วันที่ 17 พฤษภาคม 2024

14 พ.ย.! กรมควบคุมโรคฉีดวัคซีนป้องโรคหัด กลุ่มเด็กอายุ 1-12 ปี ฟรีที่ยังไม่เคยรับ

People Unity : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์โรคหัดในไทยดีขึ้น สามารถควบคุมได้ โดยมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดติดตามสถานการณ์โรคหัดทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และรัฐบาลได้สนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดในกลุ่มเด็กอายุ 1-12 ปีทั่วประเทศ ฟรี ในกลุ่มที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีน เริ่ม 14 พ.ย.นี้ แนะหากมีไข้สูง 3-4 วัน มีผื่นนูนแดงขึ้นที่ใบหน้าแล้วแพร่กระจายไปตามลำตัว แขน ขา ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว

วันที่ 25 ตุลาคม 2562 นายแพทย์อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีและโฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงนี้มีรายงานข่าวว่าพบผู้ป่วยโรคหัดเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งประเทศที่มีผู้ป่วยโรคหัดสูง ได้แก่ มาดากัสการ์ อินเดีย ยูเครน ฟิลิปปินส์ ไนจีเรีย คาซัคสถาน บราซิล แองโกลา และพม่า นอกจากนี้ในช่วงต้นปียังเคยมีการระบาดในบางเมืองของสหรัฐอเมริกาด้วย ส่วนประเทศไทย ตั้งแต่มีการให้วัคซีนหัด จำนวนผู้ป่วยโรคหัดลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ในปี 2558 พบผู้ป่วยจำนวนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ และในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันหนาแน่น เช่น เรือนจำ โรงเรียน ค่ายทหาร ทั้งนี้ ประเทศไทยตั้งเป้าหมายลดจำนวนผู้ป่วยโรคหัดให้เหลือไม่เกิน 1 รายต่อประชากร 1 ล้านคน ภายในปี 2563 จึงได้มีการจัดทำโครงการกำจัดหัด เพื่อให้มีการค้นหาและรายงานผู้ป่วยไข้ออกผื่นหรือสงสัยหัดให้ครบถ้วน ตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งจากโครงการดังกล่าว ในปี 2562 พบผู้ป่วยไข้ออกผื่นหรือสงสัยหัด 7,470 ราย เสียชีวิต 21 ราย (1 มกราคม–18 ตุลาคม 2562) จังหวัดที่พบมาก ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี ตาก ภูเก็ต และชลบุรี

นอกจากนี้ กลุ่มอายุที่พบจะแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ส่วนใหญ่อายุน้อยกว่า 1 ปี ซึ่งสัมพันธ์กับความครอบคลุมของวัคซีนต่ำในพื้นที่ และผู้ป่วยในพื้นที่อื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยแรงงาน อายุ 20–39 ปี โดยผู้ป่วยมักพบในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันหนาแน่น ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และหน่วยงานสาธารณสุข ได้ร่วมกันดำเนินการเพื่อป้องกันควบคุมโรคหัดอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องในทุกพื้นที่ จนทำให้สถานการณ์โรคหัดในประเทศไทยดีขึ้นอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และได้มอบหมายให้กองระบาดวิทยา และกองโรคป้องกันด้วยวัคซีน ติดตามสถานการณ์โรคหัดทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด

นายแพทย์อัษฎางค์ กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยมีการให้วัคซีนป้องกันโรคหัดตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคตั้งแต่ปี 2527 แก่เด็กอายุ 9 เดือน ต่อมาในปี 2539 ได้เพิ่มการฉีดวัคซีนโรคหัดเข็มที่สอง ดังนั้น ในผู้ใหญ่ที่เกิดก่อนปีที่เริ่มให้วัคซีน อาจไม่มีภูมิคุ้มกันถ้าไม่เคยเป็น ประกอบกับมีแรงงานต่างชาติจากประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาทำงาน ทั้งนี้ รัฐบาลได้สนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดในกลุ่มเด็กอายุ 1-12 ปีทั่วประเทศ พ.ศ.2562-2563 ตามแผนเร่งรัดการกำจัดโรคหัดของประเทศไทย โดยไม่เสียค่าใช่จ่ายใดๆ เพื่อรณรงค์ให้วัคซีนเก็บตกในกลุ่มเด็กไทยและเด็กต่างชาติช่วงอายุดังกล่าว ที่ได้รับวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์ทุกราย โดยเป็นการให้วัคซีนป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR) แก่เด็กอายุ 1-7 ปี และให้วัคซีนป้องกันโรคหัด-หัดเยอรมัน (MR) แก่เด็กอายุ 7-12 ปี จะเริ่มดำเนินการทั่วประเทศ ในวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้

