วันที่ 3 ธันวาคม 2025

รัฐบาลยืนยันไม่ห้ามจัดงานประเพณี “ลอยกระทง”

2 พฤศจิกายน 2568 รัฐบาลยืนยันไม่ห้ามจัดงานประเพณี “ลอยกระทง” ขอความร่วมมือปรับรูปแบบ ลดกิจกรรมที่มีความรื่นเริง เพื่อแสดงความเคารพในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

นางสาวอัยรินทร์ พ้นธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันพุธ ที่ 5 พฤศจิกายน 2568 ตรงกับเทศกาลลอยกระทง ถือเป็นประเพณีสำคัญของคนไทน ซึ่งได้จัดสืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนาน มีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์ ส่งเสริมประเพณีวัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชุมชนที่เกี่ยวข้องกับสายน้ำให้คงอยู่ และสืบทอดต่อไป ซึ่งในปีนี้พื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย ยังคงจัดงานประเพณีลอยกระทง โดยลดรูปแบบการจัดกิจกรรมที่มีความรื่นเริงลง อาทิ การแสดงดนตรี งานแสดงแสงสีเสียง เน้นจัดงานที่สืบสานประเพณีไทยให้อยู่ในขอบเขต เพื่อแสดงความเคารพในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

นอกจากนี้ รัฐบาลและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ยังได้ปรับรูปแบบการแสดง “วิจิตรเจ้าพระยา 2568” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งกำหนดจัดระหว่างวันที่ 9 พฤศจิกายน – 23 ธันวาคม 2568 ภายใต้แนวคิด “แสงแห่งสยาม แม่ของแผ่นดิน” เพื่อรำลึกถึงพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ เปลี่ยนการแสดงพลุเป็นการแสดงโดรนที่สื่อความอาลัยและเทิดพระเกียรติ ลดโทนแสงสีให้สำรวมยิ่งขึ้น และในช่วงค่ำคืนปีใหม่ จะเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรม “แสงเทียนแห่งแผ่นดิน” จุดเทียนถวายพระราชกุศลเพื่อแสดงความจงรักภักดี โดยทุกกิจกรรมจะจัดขึ้นด้วยความสำรวมและงดงามสมพระเกียรติ

รัฐบาลเชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยว ร่วมเทศกาลลอยกระทงตามสถานที่ต่าง ๆ โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.tourismthailand.org และ www.thailandfestival.org ทั้งนี้ รัฐบาลขอความร่วมมือให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวร่วมแสดงความเคารพในช่วงเวลานี้ เพื่อสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมไทยอย่างมีคุณค่า

Advertisement

รัฐบาลเดินหน้าโครงการ “Green List Plus โปรสู้ฝุ่น ลด PM2.5”

30 ตุลาคม 2568 รัฐบาลเดินหน้าโครงการ “Green List Plus โปรสู้ฝุ่น ลด PM2.5” ผนึกกำลังภาครัฐ-เอกชน ชวนประชาชนตรวจสภาพรถ ลดมลพิษฝุ่นละออง

นางสาวลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกรัฐบาล เผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพอากาศของประเทศ และมอบหมายให้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินหน้าโครงการ “Green List Plus โปรสู้ฝุ่น ลด PM2.5” เพื่อเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการลดการปล่อยฝุ่นจากภาคการขนส่งและยานยนต์ ตามนโยบายรัฐบาลที่ประกาศให้การแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็น “วาระแห่งชาติ”

โดยนายสุชาติ ชมกลิ่น พร้อมด้วย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, นายสุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ, และ นางสาวยุพิน บุญศิริจันทร์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ ซึ่งเป็นการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ เช่น กระทรวงพลังงาน กรมการขนส่งทางบก กองบังคับการตำรวจจราจร กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ร่วมกับภาคเอกชน เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนนำรถยนต์เข้ารับการตรวจสภาพและบำรุงรักษาเครื่องยนต์อย่างถูกต้อง ภายใต้แนวคิด “ตรวจสภาพรถกันสักนิด ลดมลพิษฝุ่นได้”

โครงการ Green List Plus ได้รับความร่วมมือจากผู้ผลิตรถยนต์ 9 แบรนด์ ได้แก่ อีซูซุ มิตซูบิชิ นิสสัน โตโยต้า ฮอนด้า มาสด้า ฮีโน่ ฟอร์ด และซูซูกิ รวมถึงศูนย์บริการน้ำมัน 5 ราย คือ ปตท., บางจาก, เชลล์, พีที และโมบิล และศูนย์บริการ บีควิก รวมกว่า 1,745 แห่งทั่วประเทศ ให้บริการตรวจสภาพรถฟรีกว่า 55 รายการ พร้อมส่วนลดค่าน้ำมันเครื่อง ค่าอะไหล่ และค่าแรงสูงสุดถึง 50% นอกจากนี้ ผู้ที่ลงทะเบียนบัญชีสีเขียว (Green List Plus) กับกรุงเทพมหานคร ยังได้รับสิทธิ์จอดรถฟรีในศูนย์การค้าเซ็นทรัล เดอะมอลล์ และโลตัส รวมถึงบัตรโดยสารรถไฟฟ้า BTS และส่วนลดพิเศษจาก AIS ในการซื้อประกันภัยรถยนต์

รองโฆษกรัฐบาลระบุว่า โครงการนี้สะท้อนความตั้งใจของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างเป็นระบบ ผ่านความร่วมมือของทุกภาคส่วน ตั้งแต่หน่วยงานภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม ไปจนถึงประชาชนในระดับชุมชน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถสร้างอากาศบริสุทธิ์และคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับทุกคนได้อย่างยั่งยืน

Advertisement

รมว.พลังงาน ชี้ “ไฮโดรเจน” คือโอกาสในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero 2050

24 ตุลาคม 2568 “อรรถพล” ชี้ “ไฮโดรเจน” คือโอกาสในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero 2050 พร้อมบรรจุอยู่ในแผน PDP เตรียมประกาศให้ไฮโดรเจนและแอมโมเนียเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ตาม พ.ร.บ.ควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ไฮโดรเจน โอกาสทางเศรษฐกิจและความอยู่รอดของประเทศไทย” ในงานสัมมนาที่จัดขึ้นโดย คณะกรรมาธิการพลังงาน วุฒิสภา โดยระบุว่า “ไฮโดรเจน” เป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกที่สำคัญ ท่ามกลางแรงกดดันจากสถานการณ์โลก ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจพลังงานที่ผันผวน และทิศทางที่มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ที่ทั่วโลกกำลังเร่งดำเนินการ ซึ่งกระทรวงพลังงานได้เน้นย้ำถึงความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะการปรับตัวตามทิศทางโลกที่มุ่งสู่ Net Zero ซึ่งส่งผลให้ไทยต้องปรับเป้าหมายการบรรลุ Net Zero ให้เร็วขึ้นจากเดิมปี ค.ศ. 2065 เป็นปี ค.ศ. 2050

กระทรวงพลังงานจึงได้กำหนดยุทธศาสตร์หลัก 3 ด้าน คือ ความมั่นคงทางพลังงาน การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (ราคาที่เหมาะสม) และการสร้างความยั่งยืน (พลังงานคาร์บอนต่ำ) พร้อมผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ โดยการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดรูปแบบใหม่ เช่น ไฮโดรเจนและแอมโมเนีย และ SMR ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน

สำหรับศักยภาพของไฮโดรเจนนั้น ประเทศไทยมีโอกาสสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการการใช้พลังงานจำนวนมาก นอกจากนั้น แผนพลังงานชาติฉบับร่างได้กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการส่งเสริมไฮโดรเจน โดยแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับร่าง ตั้งเป้าหมายการผสมไฮโดรเจนกับก๊าซธรรมชาติเริ่มต้น 5% ในการผลิตไฟฟ้า เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 2030 ขณะที่แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) ฉบับร่าง ตั้งเป้าใช้ไฮโดรเจนเชิงความร้อนในภาคอุตสาหกรรมที่ 10 KTOE และในภาคขนส่งที่ 4 KTOE ภายในปี ค.ศ. 2037 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างดำเนินการประกาศให้ไฮโดรเจนและแอมโมเนียเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พศ. 2542 รวมทั้งจะดำเนินการจัดทำกลไกและมาตรการสนับสนุนที่ชัดเจน เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อผลิตและขนส่งไฮโดรเจน รวมถึงการจัดมาตรการสนับสนุนด้านการเงินและสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้แก่ภาคเอกชน

“ไฮโดรเจน” เป็นทั้งพลังงานทางเลือก และเป็นโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ให้กับประเทศ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและสร้างความยั่งยืน การขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ในการเป็นศูนย์กลางไฮโดรเจนสีเขียวในอาเซียน และการสร้างความร่วมมือกับนานาชาติ จะทำให้ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำได้อย่างมั่นคงและเป็นธรรม” นายอรรถพล กล่าว

Advertisement

นายกฯ อนุทิน ลั่นใช้ยาแรงปราบสแกมเมอร์เป็นวาระแห่งชาติ ปิดระบบ-ตัดสัญญาณได้ทันที ไม่ต้องรอมติ สมช.

20 ตุลาคม 2568 นายกฯ อนุทิน ประชุม คกก. อำนวยการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีนัดแรก ใช้ยาแรงปราบสแกมเมอร์เป็นวาระแห่งชาติ ปิดระบบ-ตัดสัญญาณได้ทันที ไม่ต้องรอมติ สมช. พร้อมสั่งทุกหน่วยบูรณาการความร่วมมือ เดินหน้าปราบปราม สร้างความเชื่อมั่นให้ประเทศ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 1/2568 โดยมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พลตำรวจโท รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ รองเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. และผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เข้าร่วม

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่านายกรัฐมนตรีได้แถลงผลสรุปการประชุมเพื่อให้ทุกหน่วยได้รับทราบว่า ขณะนี้ปัญหาสแกมเมอร์เป็นปัญหาอาชญากรรมระดับโลก รัฐบาลถือว่าเป็นวาระแห่งชาติ ต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ เพื่อให้ทุกกระทรวง ทุกหน่วยงานได้บูรณาการความร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหานี้ ที่ผ่านมาได้รับทราบว่าแต่ละหน่วยงานทำงานอย่างเต็มที่ มีบันทึกการจับกุม ยึดทรัพย์ ดำเนินคดีผู้ที่กระทำผิด มูลค่าเงินระดับหมื่นล้าน แต่ขาดการประชาสัมพันธ์ เพราะต่างคนก็ต่างทำงาน เพื่อให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนได้สั่งการให้ดำเนินการให้เข้มข้นขึ้น

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า กสทช. ยืนยันว่าสัญญาณที่ส่งไปประเทศเพื่อนบ้านได้ปิดสัญญาณทั้งหมดแล้ว ส่วนไปรับสัญญาณที่ไหนมาเป็นอีกประเด็นที่ต้องขอความร่วมมือกับประเทศต้นทาง ต้องแจ้งเพราะเป็น 1 ใน 4 เงื่อนไขในการเจรจาที่จะต้องดำเนินการตาม โดยย้ำเงื่อนไขสำคัญที่จะต้องทำคือการปราบปรามสแกมเมอร์อย่างเป็นรูปธรรม ในการประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ในวันนี้ ได้มีการหารือถึงการแต่งตั้งอนุกรรมการเพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมการดำเนินการป้องกันและปราบปรามสแกมเมอร์ ซึ่งจะมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไม่เกิน 5 ชุดเพื่อให้เกิดการบูรณาการร่วมกัน โดยเจ้าภาพหลักคือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจะมีการจัดตั้งเป็นคณะอนุกรรมการ ซึ่งแต่ละชุดจะร่วมกันดำเนินการในเรื่องนี้ โดยอธิบดีกรมการปกครองจะไปพิจารณารวบรวมรายชื่อมา เพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวขึ้นมา โดยนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ลงนามด้วยตนเอง

“เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ยืนยันว่า ขณะนี้สามารถตัดระบบหรือปิดสัญญาณที่เป็นการสนับสนุนการกระทำผิดกฎหมาย ไม่ต้องขอมติจาก สมช. อีก เนื่องจากมีมติเดิมครอบคลุมอยู่แล้ว หน่วยงานเจ้าสังกัดสามารถดำเนินการได้ทันที ทั้งการหยุดให้บริการหรือระงับการสนับสนุนในส่วนที่อาจเอื้อให้เกิดการกระทำผิดกฎหมายได้ทันที ซึ่งตรงนี้ถือเป็นยาแรง” นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำ

ส่วนกรณีที่มีกระแสกล่าวอ้างว่ามีนักการเมืองไทยเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าขณะนี้ยังไม่มีการส่งรายชื่อมา และมีการได้ออกมาปฏิเสธแล้ว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มีการเฝ้าระวัง และหากมีข้อมูล หลักฐาน หรือเส้นทางการเงินที่ต้องติดตาม ก็จะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการตรวจสอบอยู่แล้ว

“หากพบว่าบุคคลใดกระทำผิดอย่างชัดเจน และมีหลักฐานยืนยัน จะไม่ละเว้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม โดยจะดำเนินการตามกฎหมายทันที ทั้งนี้ มีผู้กระทำผิดที่ถือสัญชาติไทย และถือสัญชาติอื่นด้วย ซึ่งได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย และอธิบดีกรมการปกครอง ดำเนินการตรวจสอบและดำเนินเรื่องนี้แล้ว” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์หรือสแกมเมอร์ ถือเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นเรื่องที่ประเทศไทยต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดและเข้มงวด เพราะหากต้องมีการเจรจาด้านการทูต การลงทุน หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เรื่องนี้จะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ หรือถูกตั้งเงื่อนไขในหลายด้าน ดังนั้น จึงต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังและเด็ดขาด และการประชุมในวันนี้ นอกจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ได้มีการเสนอเพิ่มอัยการสูงสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการในชุดนี้ด้วย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการดำเนินการยกร่างคำสั่ง เพื่อให้นายกรัฐมนตรีลงนามแต่งตั้งต่อไป

Advertisement

กรมการขนส่งทางบก รณรงค์ “คาดให้คลิก ก่อนรถออกทุกครั้ง” เน้นย้ำผู้โดยสารรถโดยสารสาธารณะทุกที่นั่งต้องคาดเข็มขัดนิรภัย

14 ตุลาคม 2568 กรมการขนส่งทางบก รณรงค์ “คาดให้คลิก ก่อนรถออกทุกครั้ง” เน้นย้ำผู้โดยสารรถโดยสารสาธารณะทุกที่นั่งต้องคาดเข็มขัดนิรภัย เพื่อความปลอดภัยตลอดการเดินทาง

นายชีพ น้อมเศียร รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เดินหน้ารณรงค์สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในการเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะ ภายใต้แนวคิด “คาดให้คลิก ก่อนรถออกทุกครั้ง” เน้นย้ำให้ผู้โดยสารรถโดยสารสาธารณะทุกที่นั่ง ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยตลอดการเดินทาง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลกฐินและฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี ที่มีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาและเดินทางเป็นหมู่คณะเป็นจำนวนมาก ขบ. จึงขอความร่วมมือผู้โดยสารทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคาดเข็มขัดนิรภัยอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุบนท้องถนน จากสถิติการบาดเจ็บและเสียชีวิตในอุบัติเหตุจราจร พบว่าผู้โดยสารที่คาดเข็มขัดนิรภัยมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่าผู้ที่ไม่คาดถึง 70% เนื่องจากเข็มขัดนิรภัยช่วยยึดร่างกายไม่ให้กระแทกกับส่วนต่าง ๆ ของรถ หรือกระเด็นออกนอกรถ ในกรณีเกิดเหตุรุนแรง จึงกำชับให้ผู้ประกอบการขนส่งตรวจสอบสภาพความพร้อมของรถโดยสารให้มีเข็มขัดนิรภัยครบทุกที่นั่ง พร้อมติดตั้งป้ายเตือนผู้โดยสารให้เห็นชัดเจน และให้พนักงานขับรถหรือพนักงานประจำรถแจ้งเตือนก่อนรถออกทุกครั้ง เพื่อร่วมกันสร้างมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดในการเดินทาง ในกรณีที่ตรวจพบว่าผู้โดยสารไม่คาดเข็มขัดนิรภัย พนักงานขับรถหรือพนักงานประจำรถละเลยไม่แจ้งเตือนและไม่ดูแลให้ผู้โดยสารคาดเข็มขัดนิรภัยจะมีความผิดตามกฎหมายและมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 5,000 บาท

รองอธิบดี ขบ. กล่าวต่อว่า การคาดเข็มขัดนิรภัยไม่ใช่เพียงเรื่องของ “กฎหมาย” แต่คือเรื่องของ “ชีวิต” ที่ทุกคนสามารถปกป้องได้ด้วยตนเอง เพราะในเสี้ยววินาทีของอุบัติเหตุ เข็มขัดนิรภัยคือสิ่งเดียวที่ยึดชีวิตไว้ได้จริงจึงขอเชิญชวนประชาชนทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมแห่งความปลอดภัย ด้วยการ “คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งที่นั่งรถโดยสาร” ไม่ว่าจะนั่งด้านหน้า ด้านหลัง หรือระยะทางใกล้ไกล เพื่อให้ทุกการเดินทางในช่วงเทศกาลกฐินและฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี เต็มไปด้วยความสุข ความอุ่นใจ และความปลอดภัยถึงจุดหมายอย่างปลอดภัยทุกเส้นทาง

Advertisement

เตือนภัย “มิจฉาชีพ” เปิดบัญชี FB ปลอม อ้าง “SET” เปิดลงทุนหุ้น-กองทุนทองคำ เสี่ยงสูญเงิน – ข้อมูลส่วนบุคคล

12 ตุลาคม 2568 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ตรวจพบข่าวปลอมรายสัปดาห์ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งประชาชนให้ความสนใจสูงสุดอันดับที่ 1 เรื่อง “ฮั่วเซ่งเฮง เปิดให้เข้าร่วมซื้อจองหุ้น SET50 และกองทุนทองคำ ผ่านเพจ Hua Seng Heng Index Futures” รองลงมาคือเรื่อง “กฟภ. โทรติดต่อประชาชนให้แอดไลน์ เพื่อรับเงินค่าประกันมิเตอร์คืน” เตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อข่าวปลอม หวั่นสร้างความเสียหายทั้งข้อมูลส่วนบุคคล ทรัพย์สิน และอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง ขอให้เลือกเชื่อ – แชร์ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์

นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวถึงผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย (AFNC) ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยความมั่นคงและภัยทางสังคมของนายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่ต้องการให้มีการบูรณาการข้อมูลของหน่วยงานเพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจด้านการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลให้กับประชาชน โดยยกระดับความสำคัญเรื่องการสร้างความตระหนักรู้เท่าทันภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ข่าวปลอม และข้อมูลบิดเบือน

ทั้งนี้ในระหว่างวันที่ 3 – 9 ตุลาคม 2568 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 1,029,742 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 1,031 ข้อความ

สำหรับช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social Listening จำนวน 1,010 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 6 ข้อความ ช่องทาง Website จำนวน 2 ข้อความ และช่องทาง Facebook จำนวน 13 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 224 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 73 เรื่อง โดยในจำนวนนี้เป็นข่าวปลอมเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์ที่ได้รับความสนใจจากประชาชนมากที่สุด 10 อันดับ ได้แก่

อันดับที่ 1 : เรื่อง ฮั่วเซ่งเฮง เปิดให้เข้าร่วมซื้อจองหุ้น SET50 และกองทุนทองคำ ผ่านเพจ Hua Seng Heng Index Futures

อันดับที่ 2 : เรื่อง กฟภ. โทรติดต่อประชาชนให้แอดไลน์ เพื่อรับเงินค่าประกันมิเตอร์คืน

อันดับที่ 3 : เรื่อง เจ้าหน้าที่ กฟภ. โทรหา ปชช. แจ้งเปลี่ยนมิเตอร์ไฟฟ้า

อันดับที่ 4 : เรื่อง ทำใบขับขี่ออนไลน์ ไม่ต้องสอบเอง ติดต่อได้ที่เพจ Somkiart Tonlay

อันดับที่ 5 : เรื่อง ปปง. เปิดให้ผู้เสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ติดต่อขอรับเงินคืนผ่านเพจ Stop the incident

อันดับที่ 6 : เรื่อง ลงทุนหุ้นกับ OR ผ่านเพจ AMZN โอ้อาร์ Market ASCO ก็เป็นเจ้าของคาเฟ่อเมซอนได้แล้ว

อันดับที่ 7 : เรื่อง กรมการขนส่งทางบกรับทำใบขับขี่ทางออนไลน์ ผ่านเพจเฟซบุ๊ก

อันดับที่ 8 : เรื่อง ปปง. เปิดบัญชี TikTok ชื่อ สนง.ปปง (Anti-Money)

อันดับที่ 9 : เรื่อง ปปง. เปิดให้เหยื่อแก๊งคอลฯ ลงทะเบียนขอรับเงินคืน ผ่านบัญชี TikTok scamalert02

อันดับที่ 10 : เรื่อง ลงทุนผ่านไลน์ PDAX SERVICE ปลอดภัย รับรองโดย ก.ล.ต.

“เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งประชาชนสนใจมากที่สุด จาก 10 อันดับข้างต้น พบว่าเป็นข่าวที่เกี่ยวกับการชักชวนลงทุนหุ้นในหน่วยงานและองค์กรที่น่าเชื่อถือ การให้บริการของหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะการคืนเงินจากมิจฉาชีพในกับผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวง  ซึ่งมีผลกระทบต่อทั้งตัวบุคคลที่เชื่อและแชร์ข้อมูลส่งต่อกันไปเป็นวงกว้าง ทำให้ประชาชนอาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ทั้งยังอาจสร้างความเสียหายทั้งทรัพย์สินและข้อมูลส่วนบุคคลได้” นางสาวสุชาดา กล่าว

สำหรับอันดับ 1 เรื่อง “ฮั่วเซ่งเฮง เปิดให้เข้าร่วมซื้อจองหุ้น SET50 และกองทุนทองคำ ผ่านเพจ Hua Seng Heng Index Futures” กระทรวงดีอี ประสานงานร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) พบว่าเป็นข้อมูลเท็จ โดยเพจ Hua Seng Heng Index Futures มีการแอบอ้างใช้ชื่อ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ผ่านช่องทางเฟซบุ๊ก เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ และชักชวนให้ประชาชนมาร่วมลงทุนซื้อหุ้นและกองทุน ซึ่งเป็นพฤติกรรมของมิจฉาชีพ จึงขอเตือนนักลงทุนให้ระวัง อย่าหลงเชื่อการชักชวนในลักษณะดังกล่าว

นอกจากนี้กระทรวงดีอี ขอเตือนประชาชนว่าการให้ข้อมูลหรือติดตั้งแอปพลิเคชันใดๆ ที่ไม่ได้มาจากช่องทางอย่างเป็นทางการ อาจมีความเสี่ยงต่อการถูกขโมยข้อมูล หรือเงินในบัญชีธนาคารได้

อย่างไรก็ตาม ดีอี มีความห่วงใยประชาชน เรื่องความตระหนักรู้เท่าทันข่าวปลอมที่ถูกแพร่กระจายบนสื่อออนไลน์ โซเชียล ซึ่งหากขาดความรู้เท่าทัน ส่งต่อข้อมูลข่าวปลอม ทำให้เกิดการหลงเชื่อ สร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน หรือข้อมูลส่วนบุคคล และอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง ดังนั้นจึงควรตรวจสอบข้อเท็จจริงของข่าวหรือลิงก์เว็บไซต์ให้แน่ชัด

Advertisement

พม. เตรียมจัดงานใหญ่ “Job and Market Fair : มหกรรมสร้างงาน สร้างอาชีพคนพิการ” พร้อมโชว์ศักยภาพ ก้าวข้ามข้อจำกัดความพิการ

10 ตุลาคม 2568 พม. เตรียมจัดงานใหญ่ “Job and Market Fair : มหกรรมสร้างงาน สร้างอาชีพคนพิการ” พร้อมโชว์ศักยภาพ ก้าวข้ามข้อจำกัดความพิการ

นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  (ปลัด พม.) เป็นประธานงานแถลงข่าวการจัดงาน “Job and Market Fair : มหกรรมสร้างงาน สร้างอาชีพคนพิการ” ภายใต้นโยบาย “พม.ใกล้คุณ” โดย นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ซึ่งจัดโดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ระหว่างวันที่ 20 – 21 ตุลาคม 2568 ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ กรุงเทพฯ เพื่อให้กลุ่มเปราะบางได้รับการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ ด้วยการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ที่พึงมี และสามารถ “ตั้งหลักใหม่” เพื่อก้าวต่อไปอย่างมั่นคง โดยมี นางสาวสนธยา บุณยภูษิต อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พร้อมด้วย คณะผู้บริหารกระทรวง พม. คนพิการ ครอบครัวคนพิการ องค์กรคนพิการ อาสาสมัคร เครือข่ายเอกชน เข้าร่วมงานแถลงข่าว ณ บริเวณโถง ชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ สะพานขาว กรุงเทพฯ

นายกันตพงศ์ กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาสังคมที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือนที่สูงและยืดเยื้อ และการดูแลแบบ “บ้านสองวัย” ที่ผู้สูงอายุต้องเลี้ยงดูเด็กแทนพ่อแม่วัยทำงาน ซึ่งส่งผลต่อช่องว่างระหว่างวัย อีกทั้งคนพิการต้องรับภาระค่าใช้จ่ายมากกว่าคนทั่วไป ทั้งค่าดูแลอุปกรณ์ และการเดินทาง มีความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ความยากจนซ้ำซ้อน ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงมุ่งขับเคลื่อนงานตามนโยบาย “พม.ใกล้คุณ” ด้วยความมุ่งมั่นในการทำงานใกล้ชิดประชาชนและปัญหา โดยใช้หลัก 3H คือ Heart Head Hand ด้วยการทำด้วยใจ คิดด้วยสมอง แล้วยื่นมือมาช่วยเหลือกัน ตามมาตรการ “เร่งสร้างคุณภาพชีวิตคนพิการ” เพื่อส่งเสริมให้คนพิการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการ และใช้ประโยชน์ได้จากสิ่งอำนวยความสะดวก ด้วย 4 Quick Win ได้แก่ 1) เร่งทบทวนหลักเกณฑ์ประเมินความพิการให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 2) ปรับเพิ่มสวัสดิการเบี้ยความพิการ 1,000 บาท ถ้วนหน้า 3) ปูพรมลงพื้นที่สำรวจข้อมูล เพื่อส่งมอบกายอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับประเภทความพิการ และ 4) พัฒนาแนวทางการกู้ยืมเงินกองทุนอย่างยั่งยืน ซึ่งทั้งหมดจะทำให้คนพิการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการได้ง่ายขึ้น ลดภาระหนี้สิน และมีโอกาสสร้างรายได้ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้ดีขึ้นในระยะยาว สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการสร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน

นายกันตพงศ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับงาน “Job and Market Fair : มหกรรมสร้างงาน สร้างอาชีพคนพิการ” นั้น เป็นหนึ่งในภารกิจของการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติ โดยมีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาทักษะอาชีพ เชื่อมโยงตลาดแรงงาน และเปิดเวทีให้คนพิการได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ โดยได้รับความร่วมมืออย่างยิ่งจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ซึ่งภายในงานนี้ มีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ พิธีเปิดงานฯ ในวันที่ 20 ตุลาคม 2568 โดย นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานเปิดงาน การลงนามบันทึกความร่วมมือ “ด้านการเสริมสร้างโอกาสการจ้างงานและการประกอบอาชีพ การมอบรางวัลหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนการดำเนินงานด้านคนพิการของกรม พก. และรางวัล “We Can Do” เชิดชูคนพิการต้นแบบที่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่สังคม ตลาดอาชีพและสินค้าคนพิการกว่า 300 ร้านค้า เวทีเสวนาและเวิร์กชอปสร้างแรงบันดาลใจในการประกอบอาชีพ การสาธิตอาชีพเชิงสร้างสรรค์ ตอบโจทย์เศรษฐกิจยุคใหม่ การแสดงดนตรีจากศิลปินชื่อดัง อาทิ เก่ง ธชย, นัน อนันต์ ไมค์ทองคำ และไรอัล กาจบัณฑิต และการแสดงความสามารถของคนพิการ วงดนตรีคนพิการ S2S ถ่ายทอดบทเพลงแห่งแรงบันดาลใจ ภายใต้แนวคิด “ความพิการไม่ใช่อุปสรรคของความสามารถ”

นายกันตพงศ์  กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. มุ่งหวังให้งานครั้งนี้ ไม่เพียงเปิดโอกาสให้คนพิการมีงานทำ แต่ยังเป็นเวทีที่แสดงให้สังคมได้เห็นคุณค่าของคนพิการที่มีศักยภาพและความสามารถไม่ต่างจากคนทั่วไป เพียงแค่ต้องการโอกาสที่เหมาะสม โดยกระทรวง พม. พร้อมเป็นสะพานเชื่อมให้โอกาสนั้นเกิดขึ้นจริง

อย่างไรก็ตาม ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมให้กำลังใจ ให้โอกาสแก่คนพิการ ได้ก้าวข้ามข้อจำกัดความพิการ และก้าวสู่ชีวิตใหม่อย่างมั่นคง สู่สังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ในงาน Job and Market Fair : มหกรรมสร้างงาน สร้างอาชีพคนพิการ” ระหว่างวันที่ 20 – 21 ตุลาคม 2568 ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ กรุงเทพฯ

Advertisement

10

“พิพัฒน์” เดินหน้าขับเคลื่อนทางหลวงชนบท สะพานเศรษฐกิจ – ถนนปลอดภัย 4 เดือนเห็นผล

9 ตุลาคม 2568 “พิพัฒน์” เดินหน้าขับเคลื่อนทางหลวงชนบท สะพานเศรษฐกิจ – ถนนปลอดภัย เพื่อคุณภาพชีวิตประชาชนใน 4 เดือนเห็นผล

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในงานวันคล้ายวันสถาปนากรมทางหลวงชนบท ครบรอบ 23 ปี พร้อมเปิดนิทรรศการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านวิศวกรรม ณ กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กรุงเทพฯ โดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นางสาวรัชนีพร ธิติทรัพย์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายผดุงศักดิ์ สรุจิกำจรวัฒนะ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม และนายปิยพงษ์ จิวัฒนกุลไพศาล อธิบดีกรมทางหลวง นายพิชิต หุ่นศิริ  รองอธิบดีกรมทางหลวงชนบท รักษาราชการแทนอธิบดี ทช. ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ ทช. ร่วมในพิธีอย่างพร้อมเพรียง

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมมีภารกิจสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศให้เชื่อมโยงกันทุกมิติ ทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ เพื่อให้ “การเดินทางของประชาชนสะดวก ปลอดภัย และเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติ” โดยเฉพาะ ทช. ซึ่งถือเป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาโครงข่ายถนนสายรองที่เชื่อมโยงระหว่างเมืองกับชนบทให้ประชาชนทุกพื้นที่เข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยวได้อย่างเท่าเทียม

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ตลอด 23 ปีที่ผ่านมา ทช. ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเจ้าหน้าที่ทุกระดับในการพัฒนาถนนให้ได้มาตรฐานและปลอดภัยสำหรับทุกชีวิตบนท้องถนน ซึ่งรัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้กำหนดแนวทางชัดเจนว่า “ทุกโครงสร้างพื้นฐานต้องตอบโจทย์ประชาชนอย่างแท้จริง” และในช่วง 4 เดือนจากนี้ กระทรวงคมนาคมจะเร่งผลักดันให้เกิดผลงานเป็นรูปธรรม โดยเริ่มจากการเดินหน้าโครงการสำคัญในพื้นที่ภาคใต้ ได้แก่ โครงการสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา (ตำบลเกาะใหญ่ – จองถนน จังหวัดสงขลา – พัทลุง) และโครงการสะพานเชื่อมเกาะลันตา (ตำบลเกาะกลาง – เกาะลันตาน้อย จังหวัดกระบี่) ซึ่งทั้งสองโครงการจะช่วยลดระยะเวลาเดินทาง เพิ่มความปลอดภัย และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของภาคใต้ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด “สะพานทั้งสองแห่งนี้จะเชื่อมชีวิตผู้คนกับโอกาสใหม่ ๆ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และคุณภาพชีวิต” นายพิพัฒน์ กล่าว พร้อมระบุว่า โครงการอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณารายงานด้านเทคนิคโดยธนาคารโลก (World Bank) ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้ในเร็ว ๆ นี้

นอกจากการขับเคลื่อนโครงการเชิงยุทธศาสตร์แล้ว นายพิพัฒน์ยังกล่าวถึงสถานการณ์อุทกภัยที่ส่งผลกระทบต่อเส้นทางหลวงชนบทใน 22 จังหวัดทั่วประเทศ โดยมีสายทางได้รับความเสียหาย 59 สายทาง ขณะนี้สามารถเปิดสัญจรได้แล้ว 40 สายทาง และอยู่ระหว่างซ่อมแซมอีก 19 สายทาง พร้อมสั่งการให้ ทช. เร่งติดตั้งสะพานเบลีย์ชั่วคราว เปิดทางสัญจรให้ประชาชนโดยเร็ว รวมถึงจัดเจ้าหน้าที่ประจำจุดเสี่ยง ติดตั้งป้ายเตือน และให้ข้อมูลเส้นทางเลี่ยงเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ถนน พร้อมย้ำว่า “ทุกถนนที่เสียหายต้องซ่อมกลับมาใช้งานได้เต็มรูปแบบโดยเร็วที่สุด” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน

นายพิพัฒน์ กล่าวต่ออีกว่า รัฐบาลและกระทรวงคมนาคมตั้งเป้าเร่งยกระดับมาตรฐานถนนในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ สนับสนุนเส้นทางเชื่อมต่อระบบรถไฟทางคู่ เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และเส้นทางท่องเที่ยวหลักทั่วประเทศ เพื่อให้การลงทุนด้านคมนาคมตอบสนองชีวิตประจำวันของประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเดินทาง และความปลอดภัย

ด้านนายพิชิต หุ่นศิริ รักษาราชการแทนอธิบดี ทช. เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ทช. ดูแลโครงข่ายถนนทั่วประเทศกว่า 51,000 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 77 จังหวัด โดยในปีงบประมาณ 2569 ได้รับงบประมาณกว่า 53,000 ล้านบาท เพื่อใช้ดำเนินโครงการสำคัญทั้งการก่อสร้างถนน สะพาน และระบบอำนวยความปลอดภัยทางถนน เช่น ถนนเชื่อมเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ถนนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและการค้าในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ และโครงการทางต่างระดับจุดตัดสำคัญทั่วประเทศ พร้อมย้ำว่า ทช. จะเดินหน้าปฏิบัติภารกิจภายใต้นโยบาย “ทางหลวงชนบทเพื่อประชาชน” อย่างเต็มกำลังเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยในทุกภูมิภาค

Advertisement

“รองนายกฯ สุชาติ” เดินหน้าขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ “Zero Food Waste” ในเวที THAILAND ZERO FOOD WASTE FORUM

8 ตุลาคม 2568 “รองนายกฯ สุชาติ” เดินหน้าขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ “Zero Food Waste” ในเวที THAILAND ZERO FOOD WASTE FORUM

นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในงาน THAILAND ZERO FOOD WASTE FORUM ภายใต้แนวคิด “รวมพลัง ลดทิ้ง สร้างค่า เปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาส” ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ และสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO) ร่วมกับ กรุงเทพธุรกิจ และ CP Axtra โดยมี ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ นางศิริพร เดชสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร ซีพี เอ็กตร้า นายวีระศักดิ์ พงศ์อักษร บรรณาธิการบริหาร กรุงเทพธุรกิจ ตลอดจนผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ให้การต้อนรับและเข้าร่วมงาน ณ ออดิทอเรียม ทรู ดิจิทัล พาร์ค (East) กรุงเทพมหานคร

นายสุชาติ กล่าวว่า ปัญหาขยะอาหาร (Food Waste) เป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลก ประเทศไทยมีปริมาณขยะอาหารมากถึง 10 ล้านตันต่อปี และขยะอาหารเหล่านี้ยังเป็นแหล่งกำเนิดก๊าซมีเทน ที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 28 เท่า รัฐบาลโดยการนำของท่านอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาดังกล่าว และได้มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรฯ ดำเนินการผลักดันให้เกิดผลในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม จึงได้มุ่งเป้าไปที่หน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงฯ เช่น อุทยานแห่งชาติทั่วประเทศ นอกจากนี้ ในส่วนของภาคธุรกิจเอกชนและภาคอุตสาหกรรม กระทรวงฯ ได้มีแนวคิดที่จะให้มีการวางแผนการจัดการขยะอาหารตั้งแต่ในการจัดทำรายงาน EIA และที่สำคัญคือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ต้องมีการบริหารจัดการร่วมกันเพื่อลดการสูญเสียอาหารตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เช่น ในตลาดสด ต้องมีการนำขยะอาหารไปใช้ประโยชน์ต่อ เช่น การนำไปเป็นอาหารสัตว์ เป็นต้น และมีการถ่ายทอดองค์ความรู้และสร้างความตระหนักรู้ให้แก่เด็กและเยาวชน ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการบริโภคอย่างรู้คุณค่า และปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งต่อแนวทางการดำเนินชีวิตอย่างยั่งยืนให้กับคนรุ่นต่อไป

นายสุชาติ เน้นย้ำว่า การแก้ไขปัญหาขยะอาหารจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ระดับรัฐบาลในการกำหนดนโยบายไปจนถึงระดับท้องถิ่นและชุมชน ซึ่งกระทรวงทรัพยากรฯ ได้ผลักดัน “แผนขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมาย Zero Food Waste” พร้อมประกาศให้ปี พ.ศ. 2568 เป็น “ปีแห่งการเริ่มต้นรณรงค์ลดขยะอาหาร” เพื่อมุ่งลดปริมาณขยะอาหารลงร้อยละ 50 ภายในปี พ.ศ. 2573 ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ขององค์การสหประชาชาติ และเพื่อให้เกิดผลการป้องกันแก้ไขตั้งแต่ที่ต้นทาง การแก้ไขโดยเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน และการสนับสนุนจากภาครัฐแบบครบวงจร เพื่อสร้างแรงจูงใจและขับเคลื่อนการจัดการขยะอาหารอย่างยั่งยืน สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการแก้ไขปัญหาขยะอาหารของประเทศ ให้ประเทศไทยไปสู่สังคม “Zero Food Waste” ได้อย่างเป็นรูปธรรม

Advertisement

“สุรศักดิ์” รมว.กระทรวง อว.ประกาศนโยบาย Quick Win ช่วย “คนตกงาน – เกษตรกรทั่วประเทศ”

7 ตุลาคม 2568 “สุรศักดิ์” รมว.กระทรวง อว.ประกาศนโยบาย Quick Win ช่วย “คนตกงาน – เกษตรกรทั่วประเทศ” เปิดตัวโครงการ “โดรนคนละครึ่ง” อว.ร่วมจ่าย เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ลดเวลา ลดสารเคมี เดินหน้าสู่เกษตรอัจฉริยะ

เมื่อวันที่ 6 ต.ค.68 ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมว.กระทรวง อว.ได้แถลงนโยบายการทำงานโดยมีผู้บริหารกระทรวง อว.นำโดย ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว.เข้าร่วม ที่ห้องประชุมชั้น 4 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวง อว.(ฝั่งโยธี)

นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า ตนจะทำนโยบาย Quick Win ที่เห็นผลได้จริงภายในระยะเวลา 4 เดือน ควบคู่กับการต่อยอดนโยบายเดิมที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งอยู่แล้ว โดยนโยบายเร่งด่วนแรกคือ การบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนกับภาวะการว่างงาน ซึ่งปัจจุบันกำลังเป็นปํญหาในวงกว้าง เพราะสถานการณ์ตลาดแรงงานเปลี่ยนไปจากการเข้ามาของเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI ส่งผลให้กำลังแรงงานตั้งแต่ระดับสูง กลาง และล่างตกงานเป็นจำนวนมาก ดังนั้น กระทรวง อว. จะเปิด Upskill-Reskill ให้กับประชาชน โดยให้มหาวิทยาลัยและอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคทั่วประเทศจัด Upskill-Reskill ในสาขาที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดแรงงาน เปิดโอกาสให้แรงงานที่มีประสบการณ์อยู่แล้วได้เข้ามาพัฒนาและเพิ่มพูนทักษะใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานยุคใหม่ และกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานอีกครั้ง ที่สำคัญ กระทรวง อว. จะดึงหน่วยงานให้ทุนอย่าง Ted Fund, สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค เป็นต้น มาสนับสนุนทั้งการบ่มเพาะและให้ทุนต่อยอดและสร้างธุรกิจ เพื่อที่แรงงานที่มีประสบการณ์จะได้ผันตัวไปเป็นผู้ประกอบการ SMEs หรือสตาร์ทอัพ อีกทางหนึ่ง นอกเหนือจากการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานแล้ว ขณะเดียวกัน กระทรวง อว. ยังตั้งใจที่จะทำให้นักศึกษาและประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้อย่างทั่วถึงที่สุด ในระยะ 4 เดือนอีกด้วย

รมว.กระทรวง อว. กล่าวต่อว่า อีกนโยบายเร่งด่วน คือ การช่วยเหลือภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยกระทรวง อว. จะทำโครงการ “โดรนเพื่อการเกษตรคนละครึ่ง” เป็นการนำเอาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไปรับใช้ประชาชน ไปรับใช้สังคม โครงการนี้จะช่วยให้เกษตรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดการสัมผัสสารเคมี รวมทั้งเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ประหยัดเวลาและแรงงาน โดยมีรูปแบบของนโยบายเป็นการช่วยค่าบริการหรือค่าใช้จ่ายในการใช้บริการโดรนเพื่อการเกษตรคนละครึ่ง ถือเป็นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาแก้จนอย่างเป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ส่งเสริมเกษตรกรให้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพื่อเปลี่ยนเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming)โดยจะนำร่องในพื้นที่ภาคกลางเป็นอันดับแรกก่อนจะขยายไปในพื้นที่อื่น ขณะเดียวกัน เราจะดึงเครือข่ายผู้ประกอบการ SMEs และสตาร์ทอัพด้านโดรนเพื่อการเกษตร ซึ่งเข้าร่วมโครงการกับอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคมาเป็นผู้ให้บริการเช่าโดรน นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการด้านให้บริการโดรนเพื่อการเกษตรรายย่อยอื่นๆ มาสามารถมาเข้าร่วมโครงการนี้ได้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมได้อีกด้วย

นายสุรศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนนโยบายด้านการอุดมศึกษา กระทรวง อว.พร้อมเดินหน้าสนับสนุนค่าสมัครสอบค่าสมัครสอบ TCAS เพื่อลดภาระให้กับนักเรียนและผู้ปกครอง นโยบายนี้เป็นนโยบายของพรรคภูมิใจไทย ตนก็จะดำเนินการต่อเนื่องและดำเนินการอย่างเข้มข้นต่อไปในการสอบ TCAS69 โดยจะสนับสนุนค่าสมัครสอบ TGAT ในอัตรา 140 บาทต่อคน และค่าสมัครสอบรอบ 3 (Admission) ในระบบ TCAS เพิ่มเติม โดยผู้สมัครสามารถเลือกสมัครได้สูงสุด 7 อันดับฟรี ในอัตรา 600 บาทต่อคนนอกจากนี้ ยังจะสนับสนุนค่าสมัครสอบวัดความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ TPAT1-5 (TPAT 1 อัตรา 140 บาทต่อคน และ TPAT 2-5 อัตรา 140 บาทต่อคน) ซึ่งคาดว่าจะมีนักเรียนและผู้ปกครองได้รับประโยชน์กว่า 733,750 คน รวมทั้ง สนับสนุนทุนการศึกษาในรูปแบบต่างๆ ให้กับนักศึกษา ขณะเดียวกัน จะเร่งขับเคลื่อน Credit Bank หรือระบบคลังหน่วยกิต ให้เป็นกลไกหลักในการสะสมและเทียบโอนหน่วยกิตจากประสบการณ์การทำงานและการเรียนรู้จากแหล่งต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม โดยตั้งเป้าให้มีความพร้อมสมบูรณ์ภายในปี 2570

“ที่สำคัญ อีกหนึ่งนโยบายที่ตั้งใจจะขับเคลื่อนให้สำเร็จคือโครงการ “มหาวิทยาลัยสีเขียว (Green University) สู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050” โดยให้ความสำคัญกับ 1.การส่งเสริมและสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด 2.การประกาศนโยบาย Net Zero ให้สอดคล้องกับนโยบายของ อว. และนโยบายของรัฐบาล และ 3.การเป็นแหล่งบ่มเพาะนวัตกรรมสีเขียว เพื่อสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศและยกระดับขีดความสามารถบุคลากรสู่การสร้างงานและเศรษฐกิจสีเขียวในอนาคต ทั้งนี้ จะขับเคลื่อนร่วมกับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)“ นายสุรศักดิ์ กล่าวและว่า

ขณะเดียวกันจะนำองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติ เช่น ระบบติดตามสถานการณ์น้ำและและแอปพลิเคชัน Thai Water จากคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ และการใช้ภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อติดตามพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ช่วยเฝ้าระวัง แจ้งเตือน วิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ ยังมีการใช้ข้อมูลดาวเทียมในการติดตามและประเมินสถานการณ์ PM 2.5 ผ่านแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” ซึ่งระบบทั้งหมดที่จัดทำขึ้น นอกจากเป็นการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแล้ว ยังช่วยพยากรณ์และวิเคราะห์สภาพอากาศ สถานการณ์น้ำ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับทำการเกษตรให้แม่นยำขึ้นได้อีกด้วย

“นักการเมืองต้องทำในสิ่งที่สมควรทำ ไม่เป็นตัวถ่วง ต้องทำหน้าที่สนับสนุนให้ข้าราชการทำงานอย่างได้ราบรื่น ผมมีเวลาไม่มากคือ 4 เดือน ตั้งใจว่านโยบาย Quick Win จะต้องสำเร็จให้ได้ เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน“ นายสุรศักดิ์ กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics