People Unity News : สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ลงนามใน “บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การพัฒนาการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)” พัฒนาระบบบัตรทอง

วันที่ 31 ตุลาคม 2556 ที่โรงแรมเซนทรา บาย เซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุนภาพแห่งชาติ (สปสช.) ลงนามใน “บันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมเป็นพยานในพิธี เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) สนับสนุนการให้บริการด้านสุขภาพ มี ดร.ปิยนุช วุฒิสอน เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนพ. ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นผู้ลงนาม

นายอนุทิน กล่าวว่า พิธีลงนามในวันนี้นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของความร่วมมือกันในการพัฒนาการใช้ประโยชน์ข้อมูลด้านสุขภาพระดับประเทศโดยใช้เทคโนโลยี Big Data ซึ่งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นหน่วยงานที่มีข้อมูลปริมาณมากและซับซ้อน การนำเทคโนโลยี Big data เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการและการวิเคราะห์ข้อมูลให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนและทันเวลา ทั้งนี้ขอฝากถึงผู้บริหารที่เกี่ยวข้องร่วมกันกำกับดูแลติดตามความก้าวหน้าเนื้อหาสาระที่บรรจุในระบบให้เสร็จสิ้นตามกำหนดและตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า ขณะนี้โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกระดับทั้งสถาบันเชี่ยวชาญโรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไปโรงพยาบาลชุมชนได้พัฒนาเป็น Smart Hospital โดยนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารและอำนวยความสะดวกในการจัดบริการประชาชน เช่น การจองคิวออนไลน์ระบบนัดหมาย แจ้งเตือนการฉีดวัคซีน ค้นหาเวชระเบียนออนไลน์ด้วยบัตรประชาชน การบันทึกข้อมูลผู้ป่วยใช้ข้อมูลเดียวกันทั้งโรงพยาบาลและคลินิกหมอครอบครัว รวมทั้งระบบการรักษาทางไกล (Tele Medicine)

“ระบบสาธารณสุขไทยอยู่ในลำดับ 6 ของโรค พัฒนาอย่างต่อเนื่อง สปสช.มีอายุเกือบ 20 ปี จากการรักษาโรคทั่วไป ปัจจุบัน รักษากระทั่งโรคหายาก เท่ากับดูแลผู้ป่วยทุกโรค คนไทยมีจำนวนมาก ทุกคนล้วนต้องการบริการด้านสุขภาพที่สะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เป็นความจำเป็น ต้องขอบคุณกระทรวงดิจิตัลที่เข้ามาช่วยเหลือ ในอนาคตข้อมูลด้านสุขภาพ ต้องเชื่อมต่อกันทุกสถานพยาบาล การให้บริการจะเร็วขึ้น เมื่อผู้ป่วยไปหาหมอ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม แพทย์จะรู้ว่าประชาชนแต่ละคนมีอาการอย่างไร รับยาอะไรอยู่ แพ้ยาอะไรบ้าง การเชื่อมโยงข้อมูลจะไม่หยุดที่เรื่องสุขภาพ แต่จะเริ่มต้นใช้กับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาด้วย”

ด้านนายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในวันนี้จะเป็นการผลักดันนโยบายการพัฒนาการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ Big Data นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลอย่างยั่งยืน เพราะปัจจุบันประเทศไทยมีความตื่นตัวเรื่อง Big Data อย่างกว้างขวางองค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเริ่มปรับตัวและเตรียมพร้อมเข้าสู่ยุคของการวิเคราะห์และใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อประกอบการตัดสินใจ