วันที่ 15 มิถุนายน 2025

นายกฯ สั่งเหล่าทัพ-ตร.จัดการแก๊งค้าน้ำมันเถื่อน-น้ำมันเขียว

People Unity News : 22 กรกฎาคม 2566 นายกฯ สั่งเหล่าทัพ-ตำรวจ จัดการขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน-น้ำมันเขียว ทะลักลอบขนถ่ายทางทะเล และนำเข้าจากมาเลเซีย สอบเส้นทางการเงิน เชื่อมีผลกระทบราคาน้ำมัน

พันเอก จิตนาถ ปุณโณทก รองโฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมสภากลาโหมว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กําชับ ผบ.เหล่าทัพ โดยเฉพาะตำรวจ เข้าไปดูแลเด็ดขาดขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ทั้งน้ำมันเขียว ที่มีการขนถ่ายทางทะเล รวมทั้งน้ำมันลักลอบนำเข้าจากมาเลเซีย และน้ำมันภายในประเทศที่หมุนออกและเข้าภายในประเทศ จึงมีผลต่อราคาพลังงานและระบบภาษีในภาพรวม พร้อมขอให้ ผบ.ตร. จัดการกับขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง โดยลงลึกเส้นทางการเงินกับผู้เกี่ยวข้อง และหากมีข้าราชการเข้าไปเกี่ยวข้อง ขอให้ดําเนินการขั้นเด็ดขาดและให้เห็นผลโดยเร็ว

Advertisement

กฟผ. มอบส่วนลดซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 มูลค่า 500 บาท จำนวน 10,000 สิทธิ์ พรุ่งนี้-30 มิ.ย.

People Unity News : 31 มีนาคม 2565 กฟผ. ชวนคนไทยลดใช้พลังงาน มอบส่วนลดซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 มูลค่า 500 บาท จำนวน 10,000 สิทธิ์ ตั้งแต่พรุ่งนี้ – 30 มิ.ย.65

นายสุทธิพงษ์ เฉลิมเกียรติ ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารจัดการความยั่งยืน ในฐานะรองโฆษกการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า กฟผ. ชวนประชาชนร่วมใจประหยัดพลังงานผ่านแคมเปญ “Save Energy for ALL ร่วมใจประหยัดพลังงาน ผ่านวิกฤตไปด้วยกัน” ด้วยการส่งเสริมการเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ประสิทธิภาพสูงและประหยัดไฟ

โดยมอบส่วนลด 500 บาท เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 มูลค่ารวม 1,000 บาท ขึ้นไป จำนวน 10,000 สิทธิ์

เริ่มใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. – 30 มิ.ย.65 หรือจนกว่าจะครบสิทธิ์ (สงวนสิทธิ์พนักงาน กฟผ. งดเข้าร่วมโครงการ)

เงื่อนไขการรับสิทธิ์ :

– แสดงบัตรประชาชน พร้อมสำเนาหรือรูปถ่ายทะเบียนบ้านที่มีรหัสประจำบ้าน ณ จุดขายที่เข้าร่วมโครงการ จำกัดครอบครัวละ 1 สิทธิ์

– แสดงหลักฐานการเพิ่มเพื่อนใน LINE@EGAT หรือ Facebook : กฟผ. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย อย่างใดอย่างหนึ่ง

– ต้องใช้สิทธิ์ภายในวันที่ลงทะเบียนรับสิทธิ์เท่านั้น

สำหรับห้างสรรพสินค้าและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ โฮมโปร เมกาโฮม เดอะมอลล์ ดิเอ็มโพเรียม สยามพารากอน บลูพอร์ต พาวเวอร์บาย แกรนด์โฮมมาร์ท ไทวัสดุ baan&Beyond ร้านค้าในสังกัดสมาคมผู้ค้าเครื่องปรับอากาศไทย และร้านสหกรณ์ผู้ปฏิบัติงาน กฟผ.

Advertisement

“คุณสู้เราช่วย” ยังทัน!! รัฐบาลขยายเวลา ลงทะเบียนได้ถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 พฤษภาคม 2568 “คุณสู้เราช่วย” ร่วมโครงการยังทัน รัฐบาลขยายเวลาช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย – SMEs ต่อเนื่องลงทะเบียนได้ถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้

วันนี้ (2 พฤษภาคม 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ได้ดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2567

ล่าสุด ณ วันที่ 24 เมษายน 2568 มีผู้ลงทะเบียนแล้วรวม 1.6 ล้านบัญชี จากลูกหนี้ 1.3 ล้านราย โดยจากการตรวจสอบคุณสมบัติเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2568 พบว่ามีผู้ผ่านเกณฑ์จำนวน 530,000 ราย หรือร้อยละ 27 ของกลุ่มลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติรวม 1.9 ล้านราย คิดเป็นยอดหนี้รวม 385,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 43 ของยอดหนี้ที่เข้าเกณฑ์ทั้งหมด 890,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน ส่งผลให้ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางจำนวนมากยังประสบปัญหาการชำระหนี้ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับการช่วยเหลือ รัฐบาลโดยกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ธปท. และสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง จึงเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาลงทะเบียนโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2568 ออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เวลา 23.59 น.

“รัฐบาลยืนยันความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ที่ยังเผชิญปัญหาทางการเงิน โดยเปิดโอกาสให้ผู้ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เวลา 23.59 น. ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดและลงทะเบียนได้ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo หรือที่สาขาสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ BOT Contact Center โทร 1213” นางสาวศศิกานต์กล่าว

Advertisement

รมว.คลังลงพื้นที่เยี่ยมชมงานกลุ่มเกษตรกรทำนาแปลงใหญ่แบบอินทรีย์ จ.ขอนแก่น

People Unity News : รมว.คลังเยี่ยมชมงานกลุ่มเกษตรกรทำนาแปลงใหญ่แบบอินทรีย์ จ.ขอนแก่น

25 กันยายน 2564 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและประธานกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เดินทางลงพื้นที่เยี่ยมชมงาน “กลุ่มเกษตรกรทำนาเศรษฐกิจพอเพียงบ้านกุดน้ำใส” ตำบลกุดน้ำใส อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของเกษตรกรในการทำนาแปลงใหญ่แบบอินทรีย์ โดยได้มาตรฐานสินค้าเกษตร (มกษ.) แบบปลอดภัย ได้มาตรฐาน Good Agricultural Practices (GAP) และแบบดั้งเดิม รวมถึงมีการแปรรูปเป็นข้าวสารเพื่อส่งจำหน่ายในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น มีการเพาะเมล็ดพันธุ์  เพื่อส่งศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวและให้เกษตรกรในตำบลกุดน้ำใส อีกทั้งมีการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการผลิต อาทิ การตรวจวิเคราะห์ดิน เครื่องหยอดเมล็ด การใช้โดรน การใช้เครื่องอบเครื่องเป่าในการบรรจุสินค้า โดยมีสมาชิกกลุ่มจำนวน 133 ราย พื้นที่การผลิตจำนวน 3,500 ไร่ สร้างผลผลิตได้กว่า 1,600 ตันต่อปี ซึ่ง ธ.ก.ส. ให้การสนับสนุนเงินทุนจากควบคู่กับให้คำแนะนำเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินกิจการของกลุ่มฯ โดยมี นายสุรชัย รัศมี และ นายเสกสรรค์  จันทร์ขวาง รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. นายพงษ์พันธ์ จงรักษ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ธ.ก.ส. นายฉัตรนพวัฒน์ วีระศักดิ์ ประธานกลุ่มฯ และผู้บริหารในพื้นที่ให้การต้อนรับ

Advertising

 

ผู้บริหารสูงสุดฮ่องกงเชิญชวนนักธุรกิจฮ่องกงร่วมลงทุนใน EEC

People unity : ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกงเชื่อมั่นในศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทย พร้อมเชิญชวนนักธุรกิจฮ่องกงร่วมลงทุนในโครงการ EEC

เมื่อวานนี้ (28 ก.พ.2562) เวลา 11.30 น. นางแคร์รี หล่ำ (Carrie Lam) ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญการหารือดังนี้

นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ผู้บริหารสูงสุดฮ่องกงเดินทางมาเยือนไทยเพื่อร่วมพิธีเปิดสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง (Hong Kong Economic and Trade Office: HKETO) ประจำประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการย้ำความเชื่อมั่นในศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ทั้งสองฝ่ายยินดีที่มูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างกันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นายกรัฐมนตรีได้เชิญบริษัทฮ่องกงมาร่วมลงทุนในโครงการ EEC ซึ่งสามารถเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจ (Greater Bay Area – GBA) ได้แก่ กวางตุ้ง – ฮ่องกง – มาเก๊า รวมถึงอนุภูมิภาค ACMECS ด้วย นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่าไทยในฐานะประธานอาเซียนในปีนี้ยินดีผลักดันความร่วมมือระหว่างอาเซียนและฮ่องกงในมิติต่างๆ

ด้านดิจิทัล ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อความก้าวหน้าของโครงการเคเบิลใต้น้ำของไทยสู่ฮ่องกง เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาค (ASEAN Digital Hub) รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security)

ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกงพร้อมเชิญชวนนักธุรกิจฮ่องกงมาลงทุนในไทยมากขึ้น และกล่าวว่า ฮ่องกงถือเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก โดยมีมูลค่าเป็นอันดับ 3 จึงพร้อมแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีการเงินให้แก่ไทยซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานทางการเงินและการธนาคารของไทยและภูมิภาค สำหรับด้านการศึกษา ฮ่องกงยินดีส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาให้แก่ไทยโดยเฉพาะวิทยาการในสาขาที่ฮ่องกงมีความก้าวหน้า โดยปัจจุบันมีโครงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านวิชาการระหว่างกัน และมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนในระดับปริญญาตรีด้วย

อนึ่ง ก่อนหน้าจะเข้าพบนายกรัฐมนตรี นางแคร์รี หล่ำ (Carrie Lam) ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ได้เข้าพบและหารือกับ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี มาแล้ว

เศรษฐกิจ : ผู้บริหารสูงสุดฮ่องกงเชิญชวนนักธุรกิจฮ่องกงร่วมลงทุนใน EEC

People unity : post 1 มีนาคม 2562 เวลา 10.00 น.

ปลื้ม คนล้นหลามแห่ร่วมงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้” กรุงเทพฯ

People Unity News : 7 พฤศจิกายน 2565 ปลื้ม คนล้นหลามแห่ร่วมงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้” กรุงเทพฯ ออมสินเจ้าภาพเผย จัดงาน 3 วัน ช่วยลูกค้าได้มากกว่า 15,000 ราย เตรียมยกทัพสัญจรอีก 4 ครั้ง พบกันที่ ขอนแก่น เชียงใหม่ ชลบุรี และสงขลา

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยผลสำเร็จของการจัดงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ : มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน ครั้งที่ 1” ตามที่กระทรวงการคลังมอบหมายธนาคารออมสินเป็นเจ้าภาพจัดงาน เมื่อวันที่ 4-6 พฤศจิกายน 2565 ณ อิมแพค ฮอลล์ 5 เมืองทองธานี โดยตลอดระยะเวลา 3 วัน มีประชาชนหลั่งไหลเข้าร่วมงานจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้เดิมของสถาบันการเงินของรัฐ ที่ประสงค์เจรจาขอแก้ไขหนี้จากการที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 และที่ต้องการสินเชื่อเพื่อเพิ่มเติมทุน และเพิ่มสภาพคล่องในการดำรงชีพหรือประกอบธุรกิจ นอกนั้นเป็นผู้มาขอปรึกษาหาแนวทางแก้ปัญหาหนี้สิน ออมเงิน และมองหาโอกาสสร้างอาชีพสร้างรายได้ รวมแล้วมีประชาชนที่ได้รับความช่วยเหลือตลอดช่วงงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ ครั้งที่ 1 กรุงเทพฯ จำนวนไม่ต่ำกว่า 15,000 ราย

