วันที่ 3 พฤษภาคม 2024

ไม่ลืมกัน! “อนุทิน”เร่งเครื่องลุยเดินหน้าบรรจุ ขรก.สธ.

People Unity News : ไม่ลืมกัน! “อนุทิน”เร่งเครื่องลุยเดินหน้าบรรจุ ขรก.สธ. วอนเสียงบ่นรอนาน ขอวิงวอนให้ย้อนมองภาครัฐให้บริการอย่างมีมาตรฐานหรือไม่ จะพบทำตามมาตรฐานสากล

เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2562 ที่การประชุมวิชาการแพทยสภา ประจำปี 2562 พิธีมอบเกียรติบัตร เข็มเกียรติคุณ โล่เกียรติคุณ นักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรธรรมมาภิบาลทางการแพทย์สำหรับผู้บริหารระดับสูง รุ่นที่ 7 (ปธพ.7) ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวปาฐกถาใจความตอนหนึ่งว่า ระบบการให้บริการด้านสาธารณสุขของไทย นับว่ามีคุณภาพเป็นที่เชิดหน้าชูตา เพราะมีการวางรากฐานมาอย่างดี มีประเทศไหนในโลกที่องค์พระประมุข สละทรัพย์ส่วนพระองค์มาดูแลระบบการให้บริการด้านสาธารณสุข นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราก้าวหน้าในเรื่องนี้ ไม่ต้องอายชาติไหน

และต้องขอขอบคุณทุกท่าน ที่ไม่ใช้สิทธิ์การรักษาพยาบาลของรัฐ แต่เลือกจ่ายค่าบริการส่วนตัว เพราะการเสียสละของท่าน ทำให้รัฐมีเงิน ไปใช้จ่ายกับผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้จริงๆ ซึ่งถ้าหากทุกคนในประเทศ ใช้สวัสดิการรัฐกันหมด รับรองว่างบแค่ไหน ก็ไม่มีทางพอ

ที่ผ่านมามีเสียงบ่น รอนาน โรงพยาบาลแออัด ตนเข้าใจทุกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่ขอวิงวอนให้ย้อนมองว่าภาครัฐให้บริการอย่างมีมาตรฐานหรือไม่ ซึ่งคำตอบคือ เราทำตามมาตรฐานสากล และไม่เคยทิ้งใครไว้ข้างหลัง จะเป็นชาวต่างชาติ เราก็รักษา แม้จะยอมขาดทุนบ้างก็ตาม วันนี้รัฐมนตรีกับกระทรวงสาธารณสุขลงเรือลำเดียวกัน และเราไม่ก้าวก่ายการทำงาน กลับกันยังพร้อมช่วยเหลือกันและกัน

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า องค์การเภสัชกรรมถูกตั้งคำถามเยอะ ว่าไปวิจัยยา ผลิตยาทำไม ซื้อของเอกชน ถูกกว่า ง่ายกว่า แต่อยากให้มองว่า ถ้าเกิดมีวิกฤติโรคระบาดจนขาดแคลนยา หากประเทศไทย สามารถผลิตยาเพื่อดูแลตัวเองได้จะดีกว่าหรือไม่ การทำงานขององค์การเภสัชกรรมเป็นเรื่องของความมั่นคงในระยะยาว

“มีข่าวออกมาตลอดว่าพนักงานราชการของกระทรวงสาธารณสุข ต้องการบรรจุเป็นข้าราชการ ตอบแทนความมุ่งมั่นทุ่มเทในการทำงานเป็นระยะเวลายาวนาน ผมไม่เคยมองข้าม และได้คุยกับรองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม มาหลายครั้ง ถ้าได้เจอกันก็จะคุยแต่เรื่องนี้ ซึ่งท่านได้รับไปพิจารณา แต่ผมก็จะถามต่อไป ข้อเท็จจริงคือเรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวกับงบ แต่มันอยู่ที่กระบวนการทางราชการมากกว่า”

นายอนุทิน ยังกล่าวถึงนโยบายยกระดับ อสม. ว่า เรามี อสม.กว่าล้านคนกระจายทำงานอยู่ทั่วประเทศ ถ้าเปลี่ยน อสม.เป็นหมอครบอครัว ดูแลคนป่วยชั้นปฐมภูมิในพื้นที่ได้ ย่อมจะลดภาระแพทย์ พยาบาล และช่วยลดภาระการเดินทางของผู้ป่วย และเราได้ยกระดับสถานีอนามัยเป็น รพ.สต.แล้ว จึงมีความมุ่มมั่นให้สถานพยาบาลข้างต้น ช่วยคัดกรองผู้ป่วยก่อนถึงโรงพยาบาลศูนย์

นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า ล่าสุด ตนได้ให้นโยบายกับกระทรวงสาธารณสุข คือ ต้องทำให้ประชนรู้จักดูแลสุขภาพตัวเอง ต้องให้ประชาชนทราบว่า 1. ยาดีแค่ไหน ก็สู้ไม่กินยาไม่ได้ 2. เตียงโรงพยาบาลนุ่มแค่ไหน ก็สู้เตียงไม้กระดานไม่ได้ 3.ขยันแล้วท่านจะแข็งแรง ส่วนขี้เกียจ มักจะจบลงที่หาหมอ ดังนั้น ต้องหมั่นออกกำลังกายให้มากเข้า

“อนุทิน”นำ สธ.จับมือก.ดิจิทัลนำร่องใช้ Big Data พัฒนาระบบบัตรทอง

People Unity News : สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ลงนามใน “บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การพัฒนาการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)” พัฒนาระบบบัตรทอง

วันที่ 31 ตุลาคม 2556 ที่โรงแรมเซนทรา บาย เซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุนภาพแห่งชาติ (สปสช.) ลงนามใน “บันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมเป็นพยานในพิธี เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) สนับสนุนการให้บริการด้านสุขภาพ มี ดร.ปิยนุช วุฒิสอน เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนพ. ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นผู้ลงนาม

นายอนุทิน กล่าวว่า พิธีลงนามในวันนี้นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของความร่วมมือกันในการพัฒนาการใช้ประโยชน์ข้อมูลด้านสุขภาพระดับประเทศโดยใช้เทคโนโลยี Big Data ซึ่งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นหน่วยงานที่มีข้อมูลปริมาณมากและซับซ้อน การนำเทคโนโลยี Big data เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการและการวิเคราะห์ข้อมูลให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนและทันเวลา ทั้งนี้ขอฝากถึงผู้บริหารที่เกี่ยวข้องร่วมกันกำกับดูแลติดตามความก้าวหน้าเนื้อหาสาระที่บรรจุในระบบให้เสร็จสิ้นตามกำหนดและตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า ขณะนี้โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกระดับทั้งสถาบันเชี่ยวชาญโรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไปโรงพยาบาลชุมชนได้พัฒนาเป็น Smart Hospital โดยนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารและอำนวยความสะดวกในการจัดบริการประชาชน เช่น การจองคิวออนไลน์ระบบนัดหมาย แจ้งเตือนการฉีดวัคซีน ค้นหาเวชระเบียนออนไลน์ด้วยบัตรประชาชน การบันทึกข้อมูลผู้ป่วยใช้ข้อมูลเดียวกันทั้งโรงพยาบาลและคลินิกหมอครอบครัว รวมทั้งระบบการรักษาทางไกล (Tele Medicine)

“ระบบสาธารณสุขไทยอยู่ในลำดับ 6 ของโรค พัฒนาอย่างต่อเนื่อง สปสช.มีอายุเกือบ 20 ปี จากการรักษาโรคทั่วไป ปัจจุบัน รักษากระทั่งโรคหายาก เท่ากับดูแลผู้ป่วยทุกโรค คนไทยมีจำนวนมาก ทุกคนล้วนต้องการบริการด้านสุขภาพที่สะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เป็นความจำเป็น ต้องขอบคุณกระทรวงดิจิตัลที่เข้ามาช่วยเหลือ ในอนาคตข้อมูลด้านสุขภาพ ต้องเชื่อมต่อกันทุกสถานพยาบาล การให้บริการจะเร็วขึ้น เมื่อผู้ป่วยไปหาหมอ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม แพทย์จะรู้ว่าประชาชนแต่ละคนมีอาการอย่างไร รับยาอะไรอยู่ แพ้ยาอะไรบ้าง การเชื่อมโยงข้อมูลจะไม่หยุดที่เรื่องสุขภาพ แต่จะเริ่มต้นใช้กับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาด้วย”

ด้านนายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในวันนี้จะเป็นการผลักดันนโยบายการพัฒนาการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ Big Data นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลอย่างยั่งยืน เพราะปัจจุบันประเทศไทยมีความตื่นตัวเรื่อง Big Data อย่างกว้างขวางองค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเริ่มปรับตัวและเตรียมพร้อมเข้าสู่ยุคของการวิเคราะห์และใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อประกอบการตัดสินใจ

สธ.จัดประชุมวิชาการนานาชาติ เฉลิมพระเกียรติพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

People Unity News : กระทรวงสาธารณสุข จัดการประชุมวิชาการระดับนานาชาติเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพื่อเผยแพร่พระราชกรณียกิจของราชวงศ์จักรีกับการแพทย์และการสาธารณสุขไทย และพระมหากรุณาธิคุณในความห่วงใยสุขภาพของประชาชนที่อยู่ห่างไกลให้ปรากฏแก่สายตาชาวไทยและชาวต่างชาติ แลกเปลี่ยนเรียนรู้งานวิจัยและนวัตกรรมสุขภาพ สร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการในระดับนานาชาติ

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเปิดการประชุมวิชาการระดับนานาชาติเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก (International Conference on Advancement in Health Sciences Education and Professions : Synergy and Reform for Better Health (IHSEP2019) in Celebration of the Royal Coronation Ceremony) ว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 จึงได้จัดการประชุมวิชาการนานาชาติเพื่อเผยแพร่พระราชกรณียกิจของราชวงศ์จักรีกับการแพทย์และการสาธารณสุขไทย ในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข และความห่วงใยสุขภาพของประชาชนที่อยู่ในชนบทห่างไกล ให้ปรากฏแก่ชาวไทยและชาวต่างชาติ เป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้งานวิจัยและนวัตกรรมสุขภาพ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการในระดับนานาชาตินายอนุทินกล่าวต่อว่า การเตรียมความพร้อมสำหรับบุคลากรการแพทย์และการสาธารณสุข เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้การปฏิรูประบบสุขภาพของประเทศไทยบรรลุสู่เป้าหมาย การมีสุขภาพที่ดี การให้บริการที่ดี

การเข้าถึงระบบสุขภาพที่มากขึ้น ลดภาระค่าใช้จ่ายทางด้านการแพทย์ บุคลากรทางด้านการแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมอย่างเหมาะสม ในจำนวนที่เหมาะสม ครอบคลุมทุกสาขาวิชาชีพ ตลอดจนการดึงศักยภาพของบุคลากรดังกล่าวมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ จึงมีความจำเป็นต่อการฝึกอบรมบุคลากรสายวิชาชีพต่างๆ ให้มีความรู้ในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ให้สามารถคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาสำหรับผู้ป่วยและการให้บริการทางการแพทย์ในทุกๆ วันได้

“ผมหวังว่าการประชุมครั้งนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการปรับปรุงระบบสุขภาพของประชาชน รวมทั้งการดูแลผู้ป่วยและระบบสาธารณสุขของประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น” นายอนุทินกล่าว

ด้านนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การจัดการประชุมวิชาการนานาชาติครั้งนี้ สถาบันพระบรมราชชนก และสมาคมศิษย์เก่าวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี ได้รับความร่วมมือจาก 15 หน่วยงานจากประเทศจีน ญี่ปุ่น อินโดนีเชีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นิวซีแลนด์ อังกฤษ อเมริกา สวีเดน และสิงคโปร์ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ อาจารย์ นักวิจัยและนักศึกษา จาก 10 ประเทศ ได้แก่ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา สวีเดน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐประชาชนจีน นิวซีแลนด์ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และไทย ร่วมประชุมสำหรับสถาบันพระบรมราชชนก มีวิทยาลัยในสังกัดทั่วประเทศ จำนวน 39 แห่ง แบ่งเป็นวิทยาลัยพยาบาล 30 แห่ง วิทยาลัยการสาธารณสุข 7 แห่ง วิทยาลัยเทคโนโลยีทางการแพทย์กาญจนาภิเษก และวิทยาลัยการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี

“รมว.พม.”เร่งแก้ปัญหาค้ามนุษย์หวังไทยถึงเทียร์ 1 ย้ำต้องทำงานให้หนัก

People Unity News : “จุติ ไกรฤกษ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  เร่งแก้ปัญหาค้ามนุษย์หวังไทยถึงเทียร์ 1 ย้ำต้องทำงานให้หนัก 

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับและติดตามการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามค้ามนุษย์ ว่า หน่วยราชการของไทยทำได้ดีกว่าที่เราคาดไว้ ซึ่งในเรื่องสถานการณ์การค้ามนุษย์ หรือ ทิปรีพอร์ต ที่สหรัฐอเมริกามีความกังวล เราสามารถตอบคำถามได้โดยมีหลักฐานชัดเจนและอธิบายได้ ส่วนในที่ประชุมวันนี้ได้เร่งรัดคดีที่ยังค้างอยู่และขอรับทราบความคืบหน้าจากองค์กรเอกชนและภาคประชาชน โดยที่ประชุมได้รวบรวมประเด็นและข้อห่วงใยส่งให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามค้ามนุษย์แห่งชาติ และสั่งการให้ในที่ประชุมรายงานขั้นต้นให้เสร็จภายในวันที่ 31 ธ.ค. 62 ส่วนในข้อกังวลประเด็นเรื่องการบังคับใช้กฎหมายการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของภาครัฐก็ดีกว่าที่คิดไว้

“เราตั้งใจจะทำให้สถานะประเทศไทยดีกว่านี้ และมีอีกหลายอย่างที่เราต้องปรับปรุง สำหรับผมนั้นพยายามฟังองค์กรภาคประชาชนและภาคเอกชน เสมือนกับเขาเป็นกระจกเงา อะไรที่เราคิดว่าควรต้องปรับปรุงแก้ไข เราก็จะจัดลำดับความสำคัญและจะรีบทำก่อน คาดหวังว่าจะถึงเทียร์ 1 เราจะไม่ฝันแต่ต้องทำงานให้หนัก” นายจุติ กล่าว

กรมควบคุมโรคเผยพบการเสียชีวิตจากจราจรทางถนนกทม.ต่ำลงกว่า 47%

People Unity News : กรมควบคุมโรค โดยสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมืองร่วมกับสถาบันนิติเวชศาสตร์ พัฒนาฐานข้อมูล “3 ฐาน พลัส นิติเวช”ถือเป็นครั้งแรกของประเทศ ที่พบข้อมูลการเสียชีวิตจากการจราจรทางถนนในเขตกรุงเทพมหานคร ที่รายงานต่ำกว่าความเป็นจริงมากถึงร้อยละ 47 ผลจากโครงการ นับเป็นตัวแบบของการจัดการ “ระบบข้อมูลการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุการจราจรในเขตเมืองใหญ่บนฐานข้อมูลนิติเวช”(Urban forensic based data quality) ที่ครบถ้วน ทันต่อเวลา ลดภาระงาน จัดการได้และยั่งยืน รวมทั้งสามารถนำไปใช้วิเคราะห์ทางระบาดวิทยา และใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการป้องกัน ควบคุมโรคในระดับชาติได้อีกด้วย

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 นายแพทย์ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ ว่า กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศ เป็นเขตเมืองใหญ่ ทุกๆวัน จะเกิดอุบัติเหตุและมีผู้เสียชีวิตหรือการบาดเจ็บจากการจราจรทางถนนประมาณ 10 รายต่อวัน และเป็นพื้นที่ที่มีโรงพยาบาลจำนวนมากและหลากหลายสังกัด ยังไม่มีหน่วยงานที่รวบรวมข้อมูลอย่างเป็นทางการและครอบคลุมทุกสังกัด ส่งผลให้ข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนนที่นำมาใช้อ้างอิงในขณะนี้ ยังต่ำกว่าข้อมูลที่องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ไว้

กรมควบคุมโรค โดยสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง(สปคม.) ร่วมกับมูลนิธิสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง และมูลนิธิบลูมเบิร์ก เพื่อสาธารณประโยชน์ (BIGRS) ได้ขับเคลื่อน การพัฒนาฐานข้อมูล กลไก รูปแบบการเก็บและระบบรายงานข้อมูลผู้เสียชีวิตจากการจราจรทางถนนในกรุงเทพมหานคร ซึ่งผลของแนวคิดและระบบการจัดการข้อมูลชุดใหม่นี้ (ข้อมูล 3 ฐาน พลัส : ข้อมูลบูรณาการร่วม ตำรวจ มรณบัตร บริษัทกลาง และกลุ่มสถาบันนิติเวชศาสตร์ 7 แห่ง) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 – 2561 ที่เรียกว่า 3 ฐาน พลัส พบว่า ผู้เสียชีวิตจากการจราจรทางถนนในพื้นที่กทม. จำนวน 4,678 ราย ซึ่งมีมากถึงร้อยละ 47 จากที่ ขาดหายไป หรือค้นพบเพิ่มเติมจำนวนมากถึง 2,202 ราย ที่มาจากสถาบันนิติเวชทั้ง 7 แห่ง ถือเป็นครั้งแรกของประเทศ ที่พบข้อมูลการเสียชีวิตจากการจราจรทางถนนในเขตกรุงเทพมหานคร ที่รายงานต่ำกว่าความเป็นจริงมากถึงร้อยละ 47 และได้มีการทวนสอบข้อมูลกับกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ในทะเบียนมรณะบัตร ส่วนใหญ่ไม่ได้ลงสาเหตุการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน

นพ.ปรีชา กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อค้นพบที่สำคัญจากโครงการนี้ นับเป็นตัวแบบของการจัดการ “ระบบข้อมูลการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุการจราจรในเขตเมืองใหญ่บนฐานข้อมูลนิติเวช “(Urban forensic based data quality)ที่ครบถ้วน ทันต่อเวลา ลดภาระงาน จัดการได้และยั่งยืน รวมทั้งสามารถนำไปใช้วิเคราะห์ทางระบาดวิทยา และนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการป้องกันควบคุมโรคในระดับชาติได้อีกด้วย

ทั้งนี้ได้สร้างเครื่องมือในการทำงานร่วมกัน ประกอบด้วย แบบฟอร์มการยืนยันการให้ข้อมูลกับหน่วยงานราชการ digital platformกลาง ระบบการเชื่อมโยงข้อมูล เชื่อมการวิเคราะห์และใช้ข้อมูล ก่อให้เกิดระบบเฝ้าระวัง 3 ฐาน พลัส ที่มีการเชื่อมใช้ข้อมูล การได้มาซึ่งข้อมูลและระบบการทำงานใหม่นี้ ต้องใช้ความพยายามร่วมของสปคม.และ7 สถาบันนิติเวชเป็นอย่างมาก ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการตลอดระยะเวลา 4 เดือน ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เกิดความเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสู่การนำข้อมูลไปใช้ในการวางแผน ประเมินนโยบาย ยุทธศาสตร์ มาตรการ แนวทาง การบังคับใช้กฎหมาย และการสร้างความร่วมมือในการบูรณาการ การดำเนินงานป้องกันการบาดเจ็บและ ลดอัตราการเสียชีวิตจากการจราจรทางถนนในพื้นที่เขตเมือง ต่อไป

“อนุทิน”เผยนานาชาติชื่นชมระบบ สธ.ไทย

People Unity News : “อนุทิน”รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ต้อนรับผอ.องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน เผยนานาชาติชื่นชมระบบ สธ.ไทย

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ให้การต้อนรับนายแอนโตนิโอ วิตอรีโน (Antonio Vitorino)ผอ.องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน และคณะ เนื่องในโอกาสมาเยือนประเทศไทย โดยใช้เวลาหารือประมาณ 20 นาที

นายอนุทิน กล่าวว่า ผอ.องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน ได้แสดงความชื่นชมประเทศไทย ซึ่งให้การดูแลแรงงานต่างชาติ และชาวต่างชาติที่มาทำงานในประเทศไทยเป็นอย่างดี โดยเฉพาะด้านการดูแลสุขภาพ และการรักษาพยาบาล ซึ่งทางยูนีเซฟ ก็เคยชื่นชมในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ ระบบบริการสุขภาพของไทย ไม่เป็น 2 รองใคร ต้องขอบคุณ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่ดูแลเรื่องการต่างประเทศ วันนี้ การสาธารณสุขของไทยมีชื่อเสียง และเป็นแบบอย่างให้หลายประเทศ

เมื่อถามถึงความคืบหน้าเรื่องการหาสารทดแทน 3 สารพิษที่ถูกแบน นายอนุทิน กล่าวว่า จะเป็นสารอะไรก็ได้ ขออย่ามีปัญหากับสุขภาพของประชาชน ใช้แล้วไม่เกิดโรค เกิดแผล เพราะถ้ามีผลกระทบแบบเดิมอีก ก็ต้องแบน กระทรวงสาธารณสุขมีแลบของกรมการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ คณะกรรมการอาหารและยา ดังนั้น อะไรที่เป็นอันตราย รับรองว่าตรวจพบแน่ และถ้าพบ ก็ต้องเจอดี

“พุทธิพงษ์”เตรียมนำระบบ 5G-AI หนุนส่งยาถึงบ้านประชาชน

People Unity News :  “พุทธิพงษ์”เตรียมนำระบบ 5G-AI หนุนงานสาธารณสุข ส่งยาถึงบ้านประชาชน

วันที่ 9 พ.ย.2562 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยก่อนบรรยายในงานประชุมเภสัชกรรมแห่งชาติ ครั้งที่10 ว่า ช่วงนี้เป็นยุคเปลี่ยนที่เรียกว่านวัตกรรมที่เปลี่ยนไปของเทคโนโลยี ซึ่งคนที่ทำงานในเครือข่ายสายงานเภสัชต้องมีความตื่นตัวในเรื่องที่จะรับรู้และนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับสายอาชีพ และต้องเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิตอล

“ทางกระทรวงจะนำเอาทั้ง 5 จี และระบบ AI ดิจิตอลต่างๆแพลตฟอร์ม บิ๊กดาต้า ของกระทรวงสาธารณสุขมาประสานงานและเดินหน้าไปด้วยกัน เช่น เรื่องการรับยาของหมอในกรณีที่ประชาชนต่างจังหวัดจะต้องรับยาอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องเดินทางมาที่โรงพยาบาลเพื่อรับยา ถ้ามีระบบที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันได้ โรงพยาบาล เภสัช คลีนิคต่างๆสามารถจ่ายยาให้กับประชาชนได้เลยโดยไม่ต้องเดินทางมาที่โรงพยาบาล ลดค่าใช้จ่าย ลดเวลา ซึ่งต้องบูรณาการร่วมกับคมนาคมและการสื่อสารที่ทันสมัยเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ห่างไกล ซึ่งประชาชนที่อยู่ห่างไกล”

 

4 วัน 7 มิ.ย.-10 มิ.ย. ไทยฉีดวัคซีนเพิ่ม 1.45 ล้านโดส รวมยอดฉีดสะสม 5.66 ล้านโดส

People Unity News : ฉีดวัคซีนวาระแห่งชาติ 4 วัน เพิ่ม 1.45 ล้านโดส เริ่มฉีดในนิคมอุตสาหกรรมระยองนำร่อง

10 มิ.ย.64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยถึงการดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด19 ว่า นับตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. ที่เป็นวันแรกของการกระจายการฉีดวัคซีนทั่วประเทศ โดยเริ่มกับประชาชนกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้มีโรคเสี่ยง 7 โรค ถือว่ามีความคืบหน้าไปมาก นับถึงวันที่ 10 มิ.ย. มีจำนวนฉีดวัคซีนสะสม  5.66 ล้านโดส ซึ่งภายในช่วงเวลา 4 วัน นับจากวันที่ 6 มิ.ย.  ที่มีจำนวน 4.21 ล้านโดส เพิ่มขึ้น 1.45 ล้านโดส  ซึ่งจากนี้ไปทางกระทรวงสาธารณสุขให้ความมั่นใจว่า จะได้รับวัคซีนจากผู้ผลิตมากขึ้นและสามารถทยอยกระจายไปยังสถานบริการสาธารณสุขและจุดบริการต่างๆ เพื่อดำเนินการฉีดให้ได้ตามแผน

นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ ได้เริ่มดำเนินการฉีดให้กับกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมด้วยแล้ว นำร่องพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกลุ่มมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ จังหวัดระยอง และชุมชนรอบข้างพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งมีผู้ลงทะเบียนฉีดวัคซีนจำนวนทั้งสิ้น  25,000 คน จาก 1)นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด 2)นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอตะวันออก (มาบตาพุด) 3)นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย 4) นิคมอุตสาหกรรมผาแดง 5)นิคมอุตสาหกรรมอาร์ ไอ แอล และ 6)ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เริ่มแล้วตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย. ตั้งเป้าวัคซีนให้ได้วันละประมาณ 1,000 คน

ในส่วนของนักเรียนนักศึกษาไทย ที่จะเดินทางไปศึกษาต่อในต่างประเทศ  นับตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค. ถึง 6 มิ.ย. ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนไปแล้ว จำนวนกว่า 1,600 คน และมีรอการฉีดอีก 2 พันกว่าคน ซึ่งเมื่อดำเนินการในกลุ่มนี้แล้วเสร็จ ทางกรมการกงสุลจะพิจารณาเปิดลงทะเบียนเพิ่มเติมอีกครั้ง

Advertising

ออมสินเปิดตัวเพจ “ออมสินห่วงใย” ศูนย์กลางความช่วยเหลือ COVID-19 แห่งใหม่บนโซเชียล

People Unity News : ธนาคารออมสิน จัดทำโครงการใหญ่ “ออมสินห่วงใย ส่งกำลังใจให้สังคม” บริจาคเงินกว่า 15 ล้านบาท สนับสนุนภารกิจสู้ภัย COVID-19 พร้อมประกาศเปิดตัวเพจ “ออมสินห่วงใย” สร้างศูนย์กลางความช่วยเหลือแห่งใหม่บนโลกโซเชียล ร่วมด้วยทีมไรเดอร์ออมสินห่วงใย อาสาจัดส่งยาและเวชภัณฑ์แก่ผู้ป่วยรักษาตัวที่บ้าน

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์ผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเกิดพื้นที่ระบาดใหม่เพิ่มขึ้นทุกวัน โดยที่ขณะนี้มีผู้ป่วยและผู้เดือดร้อนที่รอรับความช่วยเหลืออยู่อีกเป็นจำนวนมาก ธนาคารออมสินจึงริเริ่มจัดทำโครงการ “ออมสินห่วงใย ส่งกำลังใจให้สังคม” บริจาคเงิน 15 ล้านบาท มอบความช่วยเหลือสู้ภัย COVID-19 แก่หน่วยงานต่างๆ อาทิ การบริจาคเงินจัดตั้งศูนย์พักคอย กทม. รองรับผู้ป่วยสีเขียว การบริจาคเงินสนับสนุนภารกิจโรงพยาบาลสนาม ของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์  เฉลิมพระเกียรติ และการบริจาคเงินสนับสนุนภารกิจของโรงพยาบาลศรีธัญญา

นอกจากนี้ ธนาคารได้มอบทรัพย์สินที่รอการขาย (NPA) ให้ทางราชการนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดทำเป็นสถานที่กักตัวผู้สัมผัสเสี่ยงสูง (Local Quarantine) หรือศูนย์แยกกักตัวในชุมชน (Community Isolation) ของแต่ละพื้นที่ อาทิ ศูนย์การเรียนรู้วิทยาลัยออมสิน (ศูนย์การเรียนรู้ส่องแสง) ซึ่งเป็นอาคารเรียน บ้านพัก และหอประชุม บนพื้นที่กว่า 50 ไร่ ตั้งอยู่ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา รวมถึงอาคาร บ้านเรือน และรีสอร์ตอีกหลายแห่ง ในจังหวัดลำปาง ลพบุรี พิษณุโลก โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการส่งมอบพื้นที่แก่หน่วยงานที่รับผิดชอบการจัดตั้งศูนย์ฯ และเตรียมขยายผลดำเนินการในจังหวัดอื่นต่อไป

ด้านการช่วยเหลือระดับชุมชนและประชาชน ธนาคารได้เปิดตัว เฟสบุ๊กเพจ “ออมสินห่วงใย” อาสาเป็นศูนย์รวมความช่วยเหลือแห่งใหม่บนโลกโซเชียล ให้ผู้ป่วยหรือผู้เดือดร้อนเข้าถึงความช่วยเหลือได้เร็วขึ้นและง่ายขึ้น โดยเพจออมสินห่วงใยพร้อมให้ความช่วยเหลือ 3 ด้าน ได้แก่ (1) บริการ “ไรเดอร์ออมสินห่วงใย” จัดส่งยา เวชภัณฑ์ หรือสิ่งของยังชีพ ทั้งที่เป็นการส่งให้ผู้ที่ติดต่อเพจออมสินห่วงใยโดยตรง และช่วยภารกิจของหน่วยงานหรือกลุ่มจิตอาสาที่ขาดแคลนกำลังคนในการส่งของให้ผู้ป่วย (2) การบริจาคอาหารฟรี ทั้งอาหารปรุงสุกและอาหารแห้ง และ (3) การช่วยเหลือหน่วยงาน พันธมิตร และกลุ่มจิตอาสา ทำภารกิจช่วยเหลือผู้เดือดร้อนของแต่ละเครือข่าย เช่น สปสช. กลุ่มเส้นด้าย เพจอีจัน เพจเราต้องรอด We Care Network ตลอดจนสถานพยาบาลในพื้นที่ธนาคารออมสินภาคทั่วประเทศ ทั้งนี้ ประชาชนและหน่วยงานต่างๆ สามารถติดตามข้อมูล หรือแจ้งรายละเอียดความช่วยเหลือที่ต้องการได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยกดไลค์และติดตามเพจ “ออมสินห่วงใย” เพียงคลิก facebook/GSBfightCOVID หรือเข้า facebook พิมพ์ค้นหา “ออมสินห่วงใย” ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  https://www.gsb.or.th/news/gsbpr45/

Advertising

รัฐบาลยันเตียงผู้ป่วยโควิด19 เพียงพอ เผยใน กทม. มี 20,652 เตียง ยังว่างอยู่ 7,905 เตียง

People Unity News : รัฐบาลยืนยันเตียงผู้ป่วยโควิด19 เพียงพอ ขยายเพิ่ม 1 พัน รองรับผู้ป่วยมีอาการ คุมเข้มการระบาดแคมป์คนงาน

วันนี้ (22 พ.ค.64) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด19 รายใหม่ ที่พบว่ามีเพิ่มขึ้นมากในพื้น กทม.และปริมณฑล นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในที่ประชุม ศบค. วันนี้ (22 พ.ค.) ได้ติดตามความพร้อมของจำนวนเตียงผู้ป่วยกลุ่มสีแดง (อาการหนัก) และเหลือง (มีอาการ) เพื่อให้มั่นใจว่ามีเพียงพอต่อการรองรับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยมีอาการ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า จากข้อมูลระบบ Co-ward ณ วันที่ 20 พ.ค. มีจำนวนเตียงทั้งหมดในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และ Hospitel ในพื้นที่ กทม. จำนวน 20,652 เตียง ผู้ป่วยครองเตียง  61% ยังว่างอยู่ 7,905 เตียง ในพื้นที่เขตสุขภาพ 1-12 จำนวน 40,648 เตียง ผู้ป่วยครองเตียง 39% ว่างอยู่ 24,786 เตียง และหากแบ่งตามอาการความรุนแรง จากข้อมูลทั่วประเทศ มีผู้ป่วยครองเตียง ระดับสีแดง 69% ระดับสีเหลือง 54% และระดับสีเขียว 44%

ส่วนพื้นที่ กทม.และปริมณฑลซึ่งมีผู้ติดเชื้อโควิด19 เกินกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดทั่วประเทศ ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้มีแผนขยายจำนวนเตียงโรงพยาบาลบุษราคัมอีก 1 พันเตียง เพื่อรองรับผู้ป่วยมีอาการที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ในภาพรวมมีการบริหารจัดการที่ดี มีบุคลากรทางการแพทย์สลับเข้ามาดูแล  ใช้กล้องซีซีทีวีเพื่อติดตามดูแลผู้ป่วยด้วย และกระทรวงฯยังได้ประสานโรงพยาบาลเอกชนเพื่อเพิ่มจำนวนเตียงรองรับผู้ป่วยอาการหนักด้วย ซึ่งแนวทางการจัดการเตียงในทุกโรงพยาบาล หากผู้ป่วยอาการหนักมีอาการดีขึ้น ก็จะได้รับการส่งต่อไปรับการดูแลโรงพยาบาลกลุ่มสีเหลืองที่ดูแลผู้ป่วยอาการไม่มากต่อไป

สำหรับผู้ติดเชื้อโควิด19 ที่พบในกลุ่มแรงงานต่างด้าวเป็นคลัสเตอร์ กระจายอยู่ในแคมป์ก่อสร้างในหลายเขตของ กทม.นั้น คณะกรรมการโรคติดต่อ กทม. เห็นชอบแนวทางการควบคุมพื้นที่แคมป์คนงานก่อสร้าง เขตหลักสี่ โดย 1)ไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงาน 2)จัดการดูแลสุขอนามัยของผู้ที่อยู่ในแคมป์ 3)ส่งมอบอาหาร 4)จัดทีมแพทย์ดูแลรักษาเบื้องต้นแก่ผู้ติดเชื้อที่อยู่ภายใน และ 5)หากพบผู้มีอาการป่วยจะนำส่งโรงพยาบาลต่อไป ส่วนการดูแลแคมป์คนงานก่อสร้างอื่นๆ จะแบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ 1) แคมป์คนงานก่อสร้างที่อยู่ในพื้นที่เดียวกับสถานที่ก่อสร้าง หากพบผู้ติดเชื้อให้ดำเนินการควบคุมพื้นที่เช่นเดียวกับแคมป์คนงานเขตหลักสี่ โดยผู้ที่อยู่ภายในยังสามารถทำงานได้ตามปกติ และ 2) แคมป์คนงานก่อสร้างที่ไม่ได้อยู่พื้นที่เดียวกับสถานที่ก่อสร้าง ให้กักตัวผู้ที่ติดเชื้อในพื้นที่แคมป์ซึ่งเจ้าของต้องจัดให้เหมาะสม ภายใต้การดูแลของสำนักงานเขตและสำนักอนามัย และผู้ที่ไม่ติดเชื้อที่ต้องเดินทางไปทำงานจะต้องแจ้งเส้นทางการเดินทางต่อเขตต้นทางและปลายทาง โดยจะต้องไม่จอดหรือหยุดพักระหว่างทาง และปฏิบัติตามมาตรการอื่นๆที่กำหนดอย่างเคร่งครัด พร้อมกันนี้ สำนักอนามัยจะจัดทีมลงพื้นที่เสี่ยงเพื่อตรวจค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 30 ก.ย. หมุนเวียน 6 กลุ่มเขต เพื่อลดการเดินทางของประชาชนให้ได้มากที่สุดด้วย

“นายกรัฐมนตรีห่วงใยและติดตามการดำเนินการในพื้นที่ กทม.และจังหวัดโดยรอบอย่างใกล้ชิด ยืนยันดูแลทุกชีวิตให้ดีที่สุด ไม่อยากให้เกิดความสูญเสีย มั่นใจแนวทางที่สาธารณสุข กทม.และหน่วยงานต่างๆที่ร่วมกันดำเนินการอยู่นี้ครอบคลุมการเร่งค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก การดำเนินการฉีดวัคซีน จะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้”  นางสาวรัชดากล่าว

Advertising

Verified by ExactMetrics