อาการที่พบบ่อยของโรคหัด คือไข้ออกผื่น โดยมักมีไข้สูง 3-4 วัน แล้วเริ่มมีผื่นนูนแดงขึ้นจากหลังหูแล้วลามไปยังใบหน้า กระจายไปตามลำตัว แขน ขา จากนั้นไข้จะลดลงและผื่นค่อยๆ จางหายไป ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่พบได้คือ คออักเสบ หลอดลมอักเสบจนถึงปอดบวม หูชั้นกลางอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบ ท้องเสีย และสมองอักเสบซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงที่สุด หากป่วยด้วยโรคหัดหรือสงสัยว่าเป็นโรคหัดควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว ทั้งนี้ โรคหัดสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ซึ่งตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข จะฉีดวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน (MMR) จำนวน 2 เข็ม เข็มแรกเมื่อเด็ก อายุ 9 เดือน และเข็มที่สองเมื่ออายุ 2 ปีครึ่ง หากพบว่าบุตรหลานยังรับวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์ ผู้ปกครองสามารถพาไปรับวัคซีนได้ที่สถานบริการสาธารณสุขของรัฐทุกแห่ง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

สธ.ปรับโฉมสมุนไพรไทยคุณภาพสู่ตลาดโลก

People Unity : กระทรวงสาธารณสุขส่งเสริมสมุนไพรไทยคุณภาพ สู่ตลาดโลกภายใต้แนวคิด “สมุนไพรไทย ตำรับไทย มรดกโลก” เพิ่มช่องทางการตลาด เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจ พร้อมปรับโฉมรูปแบบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สปา บาล์ม และเครื่องดื่มชาสมุนไพร

วันที่ 25 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา ที่คิงเพาเวอร์ ศรีวารี คอมเพล็กซ์ จ.สมุทรปราการ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมชมนิทรรศการพร้อมรับฟังผลการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากผู้ประกอบการในงานนิทรรศการแสดงสินค้า Thai Herbal Pavilion ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-27 ตุลาคม 2562 โดยมีอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเยี่ยมชม

นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน จัดทำโครงการนำสมุนไพรคุณภาพสู่ตลาดโลกภายใต้แนวคิด สมุนไพรไทย ตำรับไทย มรดกโลก (Thailand KISS The World) เพิ่มช่องทางการตลาด ส่งเสริมการขายและการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพให้เป็นที่รู้จัก ผ่านตลาดทั้งในและต่างประเทศ จัดอบรมและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการตามตลาดที่ได้รับการส่งเสริม อาทิ ตลาดนักท่องเที่ยว ตลาดร้านยา มีการเจรจาจับคู่ธุรกิจกับบริษัทชั้นนำ ได้แก่ KING POWER และ CP EXTRA ซึ่งมีจำนวน 11 บริษัทที่ผ่านการคัดเลือกจากผู้ประกอบการทั้งสิ้น 35 บริษัท จัดนิทรรศการแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ เพื่อประชาสัมพันธ์และสร้างการยอมรับในตลาดต่าง ๆ อาทิ เช่น การออกนิทรรศการ LANNA HERB 2019 ณ จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์, การออกนิทรรศการงาน Thai Festival in Hanoi 2019 (Local Best, Global Taste) ร่วมกับสถานเอกอัคราชทูตไทย ณ กรุงฮานอย และเพิ่มช่องทางการขายทั้ง Online และOffline อาทิ ร้านค้าปลอดภาษีอากรของ KING POWER, ร้านยา SEVEN EXTRA

นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า การจัดนิทรรศการแสดงสินค้า Thai Herbal Pavilion ในวันนี้ได้รับความร่วมมือจากคิงเพาเวอร์ ศรีวารี คอมเพล็กซ์ จังหวัดสมุทรปราการ เปิดพื้นที่นิทรรศการแสดงสินค้าให้กับเครือข่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพที่ได้รับรางวัล Prime Minister Herbal Awards (PMHA), Premium Products, Quality Thai Herbal Products (QTHP) ร่วมออกบูธกว่า 29 บริษัทจำหน่ายและแสดงสินค้า ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอาง เครื่องดื่มชาสมุนไพร กาแฟ ผลิตภัณฑ์สปา ยาสมุนไพร เป็นการเปิดตลาดในระดับสากล เน้นเจาะตลาดกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวประเทศจีนที่นิยมผลิตภัณฑ์สมุนไพรประเภทครีมไพลและบาล์มสูตรร้อน อาหารเสริมกระชายดำ และซื้อเป็นของฝากในโอกาสได้มาท่องเที่ยวประเทศไทย โดยผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่มีโอกาสเติบโตในตลาดประเทศจีน ได้แก่ น้ำมันสมุนไพรแก้อาการปวดเมื่อย ผลิตภัณฑ์ธุรกิจสปา ยาดม ยาอมสมุนไพร ยาหม่อง เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้การผลิตสมุนไพรไทยตรงกับความต้องการของตลาด คาดว่าในปี 2562-2565 จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัวหรือ 7.8 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ สำหรับ 11 บริษัทที่ผ่านการคัดเลือก เป็นสินค้าประเภทเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สปา บาล์ม และเครื่องดื่มชาสมุนไพร ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบผลิตภัณฑ์ การบรรจุหีบห่อให้สวยงาม ดึงดูด น่าสนใจ รวมทั้งพัฒนาคุณภาพให้ได้มาตรฐานภายใต้เงื่อนไขของบริษัท KING POWER ต่อไป

