วันที่ 19 พฤษภาคม 2024

“สุริยะ” มั่นใจ 100% แก้ปัญหาถนนพระราม 2 ได้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 3 มีนาคม 2567 “สุริยะ” มั่นใจ 100% แก้ปัญหาก่อสร้างถนนพระราม 2 เหมือนที่เคยทำมาแล้ว เชื่อผู้รับเหมากลัวถูกยกเลิกสัญญา

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงปัญหาการก่อสร้างถนนพระราม 2 ที่ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นโครงการเจ็ดชั่วโคตร ว่า ตนจำได้ว่าเมื่อปี 2546 ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น สะพานก่อสร้างข้ามบางขุนเทียนยาวนานและยังไม่แล้วเสร็จ ตนได้ลงไปสั่งการยกเลิกผู้รับเหมา และหาผู้รับเหมารายอื่นมาทำแทน ก็แล้วเสร็จตามเวลา

“ตอนนั้นพูดว่า ที่สุดของถนนเจ็ดชั่วโคตร คือทางแยกต่างระดับบางขุนเทียนตัดกับถนนกาญจนาภิเษก ช่วงบางบัวทอง บางขุนเทียน ผู้รับเหมาขาดสภาพคล่องต่อไม่ได้ ต้องทิ้งงานไปเฉยๆ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในขณะนั้น ทนไม่ได้ต้องลงมาจี้เรื่องการก่อสร้างต่อให้เสร็จ สุดท้ายทางแยกต่างระดับบางขุนเทียน จึงเสร็จสมบูรณ์เมื่อเดือนธันวาคม 2546 เมื่อ 20 ปีก่อน ผมก็ไม่คาดว่าปัญหาผ่านมา 20 ปี ต้องให้ผมมาแก้ปัญหาอีกครั้ง พรุ่งนี้จะเชิญผู้รับเหมามาคุยว่ามีปัญหาอะไรบ้าง แล้วก็คงต้องมีกำหนดการ ที่ขณะนี้จากสถานการณ์โควิด ผู้รับเหมาเองได้รับการต่อสัญญาไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2568 ถ้าถึงตรงนั้นไม่ได้ ก็จะมีการยกเลิกสัญญาที่ทำมา และหาผู้รับเหมาใหม่ ผมคิดว่า สิ่งที่ผู้รับเหมากลัวที่สุดคือเรื่องการยกเลิกสัญญา เพราะเป็นเรื่องอนาคตในการรับเหมากับทางกรมทางหลวงก็จะเป็นไปด้วยความยากลำบาก” นายสุริยะ กล่าว

ส่วนเงื่อนไขและข้อกำหนดที่จะนำไปสู่การยกเลิกสัญญากับผู้รับเหมามีอะไรบ้าง นายสุริยะ กล่าวว่า ต้องยึดกำหนดการที่ต้องแล้วเสร็จเป็นหลัก ตนคิดว่าในเวลาที่เหลืออยู่ 1 ปีครึ่ง ต้องใช้ความพยายาม และทางกระทรวงคมนาคมก็จะตั้งคนเข้าไปดูความคืบหน้าของแต่ละเดือนและมารายงานให้ตนทราบ มั่นใจว่า เดือนมิถุนายน 2568 จะแล้วเสร็จ ขณะนี้ยังอยู่ในสัญญา และเมื่อยังไม่ถึงกำหนดเวลา เราก็คงทำอะไรไม่ได้ แต่จะเตือนว่ามีคนคอยไปกำกับดูแลทุกเดือนและแจ้งว่ามีความล่าช้า จะต้องเพิ่มคนงานหรือเครื่องจักร เพื่อให้มีผลงานที่แล้วเสร็จแต่ละเดือน

เมื่อถามย้ำว่า จะให้ความมั่นใจประชาชนได้หรือไม่ ว่าปัญหาที่เคยแก้ในสมัยอดีต รอบนี้จะทำให้เรียบร้อย นายสุริยะ กล่าวว่า “ก็คงมั่นใจ 100% ว่าทำให้ได้”

