วันที่ 14 กันยายน 2025

“กรุงไทย” แนะผูกพร้อมเพย์ด้วยตัวเองง่ายๆ ผ่านแอปฯ Krungthai NEXT และตู้ ATM

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 กันยายน 2567 “กรุงไทย” แนะผูกพร้อมเพย์ด้วยตัวเองง่ายๆ ผ่านแอปฯ Krungthai NEXT และตู้ ATM กรุงไทยทั่วประเทศ

ธนาคารกรุงไทย พร้อมอำนวยความสะดวกประชาชน ในการผูกพร้อมเพย์ด้วยเลขบัตรประชาชน เพื่อเตรียมรับเงินในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ผ่านทุกช่องทางของธนาคาร อย่างไรก็ตาม เพื่อความสะดวก และรวดเร็ว ลูกค้าและประชาชนสามารถสมัครบริการผูกพร้อมเพย์ด้วยตัวเอง ผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT และตู้ ATM กรุงไทยทั่วประเทศ ง่ายๆ ดังนี้

สมัครพร้อมเพย์ผ่าน Krungthai NEXT

-กดเมนูบริการ เลือก “พร้อมเพย์” เลือกหมายเลขที่ต้องการสมัคร (พร้อมเพย์รับเงินจากภาครัฐ ต้องผูกกับหมายเลขบัตรประชาชนเท่านั้น)

-ตรวจสอบ และยืนยันข้อมูล

สมัครพร้อมเพย์ ผ่านตู้ ATM สีเงิน

-สอดบัตร ATM / บัตรเดบิต เลือกบริการอื่นๆ และเลือกพร้อมเพย์

-เลือก “สมัครบริการพร้อมเพย์” และเลือกผูกด้วยเลขบัตรประชาชน

-กรอกเบอร์โทรศัพท์มือถือ และยืนยันข้อมูล

สมัครพร้อมเพย์ ผ่านตู้ ATM สีฟ้า

-สอดบัตรแล้วเลือก “บริการพร้อมเพย์” เลือก “สมัครบริการพร้อมเพย์”

-เลือกผูกด้วยเลขบัตรประชาชน กรอกเบอร์โทรศัพท์มือถือ เพื่อยืนยันการสมัคร

-เลือกประเภทบัญชีในบัตร และยืนยันข้อมูล

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Krungthai Contact Center โทร 02-111-1111

Advertisement

รัฐบาลชวนสายเที่ยว-บริษัททัวร์ ร่วมโครงการทัวร์เที่ยวไทย เผยเหลือสิทธิ์กว่า 168,000 สิทธิ์

People Unity News : รัฐบาลเชิญชวนสายเที่ยว-บริษัททัวร์ ร่วมโครงการทัวร์เที่ยวไทย เผยเหลือสิทธิ์กว่า 168,000 สิทธิ์ นายกรัฐมนตรีกำชับปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคเข้มงวด

11 ก.พ. 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่รัฐบาลได้ขยายระยะเวลาโครงการทัวร์เที่ยวไทยจากเดิมสิ้นสุดเดือน ก.พ. 2565 ไปสิ้นสุด พ.ค. 2565 ขณะนี้ระบบได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนซื้อรายการนำเที่ยว บริษัทนำเที่ยวรายเดิมเริ่มส่งรายการนำเที่ยว และบริษัทนำเที่ยวรายใหม่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้แล้ว จึงขอเชิญชวนทั้งประชาชนที่สนใจ และผู้ประกอบการนำเที่ยวเข้าร่วมโครงการ

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถดำเนินการขอรับสิทธิตามโครงการผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังค์ โดยสามารถตรวจสอบแพ็คเกจท่องเที่ยวของบริษัทนำเที่ยวที่เข้าร่วมโครงการได้ที่เว็บไซต์ www.ทัวร์เที่ยวไทย.ไทย ซึ่งมีการจัดแบ่งกลุ่มให้เลือก 3 กลุ่ม  ประกอบด้วยกลุ่ม silver เป็นแพ็คเกจทัวร์ราคาถูก กลุ่ม Gold แพ็คเกจทัวร์ราคาปานกลาง และกลุ่ม Platinum แพ็คเกจทัวร์ราคาสูง