แจกฟรี!…”ท้าวเวสสุวรรณ” งานบุญทอดกฐิน หลวงพ่อณะโอ่งประจวบคีรีขันธ์

People Unity : แจกฟรี!…”ท้าวเวสสุวรรณ” งานบุญทอดกฐิน หลวงพ่อณะโอ่ง วันที่ 26 – 27 ตุลาฯ 62 @ สำนักปฏิบัติธรรมบ้านยุบพริกต.บ่อนอก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์

สำนักปฏิบัติธรรมบ้านยุบพริก ตั้งอยู่ ม.11 บ้านยุบพริก ต.บ่อนอก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีอาจารย์ปุณณะ อนิญชิโต หรือ หลวงพ่อณะโอ่ง เป็นเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้มากกว่า 20 ปี หลวงพ่อณะโอ่งได้มาจำพรรษาอยู่ที่สำนักปฏิบัติธรรมบ้านยุบพริก เพื่อต้องการความเงียบสงบและปฏิบัติธรรม ท่านมีความเชี่ยวชาญในการอ่านเขียนอักขระขอมโบราณ และภาษาบาลี ได้เริ่มเขียนอักขระบนวัตถุมงคลเมื่อประมาณ 20 ปี ที่ผ่านมา โดยเฉพาะช้อนเงินช้อนทอง ที่ผ่านมาได้จารอักขระบนช้อนเงิน (สเตนเลส) จำนวนหลายพันคัน

นอกจากนี้ยังจารอักขระและเขียนรูปไก่บนช้อนทอง (ทองเหลือง) ซึ่งมีเพียง 50 คัน หลวงพ่อโอ่งให้เหตุผลว่า “ที่เขียนไก่ เพราะเป็นสัตว์ที่ขยัน ต้องหากินตลอดเวลา จึงเป็นเครื่องเตือนสติแก่ผู้ได้รับว่า ต้องเป็นผู้ซื่อสัตย์ ประกอบสัมมาอาชีพ และขยันทำกิน”

สิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากพระรูปอื่นๆ คือหลวงพ่อณะโอ่งไม่นิยมแจกวัตถุมงคลพร่ำเพรื่อ ท่านจะแจกให้คนสนิทใกล้ชิด หรือพระที่ปฏิบัติธรรม เพื่อนำไปเป็นทุนในการบำรุงพระศาสนา บางรายเดินทางมาไกลหลายร้อยกิโลเมตรเพื่อวัตถุมงคล ไม่ได้กลับไปก็มีด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม วันที่ 26 – 27 ตุลาฯ 62 ขอญเชิญร่วม บุญทอดกฐิน กับหลวงพ่อณะโอง แห่งสำนักปฏิบัติธรรมบ้านยุบพริก ต.บ่อนอก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์

ผู้ที่มาร่วมงานแจก “ท้าวเวสสุวรรณ” ทุกท่าน ปลุกเสกวันที่ 19 ตุลาคม 2562 อีกทั้งยังมี ตะกรุด ลูกสะกด ปรกจ้อย จระเข้และปลัดขิก โดยได้รับแจกอย่างใดอย่างหนึ่ง้ท่านั้น ผู้ที่เป็นกรรมการพิเศษจะได้ทั้งหมด 6 อย่าง

“ม.สงฆ์ มจร” มุ่งพัฒนา “MCU TV” ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกสื่อสารในยุคปัจจุบัน

People Unity : “ม.สงฆ์ มจร” มุ่งพัฒนา “MCU TV” ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกสื่อสารในยุคปัจจุบัน กำหนดประชุมคณะกรรมการบิหาร 2 เดือนต่อครั้ง เพื่อประเมินผลของการพัฒนาสถานี

เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562 ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ. วังน้อย จ. พระนครศรีอยุธยา พระครูโสภณพุทธิศาสตร์ ,ผศ.ดร.รองอธิการบดีฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแผ่ ในฐานะประธานคณะกรรมการบิหารสถานีโทรทัศน์เพื่อการศึกษาและเผยแผ่ธรรมะ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานีโทรทัศน์เพื่อการศึกษาฯ (MCU TV) เพื่อรับฟังความคิดเห็นในการขับเคลื่อนกลยุทธ์เชิงรุก และจัดทำแผนพัฒนาสถานีโทรทัศน์ MCU TV 5 ปี

โดยมีคณะกรรมการเข้าร่วมกระชุม อาทิ พระสุวรรณเมธาภรณ์, ผศ.ดร. รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ พระเมธีธรรมาจารย์,รศ.ดร. รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา พร้อมผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตรายการโทรทัศน์มาร่วมให้คำแนะนำใน เช่น พระเทพสุวรรณเมธี นายมานพ จีรกาญจน์ไพศาล นางขวัญเรือน แก้วพิจิตร โดยที่ปีะชุมได้ให้ข้อคิดเห็นและเสนอแนะใน การผลิตโทรทัศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตเนื้อหาออกอากาศให้ทันเหตุการณ์และเผยแพร่ควบคู่ไปกับสื่อออนไลน์ ปรับปรุงอุปกรณ์ให้มีความทันสมัย

จัดการบริหารเป็นสัดส่วน เน้นบุคลากรภายใน และสร้างเครือข่ายจากวิทยาเขตวิทยาลัยสงฆ์ ในเครือของมหาวิทยาลัย และประสานความร่วมมือจากบุคลากรภายนอก ในการผลิตรายการ รวมถึงงบประมาณจัดสรรในการผลิตรายการ นอกจากนี้ ต้องเน้นกลยุทธ์ ปรับผังรายการให้เข้ากับยุคสมัยและหารายได้จากภายนอกเข้ามาสนับสนุนการผลิตรายการในสถานีโทรทัศน์ MCU TV และได้กำชับในการใช้ลิขสิทธิ์ในถูกต้อง พร้อมทั้งเน้นเนื้อหาด้านข่าวให้มีความรวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ นำออกเผยแพร่ทั้งทางดาวเทียมและสื่อออนไลน์ เพื่อกระจายให้สังคมรับรู้ข้อมูลข่าวสารของมหาวิทยาลัยและของคณะสงฆ์ โดยให้ผู้บริหารนำไปพิจารณา ปรับปรุงแล้วนำเสนอในการประชุมต่อไป

ทั้งนี้ ที่ประชุมยังกำหนดให้มีการประชุมคณะกรรมการบริหาร ระยะเวลา 2 เดือนต่อครั้ง เพื่อประเมินผลของการพัฒนาสถานีต่อไป

สมเด็จพระสังฆราชทรงโปรดให้คณะกรรมการ มส.ชุดใหม่เข้าถวายสักการะ

People Unity : สมเด็จพระสังฆราชทรงโปรดให้คณะกรรมการ มส.ที่ได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งใหม่ในรัชกาลที่ ๑๐ เข้าถวายสักการะ พร้อมประทานพระโอวาท

วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๖.๐๐ น. ณ พระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อัมพร อมฺพโร) ทรงโปรดให้คณะกรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) ที่ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งใหม่ เข้าถวายสักการะ จากนั้นทรงมีพระโอวาทว่า กรรมการมส.ชุดนี้ มีทั้งที่เคยปฏิบัติหน้าที่มาแล้ว และที่เพิ่งจะได้ปฏิบัติหน้าที่ใหม่เป็นวาระแรกในคราวนี้ ขอถวายกำลังใจแด่ทุกท่านในการปฏิบัติหน้าที่ให้ได้เต็มกำลังความสามารถ ด้วยความหนักแน่นมั่นคงในปณิธาน เพื่อความสถิตสถาพรของพระบวรพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ไทย

สมเด็จพระสังฆราช มีพระโอวาทต่อไปว่า ขอให้ทุกท่านระลึกถึงพระเดชพระคุณของบูรพาจารย์ มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปฐม ตลอดจนถึงอดีตพระมหาเถระที่ท่านเคารพบูชาเป็นครูบาอาจารย์ด้วยความกตัญญูกตเวที แล้วศึกษาทบทวนใคร่ครวญให้ถ้วนถี่ว่าแต่ละพระองค์และแต่ละท่านได้ทำอย่างไร วางตัวอย่างไร ประพฤติดีปฏิบัติชอบอย่างไร ทุ่มเทอุทิศสรรพกำลังเพื่อการพระศาสนาอย่างไร จึงเป็นที่กราบไหว้ได้เต็มมือ และสนิทใจ เหตุไฉนบูรพาจารย์พระองค์นั้นๆ หรือท่านนั้นๆ จึงสถิตในที่สูงเป็นทิฏฐานุคติของอนุชน ยังมีกลิ่นหอมของศีล ปัญญา อบอวลทวนกระแสกาลเวลานับร้อยนับพันปีไม่จืดจางหาย ให้พวกเราได้ชื่นใจเมื่อได้ระลึกถึงตราบเท่าทุกวันนี้

บัดนี้ ท่านได้ชื่อว่าเป็นมหาเถระเป็นผู้ปกครองคณะสงฆ์ มีตำแหน่งอยู่ในมส.พุทธบริษัทไทยเฝ้ามองการปฏิบัติหน้าที่ของท่าน และตั้งความหวังไว้ที่ท่านท่านจะประคับประคอง สนองภารธุระของการคณะสงฆ์ให้ราบรื่นเรียบร้อย สามารถฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรคไปได้อย่างไร แบบนั้นมีอยู่แล้ว ขอจงอย่าทิ้งทางครู โดยเฉพาะทางของสมเด็จพระบรมครู ผู้ยังเสด็จดำรงอยู่เป็นศาสดาของพวกเรา ในองค์คุณแห่งพระธรรมวินัย

ขอถวายกำลังใจแด่ทุกท่านอีกครั้ง ขออาราธนาให้ท่านตั้งปณิธาน อุทิศชีวิตนี้เพื่อบูชาคุณพระรัตนตรัยด้วยปฏิบัติบูชา ขอให้เห็นแก่ความเจริญมั่นคงของคณะสงฆ์เป็นอุดมการณ์สูงสุด เพื่อสนองพระบรมราชปณิธานของสมเด็จพระมหากษัตริยาริราชเจ้าทุกๆ พระองค์และสนองคุณของบรรพชนไทย ที่สู้อุตส่าห์เสียสละชีวิตเลือดเนื้อหยาดเหงื่อ กำลังกาย กำลังใจและกำลังสติปัญญา เพื่ออุปถัมภ์และพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนาไว้บนแผ่นดินไทย

ศธ.คลอดหลักสูตรลูกเสือมัคคุเทศก์ นำร่องอบรม 8 จังหวัดภาคเรียนที่2

People Unity : ศธ.คลอดหลักสูตรลูกเสือมัคคุเทศก์ เดินหน้าพร้อมจัดอบรม 8 จังหวัดนำร่อง รับภาคเรียนที่ 2/62

ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยความก้าวหน้าของการจัดทำหลักสูตรเพื่อฝึกอบรมให้กับลูกเสือที่เข้าร่วม “โครงการลูกเสือมัคคุเทศก์”ภายหลังจากสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการลูกเสือมัคคุเทศก์” (Guide Scout) เมื่อวันที่ 17 กันยายน ที่ผ่านมา ณ โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย โดยสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อจัดทำหลักสูตรลูกเสือมัคคุเทศก์ ร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้หลักสูตรที่ครอบคลุมการสร้างสมรรถนะ ความรู้ และทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการเป็นลูกเสือมัคคุเทศก์ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ให้ได้มากที่สุด

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ขณะนี้สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ร่วมกับกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดทำหลักสูตร คู่มือ สื่อฝึกอบรม และอบรมแกนนำลูกเสือมัคคุเทศก์เสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมนำไปจัดอบรมให้กับลูกเสือที่เข้าร่วมโครงการลูกเสือมัคคุเทศก์ รวมจำนวนทั้งสิ้น 425 คน ใน 8 จังหวัดนำร่อง ได้แก่จังหวัดปราจีนบุรี พัทลุง เชียงใหม่ เลย สุโขทัย นครราชสีมา พระนครศรีอยุธยา และบุรีรัมย์

โดยการจัดอบรมโครงการลูกเสือมัคคุเทศก์ จะเริ่มขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2562 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งหลักสูตรประกอบด้วย การชี้แจงทำความเข้าใจ การให้ความรู้ ตลอดจนการฝึกปฏิบัติจริง รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 60 ชั่วโมง แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 ก่อนการฝึกอบรม จำนวน 13 ชั่วโมง สำหรับการศึกษาค้นคว้าจัดทำข้อมูลและเรียงความเกี่ยวกับบ้านเกิด

ระยะที่ 2 การฝึกอบรมเป็นเวลา 4 วัน จำนวน 27 ชั่วโมง เน้นการชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นมาของโครงการ การให้ความรู้ด้านวิชาการ 10 หน่วยเรียนรู้
ทั้งหลักการมัคคุเทศก์ การสื่อสาร ความรู้พื้นฐานของพื้นที่และพื้นที่ข้างเคียง จิตวิทยาการให้บริการ การเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และจิตอาสาของลูกเสือมัคคุเทศก์ ตลอดจนกระบวนการค้นหาเรื่องราวและเรื่องเล่าของท้องถิ่น การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และการใช้เทคโนโลยีเพื่อการมัคคุเทศก์

ระยะที่ 3 คือการฝึกปฏิบัติในสถานที่ท่องเที่ยว เป็นเวลา 20 ชั่วโมง ซึ่งกำหนดจัดกิจกรรม “Kick Off การฝึกประสบการณ์ลูกเสือมัคคุเทศก์” ในพื้นที่ 8 จังหวัดนำร่องในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ด้วย

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังการฝึกอบรมจะจัดให้มีพิธีมอบเครื่องหมายลูกเสือมัคคุเทศก์ (Badge) และมอบวุฒิบัตรแก่ผู้ผ่านหลักสูตร เพื่อนำไปใช้รับรองและเทียบประสบการณ์ (สะสมเครดิต) ที่จะเป็นประโยชน์ในการเรียนต่อระดับอุดมศึกษา การประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ หรือการมีโอกาสได้เป็นตัวแทนลูกเสือไทยเข้าร่วมโครงการของสำนักงานลูกเสือในเวทีระดับนานาชาติในอนาคต

“ขณะเดียวกัน สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ และกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะจัดให้มีการนิเทศการฝึกประสบการณ์ของลูกเสือมัคคุเทศก์ในทุกจังหวัดนำร่อง เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์ผลการประเมิน นำไปสู่การปรับปรุง แก้ไข และพัฒนาหลักสูตรให้ดียิ่งขึ้น พร้อมใช้เป็นต้นแบบในการขยายผลการฝึกอบรมลูกเสือมัคคุเทศก์ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศต่อไป” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว

คกก.ควบคุมโรคติดต่อเห็นชอบยกระดับด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ

People Unity : คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบประกาศกระทรวงสาธารณสุข ยกระดับการป้องกันควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ เพิ่มคณะทำงานโรคติดต่อ ลดและเพิ่มโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อไม่ให้เข้าประเทศ

วันที่ 24 ต.ค.2562 ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ครั้งที่ 2/2562 ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ในการดำเนินการที่ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันควบคุมโรคติดต่อไม่ให้เข้าสู่ประเทศ จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….เห็นชอบให้ยกระดับการป้องกันควบคุมโรค ณ “จุดผ่านแดนถาวรบ้านฮวก” อ.ภูซาง จ.พะเยา ให้เป็น “ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศพรมแดนบ้านฮวก” ซึ่งปัจจุบันมีด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศจำนวนทั้งสิ้น 68 ด่าน

นายแพทย์สุขุม กล่าวต่อว่า สำหรับ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เรื่อง การเพิ่มเติมผู้แทนจากหน่วยงานของรัฐในคณะทำงานประจำช่องทางเข้าออก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เห็นชอบให้เพิ่มเติมผู้แทนจากหน่วยงานของรัฐในคณะทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานประจำช่องทางเข้าออกประเทศใน 5 ช่องทาง พื้นที่ จ.สงขลา ได้แก่ ด่านท่าเรือสงขลา ด่านพรมแดนสะเดา ด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ ด่านพรมแดนบ้านประกอบ และท่าอากาศยานหาดใหญ่

นอกจากนี้ ได้เห็นชอบ (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อและอาการสำคัญของโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. โดยเพิ่ม 2 โรค คือ โรคพยาธิใบไม้ตับ และการติดเชื้อในโรงพยาบาล และตัดรายชื่อ 4 โรคออกจากโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ พยาธิทริโคโมแนสของระบบสืบพันธุ์และทางเดินปัสสาวะ, โลนที่อวัยวะเพศ, หูดข้าวสุก และโรคบิด ทำให้ขณะนี้มีโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังทั้งสิ้น 55 โรค

กรมสุขภาพจิตยกหลักธรรม “สติ-อภัยทาน” ผู้ขับขี่บนท้องถนน

People Unity : กรมสุขภาพจิต แนะวิธีการป้องกันความรุนแรงที่เหมาะสมที่ควรทำในการขับขี่ยานพาหนะ คือ 1. เผื่อเวลาก่อนออกเดินทาง 2. ตั้งสติก่อนสตาร์ท เตรียมกาย-ใจให้พร้อม 3. สร้างบรรยากาศดีๆ 4. อย่าคาดหวังในการปรับพฤติกรรมผู้อื่น และ 5. เป็นคนใจดีบนท้องถนน

วันที่ 24 ต.ค.2562 นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ในปัจจุบันการเดินทางบนท้องถนนเป็นเรื่องที่เครียดสำหรับใครหลายๆ คน เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลานานอยู่บนท้องถนนที่มีการจราจรติดขัด เกิดมลภาวะ และมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่ค่อยเคารพกฏจราจรและขับขี่อันตราย ความเครียดต่างๆ เหล่านี้ อาจก่อให้เกิดการกระทบกระทั่งบนท้องถนนได้บ่อยครั้ง ซึ่งการบันดาลโทสะบนท้องถนน หรือ road rage มักพบได้ตั้งแต่การแสดงภาษากาย การแสดงความรุนแรงทางวาจา การทะเลาะวิวาททางกายภาพ หรือแม้แต่การใช้อาวุธทำร้ายร่างกายกัน โดยส่วนมากมักจะเริ่มจากความรุนแรงเล็กๆ และขยายตัวเป็นความรุนแรงที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ การทะเลาะกับคนแปลกหน้าบนท้องถนนเล็กน้อยอาจนำไปสู่ปัญหาที่เป็นคดีความทางอาญาได้หากไม่มีวิธีการป้องกันที่ดี

อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า การป้องกันความรุนแรงที่เหมาะสมที่ควรทำในการขับขี่ยานพาหนะบนท้องถนน มีดังนี้ 1. เผื่อเวลาก่อนออกเดินทาง เพราะเส้นทางอาจมีการจราจรติดขัดหรือมีอุบัติเหตุ การเผื่อเวลาจะทำให้เราไม่ร้อนรนในการขับขี่ 2. ตั้งสติก่อนสตาร์ท ให้มีสติรู้ตัวเสมอว่าตนเองกำลังจะไปไหน มีใครรออยู่ และเตรียมสภาพกายและจิตใจให้พร้อมก่อนการขับขี่ยานพาหนะ โดยดูว่ามีความพร้อมหรือไม่ 3. สร้างบรรยากาศ โดยการเปิดเพลงที่ชอบและร้องตาม หรือพูดคุยเรื่องดีๆ กับคนที่โดยสารมาด้วย 4. อย่าคาดหวัง เพราะเราอาจต้องพบเจอผู้คนที่มีมารยาทบนท้องถนนแตกต่างกัน จึงไม่ควรคาดหวังว่า เราจะปรับพฤติกรรมของคนอื่นได้ ควรมองการขับขี่ถูกต้องและปลอดภัยของตนเองเป็นหลัก และ 5. เป็นคนใจดีบนท้องถนน โดยขับขี่เคารพกฏจราจร แบ่งปันน้ำใจต่อผู้ร่วมเส้นทาง ให้อภัย ไม่เก็บเอาความรุนแรงจากคนอื่นมาใส่ใจ ไม่มองถนนเป็นสนามแข่งที่ต้องมาเอาชนะกัน เน้นการเดินทางถึงเป้าหมายอย่างปลอดภัยพร้อมรอยยิ้ม

ทั้งนี้ จากการที่มีการกล่าวอ้างถึงปัญหาความรุนแรงบนท้องถนนกับอาการป่วยทางด้านสุขภาพจิตของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในหลายๆ เหตุการณ์ สังคมไทยควรทำความเข้าใจว่า แม้การมีปัญหาด้านสุขภาพจิตควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด และปัญหาด้านสุขภาพจิตบางกลุ่มโรค เช่น โรคทางอารมณ์ โรควิตกกังวล ที่อาจทำให้มีอารมณ์แปรปรวนง่าย เศร้าเสียใจ หรือหงุดหงิดได้ง่ายกว่าปกติ อาจจะทำให้ผู้ป่วยควบคุมอารมณ์ได้ยากก็ตาม แต่พฤติกรรมหรือการกระทำที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นล้วนเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคล ทุกคนมีสิทธิเลือกวิธีตอบสนองอารมณ์ของตัวเองภายใต้ความรับผิดชอบของตัวเอง ดังนั้นปัญหาสุขภาพจิตจึงไม่ควรถูกยกมาเป็นคำอธิบายในการกระทำไม่ดีต่อผู้อื่นหรือกระทำไม่ดีกับสังคม เพราะจะทำให้สังคมมองภาพลักษณ์ผู้ป่วยจิตเวชในแง่ลบ โดยขอฝากทิ้งท้ายว่า “สังคมไทยควรเรียนรู้ที่จะยืนหยัดในการทำสิ่งที่ถูกต้อง ไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้ที่จะให้อภัย” อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว

แพทย์เตือนนอนกรนเสียงดังเป็นประจำเสี่ยงหยุดหายใจขณะหลับ

People Unity : กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคทรวงอก เตือนนอนกรนเสียงดังเป็นประจำ ง่วงนอนมากผิดปกติ ในเวลากลางวัน หงุดหงิดง่าย อย่าละเลยอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับโดยไม่รู้ตัว

วันที่ 24 ตุลาคม 2562 นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea, OSA) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเนื่องจากการยุบตัวของทางเดินหายใจส่วนต้น ทำให้ขณะหลับร่างกายจะเกิดภาวะขาดออกซิเจนเป็นช่วงๆ การนอนหลับจะขาดตอน ส่งผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้เกิดอาการง่วงนอนมากผิดปกติในเวลากลางวัน เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุขณะขับรถ และเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคอ้วนลงพุง ภาวะนี้สามารถพบได้ในคนทุกวัย โดยผู้ใหญ่จะพบว่าเกิดกับเพศชายมากกว่าเพศหญิง คนในวัยทองและคนอ้วน และอาจพบในเด็กที่มีต่อมทอนซิลและอดีนอยด์โต มีปัญหาโครงสร้างใบหน้า หรือเด็กที่อ้วน

นายแพทย์เอนก กนกศิลป์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สัญญาณเตือนที่เสี่ยงอาจทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น คือ การนอนกรนเสียงดังเป็นประจำ ญาติสามารถสังเกตได้ ในขณะนอนหลับอาจหยุดหายใจหรืออาจหายใจแรง เสียงดังเป็นพักๆ สลับนิ่งเงียบ หายใจเฮือกเหมือนสำลักน้ำลาย บางครั้งตื่นมารู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ง่วงนอนมากผิดปกติในเวลากลางวัน ไม่มีสมาธิในการทำงาน ขี้ลืม หงุดหงิดง่าย วิตกจริตหรือซึมเศร้า สำหรับการรักษาภาวะดังกล่าวขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรค โดยแบ่งเป็น

1.การรักษาด้วยเครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (CPAP) เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูง ถือเป็นมาตรฐานในการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น 2.การใส่ทันตอุปกรณ์ โดยทันตแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาให้เหมาะสมในแต่ละรายซึ่งจะได้ผลดีในผู้ป่วยที่มีระดับความรุนแรงของโรคเล็กน้อยถึง ปานกลาง 3.การผ่าตัด ในกรณีผู้ป่วยที่มีความรุนแรงของโรคระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ร่วมกับมีโครงสร้างทางเดินหายใจส่วนต้นผิดปกติ

ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น สามารถปฏิบัติตนโดยการคุมอาหารและลดน้ำหนักในรายที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ หลีกเลี่ยงการนอนหงาย พยายามนอนตะแคง ไม่ควรรับประทานยานอนหลับเพราะยาจะกดการหายใจ ทำให้ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นเป็นมากขึ้น ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 4 ชั่วโมงก่อนนอนเพราะแอลกอฮอล์จะทำให้รูปแบบการนอนหลับไม่ต่อเนื่อง และไม่ควรขับรถขณะง่วงนอน เนื่องจากอาจหลับในสามารถทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ทั้งนี้หากพบว่ามีสัญญาณเตือนว่าคุณอาจมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น ควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ เพื่อเข้ารับการตรวจการนอนหลับวินิจฉัยและหาแนวทางการรักษาต่อไป

แพทย์เตือนโรคเอ็มเอสแขนขาอ่อนแรงภัยเงียบใหม่วัยทำงาน

People Unity : กรมการแพทย์ โดยสถาบันประสาทวิทยา เตือนคนวัยทำงานหรือวัยหนุ่มสาว ระวังภัยโรคเอ็มเอส ทำให้แขนขาอ่อนแรง ชาตามบริเวณต่างๆ ของร่างกาย มีปัญหาในการเดิน การทรงตัว ตามัวมองไม่เห็น

วันที่ 24 ตุลาคม 2562 นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคมัลติเพิลสเคอโรสิส หรือโรคเอ็มเอส คือโรคที่เกิดจากการอักเสบของปลอกหุ้มเส้นประสาทในสมองและไขสันหลัง สาเหตุของการเกิดโรคยังไม่แน่ชัด จากข้อมูลพบว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน เช่น ความไม่สมดุลของภูมิคุ้มกัน การติดเชื้อไวรัสบางชนิด โรคนี้พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายและในช่วงวัยทำงาน อายุเฉลี่ยประมาณ 20-40 ปี โดยผู้ป่วยจะมีอาการกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง ตามองไม่เห็นหรือมองภาพซ้อน ปัญหาเกี่ยวกับการกลืน การออกเสียง สะอึก ปวดแสบร้อน หรือคล้ายไฟช็อต การทรงตัวที่ผิดปกติ ภาวะเมื่อยล้า ปัญหาด้านความจำ อารมณ์ ความคิด และการควบคุมการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ เป็นต้น

แพทย์หญิงทัศนีย์ ตันติฤทธิ์ศักดิ์ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ สถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคเอ็มเอส ไม่ใช่โรคติดต่อ ผู้ป่วยแต่ละคนจะแสดงอาการแตกต่างกัน บางคนเป็นหนัก บางคนแสดงอาการเป็นครั้งคราว และไม่สามารถคาดเดา การเกิดอาการได้จึงส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก วิธีการรักษาปัจจุบันยังไม่มีการรักษาแบบให้หายขาด แต่เป็นการรักษาเพื่อฟื้นฟูร่างกายและควบคุมอาการไม่ให้แย่ลง โดยแบ่งออกเป็น 2 วิธีคือ1. รักษาด้วยยา ตามอาการของผู้ป่วย จะเป็นยาที่บรรเทาอาการอักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้ปวด เป็นต้น 2. การบำบัด โดยยึดเส้นและออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงลดการสั่น และเพิ่มประสิทธิภาพในการทรงตัว โดยออกกำลังกายที่ไม่หนักมาก รวมทั้งยังเป็นการช่วยยืดเส้นอีกด้วย ผู้ป่วยเป็นโรคเอ็มเอสควรปฏิบัติตัวดังนี้ งดสูบบุหรี่ ลดการดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น เดิน ว่ายน้ำ ยืดกล้ามเนื้อ เป็นต้น รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รับประทานผักผลไม้ที่มีเส้นใยช่วยในการขับถ่าย หลีกเลี่ยงความเครียด อย่างไรก็ตามโรคเอ็มเอส เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ควรหมั่นสังเกตร่างกายของตนเอง หากมีความผิดปกติเกิดขึ้น ควรรีบมาพบแพทย์ทันที เพื่อจะได้รีบรักษาได้อย่างทันท่วงที

Verified by ExactMetrics