วันที่ 14 กันยายน 2025

รมช.คลังเผยข้อดี “หวยเกษียณ” พ่อค้า-แม่ค้าแห่สนใจล้นหลาม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 สิงหาคม 2568 กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) จัดกิจกรรม “ศุกร์ได้ลุ้น-สุขได้ออม กับหวยเกษียณ” ณ ตลาดมีนบุรี กรุงเทพฯ โดยมี ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ นำคณะลงพื้นที่เดินตลาดมีนบุรีสร้างการรับรู้เกี่ยวกับ “สลาก กอช.” หรือ “หวยเกษียณ” โดยได้รับความสนใจจากพี่น้องประชาชนในตลาดอย่างล้นหลาม

ดร.เผ่าภูมิ กล่าวว่า การลงพื้นที่ตลาดมีนบุรีพบพ่อค้าแม่ค้า ประชาชนที่เดินจับจ่ายใช้สอยในครั้งนี้ เป็นการประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ ความเข้าใจ เพื่อเตรียมความพร้อมของ “หวยเกษียณ” ซึ่งเป็นนวัตกรรมการออมที่ได้ประโยชน์สองต่อ ต่อแรกคือได้ลุ้นเงินล้านทุกสัปดาห์ ต่อที่สองคือทุกบาทที่ซื้อกลายเป็นเงินออม ทำให้การออมกลายเป็นเรื่องสนุกและได้ลุ้นล้านทุกศุกร์ ที่สำคัญเงินต้นไม่หาย และยังมีผลตอบแทนเพิ่มจากการลงทุน เพื่อให้คนไทยทุกคนมีอนาคตทางการเงินที่มั่นคงและมีความสุขในวัยเกษียณ

โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  1. เป็นสลากขูดแบบดิจิทัล ใบละ 50 บาท เพื่อขายให้กับประชาชนทุกคนที่มีสัญชาติไทย และมีอายุ 15 ปี ขึ้นไป และซื้อได้ไม่เกิน 3,000 บาท ต่อเดือน
  2. สามารถซื้อหวยเกษียณได้ทุกวัน ออกรางวัลทุกวันศุกร์เวลา 17.00 น. ผู้ถูกรางวัลจะได้เงินรางวัลทันทีผ่านพร้อมเพย์ ซึ่งสามารถนำออกมาใช้ได้เลย โดยที่เงินค่าซื้อสลากทั้งหมดถูกเก็บเป็นเงินออมในบัญชีส่วนตัวของตนเอง แม้ว่าจะถูกรางวัลหรือไม่ก็ตาม
  3. รางวัลของ “ทุกวันศุกร์” กำหนดดังนี้

3.1. รางวัลที่ 1 (เป็นเลข 6 หลัก) รางวัล 1,000,000 บาท จำนวน 5 รางวัล

3.2. รางวัลที่ 2 (เป็นเลขหน้า 3 ตัว และเลขท้าย 3 ตัว) รางวัล 1,000 บาท จำนวน 10,000 รางวัล

3.3. รางวัลพิเศษ (แจ็คพอต) 1 รางวัล (ถ้ามี)

  1. หากในงวดใดที่รางวัลออกไม่หมด รางวัลที่ออกไม่หมดนั้นจะถูกทบยอดเป็นรางวัลพิเศษ (แจ็คพอต) ในงวดถัดไปทั้งหมดทันที
  2. “เงินค่าซื้อสลากทั้งหมดจะเป็นเงินออมของผู้ซื้อสลาก” ซึ่งจะนำเงินส่งเข้าบัญชีเงินออมรายบุคคลกับ กอช. และเมื่อผู้ออมอายุครบ 60 ปี จะคืนเงินทั้งหมดทุกบาท ทุกสตางค์ที่ซื้อสลากมาทั้งชีวิตบวกกับผลตอบแทนการลงทุนให้กับผู้ออม
  3. ประชาชนที่มีอายุเกิน 60 ปี ซื้อได้ด้วยด้วย แต่ต้องออมไว้ 5 ปี หลังจากวันที่ซื้อครั้งแรก และสามารถซื้อได้ไม่จำกัดรอบ ทุกรอบต้องออมไว้ 5 ปี
  4. หากเสียชีวิต เงินออมที่ซื้อหวยเกษียณทั้งหมดจะตกสู่ทายาทตามกฎหมายหรือบุคคลที่ผู้ซื้อระบุไว้

ซื้อหวย-เงินไม่หาย-กลายเป็นเงินออม ไปด้วยกันครับ

ฝากติดตามข่าวสารและกิจกรรมของกองทุนการออมแห่งชาติได้ที่ :

  • Facebook: กองทุนการออมแห่งชาติ-กอช.
  • แอปพลิเคชัน กอช.
  • LINE Official: @nsf.th
  • เว็บไซต์: www.nsf.or.th
  • สายด่วน กอช. 02-0499000 ได้ทุกวันจันทร์–ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.30–17.30 น.

Advertisement

แรงงานกัมพูชาทะลักกลับไทย ผ่านช่องทางธรรมชาติ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 สิงหาคม 2568 แรงงานกัมพูชาทะลักกลับไทยผ่านช่องทางธรรมชาติ หลังโดนหลอกให้กลับ ล่าสุด มท.-รง. ผ่อนผันให้แรงงานกัมพูชาอยู่ไทยต่อได้อีก 6 เดือน ไม่ต้องข้ามแดนไปต่ออายุด้วยเหตุผลทางด้านมนุษยธรรม

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้รับรายงานจาก ฝ่ายความมั่นคง พบว่าในช่วงนี้มีแรงงานชาวกัมพูชาลักลอบใช้ช่องทางธรรมชาติ หลบหนีกลับเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมากในหลายพื้นที่ โดยล่าสุดกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) รายงานว่า ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตรวจพบแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชาจำนวนมากหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก่อนหน้านี้ ผู้นำรัฐบาลกัมพูชาได้เรียกร้องให้ชาวกัมพูชาที่ทำงานอยู่ในไทยเดินทางกลับประเทศ โดยบอกว่าหากกลับบ้านจะมีงานให้ทำ มีเงินใช้ ทำให้มีแรงงานเดินทางกลับประเทศจำนวนมาก แต่ปรากฏว่าเมื่อเดินทางกลับ กลับไม่เป็นอย่างที่แจ้งไว้ จึงจำเป็นต้องลักลอบเดินทางกลับเข้าประเทศไทยผ่านช่องทางธรรมชาติต่างๆ เพื่อกลับเข้ามาทำงานในประเทศไทย ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงได้เพิ่มมาตรการในการตรวจตราอย่างเข้มงวด

ทั้งนี้ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศ 2 ฉบับของกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงแรงงาน ที่อนุญาตคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ที่ครบวาระการจ้างงานหรือการอนุญาตให้พำนักในเขตพื้นที่ชายแดนที่ได้รับอนุญาตสิ้นสุดลง แต่ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศต้นทางได้ นั้น ได้อนุญาติให้สามารถทำงานในประเทศไทยต่ออีก 6 เดือน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป ด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม ทำให้คนต่างด้าวดังกล่าวที่ประสงค์จะทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย สามารถทำงานในประเทศไทยได้เป็นกรณีพิเศษ ตามที่ประกาศไว้

“แม้จะมีการผ่อนผันแรงงานต่างด้าวอย่างถูกกฎหมายด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม แต่ไทยยังคงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการคุ้มครองความมั่นคงของประเทศและการบังคับใช้กฎหมาย รัฐบาลขอยืนยันว่า ยังคงปฏิบัติระหว่างกันด้วยหลักมนุษยธรรม และยังคงช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้แรงงานกัมพูชาทุกประการ ตามหลักกฎหมายของประเทศไทย เพื่อให้อยู่ทำงานและอาศัยบนแผ่นดินไทยได้อย่างปลอดภัย” นายจิรายุ กล่าว

Advertisement

“ถนนทรงวาด” สู่แลนด์มาร์กใหม่ใจกลางกรุง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 สิงหาคม 2568 ไทยแลนด์น่าเที่ยว “ถนนทรงวาด” สู่แลนด์มาร์กใหม่ใจกลางกรุง รัฐ-เอกชนจับมือยกระดับพื้นที่ ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยงานศิลป์ไฟและดิจิทัล วันนี้-17 ส.ค.68

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับผู้บริหารกรุงเทพมหานคร และกลุ่ม Made in Song Wat เพื่อหารือแนวทางส่งเสริมประชาสัมพันธ์ให้ถนนทรงวาด ย่านการค้าเก่าของกรุงเทพฯ กลายเป็น “Old Soul, New Style – ทรงวาดย่านนี้ มีดีทุกยุค” ภายใต้แนวคิด “ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย ไทยเที่ยวไทย” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความคึกคักให้กับย่านการค้าเก่า

ถนนทรงวาด เป็นย่านการค้าเก่าแก่กว่า 100 ปี ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมทั้งไทย (วัด) จีน (ศาลเจ้า) และอิสลาม (มัสยิดโบราณ) อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของร้านอาหาร คาเฟ่ และแกลเลอรีของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ผสมผสานรูปแบบการค้าดั้งเดิมกับสมัยใหม่อย่างลงตัว

รัฐบาลจะขับเคลื่อนถนนทรงวาดสู่การเป็นแลนด์มาร์กและจุดเช็กอินสำคัญของกรุงเทพฯ ทั้งสำหรับนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ โดยยกระดับโครงสร้างพื้นฐานให้ครบวงจร ตั้งแต่ปรับภูมิทัศน์ จัดห้องน้ำที่ได้มาตรฐาน เสริมระบบความปลอดภัย จัดระเบียบการจราจรและพื้นที่จอดรถ พร้อมจัดทำแผนที่แนะนำร้านค้า (Visitor Guide) และกำหนดให้ทุกร้านติดป้ายราคาสินค้าและบริการอย่างชัดเจน เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคและรักษาความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการ

ทั้งนี้ ได้จัดกิจกรรมพิเศษ “Awakening Song Wat 2025” งานศิลปกรรมไฟและดิจิทัล 14 ชิ้น จัดแสดง 12 จุดตลอดแนวถนน ระหว่างวันที่ 8 – 17 สิงหาคม 2568 เวลา 17.00 – 23.00 น. เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวมาสัมผัสเสน่ห์ถนนทรงวาดในยามเย็น

“รัฐบาลมุ่งยกระดับย่านการค้าเก่าให้มีชีวิตชีวา โดยผสานเสน่ห์ประวัติศาสตร์กับนวัตกรรมสมัยใหม่ เพื่อให้คนไทยและนักท่องเที่ยวทั่วโลกได้สัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและปลอดภัย พร้อมเดินหน้าพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศให้เติบโตอย่างสมดุล และยั่งยืน” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

ธ.ก.ส. เปิดตัวโรงเรียนเกษตรธนากร สร้างเยาวชนเข้าภาคเกษตร ทดแทนเกษตรสูงอายุ นำร่อง 18 โรงเรียนทั่วประเทศ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 สิงหาคม 2568 ธ.ก.ส. เปิดตัวโครงการโรงเรียนเกษตรธนากร สร้างเยาวชนเข้าสู่ภาคการเกษตร ผ่านการยกระดับการเกษตรเพื่อการบริโภคเป็น “เกษตรการค้า” เพื่อก้าวไปสู่การเป็นเกษตรกรหัวขบวน หรือผู้ประกอบการในภาคการเกษตร ทดแทนเกษตรกรสูงวัยในอนาคต พร้อมเติมเงินทุน องค์ความรู้ ระบบการออม ช่องทางการตลาดและการจัดจำหน่าย ประเดิมนำร่องในช่วงเทศกาลวันแม่ใน 18 โรงเรียนจากทั่วประเทศ ครอบคลุมเยาวชนที่จะได้รับความรู้และประสบการณ์ตรงกว่า 7.7 พันคน

นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า เพื่อเป็นการสร้างเยาวชน รวมถึงทายาทของเกษตรกรให้เข้าสู่ภาคการเกษตร เพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างของประเทศไทยในปัจจุบันที่พบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ธ.ก.ส. จึงได้จัดทำ โครงการโรงเรียนเกษตรธนากร โดยมุ่งเพิ่มทักษะให้กับเยาวชนมีความรู้และเข้าใจการทำ “เกษตรการค้า” ทั้งด้านการบริหารเงิน การออม การลงทุน การจัดจำหน่าย และด้านการตลาด เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและประสบการณ์ในการทำการเกษตร ผ่านกิจกรรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เพื่อให้เยาวชนสามารถก้าวเข้าสู่การเป็นเกษตรกรหัวขบวน หรือผู้ประกอบการในภาคการเกษตรได้ต่อไป โดยธนาคารคัดเลือกโรงเรียนที่มีความพร้อมทั่วประเทศมา 18 โรงเรียน พร้อมเสริมการพัฒนาใน 4 ด้านหลัก ประกอบด้วย

