วันที่ 2 กรกฎาคม 2025

สาธารณสุขเตือนประชาชนระวังโรคลมร้อนหรือฮีทสโตรก (Heat Stroke) ช่วงฤดูร้อน

People unity : กระทรวงสาธารณสุข  แนะนำประชาชนหลีกเลี่ยงทำกิจกรรมกลางแดดจัดเป็นเวลานาน ดื่มน้ำให้เพียงพอ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงที่อากาศร้อน ป้องกันโรคลมร้อนในช่วงฤดูร้อน

นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในปีนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่าประเทศไทยจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นกว่าทุกๆปี ตามแนวโน้มของอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากร่างกายปรับสภาพไม่ทันต่ออุณหภูมิที่สูงขึ้นจะเกิดการเจ็บป่วยและเสียชีวิตได้ง่าย กลุ่มอาการที่เกิดขึ้นเป็นได้ตั้งแต่อาการเพียงเล็กน้อย เช่น ผื่น ผดแดด บวมแดด ตะคริวแดด การเกร็งจากแดด ส่วนอาการที่รุนแรงจนอาจเสียชีวิต ได้แก่ เพลียแดด โรคลมร้อนหรือฮีทสโตรก (Heat Stroke) ถือว่าเป็นภัยใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน ไม่มีเหงื่อออก ตัวร้อนจัด ปวดศีรษะ ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตลดลง และอาจเสียชีวิตได้ทันที

ในทุกๆปีจะมีผู้ป่วยโรคเหตุปัจจัยจากความร้อนเข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลเฉลี่ยปีละประมาณ 3,500 ราย ข้อมูลเฝ้าระวังการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตเนื่องจากภาวะอากาศร้อน ของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ในช่วงฤดูร้อน ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม พ.ศ.2558-2560 มีผู้เสียชีวิตสูงสุดในปี 2559 จำนวน 60 ราย ซึ่งเป็นปีที่มีอากาศร้อนกว่าทุกปี สำหรับหน้าร้อนปี 2561 พบผู้เสียชีวิต 18 ราย เป็นชาย 17 ราย หญิง 1 ราย ส่วนใหญ่ร้อยละ 30 มีอาชีพรับจ้าง ร้อยละ 15 เป็นเกษตรกร โดยมีโรคประจำตัวเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ร้อยละ 27.8 มีพฤติกรรมเสี่ยงคือการดื่มสุราเป็นประจำร้อยละ 27.7 และเสียชีวิตสูงสุดในเดือนเมษายน

นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า ขอให้ประชาชนใส่ใจถึงสภาพแวดล้อม อุณหภูมิ ความชื้นรอบตัวที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน  ไม่ออกกำลังกายหรือทำงานกลางแดดจัดเป็นเวลานาน  ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ วันละ 8-10 แก้ว ไม่ปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำจนรู้สึกกระหายหรือริมฝีปากแห้ง สวมเสื้อผ้าเหมาะสมกับสภาพอากาศและระบายเหงื่อได้ดี สวมแว่นกันแดด กางร่ม ทาโลชั่นกันแดด SPF 15 ขึ้นไป ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงที่อากาศร้อน ดูแลเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้ป่วยเรื้อรังอย่างใกล้ชิด

หากพบผู้มีอาการสงสัยว่าเจ็บป่วยจากสภาวะอากาศร้อน ควรให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยรีบนำผู้ป่วยเข้าในที่ร่ม อากาศถ่ายเทได้สะดวก ให้ดื่มน้ำเย็น ให้นอนราบและยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นสูง ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามหน้าผาก ซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ ร่วมกับใช้พัดลมเป่าช่วยระบายความร้อน เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกายให้ต่ำลงโดยเร็วที่สุด ถ้ามีอาการรุนแรง หมดสติ ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลทันที หรือโทรสายด่วน 1669

สังคม : สาธารณสุขเตือนประชาชนระวังโรคลมร้อนหรือฮีทสโตรก (Heat Stroke) ช่วงฤดูร้อน

People unity : post 3 มีนาคม 2562 เวลา 12.00 น.

“วราวุธ”ท็อปฟอร์ม! ผ่านฉลุยปั่นเมืองสุพรรณบุรีครั้งที่ 8

People Unity News : “วราวุธ” ท็อปฟอร์ม เครื่องฟิต งานราชไม่ติด งานกีฬาไม่สะดุด ปั่นเมืองสุพรรณบุรีครั้งที่ 8 ผ่านฉลุย

เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 18 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดงาน 100 พลัส สุพรรณบุรีปั่นสไตล์เมืองเหน่อ ครั้งที่ 8 ที่สนามกีฬาจังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีนายภูสิต สมจิตต์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี คณะผู้บริหารการกีฬาจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน และนักปั่นทั่วประเทศ ร่วมการแข่งขันกว่า 4,000 คน

การจัดงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ส่งเสริมให้เยาวชนประชาชนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีประโยชน์ และเป็นการรณรงค์ประหยัดพลังงาน และลดมลพิษรวมถึงรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อก่อให้เกิดกระแสการตื่นตัวในการปั่นจักรยาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสุพรรณบุรี ที่ต้องการส่งเสริมให้ประชาชนมีทัศนคติที่ดีในการออกกำลังกาย และเป็นการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว สถานที่สำคัญต่าง ๆ ใน จ.สุพรรณบุรี ต่อไป

นายวราวุธ กล่าวว่า “ผ่านไปอีก 1 ปี แล้วครับ กับงานปั่นสไตล์เมืองเหน่อปีที่ 8 งานนี้ จัดเอง คุมเอง ดูงานติดตั้งเอง ลงปั่นเองด้วย ปีนี้ขอปั่นแบบเบาะๆ 23 กิโลเมตรพอครับ เพราะไม่ได้ออกกำลังเตรียมความพร้อมร่างกายเลยตลอด 4 เดือนมานี้ ขอบคุณพี่น้องนักปั่นกว่า 4,000 คนจากทั่วประเทศ ที่มาร่วมปั่นด้วยกันในวันนี้มากๆครับ แล้วพบกันใหม่ปีหน้า ที่นี่ ที่เดิม สุพรรณบุรีครับผม”

รัฐบาลเผยวัคซีนโควิดสัญชาติไทยทดสอบในคนแล้ว 4 ชนิด แบบพ่นจมูกพร้อมทดสอบในคนปีนี้

People Unity News : รัฐบาลเผย มีการวิจัยวัคซีนโควิดสัญชาติไทยกว่า 20 ชนิด ทดสอบในคนแล้ว 4 ชนิด แบบพ่นจมูกพร้อมทดสอบในคนปีนี้

5 มี.ค.2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความก้าวหน้าในการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทย ขณะนี้มีวัคซีนอยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนาจำนวนกว่า 20 ชนิด โดยวัคซีนที่มีความก้าวหน้ามากที่สุด จำนวน 4 ชนิด ได้แก่ วัคซีน Chula-Cov19 วัคซีนHXP-GPOVac วัคซีนBaiya SARS-CoV-2 Vax และวัคซีนCovigen อยู่ในขั้นการทดสอบในมนุษย์ หากทดสอบครบสามระยะ ก็จะสามารถยื่นขอขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยา (อย.) ได้

สำหรับวัคซีนตัวอื่นๆมีความก้าวหน้าอยู่ในระดับทดสอบในสัตว์ทดลอง  มีหลายประเภท ทั้งชนิดใช้ไวรัสเป็นพาหะ (Viral Vector) ชนิดโปรตีนส่วนหนึ่งของเชื้อ (Protein Subunit ) ชนิดสารพันธุกรรม (mRNA) ชนิดอนุภาคไวรัสเสมือน ( Virus-like particle: VLP) เป็นต้น ความก้าวหน้าของการพัฒนาวัคซีนต่างๆ มาจากความร่วมมืออย่างเต็มที่ของหลายภาคส่วน

การพัฒนาวัคซีนโควิด-19 แบบพ่นจมูก ซึ่งแนวโน้มจะมีการใช้เพิ่มขึ้น ข้อดีคือใช้งานง่าย เป็นวัคซีนที่พ่นละอองฝอยในโพรงจมูกผ่านเข็มฉีดพ่นยาชนิดพิเศษที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อส่งวัคซีนไปเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในเยื่อเมือกของระบบทางเดินหายใจส่วนบนโดยตรง ซึ่งไวรัสส่วนใหญ่มักจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางจมูกและก่อตัวขึ้นในโพรงจมูกก่อนที่จะแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆของร่างกายรวมถึงปอด ทีมนักวิจัยไบโอเทค ได้พัฒนาวัคซีนพ่นจมูก “NASTVAC” ที่ผ่านการทดลองในสัตว์แล้ว คาดว่าจะสามารถผลิตตัวอย่างวัคซีนประมาณ 200-300 โดส เพื่อใช้สำหรับการทดสอบในมนุษย์ได้ในไตรมาสสองปีนี้

นอกจากนี้ ยังมีสเปรย์แอนติบอดีพ่นจมูกที่มีคุณสมบัติยับยั้งเชื้อโควิด-19  ซึ่งสเปรย์แอนติบอดีได้ผ่านการทดสอบเบื้องต้นในสัตว์ทดลองมีผลเป็นที่น่าพอใจ คาดว่าจะสามารถยื่นขอขึ้นทะเบียนต่อ อย. ประมาณเดือนมิถุนายน และจะผลิตออกสู่ตลาดประมาณไตรมาส 3 ของปีนี้เช่นกัน

Advertising

ชวน 7 กลุ่มเสี่ยงใช้สิทธิการรักษา สปสช. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ฟรี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 มิถุนายน 2567 นายกฯ ห่วงใยสุขภาพคนไทย ชวน 7 กลุ่มเสี่ยงใช้สิทธิการรักษา สปสช. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ฟรี ‘ไม่มีค่าใช้จ่าย’ ถึง 31 สิงหาคม 67 หรือจนกว่าวัคซีนจะหมด

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีห่วงใยสุขภาพของพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มักพบการแพร่ระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ ส่งผลให้เกิดอาการป่วย มีไข้ จนถึงภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ทั้งนี้ ในปี 2567 รัฐบาล โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินการสิทธิประโยชน์บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยง เพื่อป้องกันอาการเจ็บป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนหากติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ สามารถเข้ารับบริการได้ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2567 หรือจนกว่าวัคซีนจะหมด

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขั้นตอนการรับบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ประชาชนสามารถใช้สิทธิการรักษาของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และขอติดต่อเข้ารับบริการได้ที่สถานบริการสาธารณสุขของรัฐ และสถานพยาบาลเอกชนใกล้บ้านที่เข้าร่วมโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ทุกแห่ง อนึ่ง ประชาชนสามารถติดต่อเพื่อนัดหมายกับหน่วยบริการล่วงหน้า เพื่อความสะดวกในการเลือกวันเวลาที่เข้ารับบริการที่แน่นอน หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน กรมควบคุมโรค โทร. 1422

สำหรับกลุ่มเป้าหมาย 7 กลุ่มเสี่ยง ประกอบด้วย 1. หญิงตั้งครรภ์ที่อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป 2. ผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป 3. เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี 4. ผู้พิการทางสมองที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ 5. ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ได้แก่ หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ปอดอุดกั้นเรื้อรัง เบาหวาน และผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ที่ระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัด 6. ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย  ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมถึงผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีอาการ และ 7. ผู้ที่มีน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม หรือดัชนีมวลกายมากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร ทั้งนี้ หญิงตั้งครรภ์ที่อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไปสามารถขอรับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้ตลอดทั้งปี

“นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชน ได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาการทำงานดูแลประชาชนในช่วงเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรค และควบคุมการทำงานเพื่อพัฒนาการรับสิทธิรักษาโรคในระบบสุขภาพของประเทศ เพื่อดูแล ป้องกัน ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง กลุ่มอ่อนแอ ที่มีโอกาสรับเชื้อโรคมากกว่ากลุ่มปกติ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชนติดตามการประกาศประชาสัมพันธ์ของรัฐในทุกช่วงเวลาเพื่อป้องกันตนเองจากโรคระบาด ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเสมอ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและเสียชีวิตจากโรคภัย” นายชัยกล่าว

Advertisment

กทม.จับมือ สภาเภสัชกรรม เชื่อมโยงการทำงานร้านยาคุณภาพ กับศูนย์บริการสาธารณสุข กทม.

People Unity News : 25 กรกฎาคม 2566 กทม. ร่วมกับ สภาเภสัชกรรม เชื่อมโยงการทำงานร้านยาคุณภาพ กับศูนย์บริการสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร เพิ่มทางเลือกให้ประชาชน ในการดูแลรักษาภาวะความเจ็บป่วยเบื้องต้น และเพิ่มประสิทธิภาพการส่งต่อผู้ป่วยไปยังศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร

รองศาสตราจารย์ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หารือกับ เภสัชกรปรีชาพันธุ์ติเวช อุปนายกสภาเภสัชกรรม คนที่ 2 และคณะ เพื่อร่วมกันหาแนวทางลดความแออัดในโรงพยาบาลและพัฒนาระบบสาธารณสุขปฐมภูมิให้เข้มแข็ง ด้วยการนำร้านยาคุณภาพ ซึ่งผ่านการรับรองจากสภาเภสัชกรรม เข้ามาอยู่ในเครือข่ายเดียวกับกรุงเทพมหานคร ผ่านระบบBangkok Health Zoning เพื่อเชื่อมต่อการทำงานระหว่างร้านยาคุณภาพกับศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร ทำให้ระบบสาธารณสุขปฐมภูมิ หรือหน่วยการรักษาพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้าน มีความเข้มแข็ง และทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการให้บริการได้ง่ายมากขึ้นและทางเลือกของประชาชนในการดูแลรักษาภาวะความเจ็บป่วยเบื้องต้นของตนเอง เพราะร้านยาคุณภาพ จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความรู้ความเข้าใจในการใช้ยาที่ถูกต้อง และการดูแลรักษาสุขภาพ ควบคู่กับการให้บริการด้านยาและส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาที่เหมาะสมตลอดจนให้คำแนะนำ และช่วยดูแลประชาชนในเรื่องของสิทธิการรักษา รวมถึง ส่งต่อผู้ป่วยไปยังศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานครได้

ทั้งนี้ ในอนาคต กรุงเทพมหานครและสภาเภสัชกรรม จะมีการทำ MOU ร่วมกันในเรื่องนี้ และจะมีการนำข้อมูล ตลอดจนพิกัดของร้านยาคุณภาพมาอยู่บนระบบ Bangkok Health Map เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการระบบสาธารณสุขในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้มีประสิทธิภาพต่อไป

Advertisement

รู้ยัง? สปสช. สานต่อดูแลผู้ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง (กลุ่มสีเขียว) ผ่านทาง 2 แอป

People Unity News : 19 กรกฎาคม 2565 สปสช. สานต่อการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 สิทธิบัตรทอง (กลุ่มสีเขียว) ผ่านบริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ที่อยู่ในพื้นที่ กทม. – ปริมณฑล คือ นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร

โดยสามารถเลือกลงทะเบียนตามแบบฟอร์มลงทะเบียนโครงการ Self-Isolation สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 สนับสนุนโครงการโดย สปสช. และ สวทช. ผ่านการให้บริการ ดังนี้

1.แอปฯ Good Doctor Technology ให้บริการโดย บริษัท กู๊ด ด็อกเตอร์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) : https://forms.gle/YKVMKy1p8FRDDBje7 สอบถามเพิ่มเติม LINE ID: @GDTT

2.แอปฯ MorDee (หมอดี) ให้บริการโดย บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด : https://form.typeform.com/to/cNKqNz3p สอบถามเพิ่มเติม LINE ID : @mordeeapp

Advertisement

กรมทางหลวง ชวนเที่ยว One Day Trip ชุมชนเก่าแก่กว่า 100 ปี ริมน้ำจันทบูร จังหวัดจันทบุรี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 กุมภาพันธ์ 2568 กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ชวนเที่ยวชมแหล่งศิลปวัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ยังคงอนุรักษ์และสืบสานเอกลักษณ์ต่าง ๆ ไว้ได้อย่างดี ทั้งรูปแบบอาคารบ้านเรือนเก่า และวิถีชีวิตที่เป็นเสน่ห์เฉพาะถิ่นที่มีอายุกว่า 100 ปี “ชุมชนริมน้ำจันทบูร” เดิมเรียก “บ้านลุ่ม” เป็นชุมชนเก่าแก่ริมน้ำของจังหวัดจันทบุรีด้านตะวันตก ซึ่งชาวจีนและชาวญวนได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ต่อมาได้พัฒนาเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการค้าของจังหวัดจันทบุรี ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันชุมชนนี้เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดจันทบุรี มีอาคารเก่าแก่ในรูปแบบสถาปัตยกรรมจีน – โปรตุเกส รวมถึงบ้านขนมปังตั้งเรียงรายตามถนนคนเดินตลอดระยะทาง 1 กิโลเมตร ริมแม่น้ำจันทบุรี

