วันที่ 2 พฤษภาคม 2024

นายกฯ ชม “ผู้ว่า กทม.” ทำงานดีแต่ต้องพีอาร์มากขึ้น

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 กุมภาพันธ์ 2567 ศาลาว่าการ กทม. – นายกฯ เยือนศาลาว่าการ กทม. นั่งหัวโต๊ะประชุมพัฒนา กทม. ชม “ชัชชาติ” ทำงานดี แต่ต้องประชาสัมพันธ์เพิ่ม นอกจากสร้างความเข้าใจ ปชช.แล้ว ยังจูงใจ นทท.ด้วย

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมติดตามความก้าวหน้าในการเร่งรัดการพัฒนากรุงเทพมหานคร ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ร่วมกับนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. โดยนายกรัฐมนตรีรับฟังการบรรยายสรุปการประชุมติดตามการเร่งพัฒนากรุงเทพมหานคร จาก นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

ผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า ขณะนี้ได้เร่งให้เป็นไปตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล เช่น การขับเคลื่อนพัฒนากรุงเทพฯ การจัดการสาธารณูปโภคพื้นฐานและการจัดการด้านสังคม กับเรื่องเศรษฐกิจ ได้แก่  การแก้ปัญหาการจราจร โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย  การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่ยังไม่ครอบคลุม ซึ่งด้านจราจร ถือว่าเป็นปัญหาที่มีมาอย่างยาวนาน เบื้องต้นจะกวดขันวินัยจราจร ติดตั้งกล้อง CCTV การปรับปรุงจุดที่เป็นคอขวดและงานก่อสร้าง ซึ่งมีหลายจุดในกรุงเทพฯ

นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณที่นำเสนอข้อมูลอย่างชัดเจน กรุงเทพฯ ถือเป็นแหล่งความเจริญสำคัญ แต่ยอมรับว่าการดำเนินการทุกอย่างขณะนี้ ยังขาดการสนับสนุนจากหลายหน่วยงาน จึงอาจจะยังไม่รวดเร็วทันใจ แต่หลายคนมีฝีมือและทำงานได้ดีในการเร่งพัฒนาหลายด้าน ต่อจากนี้อยากเห็นในหลาย ๆ หน่วยงานมาร่วมกันผลักดัน ซึ่งหากมีอะไรติดขัดนั้นสามารถให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีรับทราบและเร่งประสานกันสนับสนุนต่อไปได้

“สำหรับปัญหาการจราจร ยอมรับว่าประสบปัญหามานาน ที่ผ่านมาการทำงานของกรุงเทพฯ ถือว่าดี แต่ภาพรวมนั้นยังขาดการสื่อสาร หลายประเทศที่ผมเดินทางไป การจราจรอาจจะมีปัญหามากกว่าประเทศไทยด้วยซ้ำ สิ่งที่กรุงเทพฯ ต้องเร่งประชาสัมพันธ์การทำงานอย่างต่อเนื่องให้ประชาชนรับทราบมากกว่าเดิม เพราะถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย รวมถึงกรุงเทพฯ มากขึ้นด้วยหากประชาสัมพันธ์ที่ดี” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ด้านการเดินทางท่องเที่ยวที่กำลังเป็นปัญหาคือขนส่งมวลชน แท็กซี่โกงมิเตอร์ ในส่วนนี้ตนเข้าใจดีกว่าหากแท็กซี่รับผู้โดยสาร กดมิเตอร์เลย แล้วไปเจอรถติดเขาก็ไม่ได้เงิน ตรงนี้ก็ต้องเห็นใจทุกฝ่าย พร้อมฝากไปยังกระทรวงคมนาคมในการใช้เทคโนโนยีที่ทันสมัย เข้ามาแก้ไขปัญหาและพัฒนาให้ระบบทัดเทียมต่างประเทศ ส่วนเรื่องของแท็กซี่ผี ตุ๊กตุ๊กผี ขอฝาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ดูแล เพราะอยากให้การเดินทางของนักท่องเที่ยวเกิดความประทับใจมากที่สุด

“ด้านการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 มั่นใจรัฐบาลบริหารจัดการฝุ่นได้ดี  แต่ปัญหาหลักตอนนี้คือด้านเศรษฐกิจ ที่การแก้ไขปัญหาของประชาชนต้องใช้เงิน  ทำให้ในด้านการเกษตรที่ต้องใช้งบประมาณเพิ่มในการกำจัดวัชพืชโดยไม่เผา ซึ่งได้ขอบคุณทางกรุงเทพมหานครที่แจกเครื่องอัดฟางให้กับเกษตรกรในเขตหนองจอก ทำให้ลดปริมาณการเผาลงได้มาก รวมทั้งปัญหาของเพื่อนบ้าน ซึ่งข้อจำกัดการจัดการหลายอย่าง แต่รัฐบาลได้ต่อสายตรงหลายประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรับฟังและแก้ไขปัญหาไปพร้อมกัน ขณะนี้ปัญหาฝุ่นลดลงมาก หากผลักดันได้ให้ใช้ขนส่งมวลชน รถยนต์ส่วนบุคคลแบบไฟฟ้าคงจะดีมากขึ้น รัฐบาลจริงจังจริงใจแก้ปัญหา” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ผู้สื่อข่าวได้เปรียบเทียบการแก้ไขปัญหาจราจรสมัยนายทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรีและนายชัชชาติ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมว่ามีประสิทธิภาพปัญหาลดลงมากกว่าตอนนี้  นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่ากลับไปเหมือนเดิมหรือไม่ แต่เชื่อว่าการแก้ไขปัญหาสามารถทำได้ดีกว่านี้ ตอนนี้ยังแก้ไขปัญหาและบริหารงานอย่างจริงจัง ทั้งเรื่องการเดินทางขนส่งมวลชน การลดราคาค่าโดยสาร

ด้านนายชัชชาติ กล่าวเสริมว่า การแก้ไขปัญหา ไม่ใช่การสร้างถนน แต่เป็นการสร้างขนส่งมวลชนที่ดี ซึ่งขณะนี้กรุงเทพมหานครกำลังดำเนินการอยู่เช่นกัน

ส่วนแนวคิดที่กรุงเทพมหานครพิจารณาย้ายท่าเรือคลองเตย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ต้องตรวจสอบให้รอบด้าน ต้องดูการสร้างท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง เฟส 1-2 หากเสร็จสมบูรณ์ก็ต้องดำเนินการควบคู่กันไป แต่ต้องไม่กระทบการขนส่ง ซึ่งนายชัชชาติ กล่าวต่อว่า เรื่องท่าเรือคลองเตยอยู่ในวาระฝุ่นแห่งชาติ ปี 2562 แล้ว จะบอกว่าต้องกลับมาทบทวนว่าแนวทางดังกล่าวจะเหมาะสมหรือไม่ แต่ตัวอย่างจากหลายประเทศก็ไม่มีท่าเรือขนาดใหญ่ในเมืองหลวง

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า การทำงานระหว่างรัฐบาลกับกรุงเทพมหานครไม่มีปัญหา ที่ผ่านมาเห็นชัดกันอยู่แล้วว่าสามารถโทรติดต่อเพื่อขอประสานงาน ยกหูสายตรงได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ หลังการประชุม นายกรัฐมนตรีได้ร่วมกับส่วนราชการกรุงเทพมหานคร ปล่อยขบวนเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพัฒนากรุงเทพมหานคร ที่บริเวณลานคนเมือง

Advertisement

มวยไทยซอฟต์พาวเวอร์ที่คนไทยภูมิใจ

People Unity News : 4 กรกฎาคม 2566 วอชิงตัน ดี.ซี. – “บัวขาว” ซอฟต์เพาเวอร์มวยไทย ร่วมงานสวัสดี ดี.ซี. ไทยเฟสติวัล ที่สหรัฐ ย้ำเพราะมวยไทยทำให้คนรู้จัก ต่างชาติสนใจเรียนมวย เป็นความภูมิใจของคนไทย

“บัวขาว บัญชาเมฆ” นักมวยขวัญใจชาวไทยและแฟนมวยไทยทั่วโลก ร่วมงานสวัสดี ดี.ซี. ไทยเฟสติวัล บริเวณลานหน้าอาคารรัฐสภาสหรัฐ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. วันนี้ (3 ก.ค.) ตามเวลาสหรัฐอเมริกา ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 11 ชั่วโมง เปิดเผยว่า รู้สึกดีใจที่มาร่วมงาน ทั้งนี้ เตรียมศิลปะแม่ไม้มวยไทยมาโชว์ในงานนี้ เช่น การไหว้ครู โชว์เตะเป้า และเชิญแฟนคลับร่วมซ้อม ทั้งนี้ เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ทุกหน่วยงานร่วมผลักดันมวยไทยศิลปะประจำชาติเป็น soft power ให้กระจายโด่งดังไปทั่วโลก และต่อยอดไปยังธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้

“ความจริงแล้วศิลปะแม่ไม้มวยไทยกระจายโด่งดังไปทั่วโลก ไปไหนก็มีค่ายมวยไทย มีชาวต่างชาติไปเรียนมวย พอขึ้นชื่อว่ามวยไทยเราก็มีความภาคภูมิใจ จะไปไหนก็มีแต่คนรู้จักมวยไทยไหม ยืดอกได้ เป็นความภาคภูมิใจของคนคนนั้นเลย” บัวขาว กล่าว

บัวขาว ยกตัวอย่างผลที่เกิดจาก soft powers แบบง่ายๆ ว่า ตัวของบัวขาวเองไม่มีคนรู้จัก แต่เพราะมวยไทยยกระดับทำให้มีชื่อเสียง หรือคนหันมาใส่กางเกงมวยในชีวิตประจำวันมากขึ้น พร้อมฝากถึงผู้ที่อยากเรียนมวยไทยว่าไม่จำกัดอายุ ขอเพียงกายพร้อมใจพร้อมเท่านั้น

“จริงๆ เขาไม่รู้จักตน แต่เพราะมวยไทย และการเป็นบัวขาวคือมวยไทย ศิลปะการต่อสู้ ยกระดับให้ตนมีชื่อเสียง คุณรู้จักตน” บัวขาว กล่าว

ด้านนายธนัท ยิ่งวิทยาคุณ เจ้าของค่ายมวยที่มาร่วมกิจกรรม กล่าวถึงความนิยมมวยไทยส่งผลให้คนหันมาสนใจเรียนมวยไทยจากทั่วโลก เพื่อซ้อมไว้ต่อสู้ ออกกำลังกาย และลดความอ้วน โดยเฉพาะคนทำงานไปจนถึงเด็ก

“แต่วัยทำงานเยอะมาก หลังเลิกงาน เขาจะเอาใจใส่สุขภาพ เพื่อออกกำลังกายด้วยมวยไทย เป็นแนวทางที่ดีที่จะผลักดันมวยไทยเป็น soft power จะทำให้คนจะมีงานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะนักมวยเก่าๆ และส่งเสริมศิลปะแม่ไม้มวยไทย” นายธนัท กล่าว

Advertisement

ชำระหนี้ กยศ.ใช้สิทธิลดหย่อน 2 เดือนสุดท้าย

People Unity News : 26 เมษายน 2566 รัฐบาลเชิญชวนผู้อยู่ระหว่างชำระคืนหนี้ กยศ. ใช้สิทธิตามมาตรการลดหย่อน 2 เดือนสุดท้าย ลดดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 0.01 ลดเงินต้น เบี้ยปรับสำหรับผู้ปิดบัญชีถึง 30 มิ.ย.นี้

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)  ได้มีมาตรการลดหย่อนหนี้ เพื่อช่วยเหลือผู้กู้ยืมที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมาตรการดังกล่าวจะสิ้นในวันที่ 30 มิ.ย.ที่จะถึงนี้แล้ว จึงขอเชิญชวนผู้กู้ยืมกองทุน กยศ. ที่อยู่ระหว่างการชำระหนี้ ใช้สิทธิเพื่อรับประโยชน์จากมาตรการตามกรอบเวลาดังกล่าว

ทั้งนี้ มาตรการลดหย่อนการชำระหนี้ กยศ. ประกอบด้วย การลดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจากเดิมร้อยละ 1 ต่อปี เหลือร้อยละ 0.01 ต่อปี สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืนกองทุนและไม่เคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้, ลดเงินต้นร้อยละ 5 สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ไม่เคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้และต้องการปิดบัญชีในคราวเดียว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พร้อมกันนี้ มีการลดเบี้ยปรับร้อยละ 100 สำหรับผู้กู้ยืมเงินทุกกลุ่มที่ชำระหนี้ปิดบัญชี โดยแยกเป็น ผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดี สามารถชำระได้ที่ธนาคารกรุงไทยและธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยทุกสาขา ส่วนผู้กู้ยืมเงินที่ถูกดำเนินคดีแล้ว ต้องลงทะเบียนขอรับสิทธิและนัดหมายวันที่ประสงค์จะชำระหนี้ปิดบัญชีได้ที่ https://www.studentloan.or.th/promotion เนื่องจากมีขั้นตอนที่ผู้กู้ยืมต้องชำระค่าทนายความและค่าฤชาธรรมเนียมศาลให้เสร็จสิ้นก่อนปิดบัญชี และลดเบี้ยปรับร้อยละ 80 สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีที่ชำระหนี้ค้างทั้งหมดให้มีสถานะปกติ

“กยศ.ได้ออกมาตรการลดหย่อนเพื่อช่วยเหลือผู้กู้ยืมมาตลอดช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งในวันที่ 30 มิ.ย. 66 มาตรการต่างๆจะสิ้นสุดลง เหลือเวลาตามมาตรการอีกประมาณ 2 เดือน จึงขอเชิญชวนผู้กู้ กยศ. เลือกชำระหนี้เพื่อรับสิทธิตามมาตรการทั้งได้ลดดอกเบี้ย เงินต้น หรือเบี้ยปรับเมื่อดำเนินการตามเงื่อนไข” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

Advertisement

เพิ่มจำนวนคลินิกกายภาพบำบัด เป็นเครือข่ายหน่วยบริการหลักประกันสุขภาพ

People Unity News : 11 มิถุนายน 2566 เชิญชวนคลินิกกายภาพบำบัดทั่วประเทศเข้าร่วมเป็นเครือข่ายหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพ รับผู้ป่วยบัตรทอง 4 กลุ่มโรคเข้าฟื้นฟูสมรรถภาพ เพิ่มความสะดวกและโอกาสการเข้าถึงลดความแออัดในโรงพยาบาล

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) อยู่ระหว่างการดำเนินแนวทางต่างๆ เพื่อสนับสนุนการลดความแออัดของผู้ใช้บริการในโรงพยาบาล ซึ่งรวมถึงการขยายเครือข่ายคลินิกกายภาพบำบัดที่เข้าร่วมเป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) เพื่อรับผู้ป่วยสิทธิบัตรทองใน 4 กลุ่มโรค เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการกายภาพ ณ คลินิกใกล้บ้าน ไม่ต้องรอคิวนาน และลดความแออัดในโรงพยาบาล

ทั้งนี้ สปสช. ได้เริ่มอำนวยความสะดวกในการเข้ารับบริการฟื้นฟูสมรรถภาพฯ แก่ผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง 4 กลุ่มโรค ได้แก่ 1.ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) 2.ผู้ป่วยสมองได้รับบาดเจ็บ (Traumatic brain injury) 3.ผู้ป่วยไขสันหลังได้รับบาดเจ็บที่ได้รับการรักษาจนเข้าสู่ภาวะคงที่ และ 4.ผู้ป่วยภาวะกระดูกสะโพกหักจากภยันตรายชนิดไม่รุนแรง (Fragility fracture hip ) มาตั้งแต่ปี 64 โดยระยะแรกมีคลินิกที่เข้าร่วมเป็นหน่วยบริการนำร่อง 24 แห่ง และปัจจุบันมีคลินิกในเครือข่ายรับส่งต่อจากโรงพยาบาล 58 แห่ง

“ขณะนี้ สปสช. อยู่ระหว่างการขยายเครือข่ายคลินิกกายภาพบำบัดที่เข้ามาร่วมหน่วยบริการในระบบบัตรทอง โดยได้เชิญชวนคลินิกกายภาพฯ ที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 800 แห่งทั่วประเทศสมัครเข้าร่วมที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 1-13  และให้โรงพยาบาลในระบบ สปสช. ประสานคลินิกกายภาพฯ ในพื้นที่มาเข้าร่วมเป็นเครือข่ายของโรงพยาบาลด้วย” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การสนับสนุนให้ผู้ป่วย 4 กลุ่มโรคเข้าถึงการฟื้นฟูสมรรถภาพฯ มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงระยะ 3-6 เดือน หลังจากอาการของผู้ป่วยพ้นระยะวิกฤต หรือแพทย์ประเมินให้พ้นการเป็นผู้ป่วยใน ที่เป็นช่วงเวลาทองของการบำบัดรักษา (golden period) เนื่องจากเป็นระยะสมองและระบบประสาทต่างๆ ของร่างกายมีความพร้อมที่จะรับการฟื้นฟูสภาพ หากได้รับการบำบัดที่ถูกต้องและต่อเนื่อง ก็จะมีโอกาสทำให้ผู้ป่วยกลับสู่ภาวะปกติ และสามารถลดความพิการได้

สำหรับรูปแบบการให้บริการของคลินิกกายภาพบำบัดแก่ผู้มีสิทธิบัตรทองนั้น จะมีโรงพยาบาลทำหน้าที่เป็นแม่ข่ายประสานส่งต่อผู้ป่วยที่อาการพ้นระยะวิกฤตหรือที่แพทย์ประเมินจำหน่ายจากผู้ป่วยใน ให้มารับทำการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายต่อเนื่องที่คลินิกกายภาพบำบัด โดยมีหลักเกณฑ์การบริการกายภาพบำบัดแบบเข้มข้นร่วมกับหน่วยบริการไม่เกิน 20 ครั้ง ในช่วง golden period

Advertisement

นายกฯ สั่งเดินหน้าแก้ฝุ่น PM 2.5 ยกเชียงใหม่โมเดลเป็นต้นแบบ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 กุมภาพันธ์ 2567 นายกฯ สั่งการ ครม. เดินหน้าแก้ฝุ่น PM 2.5 ยกเชียงใหม่โมเดล หลังบูรณาการร่วมตรงจุดทำฝุ่นลดลงในรอบ 10 ปี พร้อมวางมาตรการตัดสิทธิช่วยเหลือเกษตรทุกรูปแบบ หากฝ่าฝืนเผาตอซัง พบเจ้าหน้าที่ละเลยถูกลงโทษตามระเบียบ

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการในที่ประชุม ครม. เรื่องการแก้ไขปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 โดยย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอันดับต้นๆ อย่างจริงจัง โดยมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีการยกร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาด โดยได้ส่งร่างไปยังสภาฯ แล้ว ซึ่งการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ของนายกฯ ถือเป็นจังหวัดต้นแบบ ซึ่งได้มีการประเมินสถานการณ์ในเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียง ขณะนี้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ลดลง โดยเฉพาะเดือนมกราคม เมื่อเทียบย้อนหลังไปถึง 10 ปี โดยเดือนมกราคมปีนี้ คนเชียงใหม่บอกว่าปัญหาฝุ่นดีขึ้นที่สุด ปริมาณฝุ่นต่ำลงมาก แต่พื้นที่ กทม.-ปริมณฑล ยังไม่ลดลง นายกฯ จึงเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเน้นการทำงานเชิงรุก ใช้กลไกและกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันให้ทุกหน่วยงานนำไปปรับใช้ เพื่อกำหนดมาตรการให้มีความเข้มข้นและเป็นรูปธรรม โดยมีแนวทางดังต่อไปนี้คือ

1.ตัดความช่วยเหลือใดๆ จากภาครัฐ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รณรงค์ให้เกษตรกรที่เผาเปลี่ยนไปใช้วิธีการฝังกลบ หากเกษตรกรรายใดติดปัญหาเรื่องเครื่องมือในการฝังกลบ ภาครัฐยินดีส่งเสริม แต่ถ้ายังฝืนเผาอยู่ จะถูกตัดสิทธิในการรับความช่วยเหลือจากภาครัฐทุกรูปแบบ

2.กรณีสินค้าเกษตรที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้าน ให้กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ นำเข้ากำหนดมาตรการลดหรือห้ามนำเข้าสินค้าทางการเกษตรที่พิสูจน์ได้ว่ามีกระบวนการผลิตเกี่ยวข้องกับการเผา เช่น การนำเข้าข้าวโพด ซึ่งแหล่งนำเข้าข้าวโพดมีการเผาตอซังข้าวโพด หากมีการพิสูจน์ได้ให้ทั้ง 2 กระทรวงระงับการอนุญาตนำเข้า

3.กำหนดให้มีการจับกุม และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ออกประกาศเขตห้ามเผา ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย หากผู้ใดฝ่าฝืนให้มีการลงโทษตามกฏหมายอย่างเด็ดขาด

4.การลงโทษปรับ กรณีการเผาที่เป็นเหตุให้รำคาญ มีกฎหมายที่ว่าด้วยพระราชบัญญัติสาธารณสุข หากมีการลักลอบนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวกับการเผาในประเทศเพื่อนบ้าน ที่เกี่ยวข้องจับกุมและลงโทษตามกฎหมาย ทั้งนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดูแลพื้นที่ให้เข้มงวด ไม่ให้เกิดการเผาและลักลอบนำเข้า ถ้ายังเผา และปล่อยให้มีการลักลอบนำเข้าสินค้าที่เกิดจากการเผาจากประเทศต้นทาง ผู้ว่าราชการจังหวัดและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง จะต้องมีส่วนรับผิดชอบ และอาจถูกพิจารณาโทษตามกฎหมายตามระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป

5.แนวทางการสนับสนุนเชิงรุก ให้กรมประชาสัมพันธ์ และ อสมท ประชาสัมพันธ์เชิงรุก ให้ประชาชนทราบว่ารัฐบาลเอาจริงเอาจังกับปัญหานี้ หากมีเจ้าหน้าที่คนไหนหย่อนยานจะถูกลงโทษ นอกจากนี้ยังขอให้กระทรวงเกษตรฯ ให้ความรู้กับเกษตรกร เรื่องการไถกลบและผลเสียของการเผา พร้อมขอให้กระทรวงอุตสาหกรรม ประสานความร่วมมือกับผู้ประกอบการ กำหนดมาตรการสนับสนุน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า นายกฯ ขอให้นำข้อสั่งการดังกล่าวไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยขอให้คณะกรรมการจัดการปัญหามลภาวะทางอากาศเพื่อความยั่งยืน ซึ่งมี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน ให้นำแนวทางดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และทำให้เป็นมาตรการที่ชัดเจน เพื่อสนองตอบต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วน

Advertisement

Verified by ExactMetrics