1.ด้านเงินทุน แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ การก่อสร้างหรือปรับปรุงโรงเรือนหรือแปลงปลูกผัก โรงเลี้ยงไก่ โรงเพาะเห็ดหรือพืชผักสวนครัว บ่อปลา ระบบรดน้ำอัตโนมัติ/น้ำหยด ถังหมักปุ๋ย ระบบบำบัดน้ำเสีย และซื้อเครื่องมือหรือปัจจัยการผลิต อาทิ เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย อาหารสัตว์ เครื่องจักร และเทคโนโลยี เป็นต้น และเงินทุนหมุนเวียน คือ การนำเงินออกไปใช้ในการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับโครงการ โดยจะต้องนำกลับมาคืน เพื่อทำให้เยาวชนได้เรียนรู้การวางแผนงบประมาณ การลงทุน การคืนเงินตามรอบที่กำหนด ช่วยสร้างนิสัยการใช้เงินอย่างรอบคอบ ไม่ใช้จ่ายเกินความจำเป็น ฝึกการบริหารความเสี่ยง เปรียบเหมือนการลงทุนทำธุรกิจจริง และโรงเรียนสามารถนำเงินที่ได้รับกลับมาไปใช้ในการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง

2.ส่งเสริมองค์ความรู้ ด้านการทำการเกษตรในรูปแบบต่าง ๆ โดยพนักงานของ ธ.ก.ส. ด้านการพัฒนา ที่มีความรู้และประสบการณ์เข้าไปให้คำแนะนำและติดตามการดำเนินงานในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการโดยตรง พร้อมกับเปิดให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ทาง “Facebook : โรงเรียนเกษตรธนากร” ซึ่งจะรวบรวมสื่อการเรียนการสอนที่เป็นข้อมูลสำคัญในการทำการเกษตรที่นำไปปฏิบัติได้จริง ทั้งในเรื่องเทคนิคการปลูกพืช การทำโรงเรือน การพัฒนาใช้ระบบน้ำ การผลิตปุ๋ย การจัดการขยะ เพิ่มมูลค่าด้วยการแปรรูปสินค้า ตลอดจนแนวทางการออกแบบบรรจุภัณฑ์ การเล่าเรื่องเพื่อสร้างคุณค่าให้กับสินค้า และการทำการตลาด เป็นต้น

3.พัฒนาระบบการออม ตามรูปแบบของโครงการโรงเรียนธนาคารของ ธ.ก.ส. เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนได้มีทักษะ ด้านการบริหารเงิน และการออมเงินอย่างสม่ำเสมอ มีการบันทึกบัญชีรายรับ – รายจ่าย และสร้างนิสัยการใช้เงินแบบมีเป้าหมายให้กับเยาวชน ลดโอกาสในการใช้เงินเกินตัวหรือมีภาระหนี้สินในอนาคต และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ปกครองอีกด้วย

4.ช่องทางการตลาด และการจัดจำหน่าย อาทิ การนำผลิตภัณฑ์สินค้าของโครงการไปจำหน่ายที่ BAAC Branch Outlet ในที่ทำการสาขาของ ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ ตลาด BAAC Farmer Market ที่ ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ และการเชื่อมโยงการจำหน่ายสินค้าไปยังภาคีเครือข่ายของธนาคาร อาทิ ผู้ประกอบกิจการโรงแรมที่พัก ชุมชนท่องเที่ยว หรือส่วนราชการอื่น ๆ รวมถึงให้คำแนะนำแนวทางการจำหน่ายให้กับตลาดของโรงเรียนและตลาดชุมชนโดยรอบ หรือจัดจำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจผ่านช่องทางออนไลน์ที่โรงเรียนสามารถพัฒนาได้โดยไม่มีต้นทุนค่าใช้จ่าย

“โครงการโรงเรียนเกษตรธนากร ถือเป็นการบูรณาการโครงการเดิมที่ ธ.ก.ส. จัดทำขึ้น เพื่อเยาวชน จำนวน 2 โครงการ คือ โรงเรียนธนาคาร ที่มุ่งส่งเสริมการออมของเยาวชน และโครงการปลูกความรู้ด้านการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันในโรงเรียน ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ด้านการทำการเกษตรเพื่อเป็นอาหารกลางวันภายในโรงเรียนมายกระดับจากเกษตรเพื่อการบริโภคเกิดเป็น “เกษตรการค้า” โดยมุ่งส่งเสริมความรู้ให้กับเยาวชน โดยเฉพาะในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งถือเป็นวัยเริ่มต้นของความสนใจต่ออาชีพ ได้มีประสบการณ์และรายได้จากการเรียนรู้การทำการเกษตรไปพร้อมกัน เพื่อสะท้อนให้เยาวชนเห็นว่า อาชีพเกษตรกรมีความมั่นคง สามารถสร้างรายได้ประจำ เพื่อใช้ดำรงชีพได้จำนวนไม่น้อยไปกว่าการเดินทางออกจากบ้านเกิดไปประกอบอาชีพอื่น ๆ เช่น ไปเป็นพนักงานประจำในกรุงเทพฯ และจังหวัดหัวเมืองหลักได้เช่นกัน” นายฉัตรชัย กล่าว

สำหรับ “โรงเรียนเกษตรธนากร” เต็มรูปแบบ จำนวน 18 โรงเรียน และยังมีอีก 9 โรงเรียนจะได้รับการสนับสนุนในฐานะ “โรงเรียนสาธิตเกษตรธนากร” ก่อนจะต่อยอดไปสู่การเป็นโครงการโรงเรียนเกษตรธนากรอย่างเต็มรูปแบบได้ต่อไปในอนาคต รวมจำนวนเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ 7,795 คน เริ่มดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป และจะสรุปผลการดำเนินโครงการภายในเดือนมกราคม 2569 ทั้งนี้ ธ.ก.ส. พร้อมขยายผลโครงการไปทุกจังหวัด และเปิดให้ผู้ที่สนใจสามารถร่วมสมทบทุนกับกองทุนโครงการโรงเรียนเกษตรธนากร เพื่อมีส่วนร่วมในการส่งเสริมให้เกิดเยาวชนในภาคการเกษตรได้มากขึ้นต่อไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ www.baac.or.th หรือ Call Center 02 555 0555

Advertisement

บสย.ขยายการช่วยเหลือ SMEs – ลูกหนี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 สิงหาคม 2568 บสย.ขยายการช่วยเหลือ SMEs – ลูกหนี้ พักชำระค่างวด พักต้น พักดอก 6 เดือน ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ออกมาตรการเร่งด่วนจากผลกระทบเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย – กัมพูชา ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ลูกหนี้ที่ถูกจ่ายเคลม และลูกค้าของ บสย. โดย มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้และลูกค้าเดิมของ บสย. ที่อยู่ในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ บยส.ผ่อนผันการชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกัน และค่าจัดการค้ำประกันโดยพักชำระออกไปอีก 6 เดือน นับจากวันถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียมสำหรับ SMEs ลูกค้า บสย. ที่จะครบกำหนดชำระในวันที่ 31 สิงหาคม 2568 และขยายการพักชำระค่างวดเป็นระยะเวลา 6 เดือน สำหรับ SMEs ลูกหนี้ที่ถูกจ่ายเคลม ที่อยู่ในระหว่างผ่อนชำระตามแผนปรับโครงสร้างหนี้ และไม่ผิดนัดชำระหนี้

พร้อมกันนี้ บยส. ได้ออกมาตรการเสริมสภาพคล่อง ภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” 2 โครงการหลัก ได้แก่

1.โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Power Trade & Bizวงเงินค้ำประกัน 3,000 ล้านบาท วงเงินค้ำประกันต่อราย 500,000 – 10 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา

2.โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Micro Biz วงเงินค้ำประกัน 2,000 ล้านบาท วงเงินค้ำประกันต่อราย 10,000 – 500,000 บาท ตอบโจทย์กลุ่มรายย่อย (Micro SMEs) ที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน แต่ขาดคนค้ำประกัน และขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน

โดยทั้ง 2 โครงการมีจุดเด่น คือ ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปีแรก ปีต่อไปชำระต่ำเพียง 1.5% ต่อปี ค้ำประกันสูงสุด 7 ปี

“สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ลูกค้า และลูกหนี้ บสย. ที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในครั้งนี้ สามารถปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและรายละเอียดการเข้าร่วมมาตรการ ได้ที่สำนักงานเขตในพื้นที่ หรือ ช่องทาง LINE OA TCG First: @tcgfirst และ บสย. Call Center โทร. 02-890-9999” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

Advertisement

รัฐบาลมอบทุน ODOS ต่อเนื่อง หนุนพัฒนาคนในทุกช่วงวัย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 6 สิงหาคม 2568 ผลักดันพัฒนาคนในทุกช่วงวัย รัฐบาลมอบทุน ODOS ต่อเนื่อง สร้าง “สะพานโอกาส” ปูรากฐานประเทศให้มีแรงงานทักษะ คุณภาพสูง ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างอนาคตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

นางสาวธีราภา ไพโรหกุล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่อง “ทุนมนุษย์” ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญของการพัฒนาประเทศ เดินหน้าเร่งผลักดันให้เกิดการพัฒนาคนไทยทุกช่วงวัยอย่างเต็มกำลังและความสามารถ โดยเฉพาะด้านการศึกษา รัฐบาลได้ดำเนินการโครงการ “ทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ (ODOS)” ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษา ส่งเสริมการเติบโตและพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของเด็กทุกคนอย่างมีคุณภาพและเท่าเทียม โดยให้ทุนการศึกษานักเรียนที่มีผลการเรียนดี มีความประพฤติดี แต่ขาดแคลนโอกาส ให้ได้รับการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นในสาขาที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ

โดยรัฐบาลเตรียมจัดทุน ODOS กว่า 7,200 ทุน ใช้งบประมาณราว 4,500 ล้านบาท เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่ปีงบประมาณ 2568 – 2576 แบ่งออกเป็น 3 ทุน ประกอบด้วย 1) ทุนการศึกษาระดับ ม. ปลาย และ ปวช. ในประเทศเป็นทุนให้เปล่า 4,800 ทุน วงเงิน 990.14 ล้านบาท 2) ทุนการศึกษาระดับ ปวส. และระดับ ป.ตรี ในต่างประเทศ จำนวน 200 ทุน วงเงิน 2,609.31 ล้านบาท (ศึกษาต่อในสหรัฐอเมริกา 60 ทุน สหราชอาณาจักร 50 ทุน และออสเตรเลีย 90 ทุน) (เป็นทุนการศึกษาต่อเนื่องจากทุนประเภทที่ 1) และ 3) ทุนการศึกษาระดับ ป.ตรี ในประเทศ (เป็นทุนการศึกษาต่อเนื่องจากทุนประเภทที่ 1) จำนวน 2,200 ทุน วงเงิน 1,000 ล้านบาท

และในปีนี้ โครงการ ODOS รุ่นที่ 3 รัฐบาลได้จัดสรรทุนเพิ่มเติม 1,200 ทุน ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1 ครอบคลุมโรงเรียน 602 แห่งทั่วประเทศ ที่มีความพร้อมด้าน STEM และภาษาอังกฤษ โดยใช้กลไกระดมทุนผ่านสลากการกุศล ภายใต้วงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ซึ่ง ODOS รุ่นที่ 1 ที่ผ่านมาเปิดรับสมัครเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 มีผู้สมัครยืนยันสิทธิ์แล้วกว่า 1,718 ราย และในจำนวนนี้มากถึง 47.56% เป็นนักเรียนจากครัวเรือนยากจนและยากจนพิเศษ และอีก 52.44% เป็นนักเรียนจากครัวเรือนรายได้น้อยไม่เกิน 12,000 บาทต่อปี และผลการดำเนินงานของทุน ODOS รุ่นที่ 1 มีผู้รับทุนรวมทั้งสิ้น 1,200 คน โดยในรุ่นที่ 3 นี้ คือ ‘สะพานเชื่อมโอกาส’ เพื่อให้เด็กทุกคนที่ขาดแคลน สามารถเข้าเรียนต่อระดับอุดมศึกษาได้อย่างเต็มศักยภาพ

ทั้งนี้ “ทุน ODOS รุ่น 3” ได้ขยายเวลารับสมัครจากเดิมวันที่ 8 สิงหาคม 2568 เป็นวันที่ 15 สิงหาคม 2568 เวลา 17.00 น. ผ่านเว็บไซต์ กสศ. https://scholarshipreg.eef.or.th เพื่อเปิดโอกาสเพิ่มเติมให้กับนักเรียนและสถานศึกษา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์สู้รบบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา และพื้นที่ประสบภัยธรรมชาติ ซึ่งอาจเผชิญข้อจำกัดในการดำเนินการเสนอชื่อได้ทันตามกำหนดเวลาเดิม

“รัฐบาลมุ่งให้โครงการ ODOS สร้างโอกาส และกระจายไปในทุกอำเภอ ซึ่งโดยวัตถุประสงค์ เนื้อหา และการดำเนินการของโครงการถือเป็นทุนที่ตอบโจทย์ การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ และให้โอกาสทางการศึกษาอย่างแท้จริง เพื่อพัฒนาประเทศมีความต่อเนื่องและยั่งยืน สอดคล้องกับสถานการณ์โลก และเป็นความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะทำให้ เด็ก และเยาวชนของไทย มีศักยภาพที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก” นางสาวธีราภา กล่าว

Advertisement

ครม.อนุมัติร่างผลิตภัณฑ์อุตฯ กระดาษสัมผัสอาหาร-ปรุงอาหารด้วยความร้อน ต้องมีมาตรฐาน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 สิงหาคม 2568 ครม. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. และร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อนต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ….

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ ดังนี้ 1) อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ….ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการควบคุมผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน

2) อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อนต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการควบคุมผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อนต้องเป็นไปตามมาตรฐาน

โดยการอนุมัติหลักการทั้งสองร่างดังกล่าว เพื่อให้มีคุณภาพและความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ลดความเสี่ยงที่ผู้บริโภคอาจได้รับจากสารเคมีที่เป็นอันตราย และสารก่อมะเร็งที่อยู่ในกระดาษสัมผัสอาหาร รวมทั้งเพื่อป้องกันความเสียหายอันอาจจะเกิดแก่ประชาชน กิจการอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ (มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมใหม่)

ทั้งนี้ หลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. … ระบุให้ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กำหนดคุณลักษณะด้านควานความปลอดภัยของกระดาษ กระดาษแข็ง และภาชนะกระดาษที่ไม่ไม่ไล่สีในเนื้อกระดาษสำหรับใช้กับอาหารทั่วไปและอาหารบรรจุขณะร้อน (hot-fill) ทั้งที่สัมผัสอาหารโดยตรงและไม่สัมผัสอาหารโดยตรง ตามรายละเอียด ดังนี้ กระดาษสัมผัสอาหาร หมายถึง กระดาษ กระดาษแข็ง และภาชนะกระดาษ ที่มีวัตถุประสงค์สำหรับใช้ห่อหุ้ม บรรจุ รวบรวบรวม หรือรองรับอาหาร

ภาชนะกระดาษ หมายถึง ภาชนะซึ่งใช้บรรจุหรือรองรับอาหาร เช่น จาม ชาม ถาด ถ้วย กล่อง ถุง ที่ทำจากกระดาษหรือกระดาษแข็ง รวมถึง รวมภาชนะที่ทำจากเยื่อกระดาษ (molded pulp article) ภาชนะทำจากเยื่อกระดาษ หมายถึง ภาชนะที่เกิดจากการขึ้นรูปเยื่อกระดาษเป็นภาชนะแล้วนำไปทำให้แห้ง

สารเคมีในกระบวนการผลิด หมายถึง สารเคมีทุกชนิดที่ใช้การผลิต ใช้ปรับปรุงคุณสมสมบัติเดิมของกระดาษหรือเพิ่มคุณสมบัติใหม่ให้กับกระดาษ เช่น สารเดิมแต่งเชิงหน้าที่ (functional additive) และสารช่วยในกระบวนการผลิต (production aid) รวมถึงสารที่ช่วยเสริมการทำงานของสารเดิมแต่งเชิงหน้าที่ทำความสะอาดเครื่องจักรผลิตกระดาษสัมผัสอาหาร

ขณะที่ หลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อนต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. ระบุให้ มาตรการผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กำหนดคุณลักษณะด้านความปลอดภัยของกระดาษ กระดาษแข็ง และภาชนะกระดาษที่ทำจากเยื่อบริสุทธิ์ผสมเส้นใยสังเคราะห์ไม่ใส่สีในเนื้อกระดาษ สำหรับใช้สัมผัสอาหาร เพื่อกรองของหลวร้อน อุ่นอาหาร หรือปรุงอาหาร ที่อุณหภูมิไม่เกิน 220 องศาเซลเซียส

Advertisement

19 แพลตฟอร์ม ต้องบอกมาตรฐานสินค้าที่ขายในเว็บ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 กรกฎาคม 2568 รองโฆษกรัฐบาล ย้ำ 19 แพลตฟอร์ม ต้องบอกมาตรฐานของสินค้าที่ขายในเว็บ ตามกฎหมาย DPS ม.20 ป้องกันปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA เดินหน้าบูรณาการความร่วมมืออย่างเป็นระบบ เพื่อป้องกันและรับมือกับปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์ โดยเฉพาะการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลภายใต้กฎหมาย DPS ซึ่งราชกิจจานุเบกษา ได้ประกาศเรื่อง กำหนดรายชื่อบริการแพลตฟอร์ม ดิจิทัลประเภทตลาดสินค้า ที่ต้องปฏิบัติตามมาตรา 20 แห่งพระราชกฤษฎีกาการประกอบ บริการแพลตฟอร์มที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ.2565 โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 10 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป จำนวน 19 แพลตฟอร์ม ดังนี้

ช้อปปี้ (Shopee)

ลาซาด้า (Lazada)

วันทูคาร์ (One2car.com) – ประกาศซื้อขายรถยนต์มือสอง

แกร็บ (Grab)

ขายดี (Kaidee.com)

เอสไอเอ อี-อ๊อกชันซิสเต็ม (SIA E-AUCTION SYSTEM)

ไลน์ช้อปปิ้ง (LINE SHOPPING)

อาลีบาบา (Alibaba)

น็อกน็อก (NocNoc)

อาลีเอ็กซ์เพรส (AliExpress)

ดิสช็อป (Thisshop)

รักเหมา (Rakmao)

เถาเป่า (Taobao)

เอสซีจี โฮม (SCGHome)

วันสยาม แอปพลิเคชัน (ONESIAM Application)

เรดดี้พลาสติก อ็อกชัน (ReadyPlastic Auction)

รูทส์แพลตฟอร์ม (ROOTS Platform)

เทอมู (TEMU)

อีเบย์ (eBay)

โดยทั้ง 19 แพลตฟอร์ม จะต้องมีหน้าที่เพิ่มเติมตาม ม. 20 ภายใต้กฎหมาย DPS ที่ต้องดำเนินการเพิ่มเติมนอกจากหน้าที่ทั่วไป ได้แก่

1.ประเมินความเสี่ยง และจัดทำมาตรการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ

2.ดำเนินการอื่นตามประกาศของคณะกรรมการ เช่น เก็บรวบรวมข้อมูลผู้ขาย ก่อนอนุญาตให้ขายหรือโฆษณาสินค้าที่ต้องมีมาตรฐาน ตรวจสอบหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ก่อนเปิดขายสินค้าที่มีข้อกำหนดเรื่องมาตรฐาน

3.แสดงข้อมูลมาตรฐานสินค้า อย่างชัดเจนบนหน้าร้านค้า

4.มีกลไกแจ้งเตือนและนำออกสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน

5.กำหนดบทลงโทษ สำหรับผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืน

“แพลตฟอร์มดิจิทัลดังกล่าวข้างต้น ถือเป็นแพลตฟอร์มประเภทตลาดสินค้าออนไลน์ที่เข้าข่ายมีความเสี่ยงสูง และอาจส่งผลกระทบในวงกว้าง และมีลักษณะมูลค่าธุรกรรมในราชอาณาจักรเกิน 100 ล้านบาท/ปี หรือไม่ได้จดทะเบียนกับ DBD แต่มีผู้ประกอบการ 100 รายขึ้นไป หรือไม่ได้จดทะเบียนกับ DBD แต่มีผู้ใช้บริการเกินกว่า 5% แต่ไม่เกิน 10% (เฉลี่ยต่อเดือน) หรือผู้ใช้บริการสามารถกระทำการใดโดยไม่มีมาตรการควบคุมดูแลที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ยังมีแพลตฟอร์มดิจิทัลอีกจำนวนมากที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม หาก ETDA พบว่าเข้าเกณฑ์ข้างต้น ก็จะมีการประกาศรายชื่อเพิ่มเติมต่อไป ตามที่ ม. 24 กำหนดให้ต้องมีการ “ทบทวนรายชื่อ” แพลตฟอร์มเป็นประจำทุกปี ดังนั้น รายชื่อประกาศข้างต้น อาจมีการ เพิ่ม ลด หรือปรับเปลี่ยนได้ตามลักษณะการให้บริการที่เปลี่ยนแปลงไป” นายอนุกูล ระบุ

Advertisement

สส.ปชน. จี้ถาม “สรวงศ์” โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ใช้งบไปแล้วเท่าไหร่-เกิดความเสียหายใครรับผิดชอบ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 กรกฎาคม 2568 รัฐสภา 17 ก.ค.-สส.ปชน. จี้ถาม “สรวงศ์” โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ใช้งบไปแล้วเท่าไหร่-ถ้าเกิดความเสียหายใครรับผิดชอบ อัดแอปมีปัญหาเยอะเหตุรัฐบาลทำงานไม่เป็น ด้าน “รัฐมนตรี” แจงพยายามอุดรอยรั่วแล้ว ย้ำรัฐบาลเร่งเรียกความเชื่อมั่น ดึงนักท่องเที่ยวกลับไทย เผยเที่ยวไทยคนละครึ่ง สิทธิยังว่างกว่า 3 แสนสิทธิ ลงทะเบียนได้ถึง 31 ต.ค.นี้

การประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา ของว่าที่ ร.ต.สมชาติ เตชถาวรเจริญ สส.ภูเก็ต พรรคประชาชน ถามนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เรื่องโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ว่า เนื่องจากสภาพการท่องเที่ยวของประเทศไทยในปีนี้ซบเซาลงกว่าปีที่แล้ว เพราะนักท่องเที่ยวจีนไม่มั่นใจในความสามารถของรัฐบาลที่้บังคับใช้กฎหมายการค้ามนุษย์จนจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นตลาดหลักของเราลดลงไปเหลือไม่ถึงครึ่ง ทำให้กระทรวงการท่องเที่ยวจึงได้จัดสรรงบประมาณจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.57 แสนล้านบาทมาดำเนินโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง จำนวน 1.75 พันล้านบาท แต่จนถึงวันนี้มีการใช้สิทธิ์ห้องพักไปแล้ว 1.58 แสนสิทธิ์ ไม่ถึง 1 หมื่นสิทธิ์ต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าที่คาด เหตุเพราะรัฐบาลทำงานไม่เป็น ขาดความรู้ความสามารถ มีการออกแบบแอปพลิเคชั่นใหม่ทั้งที่โครงการนี้คล้ายกับโครงการเที่ยวคนละครึ่ง แต่หลังจากที่เปิดตัวแอปพลิเคชั่นออกมาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งผู้ใช้บริการและผู้ประกอบการต่างประสบปัญหา เช่น การลงทะเบียนของประชาชนมีขั้นตอนเยอะ ลงทะเบียนยาก ระบบล่ม อีกทั้งการแก้ปัญหาเรื่องราคาห้องพักก็มีปัญหาและล่าช้า ทำให้ผู้ประกอบการเสียโอกาส รวมถึงการตั้งราคาที่ไม่เหมาะสม ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าไม่คุ้นค่าและเสียสิทธิ์ต่างๆ

ว่าที่ ร.ต.สมชาติ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมารัฐบาลนี้่ขยันที่จะทำแอปพลิเคชั่นออกมาจำนวนมาก โดยมีการของบประมาณในการทำแอปพลิเคชั่นจากหน่วยงานต่างๆ จำนวนกว่า 4.2 พันล้านบาท แต่แอปพลิเคชั่นที่ประชาชนรู้จักมีไม่ถึงร้อยตัว แอปพลิเคชั่นบางตัวไม่มีคนรู้จักและไม่ได้ใช้งานจริงจนถูกทิ้งร้างเป็นแอปผี ฉะนั้น จึงขอถามนายสรวงศ์ว่าเหตุใดจึงไม่ใช้ธนาคารกรุงไทยทำโครงการนี้ต่อ เนื่องจากมีแอปพลิเคชั่นอยู่แล้ว รวมถึงประชาชนและผู้ประกอบการก็ต่างเคยติดตั้งแอปพลิเคชั่นเป๋าตังและถุงเงินในมือถือเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ตนได้ลองค้นข้อมูลเกี่ยวกับการทำแอปพลิเคชั่นนี้แล้วทั้งในเว็บไซต์และของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ก็ไม่พบข้อมูลเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างโครงการนี้ หรือเว็บไซต์ไม่ได้อัปเดต หรือเพราะใช้ชื่อโครงการเป็นอย่างอื่น หรือใช้หน่วยงานภาครัฐอื่นเป็นผู้จัดซื้อจัดจ้าง หรือให้ผู้จัดซื้อจัดจ้างดำเนินการไปก่อนแล้วไปทำการจัดซื้อจัดจ้างทีหลังหรือไม่อย่างไร รวมถึงงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างในการทำโครงการดังกล่าวนี้เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่

ว่าที่ ร.ต.สมชาติ กล่าวด้วยว่า กระทรวงการท่องเที่ยวฯ รวมถึงหน่วยงานในกำกับมีการสร้าง แอปพลิเคชั่นไปแล้วทั้งหมดกี่แอปพลิเคชั่น รวมงบประมาณทั้งหมดกี่บาท มีการใช้งานจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ มีผู้ใช้งานมากขนาดไหน ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายกรณีแอปพลิเคชั่นทำงานผิดพลาดที่สามารถจองห้องพักได้มากกว่า 1 ห้องต่อคืน และลูกค้าได้ทำการเช็กอินเข้าห้องพักแล้ว อีกทั้งการให้ประชาชนโอนเงินแล้วอัปเดตสลิปโอนเงินเข้ายืนยันในระบบเว็บไซต์นั้น เราสามารถอัปเดตรูปภาพอะไรไปแทนสลิปโอนเงินก็ได้ ซึ่งอาจจะเป็นการเปิดช่องว่างให้มีการทุจริตหรือฮั้วกันได้ เพื่อรับเงินอุดหนุนจากภาครัฐโดยที่ไม่มีการจองห้องพักจริง หากเกิดการทุจริตจริงใครจะเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น แอปพลิเคชั่นนี้จะใช้งานได้อย่างเสถียรภาพเมื่อไหร่ จะมีการขยายขีดความสามารถ Thai-D เพื่อให้สามารถรองรับผู้ใช้งานจำนวนมากได้อย่างเพียงพอหรือไม่

ด้านนายสรวงศ์ กล่าวว่า ตนขอใช้เวทีนี้กราบขอโทษประชาชนอีกครั้งกับความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าการที่ว่าที่ ร.ต.สมชาตินำตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนมาผูกพันกับคำถามต้องขอชี้แจงว่า อย่างแรกคือเป็นคนละเรื่องกัน โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งเป็นนโยบายที่จะออกมากระตุ้นโครงการไทยเที่ยวไทย คนที่จะใช้สิทธิ์ได้ต้องมีบัตรประชาชนคนไทยเท่านั้น เป็นคนละเรื่องกับตลาดจีน ซึ่งต้องบอกว่าโครงการที่ผ่านมา ปัจจุบันการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยังคงมีคดีค้างกับผู้ประกอบการ มีประชาชนได้รับหมายเรื่องการทุจริตที่เกิดขึ้น กว่า 1,300 คดี โดยสิ่งที่พวกเราอยากทำและอยากให้เกิดคือฐานข้อมูลนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะคนไทย เพื่อวางแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวในอนาคตต่อไปอย่างยั่งยืน ส่วนคำถามที่ว่าเหตุใดจึงไม่ใช้แอปพลิเคชันเก่า หรือฐานข้อมูลจากธนาคารกรุงไทยนั้น ขอเรียนว่าจาก MOU ที่ผ่านมา ตนไม่ทราบว่ามีการทำอย่างไร แต่ในปัจจุบันธนาคารกรุงไทยไม่ได้มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจแล้ว ดังนั้น การที่จะไปผูกพันอะไรกับธนาคารธนาคารหนึ่ง จะเป็นการปิดกั้นธนาคารพาณิชย์ด้วยกันเอง ส่วนการเปิดให้ลงทะเบียนวันแรก แน่นอนว่าประชาชนยังคงสับสน ซึ่งตนได้มีการต่อว่าและตั้งคณะกรรมการสอบขึ้นมาแล้วว่าเหตุใดประชาชนจึงยังคงสับสน เพราะโครงการนี้ไม่เหมือนกับโครงการที่ผ่านมา เนื่องจากเราเปิดให้ประชาชนลงทะเบียน 500,000 สิทธิ์ และมีการปิดลงทะเบียนทันที โดยต้องมีการจองภายใน 3 วัน ไม่เช่นนั้น จะถือว่าหมดสิทธิ์ แต่ครั้งนี้เราต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจจริงๆ ต้องการให้คนที่มีแผน และพร้อมจะเที่ยวทันที ได้มีการซื้อ จอง และจ่ายเงิน นี่คือสิ่งที่แตกต่าง ซึ่งตนเคยบอกไปแล้วก่อนหน้านี้ ว่าหากใช้ระบบนี้ ประชาชนจะไม่ต้องลงทะเบียน เพื่อใช้สิทธิ์เลย จะได้ไปเน้นในส่วนปลายทาง หรือคือผู้ประกอบการ และการจ่ายเงินจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยให้กับผู้ประกอบการ

นายสรวงศ์ กล่าวต่อว่า ทุกคนมีสิทธิ์ ทุกคนมีบัตรประชาชนอยู่แล้ว แต่ด้วยคดีที่ค้างอยู่ ทุกกระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานต่างๆ จึงต้องการปกป้องและป้องกันตัวเอง ไม่ให้มีการทุจริตเกิดขึ้น ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องผ่านแอปพลิเคชันไทยไอดี ในวันลงทะเบียน เมื่อมีปัญหาตนก็ได้มีการสั่งการทันที ให้มีการบายพาส เพื่อให้ประชาชนสามารถลงทะเบียนได้ โดยใช้การลงทะเบียนในภายหลัง เมื่อระยะเวลาผ่านไป ก็ยังมีปัญหาเรื่องการส่งโอทีพี สำหรับประชาชนที่ใช้จีเมล์ เนื่องจากเราไม่มีการแจ้งไว้ก่อนว่า จะมีทราฟฟิกเข้าไปจำนวนมากขนาดนี้ จึงทำให้เอไอของกูเกิลจับว่าเป็นสแกม ซึ่งมีการปิดระบบในเบื้องต้น ซึ่งเราก็ได้มีการประสานกับทางกูเกิลไปในทันที และสุดท้ายตนได้ลงไปสั่งการด้วยตัวเองว่าจะขอปิดระบบการลงทะเบียน ซึ่งในวันที่ปิดการลงทะเบียนนั้น มีจำนวนประชาชนลงทะเบียนแล้วกว่า 1.4 ล้านคน จากนั้นเราจึงมาแก้ปัญหาหลังบ้านของเราในการเพิ่มสเปซคลาวด์ และเพิ่มช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงได้มากขึ้น จนถึงตอนนี้ ตัวเลขที่ถูกยืนยันแล้ว คือมีผู้ลงทะเบียนประสงค์จะใช้สิทธิ์ทั้งสิ้น 1.11 ล้านคน มีผู้ที่จองเรียบร้อยแล้ว และจ่ายเงินแล้ว 1.4 แสนคน ขณะที่ระยะเวลา เราเปิดให้ประชาชนสามารถเที่ยวได้ถึง 31 ตุลาคมนี้ แม้จากกำหนดการเดิมที่จะต้องเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว แต่ด้วยเรื่องการของบประมาณ ทำให้เกิดความล่าช้า ซึ่งเมื่อมีการอนุมัติ เราก็มีการประกาศคิกออฟโครงการทันที

“ผมต้องขอกราบอภัยพี่น้องประชาชนอีกครั้งในความไม่สะดวก ยืนยันว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นขั้นตอนของการทำงาน และเราก็พยายามจะอุดรูรั่วนั้นแล้ว ส่วนในอนาคตจะมีเฟสสอง เฟสสามหรือไม่ ต้องขอดูอีกครั้ง เนื่องจากโครงการนี้ แต่เดิมทีมีการออกนโยบาย เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวช่วงสถานการณ์โควิด-19 และขอใช้โอกาสนี้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบว่า โครงการนี้ยังสามารถจองสิทธิ์เข้ามาเพิ่มได้” นายสรวงศ์ กล่าว

ทำให้ว่าที่ ร.ต.สมชาติ กล่าวว่า นายสรวงศ์ ยังตอบคำถามตนไม่ครบขอให้ช่วยตอบด้วยว่าการจัดซื้อจัดจ้างไปอยู่ที่เล่มไหน ไปสอดใส้อยู่ในโครงการอะไรหรือไม่ รวมถึงที่ผ่านมารัฐบาลใช้งบประมาณไปแล้วเท่าไหร่ และหากเกิดความเสียหายขึ้นมาใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ เราจะโยนความผิดให้ประชาชนและผู้ประกอบการที่อาจจะมีบางส่วนที่ทุจริตอย่างเดียวนั้น ตนไม่เห็นด้วย เพราะมีตัวอย่างจากโครงการจำนำข้าวที่พรรคของท่านเคยโดน ผู้มีอำนาจเพิกเฉยไม่ป้องกันการช่องโหว่การทุจริต ซึ่งถือว่ามีความผิดเช่นเดียวกัน และสุดท้ายขอฝากไปยังรัฐบาลว่าให้นำคำแนะนำของตนไปปรับปรุงแอปพลิเคชั่นเพื่อให้ผู้ประกอบการและประชาชนได้รับความสะดวก ซึ่งหากปรับปรุงไม่ทันเฟสนี้ก็ขอให้นำไปปรับปรุงในเฟสหน้าก็ได้

นายสรวงศ์ ชี้แจงว่า นักท่องเที่ยวจีนหายจากทุกประเทศทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะแค่ที่ประเทศไทย แต่เรื่องความเชื่อมั่นและเรื่องความปลอดภัยที่ถูกถาม รัฐบาลจะรับไปดำเนินการฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้เร็วที่สุด เพื่อให้นักท่องเที่ยวกลับเข้ามาในประเทศไทย สำหรับงบประมาณที่เราขอในการดำเนินการทำแอปพลิเคชันนี้ อยู่ในงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท และเราได้มีการขอคืนเงินในส่วนการแอปพลิเคชัน 10 ล้านบาทที่ขอไป เนื่องจากงบประมาณที่ได้รับไม่ทันการต่อการทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหา เพราะเราไม่ได้จ้างคนที่มีประสบการณ์ แต่มีการแก้ไขแล้ว ยืนยันว่า งบประมาณในส่วนของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมถึงงบประมาณของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ไม่ได้ถูกใช้ในการทำแอปพลิเคชันไปเป็นจำนวนเยอะ

นายสรวงศ์ กล่าวต่อว่า สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่มีทางที่ตนจะปฏิเสธความรับผิดชอบ ย้ำว่าตนในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กราบขออภัยประชาชนอีกครั้งในความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น จะทำให้ดียิ่งขึ้นและทำให้ประชาชนได้รับความลำบากน้อยที่สุด และจะดำเนินการให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด

Advertisement

รัฐบาลชู 5 สมุนไพร Herb of the Year

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 กรกฎาคม 2568 ภูมิปัญญาไทย สมุนไพรไทย สร้างคุณค่าเศรษฐกิจไทย รัฐบาลชู 5 สมุนไพร Herb of the Year เผยสร้างรายได้มากกว่า 3.5 พันล้าน

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเดินหน้าผลักดันสมุนไพรไทย ภูมิปัญญาไทย สร้างคุณค่าเศรษฐกิจไทย ชู 5 สมุนไพร Herb of the Year สร้างรายได้มากกว่า 3.5 พันล้าน พร้อมยกระดับการแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์ทางเลือก และสมุนไพรของไทย ให้เป็นระบบบริการสุขภาพทางเลือกที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และเข้าถึงได้ง่าย มุ่งยกระดับศักยภาพสมุนไพรไทยเป็น Soft Power ที่สามารถสร้างรายได้และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

นายอนุกูล กล่าวว่า ความสำเร็จของสมุนไพรในปีที่ผ่านมา เป็นการยกระดับ 5 สมุนไพรยอดนิยม ได้แก่ ขมิ้นชัน ไพล กระชายดำ กระท่อม และกัญชา ให้เป็น Herb of the Year ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มกว่า 3,526 ล้านบาทในปีนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดงาน “งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 22” ขึ้น ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างมากจาก มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 3 แสนคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20% มีการซื้อขายในงานด้วยเงินสดเกือบ 50 ล้านบาท อีกทั้งมีการจับคู่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสมุนไพรมากถึง 219 คู่ คาดว่ามีเงินหมุนเวียนประมาณ 198 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้วจะเห็นถึงการพัฒนาการและความเจริญเติบโตของสมุนไพรไทยอย่างชัดเจน

“รัฐบาลให้ความสำคัญในการพัฒนาแพทย์แผนไทยแพทย์ทางเลือกและสมุนไพร พร้อมสนับสนุนงบประมาณในการทำธุรกิจ หรือให้เกษตรกรปลูกสมุนไพร พร้อมมุ่งมั่นส่งเสริมการแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือก รวมถึงการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เป็นจุดแข็ง และ soft power ของไทย นำไปสู่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างความเชื่อมั่นพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ สร้างรายได้ให้ประชาชนและประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป” นายอนุกูล กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics