วันที่ 2 พฤษภาคม 2024

“ประยุทธ์” ระบุการก่อสร้างสุวรรณภูมิเฟส 2 ต้องทันเวลาที่กำหนด

People unity news online : นายกรัฐมนตรีระบุการก่อสร้างสุวรรณภูมิเฟส 2 ต้องทันเวลาที่กำหนด เป็นไปตามกฎหมาย โปร่งใส ตรวจสอบได้

เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2561 เวลา 14.40 น. ณ บริเวณห้องโถงชั้น 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงความคืบหน้าการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 จะสามารถเปิดใช้ได้ทันตามกำหนดหรือไม่ว่า ความคืบหน้าขณะนี้เป็นการทำงานของกระทรวงคมนาคม และการท่าอากาศยาน โดยดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย เน้นความโปร่งใส ถูกต้อง และเป็นธรรม ให้มีการตรวจสอบ เร่งรัด รายงานผล เพื่อให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว เพราะจะเสียเวลามากไม่ได้ ทุกอย่างมีกติกาหมด ถ้าพิสูจน์ได้ว่าไม่ดี ไม่ถูกต้อง ก็มีวิธีการอยู่แล้ว ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีไม่ต้องไปสั่งทุกเรื่องว่าใช่หรือไม่ใช่  ได้หรือไม่ได้ เพราะไม่ใช่อำนาจของนายกรัฐมนตรีทั้งหมด

People unity news online : post 26 ตุลาคม 2561 เวลา 08.10 น.

 

ธอส.ประกาศตรึงดอกเบี้ยเงินกู้ให้นานที่สุด ช่วยลูกค้าให้มีเวลาปรับตัว ไม่ต้องแบกค่าครองชีพ

People Unity News : 22 กรกฎาคม 2565 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 ปล่อยสินเชื่อใหม่ทำให้คนไทยได้มีบ้านจำนวนถึง 134,998 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 27.08% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 ดันยอดสินเชื่อคงค้างรวม 1,526,414 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 1,581,652 ล้านบาท มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) 4.41% ของยอดสินเชื่อรวม ตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพื่อความมั่นคงและเตรียมพร้อมรับผลกระทบจาก COVID-19 จำนวน 121,066 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อ NPL ที่ระดับ 180.02% คาดสิ้นปีสินเชื่อใหม่ปล่อยได้ไม่น้อยกว่า 2.8 แสนล้านบาท มุ่งสู่ Digital Bank เต็มรูปแบบ ชูเทคโนโลยี-นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ และบริการทางด้านสินเชื่อ เงินฝาก และสลากออมทรัพย์ ขึ้นบนอากาศ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้าประชาชนเข้าถึงบริการของธนาคาร พร้อมประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยให้นานที่สุด เพื่อให้ลูกค้ามีเวลาปรับตัวรับกับอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในอนาคต

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงาน ณ ไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 ว่า หลังจากที่ภาครัฐได้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ รายได้ของประชาชนปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น ซึ่งมีส่วนสำคัญให้ประชาชนที่มีการปรับตัวจากผลกระทบด้านรายได้ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต ทำให้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้จำนวน 134,998 ล้านบาท 106,067 บัญชี เพิ่มขึ้น 27.08% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 คิดเป็น 59.62% ของเป้าหมายปล่อยสินเชื่อใหม่ปี 2565 ที่ 226,423 ล้านบาท แบ่งเป็นสินเชื่อที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 2.5 ล้านบาท สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลางจำนวน 58,448 ราย ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 เทียบกับ ณ สิ้นปี 2564 ธนาคารมียอดสินเชื่อคงค้างรวมทั้งสิ้น 1,526,414 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.65% มีสินทรัพย์รวม 1,581,652 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.00% เงินฝากรวม 1,345,830 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.57% หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จำนวน  67,251 ล้านบาท คิดเป็น 4.41% ของยอดสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2564 ที่มี NPL อยู่ที่ 4.00% ของสินเชื่อรวม ซึ่งธนาคารได้มีการตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่ 121,066 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อ NPL สูงถึง 180.02% สะท้อนความมั่นคงและพร้อมรองรับผลกระทบจาก COVID-19 ในอนาคต โดยมีกำไรสุทธิ 6,069 ล้านบาท และมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ยังอยู่ที่ระดับแข็งแกร่งที่ 14.73% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด

ทั้งนี้ การที่ธนาคารยังคงปล่อยสินเชื่อใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง เป็นเพราะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายรัฐบาลจากการผ่อนคลายมาตรการสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือประเภทละ 0.01% สำหรับการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับตัวลดลงจากการแข่งขันของผู้ประกอบอสังหาริมทรัพย์ทำให้มีการจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำของธนาคาร ทำให้กลุ่มลูกค้าที่มีการปรับตัวจากผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยเร็วขึ้น โดยสินเชื่อปล่อยใหม่ที่มีลูกค้าเลือกใช้บริการสูงสุดได้แก่ โครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ อัตราดอกเบี้ยปีแรกเพียง 3.15% ต่อปี มียอดอนุมัติสะสมสูงถึง 34,658 ล้านบาท ส่วนโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2 ของรัฐบาล อัตราดอกเบี้ยต่ำคงที่เพียง 1.99% ต่อปี นานถึง 4 ปีแรก ล่าสุด ณ วันที่ 18 กรกฎาคม 2565 มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้ว 99,760 ราย ยื่นขอสินเชื่อแล้ว 20,311 ราย วงเงินสินเชื่อ 18,358 ล้านบาท และได้รับอนุมัติสินเชื่อแล้ว 18,707 ราย วงเงินสินเชื่อ 16,322 ล้านบาท

ขณะที่ด้านดูแลลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 ปัจจุบัน  ธอส. ยังขยายระยะเวลาความช่วยเหลือ ผ่านมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน ปี 2565 ด้วยการแบ่งเบาภาระให้กับลูกค้า ทั้งการลดอัตราดอกเบี้ยและเลือกแบ่งจ่ายเงินงวดผ่อนชำระ เพื่อลดเงินงวดให้กับลูกค้า และมุ่งรักษาบ้านให้ยังเป็นของลูกค้าได้ต่อไป โดย ณ วันที่ 12 กรกฎาคม 2565 มีลูกค้าอยู่ระหว่างใช้มาตรการช่วยเหลือรวมทั้งสิ้น 72,496 บัญชี วงเงินต้นคงเหลือ 74,176 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้พบว่ามีลูกค้าที่ชำระเงินงวดได้ตามเงื่อนไขของมาตรการหรือชำระบางส่วนคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 96%

“จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายปี 2565 เช่นเดียวกับธนาคารกลางหลายประเทศที่ปรับขึ้นตามธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไปแล้ว ทำให้ประชาชนเร่งตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ จึงมั่นใจว่า ณ สิ้นปี 2565 ธนาคารจะสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้สูงกว่า 280,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ธอส. พร้อมตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารไว้ให้ได้นานที่สุด เพื่อช่วยให้ลูกค้ามีเวลาในการปรับตัวและไม่ต้องรับภาระด้านค่าครองชีพ แต่พร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากตามตลาดเพื่อป้องกันการไหลออกของเงินฝากและให้มีเงินทุนเพียงพอต่อการปล่อยสินเชื่อให้กับประชาชนที่ต้องการมีบ้าน และด้วยต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น ทำให้คาดว่าธนาคารจะได้รับผลกระทบในปี 2565 ไม่น้อยกว่า 2 พันล้านบาท” นายฉัตรชัยกล่าว

นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีหลัง ธอส. เตรียมนำเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ๆ มายกระดับการให้บริการลูกค้าตามเป้าหมายสู่การเป็น Digital Bank เต็มรูปแบบ (Fully Digitized) อาทิ การจัดตั้งศูนย์บริการดิจิทัล (DSC) เพื่อรองรับลูกค้าที่ต้องการเข้าถึงบริการทางด้านสินเชื่อและเงินฝากผ่านช่องทาง Digital Channel เป็นการเฉพาะ อาทิ Mobile Application GHB ALL รวมถึงสื่อ Social Media ต่างๆของธนาคาร โดยมีพนักงานสินเชื่อ Virtual Branch ทำหน้าที่ติดต่อลูกค้าเพื่อรองรับการให้บริการได้ทันทีโดยไม่ต้องมีสาขา โครงการจัดเก็บ Electronic File แทนเอกสารสิทธิ์ต้นฉบับ (ไม่เก็บโฉนด) โดยธนาคารจะจัดเก็บในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์แทนการจัดเก็บโฉนดตัวจริง ทำให้ลูกค้าจะได้รับโฉนดฉบับจริงกลับบ้านในวันทำนิติกรรมได้ทันที ซึ่งปัจจุบันเริ่มให้บริการกับลูกค้ากลุ่มสวัสดิการแล้วและจะขยายสู่ลูกค้ากลุ่มกู้ใหม่ได้ทั้งหมดภายในไตรมาสที่ 3 โครงการลงนามสัญญาอิเล็กทรอนิกส์ (e-Contract) การทำสัญญาเงินกู้ระหว่างธนาคารกับลูกค้าในรูปแบบอีเล็กทรอนิกส์ โดยเริ่มให้บริการลูกค้าแล้วตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2565 โดยหลังลงนามสัญญาลูกค้าจะได้รับเอกสารสัญญาเงินกู้รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่าน Email

นอกจากนี้ ธนาคารยังอำนวยความสะดวกให้กับผู้ขายที่อยู่อาศัยหรือผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ขายที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้า ธอส. จะได้รับการโอนเงินกู้ค่าซื้อที่อยู่อาศัยเข้าบัญชีเงินฝากของผู้ขาย/ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แทนการจัดทำแคชเชียร์เช็ค ทำให้ผู้ขายไม่ต้องเสียเวลาและขั้นตอนนำแคชเชียร์เช็คที่ได้รับจากผู้ซื้อไปขึ้นเงินเหมือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ บริการใหม่ดังกล่าวจะเริ่มให้บริการอย่างเป็นทางการได้ภายในปี 2565 และพร้อมเดินหน้าจัดทำโครงการ GHB AI Virtual Agent เพื่อเสริมทัพความแข็งแกร่งและยกระดับการบริหารจัดการ Call Center ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำเทคโนโลยี AI Voice Bot มาช่วยให้บริการเปรียบเสมือนผู้ช่วยบริการทางการเงินให้ลูกค้า ธอส.  ซึ่ง AI จะช่วยรับสายตอบคำถามลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาได้ทันทีโดยไม่ต้องรอสายนาน หรือโทรแจ้งเตือนบริการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์กับลูกค้า เช่น ครบกำหนดมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 หรือโทรแจ้งการเปลี่ยนแปลงเงินงวดสินเชื่อบ้าน เป็นต้น

Advertisement

ครูเป็นหนี้ 9 แสนคน 1.4 ล้านล้านบาท ลงทะเบียนแก้หนี้แล้ว 4 หมื่นคน ชวนร่วมมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ช่วงปิดเทอม

People Unity News : 17 กันยายน 2565 รองโฆษกรัฐบาลเผยความคืบหน้าแก้หนี้ครู ลงทะเบียนกว่า 4 หมื่นคน รวมมูลหนี้ 5.8 หมื่นล้านบาท ลดดอกเบี้ยเงินกู้สหกรณ์ ชวนร่วมมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ครู

วันนี้ (17 กันยายน 2565) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปี พ.ศ. 2565 รัฐบาลตั้งเป้าให้เป็นปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน ที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลแก้ไขปัญหาหนี้ครูอย่างต่อเนื่อง สามารถแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ปัจจุบันพบว่ามีครูกว่า 9 แสนคนทั่วประเทศ หรือประมาณ 80% มีหนี้รวมกัน 1.4 ล้านล้านบาท เจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุด คือ สหกรณ์ออมทรัพย์ครู จำนวน 8.9 แสนล้านบาท รองลงมาคือ ธนาคารออมสิน 3.49 แสนล้านบาท รวมทั้งธนาคารกรุงไทย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และสถาบันการเงินอื่นๆ

