วันที่ 12 กรกฎาคม 2025

ตลาดคาดเฟดจะคงดอกเบี้ยที่ระดับสูงสุดในรอบ 22 ปีต่อไป

federal_reserve_IS_939248364_720x450

People Unity News : 1 พฤศจิกายน 2566 วอชิงตัน – ตลาดคาดการณ์กันอย่างกว้างขวางว่า ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด (Fed) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงสุดในรอบ 22 ปีต่อไป เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อโดยไม่ให้กระทบเศรษฐกิจสหรัฐที่ขยายตัวแข็งแกร่ง

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ชี้ว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟดหรือเอฟโอเอ็มซี (FOMC) จะแถลงหลังเสร็จสิ้นการประชุมวันที่ 31 ตุลาคม-1 พฤศจิกายนตามเวลาสหรัฐว่า จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 5.25-5.50 ต่อไป แต่ไม่มั่นใจว่าเฟดได้ยุติวงจรการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว

เฟดขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง โดยได้ปรับขึ้นจากร้อยละ 0.25 ในเดือนมกราคม 2565 เป็นร้อยละ 5.50 ในเดือนกรกฎาคม 2566 หวังควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้ลงมาที่ร้อยละ 2 ตามเป้าหมาย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังทรงตัวที่ร้อยละ 3.7 ในเดือนกันยายน 2566 หลังจากขึ้นไปสูงกว่าร้อยละ 7 ในเดือนมิถุนายน 2565

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ รวมถึงคนทำงานในเฟดคาดว่า สหรัฐจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้เพราะการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว แต่เศรษฐกิจสหรัฐกลับเติบโตเกินความคาดหมาย สะท้อนว่าเฟดสามารถลดอัตราเงินเฟ้อลงได้โดยไม่กระทบต่อเศรษฐกิจ ขณะที่ตลาดแรงงานส่งสัญญาณว่า อ่อนตัวลงในปีนี้แม้ว่าอัตราว่างงานยังคงต่ำใกล้แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ก็ตาม

Advertisement

“บิ๊กป้อม” สั่งผลักดันกิจกรรมทางกีฬา เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจประเทศ

People Unity News : “บิ๊กป้อม” สั่งผลักดันกิจกรรมทางกีฬา เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจประเทศ

วันนี้ (30 ก.ย. 63) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 2 สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 10/2563 โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้าร่วมด้วย โดยที่ประชุมพิจารณาประเด็นต่างๆ ที่น่าสนใจได้แก่ ประกาศกำหนดชนิดกีฬาเพิ่มเติม คือ คิกบ็อกซิ่ง (Kickboxing) แนวทางแก้ปัญหาอุปสรรคการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาเชียลอาร์ทเกมส์ ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) แผนการบริหารความเสี่ยงและควบคุมภายใน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 เป็นต้น

ที่ประชุมได้รับรองแผนงานของผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (นายก้องศักด ยอดมณี) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 จำนวน 10 แผนงาน ดังนี้ 1. แผนยกระดับการให้บริการของการกีฬาแห่งประเทศไทย SMART NATIONAL SPORTS PARK 2. แผนยกระดับหน่วยงานด้านกฎหมายของการกีฬาแห่งประเทศไทย (SPORTS LAW) 3. แผนการยกระดับการบริหารจัดการองค์กรทั้งระบบตามเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ 4. แผนการพัฒนาข้อมูลดิจิทัลด้านการกีฬา (SPORTS DIGITAL PLATFORM) 5. แผนการยกระดับกิจกรรมและการแข่งขันกีฬา เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ 6. แผนการจัดตั้งเมืองกีฬา (SPORTS CITY) 7. แผนการพัฒนานักกีฬาคนพิการอย่างครบวงจร 8. แผนการส่งเสริมกิจกรรมกีฬา 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 9. แผนการยกระดับการบริการทางการแพทย์ ศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬาของการกีฬาแห่งประเทศไทย (SPORT MEDICAL SERVICES) และ 10. แผนยกระดับการจัดสวัสดิการบุคลากรการกีฬาแห่งประเทศไทย

โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายโดยถึงการบริหารงบประมาณประจำปี 2564 ซึ่งเป็นการเริ่มปีงบประมาณใหม่ ให้ดำเนินการไปตามเป้าหมายที่ได้วางแผนไว้อย่างถูกต้อง โปร่งใส ตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญที่สุดคือต้องติดตามการใช้จ่ายให้ทันระยะเวลาที่รัฐบาลกำหนด รวมทั้งให้การกีฬาแห่งประเทศไทยได้เร่งพัฒนาบุคลากร และการบริหารจัดการภายในให้สามารถส่งเสริมสนับสนุนด้านการกีฬาของประเทศ โดยเฉพาะในส่วนของสมาคมกีฬาต่างๆ ให้เกิดความรวดเร็ว เป็นระบบอย่างชัดเจน ให้เห็นเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา การเตรียมพร้อมนักกีฬาก่อนการเข้าแข่งขัน  นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้การกีฬาแห่งประเทศไทยพิจารณาจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อสนับสนุนฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่ กิจกรรมเดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน การออกกำลังกาย และการจัดการแข่งขันกีฬาภายในให้มากขึ้น เพื่อสนับสนุนและกระตุ้นเศรษฐกิจให้แต่ละภูมิภาคมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในส่วนของสมาคมกีฬาให้พิจารณาสนับสนุนส่งเสริมให้มีการจัดการแข่งขันกีฬาชิงแชมป์ประเทศไทยเพื่อเปิดกว้างให้มีการพิจารณานักกีฬาที่มีศักยภาพตามความต้องการของแต่ละสมาคมกีฬาอย่างแท้จริงด้วย

Advertising 

“จุรินทร์”ทำยอดอีก 2,400 ล้านที่เยอรมนี ขายผลิตภัณฑ์ยาง

People Unity News : “จุรินทร์”ทำยอดอีก 2,400 ล้านที่เยอรมนี ขายผลิตภัณฑ์ยาง ถุงมือยางทางการแพทย์ เครื่องดื่ม อาหารพร้อมประกาศลุยตลาดยุโรปต่อเนื่อง

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2562 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เยือนประเทศเยอรมนี โดยช่วงเช้า เวลา 9.30 – 10.00 น. เป็นประธานและสักขีพยานการลงนาม MOU ระหว่างนักธุรกิจไทยและเยอรมนี (ข้าวและเครื่องดื่ม) ณ โรงแรม Hyatt Regency Dusseldorf ผู้ส่งออกไทย บริษัท ยูนิเวอร์แซลไรซ์ จำกัด กับ บริษัท Kreyenhop & Kluge GmbH & Co. KG และผู้ส่งออกไทย บริษัท Boonrawd Trading International Co.,Ltd กับ บริษัท Kreyenhop & Kluge GmbH & Co. KG

ภายหลังการลงนาม นายจุรินทร์ กล่าวว่า ได้นำกระทรวงพาณิชย์และการยางแห่งประเทศไทยและภาคเอกชนมาเยือนประเทศเยอรมันนีเที่ยวนี้ มีกิจกรรมหลัก 3 เรื่องด้วยกันเรื่องที่หนึ่งการยางแห่งประเทศไทยและภาคเอกชนมาเจรจาขายยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางสองก็คือพระเอกชนมาร่วมงานเมดิก้า Mecida 2019 ซึ่งเป็นงานที่เยอรมันจัดงานแสดงสินค้าที่เกี่ยวกับการแพทย์และการดูแลสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในโลกติดต่อกันมาหลายปี กิจกรรมที่สามก็คือการยางพาภาคเอกชนไทยและกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศไปส่งเสริมการขายสินค้าไทยในห้างค้าส่งรายใหญ่ของเยอรมันคือห้าง METRO ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วประเทศใน 760 สาขาด้วยกันซึ่งสินค้าส่วนใหญ่คือสินค้าอาหาร อาหารสำเร็จรูป สำหรับการนำการยางและภาคเอกชน มาขายสินค้าทางการเกษตรนั้นปรากฏ ผลคือวันนี้ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจหรือ MOU ในการขายข้าวถุง และขายข้าวสารถุง จำนวน 6000 ตันให้กับภาคเอกชนของเยอรมัน มูลค่า 250 ล้านบาทโดยประมาณ และสองก็คือขายเครื่องดื่มให้กับภาคเอกชนประมาณ 40 ล้านบาทและผลิตภัณฑ์ยางนั้นสามารถทำยอดขายรวมกันเป็นถุงมือยางเพื่อการแพทย์ 2000 ล้านบาทโดยประมาณและสินค้าอื่นๆในงาน MEDICA คาดการณ์ว่าจะทำยอดปีนี้ที่มาร่วมงานประมาณ 150 ล้านบาท รวมมูลค่าทั้งหมดเป็น 2400 ล้านบาท สำหรับการเดินทางมาเยี่ยมเยอรมันครั้งนี้

สำหรับงาน MEDICA นั้นมีภาคเอกชนไทยมาร่วมงานทั้งหมด 16 บริษัทด้วยกัน สินค้าที่นำมาเจรจาในเรื่องของการขายประกอบด้วยเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องมือทางด้านการดูแลสุขภาพการกายภาพบำบัด อุปกรณ์ที่ใช้ในกระดูก อุปกรณ์ไฟฟ้าทางการแพทย์และของที่ใช้แล้วทิ้งทางการแพทย์ เป็นต้นที่การยางแห่งประเทศไทยนั้นถือว่าเป็นตลาดใหม่สำหรับการยางเพราะฉะนั้นการยางก็ได้มีการนัดผู้นำเข้าของเยอรมันเจรจาแต่ว่ายังต้องใช้เวลาในการนับหนึ่งแต่เชื่อว่าการยางจะสามารถที่จะขายยางได้เยอะทีเดียว

นายจุรินทร์ กล่าวว่า อยากจะเรียนให้ทราบเพิ่มเติมสำหรับการเปิดตลาดในเยอรมันและสหภาพยุโรปโดยเยอรมันถือว่าเป็นผู้นำประเทศหนึ่ง ในสหภาพยุโรป เราได้มีการเตรียมการในการบุกตลาดสหภาพยุโรปในหลายเรื่องด้วยกันเรื่องที่หนึ่งคือเริ่มต้นที่จะทำเอฟทีเอระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป ผมได้มอบหมายให้กรมเจรจาการค้าได้เริ่มต้นแล้วและถ้าการเจรจามีความคืบหน้าจะทำให้เร็วที่สุดเพราะจะมีผลช่วยให้การค้าระหว่างสหภาพยุโรปกับเรามีมูลค่าเพิ่มขึ้น และเราได้รับสิทธิในการส่งสินค้าบางอย่างที่ยังมีกำแพงภาษีจากสหภาพยุโรปที่ทำให้เราสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันในเรื่องภาษีนำเข้าบางตัวเช่นถุงมือยางเพื่อการแพทย์สำหรับตลาดสหภาพยุโรปรวมทั้งเยอรมันประเทศไทยต้องเสียภาษีนำเข้า 2.3% ขณะที่คู่แข่งสำคัญของเราคือมาเลเซียไม่ต้องเสียภาษีเพราะเขาได้สิทธิ์จีเอสพีซึ่งจะได้ไปจนถึงปีหน้าถ้าเราสามารถที่จะทำเอฟทีเอร่วมกันภาษีก็จะเป็นศูนย์ทำให้เราสามารถแข่งขันกับมาเลเซียได้คือสิ่งที่เราต้องเร่งรัดเอฟพีเอไทยกับอียูนอกจากนั้นสินค้าที่เราจะส่งไปยังสหภาพยุโรปต้องเป็นสินค้าที่มีมาตรฐานสูงเช่นมีเงื่อนไขด้านความยั่งยืน สิ่งแวดล้อมมาตรฐานอียูและ food safety เหล่านี้เป็นต้น

“ผู้ที่จะส่งสินค้ามาที่สภาพยุโรปต้องเป็นผู้ผลิตไทยที่ได้มาตรฐานและเป็นไปตามเงื่อนไขของอียูผมมั่นใจว่าประเทศของเราพัฒนาไปเยอะมากเรื่องการขายเหล่านี้ซึ่งเป็นข้อจำกัดบางเรื่องแต่เราสามารถที่จะบรรลุเงื่อนไขเหล่านี้ได้เพื่อให้เข้ามาแข่งขันในตลาดเหล่านี้ได้สำหรับตลาดที่ตั้งเป้าจะเข้ามาขยายในเยอรมันกับสหภาพยุโรปก็คืออย่างเรื่องผลิตภัณฑ์ยางและเรื่องข้าวโดยเฉพาะข้าวออแกนิกซ์ ซึ่งเป็นที่นิยมและไบโอพลาสติก อาหารสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง เช่นไก่แช่แข็ง เป็นต้น รวมทั้งในเรื่องของ startup ซึ่งเรามีศักยภาพเช่นในเรื่องของอนิเมชั่นภาพยนตร์สามารถที่จะมาทำความร่วมมือกับเยอรมันสหภาพยุโรปเพื่อเป็นแหล่งผลิตอนิเมชั่นบางส่วนให้กับเขาได้และที่สำคัญคือธุรกิจบริการร้านอาหารไทย สปา ก็เป็นธุรกิจบริการที่มีอนาคตสำหรับประเทศไทยในตลาดเยอรมันและตลาดสหภาพยุโรปรวมทั้งการที่เราจะต้องนำภาคเอกชนมาร่วมงานแสดงสินค้าในหลายภาคส่วนทั้งการแพทย์อาหารอื่นๆที่ ที่เค้าจัดเป็นประจำทุกปีนำผู้นำเข้าจากทั่วโลกมาที่นี่” นายจุรินทร์ กล่าว

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ทั้งนี้ทำให้ยอดขายมีความชัดเจน 2400 ล้านบาทเฉพาะทริปเดียวที่มาอย่างอื่นคือเรื่องปูทางอนาคตเช่นการยางแห่งประเทศไทยซึ่งวันนี้นัดผู้นำเข้ารายใหญ่สองรายซึ่งมีความคืบหน้าอย่างไรทางการยางก็จะรายงานให้ผมทราบในเรื่องเพื่อการเกษตรข้าวมันสำปะหลังยางพารารวมทั้งอาหารถือว่าเป็นหัวใจสำคัญที่จะเป็นเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ถ้ามียอดส่งออกเยอะก็จะมีผลเกื้อกูลไปถึงเกษตรกรที่อยู่ในระดับฐานรากด้วยจึงเป็นเป้าหมายสำคัญ

อย่างในอนาคตสำหรับในปัจจุบันทำแล้วบางส่วนอนาคตต้องให้ความสำคัญยิ่งขึ้นคือการเพิ่มมูลค่าเราจะไม่เน้นเฉพาะการส่งยางดิบในรูปของยางแผ่นรมควันหรือรูปน้ำอย่างคนรูปยางแท่งเท่านั้นแต่ว่าหัวใจสำคัญที่เป็นนโยบายถัดจากนี้ไปที่ต้องช่วยกันทุกวิถีทางคือในเรื่องของผลิตภัณฑ์ยางแปรรูปที่มีการเพิ่มมูลราคาโดยเฉพาะอย่างยิ่งถุงมือยางเพื่อการแพทย์อันนี้ยังมีตลาดในโลกที่ใหญ่มากถ้าเราแก้ปัญหาในเรื่องภาษีนำเข้าของประเทศนั้นนั้นให้เท่าเทียมกับคู่แข่งเราได้เราก็จะมีอนาคตและทำตัวเลขนำเข้าประเทศได้เยอะรวมทั้งหมอนยางพาราอันนี้ถือว่ามีอนาคตและมีมุระค่าเพิ่มเยอะมากสูงมากและมีตลาดหลายประเทศจะสามารถไปทำตลาดได้ทั้งในส่วนของตลาดยุโรปโดยเฉพาะตลาดจีนเป็นที่นิยมมากผมคิดว่าในอนาคตอันใกล้เราอ่ะต้องไปบุกจีนอีกรอบหนึ่งเพื่อทำตลาดเรื่องหมอยางพาราโดยเฉพาะคิดว่าคนจีนมีจำนวนเยอะมากคนละใบก็จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถถ่ายยังได้อีกเยอะมากบอกอยากได้เป็นนับไม่ถ้วนมาตุรกีเที่ยวนี้ 20,000,000 ใบที่เราทำ MOU ไป

“1 ปีธนาคารเพื่อสังคม” ออมสินช่วยประชาชนเสริมสภาพคล่อง-พักชำระหนี้-ลดโครงสร้างดอกเบี้ยสินเชื่อ 9.5 ล้านราย

People Unity News : ออมสิน โชว์ผลงาน “1 ปี ธนาคารเพื่อสังคม” เน้นช่วยประชาชน 3 ด้าน เสริมสภาพคล่อง-พักชำระหนี้-ลดโครงสร้างดอกเบี้ยสินเชื่อ ผลงานที่โดดเด่น 3 ด้าน คือ (1) ด้านการเสริมสภาพคล่องแก่ผู้มีรายได้น้อยและ SMEs ขนาดเล็กผ่านมาตรการสินเชื่อ (2) ด้านการผ่อนปรนการชำระหนี้ด้วยการปรับลด/พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย และ (3) ด้านการเข้าแข่งขันในตลาดสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ที่ธนาคารออมสินได้ปรับจุดยืนทางยุทธศาสตร์ เป็น “ธนาคารเพื่อสังคม” ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา  ธนาคารได้ทำภารกิจช่วยเหลือสังคมที่เป็นรูปธรรมในหลายมิติ ท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งธนาคารเป็นหน่วยงานหลักในการส่งต่อความช่วยเหลือให้ประชาชนและภาคธุรกิจตามนโยบายรัฐบาล ผ่านโครงการต่างๆมากกว่า 30 โครงการ สามารถช่วยเหลือประชาชนได้แล้วกว่า 9 ล้านคน โดยธนาคารยึดหลักการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างกำไรในระดับที่เหมาะสม และนำกำไรส่วนหนึ่งจากการประกอบธุรกิจปกติ มาสนับสนุนการดำเนินธุรกิจเชิงสังคม จนเกิดเป็นผลงานที่โดดเด่น 3 ด้าน คือ (1) ด้านการเสริมสภาพคล่องแก่ผู้มีรายได้น้อยและ SMEs ขนาดเล็กผ่านมาตรการสินเชื่อ (2) ด้านการผ่อนปรนการชำระหนี้ด้วยการปรับลด/พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย และ (3) ด้านการเข้าแข่งขันในตลาดสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง เพื่อเป้าหมายในการปรับลดโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลง ซึ่งจะช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยมีโอกาสใช้สินเชื่อที่มีต้นทุนถูกลงและเป็นธรรมมากขึ้น

ทั้งนี้ ในรอบปีที่ผ่านมา ธนาคารได้สร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินแก่ลูกค้ารายย่อย เป็นจำนวนมากกว่า 3.2 ล้านคน ผ่านมาตรการสินเชื่อ อาทิ สินเชื่อเสริมพลังฐานราก สินเชื่อฉุกเฉินสำหรับผู้มีอาชีพอิสระ และสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 เป็นต้น โดยในจำนวนนี้ธนาคารได้สร้างโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อในระบบให้กับประชาชนมากกว่า 2.5 ล้านคน ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่เคยมีประวัติเครดิตทางการเงิน หรือมีเครดิตต่ำกว่าเกณฑ์อนุมัติปกติของสถาบันการเงิน สำหรับผู้ประกอบการ SMEs รายเล็กนั้น ธนาคารได้ช่วย SMEs ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อเป็นมูลค่าสูงถึงกว่า 162,000 ล้านบาท ผ่านมาตรการสินเชื่อ อาทิ สินเชื่อ Soft Loan ธนาคารออมสิน สินเชื่อฟื้นฟูธุรกิจท่องเที่ยว และสินเชื่ออิ่มใจ (ธุรกิจร้านอาหาร) เป็นต้น รวมถึงออกผลิตภัณฑ์ใหม่ “สินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน” ที่ช่วยให้ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น โดยธนาคารไม่พิจารณาข้อมูลรายได้ระยะสั้น เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วงวิกฤติที่ลูกค้ามีรายได้ไม่แน่นอน และไม่วิเคราะห์ข้อมูลเครดิต แต่เน้นที่การพิจารณาหลักประกันเป็นหลัก (Collateral Based Lending)

สำหรับด้านการผ่อนปรนการชำระหนี้ให้กับลูกค้า เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นหนี้เสีย (NPLs) และเสียประวัติเครดิตในอนาคต ธนาคารสามารถช่วยเหลือลดภาระให้ลูกค้าแล้วเป็นจำนวนกว่า 3 ล้านคน ผ่านมาตรการพักชำระหนี้ลูกค้ากลุ่มต่างๆ อาทิ (1) มาตรการพักชำระหนี้ 6 เดือนแก่ร้านอาหารและโรงแรม (2) มหกรรมแก้หนี้ครูและบุคลากรทางการศึกษา (3) มาตรการแก้หนี้สำหรับลูกค้าทั่วไปที่ประสบปัญหาการชำระเงินงวด อันเนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาด COVID-19 ซึ่งมีผู้เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 730,000 ราย และ (4) มาตรการล่าสุดให้ลูกค้ารายย่อยที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 2 แสนบาท จำนวนกว่า 750,000 ราย สามารถพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ได้สูงสุด 6 เดือน

นอกจากนี้ ธนาคารได้เข้าไปแข่งขันในตลาดสินเชื่อที่มีโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยสูง โดยการเปิดตัวธุรกิจจำนำทะเบียนรถ ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนใน บจ. เงินสดทันใจ ปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมในตลาดการแข่งขันของธุรกิจจำนำทะเบียน จากเดิมที่เคยอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 24% – 28% ปัจจุบันลดลงเหลือ 16% – 18% ทำให้กลุ่มเป้าหมายผู้ใช้สินเชื่อนี้จำนวนกว่า 3.5 ล้านคน ได้รับประโยชน์ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วยต้นทุนที่ถูกลงและเป็นธรรมมากขึ้น

สำหรับผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา สิ้นสุด ณ 30 มิถุนายน 2564 ธนาคารออมสินมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งมากขึ้น โดยมีสินทรัพย์รวม 2,860,000 ล้านบาท มีเงินฝาก 2,450,000 ล้านบาท และสินเชื่อรวม 2,190,000 ล้านบาท โดยจัดเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่ใน 5 อันดับแรกของธนาคารทั้งระบบในทุกด้านที่กล่าวมา นอกจากนั้น ในท่ามกลางวิกฤติที่สถาบันการเงินต่างระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อเพื่อควบคุมความเสี่ยง ในขณะที่ประชาชนและภาคธุรกิจต่างประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง ธนาคารออมสินได้เข้ามามีบทบาทในการปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบอย่างเต็มที่ โดยช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาได้อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้วมากกว่า 270,000 ล้านบาท และสามารถบริหารจัดการหนี้เสียอยู่ในระดับไม่เกิน 2% รวมถึงเพิ่มการกันสำรองส่วนเกิน (General Provision) เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งอีกกว่า 32,000 ล้านบาท ส่งผลให้ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) แข็งแรงถึง 205.15%

Advertising

เอกชนเชื่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลเศรษฐา 1 น่าจะทำได้จริง

People Unity News : 5 กันยายน 2566 ภาคเอกชนมั่นใจแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจด้านต่างๆของรัฐบาลเศรษฐา 1 จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาดีขึ้นในปีหน้าโตแน่ไม่ต่ำกว่า 5% ย้ำขอให้เดินหน้าเต็มที่ แม้จะเจอปัญหาภาคการส่งออกแต่เชื่อว่าหากร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นทีมเดียวกันโอกาสส่งออกไทยปีหน้าก็จะกลับมาบวกเช่นกัน

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกล่าวว่า ภาคเอกชนได้รับรู้และรับทราบถึงแนวทางปฏิบัติของรัฐบาลเศรษฐา 1 ที่จะประกาศใช้ในเร็ววันนี้ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการด้านการท่องเที่ยว ผ่านมาตรการฟรีวีซ่าเพื่อดึงนักท่องเที่ยวสำคัญอย่างชาวจีนมาเที่ยวที่เมืองไทยที่จะสร้างรายได้ให้กับไทยหลายหมื่นล้านบาท รวมทั้งยังสร้างกิจกรรมให้กับภาคธุรกิจทั้งท่องเที่ยวและต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ แนวทางลดค่าครองชีพให้กับประชาชนลดค่าน้ำมันและไฟฟ้ารวมทั้งอื่นๆลงเพื่อช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถยืนต่อไปได้ และถึงแม้ภาคเอกชนมีความเป็นห่วงเกี่ยวกับโครงการดิจิตอลวอลเล็ต 1 หมื่นบาทต่อคนที่จะใช้เม็ดเงินมากกว่า 5 แสนล้านบาท แต่เห็นว่าแนวทางนี้รัฐบาลที่มาจากพรรคเพื่อไทยน่าจะสามารถดำเนินการได้สำเร็จ โดยโครงการนี้ถือเป็นสิ่งที่ผู้มีรายได้น้อยต้องการเพื่อดำรงชีพต่อไปได้ และหากรัฐบาลสามารถทำตรงนี้ได้สำเร็จพร้อมทั้งมีแนวทางบริหารประเทศที่ชัดเจนก็เชื่อว่านักลงทุนจากต่างประเทศจะหันกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทยแน่นอน

“ข้อเสนอเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจของหอการค้าฯ ได้แก่ 1.การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ นโยบายลดค่าครองชีพ และลดต้นทุนภาคเอกชน 2.ส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายและเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยว และ 3. การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณที่ยังค้างท่อ และเร่งจัดทำงบประมาณรายจ่าย 2567 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนแผนงานต่างๆ รวมทั้งเร่งสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ภายใต้การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและเอกชน ผ่านกลไก กรอ. ทุกระดับ เพื่อผลักดัน GDP ปีนี้ให้สามารถเติบโตได้มากกว่า 3% และเป็นแรงส่งต่อให้ GDP ปีหน้าเติบโตได้ 5%” นายสนั่นกล่าว

ขณะที่ภาคการส่งออกของไทยในปีนี้ ยอมรับว่าปีนี้มีหลายปัจจัยที่กระทบทำให้ยอดการส่งออกของไทยไม่ดีนักและคาดว่าปีนี้ยอดส่งออกน่าจะติดลบประมาณ 2% แต่ในปี 67 เมื่อภาครัฐและเอกชนมาประชุมร่วมกันเพื่อเตรียมแผนการผลักดันการส่งออกแบบเจาะตลาดเชิงรุกโดยเฉพาะในกลุ่มตะวันออกกลาง อียูและตลาดใหม่ๆก็เชื่อว่าโอกาสตัวเลขการส่งออกไทยในปี 67 ก็จะมาเป็นบวกได้แน่นอนและขณะนี้อยู่ในระหว่างการนัดหมายพบกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เพื่อจะได้กำหนดแนวทางร่วมกันผลักดันการส่งออกของไทยในปี 67 ได้ต่อไป

Advertisement

ข่าวดี! รัฐบาลขยายเวลาโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ถึงสิ้นเดือนเมษายนนี้ พร้อมเปิดรับเพิ่มผู้ร่วมโครงการ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 เมษายน 2568 ด่วน รัฐบาลขยายเวลาโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ถึงสิ้นเดือนเมษายนนี้ พร้อมเปิดรับเพิ่มผู้ร่วมโครงการ

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยมีลูกหนี้ทยอยสมัครเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก

ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือได้มากยิ่งขึ้นจึงได้ขยายระยะเวลาการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ออกไปจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 จากเดิมที่กำหนดสิ้นสุดในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568

ที่ผ่านมา ธปท. ได้ร่วมมือกับกระทรวงการคลัง ธนาคารออมสิน และผู้ประกอบธุรกิจนอนแบงก์ที่อยู่นอกกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ในการสนับสนุนมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยอย่างต่อเนื่อง  ล่าสุด ได้มีการขยายความร่วมมือเพิ่มเติมกับ 2 ผู้ให้บริการสินเชื่อนอนแบงก์ ได้แก่ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) และ บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ซึ่งทั้ง 2 แห่งจะเข้าร่วมสนับสนุนเม็ดเงินในโครงการด้วย

โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ประกอบด้วย 2 มาตรการสำคัญ ได้แก่

1.มาตรการ “ลดผ่อน ลดดอก” สำหรับลูกหนี้รายย่อยที่มีสินเชื่อแบบผ่อนชำระ (installment loan) โดยจะได้รับการลดภาระค่างวดและดอกเบี้ย เป็นระยะเวลา 3 ปี

2.มาตรการ “จ่าย ปิด จบ” สำหรับลูกหนี้รายย่อยที่เป็นหนี้เสีย (สถานะ NPL) และมียอดหนี้คงค้างไม่เกิน 5,000 บาท โดยจะมีการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน เปิดโอกาสให้ลูกหนี้ชำระหนี้บางส่วนเพื่อปิดบัญชีได้เร็วขึ้น และเริ่มต้นชีวิตทางการเงินใหม่ได้

ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมมาตรการได้ที่เว็บไซต์ https://www.bot.or.th/khunsoo จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 เวลา 23.59 น. หรือสามารถติดต่อที่สาขาของนอนแบงก์ที่เข้าร่วมโครงการ รวมถึงสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ BOT Contact Center โทร. 1213 หรือ Call Center ของผู้ให้บริการนอนแบงก์ที่เข้าร่วมมาตรการ

“รัฐบาลมุ่งมั่นในการดูแลและยืนหยัดเคียงข้างประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์ที่ผ่านมา โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการสร้างโอกาสให้ประชาชนสามารถก้าวผ่านวิกฤต และเริ่มต้นใหม่อย่างมั่นคงและยั่งยืน” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

รัฐบาลแจงยังไม่เริ่ม “ภูเก็ตโมเดล” เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขออย่ากังวล จะทำรัดกุมที่สุด

People Unity News : รัฐบาลแจงยังไม่เริ่ม “ภูเก็ตโมเดล” รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เผยอยู่ในขั้นหารืออีกหลายขั้นตอน

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยเตรียมใช้ภูเก็ตโมเดล เป็นต้นแบบเปิดรับนักท่องเที่ยวนั้น โครงการดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการหารือในรายละเอียด ยังมีอีกหลายขั้นตอนที่จะต้องมาพิจารณาร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น แนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยว กลุ่มชาวต่างชาติที่จะเข้ามา วิธีการคัดกรอง การป้องกัน ฯลฯ ซึ่งยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควร จนกว่าจะมั่นใจได้ว่า เมื่อเปิดรับชาวต่างชาติแล้ว จะไม่นำมาซึ่งความเสี่ยงการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอก 2

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ขอให้ชาวภูเก็ต และนักท่องเที่ยวชาวไทยสบายใจได้ ว่าตอนนี้ยังไม่มีการเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยการดำเนินการจะทำอย่างรัดกุมมากที่สุด การเปิดรับนักท่องเที่ยวจะทำอย่างเหมาะสม ไม่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื่อโควิด-19 ระลอก 2 และภูเก็ตโมเดลจะเป็นการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ (New Normal) ที่กำหนดพื้นที่ให้ท่องเที่ยวแบบจำกัด มีการกักตัว 14 วันก่อนให้เดินทางท่องเที่ยวอย่างแน่นอน ที่สำคัญจะพิจารณาเฉพาะประเทศที่ปลอดโควิด ช่วงนี้รัฐบาลขอเชิญชวนคนไทยออกไปเที่ยวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้มีการกระจายรายได้ลงสู่ประชาชนในแต่ละพื้นที่

Advertising

พาณิชย์จับมือการเคหะฯปักธงเปิดตลาดประชารัฐถาวรใจกลางกรุง

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์

People unity news online : “มือเศรษฐกิจฐานรากของรัฐบาล” สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ จับมือ การเคหะแห่งชาติ ปักธงเปิดตลาดประชารัฐใจกลางกรุงเทพมหานคร ในพื้นที่ชุมชนการเคหะขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ ห้วยขวาง ดินแดง คลองจั่น และบ่อนไก่ เพื่อให้เป็นอีกหนึ่งกลไกในการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในเมือง โดยก่อให้เกิดกำลังซื้อ-กำลังขายในชุมชนฐานรากในเมืองกรุง พร้อมเล็งเปิดตลาดขยายไปยังชุมชนการเคหะในต่างจังหวัดอีกด้วย

16 มิถุนายน 2560 ที่กระทรวงพาณิชย์ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ที่เกี่ยวข้อง ได้ประชุมหารือร่วมกับ ดร.ธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ และผู้บริหารการเคหะแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้พื้นที่ของชุมชนการเคหะแห่งชาติ เปิด “ตลาดประชารัฐชุมชนการเคหะ” ขึ้นในใจกลางกรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ผลการหารือได้ข้อสรุปว่า พื้นที่ชุมชนการเคหะในกรุงเทพฯ 4 แห่ง ประกอบด้วย ชุมชนเคหะห้วยขวาง ดินแดง บ่อนไก่ และคลองจั่น มีความเหมาะสม เนื่องจากเป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น และอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร โดยจะพิจารณานำร่องเปิดตลาดประชารัฐฯขึ้นเป็นแห่งแรกในชุมชนใดชุมชนหนึ่งภายใน 3 เดือนนี้ ซึ่งการเคหะแห่งชาติจะเป็นผู้พิจารณาจัดหาพื้นที่ที่เหมาะสม และจัดระเบียบพื้นที่ แล้วให้กระทรวงพาณิชย์เข้ามาจัดสร้างตลาดในลักษณะอาคารถาวร พร้อมกับนำสินค้ามาจำหน่ายให้แก่พี่น้องประชาชน ทั้งประชาชนในชุมชนการเคหะ และประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง โดยจะทำให้ตลาดประชารัฐชุมชนการเคหะเป็นตลาดที่มีเอกลักษณ์แตกต่างจากตลาดทั่วไปที่มีอยู่ ทั้งในแง่รูปแบบตลาด และในแง่สินค้าที่จะนำเข้ามาจำหน่าย เพื่อก่อให้เกิดกำลังซื้อและกำลังขายมากที่สุด อันจะทำให้ตลาดประชารัฐฯเป็นกลไกกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในเมืองกรุง สร้างรายได้ สร้างการจับจ่ายใช้สอย และนำไปสู่การสร้างอาชีพ สร้างงาน และสร้างกำลังการผลิตให้กับผลผลิตต่างๆ

สำหรับสินค้าที่อยู่ในข่ายจะนำเข้ามาจำหน่ายในตลาดประชารัฐชุมชนการเคหะ ประกอบด้วย ผลผลิตทางการเกษตร พืชผัก ผลไม้ ข้าวสารจากชาวนา หรือผลผลิตอื่นๆ จากเกษตรกรหรือสหกรณ์ทั่วประเทศโดยตรง เพื่อให้ประชาชนในกรุงเทพฯได้มีตลาดประจำเป็นแหล่งซื้อผลผลิตการเกษตรจากเกษตรกร และเกษตรกรเองก็จะได้มีสถานที่ประจำเพื่อจำหน่ายผลผลิตของตนในพื้นที่ กทม.โดยตรง นอกจากนี้ จะเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าโอทอป หรือสินค้า sme จากทั่วประเทศ เพื่อให้สินค้าเหล่านั้นได้มีตลาดประจำจำหน่ายให้แก่ประชาชนใน กทม.และนักท่องเที่ยวต่างชาติใน กทม.ได้หาซื้อ อีกทั้งจะเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคจากโรงงานและผู้ประกอบการ รวมทั้งจำหน่ายสินค้าธงฟ้าของกระทรวงพาณิชย์ ร้านอาหารหนูณิชย์ เพื่อช่วยเหลือด้านการลดค่าครองชีพแก่ประชาชนใน กทม. ขณะที่ชาวชุมชนการเคหะเองก็จะได้มีตลาดถาวรที่มีมาตรฐานเพื่อจำหน่ายอาหารสำเร็จรูป หรือผลผลิตของชุมชนของตน อันเป็นการสร้างอาชีพและเพิ่มรายได้ให้แก่ชาวชุมชน

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า รัฐบาลโดย ฯพณฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ มีนโยบายที่จะสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจฐานรากและชุมชน จึงได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องใช้กลไกตลาดสร้างกำลังการบริโภค และกำลังการผลิตให้เกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจฐานราก อีกทั้งเป็นการสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ประชาชนในระดับฐานราก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้รับการจัดสรรงบประมาณมาจำนวนหนึ่งเพื่อนำมาสร้างกลไกตลาดขึ้นทั่วประเทศ ทั้งการเปิดตลาดแห่งใหม่ และการเข้าไปพัฒนาตลาดเก่าที่มีอยู่แล้ว ให้มีมาตรฐาน เพื่อสร้างกำลังซื้อกำลังขายให้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น การที่การเคหะแห่งชาติมีแนวคิดที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยรัฐบาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก จึงถือเป็นการเข้ามาบูรณาการร่วมกันที่มีนัยะสำคัญต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เพราะการเคหะแห่งชาติมีชุมชนขนาดใหญ่ในกรุงเทพมหานครและทั่วประเทศ

“ตามแนวคิดของผมเห็นว่า ตลาดประชารัฐชุมชนการเคหะจะไม่ใช่ตลาดที่จำหน่ายสินค้าหรือผลผลิตราคาถูกอย่างเดียว แต่จะต้องเป็นตลาดที่จำหน่ายสินค้าและผลผลิตคุณภาพสูงด้วย เพื่อดึงกำลังซื้อจาก 2 ส่วนเข้ามาพร้อมกัน คือกำลังซื้อสินค้าราคาถูก และกำลังซื้อสินค้าคุณภาพสูง ด้านหนึ่งเพื่อช่วยเหลือด้านลดค่าครองชีพประชาชน อีกด้านหนึ่งเพื่อให้ประชาชนได้บริโภคสินค้าคุณภาพสูง ทั้งนี้ผมมีแนวคิดว่าจะเปิดตลาดสดคุณภาพสูงขึ้นภายในตลาดประชารัฐชุมชนการเคหะด้วย โดยจะเป็นตลาดที่จำหน่ายผลผลิตอาหาร เช่น เนื้อสัตว์ พืชผัก ผลไม้ ที่ปลอดสารพิษร้อยเปอร์เซ็นต์ และเป็นตลาดที่มีการควบคุมคุณภาพผลผลิตอาหารตลอดเวลา ด้วยการตรวจสอบคุณภาพสินค้าประเภทอาหารสดทุกวัน” นายสนธิรัตน์ กล่าว

ด้าน ดร.ธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า การเคหะแห่งชาติเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับประชาชนฐานราก โดยเป็นหน่วยงานหลักของรัฐในการจัดสร้างที่อยู่อาศัยให้กับผู้มีรายได้น้อย อย่างไรก็ดี นอกจากภารกิจหลักดังกล่าวแล้ว การเคหะแห่งชาติยังมีภารกิจรองในด้านการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของชาวชุมชนการเคหะในมิติต่างๆอีกด้วย เช่น มิติทางสังคม สิ่งแวดล้อม และอื่นๆ

ดร.ธัชพล กาญจนกูล
นายพูลเดช กรรณิการ์

“ผมเห็นว่า มิติทางเศรษฐกิจเป็นอีกมิติหนึ่งที่มีความสำคัญมาก เพราะเกี่ยวข้องกับปากท้อง และเป็นการยกฐานะทางเศรษฐกิจของชาวชุมชน เพื่อให้ชุมชนการเคหะทั่วประเทศก้าวไปเป็นชุมชนที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ดังนั้น หากจะช่วยเหลือในเรื่องปากท้องของชาวชุมชน และยกฐานะทางเศรษฐกิจของชาวชุมชน ควรใช้กลไกตลาดเป็นเครื่องมือ จึงนำมาสู่การหารือร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ในวันนี้” ดร.ธัชพล กล่าว

ด้าน นายพูลเดช กรรณิการ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าการเคหะ และคณะทำงานขับเคลื่อนด้านการสร้างเครือข่ายพันธมิตรการเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า ชุมชนการเคหะในพื้นที่กรุงเทพมหานครทุกแห่ง และในต่างจังหวัดหลายพื้นที่ มีศักยภาพสูงที่จะสร้างแรงกระตุ้นการเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจฐานรากหรือเศรษฐกิจชุมชน เพราะชุมชนแต่ละแห่งมีขนาดใหญ่ มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น อีกทั้งเป็นประชากรฐานรากตัวจริงที่มีการอยู่อาศัยในแต่ละพื้นที่อย่างถาวร แตกต่างจากประชากรฐานรากในชุมชนแออัด หรือที่อื่นๆ ที่มักจะเป็นการอยู่อาศัยแบบไม่ถาวร มีการเคลื่อนย้ายไปมาอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งชาวชุมชนการเคหะยังมีการประกอบอาชีพประจำ ทั้งการเป็นเจ้าหน้าที่-ลูกจ้างของรัฐ พนักงานเอกชน และประกอบอาชีพอิสระ จึงเป็นชุมชนที่มีการไหลเวียนของเงินเข้า-ออกภายในชุมชนจำนวนมาก มีกำลังซื้อ มีกำลังการบริโภคอยู่อย่างสูง และมีมากกว่าชุมชนตำบลหมู่บ้านในต่างจังหวัด ดังนั้น ชุมชนการเคหะทั่วประเทศจึงถือเป็นชุมชนเศรษฐกิจฐานรากที่มีความสำคัญ และจะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก การเปิดตลาดประชารัฐในชุมชนการเคหะแห่งชาติจึงเป็นการตอบโจทย์ทางด้านการกระตุ้นและการสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานรากที่ตรงเป้ามากที่สุดด้านหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่เศรษฐกิจฐานรากในเมืองกรุง

People unity news online : post 16 มิถุนายน 2560 เวลา 23.20 น.

นายกฯ Kick Off โอนเงิน 10,000 ย้ำเดินหน้าโครงการ Digital Wallet

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 กันยายน 2567 นายกฯ “แพทองธาร” Kick Off โอนเงิน 10,000 ให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและบัตรคนพิการ ย้ำเดินหน้าโครงการ Digital Wallet เพื่อสร้างโอกาส สร้างความหวัง ให้ประชาชนมีกิน มีใช้

วันนี้ (25 กันยายน 2567) 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรีหลังใน ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดงาน (Kick Off) โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชนเข้าร่วม

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจเรื้อรังมานานหลายปี ไม่ใช่เพียงแค่จากปัจจัยภายใน แต่ยังมีผลจากเศรษฐกิจทั้งโลกที่ฟื้นตัวช้า ซ้ำเติมด้วยปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค และยังไม่รวมกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น และสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้เกิดภัยพิบัติในหลายพื้นที่ทั่วโลก รวมถึงในบ้านเราก็ได้รับผลกระทบ ซึ่งเหตุอุทกภัยในครั้งนี้ถือว่ารุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ หลายปัจจัยที่กล่าวมา ทำให้เศรษฐกิจไทยฝืดเคือง ไม่สามารถที่จะเพิ่มการลงทุนได้ จะเห็นได้ชัดว่า การลงทุนใหม่ ๆ ของเราก็หายไปในระบบ เงินไม่หมุนเวียน ทำให้การลงทุนน้อยลง  อุตสาหกรรมใหม่ที่จะมาลงทุนในประเทศไทยน้อยลง  ซึ่งกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่สุด คือ กลุ่มเปราะบางที่มีรายได้น้อย รวมถึงผู้พิการ ในอนาคต ประเทศไทยต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางด้านเศรษฐกิจทั้งระบบ  ทำให้เศรษฐกิจต้องมีความพร้อมต่อการลงทุน และอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่จะทำให้เกิดขึ้นในประเทศไทยได้ รัฐบาลจะสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว เพื่อให้คนไทยมีความมั่นคงและหารายได้อย่างยั่งยืน

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า นโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลเน้นย้ำตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ผ่านมา 1 ปี ได้เน้นย้ำนโยบายด้านเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ซึ่งจะสามารถทำให้ประชาชนมีชีวิตที่พัฒนาได้มากขึ้น แต่นโยบายหลายนโยบายอาจจะต้องใช้เวลา บางเรื่องหลายเดือน บางเรื่องต้องใช้เวลาหลายปี ต้องอาศัยเสถียรภาพทางการเมืองด้วย เพื่อที่จะให้นโยบายมีความพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้คือ ‘ความท้าทาย’ ที่รัฐบาลจะต้องเปลี่ยนให้กลายเป็นโอกาส และความหวังเพื่อประชาชน

ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจ หลายโครงการได้ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว สานต่อมายังรัฐบาลนี้ในวันนี้ และมีแผนที่จะทำต่อในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการพักหนี้เกษตรกร การลดดอกเบี้ย ส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านนโยบายฟรีวีซ่า ทำให้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งประเทศ

นายกรัฐมนตรีระบุ วันนี้ประเทศไทยจะถูกกระตุ้นครั้งใหญ่ เงินสดถึงมือคนไทย ระบบเศรษฐกิจจะถูกเติมเงินหมุนเวียนกว่า 145,552.40 ล้านบาท  สร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจลูกใหญ่ลูกแรก ที่ทำให้คนไทยได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในภาพใหญ่ ต่อลมหายใจให้ประชาชนรายเล็กที่กำลังเดือดร้อน   นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้จะถึงมือประชาชนกลุ่มเปราะบาง จำนวน 14.55 ล้านคน โดยแบ่งเป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 12.40 ล้านคน และกลุ่มคนพิการจำนวน 2.15 ล้านคน  ทุกคนจะได้รับเงินสดคนละ 10,000 บาท ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผ่านช่องทางการรับเบี้ยเดิมของผู้พิการ ไม่ว่าจะเคยได้รับเงินผ่านบัญชีธนาคาร หรือได้รับเงินสดผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะได้รับเงินในวิธีการเดิม

“ที่สำคัญเงินจำนวนนี้ไม่มีเงื่อนไขในการใช้จ่ายแต่อย่างใด เมื่อเงินเข้าบัญชีสามารถนำไปใช้จ่ายได้ทันที เป็นวิธีการที่ง่ายที่สุด และถึงมือประชาชนมากที่สุดค่ะ ซึ่งการโอนเงินจะทยอยโอนให้ถึงมือพี่น้องประชาชนภายใน 4 วัน โดยเริ่มที่วันนี้เป็นวันแรก” นโยบายนี้จะช่วยกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจให้ประชาชน สร้างโอกาส สร้างความหวัง นำไปสู่การพัฒนาเพื่อต่อยอดคุณภาพชีวิต ให้พี่น้อง มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี” นายกรัฐมนตรี ย้ำ

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า เงินหนึ่งหมื่นบาทเป็นจำนวนที่จะทำให้ประชาชนหลายคนมีโอกาสสร้างชีวิตใหม่ และเป็นเงินจำนวนที่มากพอเมื่อรวมกันหลายคน สามารถนำไปลงทุนค้าขาย ต่อยอดธุรกิจ พร้อมรับโอกาสดี ๆ ที่จะเข้ามา รัฐบาลเชื่อในศักยภาพของพี่น้องคนไทย เมื่อมีโอกาสมาถึงมือจะไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ รวมถึงพี่น้องหลายคนที่กำลังประสบความเดือดร้อนจากอุทกภัยจะได้รับการช่วยเหลือเพิ่มเติม ผ่านนโยบายนี้ได้อีกทางหนึ่ง

“รัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอีกหลายรูปแบบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงยังคงเดินหน้าโครงการ Digital Wallet เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้ประชาชนมี Digital ID เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างรัฐบาลและประชาชน ทำให้การทำธุรกรรมต่าง ๆ กับหน่วยงานรัฐสะดวกขึ้น โปร่งใสตรวจสอบได้ เช่น การให้เงินช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติ การชำระค่าไฟ เป็นต้น ประชาชนสามารถติดตามข่าวสารและตรวจสอบข้อมูลได้ที่ทุกช่องทางของกระทรวงการคลัง และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ทั้งหมดเพื่อเป้าหมายสำคัญ คือ การสร้างสภาพแวดล้อมที่จะเอื้อให้ประชาชนใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง มีรอยยิ้ม สร้างความเท่าเทียมทางโอกาส เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยให้กลับมาดีอีกครั้ง” นายกรัฐมนตรี กล่าว

จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้วิดีโอคอลไปยังตัวแทนผู้ได้รับเงิน 10,000 บาท จากจังหวัดเชียงใหม่ สมุทรสาคร มุกดาหาร และจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยนายกฯ ได้สอบถามพร้อมแสดงกล่าวความยินดีกับผู้ที่ได้รับเงิน ขอให้นำเงินที่ได้รับไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งนี้ ตัวแทนชาวบ้านได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ที่ได้ผลักดันโครงการฯ ทำให้ประชาชนได้รับเงิน 10,000 บาท โดยจะนำเงินที่ได้รับไปใช้ซื้อของอุปโภค บริโภค และของที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน รวมถึงนำเงินไปเป็นทุนต่อยอดการค้าขายต่อไป

สำหรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ เฟส 1 กำหนดแจกกลุ่มเปราะบาง 14.55 ล้านคน ประกอบด้วยผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีอยู่กว่า 12.4 ล้านคน และผู้พิการ กว่า 2.15 ล้านคน รวมเป็นงบประมาณที่ใช้อยู่ที่ประมาณ 1.45 แสนล้านบาท โดยจะแจกเป็นเงินสด จำนวน 10,000 บาท โอนเข้าบัญชีผ่านช่องทางที่กำหนด ทั้งระบบพร้อมเพย์ผ่านหมายเลขบัตรประชาชน หรือบัญชีเงินฝากที่แจ้งความประสงค์ไว้ หรือช่องทางการรับเงินเบี้ยคนพิการ ตามที่ได้รับข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ โดย กรมบัญชีกลาง กำหนดโอนเงินในวันที่ 25 – 27 และ 30 กันยายนนี้ แบ่งการโอนเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้ วันที่ 25 กันยายน 2567 โอนเงินให้คนพิการ พร้อมกันทั้ง 2.15 ล้านคน และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีเลขประจำตัวประชาชนลงท้ายด้วยเลข 0 ประมาณ 1.13 ล้านคน วันที่ 26 กันยายน 2567 เลขประจำตัวประชาชนลงท้าย 1-3 ประมาณ 4.51 ล้านคน วันที่ 27 กันยายน 2567 เลขประจำตัวประชาชนลงท้าย 4-7 ประมาณ 4.51 ล้านคน และวันที่ 30 กันยายน 2567 เลขประจำตัวประชาชนลงท้าย 8-9 ประมาณ 2.26 ล้านคน

Advertisement

ปลัดแรงงานระบุ ขึ้นค่าแรง 400 บาท ต้องรอลุ้นผลประชุม 14 พ.ค.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 พฤษภาคม 2567 ปลัดกระทรวงแรงงาน เผยความคืบหน้าค่าแรง 400 บาท ยังต้องรอลุ้นผลประชุมวันที่ 14 พ.ค.นี้ ยืนยันพยายามให้ทุกฝ่ายได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความกังวลใจของหลายฝ่ายต่อการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ 400 บาทนั้นว่า ขั้นตอนของการปรับค่าจ้างขณะนี้อยู่ในระหว่างการสำรวจและศึกษาข้อมูล ซึ่งผมได้สั่งการให้แรงงานจังหวัดในแต่ละพื้นที่ประชุมหารือกับผู้ประกอบการเพื่อนำข้อมูลมาพิจารณาความเหมาะสมในแต่ละจังหวัด ซึ่งทั้งหมดจะอยู่ในหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดอย่างมีหลักวิชาการและเป็นมาตรฐาน ภายใต้อำนาจของไตรภาคี คือ ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง และผู้แทนฝ่ายรัฐบาล

นายไพโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้แรงงานได้รับความเดือดร้อน ประกอบกับนโยบายรัฐบาลที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนและทำให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตได้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ซึ่งกระทรวงแรงงานได้นำนโยบายรัฐบาลมาศึกษาและขยายผลในการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ผ่านกลไกระบบไตรภาคี โดยจะพิจารณาการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อนายจ้างและลูกจ้าง ในส่วนของความกังวลใจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนั้น กระทรวงแรงงานจะมีการรับฟังปัญหาของผู้ประกอบการว่ากิจการประเภทไหนได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งชี้แจงถึงความจำเป็นในการปรับขึ้นค่าจ้าง 400 บาท เนื่องจากแรงงานได้รับความเดือดร้อนจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น รวมทั้งจะรับฟังข้อเสนอมาตรการความช่วยเหลือจากภาคเอกชน เพื่อนำข้อเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อออกเป็นมาตรการช่วยเหลือดังกล่าวต่อไป อย่างไรก็ดี จะพยายามให้ทุกฝ่ายได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานได้ประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 2567 ครั้งที่ 1 มีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2567 ต่อมา คณะกรรมการค่าจ้างได้มีมติกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท นำร่องพื้นที่ 10 จังหวัด ในกิจการประเภทโรงแรม ระดับ 4 ดาว และมีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป เริ่มตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน 2567 โดยจังหวัดภูเก็ตขึ้นทั้งจังหวัด ส่วนอีก 9 จังหวัดขึ้นบางพื้นที่ คือ 1.กรุงเทพมหานคร เฉพาะเขตปทุมวัน และเขตวัฒนา 2.จังหวัดกระบี่ เขตองค์การบริหารส่วนตำบลอ่าวนาง 3.จังหวัดชลบุรี เขตเมืองพัทยา 4.จังหวัดเชียงใหม่ เขตเทศบาลนครเชียงใหม่ 5.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เขตเทศบาลหัวหิน 6.จังหวัดพังงา เขตเทศบาลตำบลคึกคัก 7.จังหวัดระยอง เขตตำบลบ้านเพ 8.จังหวัดสงขลา เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ และ 9.จังหวัดสุราษฎร์ธานี เขตอำเภอเกาะสมุย

Advertisement

Verified by ExactMetrics