วันที่ 6 พฤษภาคม 2024

“จุรินทร์”บุกสตูดิโอ”ดิสนีย์-นิคคาโลเดียน”สหรัฐฯ หนุนอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์

People Unity News : “จุรินทร์”บุกสตูดิโอ”ดิสนีย์-นิคคาโลเดียน”สหรัฐฯ หนุนอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ ลุยตลาดโลกทำรายได้เข้าประเทศ

เมื่อเวลา 10.00-14.00น.วันที่ 7 พฤศจิกายน 2562 ตามเวลาท้องถิ่นของเมืองลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นำทีมคณะผู้บริหาร และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เจาะตลาดดิจิทัลคอนเทนต์ระดับโลก ล้วงลึกเรียนรู้กระบวนการสร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่นอันดับหนึ่งของโลกที่ Walt Disney และ Nickelodeon สหรัฐอเมริกา

นายจุรินทร์กล่าวว่า พร้อมหาลู่ทางขยายโอกาสการสร้างคอนเทนต์ของนักสร้างสรรค์ไทยในอนาคต โดยได้เยี่ยมชมการทำงานงานจริงในสตูดิโอพร้อมทั้งได้หารือกับนักสร้างสรรค์ไทยระดับรางวัลออสการ์ที่ทำงานในสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ของไทยมีมูลค่าสูงถึง 112,400 ล้านบาท ประกอบด้วยภาพยนตร์ แอนิเมชั่น โทรทัศน์ 91,500 ล้านบาท เกมส์ 19,000 ล้านบาท คาแรคเตอร์ 1,900 ล้านบาท ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์พร้อมส่งเสริมสนับสนุนให้อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทยเติบโตสามารถขยายไปยังต่างประเทศให้ได้มากยิ่งขึ้น

การเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสมุ่งผลักดันธุรกิจบริการ digital content และหารือกับกลุ่มนักสร้างการ์ตูน หรือ Animator คนไทยรู่นใหม่ ที่สร้างสรรผลงานให้กับบริษัท Nickelodeon Animation Studio และ Walt Disney Studio โดยได้หารือถึงโอกาสในการผลักดันคนไทยรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพให้ได้เข้ามาทำงานร่วมกับ Nickelodeon และ Disney เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ ตลอดจนความร่วมมือในการจัดกิจกรรมเรียนรู้วัฒนธรรมไทย เพื่อสร้างสรรการ์ตูนเรื่องใหม่ที่มาจากเรื่องราวของวัฒนธรรมเอเชีย พร้อมหารือถึงแนวทางที่จะพัฒนาส่งเสริมคนไทยที่มีศักยภาพให้ได้มีโอกาสมาพัฒนาฝีมือและสร้างสรรงานร่วมกับบริษัทระดับโลก โดยมีคนไทยที่ทำงานให้กับบริษัท Animation อาทิ Walt Disney studio ,Nickelodeon Animation Studio ,Wizard Entertainment เป็นต้น เข้าร่วม

“จุรินทร์”เปิดยิ่งใหญ่! มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 36 หนุนธุรกิจยานยนต์ให้เข้มแข็ง

People Unity News : “จุรินทร์”เปิดยิ่งใหญ่! มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 36 ที่ห้องรอยัล จูบิลี ชาเรนเจอร์ อิมแพ็คเมืองทองธานี หนุนธุรกิจยานยนต์ให้เข้มแข็ง

วันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 เวลา 8.30 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานพิธีเปิดงาน”มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 36″ ณ ห้องรอยัล จูบิลี ชาเรนเจอร์ อิมแพ็คเมืองทองธานี โดยนายจุรินทร์ กล่าวว่า ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้มาเป็นมาเป็นประธานพิธีเปิด งาน “มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 36” ซึ่งจัดโดย บริษัท สื่อสากล จำกัด ในวันนี้ ตามที่ปัจจุบัน “ยานยนต์” ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่รถยนต์ แต่ยังรวมถึงยานพาหนะทุกชนิด ทุกประเภทที่สามารถรองรับวิถีชีวิต รสนิยม และตอบสนองความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึงนั้น ดังนั้นตลาดยานยนต์จึงเป็นตลาดที่กว้างขวาง และขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือในปีที่ผ่านมา ไทยมียอดผลิตรถยนต์และจักรยานยนต์ ทั้งเพื่อจำหน่ายภายในประเทศ และส่งออกยังตลาดต่างประเทศรวมกันกว่า 5 ล้านคัน โดยเฉพาะรถยนต์ ที่มียอดผลิตกว่า 2 ล้านคัน ซึ่งนับเป็น สถิติสูงสุดในรอบ 5 ปี

รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ กล่าวว่า การเจริญเติบโตของตลาดยานยนต์ในเขตอาเซียน ซึ่งมีไทยเป็นศูนย์กลางเป็นสิ่งที่รัฐบาลเล็งเห็น และให้การส่งเสริมมาโดยตลอดเมื่อผนวกกับการจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 36” ภายใต้แนวคิด “โลดแล่นทันใด ทะยานไปด้วยกัน”รวมถึงมีโครงการแสดงสินค้าแบบ B to B(บีทูบี) จึงเป็น เสมือนแรงสนับสนุนให้ธุรกิจยานยนต์ไทยมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น รวมถึงกระตุ้นให้ เกิดการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ และเชื่อมต่อธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ
นอกจากนี้

“ผมได้รับทราบว่าบริษัท สื่อสากล จำกัด ได้ก่อตั้ง “มูลนิธิลม หายใจไร้มลทิน” มาตั้งแต่ปี 2550 เพื่อรณรงค์แก้ปัญหามลพิษในอากาศที่เกิดจากยานยนต์ และปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตให้แก่เยาวชน ซึ่งกิจกรรมทั้งสองด้านล้วนมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศเป็นอย่างยิ่ง จึงขอแสดงความชื่นชมบริษัท สื่อสากล จำกัด (นิตยสารฟอร์มูลา) ที่ได้ผลิตสื่อพร้อมดำเนิน กิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อวงการยานยนต์ และสังคมส่วนรวม โดยเฉพาะการ จัดงาน “มหกรรมยานยนต์” ที่ช่วยพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรม และ พาณิชยกรรมของยานยนต์ไทย มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษ” นายจุรินทร์ กล่าว

รายงานแจ้งว่า การจัดงานในครั้งนี้ประสบผลสำเร็จมา 35 ครั้งวันนี้เป็นครั้งที่ 36 และเป็นมหกรรมยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี โดยจัดแสดงนับจากวันนี้ที่อิมแพค เมืองทองธานีไป 12 วัน มีบริษัทรถยนต์และที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกว่า 300 รายจากทั่วโลก และในงานนี้เป็นการสนับสนุนเพื่อให้เกิดการใช้ยางพาราในการผลิตยางรถยนต์สนโอกาสต่อไปตามนโยบายด้วย

Expo 2028 Phuket Thailand นำเสนอครั้งสุดท้าย 21 มิ.ย.นี้ ที่กรุงปารีส

People Unity News : 17 มิถุนายน 2566 นายกฯ ติดตามการเตรียมความพร้อมการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน Expo 2028 Phuket Thailand ของไทย เชิญชวนคนไทยร่วมส่งกำลังใจให้ทีมไทยแลนด์ในการนำเสนอครั้งสุดท้าย 21 มิ.ย. นี้ ที่กรุงปารีส

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด ถึงความพร้อมของทีมไทยแลนด์ ในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised Expo 2028 ที่จังหวัดภูเก็ต ในชื่องาน “Expo 2028 Phuket Thailand ชีวิตแห่งอนาคต: แบ่งปันความรุ่งเรือง อยู่ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว (Future of Life: Living in Harmony, Sharing Prosperity)” ซึ่งจะมีการนำเสนอในขั้นตอนสุดท้ายในวันพุธที่ 21 มิถุนายน นี้ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในขณะนี้ประเทศไทย เป็นหนึ่งในประเทศผู้ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมเสนอชื่อในการเป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised Expo 2028 จากผู้เข้าร่วมการเสนอเป็นเจ้าภาพทั้งหมด 5 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เซอร์เบียร์ สเปน อาร์เจนตินา และไทย ซึ่งจะมีการคัดเลือกโดยประเทศสมาชิกองค์การนิทรรศการนานาชาติ (Bureau International des Expositions: BIE) 171 ประเทศ และจะมีการประกาศผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 มิถุนายน 2566 นี้ โดยประเทศไทยได้มีการเตรียมความพร้อมในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน Expo 2028 Phuket Thailand มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากไทยได้รับเลือกจะมีกำหนดการจัดงานในวันที่ 20 มีนาคม – 17 มิถุนายน พ.ศ. 2571 อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต

จังหวัดภูเก็ต ถือเป็นหนึ่งในจังหวัดของประเทศไทยที่มีศักยภาพด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่สำคัญ พร้อมทั้งยังมีความเป็นเอกลักษณ์ โครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย มีเสน่ห์ทางประวัติศาสตร์ รวมถึงการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ มีศูนย์วิจัยและพัฒนาระดับนานาชาติ ระบบนิเวศสวนสาธารณะที่ยั่งยืน และมีสถานที่อำนวยความสะดวกในการจัดงานต่างๆ โดยสิ่งเหล่านี้คือจุดแข็งของจังหวัดภูเก็ต ประเทศไทยในการแข่งขันครั้งนี้

โดยการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานในครั้งนี้คาดว่า จะมีผู้เข้าร่วมงาน 4.9 ล้านคนตลอด 3 เดือนของการจัดงาน เงินสะพัดกว่า 49,000 ล้านบาท และเกิดการจ้างงานเพิ่มกว่า 1.1 แสนตำแหน่ง ,เกิดการพัฒนาเมืองของจังหวัดภูเก็ต และจังหวัดในกลุ่มอันดามันคลัสเตอร์ ได้แก่ กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสุราษฎร์ธานี ,ยกระดับสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ของภูมิภาคอาเซียน และก้าวสู่การเป็นศูนย์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก ,หลังจากการจัดงานจะสามารถพัฒนาเป็นศูนย์บริการทางการแพทย์และสาธารณสุขระดับนานาชาติครบวงจร รวมถึงการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นศูนย์ประชุมนานาชาติ และ Ecological Park

“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญติดตามความพร้อม สั่งการ และสนับสนุนการประชาสัมพันธ์จังหวัดภูเก็ตให้ได้เป็นเจ้าภาพการจัดงานในครั้งนี้ โดยรัฐบาลสนับสนุนการเตรียมความพร้อมมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ระยะแรกในปี 2564 และในช่วงนี้ถือเป็นช่วงสุดท้ายก่อนการประกาศผลอย่างเป็นทางการ โดยนายกรัฐมนตรีขอส่งกำลังใจให้ทีมไทยแลนด์ นำโดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ ในการนำเสนอประเทศไทยในเวทีการประชุมสมัชชาใหญ่ BIE ณ กรุงปารีส วันที่ 21 มิถุนายนนี้ และขอให้ความตั้งใจอันดี และความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ที่ได้ทำงานอย่างหนักร่วมกันมากว่า 3 ปี ส่งผลให้ประเทศของเราประสบความสำเร็จในการชิงชัยครั้งนี้ และขอเชิญชวนประชาชนชาวไทยทุกคน ร่วมส่งกำลังใจ แสดงความพร้อมในการสนับสนุนให้ประเทศไทยได้รับเลือกในการเป็นเจ้าภาพการจัดงานครั้งนี้ด้วยกัน” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

BOI เผยลงทุนไตรมาสแรกปี 64 กว่า 1.2 แสนล้านบาท “การแพทย์ – อิเล็กทรอนิกส์” มาแรง

People Unity News : บีโอไอเผยภาวะการลงทุนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 ยอดขอรับส่งเสริมรวมกว่า  1.2 แสนล้านบาท เติบโตจากไตรมาสแรกปีก่อนมากถึงร้อยละ 80 พบกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ และอิเล็กทรอนิกส์เติบโตท่ามกลางสถานการณ์โควิด ขณะที่ EEC ยังคงเนื้อหอมเป็นพื้นที่เป้าหมายหลักของนักลงทุน

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยว่า การลงทุนในช่วงไตรมาสแรก (ม.ค.- มี.ค.) ปี 2564 มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 401 โครงการ มูลค่าลงทุนรวม 123,360 ล้านบาท มีอัตราเติบโตทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าการลงทุนเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 โดยจำนวนโครงการเติบโตร้อยละ 14 และมูลค่าเติบโตร้อยละ 80

กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจมีมูลค่าลงทุนทั้งสิ้น 74,830ล้านบาท โดย 2 อันดับแรกที่มีมูลค่าการขอรับการส่งเสริมสูงสุด ได้แก่ 1) อุตสาหกรรมการแพทย์ มูลค่า 18,430 ล้านบาท เติบโตขึ้นมากกว่า 100 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน 2) อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 17,410 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 64 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

“ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมการแพทย์เติบโตอย่างต่อเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด ซึ่งทำให้ความต้องการสินค้าในหมวดการแพทย์เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีการขยายการลงทุนในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นอุตสาหกรรมในกลุ่ม S-Curve ขยายตัวต่อเนื่องจากผลของ Work From Home ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ในการทำงานในยุคเชื้อโควิดระบาด และการย้ายฐานการผลิตในอุตสาหกรรมนี้ยังมีอย่างต่อเนื่อง” เลขาธิการบีโอไอกล่าว

ด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 191 โครงการ มูลค่าลงทุน 61,979 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 143 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยอันดับประเทศที่ยื่นขอรับการส่งเสริมที่มีมูลค่ามากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เกาหลีใต้ จีน และสิงคโปร์ ซึ่งมีขนาดการลงทุนใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ การลงทุนของเกาหลีใต้ปรับสูงขึ้นในไตรมาสนี้เนื่องจากมีการร่วมทุนในโครงการขนาดใหญ่ด้านอุตสาหกรรมการแพทย์

สำหรับพื้นที่เป้าหมายที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมมูลค่า 64,410 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 39 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แบ่งเป็น จังหวัดระยอง มูลค่าลงทุน 29,430 ล้านบาท จังหวัดชลบุรี 24,970 ล้านบาท และจังหวัดฉะเชิงเทรา 10,010 ล้านบาท

นอกจากนี้ การขอรับการส่งเสริมการลงทุนตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมาก โดยมีจำนวน 39 โครงการ เงินลงทุน 8,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 6 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยแบ่งเป็นมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านประหยัดพลังงาน พลังงานทดแทน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จำนวน 21 โครงการ เงินลงทุน 5,630 ล้านบาท มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร จำนวน 16 โครงการ เงินลงทุน 2,470 ล้านบาท และมาตรการวิจัยและพัฒนาหรือออกแบบทางวิศวกรรมเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ จำนวน 2 โครงการ เงินลงทุน 300 ล้านบาท

Advertising

รัฐบาลส่งเสริมนักออกแบบคนรุ่นใหม่ก้าวสู่ตลาดโลก

People Unity News : 3 มิถุนายน 2566 นายกฯ สนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ให้ก้าวสู่การเป็นนักออกแบบมืออาชีพสู่ตลาดโลก จัดโครงการ Designers’ Room / Talent Thai & Creative Studio Promotion 2023

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ในการดำเนินธุรกิจ ให้ได้รับโอกาสพัฒนาศักยภาพ พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ รวมไปถึงช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในภูมิภาคเอเชีย ด้วยการการจัดโครงการส่งเสริมนักออกแบบไทยสู่ตลาดโลก 2566 หรือ Designers’ Room / Talent Thai & Creative Studio Promotion 2023

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จัดทำโครงการ Designers’ Room / Talent Thai & Creative Studio Promotion 2023 ส่งเสริมนักออกแบบคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ ให้ได้พัฒนาองค์ความรู้ และปรับตัวให้ตอบสนองความต้องการของตลาดในระดับสากล เตรียมพร้อมก้าวเข้าสู่การเป็นแบรนด์นักออกแบบและผู้ให้บริการการออกแบบมืออาชีพ โดยโครงการส่งเสริมนักออกแบบไทยสู่ตลาดโลก ระหว่างปี 2566 – 2567 แบ่งการดำเนินงานเป็น 2 ส่วน ดังนี้

ส่วนที่ 1 สำหรับนักออกแบบที่เคยเข้าร่วมโครงการในอดีต จะได้รับโอกาสในการเข้าร่วมการเจรจาการค้า การส่งเสริมภาพลักษณ์ ประชาสัมพันธ์แบรนด์ ในงานแสดงสินค้าและเวทีการออกแบบในต่างประเทศ ได้แก่

งานแสดงสินค้า “Bangkok Gems and Jewelry Fair” วันที่ 6 – 10 กันยายน 2566

งานแสดงสินค้า “MAISON & OBJET” ณ กรุงปารีส วันที่ 7 – 11 กันยายน 2566 และเจรจาการค้าผ่านแพลตฟอร์ม m.o.m.

งานแสดงสินค้า “COTERIE New York” วันที่ 19 – 21 กันยายน 2566

งานแสดงสินค้า “STYLE Bangkok 2024” วันที่ 20 – 24 มีนาคม 2567

งาน “Milan Design Week” วันที่ 13 – 18 เมษายน 2567

งาน “Creative Expo Taiwan” ช่วงเดือน ตุลาคม 2567

ส่วนที่ 2 สำหรับนักออกแบบรุ่นใหม่ โครงการได้เปิดรับสมัครในปี 2566 ตั้งแต่วันนี้ – 16 มิถุนายน 2566 ภายใต้แนวคิด “KEEP AN EYE ON : THE CREATIVE POWER OF THE NEW ERA” เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ในการดำเนินธุรกิจผ่าน 2 หลักสูตร ได้แก่

หลักสูตรที่ 1 คือ การให้ความรู้พื้นฐานการเป็นนักออกแบบระดับสากล เริ่มจากการสร้างแบรนด์ การตลาดดิจิทัล และการพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น การพัฒนาทักษะด้านการออกแบบหมุนเวียน (Circular Design) รวมไปถึงการพัฒนาธุรกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำและความยั่งยืน (SDGs)

หลักสูตรที่ 2 คือ เปิดค่ายให้นักออกแบบไทยเข้ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากเครือข่ายพันธมิตรของโครงการ ได้แก่ เครือบ้านและสวน ตามด้วย SC Grand และองค์กร Limited Education รวมถึงแบรนด์รุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จ เช่น แบรนด์ Qualy, Mobella, SARRAN และ Q Design and Play เพื่อกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ นำไปต่อยอดในการดำเนินธุรกิจร่วมกัน

“นายกรัฐมนตรีสนับสนุนแนวความคิดของโครงการดังกล่าว ซึ่งได้หยิบยกแนวทางนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาดำเนินการจนเห็นผลเป็นรูปธรรม เชื่อมั่นว่าการสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ มีความคิดสร้างสรรค์ ให้ได้รับโอกาสในการพัฒนาศักยภาพองค์ความรู้ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดได้ในระดับสากล รวมทั้ง เพิ่มความเชื่อมั่น และส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในภูมิภาคเอเชีย” นายอนุชา กล่าว

ทั้งนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการส่งเสริมนักออกแบบไทยสู่ตลาดโลก 2566 หรือ Designers’ Room / Talent Thai & Creative Studio Promotion 2023 สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ทาง https://forms.gle/X9jPSTF8JAG2dj499 ตั้งแต่วันนี้ถึง 16 มิถุนายน 2566 ติดตามและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ www.ditp.go.th หรือสายตรงการค้าระหว่างประเทศ โทร 1169

Advertisement

“พีระพันธุ์” ลั่นจะพยายามตรึงค่าไฟงวด พ.ค.-ส.ค.67 ไว้ที่ 4.18 บาท/หน่วย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 กุมภาพันธ์ 2567 “พีระพันธุ์” รมว.พลังงาน ยืนยันจะพยายามตรึงค่าไฟงวดหน้าไว้ที่ 4.18 บาท/หน่วย หลังจะต้องปรับอัตราค่าไฟฟ้างวดต่อไป (พ.ค.-ส.ค.) ในเร็ว ๆ นี้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงานของประชาชน

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ค่าไฟฟ้างวดปัจจุบัน (งวด ม.ค.-เม.ย.) ที่เรียกเก็บหน่วยละ 4.18 บาท จะสิ้นสุดในวันที่ 30 เมษายน ซึ่งทาง กกพ.จะต้องปรับอัตราค่าไฟฟ้างวดต่อไปคือเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ในเร็วๆ นี้ ซึ่งตนพยายามจะคงอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับงวดเดือนพฤษภาคม-เดือนสิงหาคม ไว้ในอัตราเดิม คือหน่วยละ 4.18 บาท ให้ได้มากที่สุด ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากได้รับการยืนยันจาก ปตท.สผ.ว่าจะสามารถขุดก๊าซจากอ่าวไทยที่ขาดหายไปจำนวนมากกลับคืนมาได้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 เป็นต้นไป และในวันพรุ่งนี้ (28 ก.พ.) ตนเองจะเดินทางไปดูการทำงานของ ปตท.สผ. ที่หลุมขุดเจาะเอราวัณกลางอ่าวไทย เพื่อให้มั่นใจว่า ปตท.สผ.จะสามารถดำเนินการได้ตามที่รับปากไว้ นอกจากนี้ยังพบว่ามีปัจจัยบวกอื่นๆ อีกหลายปัจจัยที่จะช่วยให้สามารถคงอัตราค่าไฟฟ้าไว้ในอัตราเดิม

“เราเป็นห่วงประชาชน จึงพยายามอย่างยิ่งที่จะลดภาระค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงานของประชาชนซึ่งเป็นต้นทุนที่สำคัญลงให้ได้ โดยใช้มาตรการทุกอย่างที่ทำได้ภายใต้โครงสร้างปัจจุบันก่อนที่จะรื้อทั้งระบบภายในปีนี้“ นายพีระพันธุ์ กล่าว

Advertisement

Fitch ปรับอันดับความน่าเชื่อถือต่อไทยดียิ่งขึ้น ผลจากได้รัฐบาลพลเรือนและบาทสุดแกร่ง

People Unity : Fitch ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในการออกตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศและสกุลเงินบาทระยะยาว จากระดับ “มีเสถียรภาพ (Stable outlook)” เป็น “เชิงบวก (Positive outlook)”

19 กรกฎาคม 2562 : กระทรวงการคลังรายงานผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดยบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Fitch Ratings (Fitch) ว่า ในวันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2562 Fitch ได้ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของรัฐบาลในการออกตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศและสกุลเงินบาทระยะยาวจากระดับ “มีเสถียรภาพ (Stable outlook)” เป็น “เชิงบวก (Positive outlook)” และคงอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลในการออกตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศและสกุลเงินบาทระยะยาวที่ระดับ BBB+ ตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศและสกุลเงินบาทระยะสั้นที่ระดับ F1 และเพดานอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (Country Ceiling) ที่ระดับ A-

(1) ประเทศไทยได้รับการปรับมุมมองความน่าเชื่อถือ เป็นผลมาจากปัจจัยหลักกล่าวคือ Fitch มีความเชื่อมั่นเพิ่มมากขึ้นว่าความเสี่ยงทางการเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบันจะไม่ส่งผลกระทบต่อการบริหารเศรษฐกิจมหภาค โดยสะท้อนจากความเข้มแข็งทางการเงินภาคต่างประเทศ (External Finance) และภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ประเทศไม่อ่อนไหวต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเงิน ในขณะที่ปัญหาทางการเมืองที่สำคัญได้รับการแก้ไขภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม ระดับความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคงมีอยู่โดยขึ้นอยู่กับเสถียรภาพของรัฐบาลผสม

(2) ความเข้มแข็งทางการเงินภาคต่างประเทศของไทยเป็นจุดแข็งหลักต่อความน่าเชื่อถือของประเทศสะท้อนได้จากการที่สกุลเงินบาทไทยแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยในปี 2562 ค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าร้อยละ 4.5 เนื่องจากการไหลเข้าของเงินทุนและการลงทุนในตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะเดือนมิถุนายน 2562

(3) Fitch คาดการณ์ว่าภาคการเงินต่างประเทศของไทยจะยังคงเข้มแข็ง โดยดุลบัญชีเดินสะพัดต่อ GDP จะยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือเดียวกัน (กลุ่ม BBB) ที่ร้อยละ 5.6 ในปี 2562 และร้อยละ 4.9 ในปี 2563 ซึ่งได้แรงสนับสนุนจากการท่องเที่ยวและการเกินดุลการค้า แม้ว่าการส่งออกจะชะลอตัวลงก็ตาม อย่างไรก็ดี Fitch คาดการณ์ว่าการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดประกอบกับเงินทุนที่ไหลเข้ามานั้นส่งผลให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นจาก 205,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2561 เป็นประมาณ 216,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2562 นอกจากนี้ สัดส่วนการเป็นเจ้าหนี้สุทธิกับต่างประเทศต่อ GDP ที่ร้อยละ 43 ในปี 2562 สูงกว่าค่ากลางสัดส่วนการเป็นลูกหนี้สุทธิต่อ GDP ของกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือเดียวกัน (กลุ่ม BBB) ที่ร้อยละ 7 ตามประมาณการของ Fitch รวมถึงสูงกว่าค่ากลางสัดส่วนการเป็นเจ้าหนี้สุทธิของกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ A ที่ร้อยละ 9.7

(4) รัฐบาลบริหารทางการคลังได้อย่างเข้มแข็งภายใต้พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 Fitch คาดการณ์ว่าสัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลต่อ GDP (General Government Debt to GDP) จะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 36.3 ในปีงบประมาณ 2561 เป็นร้อยละ 40.7 ในปีงบประมาณ 2566 เนื่องจากรัฐบาลเร่งการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

(5) การขาดดุลงบประมาณของไทยเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือเดียวกันแล้วถือว่าอยู่ในระดับต่ำ โดย Fitch คาดการณ์ว่าการขาดดุลภาครัฐบาล (General government deficit) ตามมาตรฐาน Government Finance Statistics (GFS) จากที่เกินดุลที่ร้อยละ 0.1 ของ GDP ในปลายปีงบประมาณ 2561 เป็นขาดดุลที่ร้อยละ 0.2 ของ GDP ในปี 2562 ในขณะที่การพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 จะล่าช้าไป 3 เดือน อย่างไรก็ตาม Fitch คาดการณ์ว่า การขาดดุลงบประมาณจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 0.4 ของ GDP เนื่องจากรัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณให้แก่โครงการเพื่อผู้มีรายได้น้อยและโครงการโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ทั้งนี้ การเลือกตั้งที่เกิดขึ้นช่วยคลี่คลายความไม่แน่นอนทางการเมืองและมีส่วนช่วยสนับสนุนความต่อเนื่องของนโยบายที่ดำเนินงานอยู่ในปัจจุบัน Fitch คาดการณ์ว่าการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องตามแผนงานยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและแผนการลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้นและระยะปานกลาง

(6) อย่างไรก็ดี Fitch จะติดตามสถานการณ์สำคัญซึ่งส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของไทย ได้แก่ ระดับหนี้ครัวเรือนของไทย การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย และการพัฒนาทุนมนุษย์

เศรษฐกิจ : Fitch ปรับอันดับความน่าเชื่อถือต่อไทยดียิ่งขึ้น ผลจากได้รัฐบาลพลเรือนและบาทสุดแกร่ง

People Unity : post 19 กรกฎาคม 2562 เวลา 23.11 น.

ชาวอุดรร่วมใจเตรียมเป็นเจ้าภาพงานพืชสวนโลก

People Unity News : 19 มิถุนายน 2565 นายกฯ ปลื้มชาวอุดรทุกฝ่าย ร่วมใจเตรียมเป็นเจ้าภาพงานพืชสวนโลก รมต.เฉลิมชัย ลงตรวจพื้นที่ ยืนยันรัฐบาลสนับสนุนเต็มที่

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเตรียมการเป็นเจ้าภาพจัดงานพืชสวนโลก ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2569-14 มีนาคม 2570 (134 วัน) ที่ ต.กุดสระ อ.เมือง จ.อุดรธานี ซึ่งรัฐบาลได้เห็นชอบในการสนับสนุนงบประมาณในขั้นต้น 2,500 ล้านบาท มีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นเจ้าภาพหลักในการขับเคลื่อนการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ ร่วมกับภาคส่วนต่างๆใน จ.อุดรธานี ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ประธานสภาหอการค้าจังหวัด ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัด และทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทราบถึงความตื่นตัวและความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่าย เพราะประชาชนทราบดีว่างานนี้เป็นการสร้างชื่อเสียงและนำเสนออัตลักษณ์ของจังหวัด อีกทั้งจะสร้างเงินสะพัดในช่วงระหว่างการจัดงานที่อาจมากถึง 32,000 ล้านบาท จากจำนวนผู้เข้าชมงานที่จะมากถึง 3.6 ล้านคน เป็นชาวไทยร้อยละ 70 และชาวต่างชาติร้อยละ 30 และเกิดการจ้างงานประมาณ 81,000 อัตรา

นางสาวรัชดา กล่าวต่อว่า ขณะนี้ กระทรวงเกษตรฯ อยู่ระหว่างการดำเนินการเตรียมพื้นที่ โดยเฉพาะเรื่องการบริหารจัดการน้ำและการลำเลียงน้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยหลวง-หนองสำโรง-หนองแด และการปรับพื้นที่ให้มีพื้นที่ราบเพิ่มขึ้น ในส่วนของจังหวัดและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นระดับต่างๆ ได้ร่วมมือกันวางแผนการเป็นเจ้าภาพ สร้างความเข้าใจโอกาสทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ เมื่อจบสิ้นการจัดงาน ทางจังหวัดมีแผนจะอนุรักษ์พื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์ต่อเนื่องเป็นศูนย์จัดแสดงนิทรรศการ ประเพณีวัฒนธรรม และศูนย์กลางกีฬานานาชาติ ของกลุ่มอนุภาคลุ่มน้ำโขงและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน

“นายกรัฐมนตรี ดีใจที่ได้รับทราบว่าทุกภาคส่วนมีความยินดีและตื่นตัวกับการที่ จ.อุดรจะได้เป็นเจ้าภาพงานพืชสวนโลก จับมือกันสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย และนายกฯยังได้ให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนในทุกด้าน เพื่อให้งานนี้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์และเป็นที่ประทับใจของแขกผู้มาเยือน ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างรายได้แก่ชาวบ้านในจังหวัดและจังหวัดข้างเคียง ” นางสาวรัชดา กล่าว

Advertisement

รมช.คลัง แจง “เงินดิจิทัลวอลเล็ต” เปรียบเสมือนคูปองที่เทียบเท่ากับเงินบาท 10,000 บาท

People Unity News : 10 ตุลาคม 2566 พรรคเพื่อไทย – ส.ส.เพื่อไทย แจงที่ประชุมพรรค ประชาชนต้องการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ด้าน รมช.คลัง ย้ำเดินหน้าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ ขณะที่ “แพทองธาร” เชื่อหากนโยบายสำเร็จ ต่างชาติจะดูเป็นตัวอย่าง

พรรคเพื่อไทยมีการประชุม ส.ส.พรรค ประจำสัปดาห์ โดยมีนายชูศักดิ์ ศิรินิล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธาน ส.ส.พรรค, นายอดิศร เพียงเกษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุม โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และรองประธานกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เข้าร่วมการประชุม

ช่วงหนึ่งที่ประชุมเปิดให้ ส.ส. อาทิ นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์, นายอัครนันท์ กัณณ์กิตตินันท์ ส.ส.กาญจนบุรี, น.ส.ชนก จันทาทอง ส.ส.หนองคาย, น.ส.ศรีโสภา โกฏคําลือ ส.ส.เชียงใหม่ ได้สอบถามเกี่ยวกับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต พร้อมสะท้อนความเห็นว่าประชาชนทุกคนต่างเฝ้ารอนโยบายดังกล่าว อยากให้เริ่มโครงการได้โดยเร็วที่สุด และต้องการให้ขยายรัศมีในการใช้เงินมากกว่า 4 กิโลเมตร เพราะในบางพื้นที่ลำบากในการเดินทางใช้จ่าย เช่น พื้นที่บนเขาบนดอย รวมทั้งผู้สูงอายุที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือหรืออินเทอร์เน็ต จะสามารถใช้เงินในโครงการนี้ได้หรือไม่

นายจุลพันธ์ ชี้แจงว่า วันนี้มารับฟังตัวแทนของประชาชนในการสะท้อนปัญหานโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เมื่อรับฟังแล้วก็ดีใจที่เห็นตรงกันว่านโยบายนี้มีความจำเป็น เบื้องต้นขอชี้แจงว่ารัฐบาลรับฟังทุกเสียงทั้งเห็นด้วยและคัดค้าน ขณะนี้เสียงในสังคมเป็นสองส่วน ทั้งเห็นด้วยอยากให้เดินหน้าโครงการให้เรียบร้อย และอีกส่วนหนึ่งขอให้ยับยั้งได้หรือไม่ ในฐานะรัฐบาลเรารับฟังทั้งหมด แต่ในภาคเอกชนที่รับฟังมาอยากเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายนี้ ส่วนประชาชนได้สะท้อนเป็นเสียงเดียวกันอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าให้เดินหน้าโครงการเพื่อให้เงินตัวนี้ต่อยอดชีวิตของเขา

นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า วันนี้สถานการณ์ในประเทศไทยไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เข้มแข็ง มุมมองที่เสนอออกมาหลายมุมมอง แม้จะเป็นอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็เป็นในมุมมองรักษาเสถียรภาพ แต่กลไกที่เป็นเครื่องมือในการบริหารเศรษฐกิจคือ กลไกทางการเงินและกลไกทางการคลัง ซึ่งกลไกทางการเงินอยู่ในมือ ธปท. เป็นหลักในการรักษาเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจ แต่กลไกในการคลังอยู่ในกระทรวงการคลังและรัฐบาล เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโต ขณะนี้ทุกคนรู้ว่าประเทศไทยอยู่ในสถานะของสังคมผู้สูงอายุ และมีความเสี่ยงต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ ถ้าปล่อยแบบนี้ต่อไปประเทศไทยเติบโตเหมือนกับ 10 ปีที่ผ่านมาโตไม่ถึง 2% จะถึงจุดที่แตกหัก คือรายรับของรัฐและงบประมาณของรัฐไม่สามารถเติบโตไปกับสวัสดิการที่จะให้กับประชาชนทั้งผู้สูงอายุหรือใครก็ตาม ซึ่งเป็นความเสี่ยง ฉะนั้นสิ่งที่รัฐบาลมองเราเห็นแล้วว่าการเติบโตของประเทศไทยใน 10 ปีที่ผ่านมา ไม่สามารถโตได้เต็มศักยภาพ เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน บ้านเรายังโตเพียงแค่ปีละ 3% กว่าๆ ซึ่งต่ำกว่าภูมิภาคมากมาย

นายจุลพันธ์ กล่าวอีกว่า วันนี้เราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องดึงประเทศไทยให้กลับมาเติบโตเหมาะสมกับศักยภาพและคนในประเทศเอง รัฐบาลจึงมองว่าการเติบโตในระดับ 5% เป็นระดับที่มีความเหมาะสมเป็นอย่างต่ำ กลไกที่จะใช้หนึ่งในนั้นคือ ตัวนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท แต่ไม่ได้มีในปีกเดียว แต่รัฐบาลที่นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีความครอบคลุมหลายมิติ ซึ่งเมื่อไปเปิดดูนโยบายเร่งด่วนที่เราแถลงนโยบายไปเมื่อเดือนกว่าๆ เราทำไปเกือบหมดแล้ว และปีหน้าคิดอยู่ว่าทำอะไรเพราะเราทำไปหมดเล่มแล้ว นี่คือสิ่งที่เราต้องรีบแก้ไขให้กับประชาชน

ทั้งนี้ สิ่งที่เราทำนอกจากการเดินหน้านโยบายเงินดิจิทัลคือ การลดค่าใช้จ่ายของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคาไฟฟ้าที่เหลือ 3.99 ราคาน้ำมันดีเซล วีซ่าฟรีให้กับนักท่องเที่ยวบางประเทศ ตอนนี้ยอดการจอง ยอดการเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว นโยบายที่เราไปกิโยตินกฎหมายที่เป็นข้อกำจัดต่างๆ ในการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพของประชาชน เราเดินหน้าหมด ซึ่งเวลาเราดูเราต้องดูเป็นแพ็กเกจใหญ่ และยืนยันว่านโยบายนี้จะทำให้ชีวิตพี่น้องประชาชนดีขึ้น

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า สิ่งที่เรากำลังเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ตอบคำถามได้หลายประเด็น แต่ขณะนี้มีความเข้าใจค่อนข้างสับสน บางส่วนอาจจะเป็นเรื่องของมุมมองทางการเมืองที่ต้องการโจมตีในตัวนโยบายหรือบุคคลของเราก็ตาม จึงขอฝาก ส.ส. ที่สัมผัสกับประชาชนอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอดในการที่จะช่วยรัฐบาลชี้แจงเพื่อความเข้าใจในหลายประเด็น เรื่องแรกคือความจำเป็นของนโยบาย ซึ่งตนชี้แจงไปแล้วว่าประเทศไทยไม่ได้โตตามศักยภาพ มีความจำเป็นที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ เงินเฟ้อถามว่าห่วงหรือไม่ ยืนยันว่าไม่กระทบมาก เพราะเงินเฟ้อช่วงที่ผ่านมามีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.25% เป็น 2.50% เพิ่มมา 5 จุด ซึ่งสามารถหยุดยั้งสถานการณ์เงินเฟ้อในระดับที่น่าพึงพอใจ เป็นนโยบายของ ธปท. เงินเฟ้อจาก 5% ขณะนี้เหลือ 0.3% ต่อให้มีนโยบายนี้เข้ามา เราก็มีกลไกควบคุมดูแลให้ความเหมาะสม แต่เรามีความจำเป็นที่จะต้องขยายฐานขยายเศรษฐกิจให้พี่น้องประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น

ส่วนเรื่องที่สองกรณีที่มีกล่าวหาว่านโยบายนี้จะไปซื้อคริปโทฯ จากต่างประเทศมาแจกประชาชน นี่เป็นความเข้าใจผิด เราไม่ได้แจกเงินเหรียญคริปโทฯ เงินนี้คือเงินบาทเดิม เพราะเงินบาทที่ไปอยู่ในรูปแบบของดิจิทัลวอลเล็ตทุกบาท จะต้องถูกแบ็กด้วยเงินบาทของไทยจริงๆ มันจะไม่มีการเปลี่ยนค่าหรือเก็งกำไรได้ มันคือเงินบาทในรูปแบบดิจิทัล คิดง่ายๆ คือเปรียบเสมือนเป็นคูปองที่เทียบเท่ากับเงินบาทจำนวนเงิน 10,000 บาท แต่มีการเขียนเงื่อนไขลงไปในคูปองด้วย การอธิบายแบบนี้จะเข้าใจให้ประชาชนเข้าใจเพราะเราต้องการให้เงินนี้กระตุ้นและเกิดการหมุนเวียนในเศรษฐกิจจริงๆ ถึงได้กำหนดว่าต้องใช้ภายใน 6 เดือน ต้องใช้กรอบระยะทางที่กำหนด และห้ามเอาไปใช้ในบางประเภท

“นโยบายนี้จะเป็นนโยบายแรกที่จะหมุนเวียนเศรษฐกิจมากกว่านโยบายใดๆ ก็ตามที่ประเทศไทยเคยใช้มา โดยไม่กล้าไปเทียบกับในโลก แต่อาจจะมากที่สุดในโลกก็ได้ เพราะในโลกไม่เคยมีกลไกนี้ ในการส่งเม็ดเงินไปยังประชาชนแล้วให้เขียนกลไกให้มันเกิดการหมุนเวียนลงทุนและการใช้จ่าย ซึ่งเมื่อจะมีการใช้จ่าย เราก็เห็นประชาชนในหลายจังหวัดเตรียมรอรับนโยบายนี้ ด้วยการเตรียมการลงทุนในภาคการผลิต ไปจ้างงาน ไปซื้อสินค้าประเภททุนมารองรับ เมื่อเงินมาถึงก็สามารถนำเงินส่วนนี้มาลงทุนในการประกอบอาชีพ” นายจุลพันธ์ กล่าว

นายจุลพันธ์ กล่าวอีกว่า เม็ดเงินเหล่านี้จะไม่ได้ลงเพียงแค่นี้ เพราะเราได้มีการพูดคุยกับสถาบันการเงินของรัฐบางแห่ง เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน สิ่งที่เขาต้องการทำคือเมื่อประชาชนจะนำเม็ดเงินที่บอกว่ามาจากดิจิทัลวอลเล็ต หากสามารถรวมกลุ่มกันได้หรืออาจจะไปคนเดียวก็ตามแล้วมีแผนลงทุนในการประกอบอาชีพที่ชัดเจน แล้วไปคุยกับธนาคารของรัฐก็พร้อมที่จะให้กู้เงินเพิ่มเติมเพื่อไปประกอบอาชีพ นี่คือการสร้างเม็ดเงินมหาศาลในกระบวนการลงทุนและเม็ดเงินในประเทศไทย

“สิ่งที่เราเดินหน้ามาขณะนี้เราเห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ เราเห็นโอกาส เห็นความหวังของประชาชนว่าเขาจะสามารถนำเม็ดเงินเหล่านี้ไปต่ออายุ ไปยื้อชีวิต ไปประกอบอาชีพสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ” นายจุลพันธ์ กล่าว

นายจุลพันธ์ ยังกล่าวว่า เราพร้อมที่จะผ่อนปรนในเรื่องพื้นที่ โดยอนุกรรมการขับเคลื่อนเรารับฟังและมีการพูดคุยกันในสัปดาห์นี้ เพื่อที่จะนำสิ่งที่ทุกท่านแสดงความเห็นและประชาชนส่งสัญญาณมาเข้าพิจารณาและพร้อมที่จะผ่อนปรนเพื่อให้มันเกิดประโยชน์สูงสุดกับการใช้เม็ดเงินตัวนี้ โดยอาจจะขยับเพิ่มจาก 4 กิโลเมตรเป็นตำบลเป็นอำเภอก็ได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงตนเชื่อว่ากลไกทางใช้เม็ดเงินจะเกิดการสะดวก และคล่องตัวและการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจจะมีเพิ่มมากขึ้น

ส่วนกรณีที่มีการเสนอให้แคปวงเงินว่าคนรวยอาจจะไม่ได้ประโยชน์นั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า กลไกทำนโยบายต้องมีการยืนยันตัวตนระดับหนึ่ง ถ้าใครไม่ยืนยันตัวตนถือว่าสละสิทธิ์ ถ้าใครไม่ต้องการเข้าโครงการก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ของประชาชน แต่เรากำลังดูอยู่และขอข้อมูลแล้วว่าถ้าเราจะหาเกณฑ์ในบอกว่าใครรวย ใครจนจะใช้เกณฑ์อย่างไร เช่น รายได้ที่ไปยื่นแบบต่อสรรพากรหรือบัญชีเงินฝากว่ามีเงินเท่าไร แต่เราต้องหาตัวเลขที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย และมันเป็นตัวเลขที่สามารถพิสูจน์ชัดได้ว่าเราจะทำด้วยความยุติธรรม

ส่วนคำถามเรื่องผู้สูงอายุและผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้นั้นจะแก้ไขอย่างไร เบื้องต้นตอนที่เราคิดโครงการ เราคิดว่าจะให้เขาต้องไปเดินยืนยันตัวตนที่ธนาคารของรัฐ เมื่อยืนยันตัวตนแล้วอาจจะมีกระดาษมาหนึ่งใบ และมีคิวอาร์โค้ดให้ไปซื้อของแลกเปลี่ยนกับคนที่มีแอปพลิเคชัน หรือคนที่มีสมาร์ทโฟนได้เลย แต่เรากำลังหาหนทางที่จะทำให้ดีกว่านี้ คือเมื่อยืนยันตัวตนแล้วจะบันทึกในบัตรประชาชน แล้วนำใช้บัตรประชาชนกับแอปพลิเคชันของอีกคนหนึ่ง เพื่อทำการแลกเปลี่ยนได้ แต่ต้องมีการยืนยันใบหน้า เพื่อไม่ให้สามารถให้ใครไปแอบอ้างหรือใช้บัตรประชาชนของท่านไปขึ้นเงินได้ ก็ขอให้สภาผู้แทนราษฎรไปทำความเข้าใจกับประชาชนว่า นโยบายนี้เป็นนโยบายหลักและเป็นประโยชน์ ไม่ใช่แค่กับประชาชน แต่หากให้พูดตรงๆ คือการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้ประชาชนเป็นกลไกมาช่วยรัฐบาลเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจมันเกิดขึ้น

ขณะที่นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ส.ส. ได้ลงพื้นที่และพูดคุยกับประชาชน ไม่ได้มีข้อที่บอกว่าควรทำหรือไม่ควรทำ แต่ถามมากกว่าว่าจะได้เมื่อไร ฉะนั้นประชาชนในพื้นที่กำลังรอคอยนโยบายนี้อย่างใจจดใจจ่อ เราเห็นได้ชัดว่าเศรษฐกิจของประเทศไม่ได้ถูกกระตุ้นในภาพรวมและภาพใหญ่แบบนี้มานานแล้ว จึงหวังว่านโยบายนี้จะช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศได้ครั้งใหญ่ ถามว่าใหญ่แค่ไหนก็ใหญ่เท่าที่ว่าหากเราทำสำเร็จต่างชาติจะดูเราเป็นตัวอย่างด้วยซ้ำว่าเราทำได้อย่างไร ทั้งนี้ ตอนที่เราหาเสียงต้องกำหนดเงื่อนไขต่างๆ เพื่อให้เศรษฐกิจหมุนเวียนและทั่วถึง ทั้งประชาชนที่อยู่ไกลอาจจะมีรายละเอียดต่างๆ ให้ทั่วถึงยิ่งขึ้น

นางสาวแพทองธาร กล่าวอีกว่า นอกจากกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ยังยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายที่สำคัญอย่างมาก และแน่นอนว่ารัฐบาลนี้เรามีนโยบายอื่นๆ ที่ทำควบคู่กันไปด้วยและเริ่มคิกออฟไปแล้ว เราจะเริ่มเห็นผลสำเร็จค่อยๆ ตามมาในแต่ละนโยบาย อย่างไรก็ตาม นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตจะนำไปสู่การจ้างงานและเกิดการสร้างอาชีพ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จะได้รับผลประโยชน์ทั่วกัน อีกทั้งรัฐบาลจะได้ผลตอบแทนมาในรูปแบบของภาษี ซึ่งภาษีที่ได้กลับมาจะทำให้รัฐบาลมีงบประมาณในการพัฒนานโยบายอื่นๆ ต่อยอดอีก เพื่อพัฒนาประเทศและช่วยเหลือและเพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้

“วันนี้ที่เราได้ประชุมกันรับฟังความคิดเห็นจาก ส.ส. ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง และมาคุยกับรัฐมนตรีแล้ว ขอฝากรัฐบาลไว้ด้วยว่าให้ทำนโยบายนี้ให้สำเร็จอย่างที่เราได้บอกกับประชาชนไว้ เพื่อรัฐบาลเข้มแข็งและประชาชนทุกคนจะได้รับประโยชน์ไปพร้อมกัน” นางสาวแพทองธาร กล่าว

Advertisement

รัฐบาล จับมือ Google ยกระดับเศรษฐกิจไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ ไม่ทิ้งคนไทยคนไหนไว้ข้างหลัง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 ธันวาคม 2566 นายกฯ เชื่อมั่น Google สามารถช่วยพัฒนาคนไทยและธุรกิจไทย พร้อมร่วมมือกันยกระดับเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ ไม่ทิ้งคนไทยคนไหนไว้ข้างหลัง Leave No Thai Behind

วันนี้ (8 ธันวาคม 2566) เวลา 14.00 น. ณ Magnolia Ballroom ชั้น 10 โรงแรม Waldorf Astoria Bangkok นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าร่วมงาน Google Digital Samart Thailand พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ Uplift Thai Economy; Empower Digital Samart Thailand โดยนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความร่วมมือระหว่าง Google และรัฐบาลในวันนี้ เป็นผลสำเร็จจากภาคธุรกิจและภาคประชาชนที่มีการนำเทคโนโลยีของ Google มาใช้ในการทำงานและชีวิตประจำวัน พร้อมกล่าวชื่นชม Google ซึ่งเป็นผู้นำทางด้านดิจิทัล และยังใส่ใจในความแตกต่าง หลากหลายของผู้คนในสังคม หน่วยงานในภาครัฐ และธุรกิจต่าง ๆ ทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก รวมทั้งผลิตภัณฑ์ โครงการ และการลงทุนต่าง ๆ ของ Google โดยเฉพาะในด้าน AI และ Cloud ตอบโจทย์พันธกิจที่จะไม่ทิ้งคนไทยไว้ข้างหลัง (Leave No Thai Behind) ของ Google จะสามารถช่วยพัฒนาคนไทยและธุรกิจไทยได้

สำหรับยุทธศาสตร์ของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการทำงานเชิงรุกดำเนินนโยบายเร่งด่วนมาโดยตลอด เพื่อสร้างความอยู่ดีกินดีให้พี่น้องประชาชน และท่ามกลางความท้าทายของสภาพเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน นายกรัฐมนตรีได้ออกไปเชิญชวนนักธุรกิจทั่วโลก ประกาศให้โลกรู้ว่าประเทศไทย เปิดแล้วสำหรับการทำธุรกิจ (open for business) และรัฐบาลจะทำให้ประเทศไทยกลับมาเป็นจุดหมายของการลงทุนของนักลงทุนชั้นนำ ยกระดับเศรษฐกิจไทยให้ไปสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล นำ AI และ Cloud เข้ามาพัฒนาการให้บริการประชาชน นำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจมูลค่าสูง (High Value Economy)

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงความร่วมมือดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในหลากหลายมิติ โดยในการเดินทางไปประชุม UNGA ที่สหรัฐฯ ได้พบปะหากับคณะผู้บริหารของ Alphabet และ Google เพื่อหารือถึงความร่วมมือระหว่าง Google และรัฐบาล ในการยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศไทย ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ทำงานเชิงรุกร่วมกันอย่างแข็งขัน จนนำไปสู่การทำ MOU ความร่วมมือที่ได้ประกาศในระหว่างการประชุม APEC ที่ซานฟรานซิสโก ซึ่งครอบคลุมทั้งหมด 4 เรื่อง ได้แก่ 1) การต่อยอดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เช่น การลงทุนขยาย Data Center ในประเทศไทย 2) การส่งเสริมการใช้ Cloud และ AI อย่างมีความรับผิดชอบและปลอดภัย เพื่อยกระดับการให้บริการของภาครัฐ 3) การวางหลักเกี่ยวกับนโยบายการใช้งานระบบคลาวด์เป็นหลัก (Cloud-First Policy) และ 4) การทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงทักษะด้านดิจิทัลได้มากขึ้น

รัฐบาลได้ประกาศนโยบายการใช้งานระบบคลาวด์เป็นหลัก (Go Cloud First) ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างแข็งแรงในยุคเศรษฐกิจ AI โดยได้จัดทำนโยบายและแผนเพื่อเป็นกรอบการขยายการใช้งาน Cloud และเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยเน้นการใช้งาน Public Cloud และ Private Cloud ที่มีมาตรฐานในการดูแลข้อมูลของภาครัฐ

ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นผู้เร่งขับเคลื่อนโยบายที่เน้นการบูรณาการเทคโนโลยี Cloud กับการดำเนินงานของภาครัฐให้เกิดผลในทางปฏิบัติโดยเร็ว โดยอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ทั้งหมดนี้ นอกจากจะเร่งให้เกิดการยกระดับการให้บริการในภาครัฐแล้ว ยังจะยกระดับขีดความสามารถของไทย ให้เป็นหนึ่งในจุดหมายการลงทุนในระบบ Cloud ของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลกด้วย

สำหรับเรื่องความมั่นคงทางไซเบอร์ รัฐบาลกำลังวางแนวทางจัดทำแผน Cyber Security ในหน่วยงานรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้มีมาตรฐาน ลดความซ้ำซ้อน เพิ่มการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติได้เดินหน้าการทำงานไปแล้ว และต้นปีหน้าก็จะได้เห็นแผนการทำงานที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ด้านการเพิ่มทักษะด้านดิจิทัล นายกรัฐมนตรียินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นความร่วมมือระหว่าง Google กับกระทรวงและหน่วยราชการ ซึ่งจะพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรและหน่วยงานภาครัฐ ทำให้การบริการประชาชนให้ดียิ่งขึ้นด้วยการเริ่มโครงการนำร่องในการใช้ Generative AI ในภาครัฐ

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ความร่วมมือเหล่านี้เป็นผลสำเร็จของการดำเนินงานของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมและผลักดันความร่วมมือกับ Google และกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่น ๆ ของโลก ทั้งในเรื่อง AI, Cloud, และความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พร้อมเน้นย้ำว่า การดำเนินการเชิงรุกของรัฐบาลในการยกระดับเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ที่นำโดย AI และ Cloud จะเป็นไปอย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง

ซึ่งในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรียินดีที่รัฐบาลร่วมมือกับ Google เพื่อช่วยกันสร้างสภาพแวดล้อมทางนโยบาย และกฎระเบียบที่เอื้อต่อการพัฒนา AI และ Cloud ซึ่งทั้งรัฐบาลและ Google จะทำงานร่วมกันต่อไป โดยไม่ทิ้งคนไทยคนไหนไว้ข้างหลัง Leave No Thai Behind

Advertisement

Verified by ExactMetrics