สำหรับการเดินทางจากกรุงเทพฯ ถึงชุมชนริมน้ำจันทบูร ระยะทางประมาณ 250 กิโลเมตร ใช้ทางหลวงหมายเลข 7 (กรุงเทพฯ – ชลบุรี หรือมอเตอร์เวย์) ไปถึงอำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ระยะทางประมาณ 89 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าทางออกอำเภอบ้านบึง เพื่อเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 344 วิ่งต่อไปอีกประมาณ 97 กิโลเมตร ถึงอำเภอแกลง จังหวัดระยอง (แยกอำเภอแกลง) แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู้ทางหลวงหมายเลข 3 (สุขุมวิท) วิ่งต่อไปอีกประมาณ 56 กิโลเมตร ถึงสี่แยกเขาไร่ยา จังหวัดจันทบุรี จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 316 วิ่งต่อไปอีกประมาณ 6 กิโลเมตร ถึงสี่แยกพระยาตรัง จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าถนนหมายเลข 3150 (ถนนท่าหลวง) วิ่งต่อไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร สามารถจอดรถในค่ายตากสินเพื่อสักการะศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน หรือวิ่งต่อจากค่ายตากสินไปอีก 500 เมตร เพื่อนำรถไปจอดที่วัดจันทนาราม แล้วเดินข้ามไปยังชุมชนริมน้ำจันทบูร

ทั้งนี้ ทล. ได้มุ่งมั่นที่จะพัฒนาทางหลวงทุกสายให้ความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในทุกเส้นทาง เพื่อรองรับการคมนาคมที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นจัดให้มีจุดพักรถเพื่อรองรับการเดินทางของประชาชน เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดความมั่นคง เข้มแข็งอย่างยั่งยืน ทล. ขอให้ประชาชนเดินทางด้วยความระมัดระวัง หากต้องการสอบถามเส้นทางการจราจรหรือต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่สำนักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ และสายด่วน ทล. โทร. 1586

Advertisement

ชวนทุกคนร่วมมืออนุรักษ์-ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า

People Unity News : 22 มีนาคม 2566 นายกฯ อ่านสารเนื่องในวันน้ำโลก ประจำปี 2566 ย้ำ “น้ำ” เป็นทรัพยากรสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เชิญชวนทุกคนร่วมมือร่วมใจกันอนุรักษ์และใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้ยั่งยืน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อ่านสารผ่านบันทึกวีดิทัศน์ เนื่องในวันน้ำโลก ประจำปี 2566 ออกอากาศทางเพจไทยคู่ฟ้า Facebook และสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย  ว่า “น้ำ” เป็นทรัพยากรสำคัญที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ องค์การสหประชาชาติกำหนดให้วันที่ 22 มีนาคมของทุกปีเป็นวันน้ำโลก เพื่อกระตุ้นให้ประชาคมโลกร่วมกันรณรงค์ให้เกิดการฟื้นฟูและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน โดยในปี 2566 องค์การสหประชาชาติได้กำหนดประเด็นสำคัญในหัวข้อ “เร่งการเปลี่ยนแปลง” ด้วยการลงมือปฏิบัติเพื่อลดวิกฤติด้านน้ำและสุขาภิบาล โดยรณรงค์ให้ทุกคนร่วมกันเป็นผู้เปลี่ยนแปลง สิ่งที่อยากเห็นในโลกใบนี้

“ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในทุกมิติให้เกิดความสมดุลและยั่งยืน ขับเคลื่อนภารกิจด้านทรัพยากรน้ำโดยคำนึงถึงปัจจัยรอบด้านจากการวิเคราะห์ข้อมูลของหน่วยงานและองค์กร รวมทั้งสภาพปัจจุบันและแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากวิกฤติการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ได้วางแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบพลวัต โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน 5 ด้าน คือ การบริการน้ำอุปโภคบริโภคที่ได้มาตรฐานอย่างเท่าเทียม การสร้างความมั่นคงและเพิ่มผลิตภาพของน้ำ การลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินจากภัยพิบัติด้านน้ำ การฟื้นฟูป่าต้นน้ำและคุณภาพน้ำ และการเสริมความเข้มแข็งในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชุมชน ด้วยองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม บนพื้นฐานของการรักษาสมดุลนิเวศ วิถีทางสังคม เศรษฐกิจของพื้นที่ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างสมดุลการอนุรักษ์ฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งนํ้าด้วยการบริหารจัดการพื้นที่ในลักษณะลุ่มนํ้าอย่างเป็นระบบ โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน 5 ด้าน คือ การบริการน้ำอุปโภคบริโภคที่ได้มาตรฐานอย่างเท่าเทียม การสร้างความมั่นคงและเพิ่มผลิตภาพของน้ำ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีคณะกรรมการลุ่มน้ำทั้ง 22 ลุ่มน้ำของประเทศที่เป็นกลไกหลักในการเชื่อมโยงและขับเคลื่อนทุกพื้นที่ ร่วมกับภาคีหน่วยงานและองค์กร นักวิชาการและปราชญ์ท้องถิ่น ควบคู่กับการทำความเข้าใจและขยายเครือข่ายแนวร่วมภาคประชาชน และเดินหน้าไปพร้อมกับประเทศสมาชิกในการประกาศคำมั่นโดยสมัครใจ เพื่อยืนยันความร่วมมือ เร่งการเปลี่ยนแปลงด้านน้ำตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีส่วนร่วม ในการประชุมสหประชาชาติทบทวนการดำเนินงานด้านน้ำในห้วงครึ่งแรกของทศวรรษระหว่างประเทศแห่งการดำเนินการ “น้ำสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน” ซึ่งจัดการประชุมระหว่างวันที่ 22 – 24 มีนาคม 2566 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เนื่องในโอกาส “วันน้ำโลก” ประจำปี 2566 ขอเชิญชวนประชาชนทุกคน ร่วมมือร่วมใจกันอนุรักษ์และใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า รวมทั้งมีส่วนร่วมเป็นภาคีเครือข่ายความร่วมมือระหว่างกัน

Advertisement

เผยประชาชนพอใจ “นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่” – “ร้านยาชุมชนอบอุ่น”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 กรกฎาคม 2567 “คารม” เผยประชาชนพอใจ “นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่” “ร้านยาชุมชนอบอุ่น” ช่วยให้ประชาชนเจ็บป่วยเล็กน้อยเข้าถึงสิทธิและบริการได้สะดวก ระบุประชาชนใช้บริการแล้วกว่า 1 ล้านคน จำนวนกว่า 2 ล้านครั้ง

วันนี้ (12 กรกฎาคม 2567) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า “นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่” บริการที่ “ร้านยาคุณภาพ” ในการร่วมดูแลประชาชนผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท ) ภายใต้โครงการ “ร้านยาดูแลเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการ” (common illnesses) ซึ่งเป็นหนึ่งใน “หน่วยนวัตกรรมบริการสาธารณสุข” ที่ผ่านมาจากที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ขับเคลื่อนร่วมกับสภาเภสัชกรรมมาอย่างต่อเนื่อง ผลปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างมากในพื้นที่ 45 จังหวัดที่เริ่มนโยบายนี้

นายคารม กล่าวว่า จากข้อมูลในระบบ AMED ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่ใช้เป็นระบบปฏิบัติการในการเบิกจ่าย เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2567 พบว่า ขณะนี้มีร้านยาชุมชนอบอุ่นในระบบ จำนวน 2,151แห่ง มีประชาชนเข้ารับบริการแล้วจำนวน 1,125,253 คน เป็นการรับบริการจำนวน 2,849,528 ครั้ง โดยช่วงอายุ 45-64 ปี เป็นกลุ่มประชากรที่เข้ารับบริการมากที่สุดจำนวน 429,907 คน สำหรับกลุ่มอาการในการเข้ารับบริการ พบว่า ไข้ ไอ เจ็บคอ เป็นกลุ่มอาการที่มีการเข้ารับบริการมากที่สุด จำนวน 1,191,643 ครั้ง หรือร้อยละ 47 ของการเข้ารับบริการ กลุ่มอาการรองลงมาได้แก่ ปวดข้อ เจ็บกล้ามเนื้อ จำนวน 597,737 ครั้ง อาการทางผิวหนัง ผื่น คัน จำนวน 339,846 ครั้ง ปวดท้อง จำนวน 239,967 ครั้ง ความผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตา จำนวน 145,591 ครั้ง ปวดหัว จำนวน 117,091 ครั้ง และบาดแผล จำนวน 114,809 ครั้ง เป็นต้น

“จากข้อมูลที่ปรากฏนี้สะท้อนให้เห็นว่า 30 บาทรักษาทุกที่ รับบริการที่ร้านยาชุมชนอบอุ่น ได้ช่วยดูแลประชาชนที่มีภาวะเจ็บป่วยเล็กน้อย ซึ่งอยูใน 16 กลุ่มอาการ ได้เข้าถึงการรักษาโดยใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาท และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ การบริการที่ร้านยาชุมชนอบอุ่นนี้ เป็นส่วนสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ เป็นบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับการดูแลจากเภสัชกรที่เป็นหนึ่งในวิชาชีพระบบสุขภาพ และให้คำปรึกษาหรือแนะนำการกินยา สำหรับการเข้ารับบริการขอให้ประชาชนสังเกตสติ๊กเกอร์ “ร้านยาคุณภาพของฉัน ให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย” โดยมีวิธีรับบริการ 2 รูปแบบ ไม่เสียค่าใช้จ่าย คือ 1. โทร.สายด่วน สปสช. 1330 จะมีเจ้าหน้าที่แนะนำให้รับบริการที่ร้านยาชุมชนอบอุ่นใกล้บ้าน หรือ 2. ดูรายชื่อร้านยาใกล้บ้านที่เข้าร่วมโครงการได้ที่เว็บไซต์ สปสช. https://www.nhso.go.th/page/List_of_retail_pharmacies หรือสังเกตสติกเกอร์ติดหน้าร้านยา ภายใต้ชื่อ ร้านยาคุณภาพของฉัน ให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย” นายคารม ระบุ

Advertisement

ประกาศผ่อนคลายขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางพื้นที่ในวันสำคัญทางศาสนา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 พฤษภาคม 2568 โฆษกรัฐบาล เผยราชกิจจาฯ ประกาศห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 5 วัน สำคัญทางศาสนา ยกเว้น 5 กรณี-สถานที่ “โรงแรม -สนามบินระหว่างประเทศ-สถานบริการ-ย่านธุรกิจและกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว” หนุน ปีท่องเที่ยวไทย มีผล 10 พ.ค.68

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เมื่อเดือนมีนาคม 2568 เห็นชอบ ให้ผ่อนคลายการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บางพื้นที่ในวันหยุดพิเศษ 5 วันทางศาสนา ซึ่งนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ได้สรุปผลการพิจารณาในทุกมิติเพื่อดูความเหมาะสมกับโลกปัจุบัน และที่ประชุมได้เห็นชอบให้ผ่อนคลายการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจากนั้นจะเป็นขั้นตอนในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ดังกล่าวในวันศุกร์ ที่9 พฤษภาคม 2568 ปรับปรุงประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การกำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2567 เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน โดยคำแนะนำของคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ

โดยประกาศดังกล่าวฉบับนี้ ยังห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในวันสำคัญทางศาสนา 5 วันเป็นการทั่วไปแต่ยกเว้นอนุญาตให้ขายได้เฉพาะ

(1) ในอาคารที่ให้บริการแก่ผู้โดยสารภายในสนามบินที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ

(2) ในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ

(3) ในสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่หรือบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

(4) ในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม

(5) ในสถานที่ซึ่งใช้จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติหรือนานาชาติ และมีคนจำนวนมากไปทำกิจกรรมร่วมกัน ตามรายชื่อสถานที่ ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ทั้งนี้ผู้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามในข้างต้น จะต้องจัดให้มีการคัดกรองและมาตรการที่จำเป็น เพื่อการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ความปลอดภัยของประชาชน และการจำกัดการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเด็กและเยาวชนตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

“การออกประกาศดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศนโยบายของรัฐบาลที่ให้ปี 2568 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวไทย Amazing Thailand Grand Tourism and Sports year 2025 ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ส่งผลให้สามารถจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการศึกษาถึงความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการแก้ไขและปรับปรุงกฎหมายดังกล่าว โดยได้คำนึงถึงความสงบเรียบร้อยของสังคม ความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ” นายจิรายุ ระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป) พร้อมให้ยกเลิกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พ.ศ. 2567 ลงวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2567 และห้ามผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา ยกเว้นการขายในกรณีข้างต้น

สำหรับประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้ก่อนถึงวันวิสาขบูชา ที่จะมาถึงในวันที่ 11 พฤษภาคม 2568

Advertisement

Verified by ExactMetrics