วันที่ 9 พฤษภาคม 2024

“อนุทิน” เดินหน้า นโยบายน้ำประปาดื่มได้ มุ่งลดภาระค่าใช้จ่าย ปชช.

People Unity News : 15 พฤศจิกายน 2566 การประปาส่วนภูมิภาค – “อนุทิน” เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายน้ำประปาดื่มได้ มุ่งลดภาระค่าใช้จ่าย ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงมหาดไทย ตรวจเยี่ยมการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สำนักงานใหญ่ กรุงเทพมหานคร พร้อมมอบหมายภารกิจและนโยบายการดำเนินงานให้แก่การประปาส่วนภูมิภาค โดยให้พัฒนาระบบสาธารณูปโภคด้านน้ำประปา ให้น้ำประปาในทุกพื้นที่มีความสะอาด มีมาตรฐานที่สามารถใช้สำหรับการอุปโภคและบริโภค (ดื่ม) ตามนโยบายน้ำประปาดื่มได้ ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักที่กระทรวงมหาดไทยให้ความสำคัญ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่าย และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน  โดยให้ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันจัดหาแหล่งน้ำดิบ และให้เร่งทำการศึกษาวิธีการใช้น้ำจากเขื่อนรัชชประภา (เขื่อนเชี่ยวหลาน) โดยให้ศึกษาความเป็นไปได้ในการเดินท่อเพื่อนำน้ำไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่หลายจังหวัดทางภาคใต้ ทั้งทางฝั่งอันดามัน และฝั่งอ่าวไทย ให้มีแหล่งน้ำที่สามารถใช้ประโยชน์ได้เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงทางสาธารณูปโภค ให้นักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่มีความมั่นใจและมีความสะดวกสบายในทุกมิติ ซึ่งจะส่งผลให้สามารถเพิ่มรายได้สู่ชุมชนได้จากหลายภาคส่วนด้วย

นอกจากนี้ กปภ. ได้ตอบรับนโยบายตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการขยายเวลาชำระค่าน้ำประปา เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีรายได้น้อยที่มีค่าน้ำประปาคงค้างไม่เกิน 150 บาท/เดือน ให้สามารถค้างชำระค่าน้ำประปาได้ 3 เดือน รวมเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 450 บาท จากเงื่อนไขเดิมที่สามารถค้างชำระค่าน้ำประปาได้เพียง 2 เดือน โดยจะเริ่มดำเนินการในเดือนพฤศจิกายนนี้ – มกราคม ปี 2567

Advertisement

นิด้าโพล เผยคนไทยส่วนใหญ่เป็น “สายมู”

People Unity News : 12 พฤศจิกายน 2566 “นิด้าโพล” เผยคนไทยส่วนใหญ่เป็น “สายมู” ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำพิธีกรรม เชื่อเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ ขอพรเรื่องสุขภาพเป็นอันดับต้นๆ รองลงมาคือ การเงิน-การงาน

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เปิดเผยผลสำรวจประชาชน หัวข้อเรื่อง “เป็นสายมู หรือเปล่า!” โดยทำการสำรวจประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธ อายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 7-10 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

จากการสำรวจเมื่อถามประชาชนถึง สิ่งที่ขอพรจากการกราบไหว้ บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 51.30 ระบุว่า มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไร้โรคภัยไข้เจ็บ หรือให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ รองลงมา ร้อยละ 46.56 ระบุว่า ด้านการเงิน โชคลาภ ร้อยละ 32.06 ระบุว่า ด้านหน้าที่ การงาน

เมื่อถามถึง ความสมหวังจากการขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ร้อยละ 40.45 ระบุว่า ไม่เคยสนใจว่าสมหวังหรือไม่ 38.50 เคยได้ตามสมหวัง 20.96 ไม่เคยสมหวังเเลย

เมื่อถามถึงความมั่นใจว่าจะสมหวังจากการขอพร ร้อยละ 44.81 ค่อนข้างมั่นใจ ร้อยละ 29.11 มั่นใจมาก  ร้อยละ 20.76 ไม่ค่อยมั่นใจ ร้อยละ 5.32 ไม่มั่นใจเลย

เมื่อถามถึงการกราบไหว้ บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิอื่นๆ นอกเหนือจากพระรัตนตรัย ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 48.95 ระบุว่า มีการกราบไหว้บ้างตามโอกาส ร้อยละ 34.93 ไม่ได้กราบไหว้ ร้อยละ 9.23 มีการกราบไหว้เป็นประจำ

ส่วนความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ ร้อยละ 44.92 ค่อนข้างเชื่อ เรื่องการทำพิธีกรรม บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอพร ร้อยละ 44.66 ค่อนข้างเชื่อเรื่องพิธีกรรมบนบานศาลกล่าวและแก้บนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ร้อยละ 43.31 ค่อนข้างเชื่อ เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องของขลัง ร้อยละ 41.18 ค่อนข้างเชื่อ เรื่องผี สิ่งลี้ลับ ร้อยละ 37.88 ค่อนข้างเชื่อเรื่องการทำพิธีกรรม สะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา แก้ปีชง ร้อยละ 35.25 ค่อนข้างเชื่อเรื่องโหราศาสตร์ การดูดวง ร้อยละ 32.88 มีทั้งเชื่อและไม่ชื่อ การทำพิธีเสริมดวง ร้อยละ 32.71 ไม่ค่อยเชื่อ เรื่องไสยศาสตร์ ร้อยละ 33.56 ไม่ค่อยเชื่อความศักดิ์สิทธิ์การสักยันต์

ขณะที่หัวข้อ การเป็น ”คนสายมู” ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 43.59 ระบุว่า ไม่เป็น ”คนสายมู” แน่นอน ร้อยละ 27.79 ไม่ค่อยเป็น ”คนสายมู” ร้อยละ 21.53 ค่อนข้างเป็น และร้อยละ 6.64 เป็นแน่นอน

Advertisement

พบ คนพิการยังเผชิญความยากลำบากในการใช้ชีวิต

People Unity News : 10 พฤศจิกายน 2566 กสม. – กสม. ส่งสาร วันคนพิการแห่งชาติ พบ คนพิการยังเผชิญความยากลำบากในการใช้ชีวิต  ระบบขนส่งไม่เอื้ออำนวย การจ้างงานน้อย เบี้ยคนพิการไม่เพียงพอ

เนื่องในโอกาสที่ทุกวันเสาร์ที่สองของเดือนพฤศจิกายน  เป็นวัน “คนพิการแห่งชาติ”  ซึ่งในปี 2566 นี้ ตรงกับวันที่ 11 พฤศจิกายน  กรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ขอรณรงค์ให้ทุกภาคส่วน ร่วมกันตระหนักถึงการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของคนพิการ โดยสนับสนุนให้หน่วยงานของรัฐและสถานประกอบการ ซึ่งมีผู้ปฏิบัติงานตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป จ้างงานคนพิการ  ตามที่กฎหมายกำหนด และปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางกายภาพ การขนส่งสาธารณะ และระบบอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงบริการธุรกรรมทางการเงินสำหรับคนพิการให้มีความก้าวหน้าขึ้น   ตลอดจนแก้ไขปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ อาทิ พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนและมีรายละเอียดที่ครอบคลุมความหลากหลายของคนพิการทุกกลุ่มทั้งสตรีและเด็กพิการ ทั้งนี้ เพื่อให้คนพิการทุกประเภทดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างสมบูรณ์    และมีประสิทธิภาพในทุกด้านของการดำเนินชีวิต  มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อันถือเป็นการเคารพในศักดิ์ศรีที่มีมาแต่กำเนิดและเป็นการไม่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งความพิการ

ทั้งนี้รัฐธรรมนูญ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ และพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ  บัญญัติรับรองความเท่าเทียมและการไม่เลือกปฏิบัติ   ด้วยเหตุแห่งความพิการ  การเคารพศักดิ์ศรีที่มีมาแต่กำเนิด รวมทั้งการมีส่วนร่วมของคนพิการอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพในสังคม โดยคนพิการจะต้องได้รับการปฏิบัติจากบุคคล องค์กรเอกชน และหน่วยงานของรัฐอย่างเป็นธรรม การออกกฎหมาย ระเบียบ นโยบาย มาตรการ หรือคำสั่งใดๆ ในทางที่จะเป็นการเลือกปฏิบัติทางตรงหรือทางอ้อมต่อคนพิการจะกระทำไม่ได้

ที่ผ่านมา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติต่อคนพิการ   และได้ติดตามสถานการณ์ด้านสิทธิของคนพิการในช่วงปีที่ผ่านมา  พบว่า คนพิการยังต้องเผชิญความยากลำบากในการใช้ชีวิตหลายประการ เช่น มีอุปสรรคในการเดินทาง เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางกายภาพและการขนส่งสาธารณะไม่เอื้ออำนวย คนพิการทางการเห็น ประสบปัญหาการเข้าถึงและใช้งานแอปพลิเคชั่นธนาคาร (mobile banking)

หน่วยงานของรัฐยังจ้างงานคนพิการในสัดส่วนที่น้อยมาก เนื่องจากปัญหากรอบอัตรากำลังไม่เพียงพอ และอาคารของส่วนราชการ โดยเฉพาะในส่วนภูมิภาคไม่สามารถปรับปรุงให้เอื้ออำนวยต่อการจัดสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อการปฏิบัติงานของผู้พิการได้ เช่น ทางลาด ห้องน้ำ และลิฟต์  นอกจากนี้ เบี้ยคนพิการจำนวน 800 บาท ต่อเดือน ยังไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตและการดูแลสุขอนามัยของคนพิการด้วย

Advertisement

เตือนอย่าหลงเชื่อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพิ่มเซลล์ภูมิคุ้มกันผู้ที่ติดเชื้อ HIV

People Unity News : 9 พฤศจิกายน 2566 กรมควบคุมโรค เตือนอย่าหลงเชื่อผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เพิ่มเซลล์ภูมิคุ้มกันซีดี 4 ในผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี เน้นย้ำเอชไอวีรักษาเร็วด้วยยาต้านไวรัส รักษาฟรี ทุกสิทธิการรักษา

นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า แนวทางการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีในปัจจุบัน คือ การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเท่านั้น เนื่องจากเป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลดีที่สุด ยาต้านไวรัสจะไปทำการยับยั้งการแบ่งตัวและยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อเอชไอวี ถ้าหยุดกินยาเมื่อไหร่ จะทำให้เชื้อเอชไอวีแบ่งตัวเพิ่มจำนวน ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลงและมีโอกาสป่วยได้ จึงแจ้งเตือนว่าอย่าหลงเชื่อตามที่มีโฆษณา อ้างผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เพิ่มเซลล์ภูมิคุ้มกันซีดี 4 ในผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี และรักษาการติดเชื้อเอชไอวีได้ เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยัน อีกทั้ง การรักษาการติดเชื้อเอชไอวีต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ซึ่งประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ การรักษาด้วยยาต้านไวรัส และการดูแลรักษาด้านอื่น ๆ ที่จำเป็นเฉพาะสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีแต่ละราย ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จำเป็นต้องทำควบคู่กัน เพื่อให้เกิดผลดีที่สุดต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี

นพ.ธงชัย กล่าวต่ออีกว่า การกินยาต้านไวรัสตรงเวลาทุกวัน ต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ จะลดปริมาณไวรัสในเลือดและเพิ่มเซลล์ภูมิคุ้มกันซีดี 4 ซึ่งระดับเซลล์ภูมิคุ้มกันซีดี 4 ที่เกิน 200 เซลล์/ลบ.มม. เพียงพอในการป้องกันการเจ็บป่วยจากโรคฉวยโอกาสได้ นอกจากนี้ คนไทยทุกคนสามารถตรวจเอชไอวี ฟรีปีละ 2 ครั้ง ที่โรงพยาบาลภายใต้หลักประกันสุขภาพแห่งชาติทั่วประเทศ รักษาฟรี ครอบคลุมทุกสิทธิการรักษา ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้มีความเสี่ยงจะได้รับการตรวจ เพื่อทราบสถานะการติดเชื้อของตนเอง และเข้าสู่กระบวนการรักษาที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์อย่างรวดเร็ว นำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดี และใช้ชีวิตได้อย่างปกติต่อไป

Advertisement

กรมอนามัย เตือนวัยรุ่น Safe Sex หลังพบวัยรุ่นติดเชื้อ HIV สูงขึ้น

People Unity News :  7 พฤศจิกายน 2566 กรมอนามัย เตือนวัยรุ่นให้มีสติ รู้จักป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เมื่อมีเพศสัมพันธ์ หลังพบวัยรุ่นมีแนวโน้มติดเชื้อเอชไอวีมากขึ้น แนะวิธีปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดความเสี่ยงสำหรับวัยรุ่น พร้อมทั้งให้ครอบครัวสามารถเป็นที่ปรึกษาได้

แพทย์หญิงอัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มเยาวชน จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค โดยในปี 2565 คาดประมาณผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ 9,230 คน ซึ่งเกือบครึ่งเป็นกลุ่มอายุ 15-24 ปี สร้างความกังวลให้ประชาชนและสังคม และอาจส่งผลในอนาคต กรมอนามัยได้ดำเนินการสร้างความรอบรู้ด้านเพศสำหรับเยาวชน “รักเป็น ปลอดภัย” ด้วย 4 แนวทาง ดังนี้ 1.Safe Virgin มีเพศสัมพันธ์เมื่อพร้อม 2.Safe Sex หากจะมีเพศสัมพันธ์ ตนเองต้องปลอดภัย ใส่ถุงยางอนามัยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 3.Safe Abortion หากพลาดตั้งครรภ์ไม่พร้อม ปรึกษาหน่วยบริการฯ เพื่อรับคำปรึกษา และ 4.Safe Mom ฝากครรภ์คุณภาพ เพื่อลูกเกิดรอด แม่ปลอดภัย

ทางด้าน นายแพทย์เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวเพิ่มเติมว่า วัยรุ่นไทยควรรู้จักรักให้เป็น รักให้ปลอดภัย รู้วิธีการดูแลเพื่อป้องกันตนเองและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ด้วยการให้เกียรติและเคารพทุกเพศ ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกันสองต่อสองในที่ลับตาคน และมีสติอยู่เสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอารมณ์ทางเพศ ซึ่งจะนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ตั้งใจ หรือหากจะมีเพศสัมพันธ์ต้องรู้จักวิธีป้องกันการตั้งครรภ์และการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อลดความเสี่ยง ไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ และจะป้องกันได้ดีที่สุด ถ้าใช้ถุงยางอนามัยร่วมกับวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น ยาฝังคุมกำเนิดหรือห่วงคุมกำเนิด กรมอนามัยแนะนำการปฏิเสธโดยใช้ประโยค “ไม่…ถ้าฉันท้องแล้วเธอจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ยังไง?” เพราะการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ปฏิเสธได้ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ท้องไม่พร้อม หรือ ติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จะเกิดผลเสียระยะยาวในอนาคตทั้ง 2 ฝ่าย สำหรับพ่อแม่ ผู้ปกครองควรเป็นที่พึ่งให้กับลูกหลาน เปิดโอกาสให้ลูกรู้ว่าเขาสามารถพูดคุยกับพ่อแม่ได้ทุกเรื่อง ไม่ต้องกังวล หากไม่สามารถตอบคำถามลูกได้ทุกคำถาม ให้ความสำคัญกับวิธีการโต้ตอบ ให้ลูกรู้ว่าเขาสามารถพูดคุยกับพ่อแม่ได้ทุกเรื่อง และมีทางออกที่เหมาะสม

ทั้งนี้ กรมอนามัยมีการส่งเสริมความรอบรู้ด้านอนามัยวัยรุ่นและวัยเจริญพันธุ์ ผ่าน Line OA teen club เช่น ด้านเพศวิถีศึกษาและทักษะชีวิต การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น การคุมกำเนิดในวัยรุ่น สามารถเข้ารับคำปรึกษา เรียนรู้สร้างความรอบรู้ด้านเพศศึกษา และทักษะชีวิต โดย Add Line ได้ที่ @Teenclub

Advertisement

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคขยายเวลางดจ่ายไฟฟ้า ผู้มียอดใช้ไม่เกิน 300 บาท/เดือน

People Unity News : 4 พฤศจิกายน 2566 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ดำเนินการตามนโยบายกระทรวงมหาดไทย ที่มีมาตรการให้ลดภาระและบรรเทาค่าใช้จ่ายในครัวเรือนแก่กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย ยอดใช้ไม่เกิน 300 บาทต่อเดือน ยืดจ่าย 3 เดือน

PEA แจ้งว่าจะมีประชาชนที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายนี้กว่า 6 ล้านราย โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย ที่มียอดการใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 บาทต่อเดือน 2. PEA ขยายระยะเวลาการงดจ่ายไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 3 บิลเดือน และ 3.ระยะเวลาตั้งแต่บิลค่าไฟฟ้าประจำเดือน พฤศจิกายน 2566 – พฤศจิกายน 2567

ทั้งนี้ ผู้ใช้ไฟฟ้าที่มียอดค้างชำระก่อนบิลเดือนพฤศจิกายน 2566 จะเป็นไปตามมาตรการเดิมของ PEA ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข 1129 PEA Contact Center ตลอด 24 ชั่วโมง

Advertisement

สถานบันเทิงเตรียมยิ้ม มท.1 ชง ครม.เปิดตี 4 15 ธ.ค.นี้

People Unity News : 30 ตุลาคม 2566 มท.1 มอบนโยบายกรมการปกครอง ย้ำบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน จ่อออกกฎหมายคุมปืนระบุตัวตนเจ้าของทุกกระบอก ไม่เว้น จนท.รัฐ เตรียมชง ครม. เห็นชอบเปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 ภายใน 15 ธ.ค.นี้

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายเกรียง กัลป์ตินันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมคณะตรวจเยี่ยมกรมการปกครองและหน่วยงานในสังกัด พร้อมมอบนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดกรมการปกครอง สังกัดกระทรวงมหาดไทย โดยมีผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง ให้การต้อนรับ

ภายหลังเสร็จสิ้นการมอบนโยบาย นายอนุทิน ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ได้มามอบนโยบายให้กรมการปกครอง และรับฟังสรุปนโยบายของกรมการปกครอง โดยเน้นเรื่องการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข พี่น้องประชาชนให้คุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคนดีขึ้น เช่น การจัดระเบียบสังคม การปราบปรามผู้มีอิทธิพล การควบคุมอาวุธปืน การให้ความช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานในอิสราเอล ฯลฯ ตามนโยบาย 10 ข้อหลักของกระทรวงมหาดไทยที่เคยประกาศไปก่อนหน้านี้ และนโยบายของรัฐบาล

