชอบ รายงานความคืบหน้าการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองเก่าน่าน บูรณะอาคารศาลากลาง จ.น่านหลังเก่าเป็นหอศิลปวัฒนธรรมเมืองน่านและแหล่งเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมล้านนาตะวันออก หวังอนุรักษ์และพัฒนาเมืองอย่างเป็นระบบ

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบรับทราบรายงานความคืบหน้าของการดำเนินงานการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองเก่าน่าน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ เพื่อเป็นพื้นที่อนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า พ.ศ.2546 และมีมติเห็นชอบให้คณะกรรมการและพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่าเสนอขอทบทวนแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าน่านในส่วนของพื้นที่เมืองเก่าน่านต่อไป

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2565 คณะอนุกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าน่านได้มีมติเห็นชอบโครงการการบูรณะปรับปรุงอาคารศาลากลางจังหวัดน่านหลังเก่าเพื่อเป็นหอศิลปวัฒนธรรมเมืองน่านและแหล่งเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมล้านนาตะวันออก ซึ่งต่อมาคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่าได้มีมติการประชุมเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2565 เห็นชอบในหลักการการขอเปลี่ยนแปลงแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าน่านโดยให้ปรับปรุงอาคารศาลากลางดังกล่าวเป็นหอศิลปวัฒนธรรมเมืองน่านและแหล่งเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมล้านนาตะวันออก พร้อมกับให้จังหวัดน่านจัดทำแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าน่านฉบับใหม่ โดยทบทวนแผนแม่บทฉบับเดิมในภาพรวม และการใช้ประโยชน์พื้นที่บริเวณต่าง ๆ ในเมืองเก่าให้เหมาะสม โดยจัดให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ

“จากฐานข้อมูล ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2565 มี 36 เมืองที่ได้รับการประกาศเป็นเขตพื้นที่เมืองเก่า ได้แก่  น่าน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง พิษณุโลก กำแพงเพชร ลพบุรี พิมาย นครศรีธรรมราช สงขลา แพร่ เพชรบุรี จันทบุรี ปัตตานี เชียงราย สุพรรณบุรี ระยอง บุรีรัมย์ ตะกั่วป่า พะเยา ตาก นครราชสีมา สกลนคร สตูล ราชบุรี สุรินทร์ ภูเก็ต ระนอง แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี ยะลา นราธิวาส ร้อยเอ็ด อุทัยธานี ตรัง ฉะเชิงเทรา โดยพื้นที่ดังกล่าวจะมีแนวทางในการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งจะมีการส่งเสริมให้ภาคเอกชนและประชาชนได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และพัฒนาเพื่อให้พื้นที่เมืองเก่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดความเจริญทางวัฒนธรรมของประเทศไทย” น.ส.ทิพานัน กล่าว

Advertisement

จับกุม “บุหรี่ไฟฟ้า” ใกล้สถานศึกษา กว่า 12,000 ชิ้น เผยทำแพ็คเกจเป็นขนม ปากกา กล่องนม ตบตา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 เมษายน 2567 ทำเนียบรัฐบาล ”พวงเพ็ชร“ แถลงจับกุมผู้ลักลอบขาย “บุหรี่ไฟฟ้า” ใกล้สถานศึกษา โซน กทม. ยึดของกลางกว่า 12,000 ชิ้น มูลค่า 3.6 ล้านบาท หวั่นทำลายสมองเด็ก-เยาวชน

นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายธสรณ์อัฑฒ์ ธนิทธิพันธ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และ พ.ต.อ.เจษฎา ยางนอก ผู้กำกับ สน.วังทองหลาง แถลงข่าว ผลการจับกุมบุหรี่ไฟฟ้าใกล้สถานศึกษา หลังเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 9 เม.ย. ที่ผ่านมา ได้สนธิกำลังลงพื้นที่ 3 จุด จำนวน 5 ร้านค้า ประกอบด้วยบริเวณซอยรัชดาภิเษก 36 (ซอยเสือใหญ่) เขตจตุจักร จำนวน 3 ร้าน, ซอยลาดพร้าว 122 (ซอยมหาดไทย) เขตวังทองกลาง จำนวน 1 ร้าน และซอยรามคำแหง 65 ถนนศรีวรา เขตวังทองหลาง จำนวน 1 ร้าน ยึดของกลางได้ 20 กระสอบ กว่า 12,000 ชิ้น เป็นเงินกว่า 3.6 ล้านบาท

สืบเนื่องจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันปราบปราม จับกุมผู้ลักลอบนำเข้าและจำหน่าย “บุหรี่ไฟฟ้า” อย่างจริงจังและเด็ดขาด โดยเฉพาะร้านที่อยู่ใกล้สถานศึกษา ให้มีการออกมาตรการป้องกันและรณรงค์โทษของบุหรี่ไฟฟ้า สร้างความตระหนักรู้ รวมถึงให้มีการตรวจตราอย่างเข้มงวด ทั้งที่สถานศึกษาและการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชน

นางพวงเพ็ชร กล่าวว่า แพ็คเกจของบุหรี่ไฟฟ้าที่ขายใกล้สถานศึกษา เป็นแพ็คเกจที่ออกแบบมาล่อเด็กและเยาวชน เช่นออกแบบมาในรูปแบบที่เป็นเหมือนขนม ปากกา หรือกล่องนม ทำให้อาจารย์ในสถานศึกษา ไม่ทราบ อีกทั้งสารนิโคติน ในบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสารอันตรายทำลายสมอง ในการพัฒนาของวัยรุ่นไปจนถึงอายุ 25 ปี การรับนิโคตินในช่วงวัยรุ่นจะส่งผลต่อการเรียนรู้ อารมณ์ และจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดยาชนิดอื่น

“เราต้องเร่งให้ความรู้เด็กและเยาวชน รวมถึงผู้ปกครอง ให้เฝ้าระวังการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า และรู้ถึงโทษที่ส่งผลต่อร่างกายและพัฒนาการของเด็ก ที่ผ่านมาได้พูดคุยกับคณะผู้บริหารสถานศึกษาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 437 แห่ง ให้เร่งสร้างความตระหนักรู้เรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ขณะเดียวกัน ขอความร่วมมือผู้ปกครองและผู้ใกล้ชิดเด็กและเยาวชน คอยสังเกตุและตรวจสอบสิ่งที่คาดว่าจะเป็นบุหรี่ไฟฟ้า และคอยตักเตือนและให้ความรู้ ป้องกันไม่ให้เด็กตกเป็นเหยื่อของมหันตภัยร้ายที่จะทำลายอนาคตของชาติ” นางพวงเพ็ชร กล่าว

ด้าน นายธสรณ์อัฑฒ์ ระบุว่า การจับกุม สคบ.ใช้กฎหมายตามประกาศคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 หากฝ่าฝืนต้องโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 แสนบาท อีกทั้งยังผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2546 คือ ห้ามนำเข้า หากฝ่าฝืนจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับอีก 4 เท่าของมูลค่า โดยหลังจากนี้ของกลางทั้งหมด จะส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี และหลังมีคำพิพากษาจากศาล ก็จะมีมาตรการในการทำลายสินค้าดังกล่าว เพื่อไม่ให้หมุนเวียนกลับเข้ามาอยู่ในระบบ และทำร้ายเด็กและเยาวชน โดยจะให้สื่อมวลชนเป็นสักขีพยานในการทำลายด้วย

ทั้งนี้ผู้ต้องหาที่จับได้ ล้วนเป็นผู้รับจ้างขาย ซึ่งเป็นคนประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะต้องมีการขยายผลสืบสวน และสอบสวนเพื่อจับกลุ่มผู้ว่าจ้างต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการตรวจสอบของกลางที่ยึดมาได้นั้น นางพวงเพ็ชร ได้หยิบบุหรี่ไฟฟ้าที่แพ็คเกจมีสีส้ม และมีโลโก้ลักษณะคล้ายโลโก้ของพรรคก้าวไกล จึงอยากให้เจ้าของพรรคได้ตรวจสอบและดำเนินการในการนำโลโก้ของพรรคมาใช้ ในบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งเป็นสินค้าผิดกฏหมาย

Advertisement

Verified by ExactMetrics