ทั้งนี้ ส่วนของความช่วยเหลือจากธนาคารออมสิน มีลูกหนี้ที่เข้าร่วมเจรจาแก้ไขหนี้กับธนาคาร เป็นจำนวนมากกว่า 1 พันราย และเป็นผู้มายื่นขอสินเชื่อเงื่อนไขพิเศษเพื่อเติมเงินทุนหรือเพิ่มสภาพคล่อง จำนวนกว่า 800 ราย โดยตลอดงานทั้ง 3 วัน มีประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมที่บูธธนาคารออมสินมากกว่า 5,000 ราย

จากผลสำเร็จของการจัดงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ : มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน ครั้งที่ 1” สัญจร กรุงเทพฯ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ (GFA) เตรียมเดินหน้าจัดงานครั้งต่อไปใน 4 ภูมิภาค ซึ่งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. รับหน้าที่เจ้าภาพจัดงานครั้งที่ 2 ณ จังหวัดขอนแก่น ระหว่างวันที่ 18–20 พฤศจิกายน 2565 ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติขอนแก่น ครั้งที่ 3 กำหนดจัดวันที่ 16–18 ธันวาคม 2565 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่ 4 

วันที่ 20–22 มกราคม 2566 ที่จังหวัดชลบุรี และครั้งสุดท้ายจัดขึ้นที่จังหวัดสงขลา ระหว่างวันที่ 27-29 มกราคม 2566 จึงขอเชิญชวนประชาชนในพื้นที่ต่างๆ สามารถลงทะเบียนเพื่อเข้ารับความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาหนี้ ตามกำหนดการจัดมหกรรมร่วมใจแก้หนี้สัญจรแต่ละภูมิภาค ได้ที่ https://ln15.gsb.or.th/WEB-DEBT/

Advertisement

เผยมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยปี 2565 ของกระทรวงการคลัง

People Unity News : 18 ตุลาคม 2565 ครม.รับทราบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยปี 2565 ของกระทรวงการคลัง

วันที่ 18 ตุลาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฎิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้  (18 ตุลาคม 2565) รับทราบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยปี 2565 ของกระทรวงการคลัง จำนวน 6 หน่วยงาน  รวม 14 มาตรการ ประกอบด้วย กรมสรรพากร จำนวน 5 มาตรการ กรมศุลกากร จำนวน 2 มาตรการ กรมสรรพสามิต จำนวน 1 มาตรการ กรมบัญชีกลาง จำนวน 2 มาตรการ กรมธนารักษ์ จำนวน 2 มาตรการ และการยาสูบแห่งประเทศไทย จำนวน 2 มาตรการ  สาระสำคัญ  ดังนี้

กรมสรรพากร ประกอบด้วย

– มาตรการลดหย่อนภาษี : บุคคลธรรมดาสามารถหักลดหย่อนได้ 1 เท่าแต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมิน  กรณีบริษัท/ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หักรายจ่ายเงินหรือทรัพย์สินที่บริจาคได้  1 เท่า แต่ไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ สำหรับการบริจาคให้แก่ส่วนราชการหรือองค์การสาธารณกุศล รวมทั้งการบริจาคผ่านบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นที่นำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยด้วย ซึ่งในกรณีหลังนี้ ผู้ประกอบการยังได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการบริจาคสินค้าด้วย

– มาตรการยกเว้นภาษี : บุคคลธรรมดาและบริษัทนิติบุคคล ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้  กรณีได้เงินชดเชยที่ได้รับจากรัฐบาล  เงิน/ทรัพย์สินที่ได้รับบริจาคหรือช่วยเหลือ ไม่เกินมูลค่าความเสียหาย และสินใหม่ทดแทนที่ได้รับจากบริษัทประกันภัย

– มาตรการระยะเร่งด่วน  ได้แก่ ขยายระยะเวลายื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีหรือนำส่งภาษี และการขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน จากเดิมที่ต้องยื่นหรือขอภายในเดือนตุลาคม 2565 และเดือนพฤศจิกายน 2565 ออกไปเป็นภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2565

-มาตรการในระยะถัดไป  :  บุคคลธรรมดา สามารถหักลดหย่อนค่าซ่อมแซอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้รับความเสียหายตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาทและ ค่าซ่อมแซมรถตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 30,000 บาท

กรมศุลกากร : ยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับของที่นำเข้ามาเพื่อบริจาคให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย 2565

กรมสรรพสามิต : ขยายกำหนดเวลายื่นงบเดือนสำหรับ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบกิจการสถานบริการในจังหวัดที่มีการประกาศเขตพื้นที่ประสบอุทกภัยตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน – 31 ตุลาคม 2565 จากเดิมในเดือนตุลาคม 2565 ออกไปเป็นภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565

กรมบัญชีกลาง : ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ประกาศให้ท้องที่เป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติฉุกเฉิน สามารถใช้จ่ายเงินทดลองราชการในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดจำนวน 20 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และจังหวัดสามารถขอขยายวงเงินทดรองราชการเพิ่มเติมต่อกระทรวงการคลัง ในกรณีที่วงเงินทดรองราชการไม่เพียงพอได้

กรมธนารักษ์ : ยกเว้นค่าเช่าสูงสุด เป็นระยะเวลา 2 ปี สำหรับที่อยู่อาศัยที่เสียหายทั้งหลังและที่อยู่อาศัยที่เสียหายบางส่วน ยกเว้นค่าเช่า 1 ปี   และในกรณีที่ไม่สามารถชำระค่าเช่าให้ยกเว้นการคิดเงินเพิ่มเติมตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดหาประโยชน์ในราชพัสดุพ.ศ. 2552

การยาสูบแห่งประเทศไทย : ช่วยเหลือพนักงานยาสูบและครอบครัว ตามหลักเกณฑ์ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากการดำรงชีพและความเสียหายของทรัพย์สินหรือที่อยู่อาศัย เป็นต้น

ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่  ตามประกาศของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

Advertisement

น้ำตาลทรายจ่อปรับขึ้น หลังทบทวนหลายสาเหตุ พบกระทบต้นทุนจริง

People Unity News : 11 พฤศจิกายน 2566 คณะทำงานแก้ปัญหาชาวไร่อ้อย ได้ข้อสรุปแก้ไขปัญหาต้นทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เตรียมเสนอให้ ครม.เคาะราคาน้ำตาลทรายขึ้นสัปดาห์หน้า แต่ยังไม่ยกเลิกให้น้ำตาลทรายอยู่ในบัญชีสินค้าควบคุม หวั่นกักตุนเอาเปรียบผู้บริโภค

นายยรรยง พวงราช ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะทำงานบริหารความสมดุลในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล เปิดเผยว่าที่ประชุมได้ข้อสรุปร่วมกันในการแก้ปัญหาน้ำตาลทราย โดยจะมีการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงาน และราคาจำหน่ายปลีกซึ่งเป็นราคาที่เป็นธรรมและทุกฝ่ายยอมรับได้ โดยจะยังคงน้ำตาลทรายอยู่ในบัญชีสินค้าควบคุมตามเดิม

ส่วนจะปรับขึ้นราคาเท่าไหร่ยังไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขได้ เนื่องจากจะต้องผ่านการพิจารณาอีกหลายขั้นตอน โดยจะต้องนำเสนอผลสรุปให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พิจารณา และนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติในวันที่ 14 พ.ย.2566

อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายครั้งนี้ เชื่อว่าไม่น่าจะเป็นเหตุผลให้ผู้ผลิตสินค้ายื่นขอปรับขึ้นราคา ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์พยายามดูแลปัญหาเงินเฟ้อ ไม่ให้การปรับราคาน้ำตาลทรายกระทบต่อราคาสินค้า เนื่องจากเป็นต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตสินค้าหลายรายการ เช่น อาหาร และยารักษาโรค

นอกจากนี้ ในระหว่างที่ยังไม่มีการปรับขึ้นราคาจำหน่ายน้ำตาลทราย คณะทำงานฯ ได้มีข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาลว่ากรมการค้าภายใน และสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย หรือ สอน.จะต้องช่วยกับดูแลไม่ให้เกิดปัญหาการกักตุนน้ำตาลทรายก่อนการปรับขึ้นราคา รวมทั้งให้มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นหากจะมีการปรับเปลี่ยนราคาน้ำตาลทรายเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา เนื่องจากราคาน้ำตาลในตลาดโลกไม่คงที่มีความผัวผวนต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ในประเด็นเกี่ยวกับข้อเสนอการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทราย 2 บาท เพื่อเก็บเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อนำไปจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ปลูกอ้อยที่ตัดอ้อยสดส่งเข้าโรงงานน้ำตาลตามนโยบายลดฝุ่น PM 2.5 นั้น ขอให้รัฐบาลไปพิจารณางบประมาณในส่วนอื่นเพื่อบริหารจัดการเรื่องมลพิษ ไม่ควรผลักภาระมาให้กับผู้บริโภค

แหล่งข่าวคณะทำงานบริหารความสมดุลในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลเปิดเผยว่าที่ประชุมได้ข้อสรุปร่วมกันให้มีการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงาน กิโลกรัมละ2 บาท โดยน้ำตาลทรายขาว ปรับขึ้นเป็นเป็น ก.ก.ละ 21 บาท และน้ำทรายขาวบริสุทธิ์ ปรับขึ้นเป็น ก.ก.ละ 22บาท โดยคาดว่าราคาใหม่จะมีผลบังคับทันทีภายหลังผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี

นายกำธร กิตติโชติทรัพย์ นายกสมาคมกลุ่มชาวไร่อ้อยเขต 7 เปิดเผยว่า ราคาที่ชาวไร่อ้อยพอใจคือ กิโลกรัมละ 4-5 บาท แต่ก็ต้องคุยในรายละเอียดในที่ประชุมอีกครั้ง เพราะที่ประชุมวันนี้ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องตัวเลข แต่ถ้าได้ราคาที่ 2 บาท ชาวไร่อ้อยยังไม่มีคำตอบเพราะถ้าถามว่าอยากได้ราคาเท่าไร่ชาวไร่อ้อยถึงจะพอใจ คือ 4-5 บาท อย่าเอาราคาน้ำตาลโลกมาเป็นตัวชี้วัดของชาวไร่อ้อยในการขอขึ้นราคาเพราะไม่ใช่ประเด็นแต่ที่ชาวไร่อ้อยอยู่ไม่ได้คือ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทุกปี ต้องบอกว่าทุกวันนี้คนไทยบริโภคน้ำตาลถูกที่สุดในโลก ถ้าพวกเราชาวไร่อ้อยเลิกทำ เชื่อว่าคนไทยจะกินน้ำตาลทรายกิโลกรัมละ 100 บาทแน่นอน การประชุมวันนี้ยังไม่ได้คำตอบ100% ว่าจะปรับราคาได้มากน้อยแค่ไหน

Advertisement

นายกฯ ชวนอุดหนุนผลไม้ไทย เล็งจัด Thai Fruits Festival

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 พฤษภาคม 2568 “นายกฯ แพทองธาร” ชวนประชาชนอุดหนุนผลไม้ไทย เตรียมจัดกิจกรรม Thai Fruits Festival กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เร่งเจรจา FTA ดันการส่งออกนำผลไม้ไทยร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ ขยายตลาดสร้างโอกาสให้เกษตรกร

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์คลิปวิดีโอผ่าน TikTok ชื่อบัญชี ingshin21 เชิญชวนประชาชนอุดหนุนและรับประทานผลไม้ไทย โดยกล่าวว่า “เป็นคลิปแรกที่มาอยากมาขายของเป็นแม่ค้าหนึ่งวัน ผลไม้ไทยมีเยอะมากที่อร่อย พร้อมนำผลไม้ที่จัดใส่จาน ทั้ง มังคุด เงาะ ทุเรียน รวมถึงข้าวเหนียวมะม่วง แล้วจะมาเชิญชวนให้ พี่น้องคนไทยทุกคนให้ทานผลไม้ไทย และสองปีที่แล้ว ข้าวเหนียวมะม่วงของเราดังไปทั่วโลก ซึ่งมะม่วงของเราอร่อยจริงๆ ไปเจอที่เมืองนอกแพง แต่ที่เมืองไทยราคาดี เพราะฉะนั้นอดอุดหนุนผลไม้ไทยกันหน่อยนะคะ อร่อยด้วยราคาดีด้วย ไม่อย่างนั้นเวลาไปอยู่เมืองนอกนานๆ ซื้อที่เมืองนอกแพง ตอนนี้เมืองไทย มะม่วงราคาดีมากผลไม้ทุกอย่างก็ราคาดี และอากาศปีนี้ดีทำให้ผลไม้ค่อนข้างหวาน หาซื้อได้ง่าย ดังนั้นขอให้อุดหนุนผลไม้ไทยกันเยอะๆ”

นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังระบุข้อความ ด้วยว่า “สวัสดีค่ะ ทุกคน หน้าผลไม้แล้วค่ะ ปีนี้ผลไม้ไทยผลผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 15% จากปีที่ผ่านมา เพราะจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยในช่วงติดดอก เลยเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะช่วยกันส่งเสริมผลไม้ไทย ให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้นค่ะ”

ปีนี้รัฐบาลเตรียมจัดกิจกรรม Thai Fruits Festival กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ หลายอย่างค่ะ เช่น การประกวดเมนูอาหารจากผลไม้ ช่องทางการขายออนไลน์ การนำผลไม้ไทยไปใช้ในกิจกรรมเพื่อสังคม รวมถึงการสนับสนุนการแปรรูปอย่างมีคุณภาพ

ในต่างประเทศ เราก็เร่งเจรจา FTA เพื่อผลักดันการส่งออก พร้อมนำผลไม้ไทยไปร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ ขยายตลาดและสร้างโอกาสให้เกษตรกร ผลไม้ไทยมีคุณภาพดี มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ และมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก หากเราได้ร่วมมือกันสนับสนุน ขอเชิญชวนทุกท่านนะคะ ร่วมกันอุดหนุนผลไม้ไทยในฤดูกาลนี้ เป็นอีกหนึ่งวิธีง่าย ๆ ที่เราทุกคนสามารถช่วยกันสนับสนุนเกษตรกรไทยได้ค่ะ

Advertisement

 

กสิกรไทย คงจีดีพีปี 68 ที่ 1.4% ชี้ใกล้ครบเส้นตายชะลอภาษี 90 วัน แต่เจรจาสหรัฐยังไม่คืบ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 มิถุนายน 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตที่ 1.4% เสี่ยงเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิคจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งการส่งออก-นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อลงที่ 0.3% ชี้ใกล้ครบเส้นตายชะลอภาษีนำเข้า 90 วัน แต่เจรจาสหรัฐยังไม่คืบ ประเมินหากสหรัฐคงภาษีที่ 10% ตลอดทั้งปี คาดส่งออกไทยขยายตัวที่ 0.5% และเศรษฐกิจไทยโต 1.8% ค่าเงินบาทยังผันผวนมีโอกาสแตะ 32 บาท/ดอลล่าร์ คาด กนง.ลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ความไม่แน่นอนของนโยบายด้านภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ส่งผลกระทบต่อภาคการค้า การลงทุนและเศรษฐกิจทั่วโลก โดยล่าสุดOECD ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2568  ลง 0.2 % มาอยู่ที่ 2.9% และปรับประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลง 0.6% เหลือ 1.6% เมื่อเทียบกับการคาดการณ์เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ซึ่งความไม่แน่นอนของนโยบายของสหรัฐฯ ทั้งด้านการค้า การเงิน การคลัง การศึกษา และการเมืองภายในประเทศ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อค่าเงิน เสถียรภาพและศักยภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงกว่า 8% นับตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง  ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น

ด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงต้องดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่อาจเร่งตัวขึ้นจากการปรับขึ้นภาษีศุลกากร และความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจชะลอตัว ถึงแม้ว่าจะเผชิญแรงกดดันให้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง โดยปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปปี2568 ลงมาอยู่ที่ 0.3% และคาดว่า กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าที่ระดับ 32 บาท/ดอลล่าร์สหรัฐใน 3-6 เดือน และอาจยาวไปถึงสิ้นปึ

สำหรับมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่จะสิ้นสุดการชะลอลงในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ยังมีความไม่แน่นอนสูง มองว่า ขณะนี้การเจรจาของไทยยังไม่คืบหน้า เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตที่ 1.4% และเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิค อย่างไรก็ตาม หากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ในหลายประเทศยังคงไว้ที่ระดับ 10% ตลอดทั้งปี คาดว่าการส่งออกไทยจะขยายตัวได้ที่ 0.5% และเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มเติบโตได้ 1.8% แต่ถ้าหากไทยถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% จะส่งผลต่อการส่งออกในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ติดลบ รวมถึงจีดีพีอาจจะหดตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ ภาษีสหรัฐฯ ที่ไม่ชัดเจนจะทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่องจากความเสี่ยงการส่งออกไปสหรัฐฯ และจีนในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องจักรกล เหล็ก ผลิตภัณฑ์พลาสติก เคมีภัณฑ์ เป็นต้น รวมถึงการแข่งขันในประเทศกับสินค้านำเข้า โดยคาดว่าสัดส่วนมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคต่อยอดขายของธุรกิจค้าปลีกปี 2568 จะอยู่ที่กว่า 30% และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้จะหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี

ขณะที่ยอดขายรถยนต์ในประเทศจะหดตัวลึกขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังที่ -1.7% YoY เทียบกับ -1.0% YoY ในช่วงครึ่งปีแรก จากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอและการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด ขณะที่รายได้ภาคเกษตรไทยมีแนวโน้มหดตัวจากแรงกดดันทั้งด้านราคาและความต้องการสินค้าเกษตรที่ลดลง  รวมถึงการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดสินค้าเกษตรโลก

ด้านสภาวะการระดมทุนของภาคเอกชนว่ายังอ่อนแอต่อเนื่องจากความต้องการสินเชื่อที่ชะลอลง การชำระคืนหนี้ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงสถาบันการเงินที่ยังคงกังวลเรื่องปัญหาหนี้เสีย ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับประมาณการสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในปีนี้ลงมาที่ -0.6% จากเดิมที่ 0.6% ในขณะเดียวกัน มองว่า เอ็นพีแอลยังเป็นขาขึ้น แม้ว่าตัวเลขอาจไม่เกิน 3% ต่อสินเชื่อรวม โดยสถาบันการเงินจะยังคงพยายามเร่งจัดการหนี้เสีย และหนี้ที่เริ่มมีวันค้างชำระ ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้และการขายหนี้เสียออกไป เป็นต้น

ขณะที่กิจกรรมด้าน ESG ของภาคเอกชนไทยก็ชะลอลงเช่นกัน ท่ามกลางหลายปัจจัยลบ การออกหุ้นกู้ Sustainable Finance ลดลง โดยส่วนหนึ่งเปลี่ยนมาเป็นการใช้บริการสินเชื่อสีเขียวจากธนาคารพาณิชย์ ที่ข้อมูลเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อสีเขียวในปีนี้ จะยังคงขยายตัวค่อนข้างสูง โดยกลุ่มที่ยังระดมทุนอยู่เน้นไปที่ธุรกิจรายใหญ่ผ่านโครงการ Project Finance ที่มีแผนการระดมทุนอยู่แล้ว ขณะที่ธุรกิจเอสเอ็มอีคงเลือกชะลอแผนไปก่อน หรือเน้นลงทุนในกิจกรรมที่เกี่ยวกับแผงโซลาร์เซลล์ (Solar Panel), การประหยัดพลังงาน หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ที่เห็นความคุ้มค่าค่อนข้างชัดเจนในระยะสั้น

นายบุรินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อรับมือกับทิศทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น ภาครัฐควรเน้นการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถเน้นมาตรการระยะสั้นที่ยังมีความจำเป็น แต่ต้องให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นกับมาตรการระยะยาวเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยด้วย ส่วนมาตรการเยียวยาเฉพาะหน้า เพื่อลดแรงกระแทกให้กับผู้ผลิตที่ได้รับผลกระทบเรื่องภาษีสหรัฐฯ คงต้องมุ่งสนับสนุนสินค้าที่ใช้วัตถุดิบหรือผลิตในประเทศ รวมทั้งเร่งพลิกฟื้นความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวและกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวหลัก ขณะที่ คำแนะนำสำหรับธุรกิจ คือ การรักษากระแสเงินสด เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่ยังอยู่ในระดับสูง

Advertisement

Verified by ExactMetrics