ขณะที่ผู้ประกอบการนำเที่ยวรายเดิมสามารถยื่นรายการนำเที่ยวส่วนผู้ประกอบการรายใหม่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการและศึกษารายละเอียดขั้นตอนและหลักเกณฑ์ตามโครงการได้ที่เว็บไซต์ www.ทัวร์เที่ยวไทย.ไทย  ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 9 ก.พ. 2565 เหลือสิทธิตามโครงการกว่า 168,000 สิทธิ จากที่รัฐบาลให้สิทธิ 2 แสนสิทธิ

สำหรับสิทธิตามโครงการนี้ รัฐบาลจะสนับสนุนส่วนลดค่าแพ็คเกจท่องเที่ยวในประเทศให้ประชาชนผู้ร่วมโครงการ 40% แต่ไม่เกิน 5,000 บาท/สิทธิ โดยให้ 1 สิทธิต่อคน  รวมทั้งหมด 2 แสนสิทธิ  โดยผู้จะเข้าร่วมโครงการจะต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย อายุ 18 ปีขึ้นไป และจะไม่สามารถใช้แพ็คเกจท่องเที่ยวของโครงการทัวร์เที่ยวไทยในช่วงเวลาเดียวกับการเข้าพักโรงแรม/ที่พักของโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 4 ได้

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม  ได้กำชับว่าเนื่องจากขณะยังคงมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงขอให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เข้มงวดในเรื่องของการกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการเพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดที่อาจเกิดขึ้นจากการเดินทางท่องเที่ยวภายใต้โครงการฯ และกำกับให้ผู้ประกอบการนำเที่ยวดูแลนักท่องเที่ยวตามมาตรการป้องกันโรคโดยเคร่งครัด

Advertising

“สุพัฒนพงษ์” เยือนญี่ปุ่นครั้งแรกนับจากโควิดระบาด ดึงการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์-เทคโนโลยีขั้นสูง

People Unity News : 20 เมษายน 2565 บีโอไอ เผยรองนายกรัฐมนตรี นำคณะหน่วยงานด้านเศรษฐกิจเดินทางไปชักจูงการลงทุน ณ ประเทศญี่ปุ่น พร้อมพบหารือกับบริษัทชั้นนำในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ สานความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ยกระดับกลุ่มอุตสาหกรรม BCG ย้ำไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญในภูมิภาค

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 19 – 23 เมษายน 2565 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร ผู้แทนการค้าไทย นำคณะหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของไทยเดินทางไปชักจูงการลงทุน ณ กรุงโตเกียว และ จังหวัดคานากาวะ ประเทศญี่ปุ่น นับเป็นการเดินทางเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการครั้งแรกนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19

“สถานการณ์การระบาดของโควิด – 19 ของโลกเริ่มคลี่คลาย ทำให้หลายประเทศรวมทั้งไทยเริ่มเปิดประเทศ และสามารถเดินทางระหว่างประเทศได้ ในช่วงเวลานี้การลงทุนถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ บีโอไอจึงต้องเร่งจัดกิจกรรมชักจูงลงทุน ประชาสัมพันธ์มาตรการส่งเสริมการลงทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน” นางสาวดวงใจกล่าว

วัตถุประสงค์ของการเดินทางเยือนญี่ปุ่นในครั้งนี้ เพื่อสานต่อข้อริเริ่มการเป็นหุ้นส่วนการร่วมสร้างสรรค์ (co – creation) ระหว่างไทย – ญี่ปุ่น และนำไปสู่การลงทุนในอนาคต ภายใต้ข้อริเริ่ม “Asia – Japan Investing for the Future Initiative” หรือ AJIF ที่ทั้งสองฝ่ายได้ประกาศเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

สำหรับการเดินทางเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี และคณะฯ มีกำหนดการเข้าพบ นายฮิโรคาสึ มัตสึโนะ หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น รวมทั้งหารือกับ นายฮากิอูดะ โคอิจิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น สมาพันธ์สมาคมธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น (KEIDANREN) รวมถึงบริษัทเอกชนรายใหญ่ของญี่ปุ่น ทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์  เพื่อนำเสนอนโยบายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่ไทยให้ความสำคัญ ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การแพทย์ อุตสาหกรรมกลุ่ม BCG การท่องเที่ยวและบริการ

นางสาวดวงใจกล่าวว่ารัฐบาลไทยได้ออกมาตรการหลายประการเพื่อสนับสนุนและอำนวยความสะดวกนักลงทุนหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ มาตรการส่งเสริมการใช้ยานพาหนะไฟฟ้า มาตรการด้านภาษี และการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวข้องกับยานพาหนะไฟฟ้า เช่น สถานีชาร์จยานพาหนะไฟฟ้า และการส่งเสริมโรงงานผลิตแบตเตอรี่ เป็นต้น

มาตรการส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับยานพาหนะไฟฟ้า รวมถึงการส่งเสริมโรงงานผลิตแบตเตอรี่ จะส่งผลให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะด้วย ถือเป็นโอกาสดีที่บริษัทญี่ปุ่นทั้งในกลุ่มยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีมาตรการเชิญชวนให้นักธุรกิจและนักลงทุนญี่ปุ่นเดินทางเข้ามาพำนักในประเทศไทย โดยกำหนดวีซ่าประเภทพิเศษคือวีซ่าสำหรับผู้พำนักระยะยาว (Long – Term Resident Visa: LTR) ซึ่งมีอายุถึง 10 ปี และญี่ปุ่นเป็นกลุ่มเป้าหมายสำหรับวีซ่าประเภทใหม่นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มบุคลากรทักษะสูง

Advertisement

ลูกจ้างโรงแรมเฮ 13 เม.ย เริ่มรับค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 400 บาท

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 เมษายน 2567 ลูกจ้างโรงแรมเฮ 13 เม.ย เริ่มรับค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 400 บาท เตือนนายจ้างหากไม่จ่าย มีความผิดตามกฎหมาย

วันนี้ (13 เมษายน 2567) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามมติของคณะกรรมการค่าจ้างกำหนดให้ลูกจ้างทำงานในประเภทกิจการโรงแรมที่ได้รับมาตรฐานที่พักเพื่อการท่องเที่ยว ประเภทโรงแรมระดับการให้บริการ 4 ดาวและมีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป ได้รับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 400 บาทใน 10 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เฉพาะเขตปทุมวันและวัฒนา, กระบี่ เฉพาะเขต อบต.อ่าวนาง, ชลบุรี เฉพาะเขตเมืองพัทยา, เชียงใหม่ เฉพาะเขตเทศบาลนครเชียงใหม่, ประจวบคีรีขันธ์ เฉพาะเขตเทศบาลหัวหิน, พังงา เฉพาะเขตเทศบาลตำบลคึกคัก, ภูเก็ตทั้งจังหวัด, ระยอง เฉพาะเขตตำบลเพ, สงขลา เฉพาะเขตเทศบาล นครหาดใหญ่ และสุราษฎร์ธานี เฉพาะเขตเทศบาลนครเกาะสมุย

นายคารม กล่าวว่า วันนี้ (13 เมษายน 2567) วันแรกที่นายจ้างต้องจ่ายอัตราค่าแรงขั้นต่ำให้กับลูกจ้าง หากนายจ้างไม่ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทต่อวัน จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานปี 2541 โดยลูกจ้างสามารถร้องเรียนได้ที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน

“คณะกรรมการค่าจ้างฯ ได้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประเภทกิจการโรงแรม โดยพิจารณาบนพื้นฐานของความเสมอภาค และรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย เพื่อให้นายจ้าง/ลูกจ้าง สามารถประกอบธุรกิจและดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุข ซึ่งคณะกรรมการค่าจ้างจะได้มีการติดตามผลกระทบที่เกิดจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประเภทกิจการโรงแรม เพื่อนำไปสู่การพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของคณะกรรมการค่าจ้างด้วยความรอบคอบต่อไป” นายคารม ย้ำ