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำบัญชีรายชื่อปราบปรามผู้มีอิทธิพลว่า ขณะนี้กรมการปกครองมีการติดตามอย่างใกล้ชิด บุคคลแต่ละคนมีความเคลื่อนไหวที่เป็นภัยต่อสังคมหรือทำผิดกฎหมายอย่างไร ทางกระทรวงมหาดไทยทำงานเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลต่างๆ แก่สาธารณะได้ โดยติดตามและใช้กฎหมายควบคุมคนเหล่านี้ ไม่ให้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน คนเหล่านี้มีจำนวนมาก เราต้องทำงานกับภาคส่วนต่างๆ เช่น ตำรวจ ทหาร ช่วยกันปราบปรามเพื่อให้สังคมเกิดความสงบ

ส่วนของความคืบหน้าเรื่องการควบคุมอาวุธปืนและสิ่งเทียมปืน นายอนุทิน กล่าวว่า ขณะนี้มีการขอให้ออกระเบียบ เก็บอาวุธปืนไว้ในที่ปลอดภัย เช่น สนามยิงปืนให้เก็บเอาไว้ในล็อกเกอร์ ผู้ที่อยากทดลองหรือซ้อมยิงปืนก็ให้ไปใช้ในสนามยิงปืน เอาออกมาไม่ได้ จะทำให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้น และในส่วนของการระบุตัวเจ้าของอาวุธปืนนั้น จะมีการบันทึกรอยหัวกระสุนปืนเพื่อยืนยันตัวตนเจ้าของอาวุธปืน ทั้งบุคคลทั่วไปและเจ้าหน้าที่รัฐทุกกระบอก ขณะนี้กำลังจะมีการร่าง พ.ร.บ.เสนอให้คณะรัฐมนตรีและบรรจุเข้าสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

เมื่อถามถึงความคืบหน้านโยบายการอนุญาตให้เปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า จะกำหนดโซนนิ่ง โดยจะเน้นในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต กรุงเทพฯ เป็นต้น ขั้นตอนต่อมาจะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในโซนที่กำหนดไว้ เรากำหนดเดดไลน์ไว้ หากทุกอย่างเรียบร้อย จะออกประกาศเป็นกฎกระทรวง และจะนำเสนอเข้าสู่คณะรัฐมนตรีภายในวันที่ 15 ธันวาคมนี้เพื่อให้สอดคล้องกับช่วงเทศกาลท่องเที่ยว

“ยืนยันว่ามาตรการทั้งหลาย ทำเพื่อผู้มีเจตนาไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะอนุญาตให้เปิดถึงกี่โมงก็แล้วแต่ ขอให้ความร่วมมือกับภาครัฐ ไม่ทำผิดกฎหมาย จะเปิดถึงกี่โมงก็ไม่มีปัญหา สามารถเปลี่ยนปัญหาเป็นโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจ มีรายได้เพิ่มมากขึ้น หากมองในมิตินี้ก็ถือว่าเป็นประโยชน์” นายอนุทิน กล่าว

Advertisement

รัฐบาลเตือนเที่ยวคืนฮาโลวีนอย่างระมัดระวัง

People Unity News : 30 ตุลาคม 2566 ทำเนียบรัฐบาล – โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ห่วงใย ปชช.ทั้งใน ปท.และ ตปท. เที่ยวคืนฮาโลวีนอย่างระมัดระวัง มีสติ เลี่ยงสถานที่แออัด พลุกพล่าน

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นห่วงคนไทยทุกพื้นที่ ในช่วงการเฉลิมฉลองเทศกาลฮาโลวีน และขอให้หลีกเลี่ยงการเฉลิมฉลองในสถานที่แออัด ซึ่งคืนพรุ่งนี้ (31 ต.ค.) เป็นวันฮาโลวีน สถานบันเทิงจะจัดงานเฉลิมฉลอง หน่วยงานต่าง ๆ จึงมีมาตรการคำแนะนำป้องกัน ดูแลความปลอดภัยคนไทย  เช่น ตำรวจท่องเที่ยว ได้ออกคำแนะนำทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ให้กับนักท่องเที่ยว ดังนี้ 1. วางแผนการเดินทางล่วงหน้า เพื่อให้รู้ว่าจะเดินทางไปอยู่ตรงไหน จะได้รู้จักเส้นทางก่อน และควรดูพยากรณ์อากาศด้วย 2. หากเป็นสถานที่ปิด ควรดูทางออกฉุกเฉิน และควรมีเพื่อนไปด้วยอย่างน้อย 1 คน 3. หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด เพื่อป้องกันเรื่องการถูกล้วงกระเป๋าจากมิจฉาชีพ และการไปเบียดเสียดกับคนอื่น 4. ดื่มอย่างมีสติ อย่าทิ้งตัว และดื่มไม่ขับ 5. อย่าลืมปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ หรือมาตรการรักษาความปลอดภัยของสถานที่นั้น ๆ หากมีเหตุฉุกเฉิน สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน หมายเลข 1155 ตำรวจท่องเที่ยว

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า สถานที่หลัก ๆ ที่มีคนจำนวนมากและมีความเป็นห่วงมากก็คือ ถนนข้าวสาร เพราะมีลักษณะของพื้นที่คล้ายกับอิแทวอน สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุโศกนาฎกรรมเมื่อปีที่แล้ว  ขณะที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ได้ออกประกาศ เรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยสำหรับคนไทยในสาธารณรัฐเกาหลี โดยขอให้คนไทยในสาธารณรัฐเกาหลีระมัดระวังการเข้าไปในสถานที่ที่คนพลุกพล่าน พยายามหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมเฉลิมฉลองในเทศกาล ฮาโลวีน ที่อาจจัดขึ้นในสถานที่ต่าง ๆของสาธารณรัฐเกาหลีในปีนี้

นายชัย กล่าวว่า หากจะเข้าร่วมงาน ก็ขอให้ระมัดระวังในการไปรวมตัวยังสถานที่ที่มีผู้คนแออัด หรือมีฝูงชนเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมากที่อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้ เช่น การล้มทับกันของฝูงชนที่เบียดเสียดกัน ทั้งนี้ หากรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย ก็ขอให้รีบหาทางหลบออกมาจากสถานที่ดังกล่าวโดยเร็ว หากคนไทยต้องการความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายกงสุลของสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโซล เบอร์โทรศัพท์ +82 10-6747-0095 หรือ +82 10-3099-2955

“นายกรัฐมนตรี ห่วงใยคนไทยที่ต้องการเข้าร่วมช่วงการเฉลิมฉลอง ขอให้เที่ยวอย่างมีสติ เตรียมการเดินทาง เข้าร่วมกิจกรรม อย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงบริเวณแออัด พื้นที่คนพลุกพล่าน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุไม่คาดฝัน” นายชัย กล่าว

Advertisement

กทม.พร้อมขานรับนโยบายรัฐบาลเปิดสถานบันเทิงถึงตี 4

People Unity News : 16 ตุลาคม 2566 กทม.พร้อมขานรับนโยบายรัฐบาล ขยายเวลาเปิด-ปิดสถานบันเทิง ในพื้นที่กรุงเทพฯ ถึงเวลา 04.00 น. เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงความพร้อมในการขยายเวลาเปิด-ปิดสถานบันเทิง ถึงเวลา 04.00 น. ในพื้นที่กรุงเทพฯ ตามนโยบายของรัฐบาล ว่า กทม.ไม่ขัดข้องในนโยบายดังกล่าว โดยก่อนหน้านี้ได้หารือกับทางคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟพาวเวอร์แห่งชาติ เรื่อง Soft Power ที่เสนอความคิดร่วมกันที่จะทำให้เรื่องดังกล่าวชัดเจนและก็มีมาตรการรองรับในการป้องกันไม่ให้เยาวชนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งในปัจจุบันยังเห็นผับที่เปิดเกินเวลาอยู่บ้างถ้าทุกคนออกมาร่วมกันทำให้ถูกกฎหมายและทำให้มีระเบียบในการเข้า-ออกให้ชัดเจน ทางส่วนของกทม. ก็ไม่น่าจะมีข้อขัดข้องอันใดและคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี

ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวด้วยว่า ในการปฏิบัติอาจจะต้องปรับปรุงการแบ่งโซน ให้เหมาะสมกับปัจจุบัน เนื่องจากไม่ค่อยทันสมัยตามการขับเคลื่อนของเมืองที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ โดยต้องหารือกับทางตำรวจอีกทางหนึ่ง เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังสร้างความรำคาญให้ผู้อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียง โดยต้องมีกรอบในการปฏิบัติให้ชัดเจน รวมถึงในแง่ของการกำกับดูแลไม่ให้เยาวชนเข้าสถานบันเทิงและการทำผิดกฎหมายในเรื่องยาเสพติดในพื้นที่ ซึ่งเชื่อว่าหากทำให้โปร่งใสและมีระเบียบปฏิบัติชัดเจนย่อมดีกว่าการลักลอบเปิดแบบผิดกฎหมายแน่นอน นอกจากนี้ยังมีผู้ที่เกี่ยวข้องในแง่เศรษฐกิจตรงนี้มากมาย เช่น พ่อค้า แม่ค้าในตลาดที่ขายของและทำอาหาร คนขับรถสาธารณะ เป็นต้น ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางด้วย จึงเป็นสิ่งที่ต้องวิเคราะห์ให้รอบด้านหลายมิติ โดยคาดว่าเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทดลองเปิดสถานบันเทิงจนถึง 04.00 น. คือช่วงเทศกาลปีใหม่ประมาณเดือนธันวาคมนี้

Advertisement

‘อนุทิน’ เผย เปิดผับตี 4 ขอหาข้อมูลให้ชัดเจนก่อน จะไม่เปิดทั่วไป แต่จะทำเป็นโซน

People Unity News : 16 ตุลาคม 2566 ทำเนียบรัฐบาล – ‘อนุทิน’ เผย มหาดไทย เตรียมมาตรการดูแล ‘ความปลอดภัย-ความเรียบร้อย’ นทท. หลังมีนโยบายต่อวีซ่า 90 วันให้รัสเซีย ส่วนขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงต้องดูเป็นโซนไป

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการต่ออายุวีซ่านักท่องเที่ยวชาวรัสเซียระยะเวลา 90 วัน ว่า ทางกระทรวงมหาดไทยจะดูแลเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และต้องมั่นใจว่าเป็นนักท่องเที่ยวจริง ๆ ไม่ใช่อยู่เกินวีซ่ากำหนด

ส่วนเรื่องการขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงถึง 04.00 น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา ยังบอกไม่ได้ว่าจะขยายเวลาไปถึงกี่โมง ต้องดูเป็นพื้นที่ ๆไป หากโซนไหนทำแล้วไม่เกิดผลกระทบกับพี่น้องประชาชน เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจต้องดูกันไป ทางกรมการปกครอง จังหวัดต่าง ๆ กำลังศึกษาอยู่ กระทรวงมหาดไทยก็เป็นส่วนหนึ่ง เมื่อรับนโยบายมาก็ต้องเตรียมข้อมูลไว้ให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา

“พื้นที่นำร่องในการเปิดสถานบันเทิงจะต้องเป็นพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวหนาแน่น ส่วนเวลาในการศึกษาข้อมูล คิดว่าไม่น่าใช้เวลานานมาก ให้สามารถอธิบายกับประชาชนได้ ไม่รู้สึกว่าทำไมตรงนี้ได้ ทำไมตรงนี้ไม่ได้ เราต้องมีเหตุผลที่จะอธิบายให้ชัดเจนได้ เรื่องนี้ต้องทำร่วมกับนโยบายรัฐบาลและกระทรวงท่องเที่ยวด้วย ส่วนประเด็นว่ามหาดไทยวางแผนไว้กี่จังหวัด เป็นเรื่องของรายละเอียด ต้องไปถามคนทำงาน เราให้แนวทางไปแล้ว” นายอนุทิน กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics