วันที่ 31 กรกฎาคม 2025

ประยุทธ์ ชมความก้าวหน้าสถานีดาวเทียม นำพาประเทศเดินหน้า พัฒนาสู่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน

People Unity News : ประยุทธ์ ชมความก้าวหน้าสถานีดาวเทียม นำพาประเทศเดินหน้า พัฒนาสู่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน

17 กันยายน 2564 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจติดตามความก้าวหน้าสถานีดาวเทียมและศูนย์กลางขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอวกาศ สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) โครงการอุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ ในพื้นที่เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อติดตามการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง ได้แก่ ความคืบหน้าโครงการและการพัฒนาดาวเทียม โดยวิศวกรไทย ณ ศูนย์ทดสอบประกอบดาวเทียมแห่งชาติ ,การพัฒนาเศรษฐกิจอวกาศ จากเครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำ และการนําเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ไปใช้ประโยชน์ด้านการบริหารจัดการน้ำ

นายกรัฐมนตรี ชื่นชมการดำเนินงานและขอให้พัฒนาต่อไป เพราะการใช้เทคโนโลยีมาช่วยประมวลผล ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงก้าวเข้าสู่สังคมดิจิทัล นำพาประเทศเดินหน้าพัฒนาสู่ประเทศที่มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืนตลอดไป

Advertising

ไฟฟ้านครหลวง-ไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ประสานเสียง ลดค่า Ft ตามนโยบายรัฐบาล

People Unity News : 8 ตุลาคม 2566 PEA-MEA ย้ำคืนเงิน ก.ย. หลังลดค่า Ft รอบ 3/66 (ก.ย.-ธ.ค.) ราว 46 สต./หน่วย ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชน

การไฟฟ้านครหลวง (MEA)​ แจ้งว่า จากการประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ครั้งที่ 45/2566 วันที่ 5 ตุลาคม 2566 มีมติเห็นชอบค่าเอฟทีเรียกเก็บในงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2566 ตามที่ผู้รับใบอนุญาตซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจเสนอมาในอัตรา 20.48 สตางค์/หน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวมทั้งประเทศอยู่ที่ประมาณ 3.99 บาท/หน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.)

ทั้งนี้ ผู้ใช้ไฟฟ้าที่จ่ายค่าไฟฟ้าในรอบเดือนกันยายน 2566 ไปแล้ว จะได้รับการหักส่วนลดค่าไฟฟ้าดังกล่าวในรอบบิลเดือนตุลาคมนี้ต่อไป

ด้านการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) บรรเทาภาระค่าไฟฟ้าให้แก่ประชาชน ตามมติคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เห็นชอบปรับลดค่า Ft ในช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม 2566 จาก 0.6689 บาท/หน่วย เป็น 0.2048 บาท/หน่วย ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชน โดยผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับใบแจ้งค่าไฟฟ้าประจำเดือนกันยายน 2566 ที่แสดงค่า Ft เดิม (0.6689 บาท/หน่วย) PEA มีมาตรการดำเนินการ ดังนี้

กรณีที่ยังไม่ได้ชำระค่าไฟฟ้า

PEA จะปรับยอดชำระด้วยค่า Ft ใหม่ โดยสามารถใช้ใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดิมชำระเงินผ่านทางช่องทางต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป

กรณีที่ได้ชำระค่าไฟฟ้าด้วยค่า Ft เดิมไปแล้ว

PEA จะคืนเงินส่วนต่างค่า Ft โดยนำไปหักลดจากค่าไฟฟ้าประจำเดือนถัดไป

กรณีหักบัญชีธนาคาร/บัตรเครดิต

PEA จะหักเงินค่าไฟฟ้าด้วยค่า Ft 0.2048 บาท/หน่วย เฉพาะรอบวันที่ 19 ตุลาคม 2566 สำหรับรอบอื่นๆ PEA จะคืนเงินส่วนต่างค่า Ft โดยนำไปหักลดค่าไฟฟ้าเดือนถัดไป

สามารถตรวจสอบยอดค่าไฟฟ้าผ่านทาง www.pea.co.th / PEA Smart Plus / 1129 PEA Contact Center / สำนักงานการไฟฟ้าในพื้นที่ ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ถือบัตรสวัสดิการของรัฐและลงทะเบียนลดค่าไฟกับ PEA- MEAก่อนหน้านี้ จะได้ส่วนลดค่าไฟฟ้า จำนวน 315 บาท/ครัวเรือน/เดือน แยกเป็น

ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วย/เดือน ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 เดือน จะได้รับสิทธิค่าไฟฟ้าฟรีตามมาตรการที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 50 หน่วย/เดือน แต่ไม่เกิน 315 บาท จะได้รับการสนับสนุนค่าไฟฟ้าในวงเงินไม่เกิน 315 บาท/ครัวเรือน/เดือน

สำหรับการลดค่าไฟฟ้ารอบนี้ได้ประโยชน์ทุกกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าของประเทศไทย โดยในส่วนกลุ่มใช้ไฟฟ้าบ้านของไทยนั้น โครงสร้างครัวเรือนที่อยู่อาศัย ประกอบไปด้วย กลุ่มเปราะบาง 0-150 หน่วย/เดือน 14.7 ล้านครัวเรือน, กลุ่มใช้ 151-300 หน่วย/เดือน จำนวน 4.9 ล้านครัวเรือน และกลุ่มที่ใช้ตั้งแต่ 301-500 หน่วย จำนวน 2.1 ล้านครัวเรือน

Advertisement

มติ กพช. ตรึงค่าไฟงวด ก.ย.-ธ.ค.68 ไม่เกิน 3.99 บาท/หน่วย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 6 พฤษภาคม 2568 มติ กพช. ตรึงค่าไฟงวด ก.ย.-ธ.ค.68 ไม่เกิน 3.99 บาท/หน่วย ด้าน “พิชัย” ย้ำรัฐบาลพยายามยืนราคานี้ให้ได้จนถึงสิ้นปี

ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้เห็นชอบนโยบายและแนวทางกำหนดอัตราค่าไฟฟ้างวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2568 ที่อัตราไม่เกินหน่วยละ 3.99 บาทต่อหน่วย เว้นแต่มีการเปลี่ยนแปลงราคาต้นทุนพลังงานอย่างมีนัยยะสำคัญ ทั้งนี้จะไม่ใช้งบประมาณแผ่นดิน

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรม ตามแผนเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดสำหรับปี 2566-2573 ในส่วนที่ยังไม่ได้ดำเนินการ

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ที่ประชุม กพช. มีมติตรึงราคาค่าไฟ 3.99 บาทต่อหน่วย โดยจะยืนไปจนถึงสิ้นปีนี้ หากไม่มีเหตุการณ์ใดๆ ที่สำคัญรัฐบาลก็จะยืนให้ได้ด้วยตัวของรัฐบาลเอง

Advertisement

เตือน ปชช. 1.15 ล้านคน รีบยืนยันตัวตนใช้สิทธิบัตรสวัสดิการรัฐ

People Unity News : 27 มิถุนายน 2566 รัฐบาลแจงความคืบหน้าโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อุทธรณ์สำเร็จ 4.16 แสนคน เตือน 1.15 ล้านคน รีบยืนยันตัวตน เริ่มใช้สิทธิ 1 ส.ค.นี้

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุม ครม. รับทราบรายงานความก้าวหน้าโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 และการใช้สิทธิภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้

ความก้าวหน้าโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการะทั้งสิ้น 19,647,241 ราย เมื่อพิจารณาคุณสมบัติของลงทะเบียนแล้วพบว่ามีผู้ผ่านเกณฑ์ จำนวน 14,596,820 ราย ไม่ผ่านเกณฑ์จำนวน 5,050,421 ราย โดยผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ได้ยื่นอุทธรณ์ จำนวน 1,266,682 ราย (คิดเป็นร้อยละ 25.08 ของผู้ไม่ผ่านเกณฑ์) และมีผู้ผ่านการตรวจสอบเพิ่มเติม (เกษตรกร) จำนวน 416,153 ราย

“ทำให้มีผู้ผ่านเกณฑ์โครงการ ปี 65 รวมทั้งสิ้น 15,012,973 ราย โดยมีผู้ที่ยืนยันตัวตนสำเร็จ จำนวน 13,444,534 ราย คิดเป็นร้อยละ 92.11 ของจำนวนผู้ผ่านเกณฑ์ทั้งหมด และยังไม่ได้ยืนยันตัวตนหรือยืนยันตัวตนไม่สำเร็จอีก จำนวน  1,152,286 ราย คิดเป็นร้อยละ 7.89 ของจำนวนผู้ผ่านเกณฑ์ทั้งหมด สำหรับผู้ที่ไม่ได้ยืนยันตัวตนหรือยืนยันตัวตนไม่สำเร็จ ยังคงยืนยันตัวตนได้ และจะเริ่มใช้สิทธิในวันที่ 1 สิงหาคม 2566 โดยจะได้รับสิทธิเฉพาะเดือนที่กระทรวงการคลังดำเนินการตั้งวงเงินให้ แต่ไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

น.ส.รัชดา กล่าวว่า สำหรับการใช้สิทธิภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2566 มีดังนี้ เดือนเมษายน 2566 มีผู้ใช้สิทธิจำนวน 12.31 ล้านราย มูลค่าการใช้สิทธิรวม 4,005.65 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค 3,682.35 ล้านบาท ส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 259.41 ล้านบาท ค่าเดินทางระบบขนส่งสาธารณะ 63.88 ล้านบาท สำหรับมาตรการบรรเทาค่าไฟฟ้า/ค่าน้ำประปา ผู้ขอใช้สิทธิต้องลงทะเบียนขอรับสิทธิ ส่วนการจ่ายเงินเพิ่มเติมเบี้ยคนพิการ เดือนละ 200 บาท เฉพาะผู้พิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการและผ่านเกณฑ์การพิจารณาคุณสมบัติตามโครงการปี 65 มีจำนวน 794,189 ราย รวมเป็นเงิน 158.84 ล้านบาท

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เดือนพฤษภาคม 2566 มีผู้ใช้สิทธิจำนวน 12.79 ล้านราย มูลค่าการใช้สิทธิรวม 4,252.15 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค 4,028.97 ล้านบาท ส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 45.45 ล้านบาท ค่าเดินทางระบบขนส่งสาธารณะ 62.62 ล้านบาท สำหรับมาตรการบรรเทาค่าไฟฟ้า/ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า มูลค่าการใช้สิทธิ 105.09 ล้านบาท ค่าน้ำประปา มูลค่าการใช้สิทธิ 9.93 ล้านบาท ส่วนการจ่ายเงินเพิ่มเติมเบี้ยคนพิการ เดือนละ 200 บาท เฉพาะผู้พิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการและผ่านเกณฑ์การพิจารณาคุณสมบัติตามโครงการปี 65 มีจำนวน 1,016,008 ราย รวมเป็นเงิน 203.20 ล้านบาท

“สถานะปัจจุบันของกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 กองทุนมีงบประมาณรวม 51,644.51 ล้านบาท โดยเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับจัดสรรสวัสดิการแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (1 ต.ค. 65-24 พ.ค. 66) จำนวน 35,923.45 ล้านบาท ส่งผลให้งบประมาณคงเหลือ ณ วันที่ 24 พ.ค. 66 รวมทั้งสิ้น 15,721.06 ล้านบาท” น.ส.รัชดา กล่าว

Advertisement

เดินหน้าโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ช่วยเกษตรกรสร้างพื้นที่เกษตรแบบครบวงจร

Communication chat icon above cityscape in the night light of the city.

People Unity News : เดินหน้าโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ช่วยเหลือเกษตรกรสร้างพื้นที่เกษตรแบบครบวงจร

15 กันยายน 2564 นายสำราญ สาราบรรณ์ รองปลัดกระทรวงกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยหลังชมความคืบหน้าของโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ที่จังหวัดปราจีนบุรี ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินโครงการดังกล่าวมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ใด้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 บรรเทาปัญหาว่างงาน ลดปัญหาเคลื่อนย้ายแรงงานภาคเกษตรกรรมไปสู่ภาคอื่นๆ และสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนในท้องถิ่นเป็นแหล่งผลิตอาหาร โดยน้อมนำหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่มาเป็นแนวทาง ตั้งแต่รูปแบบของเกษตรทฤษฎีใหม่ในการ บริหารจัดการน้ำ เรียนรู้การจัดทำแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยคำนึงถึงการทำการเกษตร ทฤษฎีใหม่ที่สามารถสร้างแหล่งอาหารของครัวเรือน ผลผลิตที่สามารถจำหน่ายสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ดำเนินงานผลสำเร็จในพื้นที่ เกษตรกรหลายแห่งทั่วประเทศ ที่มีเกษตรกรเข้าร่วมกว่า 28,000 ราย โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากกว่า 20,016 ราย นอกจากนี้ยังมีส่งเสริมการจ้างงานในโครงการแล้ว 13,649 ราย อย่างไรก็ตาม กระทรวงงเกษตรและสหกรณ์ จะเร่งเดินหน้าโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ต่อเนื่องเพื่อให้เกษตรสามารถพึ่งพาตนเองได้

Advertising

นายกฯ เร่งเครื่องกระตุ้นท่องเที่ยว เครื่องยนต์หลัก ศก.ไทย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 เมษายน 2568 นายกฯ เร่งเครื่องกระตุ้นการท่องเที่ยว เครื่องยนต์หลักเศรษฐกิจไทย

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความ ถึงการประชุมติดตามสถานการณ์การท่องเที่ยวไทย ว่า เรายกให้ปีนี้ต้องเป็นปีแห่งการท่องเที่ยว Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 เป้าหมายคือนักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องกลับมาเกือบเท่าก่อนสถานการณ์โควิด หรือต้องแตะ 40 ล้านคน ซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายเรา ไม่เพียงจำนวนนักท่องเที่ยว แต่คือรายจ่ายต่อหัว (Spending per head) และ จำนวนวันที่อยู่ในประเทศ (Length of stay) ต้องมากขึ้นด้วย

แต่ตัวเลขในช่วงที่ผ่านมา ยังไม่เป็นที่น่าพอใจค่ะ การประชุมวันนี้ดิฉันจึงอยากมาหารือร่วมกับทุกท่าน เพื่อหามาตรการใหม่ๆ การท่องเที่ยวแบบเดิมคงทำไม่ได้อีกต่อไป แต่เราต้องทำการท่องเที่ยวแบบมีวัตถุประสงค์ชัดเจน สร้างจุดมุ่งหมายใหม่ให้การท่องเที่ยวไทย เช่น การมาเพื่อรักษาพยาบาล, มาเพื่อพักผ่อนระยะยาว, มาเพื่ออยู่อาศัยช่วงวัยเกษียณ, มาเพื่อทำงานของกลุ่ม digital nomad เป็นต้น ซึ่งนี่จะเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายระยะยาวและทำให้การมาไทยนานขึ้น ตลอดจนมาตรการเร่งด่วนระยะสั้น เช่น มาตรการท่องเที่ยวภายในประเทศในเมืองหลักและเมืองรอง เพื่อทำให้เม็ดเงินดันลงไปสู่เศรษฐกิจฐานรากมากขึ้นค่ะ

ประเทศไทยมีรากฐานที่แข็งแรงหลายมิติ แต่หากต้องจัดลำดับเพื่อลงลึกในการพัฒนา เราอาจต้องเลือกบางแง่มุมที่เป็นจุดแข็งและมีศักยภาพอยู่แล้ว เช่น อาหาร กีฬา นอกจากนี้ ยืนยันว่าการพัฒนาผลักดันเรื่องการท่องเที่ยว ภาคเอกชนมีส่วนสำคัญ จึงอยากให้ทุกภาคส่วน รวมถึงทีมไทยแลนด์ที่ทำงานต่างประเทศ ได้ร่วมมือกับภาคเอกชน เพราะภาคเอกชนเป็นส่วนที่เห็นหน้างานและปัจจัยที่สุด ซึ่งประเด็นนี้จะมีการทำเวิร์กช็อปร่วมกันต่อไปเพื่อพัฒนาต่อไป เพื่อทำให้การท่องเที่ยวไทย เดินเครื่องอย่างเต็มศักยภาพมากยิ่งขึ้น

Advertisement

หอการค้าไทย ออกแถลงการณ์ ค้านขึ้นค่าแรง 400 บาททั่วประเทศ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 พฤษภาคม 2567 หอการค้าไทยและสมาคมการค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น คัดค้านขึ้นค่าแรง 400 บาททั่วประเทศ ยันจุดยืน เอกชนไม่ได้มีความพร้อมทุกราย

จากกรณีเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2567 ซึ่งตรงกับวันแรงงานที่ผ่านมา นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศขึ้นค่าแรง 400 บาทแบบถ้วนหน้าทั่วประเทศทุกอาชีพ ภายในวันที่ 1 ต.ค. 2567 นั้น

ล่าสุดเช้าวันนี้ (7 พ.ค.) นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ได้แถลงข่าวคัดค้านนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ

นายพจน์ ได้อ่านแถลงการณ์คัดค้าน พร้อมกล่าวว่า ได้รับการร้องเรียนจากภาคเอกชน โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวและภาคบริการ 54 สมาคมการค้า ได้ส่งรายชื่อไม่เห็นด้วยกับการขึ้นค่าแรงดังกล่าวเพราะเป็นการเพิ่มภาระต้นทุนจนไม่เหลือผลกำไร และทางหอการค้าไทย จะนำรายชื่อสมาคมที่คัดค้านไปยื่นให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในวันที่ 13 พ.ค.นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีร่วม 100 สมาคมการค้าที่ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นค่าแรง

ทั้งนี้ หอการค้าทั่วประเทศและสมาคมการค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น เห็นด้วยกับการยกระดับรายได้ให้แรงงานแต่การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปีควรปรับตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา 87 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 การขึ้นค่าแรงควรคำนึงถึงผลการศึกษาและการรับฟังความคิดเห็นจากคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดและกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) อีกครั้ง การปรับอัตราค่าจ้างควรพิจารณาจากทักษะฝีมือแรงงาน และการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉพาะพื้นที่จังหวัดและประเภทธุรกิจ ควรมีการรับฟังความคิดเห็นและศึกษาความพร้อมของแต่ละจังหวัด

การปรับค่าแรงจะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นเพราะบางจังหวัดจะขึ้นไปถึง 21% ดังนั้นการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำโดยไม่คำนึงถึงตามที่กฎหมายกำหนดจะทำให้ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการ หยุดกิจการ ลดขนาดกิจการหรือปรับธุรกิจออกนอกระบบภาษี จนนำไปสู่การปลดลูกจ้างและเลิกจ้างพนักงานในที่สุด

นายธนวรรธน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การปรับค่าจ้างครั้งนี้ คือ การกระชากด้วยนโยบายจากการหาเสียงไม่ได้ปรับขึ้นตามความจำเป็น โดยปีที่แล้วเศรษฐกิจไทยเติบโตเพียงแค่ 1.9% และเมื่อมองย้อนหลังไป 3 ปี เศรษฐกิจไทยเติบโตแค่ 6% ซึ่งจากผลการสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า การปรับค่าจ้างแรงงาน ควรปรับตามกลไกและตามค่าครองชีพที่สูงขึ้น การปรับครั้งนี้จะทำให้การจ้างงานไม่สดใส ผู้ประกอบการจะหันไปใช้เครื่องจักรมากขึ้นในอนาคต

Advertisement

พล.อ.ประยุทธ์​ ชมพรรณไม้เมืองหนาว จ.ระยอง ยันเดินหน้าทุกโครงการเพื่ออนาคต

People Unity News : 9 สิงหาคม 2566 นายกฯ ​ยิ้ม หลังชมพรรณไม้เมืองหนาว จ.ระยอง ยันเดินหน้าทุกโครงการเพื่ออนาคต ไม่มีเลือกที่รักมักที่ชัง บอก​ไม่ขอออกความเห็นการเมือง​ พ้อเป็นคนไม่สำคัญ​ ไม่ทราบเพื่อไทยประกาศสลายขั้ว ตั้งรัฐบาลพิเศษ

พล.อ.ประยุทธ์​ จันทร์โอชา​ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ เดินทางมายังโครงการนำพลังงานความเย็นเหลือใช้จากการเปลี่ยนสถานะของก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกพืชเมืองหนาว ต่อยอดด้านการเกษตรเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ที่อาคารนิทรรศน์พรรณพฤกษา อ.เมืองระยอง จ.ระยอง ซึ่งจุดนี้มีนายสาธิต​ ปิตุเตชะ​ รัฐมนตรี​ช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข​ ในฐานะรักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ​ร่วมคณะด้วย

ทันทีที่ พล.อ.ประยุทธ์ และคณะ เดินทางมาถึง ได้ทักทายสื่อมวลชน โดยระบุว่า​มีความสุขจริงๆ เย็นดีเหลือเกิน​ มิน่าไม่เห็นเลยพวกนี้ ซึ่งภายในอาคารมีการควบคุมอุณหภูมิอยู่ที่ 15 องศาเซลเซียส​ จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขึ้นไปบริเวณห้องรับฟังบรรยายสรุปการดำเนินการ​ ก่อนจะลงมาร่วมถ่ายรูปกับดอกไม้ภายในอาคาร

หลังจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์​ ได้ให้​สัมภาษณ์​ถึงการลงพื้นที่ตรวจราชการในครั้งนี้ว่า ตนได้รับรายงานมาโดยตลอด ซึ่งทั้งหมดเป็นความร่วมมือร่วมใจของเราที่ทำกันมาหลายปีด้วยกันตั้งแต่รัฐบาลที่ผ่านมาครั้งแรก เพราะเราคิดว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศไทยเดินหน้าไปได้ ซึ่งต้องส่งเสริมการลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้มีความพร้อม เลยต้องเตรียมโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางบก ทางเรือ​ ทางอากาศ ให้พร้อม เพราะจะเป็นแรงจูงใจให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุน จากการดำเนินการมีความก้าวหน้าไปมาก​ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะต้องพัฒนาและเข้าใจร่วมกัน และตนไม่อะไรกับใครเลย เพียงแต่ขอความเข้าใจว่าจะต้องเดินหน้าประเทศกันไปอย่างไร​ เพื่อเดินหน้าสู่อนาคต​

“ตนถึงบอกว่าวันนี้ต้องมีอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อดีตไม่ดีก็อย่าทำ อะไรที่ดีทำซะ ทำต่อเนื่อง ทำต่อไป ปัจจุบันคือทำให้คนรุ่นหลังเพื่ออนาคต ซึ่งใครมีหน้าที่ตรงนี้ก็ต้องมองทั้ง 3 อย่าง เราเลือกที่รัก​มักที่ชัง​ใครไม่ได้ เพราะคนไทยทั้งหมด 70 ล้านคน เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้เขาทั้งหมด ไม่ว่าจะมากจะน้อยก็แล้วแต่ศักยภาพที่เรามีอยู่​ พร้อมขอสื่อมวลชนอย่าถามเลยเรื่องเก่าๆ​ เรื่องในอดีต​ ตนยังไม่ตอบ วันนี้พูดถึงอนาคตแล้ว” นายกรัฐมนตรี กล่าว

เมื่อสื่อมวลชนถามว่าแล้วปัจจุบันเป็นอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์​ ถามกลับสื่อมวลชนว่า “ปัจจุบันคืออะไร การเมือง”

เมื่อถามถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้แต่ละกระทรวงเตรียมเอกสารส่งต่อให้รัฐบาลใหม่​ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า “ก็ใช่​ ต้องส่งเขาไง นี่แหละคือคำว่าส่งต่อ”

ทั้งนี้ หากโครงการอะไรจะเดินได้ การเมืองจะต้องนิ่งด้วยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์​ กล่าวพร้อมชี้นิ้วมายังสื่อมวลชน “บอกเขาสิ บอกการเมืองเขา ตนไม่ใช่ตอนนี้”

ส่วนที่พรรคเพื่อไทยประกาศชูข้อเสนอตั้งรัฐบาลพิเศษสลายขั้วการเมือง เพื่อแก้วิกฤติการเมืองกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ถามกลับสื่อว่า “มีหรือ มีที่ไหน​ ไม่รู้สิ ก็แล้วแต่​ นึกถึงประเทศชาติ​ ประชาชน​ก็แล้วกัน​ จะทำอะไรก็ทำได้ทั้งหมดแหละ”

พร้อมย้ำว่า ตนไม่มีความเห็นไง ทำไมต้องมีความเห็นด้วยจ๊ะ สื่อมวลชนจึงกล่าวว่าเพราะนายกฯ เป็นคนสำคัญ พล.อ.ประยุทธ์​ ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง พร้อมระบุว่า “อย่าคิด ฉันเป็นคนไม่สำคัญ ให้ไปฟังเพลงดูสิ เพลงคนไม่สำคัญ​“ ก่อนเดินออกจากวงสัมภาษณ์

ผู้สื่อข่าวยังถามว่าตกลง พล.อ.ประยุทธ์ สำคัญหรือไม่สำคัญ นายกรัฐมนตรีได้กล่าว​ระหว่างเดินว่า​ “ถามอยู่ได้​ เดี๋ยวก็พลาดจนได้แหละ”

ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินทางกลับ ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่าแต่แฟนคลับยังเห็นว่านายกฯ เป็นคนสำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ เอามือป้องปาก และพูดว่า “เหรอ ทีตอนนี้เห็นว่าสำคัญขึ้นมาเชียวล่ะ” จากนั้นได้ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ และกล่าวอีกว่า “วันนี้มาทั้งวันไม่เหนื่อย แต่เหนื่อยกับคำถามสื่อที่ถามกันนี่แหละ” จากนั้นได้ยิ้มอย่างอารมณ์ดี และส่งสัญลักษณ์ I love you และ Mini Heart ก่อนเดินทางกลับ

Advertisement

โฆษก รบ.เผย นายกฯ มุ่งพัฒนาร้านค้าส่ง-ค้าปลีกรายย่อย ยกระดับเป็น“สมาร์ทโชห่วย” เพิ่มความสามารถแข่งขัน ขับเคลื่อน ศก.ท้องถิ่น

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 พฤษภาคม 2567 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ มุ่งสร้างเครือข่ายร้านค้าส่งค้าปลีกรายย่อย พัฒนาร้านค้าพี่เลี้ยงต้นแบบ ยกระดับร้านค้าเป็น“สมาร์ทโชห่วย” สร้างโอกาส ขยายตลาด เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการส่งเสริม พัฒนา และยกระดับการค้าของธุรกิจ SME ด้วยความเชื่อมั่นว่า SME จะมีส่วนสำคัญในการพัฒนา เศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้ง มุ่งยกระดับเศรษฐกิจในชุมชน กระจายความเจริญ ลดช่องว่างของการพัฒนา ทั้งนี้ มีร้านค้าส่งค้าปลีกต้นแบบแล้ว 307 ร้านค้า และสมาร์ทโชห่วย 7,375 ร้านค้า ทั่วประเทศ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการตามแนวทางเพื่อยกระดับร้านค้าส่งค้าปลีกรายย่อย สร้างโอกาสทางการตลาด โดยการสร้างเครือข่ายสำหรับผู้ประกอบธุรกิจร้านค้าส่งค้าปลีกในชุมชน สร้างร้านค้าต้นแบบ เพื่อเป็นร้านค้าตัวอย่างและร้านค้าพี่เลี้ยงสำหรับการช่วยดูแลร้านค้าอื่น ๆ และแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในการประกอบธุรกิจ โดยได้มีการตั้งเป้าหมาย การพัฒนาร้านค้าต้นแบบในปี 2567 ไม่น้อยกว่า 30 ร้านค้าและขยายผลไปยังร้านค้าส่งค้าปลีกอื่นๆ ให้ได้รับผลประโยชน์ต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 250 ร้านค้า สร้างโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยี พัฒนาระบบการจัดการของร้านค้าให้มีความทันสมัย ขยายตลาด ขยายกลุ่มลูกค้าและเพิ่มยอดขาย

นอกจากนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้ายังมีเป้าหมายพัฒนาร้านค้า“สมาร์ทโชห่วย” โดยจะมีการปรับภาพลักษณ์ร้านค้าตามหลัก 5ส (สวย สะอาด สว่าง สะดวก สบาย) ส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาใช้โดยการใช้ระบบขายหน้าร้าน (POS: Point of sale) ที่ช่วยอำนวยความสะดวกสำหรับการขายสินค้าหน้าร้าน การจัดการสต็อกสินค้า การดูรายงานยอดขายเบื้องต้น การสรุปรายรับรายจ่าย และการจัดการใบกำกับภาษี เป็นต้น พร้อมทั้งมีกิจกรรมการแลกเปลี่ยนความรู้อย่างต่อเนื่องผ่านสัมมนาออนไลน์/ออนไซต์ทั่วประเทศ และ สิทธิประโยชน์อื่น ๆ จากหน่วยงานในเครือข่าย โดยทางหน่วยงานมีแผนที่จะลงพื้นที่เบื้องต้นใน 24 จังหวัด 33 ร้านค้า เพื่อให้ความรู้และคำแนะนำในการปรับภาพลักษณ์ การจัดเรียงสินค้า พร้อมทั้งสอนการใช้งานเทคโนโลยีการขาย จังหวัดละ 1 ร้านค้า ได้แก่ นครสวรรค์ พิษณุโลก ลำปาง ชัยภูมิ บุรีรัมย์ ยโสธร กาญจนบุรี จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชัยนาท ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม อุทัยธานี ตรัง พังงา และสุราษฎร์ธานี จังหวัดละ 2 ร้านค้า ได้แก่ สุโขทัย ร้อยเอ็ด หนองบัวลำภู อุบลราชธานี และสระแก้ว  จังหวัดละ 3 ร้านค้า ได้แก่ ขอนแก่น และสกลนคร

ทั้งนี้ จากข้อมูลเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2567 พบว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ดำเนินการยกระดับเพื่อสร้างร้านค้าส่งค้าปลีกต้นแบบ (พี่เลี้ยงโชห่วย) ไปแล้วจำนวนทั้งสิ้น 307 ร้านค้า แบ่งเป็น ภาคกลาง 99 ร้านค้า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 98 ร้านค้า ภาคเหนือ 66 ร้านค้าและภาคใต้ 44 ร้านค้า และการพัฒนาร้านค้าโชห่วยอื่นๆ ในการปรับภาพลักษณ์ และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี (สมาร์ทโชห่วย) เป็นจำนวนทั้งสิ้น 7,375 ร้านค้า แบ่งเป็น ภาคกลาง 2,288 ร้านค้า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2,063 ร้านค้า ภาคใต้ 1,523 ร้านค้า และ ภาคเหนือ 1,501 ร้านค้า

“นายกรัฐมนตรี มุ่งยกระดับร้านค้าส่งค้าปลีกในชุมชน เพื่อร่วมสร้างสรรค์เศรษฐกิจระดับชุมชนร่วมกันภายในท้องถิ่น ปรับเปลี่ยนการพัฒนาร้านค้า นำเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น โดยเชื่อมั่นว่าการพัฒนาร้านค้าโชห่วยในโครงการนี้ จะช่วยเพิ่มจำนวนกลุ่มลูกค้าและโอกาสในการขายสินค้าได้มากขึ้น รวมถึงทำให้เกิดการยกระดับร้านค้า สู่การนำเทคโนโลยีมาช่วยลดต้นทุน สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว ทำให้ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกรายย่อยสามารถดำเนินธุรกิจได้มีประสิทธิภาพ สนับสนุนศักยภาพของประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล สร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น” นายชัย กล่าว

Advertisment

ภาคท่องเที่ยวชื่นชมเป็นรัฐบาลแรกออกมาตรการฟรีวีซ่า

People Unity News : 13 กันยายน 2566 ภาคท่องเที่ยวเอกชนเฮ มาตรการฟรีวีซ่า โดยเฉพาะตลาดจีน อย่างสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว ชื่นชมเป็นรัฐบาลแรกที่ออกมาตรการฟรีวีซ่าให้จีน คิดเร็ว ทำเร็ว เชื่อดึงนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยเพิ่มกว่า 20%

นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า ต้องขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยมาตรการฟรีวีซ่าสำหรับจีน ระหว่างวันที่ 25 กันยายน 2566 – 29 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นการยกเว้นชั่วคราว เพราะถือว่าเป็นมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ดีมาก และถือเป็นรัฐบาลแรกที่ทำนโยบายนี้ เพราะที่ผ่านมาเคยมีแต่งดค่าธรรมเนียมวีซ่า แต่วีซ่ายังต้องทำอยู่ แต่รัฐบาลนี้ไม่ต้องทำวีซ่า เพียงใช้พาสปอร์ต ถือว่านายกรัฐมนตรีคิดเร็ว ทำเร็ว ล่าสุดผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่จีนสอบถามเข้ามาเยอะ เชื่อว่าจะได้นักท่องเที่ยวคุณภาพเข้ามามากขึ้น น่าจะมีลุ้นให้นักท่องเที่ยวจีนถึงเป้า 5 ล้านคนในปีนี้ ตอนนี้จีนเข้ามาราว 3 แสนคน/เดือน เชื่อว่ามาตรการฟรีวีซ่าชั่วคราว น่าจะดึงนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเพิ่มได้ถึง 20% และจะได้กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ตัดสินใจด่วนๆ อยากมาเที่ยวไทยเข้ามาได้เลย และเป็นกลุ่มที่มีกำลังจ่ายสูง รวมทั้งได้กรุ๊ปทัวร์คุณภาพเข้ามามากขึ้นด้วย พร้อมมองว่า การออกมาตรการฟรีวีซ่า เป็นการกระตุ้นอย่างดีกับตลาดจีน เพราะทำให้นักท่องเที่ยวจีนรู้สึกว่าประเทศไทยให้เกียรติ เพราะคนจีนถือเรื่องนี้เป็นสำคัญ ปัจจุบันตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทย จำนวน 2,284,281 คน และเดินทางเข้าไทยเป็นอันดับ 2

ขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาเรื่องข่าวลบ เพราะกระแสโซเชียลจีน หรือติ๊กต็อกจีนตอนนี้ ค่อนข้างเป็นไปในทิศทางลบว่ามาเมืองไทยไม่ปลอดภัยหลายๆ ด้าน เช่น หากมาไทยอาจจะเจอลักพาตัว ถูกขโมยไตไปขาย เจอหลอกลวงมากมาย ซึ่งการแก้ข่าวเร็วที่สุด คือ นายกรัฐมนตรีต้องเดินทางเยือนจีน เพื่อสร้างสัมพันธไมตรี และไปชี้แจงด้วยตัวเอง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น เชิญอินฟลูเอนเซอร์ของจีนมาเที่ยวไทย และกลับไปสร้างภาพลักษณ์ที่ดีว่า เมืองไทยไม่ได้น่ากลัวอย่างที่มีข่าวลือ การแก้ปัญหาข่าวลบของไทยทางโซเชียลจีน คือหัวใจสำคัญ เพราะคนจีนดูเยอะและเข้าใจผิด

นอกจากนี้ มองว่า การที่รัฐบาลให้ฟรีวีซ่ากับคาซัคสถานด้วย ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะนักท่องเที่ยวคาซัคสถานเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง พักโรงแรมระดับ 4 ดาว ถึง 5 ดาว การให้ฟรีวีซ่าจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น ที่สำคัญสร้างความรู้สึกที่ดี เพราะคาซัคสถานติดกับรัสเซีย และรัสเซียก็ได้ฟรีวีซ่าเข้าไทย

Advertisement

Verified by ExactMetrics