วันที่ 29 มีนาคม 2024

การเคหะแห่งชาติเปิดบ้านให้ กอช.เข้าไปส่งเสริมการออมแก่ชาวชุมชน

People unity news online : กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ร่วมกับการเคหะแห่งชาติ จัดโครงการประชาสัมพันธ์กองทุนการออมแห่งชาติในชุมชนการเคหะแห่งชาติ นำร่อง 4 พื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประกอบด้วย ชุมชนบ้านเอื้ออาทรบึงกุ่ม ชุมชนบ้านเอื้ออาทรสายไหม ชุมชนบ้านเอื้ออาทรพหลโยธิน 44 และชุมชนบ้านเอื้ออาทรเมืองใหม่บางพลี เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารและสิทธิประโยชน์ของการเป็นสมาชิก กอช. แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนของการเคหะแห่งชาติ ให้ตระหนักถึงความจำเป็นของการวางแผนการเงิน และผลักดันให้เกิดพฤติกรรมการออมเพื่อสร้างหลักประกันพื้นฐานในการดำรงชีวิตยามชราภาพอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยได้เปิดตัวโครงการที่ชุมชนบ้านเอื้ออาทรบึงกุ่มและชุมชนบ้านเอื้ออาทรสายไหมเป็นแห่งแรกเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา

นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. กล่าวว่า การจัดโครงการประชาสัมพันธ์กองทุนการออมแห่งชาติในชุมชนการเคหะฯ เป็นการปูพรมลงพื้นที่เพื่อให้เกิดการสื่อสารแก่คนในชุมชนแบบเข้าถึง โดยอาศัยกลไกความร่วมมือระหว่างประชาชน ชุมชน และภาครัฐผ่านการขยายเครือข่ายความร่วมมือกับการเคหะแห่งชาติ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการสร้างการรับรู้ถึงบทบาทหน้าที่ของ กอช. รวมถึงสิทธิประโยชน์ของการเป็นสมาชิก กอช. แก่ประชาชนในชุมชนการเคหะแห่งชาติ โดย กอช. จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของข้อมูลข่าวสารในการเผยแพร่และชี้แจงแก่ประชาชน ผ่านช่องทางการสื่อสารภายในชุมชน อาทิ กิจกรรมพิเศษ เสียงตามสาย ไลน์กลุ่ม เฟซบุ๊ค เป็นต้น นอกจากนี้ กอช. ยังมุ่งหวังในการสร้างความรู้ความเข้าใจเพื่อให้ประชาชนในชุมชนการเคหะแห่งชาติตระหนักถึงความจำเป็นของการวางแผนทางการเงินรวมถึงมีการเก็บออมเพื่อสร้างความมั่นคงแก่ตนเอง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชน ผู้มีรายได้น้อย ผู้มีรายได้ปานกลางและผู้ด้อยโอกาสทางสังคมให้มีความเป็นอยู่ที่เข้มแข็งและยั่งยืนซึ่งสอดคล้องกับภารกิจของการเคหะแห่งชาติ

“กอช.ยังคงเร่งผลักดันระบบการออมเพื่อการชราภาพให้สะดวกในการเข้าถึงและครอบคลุมในทุกพื้นที่ยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานภาคี เพื่อสร้างเครือข่ายการออมที่จะมาช่วยกันสื่อสารประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนต่อไป สำหรับโครงการประชาสัมพันธ์กองทุนการออมแห่งชาติในชุมชนการเคหะฯ นับเป็นโครงการที่มีกระแสตอบรับที่ดี ซึ่งในอนาคตอาจมีการขยายผลไปยังพื้นที่ชุมชนอื่นๆต่อไป” นายสมพรกล่าว

People unity news online : post 20 มิถุนายน 2560 เวลา 20.16 น.

เปิดรายละเอียด! มติ ครม. อนุมัติสร้างรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพฯ – โคราช

การประชุมคณะรัฐมนตรี 11 กรกฎาคม 2560

People unity news online : อ่านรายละเอียด! มติ ครม. อนุมัติสร้างรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพฯ – หนองคาย ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ – นครราชสีมา

เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2560 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยคณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอเรื่องขออนุมัติดำเนินโครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพฯ – หนองคาย ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ – นครราชสีมา ดังนี้

1.อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศ (รฟท.) ดำเนินโครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรถไฟฟ้าความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ – นครราชสีมา ในวงเงิน 179,413 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี (ปีงบประมาณ 2560 – 2563) โดยดำเนินการประกวดราคาจ้างก่อสร้างงานโยธาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-auction) หรือการจัดจ้างลักษณะอื่นๆตามระเบียบ รฟท. ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ระเบียบกรมบัญชีกลาง มติคณะรัฐมนตรี และระเบียบราชการอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

2.ให้รัฐบาลรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการทั้งสิ้น  โดยให้สำนักงบประมาณ (สงป.) จัดสรรงบประมาณรายปีและ /หรือกระทรวงการคลัง (กค.) จัดหาแหล่งเงินกู้และค้ำประกันเงินกู้ภายในประเทศให้ตามความเหมาะสม  เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ทั้งนี้ หากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ดำเนินการโครงการฯโดยใช้เงินกู้ เห็นควรอนุญาตให้ รฟท. กู้เงินได้ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.2494 มาตรา 39 (4)

3.เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 และมาตรา 178 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งกำหนดให้การกระทำสัญญาที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ  สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง จะต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ก่อนดำเนินการให้มีผลผูกพันต่อไป

สาระสำคัญของเรื่อง

คค. รายงานว่า รฟท. ได้เสนออนุมัติให้ รฟท. ดำเนินโครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรถไฟขนาดทางมาตรฐาน ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา- หนองคาย ตามกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ  ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ.2558-2565 โดยคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทยได้มีมติ (21 มิถุนายน 2559  27 กันยายน 2559 และ 29 พฤษภาคม 2560) อนุมัติให้ รฟท. ดำเนินโครงการดังกล่าวแล้ว

ความสำคัญของโครงการฯ มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ นำไปสู่โอกาสทางการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว อันจะส่งผลต่อเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ ดังนี้

1.จะเป็นการเชื่อมโยงโอกาสการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ไปสู่จังหวัดในโครงข่ายในการพัฒนา ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา สระบุรี นครราชสีมา ในระยะแรก  และนำไปสู่เขตจังหวัดขอนแก่น  อุดรธานี  และหนองคาย  ในระยะต่อไป  อันเป็นการเปิดโอกาสด้านการพัฒนาเมือง การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว  นำไปสู่การกระจายความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน  รวมทั้งสนับสนุนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้เชื่อมโยงกับโครงการพัฒนาระเบียบเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก  อีกทั้งลดการย้ายถิ่นฐาน สร้างงานในพื้นที่และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนทำงานยังคงอยู่อาศัยกับครอบครัวในสังคมผู้สูงอายุในอีก 5 ปีข้างหน้า

2.จะนำไปสู่การเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและเชื่อมโยงกับสาธารณรัฐประชาชนจีน  ผ่านสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งจะสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคมขนส่งทางบกของประเทศไทยในกลุ่มประเทศอาเซียนที่แท้จริง  ตลอดจนจะเป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายคมนาคม One Belt One Road  เชื่อมไปสู่กลุ่มประเทศที่สำคัญผ่านโครงข่ายสาธารณรัฐประชาชนจีนในอนาคต เป็นลู่ทางการค้าการลงทุน การท่องเที่ยวให้แก่นักธุรกิจของไทย ผู้ประกอบการขนส่ง เกษตรกร  เชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน (Supply  Chain)  ไปสู่การเปิดตลาดใหม่ๆได้อย่างยั่งยืน

ลักษณะโครงการ มีระยะทางรวม 253  กิโลเมตร  ประกอบด้วย 6 สถานี  โดยเริ่มต้นที่สถานีกลางบางซื่อ  สถานีดอนเมือง สถานีอยุธยา  สถานีสระบุรี  สถานีปากช่อง  และสิ้นสุดที่สถานีนครราชสีมา  ใช้ระยะเวลาการเดินทางจากสถานีกลางบางซื่อถึงสถานีนครราชสีมา  ประมาณ  1 ชั่วโมง 30 นาที และมีศูนย์ซ่อมบำรุงและควบคุมการเดินรถตั้งอยู่บริเวณสถานีรถไฟเชียงรากน้อย  ทั้งนี้ ใช้รถโดยสารที่มีความจุของขบวนรถ 600 ที่นั่ง / ขบวนความเร็วสูงสุด  250 กม./ชม. โดยมีอัตราค่าโดยสาร 80 บาท +1.8 บาท/คน/กิโลเมตร

ผลประโยชน์ทางตรง ได้แก่  มูลค่าของการประหยัดเวลาในการเดินทาง มูลค่าของการประหยัดค่าใช้จ่ายจากการใช้รถ  มูลค่าการประหยัดจากการกำจัดมลพิษ  มูลค่าความสูญเสียเนื่องจากอุบัติเหตุที่ลดลงของโครงการ

ผลประโยชน์ทางอ้อม จากการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคด้วยรถไฟความเร็วสูง ทำให้เกิดการกระจายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมจากส่วนกลางไปยังพื้นที่ส่วนภูมิภาค  ซึ่งจะเป็นการพัฒนาเมืองอย่างก้าวกระโดด  โดยเฉพาะต่อระบบเศรษฐกิจของเมืองในพื้นที่โครงการ  4 จังหวัด  และพื้นที่โดยรอบสถานี และเมื่อโครงข่ายมีความสมบูรณ์ทั้งระบบจะเกิดการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคอาเซียนกับสาธารณรัฐประชาชนจีน  และส่งผลให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ของภูมิภาค ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและการค้าชายแดนอีกทางหนึ่งด้วย โดยสามารถสร้างผลตอบแทนเชิงกว้างที่มีต่อระบบเศรษฐกิจในพื้นที่โครงการ 4 จังหวัด ได้แก่  จังหวัดปทุมธานี  พระนครศรีอยุธยา  สระบุรี  และนครราชสีมา ซึ่งจากผลการวิเคราะห์ผลประโยชน์ของโครงการ ทั้งทางตรงและทางอ้อม  (Project Benefit) ถือว่าโครงการความร่วมมือฯมีความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ คุ้มค่ากับการลงทุนเพื่อสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่ส่วนรวม

People unity news online : post 12 กรกฎาคม 2560 เวลา 13.00 น.

ธอส.จัดงานตลาดนัดประชารัฐวายุภักษ์รักประชาชน 18 -20 ธ.ค.นี้ ที่สำนักงานใหญ่

People unity news online : ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จะเป็นเจ้าภาพจัดงาน “ตลาดนัดประชารัฐวายุภักษ์รักประชาชน ครั้งที่ 4” เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล และส่งเสริมให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย หรือลูกค้าของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 9 แห่ง มีพื้นที่ในการประกอบอาชีพ และส่งเสริมการใช้สินค้าชุมชน ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ และช่วยส่งเสริมให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ โดยกำหนดจัดงานตั้งแต่วันที่ 18 -20 ธันวาคม 2560 เวลา 07.00-16.00 น. ณ บริเวณหน้าอาคาร 1 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ พระราม 9

โดยจะมีพิธีเปิดงานตลาดนัดประชารัฐวายุภักษ์รักประชาชน ครั้งที่ 4 ในวันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2560 เวลา 09.15 น. โดยมี นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้บริหารหน่วยงาน SFIs ร่วมพิธีเปิดงาน ณ บริเวณหน้าอาคาร 1 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ พระราม 9

ธนาคารฯจึงขอเชิญพี่น้องประชาชนในละแวกใกล้เคียง และลูกค้าธนาคารฯ ไปเลือกซื้อสินค้าและผลิตภัณฑ์คุณภาพดี ราคาถูกในงานนี้

People unity news online : post 16 ธันวาคม 2560 เวลา 22.20 น.

รัฐบาลยืนยันใช้บัตรคนจนซื้อสินค้าร้านธงฟ้าประชารัฐ ไม่เอื้อผู้ผลิตรายใหญ่

People unity news online : เมื่อวานนี้ (8 ตุลาคม 2560)  พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการวิจารณ์กรณีการซื้อสินค้าผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ร้านธงฟ้าประชารัฐเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่ ว่า ประชาชนผู้ถือบัตรสามารถเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพได้ทุกชนิดทุกยี่ห้อของผู้ผลิตทุกราย ครอบคลุมทั้งสินค้าอาหารสด ของใช้ในชีวิตประจำวัน อุปกรณ์การเรียน และวัตถุดิบทางการเกษตร

“ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้เปิดรับสมัครผู้ผลิตสินค้าทุกรายอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งผู้ประกอบการ SMEs ผู้ผลิตในชุมชน สหกรณ์วิสาหกิจชุมชน และบริษัทใหญ่ ไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มใดเป็นพิเศษ และยังเปิดกว้างให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างทางเลือกให้กับผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้เลือกซื้อสินค้าที่หลากหลาย โดยปัจจุบันมีผู้ผลิตสินค้าเข้าร่วมโครงการจำนวน 24 ราย 40 สินค้า 318 รายการ แยกเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค 31 สินค้า 160 รายการ อุปกรณ์การเรียน 8 สินค้า 72 รายการ และวัตถุดิบเพื่อการเกษตร 1 สินค้า 86 รายการ ซึ่งสินค้าเหล่านี้มีราคาถูกกว่าท้องตลาดร้อยละ 10 – 20”

ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ติดตามการดำเนินงานเรื่องนี้มาโดยตลอด โดยเน้นให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ผลิตและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้มีรายได้น้อย พร้อมทั้งได้กำชับให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังเร่งติดตั้งเครื่องรูดบัตร EDC ตามร้านธงฟ้าประชารัฐและร้านค้าที่เข้าร่วมรายการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และแจ้งรายละเอียดวิธีการใช้งานและเงื่อนไขต่างๆ ให้เจ้าของร้านค้าและผู้ถือบัตรทราบอย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันปัญหาความเข้าใจคลาดเคลื่อน ซึ่งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังเป็นห่วงเรื่องวิธีปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจเข้าข่ายการทุจริตประพฤติมิชอบ เช่น ผู้ถือบัตรนำบัตรไปแลกเป็นเงินสดจากร้านธงฟ้าประชารัฐโดยไม่รับสินค้า หรือร้านค้าบางแห่งที่ยังไม่ได้ติดตั้งเครื่องรูดบัตร EDC แต่ให้ผู้ถือบัตรรับสินค้าออกไปก่อนและยึดบัตรไว้ เป็นต้น จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงไปแก้ปัญหาโดยเร็ว เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของโครงการที่ต้องการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยอย่างแท้จริง โดยหากพบการกระทำผิดในส่วนของร้านค้าอาจถูกถอดออกจากทะเบียนของกระทรวงพาณิชย์และยึดเครื่องรูดบัตรคืน ส่วนผู้ถือบัตรอาจถูกระงับวงเงินในบัตรทันที

สำหรับผู้ที่ต้องการตรวจสอบรายชื่อและพิกัดที่ตั้งของร้านค้าธงฟ้าประชารัฐและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ สามารถค้นหาข้อมูลได้ที่ http://www.shop.moc.go.th/

People unity news online : post 9 ตุลาคม 2560 เวลา 12.30 น.

แรงงานไทยในอิสราเอลปลื้ม ทำงานเกษตรรายได้ดีเดือนละ 48,000 บาท

People Unity : ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน และคณะ ตรวจเยี่ยมแรงงานไทยที่ไปทำงานเกษตรทางตอนเหนือและตอนกลางของอิสราเอล เผยแรงงานไทยพอใจกับสภาพการทำงาน สภาพการจ้าง และมีรายได้ดี เฉลี่ยเดือนละ 40,000 – 48,000 บาท เน้นย้ำมุ่งมั่นตั้งใจทำงาน เก็บเงินส่งกลับครอบครัว ไม่ยุ่งเกี่ยวอบายมุขและยาเสพติด

เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2562 นายอภิญญา สุจริตตานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน และคณะผู้ตรวจราชการกรม นายสุวรรณ์ ดวงตา ผู้ตรวจราชการกรม กรมการจัดหางาน นายชาคริตย์ เดชา ผู้ตรวจราชการกรม กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และนางอุดมลักษณ์ สอนสารี ผู้ตรวจราชการกรม กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เดินทางตรวจเยี่ยมแรงงานไทยที่ทำงานในพื้นที่ภาคเหนือของอิสราเอล ณ Kibbutz Matsuva ซึ่งอยู่บริเวณทางตอนเหนือสุดเขตชายแดน อิสราเอล-เลบานอน โดยพื้นที่ดังกล่าวเป็นฟาร์มกล้วยหอมขนาดใหญ่ของอิสราเอล มีแรงงานไทยจำนวน 14 คน ส่วนใหญ่มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากการพูดคุยพบว่า แรงงานไทยพอใจกับสภาพการทำงานและสภาพการจ้าง และมีความเป็นอยู่ที่เหมาะสม

จากนั้น ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน และคณะ ได้เดินทางต่อไปยัง Kibbutz Ein Sivan ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือสุดเขตชายแดนอิสราเอล-ซีเรีย เป็นสถานประกอบกิจการสวนเชอรี่เพื่อการท่องเที่ยว มีแรงงานไทย จำนวน 9 คน พบว่า แรงงานไทยพอใจกับสภาพการทำงานและค่าจ้างซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย ทั้งนี้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน และคณะได้แสดงความห่วงใยแรงงานไทยที่ต้องทำงานอยู่ใกล้กับชายแดน ซึ่งเป็นพื้นที่มีความขัดแย้ง และเน้นย้ำให้แรงงานไทยมุ่งมั่นทำงานเพื่อเก็บเงินส่งกลับไปยังครอบครัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการพนันและยาเสพติด และให้ติดต่อฝ่ายแรงงาน เพื่อขอรับคำปรึกษาและความช่วยเหลือได้ในทุกเรื่อง

ต่อมาวันที่ 14 มิถุนายน 2562  นายอภิญญา สุจริตตานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงานและคณะ ได้เดินทางไปพบปะนายจ้างและตรวจเยี่ยมแรงงานไทยที่ทำงานในพื้นที่ภาคกลางของอิสราเอล ณ Kibbutz Ramatachel ซึ่งเป็นสวนเชอรี่ มีแรงงานไทยจำนวน 10 คน จากการพูดคุย พบว่า แรงงานไทยพอใจกับสภาพการทำงานและสภาพการจ้าง ส่วนใหญ่มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 5,000 – 6,000 เชคเกล (NIS) หรือประมาณ 40,000 – 48,000 บาท ซึ่งจากการตรวจเยี่ยมแรงงานไทยมีสภาพความเป็นอยู่ที่เหมาะสม

ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ได้เน้นย้ำให้แรงงานไทย ขยัน อดทน ตั้งใจทำงานไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ไม่เล่นการพนัน เก็บเกี่ยวประสบการณ์และความรู้ต่างๆด้านเทคโนโลยีการเกษตร มาปรับใช้และต่อยอดในการประกอบอาชีพเมื่อกลับมายังประเทศไทย ทั้งนี้ หากแรงงานไทยประสบปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือด้านแรงงานขอให้ปรึกษาฝ่ายแรงงาน ประจำสถานเอกอัครราชทูต ต่อไป

เศรษฐกิจ : แรงงานไทยในอิสราเอลปลื้ม ทำงานเกษตรรายได้ดีเดือนละ 48,000 บาท

People Unity : post 17 มิถุนายน 2562 เวลา 10.50 น.

คิกออฟ “บสย.รักพี่วิน” ให้กู้มอไซค์รับจ้างซื้อรถใหม่ 1 แสน ซ่อมรถ-ใช้หนี้นอกระบบ 5 หมื่น

People unity : กระแสตอบรับดี คิกออฟโครงการ “บสย. รักพี่วิน” ตอบโจทย์ “เติมทุน” กลุ่มอาชีพอิสระ ซื้อรถใหม่ ซ่อมรถ กู้ฉุกเฉิน ปลดหนี้นอกระบบ ชูกลไกรัฐ “ค้ำประกันสินเชื่อ” นำร่องมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ตั้งเป้า 10,000 ราย มั่นใจสร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 4,580 ล้านบาท ลดปัญหาหนี้นอกระบบกว่า 100 ล้านบาท กู้ซื้อรถใหม่ อนุมัติไม่เกิน 100,000 บาท กู้ซ่อมแซมรถ กู้ฉุกเฉิน แก้หนี้นอกระบบ อนุมัติไม่เกิน 50,000 บาท

นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล ประธานกรรมการ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นประธานเปิดโครงการ “บสย. รักพี่วิน” ในวันนี้ (21 ก.พ.2562) โดยกล่าวว่า โครงการ บสย.รักพี่วิน ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมให้การช่วยเหลือกลุ่มอาชีพอิสระ พี่วิน หรือกลุ่มผู้ประกอบอาชีพรถจักรยานยนต์สาธารณะ ให้เข้าถึงแหล่งทุน  โดยมี บสย.หน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง  “ค้ำประกันสินเชื่อ” มั่นใจว่าเป็นโครงการที่สร้างประโยชน์ทางตรงกับกลุ่มพี่วิน ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกทั่วประเทศกว่า 200,000 ราย

“โครงการ บสย.รักพี่วิน เป็นโครงการที่สนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ สร้างโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงิน “เติมทุน” ให้ผู้ประกอบการ มั่นใจว่าจะสร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 4,580 ล้านบาท และช่วยลดปัญหาหนี้นอกระบบได้ 100 ล้านบาท จากการดำเนินโครงการนี้ ซึ่งตั้งเป้าช่วยผู้ประกอบการ พี่วิน 10,000 ราย”

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย.  เปิดเผยว่า โครงการนี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ตามยุทธศาสตร์ชาติในด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงิน ซึ่งภาครัฐมีนโยบายอย่างต่อเนื่องในการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากระบบสถาบันการเงินได้มากขึ้น ผ่านกลไกการค้ำประกันของ บสย.เพื่อช่วยให้กลุ่มอาชีพอิสระ ซึ่งส่วนใหญ่มีรายได้ไม่แน่นอน ไม่มีการเดินบัญชี ทำให้ธนาคารไม่สามารถพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ได้

โครงการนี้จะเริ่มจากกลุ่มพี่วิน โดยการช่วย “เติมทุน” ผ่านธนาคารพันธมิตร ซึ่งในวันนี้ได้มาร่วมเปิดบูธให้คำปรึกษาภายในงาน 5 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) รวมถึงองค์กรพันธมิตรอื่นๆ ได้แก่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ให้บริการตรวจเครดิตบูโร ฟรี, กรมการขนส่งทางบก, กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และสำนักงานประกันสังคม

โครงการ บสย. รักพี่วิน ตั้งเป้าสนับสนุนค้ำประกันสินเชื่อ 1,000 ล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการเข้าถึงสินเชื่อ 10,000 ราย  เฉลี่ยรายละ 100,000 บาท แบ่งเป็น 1. กู้ซื้อรถใหม่ อนุมัติไม่เกิน 100,000 บาท  2. กู้ซ่อมแซมรถ กู้ฉุกเฉิน แก้หนี้นอกระบบ อนุมัติวงเงินไม่เกิน 50,000 บาท ซึ่งจะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 4,580 ล้านบาท  และช่วยลดปัญหาหนี้นอกระบบได้ 100 ล้านบาท (จากผลการสำรวจของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าผู้ขับขี่มีการกู้เงินนอกระบบ 10%)

“โครงการนี้จะช่วยให้ พี่วิน ประหยัดค่าใช้จ่าย เนื่องจากโครงการนี้ ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการจะคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 28% ต่อปี เช่น ถ้ากู้เงินจำนวน  50,000 บาท ผ่อน  4 ปี เพื่อซื้อมอเตอร์ไซค์จากร้านค้าทั่วไป  ต้องผ่อนเดือนละ 2,500 บาท หากกู้ผ่านโครงการรักพี่วิน จะผ่อนเดือนละ 1,500 บาท สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายเดือนละ 1,000 บาท หรือประหยัดได้มากกว่า 40,000 บาท ในระยะเวลาการผ่อน 4 ปี”

ดร.รักษ์ กล่าวว่า โครงการ บสย. รักพี่วิน  ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มพี่วิน หลังจาก บสย.ได้ระดมทีมงานลงพื้นที่พบพี่วินทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ จึงมั่นใจว่าจะเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ได้อย่างแท้จริง หลังจากนี้ บสย.ยังได้เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการกลุ่มอาชีพอิสระสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้มากที่สุด

สำหรับคุณสมบัติของผู้ประกอบการอาชีพมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่เข้าร่วมโครงการนี้ จะต้องเป็นผู้ที่ลงทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก โดยมีบัตรประจำตัวประกอบอาชีพรถจักรยานยนต์สาธารณะ (บัตรเหลือง) และมีสินทรัพย์ถาวรไม่เกิน  5  ล้านบาท โดย บสย. ได้เปิดช่องทางการสื่อสารหลากหลายสำหรับพี่วิน นอกเหนือจากสำนักงานเขต บสย. 11 แห่งทั่วประเทศ Call Center 0-2890-9999 และเฟสบุ๊ก บสย. ยังได้เพิ่มช่องทางการสื่อสารผ่าน Line @tcgloveswin เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น

คิกออฟ “บสย.รักพี่วิน” ให้กู้มอไซค์รับจ้างซื้อรถใหม่ 1 แสน ซ่อมรถ-ใช้หนี้นอกระบบ 5 หมื่น

People unity : post 21 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 20.50 น.

“ฉัตรชัย” ประชุมทูตเกษตรทั่วโลก วางแผนรุก-รับมือ ลุยสินค้าเกษตรไทยสู่ตลาดโลก

People unity news online : วันนี้ (22 มีนาคม 2560) กระทรวงเกษตรฯเรียกประชุมทูตเกษตรจากทั่วโลก รับนโยบายลุยแผนเพิ่มศักยภาพสินค้าเกษตรไทย ให้รับมือวิกฤตเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบการค้าโลก

พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การขับเคลื่อนภารกิจด้านการเกษตรต่างประเทศภายใต้นโยบายประเทศไทย 4.0” พร้อมมอบนโยบายด้านการเกษตรต่างประเทศ และได้รับฟังสถานการณ์ด้านการเกษตรในต่างประเทศที่สำคัญและแนวทางดำเนินงานจากผู้แทนถาวรไทย (ฝ่ายการเกษตร) ประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายการเกษตร) และกงสุลฝ่ายการเกษตร จากสำนักงานในต่างประเทศที่ปัจจุบันมีทั้งหมด 11 แห่ง ใน 8 ประเทศ ประกอบด้วย สำนักที่ปรึกษาฝ่ายการเกษตร 7 แห่ง ได้แก่  กรุงโรม  สหภาพยุโรป  กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.  กรุงโตเกียว กรุงปักกิ่ง กรุงจาการ์ตา และกรุงแคนเบอร์รา กงสุลฝ่ายการเกษตร ประจำสำนักกงสุลใหญ่ 3 แห่ง ได้แก่ นครกว่างโจว  นครเซี่ยงไฮ้  และนครลอสแองเจลิส และฝ่ายการเกษตรประจำสำนักเอกอัครราชทูต 1 แห่ง ณ กรุงมอสโก ว่า กระทรวงเกษตรฯให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องการเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันและแก้ไขอุปสรรคทางการค้าสินค้าเกษตรที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอุปสรรคทางด้านการค้าที่มิใช่ภาษี ปัญหาข้อกำหนดด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช รวมถึงการกำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตร ที่มีความรุนแรงและความเข้มข้นมากขึ้น ควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตรกรรม เพื่อแสวงหาความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งด้านการค้า การลงทุน การแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยี และการพัฒนาบุคลากรด้านการเกษตร เพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขันให้กับสินค้าเกษตรของไทย ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของประเทศไทยในระยะ 20 ปี และยุทธศาสตร์กระทรวงเกษตรฯในระยะ  5 ปี

โดยสิ่งที่เน้นย้ำกับทูตเกษตรครั้งนี้มี  3 ส่วนหลัก คือ 1.การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรและอาหารของไทย โดยเฉพาะการเน้นย้ำถึงการยกระดับคุณภาพสินค้าเกษตรไทย 2. การคิดวิเคราะห์ และสังเคราะห์ ประเด็นปัญหา อุปสรรค แนวโน้มความต้องการสินค้าเกษตรในแต่ละประเทศกลับมายังกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ เพื่อกำหนดแผนในการเจรจาหรือปรับกลยุทธ์ให้สินค้าเกษตรไทยเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศให้มากขึ้น 3. การประชาสัมพันธ์ แนะนำสินค้าเกษตรตัวใหม่ๆ ให้ผู้บริโภคต่างประเทศรู้จัก เช่น มะยงชิด ที่ประเทศอินโดนีเซียให้ความสนใจ เป็นต้น

“เป้าหมายการเรียกประชุมทูตเกษตรที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆทั่วโลกในครั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และเกษตรกร จะได้ร่วมกำหนดแนวทางกรอบการดำเนินงาน และพร้อมกันขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมไปในทิศทางเดียวกัน  เพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จของสินค้าเกษตรไทยในตลาดโลก ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม และเศรษฐกิจฐานรากของไทย  เนื่องจากหน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯในต่างประเทศจะมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการสืบค้นข้อมูลเชิงลึก และรายงานข้อมูลความเคลื่อนไหวด้านนโยบาย กฎระเบียบ มาตรการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรของประเทศคู่ค้าที่จะส่งผลกระทบต่อสินค้าเกษตรไทย รวมถึงความเคลื่อนไหวของประเทศคู่แข่งทางการค้าสินค้าเกษตรของไทยในประเทศเป้าหมายต่างๆ ซึ่งทำให้ไทยสามารถเตรียมการรองรับ และบรรเทาผลกระทบทางลบที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อการผลิตสินค้าเกษตรของไทยที่จะเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากนโยบายและมาตรการต่างๆของประเทศคู่ค้า รวมถึงการเจรจา และติดตามการแก้ไขปัญหา และอำนวยความสะดวกทางการสินค้าเกษตรของไทยในประเทศที่ประจำการที่สำคัญของไทย เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีน เป็นต้น รวมทั้งดำเนินการเปิดตลาดสินค้าเกษตรของไทยเพิ่มขึ้น และแสวงหาตลาดใหม่ โดยในรอบปีที่ผ่านมามีผลการดำเนินงานที่ไทยสามารถเปิดตลาดสินค้าเกษตรได้ในหลายๆประเทศ เช่น การเปิดตลาดมะม่วงพันธุ์เขียวเสวย และน้ำดอกไม้ไปยังประเทศญี่ปุ่น การส่งออกไก่สดไปเกาหลีใต้ และสิงคโปร์ การเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหา IUU กับสหภาพยุโรป เป็นต้น” พลเอก ฉัตรชัย กล่าว

People unity news online : post 22 มีนาคม 2560 เวลา 23.01 น.

คนจนเฮ! รัฐคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ใช้บัตรสวัสดิการอีก 500 บาทต่อเดือน

People unity news online : รัฐบาลเพิ่มเงินชดเชยจากภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้มีรายได้น้อยที่ได้ชำระเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงินไม่เกิน 500 บาทต่อคนต่อเดือน ทำให้ผู้มีสิทธิมีรายได้เพิ่มขึ้น ช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ และส่งเสริมการออมเงินผ่าน กอช. ซึ่งจะช่วยให้มีเงินเก็บไว้ใช้ในการเลี้ยงชีพในอนาคต

วันที่ 19 กันยายน 2561 นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า จากข้อมูลการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อการเกษตร จากร้านธงฟ้าประชารัฐ 11 เดือนที่ผ่านมา (ตุลาคม 2560 – สิงหาคม 2561) พบว่า มีการใช้สิทธิ จำนวน 128 ล้านครั้ง เป็นเงิน 38,185 ล้านบาท หรือร้อยละ 99 ของจำนวนเงินการใช้สิทธิทั้งสิ้น 38,535 ล้านบาท ซึ่งสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน และแบ่งเบาค่าครองชีพของผู้มีรายได้น้อยได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ ในปัจจุบันหากผู้มีสิทธิใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งจะต้องรับภาระจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 รวมอยู่ในราคาสินค้าดังกล่าวด้วย

อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการชดเชยเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐโดยใช้ข้อมูลจากจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระ โดยจะคงเงินที่จ่ายเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไว้ร้อยละ 1 ก่อน ส่วนที่เหลือร้อยละ 6 จะนำมาจำแนกข้อมูลเป็น 2 ส่วน  คือ ส่วนที่ 1 ร้อยละ 5 เพื่อการใช้จ่าย เงินในส่วนนี้จะโอนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หากตรงกับวันหยุดจะเลื่อนเป็นวันทำการก่อนวันหยุด ส่วนที่ 2 ร้อยละ 1 เพื่อการออม ของวงเงินชดเชยทั้งหมด และเงินจะโอนเข้าบัญชีของผู้มีรายได้น้อยที่ได้สมัครเป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) แต่ละราย หากผู้มีสิทธิมีคุณสมบัติครบถ้วนในการสมัครสมาชิก กอช. แต่ยังไม่ได้สมัครสามารถสมัครได้ทันที เพื่อให้รองรับการโอนเงินเข้าบัญชี สำหรับผู้ที่ขาดคุณสมบัติการเป็นสมาชิก กอช. กระทรวงการคลังจะหารือกับธนาคารต่างๆ เพื่อเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารระยะยาว โดยให้ธนาคารพิจารณาผลตอบแทน ที่เหมาะสม รวมทั้งยกเว้นค่าธรรมเนียมการรักษาบัญชีต่อไป

อย่างไรก็ตาม เงินชดเชยที่ผู้มีรายได้น้อยจะได้รับทั้ง 2 ส่วน รวมกันแล้วไม่เกิน 500 บาทต่อคนต่อเดือน โดยใช้ข้อมูลจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีสิทธิชำระผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 – 30 เมษายน 2562 มาคำนวณเพื่อจ่ายเงินชดเชย โดยใช้เงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมจำนวน 5,000 ล้านบาท

การดำเนินการตามมาตรการต่างๆ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน และต้องการส่งเสริมให้เกิดการออมเงินในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยให้มีเงินสำรองเก็บไว้ใช้เลี้ยงชีพในอนาคต และยังเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมและจูงใจให้ร้านค้าเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น อันจะเป็นการสร้างความโปร่งใสในการประกอบธุรกิจและสร้างฐานภาษีที่ยั่งยืนให้กับประเทศ

People unity news online : post 19 กันยายน 2561 เวลา 12.40 น.

“ลุงตู่” มอบที่ดินทำกินแก่ประชาชนยากไร้ชาว จ.สระแก้ว 3,342 ไร่ 303 ราย

People unity news online : วันนี้ (28 สิงหาคม 2560) เวลา 14.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน ให้สหกรณ์ปฏิรูปที่ดินในจังหวัดสระแก้ว ตามโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล ณ หมู่ที่ 4 ตำบลหนองม่วง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว โดยมีคณะรัฐมนตรี เลขาธิการ ส.ป.ก.  ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ตลอดจนข้าราชการ และประชาชนมารอให้การต้อนรับ

นายสมปอง อินทร์ทอง เลขาธิการสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (เลขาธิการ ส.ป.ก.) กล่าวรายงานว่า สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้จัดหาพื้นที่รองรับการดำเนินงานตามนโยบายแก้ปัญหาบุกรุกพื้นที่สงวนหวงห้ามของรัฐและที่อยู่อาศัยของเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย โดยจัดหาพื้นที่เพื่อนำมาจัดให้เกษตรกรตามนโยบายคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) โดยจัดทำในรูปแบบสหกรณ์หรือสถาบันเกษตรกร ไม่มีสิทธิ์ชื้อขาย  ซึ่งพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดสระแก้วได้ดำเนินการยึดคืนพื้นที่แล้ว จำนวน 10 แปลง เนื้อที่กว่า 3,342 ไร่  มีเกษตรกรผู้ยากไร้ไม่มีที่ดินทำกินและเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานโครงการของรัฐ มาขอขึ้นทะเบียนทั้งหมดกว่า 14,000 ราย และในพื้นที่ 4 อำเภอ คือ อำเภอโคกสูง อำเภอวัฒนานคร อำเภออรัญประเทศ และอำเภอวังน้ำเย็น มีเกษตรกรมาขึ้นทะเบียนไว้ทั้งหมด 8,156 ราย และผ่านการคัดเลือกจาก คทช. จังหวัดสระแก้ว จำนวน 303 ราย ส่วนที่เหลือให้ขึ้นบัญชีไว้พิจารณาต่อไป

ทั้งนี้ จังหวัดสระแก้วมีการจดทะเบียนจัดตั้งสหกรณ์ขึ้นแล้ว จำนวน 4 สหกรณ์ ดังนี้ 1. สหกรณ์ปฏิรูปที่ดินอำเภอโคกสูง (คทช.) จำกัด  2. สหกรณ์ปฏิรูปที่ดินอำเภออรัญประเทศ (คทช.) จำกัด  3. สหกรณ์ปฏิรูปที่ดินอำเภอวัฒนานคร (คทช.) จำกัด 4. สหกรณ์ปฏิรูปที่ดินอำเภอวังน้ำเย็น (คทช.) จำกัด จัดสรรให้เกษตรกรรายละ 5 + 1 ไร่ คือ แปลงที่อยู่อาศัย 1 ไร่ แปลงเกษตรกรรม 5 ไร่ และมีพื้นที่ส่วนกลางให้เกษตรกรใช้ประโยชน์ร่วมกัน

นายกรัฐมนตรีได้รับชมวีดีทัศน์ของสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พร้อมมอบสัญญาเช่าที่ดินสำหรับสถาบันเกษตรกรให้แก่ประธานสหกรณ์ จำนวน 4 สหกรณ์ พร้อมมอบบ้านจำลองและปัจจัยการผลิตแก่ผู้แทนสมาชิกสหกรณ์อำเภอโคกสูง จำกัด จำนวน 7 ราย ได้แก่ มอบบ้านจำลองโดยสถาบันพัฒนาโครงการชุมชน มอบป้ายโครงการประชารัฐโดยกรมปศุสัตว์  มอบป้ายอาคารเอนกประสงค์ให้สหกรณ์ปฏิรูปที่ดินอำเภอโคกสูง จำกัด จำนวน 1 แห่ง โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์  มอบต้นมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองโดยกรมส่งเสริมการเกษตร มอบท่อนพันธ์หม่อนโดยกรมหม่อนไหม  มอบเมล็ดพันธุ์ปอเทืองโดยกรมพัฒนาที่ดิน และมอบพันธุ์กบโดยกรมประมง เป็นต้นนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ได้มาพบปะกับประชาชนชาวจังหวัดสระแก้ว และขอแสดงความยินดีกับสมาชิกสหกรณ์ปฏิรูปที่ดินทั้ง  4 สหกรณ์ที่ได้รับการจัดสรรที่ดินให้ผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกินและไม่มีที่อยู่อาศัยในจังหวัดตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งการจัดสรรที่ดินครั้งนี้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมให้มีที่ดินทำกิน ซึ่งรัฐบาลกำลังดำเนินการหามาตรการเพื่อดูแลและสนับสนุนพี่น้องประชาชนอย่างเต็มความสามารถ เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนด้านความเป็นอยู่ และรายได้ของประชาชน

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร เพิ่มช่องทางการตลาดสร้างเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ และยกระดับรายได้แก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน อีกทั้งต้องพัฒนาเป็นชุมชนที่พึ่งตนเองให้ได้ นำหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มาประยุกต์ใช้ผ่านการทำเกษตรอินทรีย์ การลดการใช้ปุ๋ยเคมี ลดการใช้ยาฆ่าแมลง เป็นพืชที่เป็นออร์แกนิค ที่ปลอดภัย ก็จะช่วยทั้งในเรื่องลดต้นทุน เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร และให้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผลผลิตทางการเกษตร  โดยนำงานวิจัยด้านเทคโนโลยีจากบัญชีนวัตกรรมไทยมาใช้เพื่อให้ได้สินค้าที่ตรงกับความต้องการของตลาดโลก  นอกจากนี้จังหวัดสระแก้วมีศักยภาพและโอกาส ในการพัฒนาเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่เน้นกิจกรรมการผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตร การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ช่องทางการค้าไทย-กัมพูชาที่มีมูลค่าสูงสุดของประเทศ

นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงประเทศโคลัมเบียที่น้อมนำศาสตร์พระราชาไปประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยคณะผู้แทนระดับสูงของรัฐบาลโคลัมเบียได้เดินทางไปศึกษาดูงานด้านการพัฒนาทางเลือกที่โครงการพัฒนาดอยตุงและโครงการปลูกป่าสร้างคน รักษาต้นน้ำ บรรเทาอุทกภัย จ.เชียงราย ซึ่งสนับสนุนการนำศาสตร์พระราชาไปใช้ในการแก้ไขปัญหาพื้นที่ปลูกพืชเสพติดอีกด้วย

ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมบ้านต้นแบบที่อยู่อาศัย เปิดปุ่มสวิตช์เพื่อสูบน้ำบาดาลและเยี่ยมชมโคในพื้นที่แปลงรวมก่อนเดินทางกลับ

People unity news online : post 28 สิงหาคม 2560 เวลา 22.00 น.

“กอบชัย” แจง MOU กับ Alibaba ไทยไม่เสียประโยชน์ ข้อมูลผู้ประกอบการไทยไม่รั่วไหล

People unity news online : “กอบชัย” แจงเซ็น MOU กับ Alibaba ไทยไม่เสียประโยชน์ ปัดข่าวข้อมูลผู้ประกอบการไทยรั่วไหล ย้ำ MOU 4 ฉบับ เน้นพัฒนา SMEs ทุกระดับ

22 เมษายน 2561 อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยข่าวการเซ็นบันทึกความเข้าใจ (MOU) 4 ฉบับ ระหว่างหน่วยงานภาครัฐของไทยกับกลุ่มบริษัท อาลีบาบา (Alibaba) จะทำให้ผู้ประกอบการไทยเสียเปรียบทางการค้านั้น ยืนยันว่าไทยไม่เสียเปรียบแต่จะเป็นการเปิดโอกาสให้ธุรกิจออนไลน์ของไทยเข้าสู่ตลาดสากลได้มากขึ้น พร้อมระบุ MOU ดังกล่าวไม่ได้ให้สิทธิบริษัท อาลีบาบา ในการดึงข้อมูลของผู้ประกอบการไทยออกไปได้ แต่กลับช่วยให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ตลาดการค้าเสรีได้ง่ายขึ้น และได้ประโยชน์จากข้อมูลการวิเคราะห์ตลาดเป้าหมายผ่านการวิเคราะห์ของบริษัทอาลีบาบาอีกด้วย

นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังมีกระแสข่าวความไม่เข้าใจต่อการที่หน่วยงานภาครัฐ ได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) 4 ฉบับกับทางบริษัท อาลีบาบา ประกอบด้วย 1) ความร่วมมือในด้านการค้าการลงทุนและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ระหว่างสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.) และอาลีบาบา 2) ความร่วมมือด้านการลงทุนสมาร์ทดิจิทัลฮับ (Smart Digital Hub) ในพื้นที่ระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ระหว่างสานักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจ พิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.) กรมศุลกากร และบริษัท Cainiao Smart Logistics Network Hong Kong Limited 3) ความร่วมมือด้านการพัฒนาเอสเอ็มอี และบุคลากรด้านดิจิทัล ระหว่างกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และวิทยาลัยธุรกิจอาลีบาบา หรือ Alibaba Business School (ABS) และ 4) ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวผ่านระบบดิจิทัลและการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และอาลีบาบา เพื่อจัดทำไทยแลนด์ทัวริสต์ แพลตฟอร์ม สำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะ โดยระบุว่าการลงนามดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทยทั้งในเรื่องโอกาสในการแข่งขันทางการค้า และการตลาด รวมถึงเรื่องของข้อมูลของบริษัทนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอชี้แจงว่า ความร่วมมือที่รัฐบาลไทยทำข้อตกลงกับอาลีบาบา มุ่งเน้นการพัฒนาให้เอสเอ็มอีทุกระดับ รวมถึงกลุ่มวิสาหกิจชุมชนและกลุ่มธุรกิจเกษตรทั่วประเทศให้มีความรู้และทักษะทางด้านดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ สามารถเข้าถึงตลาดออนไลน์สู่ประเทศจีนและตลาดสากล โดยอาลีบาบาจะมาช่วยอบรมให้ผู้ประกอบการไทยมีความรู้เรื่องการตลาดออนไลน์ เพื่อให้สามารถเลือกใช้ผู้บริการ(Service Provider)ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงระบบด้านโลจิสติกส์โดยอาศัยเทคโนโลยีของอาลีบาบาเข้ามาช่วยให้สามารถส่งสินค้าของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยไปยังตลาดจีนและตลาดสากลได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับระบบอีคอมเมิร์ซ และโลจิสติกส์ จะใช้กรณีของอาลีบาบาเป็นภาคปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practice) ในการปรับปรุงและพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซ และโลจิสติกส์ไทยอย่างต่อเนื่องมีคุณภาพและได้มาตรฐาน

“ส่วนความกังวลที่ว่าอาลีบาบาจะได้ฐานข้อมูล (ดาต้าเบส) ของไทย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค ผมขอชี้แจงว่าไม่มีประเด็นใดที่จะนำออกซึ่งข้อมูลในระบบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะข้อมูลของผู้ประกอบการไทย โดยหน่วยงานต่างๆต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการปี พ.ศ.2540 อย่างเคร่งครัด ซึ่งหากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายใดเลือกที่จะทำตลาดออนไลน์กับอาลีบาบาก็จะได้ประโยชน์จากข้อมูลการวิเคราะห์ตลาดเป้าหมายผ่านการวิเคราะห์จากระบบฐานข้อมูลของอาลีบาบาด้วย และการเข้ามาของนายแจ็ค หม่า ประธานของอาลีบาบา ที่ทำให้นักธุรกิจไทยเกิดความวิตกกังวลนั้น ผมขอเรียนชี้แจงว่า ตลาดการค้าออนไลน์เป็นตลาดการค้าเสรี แม้ในปัจจุบันผู้บริโภคคนไทยก็สามารถเลือกซื้อสินค้าจากประเทศจีนผ่านทางเว็บไซต์ออนไลน์ได้ในหลากหลายช่องทางอยู่แล้ว ซึ่งความร่วมมือที่เกิดขึ้นจะช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยสามารถขายสินค้าได้มากขึ้น ช่วยให้ตลาดจีนและผู้บริโภคชาวจีนที่อยู่ในระบบออนไลน์ ซึ่งมีจำนวนกว่า 500 ล้านคน และตลาดของจีนได้รับรู้ถึงศักยภาพของสินค้าและบริการของไทย ที่สำคัญยุทธศาสตร์ของรัฐบาลจีนได้เปลี่ยนไปจากเดิมที่เน้นการส่งออกไปเป็นเน้นการนำเข้าสินค้าและบริการจากต่างประเทศมากขึ้น โดยความร่วมมือของรัฐบาลไทยกับอาลีบาบาไม่ได้เน้นการนำเข้าสินค้าจากจีนมาบริโภคในประเทศไทย แต่เป็นการสร้างเครื่องมือเพื่อเพิ่มโอกาสให้สินค้าที่มีคุณภาพของไทยสามารถเข้าไปขายในประเทศจีน และประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม) ได้มากขึ้น” อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าว

People unity news online : post 23 เมษายน 2561 เวลา 12.10 น.

Verified by ExactMetrics