นางสาวรัชดา กล่าวถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูว่า ภาพรวมได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูไปแล้ว ดังนี้

ลดดอกเบี้ยเงินกู้ มีสหกรณ์ออมทรัพย์ครู 70 แห่ง ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ลงเฉลี่ยร้อยละ 0.3 ลูกหนี้ได้รับประโยชน์กว่า 4 แสนราย รวมภาระหนี้สินที่ลดลงกว่า 2.2 พันล้านบาท

ปรับโครงสร้างหนี้ โดยการรวมหนี้มาไว้กับสหกรณ์ออมทรัพย์ครูฯ หรือสถาบันการเงิน ที่ให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำกว่า เพื่อให้ครูมียอดชําระต่อเดือนน้อยลง และเหลือเงินเดือนหลังหักชําระไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30

กําหนดให้สามารถหักเงินสวัสดิการ การฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค) ในกลุ่มแรก (ร้อยละ 70 ของเงินเดือน) เพื่อให้สามารถใช้เงิน ช.พ.ค เป็นหลักประกันเงินกู้ได้ ซึ่งปัจจุบันมีครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 3.6 แสนราย ที่ใช้ ช.พ.ค เป็นหลักประกันเงินกู้ ส่งผลให้ครูไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อทำประกัน ช่วยลดค่าใช้จ่ายลงกว่า 2.3 พันล้านบาท

สำหรับการแก้ไขปัญหาหนี้ครูผ่านสถานีแก้หนี้ 588 แห่งทั่วประเทศนั้น นางสาวรัชดา กล่าวว่า ขณะนี้ มีครูลงทะเบียนแก้หนี้แล้ว 4 หมื่นกว่าคน มูลค่าหนี้รวมกว่า 5.8 หมื่นล้านบาท สามารถแก้ปัญหาหนี้ไปแล้ว 11,090 คน หรือประมาณ 1 ใน 4 ของผู้ลงทะเบียน ส่วนที่เหลือ กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับธนาคารออมสินและสหกรณ์ออมทรัพย์ครู จะจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ “ปิดเทอม เรื่องหนี้ มีทางออก” เป็นเวทีกลางเจรจาไกล่เกลี่ยหนี้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย นำร่องที่จังหวัดกำแพงเพชร เริ่ม 4 ตุลาคม 2565 นี้ ก่อนขยายผลจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ครูในจังหวัดต่างๆทั่วประเทศต่อไป

Advertisement

ธ.ก.ส. ชวนเกษตรกรร่วมโครงการประกันภัยข้าวนาปี – ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 65

People Unity News : 7 สิงหาคม 2565 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เผยความคืบหน้าการจ่ายค่าสินไหมทดแทนในโครงการประกันภัยข้าวนาปีและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2564 แล้วกว่า 1.5 พันล้านบาท ช่วยบรรเทาความเสียหายและลดความเสี่ยงด้านการผลิตแก่เกษตรกร 1.1 แสนราย คิดเป็นพื้นที่การเกษตรกว่า 1.2 ล้านไร่ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย. 65)

เป็นการสนับสนุนให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการผลิตและได้รับความคุ้มครองความเสียหายจากภัยธรรมชาติ (น้ำท่วม/ฝนตกหนัก ภัยแล้ง/ฝนแล้ง/ฝนทิ้งช่วง ลมพายุ/พายุไต้ฝุ่น อากาศหนาว/น้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ ช้างป่า ศัตรูพืช/โรคระบาด) ประกอบด้วย

🌾โครงการประกันภัยข้าวนาปี วงเงินคุ้มครอง 1,260 บ./ไร่ (กรณีภัยศัตรูพืช/โรคระบาด คุ้มครอง 630 บ./ไร่)

🌽โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ วงเงินคุ้มครอง 1,500 บ./ไร่ (กรณีเกิดภัยศัตรูพืช/โรคระบาด คุ้มครอง 750 บ./ไร่)

จึงขอเชิญชวนเกษตรกรเข้าร่วมโครงการประกันภัยฯ ปีการผลิต 2565 เพื่อลดความเสี่ยงด้านการผลิตในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศโลกที่มีแนวโน้มรุนแรงและมีความถี่มากขึ้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา หรือ โทร. 02 555 0555

Advertisement

“อุตตม”ทอดกฐินสามัคคีวางศิลาฤกษ์อาคารเรียนพระปริยัติธรรมดอยสะเก็ด

People Unity News : กระทรวงการคลังทอดกฐินสามัคคีและวางศิลาฤกษ์อาคารเรียนโรงเรียนพระปริยัติธรรม

วันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 ที่วัดสันปูเลยสะหลีเวียงแก้ว อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ที่พระครูบาน้อย เขมปัญโญ เป็นเจ้าอาส ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานพิธีทอดกฐินสามัคคีและพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารเรียนโรงเรียนพระปริยัติธรรม โดยมีนายคมสัน สุวรรณอัมพา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยส่วนราชการภาคเอกชนและประชาชนผู้มีจิตศรัทธาเข้าร่วมพิธีจำนวนมาก

ทั้งนี้เพื่อจัดหาทุนทรัพย์ในการดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียนโรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดสันปูเลยสะหลีเวียงแก้วและเพื่อเป็นที่ศึกษาในการเรียนการสอนพระปริยัติธรรมแผนกธรรมและบาลีของพระภิกษุสามเณรประจำคณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่

Cr.https://region3.prd.go.th/prcm/cmnews.php?ID=191102122546&fbclid=IwAR1CRXHeeT_aznZTimnJ2zOktTK6TBzRRUulTZLUb4XEh5g8TXAIZSPfm54

ธอส.ต้อนรับปีใหม่ 2566 เปิดตัวเงินฝากออมทรัพย์ Happy Savings ดอกเบี้ยสูงสุด 2.25% ต่อปี

People Unity News : 6 มกราคม 2566 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ร่วมต้อนรับเทศกาลปีใหม่ 2566 จัดแคมเปญพิเศษสำหรับผู้รักการออมกับเงินฝากออมทรัพย์ Happy Savings รับอัตราดอกเบี้ยสูงสุดถึง 2.25% ต่อปี (นับตั้งแต่วันที่เปิดบัญชีถึงวันที่ 31 มีนาคม 2569 ) เมื่อเปิดบัญชีเงินฝากตั้งแต่วันนี้ถึง  31 มีนาคม 2566 เพียงเปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท ขึ้นไป บุคคลธรรมดาได้รับการยกเว้นภาษีดอกเบี้ยเงินฝากอัตราดอกเบี้ยเทียบเท่ากับได้รับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 2.65% ต่อปี พิเศษ!! เปิดบัญชีตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 มกราคม 2566 รับฟรี กระเป๋าบรรจุของใบใหญ่ 1 ราย/1 ใบ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Mobile Application : GHB ALL, GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th

Advertisement

ดันท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ผ่านแคมเปญ “Discover the New You”

People Unity News : 8 กรกฎาคม 2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ส่งเสริมการผลักดันการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ผ่านแคมเปญ “Discover the New You” กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวและการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการสินค้า คาดการณ์ยอดไม่น้อยกว่า 18 ล้านบาท ภายในกันยายน 2566 นี้

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่งเสริมความร่วมมือในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ผ่านแคมเปญ “Discover the New You!” เพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ ส่งเสริมสินค้าและบริการ Health and Wellness ในรูปแบบใหม่ที่สร้างสรรค์ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการผลักดันให้เกิดการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่มีความหลากหลายอย่างยั่งยืน ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน เชื่อมั่นแคมเปญนี้จะกระตุ้นการใช้จ่ายได้ตามคาดการณ์

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ในแคมเปญ “Discover the New You!” ร่วมกับผู้ประกอบการ Health and Wellness ชั้นนำทั่วประเทศ ทั้งโรงแรม รีสอร์ตสุขภาพ สปา ตลอดจนโรงพยาบาล คลินิกเฉพาะทางต่าง ๆ จำนวนกว่า 130 ราย โดยเป็นการดำเนินงานภายใต้โครงการ Amazing Thailand Health and Wellness New Chapters New Experience เพื่อร่วมกันออกแบบผลิตภัณฑ์สินค้าบริการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ ภายใต้แนวคิด Meaningful Wellness นอกจากนี้ ททท. ยังได้เชิญชวนผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว และ Blogger Influencer เข้าร่วมกิจกรรม สร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพที่แตกต่างและหลากหลาย ดึงดูดความสนใจกลุ่มนักเดินทางสายสุขภาพที่กำลังเติบโตเป็นอย่างมาก โดยมีเส้นทางที่จะได้รับคัดเลือกให้ทำการส่งเสริมการขายในสื่อประชาสัมพันธ์ของพันธมิตร ผู้ประกอบการ และสื่อของโครงการฯ จำนวน 15 เส้นทาง ทั้งนี้ ททท. เชื่อมั่นและคาดการณ์ว่า กิจกรรมดังกล่าวจะกระตุ้นให้เกิดการเดินทางทั่วประเทศ ไม่น้อยกว่า 3,000 ราย และเกิดการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการท่องเที่ยวที่ร่วมโครงการฯ ไม่น้อยกว่า 18 ล้านบาท ภายในเดือนกันยายน 2566 นี้

ทั้งนี้ สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.discoverthenewyou.travel/

Facebook: www.facebook.com/thailanddiscoverthenewyou

Line Official Account: @tat-wellness.th และสามารถเลือกซื้อสินค้าและบริการเพื่อสุขภาพภายใต้โครงการได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป

“นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกความร่วมมือในการจัดกิจกรรมดังกล่าว นอกจากจะขานรับนโยบายของรัฐบาลในการผลักดันการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนแล้ว ยังตอบโจทย์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่เป็นกระแส และกำลังเติบโตอย่างมากในปัจจุบัน โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า กิจกรรมนี้ จะช่วยดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ผลักดันตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทยให้เติบโต เพิ่มตัวเลขมูลค่าทางเศรษฐกิจ จากกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพและกำลังซื้อ” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

“พาณิชย์” จัด 703 จุดทั่วไทย ขายข้าวสารราคาประหยัดกว่า 1.5 ล้านกิโล ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ก.ค.

People Unity News : 8 กรกฎาคม 2565 กระทรวงพาณิชย์ เปิดโครงการ “พาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน (ข้าวถุงราคาประหยัด) Lot 19” ร่วมกับสมาคมโรงสีข้าวไทย สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย และผู้ให้บริการปั๊มน้ำมัน จัดจำหน่ายข้าวถุงในราคาถูก 703 จุดทั่วประเทศ ทั้งข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมผสม ข้าวขาว และข้าวเหนียว ขนาด 1 กก. 5 กก. และ 48 กก. รวม 228 ยี่ห้อ คิดเป็นปริมาณกว่า 1.5 ล้านกิโลกรัม (1,500 ตัน)

สถานที่จำหน่ายข้าวถุงมีดังนี้

– 3 บริษัทปั๊มน้ำมันที่ร่วมโครงการ (PTT Station 244 จุด/ ปั๊มพีที 193 จุด/ ปั๊มบางจาก 43 จุด)

– กลุ่มโรงสีโกดังและร้านค้าของโรงสีทั่วประเทศ 46 จุด

– จุดที่พาณิชย์จังหวัดไปจัดในชุมชน 77 จุดทั่วประเทศ

– รถโมบายพาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล

ประชาชนสามารถติดตามจุดจำหน่ายได้ที่เว็บไซต์ https://mobilepanich.com หรือเว็บไซต์กรมการค้าภายใน www.dit.go.th

Advertisement

ก.พาณิชย์-ก.เกษตรฯ ชูวิสัยทัศน์ “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด”

People Unity News : พาณิชย์-เกษตรฯ ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าเกษตรและอาหารคุณภาพของโลก

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำทีมผู้บริหารของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงวิสัยทัศน์ “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ภายใต้ยุทธศาสตร์ตลาดนําการผลิต ณ กระทรวงพาณิชย์ (สนามบินนํ้า) โดยตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าเกษตรและอาหารคุณภาพของโลก มุ่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มจีดีพีประเทศ และเพิ่มรายได้เกษตรกรและผู้ประกอบการ พร้อมร่วมกันสร้าง Single Big Data โดยใช้ข้อมูลจากฐานเดียวกัน สร้างแพลตฟอร์มกลาง “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” สร้างความเชื่อมั่นด้วยคุณภาพ มาตรฐานความปลอดภัย และการตรวจสอบย้อนกลับ มุ่งพัฒนาคนและผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการของตลาด

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ภาคเกษตรถือเป็นรากฐานของประเทศและมีความเชื่อมโยงกับการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเกษตรกรและภาคเกษตรอย่างเป็นระบบ โดยได้มีการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับบริบทต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา โดยมุ่งเน้นให้เกษตรกรเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา เพื่อเพิ่มศักยภาพของเกษตรกรไทยสู่การเป็นเกษตรกรมืออาชีพที่สามารถบริหารจัดการสินค้าเกษตรได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่การผลิต การแปรรูป และการตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่หลากหลายได้อย่างเหมาะสม มีการผลิตสินค้าเกษตรที่ได้คุณภาพมาตรฐาน มีความปลอดภัยต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ อีกทั้งยังคำนึงถึงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

ทั้งนี้ การขับเคลื่อนการพัฒนาภาคเกษตรในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯได้ดำเนินนโยบายและมาตรการที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งพัฒนาและแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรอย่างจริงจัง โดยใช้หลัก “ตลาดนำการผลิต” ควบคู่กับการทำเกษตรสมัยใหม่ ส่งเสริมให้เกษตรกรใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อการวางแผนการผลิตได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ซึ่งช่วยแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำและล้นตลาด นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินนโยบายสนับสนุนในด้านอื่นๆ อาทิ การบริหารจัดการแหล่งน้ำทั้งระบบ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรจากภัยแล้งและอุทกภัย การส่งเสริมการทำเกษตรปลอดภัย เช่น สินค้าเกษตรที่ได้รับการรับรอง GAP การทำเกษตรกรรมยั่งยืน เช่น เกษตรพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ รวมทั้งส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรและบริการที่มีคุณภาพและมูลค่าสูง เช่น สินค้าเกษตรอัตลักษณ์ สินค้าเกษตรอินทรีย์ สินค้าเกษตรพรีเมี่ยม และการท่องเที่ยวเชิงเกษตร การลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผ่านระบบเกษตรแปลงใหญ่ การพัฒนาศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร จำนวน 882 ศูนย์ในทุกอำเภอทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาเกษตรกรเป็น Smart Farmer และ Young Smart Farmer ที่มีความเข้มแข็ง สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างกัน มีศักยภาพในการบริหารจัดการการผลิตอย่างเป็นระบบ รวมถึงการเพิ่มช่องทางในการจำหน่ายสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ผ่านตลาดออนไลน์ ตลอดจนมีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ (National Agricultural Big Data Center หรือ NABC) และศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritechand Innovation Center หรือ AIC) เพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและพี่น้องเกษตรกรสามารถเข้าถึงและนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ในการวางแผนการผลิตและการตลาด รวมถึงสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีเกษตร การประดิษฐ์นวัตกรรม และเครื่องจักรกลเกษตร เพื่อพัฒนาไปสู่การเป็นเกษตรอัจฉริยะและเกษตรสมัยใหม่

“ภาคเกษตรของไทยถือเป็นฐานการผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญของโลกที่มีความหลากหลาย ทั้งด้านพืช ประมง และปศุสัตว์ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯจะสนับสนุนการผลิต ควบคุมคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตร ทั้งสินค้าเกษตรทั่วไป สินค้าที่ได้มาตรฐาน และสินค้าพรีเมี่ยม ให้ตรงตามความต้องการของตลาด อย่างไรก็ตาม การพัฒนาภาคเกษตรของประเทศ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือและการบูรณาการจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคการศึกษา และเกษตรกร เพื่อสร้างความตระหนักรู้ กระตุ้นให้เกิดการปรับตัว เสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งให้กับภาคเกษตรและภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีการเติบโตอย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพต่อไป” นายเฉลิมชัย กล่าว

Advertising

“พิพัฒน์” ชูท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ “ประเทศไทยเป็นเมืองหลวงของโลกด้านการดูแลสุขภาพ”

People Unity News : คณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) เตรียมความพร้อม 3 ด้าน รับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หากได้รับการผ่อนปรนหลังสถานการณ์โควิด 19 คลี่คลาย

นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) ครั้งที่ 1/2563 โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธาน พร้อมด้วยคณะกรรมการจากภาครัฐและภาคเอกชนร่วมประชุม พิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเมื่อสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) คลี่คลาย

นายแพทย์ธเรศกล่าวว่า ที่ประชุมได้พิจารณาและเห็นชอบในหลักการ 3 ด้าน ได้แก่ 1.จัดทำแนวทางการรักษาพยาบาลพร้อมเป็นสถานกักกันในโรงพยาบาล สำหรับผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างชาติที่ต้องการเข้ารับการรักษาพยาบาลต่อเนื่องในประเทศไทย ซึ่งรวมผู้ติดตาม โดยแบ่งเป็นสถานกักกันในโรงพยาบาล (Hospital Quarantine) กักกันตัวผู้ป่วยชาวไทยที่เดินทางกลับเข้ามาในไทย และสถานกักกันในโรงพยาบาลทางเลือก (Alternative Hospital Quarantine) สำหรับผู้ป่วยชาวต่างชาติและผู้ติดตาม ต้องมีการนัดหมายไว้ล่วงหน้า โดยรักษาและกักกันเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน ต้องมีผลการตรวจโควิด 19 ก่อนเข้าประเทศไม่เกิน 72 ชั่วโมง เมื่อเข้ามารักษาต้องมีการตรวจอีก 3 ครั้ง (ก่อนรักษา ระหว่างรักษา และหลังการรักษา) เพื่อความปลอดภัยและเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่นำเชื้อมาแพร่ระบาดในไทย โดยค่าใช้จ่ายในการรักษากรณี Hospital Quarantine หากเป็นคนไทยเป็นไปตามสิทธิการรักษา หากเกินสิทธิ์ต้องจ่ายเองโดยสมัครใจ กรณี Alternative Hospital Quarantine ผู้ป่วยต่างชาติและคนไทยที่สมัครใจต้องชำระค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด

2.เห็นชอบให้ “ประเทศไทยเป็นเมืองหลวงของโลกด้านการดูแลสุขภาพ” โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ตราสัญลักษณ์ Medical Hub ภายใต้แนวคิด “Healthcare Capital of the World” และกำหนดข้อความสำคัญในการสื่อสารว่า “Beyond Healthcare, Trust Thailand” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการกลับเข้ามาใช้บริการรักษาพยาบาลในประเทศไทย และ 3.มาตรการพัฒนาชุดเครื่องมือแพทย์รองรับการระบาดของโรคโควิด 19 เพื่อรับมือและลดโอกาสติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ และผู้เข้ารับการตรวจหาเชื้อวิด 19 โดยเน้นการผลิตในประเทศไทย แบ่งเป็น 4 กลุ่มคือ เครื่องมือแพทย์สำหรับการคัดกรองและตรวจสอบโรค เครื่องมือแพทย์สำหรับการป้องกันและควบคุมโรค เครื่องมือแพทย์สำหรับการคัดแยกและการฆ่าเชื้อ และเครื่องมือแพทย์สำหรับการบำบัดรักษาโรค โดยเน้นการผลิตในประเทศไทย

Advertising

Verified by ExactMetrics