Advertisement

แนวโน้มตลาดเครื่องมือแพทย์ไทยปี 70 มูลค่ากว่าแสนล้าน

People Unity News : 12 มิถุนายน 2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีแนวโน้มตลาดเครื่องมือแพทย์ของไทยเติบโตต่อเนื่อง คาดการณ์ในปี 2570 มีมูลค่ากว่าแสนล้านบาท อัตราการเติบโตเฉลี่ย 8.1% ระหว่างปี 2562-2570

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ตลาดเครื่องมือแพทย์ในไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าในปี 2570 ตลาดเครื่องมือแพทย์ของประเทศไทยจะมีมูลค่ากว่าแสนล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 8.1% (2562-2570) สืบเนื่องมาจากความต้องการนวัตกรรมทางการแพทย์ที่เพิ่มมากขึ้น โดยเชื่อมั่นว่าไทยพร้อมตอบรับกระแสความต้องการ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกตระหนักถึงประเด็นทางด้านสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดเครื่องมือแพทย์เติบโต จากข้อมูลของสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ไทย พบว่าตลาดเครื่องมือแพทย์ของโลกเติบโตเฉลี่ยปีละ 6.1% คาดการณ์ว่าในปี 2570 จะมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 7.44 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ตลาดเครื่องมือแพทย์ของไทย คาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 3.38 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่าแสนล้านบาทในปี 2570 มีอัตราเติบโตเฉลี่ย 8.1% ต่อปี (ปี 2562-2570)

นายอนุชา กล่าวว่า งานวิจัยของธนาคารกรุงศรีอยุธยา พบว่าในปี 2565-2566 มูลค่าจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ในประเทศจะเติบโตเฉลี่ย 5.0-7.0 % ต่อปี ความต้องการอุปกรณ์การแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับสุขอนามัยและการดูแลสุขภาพ ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ เป็นผลมาจาก 1. อัตราการเจ็บป่วยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 2. จำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่มีแนวโน้มกลับมาใช้บริการในไทยเพิ่มขึ้นในปี 2565-2566 3. ผู้ประกอบการโรงพยาบาลมีแผนขยายการลงทุนต่อเนื่อง 4. กระแสการใส่ใจสุขภาพและการดูแลสุขภาพแบบครบวงจรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลก 5. ประเทศคู่ค้าหลักของไทยยังมีความต้องการอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่อเนื่อง 6. นโยบายสนับสนุนจากรัฐบาลในการพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) และ 7. การพัฒนาผลิตภัณฑ์/นวัตกรรมการแพทย์ใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้น

“นายกรัฐมนตรี สั่งการให้ติดตามแนวโน้มการเติบโตของตลาดเครื่องมือแพทย์ของประเทศไทย วางแผนทางการตลาด ตั้งรับความต้องการ ทั้งการผลิตเพื่อบริโภคในประเทศ และการผลิตเพื่อส่งออก รวมทั้งคาดการณ์มูลค่าตลาด การเติบโตของอุตสาหกรรมชีวเภสัชภัณฑ์ รวมทั้งแนวทางการสนับสนุนไทยในภาคธุรกิจการแพทย์” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

เปิดลงทะเบียน “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ผ่านแอปฯ ทางรัฐ 25 ส.ค.นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 สิงหาคม 2568 ทำเนียบ – นโยบายเพื่อคนไทยลดภาระค่าใช้จ่าย รัฐบาลเปิดลงทะเบียน “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ผ่านแอปฯ ทางรัฐ เริ่มพรุ่งนี้ ไม่จำกัดสิทธิ คาดผู้โดยสารเพิ่ม 20%

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงคมนาคม พร้อมเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการค่าโดยสาร “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ตั้งแต่เวลา 00.01 น. วันที่ 25 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป โดยไม่จำกัดสิทธิและจำนวนผู้ลงทะเบียน ผู้ลงทะเบียนต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย มีบัตรประชาชน 13 หลัก และบัตรโดยสารที่สามารถผูกเข้ากับระบบ ซึ่งจะเริ่มใช้งานจริงได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ครอบคลุมรถไฟฟ้า 10 สายทุกเส้นทาง

ขั้นตอนการลงทะเบียนทำได้ง่าย เพียงดาวน์โหลดและติดตั้งแอปฯ “ทางรัฐ” บนสมาร์ทโฟน เลือกเมนูลงทะเบียนรถไฟฟ้า 20 บาท กรอกเลขบัตรประชาชน และผูกบัตรโดยสารที่ต้องการใช้สิทธิ โดยบัตรที่รองรับแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

1.บัตร EMV Contactless (Visa, Mastercard และบัตรแมงมุม EMV ของ MRT) สำหรับ MRT และ Airport Rail Link

2.Rabbit Card สำหรับ BTS

ทั้งนี้ การใช้สิทธิต้องแตะเข้า–ออกด้วยบัตรที่ลงทะเบียนไว้ หากใช้บัตรอื่นหรือซื้อตั๋วเที่ยวเดียว จะถูกคิดตามอัตราปกติ สำหรับการเดินทางต่อเดียวกัน กำหนดเวลา 180 นาที หากเปลี่ยนสายระหว่างสถานีภายใน 30 นาที ยังใช้สิทธิ 20 บาทได้ แต่หากเกินเวลาจะคิดค่าแรกเข้าใหม่ทันที

โครงการนี้เปิดลงทะเบียนได้อย่างต่อเนื่อง ไม่จำกัดจำนวน โดยคาดว่าหลังเริ่มใช้งานจริง จะมีผู้โดยสารรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นราว 20% จากปัจจุบันเฉลี่ยวันละ 1.7 ล้านเที่ยว ทั้งนี้ การทดสอบในสายสีแดงและสีม่วงที่เคยให้ใช้ฟรี 1 สัปดาห์ พบว่าผู้โดยสารเพิ่มขึ้นกว่า 39% สะท้อนถึงศักยภาพของมาตรการลดค่าโดยสารในการดึงดูดการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ

“รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนร่วมลงทะเบียนใช้สิทธิรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการเดินทาง และส่งเสริมให้คนไทยหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

กบข.จับมือแบงก์กรุงไทย เปิดให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยแก่สมาชิก กบข. ดอกเบี้ยถูกที่สุดในระบบ

People unity : กบข. ร่วมกับธนาคารกรุงไทย เปิดให้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยภายใต้โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยธนาคารกรุงไทยเพื่อสมาชิก กบข. เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับสมาชิก กบข. อัตราดอกเบี้ยถูกที่สุดในระบบ

นายวิทัย รัตนากร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข. ร่วมกับธนาคารกรุงไทย เปิดให้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยภายใต้โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยธนาคารกรุงไทยเพื่อสมาชิก กบข. เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับสมาชิก กบข. ที่ต้องการซื้อหรือสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ ปรับปรุง ต่อเติม หรือไถ่ถอนจำนองที่อยู่อาศัยเดิมจากสถาบันการเงินอื่น

จุดเด่นของสินเชื่อดังกล่าว คือ ให้อัตราดอกเบี้ยถูกที่สุดในระบบคือ 0% ในปีแรก อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีอยู่ที่  2.88% ต่อปี ให้วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 100% ของราคาประเมิน หรือ ราคาซื้อขายจริง ผู้ขอกู้ต้องเป็นสมาชิก กบข. และเป็นลูกค้าสินเชื่อรายใหม่ของธนาคารกรุงไทยเท่านั้น

นายวิทัยกล่าวว่า โครงการนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากสมาชิก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยถูกที่สุดในระบบ ช่วยให้สมาชิกสามารถบริหารจัดการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสิทธิพิเศษนี้มอบให้สำหรับสมาชิก กบข. เท่านั้น ผู้ที่สนใจควรรีบสมัครใช้สิทธิเพราะโครงการจะหมดเขตวันที่ 30 เมษายนนี้แล้ว

สมาชิก กบข. สามารถสมัครใช้สิทธิได้ที่ My GPF Application กดเมนูสิทธิพิเศษ แล้วเลือกแบนเนอร์สินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสมาชิก กบข. เมื่อกดใช้สิทธิจะมีเจ้าหน้าที่ธนาคารติดต่อกลับภายใน 1 – 2 วันทำการ หรือ สมัครใช้บริการได้ที่ธนาคารกรุงไทย ทุกสาขาทั่วประเทศ โทรสอบถามข้อมูลได้ที่ Call Center ธนาคารกรุงไทย 0-2111-1111 หรือศึกษาข้อมูลโครงการเพื่อเตรียมเอกสารประกอบการสมัครได้ที่เว็บ กบข. เมนูสวัสดิการลดรายจ่าย เลือกหัวข้อ สินเชื่อกรุงไทยเพื่อสมาชิก กบข.

เศรษฐกิจ : กบข.จับมือแบงก์กรุงไทย เปิดให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยแก่สมาชิก กบข. ดอกเบี้ยถูกที่สุดในระบบ

People unity : post 27 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 14.30 น.

ธอส.มอบของขวัญปีใหม่ ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนลูกหนี้ของ  ธอส.ต่อเนื่อง

People Unity News : 23 ธ.ค.64 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ประกาศมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน เพื่อช่วยเหลือลูกค้าของ ธอส. ที่ยังได้รับผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 และความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ได้ตามสัญญายังไม่กลับมาเหมือนเดิม ประกอบด้วย การขยายความช่วยเหลือให้ลูกค้าเดิมที่อยู่ระหว่างการใช้ 9 มาตรการปัจจุบันของธนาคาร ซึ่งจะสิ้นสุดความช่วยเหลือในวันที่ 31 ธันวาคม 2565 สามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เพื่อขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ผ่านมาตรการที่ 18 [M18]  : สำหรับลูกค้ารายย่อยที่มีสถานะบัญชีปกติ สามารถเลือกแบ่งจ่ายเงินงวดผ่อนชำระ [ตัดต้น และดอกเบี้ย] และลดอัตราดอกเบี้ย 0.25-0.50% ต่อปี และมาตรการที่ 19 [M19] : สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการสินเชื่อแฟลต สามารถเลือกแบ่งจ่ายเงินงวดผ่อนชำระ [ตัดต้น และดอกเบี้ย] และลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB Buddy บน Application Line หรือ www.ghbank.co.th หรือ สาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2564 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป ขณะที่ลูกค้ารายย่อยสถานะ NPL และลูกค้ารายย่อย NPL ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ และไม่ได้อยู่ในมาตรการ สามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการที่ 17[M17] : ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เดือนที่ 1-3 เหลือ 0% ต่อปี เดือนที่ 4-6 เท่ากับ 1.99% ต่อปี และเดือนที่ 7-12 เท่ากับ 3.90% ต่อปี ช่วยเหลือนานสูงสุด 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 ตามนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบันผ่านมาตรการต่าง ๆ รวม 20 มาตรการ ภายใต้ “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” และ “โครงการ ธอส. รวมไทย สร้างชาติ” โดย ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 มีจำนวนลูกค้าได้รับความช่วยเหลือตามมาตรการของธนาคารรวมสูงสุดถึง 972,978 บัญชี เงินต้นคงเหลือ 846,911 ล้านบาท ซึ่งลูกค้าที่เข้ามาตรการส่วนใหญ่สามารถปรับตัวและกลับมาผ่อนชำระได้ตามปกติ ยังคงเหลือลูกค้าที่ยังอยู่ระหว่างการได้รับความช่วยเหลือตามมาตรการ รวมจำนวน 109,094 บัญชี เงินต้นคงเหลือ 113,281 ล้านบาท ประกอบด้วย มาตรการที่ 2 [M2], มาตรการที่ 9[M9], มาตรการที่ 10[M10], มาตรการที่ 11[M11], มาตรการที่ 12[M12],มาตรการที่ 13[M13], มาตรการที่ 14[M14], มาตรการที่ 15[M15] และ มาตรการที่ 16 [M16] ซึ่งกำลังจะสิ้นสุดความช่วยเหลือในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้กับลูกค้าที่ยังคงได้รับผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 และดำเนินการตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรื่องแนวทางการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย (มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน) ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคาร เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2564 จึงได้มีมติให้ ธอส. จัดทำ “มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน” เพื่อขยายความช่วยเหลือให้กับลูกค้าเดิมที่ยังอยู่ระหว่างการใช้มาตรการความช่วยเหลือของ ธอส. จำนวน 9 มาตรการ(M2, M9, M10, M11, M12, M13, M14, M15 และ M16) ที่ความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ยังไม่กลับมาเป็นปกติได้ตามสัญญา ซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 มาอย่างต่อเนื่อง และยาวนาน จึงจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือลดภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาว โดยจะได้รับความช่วยเหลือในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ดังนี้

มาตรการที่ 18 [M18]  : สำหรับลูกค้ารายย่อยที่มีสถานะบัญชีปกติ รองรับลูกค้าเดิมใน  M2, M9, M 11, M13 และ M15 เลือกแบ่งจ่ายเงินงวดผ่อนชำระ (ตัดเงินต้น ตัดดอกเบี้ย) เหลือ 25% หรือ 50% หรือ 75% ของเงินงวดผ่อนชำระปกติ และลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ใช้อยู่ลงอีก 0.25-0.50% ต่อปี ระยะเวลาความช่วยเหลือตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2565 โดยสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB Buddy บน Application Line หรือ www.ghbank.co.th หรือ สาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2564 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 25 มกราคม 2565

มาตรการที่ 19 [M19] : สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการสินเชื่อแฟลต รองรับลูกค้าเดิมใน M12 เลือกแบ่งจ่ายเงินงวดผ่อนชำระ (ตัดเงินต้น ตัดดอกเบี้ย) เหลือ 25% หรือ 50% หรือ 70% ของเงินงวดผ่อนชำระปกติ และลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ใช้อยู่ลงอีก 0.25% ต่อปี ระยะเวลาความช่วยเหลือตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2565 โดยสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการได้ที่สำนักงานใหญ่และสาขาทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2564 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 25 มกราคม 2565

มาตรการที่ 17 [M17] : สำหรับลูกค้ารายย่อยสถานะ NPL และลูกค้ารายย่อย NPL ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้และไม่ได้อยู่ในมาตรการ หรือรองรับลูกค้าเดิมใน M10, M14 และ M16 จะได้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0% ต่อปี ในเดือนที่ 1-3 เดือนที่ 4-6 เท่ากับ 1.99% ต่อปี และเดือนที่ 7-12 เท่ากับ 3.90% ต่อปี ระยะเวลาความช่วยเหลือสูงสุดนาน 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้น โดยสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB Buddy บน Application Line หรือ www.ghbank.co.th ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม  2565 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565

ทั้งนี้ ลูกค้าตามมาตรการข้างต้นที่ต้องการขยายระยะเวลาความช่วยเหลือจะต้อง Upload แสดงหลักฐานยืนยันว่าได้รับผลกระทบทางรายได้ให้ธนาคารพิจารณาผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB Buddy บน Application Line ส่วนกรณีที่ลูกค้าไม่มีสมาร์ทโฟนสามารถกรอกข้อมูลเพื่อแจ้งความประสงค์ขอรับความช่วยเหลือตามมาตรการได้ที่ www.ghbank.co.th สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th, Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ  Application : GHB ALL

Advertising

กรมศุลกากร หาทางช่วยประชาชน ดึงราคา Car Seat เตรียมเสนอ ครม. ลดอากรขาเข้า

People Unity News : 14 พฤษภาคม 2565 นายชัยยุทธ คำคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากรในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ตามที่ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2565 กำหนดให้ผู้โดยสารที่นั่งแถวตอนหน้าและที่นั่งแถวตอนอื่น ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งตลอดเวลาในขณะโดยสารรถยนต์ และผู้โดยสารที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องจัดให้นั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก หรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กเพื่อป้องกันอันตราย ทำให้ประชาชนให้ความสนใจในภาษีอากรขาเข้าที่อาจส่งผลต่อราคาของสินค้าดังกล่าว

กรมศุลกากร ขอชี้แจงให้ประชาชนทราบว่า ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก (Car Seat) จัดเป็นของในประเภทพิกัด 9401.80.00 โดยมีอัตราอากรขาเข้า อยู่ที่ร้อยละ 20 แต่หากนำเข้าภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ที่ประเทศไทยมีอยู่ก็จะสามารถใช้สิทธิพิเศษยกเว้นอากรขาเข้าได้สำหรับทุกความตกลง อย่างไรก็ตาม การลดอัตราอากรขาเข้าเป็นการทั่วไปให้ต่ำกว่าร้อยละ 20 นั้น เป็นเรื่องนโยบายซึ่งกรมศุลกากรอยู่ระหว่างการหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เพื่อนำเสนอต่อกระทรวงการคลังและคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้เพื่อให้อัตราอากรของที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กอยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อประโยชน์ต่อผู้บริโภคและไม่กระทบต่อผู้ผลิตในประเทศต่อไป

Advertisement

นายกฯ เร่งเครื่องกระตุ้นท่องเที่ยว เครื่องยนต์หลัก ศก.ไทย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 เมษายน 2568 นายกฯ เร่งเครื่องกระตุ้นการท่องเที่ยว เครื่องยนต์หลักเศรษฐกิจไทย

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความ ถึงการประชุมติดตามสถานการณ์การท่องเที่ยวไทย ว่า เรายกให้ปีนี้ต้องเป็นปีแห่งการท่องเที่ยว Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 เป้าหมายคือนักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องกลับมาเกือบเท่าก่อนสถานการณ์โควิด หรือต้องแตะ 40 ล้านคน ซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายเรา ไม่เพียงจำนวนนักท่องเที่ยว แต่คือรายจ่ายต่อหัว (Spending per head) และ จำนวนวันที่อยู่ในประเทศ (Length of stay) ต้องมากขึ้นด้วย

แต่ตัวเลขในช่วงที่ผ่านมา ยังไม่เป็นที่น่าพอใจค่ะ การประชุมวันนี้ดิฉันจึงอยากมาหารือร่วมกับทุกท่าน เพื่อหามาตรการใหม่ๆ การท่องเที่ยวแบบเดิมคงทำไม่ได้อีกต่อไป แต่เราต้องทำการท่องเที่ยวแบบมีวัตถุประสงค์ชัดเจน สร้างจุดมุ่งหมายใหม่ให้การท่องเที่ยวไทย เช่น การมาเพื่อรักษาพยาบาล, มาเพื่อพักผ่อนระยะยาว, มาเพื่ออยู่อาศัยช่วงวัยเกษียณ, มาเพื่อทำงานของกลุ่ม digital nomad เป็นต้น ซึ่งนี่จะเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายระยะยาวและทำให้การมาไทยนานขึ้น ตลอดจนมาตรการเร่งด่วนระยะสั้น เช่น มาตรการท่องเที่ยวภายในประเทศในเมืองหลักและเมืองรอง เพื่อทำให้เม็ดเงินดันลงไปสู่เศรษฐกิจฐานรากมากขึ้นค่ะ

ประเทศไทยมีรากฐานที่แข็งแรงหลายมิติ แต่หากต้องจัดลำดับเพื่อลงลึกในการพัฒนา เราอาจต้องเลือกบางแง่มุมที่เป็นจุดแข็งและมีศักยภาพอยู่แล้ว เช่น อาหาร กีฬา นอกจากนี้ ยืนยันว่าการพัฒนาผลักดันเรื่องการท่องเที่ยว ภาคเอกชนมีส่วนสำคัญ จึงอยากให้ทุกภาคส่วน รวมถึงทีมไทยแลนด์ที่ทำงานต่างประเทศ ได้ร่วมมือกับภาคเอกชน เพราะภาคเอกชนเป็นส่วนที่เห็นหน้างานและปัจจัยที่สุด ซึ่งประเด็นนี้จะมีการทำเวิร์กช็อปร่วมกันต่อไปเพื่อพัฒนาต่อไป เพื่อทำให้การท่องเที่ยวไทย เดินเครื่องอย่างเต็มศักยภาพมากยิ่งขึ้น

Advertisement

Verified by ExactMetrics