Advertisement

ฝ่ายค้านพลิกให้โอกาส”บิ๊กตู่”! ดันงบฯปี63ผ่านช่วยชาวบ้าน

People Unity : รัฐไม่ได้เอื้อเจ้าสัว! “บิ๊กตู่” แจงงบฯปี 63 ย้ำรูปแบบลงทุน เอกชนต้องรับความเสี่ยงมากกว่ารัฐ ฝ่ายค้านให้โอกาสรัฐบาลดันให้ผ่านไปก่อนเพื่อช่วยชาวบ้าน

วันที่ 19 ต.ค.2562 ที่รัฐสภา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลุกขึ้นชี้แจงการตั้งข้อสังเกตของสมาชิกพรรคฝ่านค้านหลายคำถามรวมถึงโครงการอีอีซีในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ว่า มีการบอกว่าโครงการอีอีซี เอื้อเจ้าสัว ซึ่งหากเราไม่พัฒนาประเทศก็จะไม่มีแรงจูงใจให้กับนักลงทุน วันนี้โครงการต่างๆ เป็นรูปแบบรัฐร่วมเอกชน รัฐออกน้อย เอกชนออกมาก และรับความเสี่ยงแทนรัฐ

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงโครงการ “ชิมช้อปใช้” ด้วยว่า คนที่บอกไม่ดีให้ไปบอกประชาชนที่พอใจในโครงการนี้ เพราะเงินไปยังร้านค้ารายย่อยจำนวนมากไม่ใช่เฉพาะเจ้าสัวที่ได้ประโยชน์ เอกชนก็พอใจ ถ้าไม่เชื่อไปดูข้อเท็จจริงสถิติทางอิเล็กทรอนิกส์ได้

ช่วงท้ายนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายสรุปว่า ฝ่ายค้านจะค้านไม่ให้ผ่านก็สงสารชาวบ้าน จึงจะให้โอกาสรัฐบาลโดยให้ผ่านไปก่อน ในวาระที่สองค่อยปรับแก้

ทั้งนี้นายสุทิน อภิปรายว่า 3 วันที่ฝ่ายค้านได้ท้วงติง และแนะทางออกก็ขอให้รัฐบาลเปิดใจกว้างให้รับฟังและนำไปแก้ไขเพราะเรามองไปข้างหน้าว่ามีปัญหาแน่และมีแนวโน้มว่าจะขาดดุลต่อเนื่อง ทำให้มองไปข้างหน้าว่าเมื่อไหร่จะสมดุล และมีความหวังหรือไม่จะหมดหนี้หมดสิน แต่ดูแล้วเหมือนปีนี้จะหมดหวังในปี 2563 ประเทศอยู่ในภาวะหนี้สูงที่สุด หนี้ครัวเรือนสูงที่สุดความเหลื่อมล้ำสูงที่สุด ขาดดุลมากที่สุด คนตกงานมากที่สุดและการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำสุดและการลงทุนใน 5 ปี เบิกจ่ายงบไม่ทันกว่า 40 เปอร์เซ็นต์แล้วจะไปกู้เศรษฐกิจได้อย่างไร แต่กลับไปลงทุนในส่วนที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ถ้าเป็นนักเศรษฐศาสตร์เข้าไม่ทำกัน ส่วนโครงการเมกกะโปรเจ็กเรายังไม่เห็นความหวังอะไรเลยส่วนโครงการอีอีซีที่คิดว่าจะเป็นพระเอกกำลังจะล้มซ้ำรอยโฮปเวลล์เพราะนักลงทุนไม่มีความเชื่อมั่นและไม่เข้ามาลงทุนด้วย แต่งบประมาณของรัฐบาลกลับไปกระจุกอยู่ที่กระทรวงกลาโหม ดังนั้นอยากให้ตัดงบกระทรวงกลาโหมมาพัฒนาเศรษฐกิจดีกว่า และพัฒนาการศึกษา หรือพัฒนาด้านสาธารณสุข

“ดังนั้นเงินนอกงบประมาณที่รัฐบาลตั้งไว้ พวกผมจะยื่นตีความ เพราะนำไปไว้อยู่นอกงบประมาณ และงบกลางตั้งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่านำไปใช้อะไร ดังนั้นอยากให้ท่านยอมรับความจริงว่าเศรษฐกิจมีปัญหา ชาวบ้านยากจนถ้ายอมรับความจริงจะแก้ไขปัญหาได้ เราถึงจะมีความหวัง และขอให้เกลี่ยงบประมาณใหม่ได้หรือไม่ เพราะฉะนั้นถ้าจะยกมือให้ตกเราก็ห่วงประเทศ แต่จะยกมือให้ทำใจลำบาก จะยกมือให้ตกใจไม่ด้านพอ เพราะห่วงชาวบ้าน เพราะฉะนั้นวันนี้จะให้โอกาสท่านผ่านไป แต่ในวาระสองหวังว่าจะทำให้ดีขึ้น ถ้าไม่ทำวาระสามเราจะคว่ำเลย” นายสุทิน กล่าว

“บิ๊กตู่”สรุปปิดท้ายงบฯปี 63 มุ่งหวังประชาชน มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน

ต่อจากนั้น พลเอกประยุทธ์ ได้ชี้แจงสรุปก่อนลงมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาทว่า การจัดทำร่างดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลที่แสดงต่อสภาผู้แทนราษฎร และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ มุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ควบคู่ไปกับการสร้างศักยภาพการแข่งขันและศักยภาพคน ให้ความสำคัญกับการบูรณาการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อน และมีการกระจายผลประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม สร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรทุกภาคส่วน มุ่งหวังให้มั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง อย่างยั่งยืน

ส่วนข้อสังเกตที่สมาชิกอภิปรายไว้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขอฝากให้คณะกรรมาธิการวิสามัญที่สภาแห่งนี้แต่งตั้งขึ้น นำมาประกอบการพิจารณารายละเอียดให้รอบคอบยิ่งขึ้น ให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ตามที่ทุกคนมุ่งหวังไว้ทุกประการ

สะดุ้ง! “อนุทิน” เผยรู้แล้วใครอยู่เบื้องหลังสื่ออัด “ศักดิ์สยาม”

People Unity News : สะดุ้ง! “อนุทิน” เผยรู้แล้วใครอยู่เบื้องหลังสื่ออัด “ศักดิ์สยาม” งงตรวจสอบพรรคภูมิใจไทยพรรคเดียว เสียดายความสัมพันธ์อันดีที่ผ่านมา ยันพรรคหวังโตไปข้างหน้าไม่เสี่ยงทำผิดแน่นอน

วันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 จากกรณีที่สื่อบางสำนัก นำเสนอข่าววิพากษ์วิจารณ์นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ซึ่งนายศักดิ์สยาม มองว่า เป็นการนำเสนอข่าวสารด้วยข้อมูลเท็จ จนมีการฟ้องร้องดำเนินคดีตามมานั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ใครก็ตามที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ต้องถูกตรวจสอบมากเป็นพิเศษ เพราะรับผิดชอบทั้งงาน ทั้งงบ จำนวนมาก

นอกจากนั้นบุคลิกของนายศักดิ์สยามยังเป็นคนไม่อยู่ใต้อิทธิพลใคร เคยเป็นข้าราชการมีนิสัยละเอียด เวลานำเสนอโครงการ หากเห็นว่าไม่ชอบมาพากล สั่งทบทวนหมด ตนในฐานะรองนายกฯดูแลกระทรวงคมนาคม และนายศักดิ์สยามทำงานร่วมกัน นายศักดิ์สยามพูดอยู่เสมอว่าต้องทำให้ถูกต้อง พรรคภูมิใจไทย จะโตไปข้างหน้าได้ ก็เพราะเรื่องการทำงาน เราไม่เสี่ยงทำผิดแน่นอน

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ส่วนที่สื่อบางฉบับมาตรวจสอบพรรคภูมิใจไทยพรรคเดียว ก็งงว่า มันเกิดอะไรขึ้น เสียดายความสัมพันธ์อันดีที่มีร่วมกัน จริงๆ หากต้องการทราบเรื่องอะไร ให้โทรมาถามก็ได้ แต่กลับมาพูดในทางตรงกันข้าม แบบนี้มีทิฐิหรือไม่

“ผมรู้นะ ว่าใครอยู่เบื้องหลัง แต่ผมจะไม่บอก เพราะเป้าหมายจะรู้ตัว และผมจะไม่ไปหารือกับใครทั้งนั้น ผมอยากให้รัฐบาลไม่ต้องมาปวดหัวกับเรื่องแบบนี้ ให้เอาเวลาไปคิดเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจดีกว่า เรื่องปากท้องเป็นเรื่องสำคัญ”

เมื่อถามว่าการโจมตีนายศักดิ์สยาม เป็นสัญญาณเรื่องการปรับ ครม.หรือไม่ นายอนุทิน ตอบว่า ยืนยันว่ายังไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้ ส่วนใครจะคิดอะไร อยากได้อะไร ก็คิดไป แต่ภูมิใจไทย ไม่เคยคิดทั้งนั้น ขอทำงาน สร้างความไว้วางใจกับประชาชน แต่ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นรัฐบาลผสม อย่างไรเสีย ก็ต้องมาคุย เรามีภารกิจในการนำพาบ้านเมืองไปด้วยกัน

“เทพไท”ตาสว่าง! สำรวจตลาดหูชา ขายของไม่ได้

People Unity News : “เทพไท”ตาสว่าง! สำรวจตลาดหูชา ไม่มีเงินซื้อของขาย ขายของไม่ได้ สินค้าการเกษตรตกต่ำ มาตรการประกันรายได้เกษตรกรเหลว

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ facebook live การลงพื้นที่ตลาดนัดเขาลำปะ อ.ชะอวด เพื่อสำรวจสภาวะเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชน ว่า ได้รับเสียงบ่น เสียงโอดครวญจากพ่อค้าแม่ค้าและผู้มาจ่ายตลาดจำนวนมาก ว่าไม่มีเงินจะซื้อข้าวของ พ่อค้าแม่ค้าพูดถึงกำลังซื้อจากพี่น้องประชาชนมีน้อย ขายของไม่ได้ สาเหตุหลักมาจากสินค้าการเกษตรตกต่ำ แม้ว่ารัฐบาลจะมีมาตรการประกันรายได้เกษตรกรแล้ว ก็เป็นแค่มาตรการชั่วคราว เพื่อเยียวยาเกษตรกรเฉพาะหน้า สภาพการเงินไม่ได้หมุนเวียนเหมือนกับภาวะเศรษฐกิจที่เฟื่องฟูในอดีต ประชาชนได้ฝากเสียงสะท้อนปัญหาปากท้องมายังทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลให้เข้ามาดูแลแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจโดยเร็วที่สุด สิ่งที่ประชาชนกำลังประสบปัญหาในขณะนี้คือ 1.ราคาพืชผลด้านการเกษตรของเกษตรกรตกต่ำทุกชนิด 2.การเงินขาดสภาพคล่อง เงินในกระเป๋าของเกษตรกรไม่มีในการใช้จ่าย 3.เกิดภาวะการตกงาน หรือ อัตราการว่างงานสูงมาก
จากปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ มาจากการบริหารงานบ้มเหลวของทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ผมจึงขอเสนอให้มีการปรับปรุงทีมเศรษฐกิจใหม่ เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในการบริหารกระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้องกับด้านเศรษฐกิจ

การที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด ใช้คนไม่ตรงกันงาน เพราะพลเอกประยุทธ์เป็นนายทหารไม่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจ จึงควรที่จะให้มีการปรับปรุงทีมเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งในขณะนี้ทีมเศรษฐกิจแบ่งออกเป็นสามก๊กสามเหล่า คือทีมของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รับผิดชอบกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน ทีมของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รับผิดชอบกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และทีมของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รับผิดชอบกระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ดังนั้นควรจะต้องใช้การบริหารแบบบูรณาการ มอบหมายให้ใครคนใดคนหนึ่งเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่แท้จริง ในฐานะที่เป็น ส.ส.คนหนึ่ง แม้ว่าจะอยู่ในสังกัดพรรคร่วมรัฐบาลก็ตาม แต่วันนี้จะขอทำหน้าที่ตัวแทนของประชาชน เพื่อสะท้อนปัญหาความเดือดร้อน ความทุกข์ยาก ที่กระทบต่อปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาลได้รับทราบ ได้รับรู้ปัญหาทั้งหมด และจะได้นำไปพิจารณาหาแนวทางในการแก้ไขต่อไป

ชวนสัมผัส”หนาวสุดกลางสยาม” ความสวยงามใกล้กรุง ณ บ้านไร่ อุทัยธานี

People Unity News : กรมการพัฒนาชุมชน จัดเตรียมพื้นที่ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ไว้รองรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ หวังสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างอาชีพให้แก่ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีอย่างต่อเนื่อง สนองรับนโยบายของรัฐบาลในการลดความเหลื่อมล้ำ กระจายรายได้สู่ชุมชน

เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2562 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่อากาศหนาวอย่างเป็นทางการ ซึ่งในหลายพื้นที่ได้จัดเตรียมกิจกรรมเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าไปเยี่ยมชม โดยเฉพาะการได้สูดกลิ่นไอของธรรมชาติที่มาพร้อมกับสายลมช่วงฤดูหนาว เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวรอคอย ซึ่งหากมองหาสถานที่ท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ ที่ใช้เวลาเดินทางไม่มากนัก ขอแนะนำชุมชนลาวครั่ง บ้านสะนำ อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี สัมผัสเสน่ห์ศรัทธาแห่งแบบแผนวิถีชีวิตชุมชนชนชาติพันธุ์ลาวครั่ง 200 ปี ซึ่งคนในชุมชนแห่งนี้ เป็นคนที่มีอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสามัคคี ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันด้วยความจริงใจ ตลอดจนการมีกิจกรรมร่วมกันระหว่างคนในชุมชน ทั้งผู้สูงอายุ วัยทำงาน วัยเด็ก แม้จะต่างวัยในความหลากหลายแต่ก็ลงตัว

ชุมชนบ้านสะนำ ถือเป็นพื้นที่ที่ยังคงความสมบูรณ์ของธรรมชาติ เนื่องจากที่นี่มีต้นไม้ยักษ์ อายุ 300 กว่าปี ความอัศจรรย์อย่างงดงาม เป็นไม้ที่มีขนาดใหญ่ มีระบบรากที่แผ่กว้างค้ำยันต้นและรายล้อมไปด้วยต้นหมากจำนวนมาก ซึ่งต้นหมากเป็นพืชเศรษฐกิจ ที่ทำให้คนในชุมชนมีรายได้เสริม นอกเหนือจากรายได้ที่มาจากการทำไร่ทำนา ทำสวน อีกทั้ง การได้ชื่นชมศิลปะการแสดงพื้นบ้าน การทอผ้าพื้นเมืองลายโบราณทุนทางวัฒนธรรมการแต่งกาย ภาษา ภูมิปัญญาการจักสาน การละเล่น ที่สืบทอดและอนุรักษ์วัฒนธรรม มาสู่รุ่นลูกหลานจนถึงทุกวันนี้ เชิญมาร่วมค้นหาความภูมิใจของชาติพันธุ์ลาวครั่งบนแผ่นดินสยามแล้วท่านจะประทับใจไม่รู้ลืม ซึ่งที่นี่มีเมนูอาหารพื้นถิ่น อาทิ ข้าวต้มเล่ แจ่วร้อยสำรับ ที่เสิร์ฟร้อน รสชาติอร่อยโดดเด่นไม่เหมือนใคร อีกทั้งการบริการที่พักในรูปแบบโฮมสเตย์ รองรับนักท่องเที่ยวที่หลงใหลในความเป็นวิถีชีวิตชุมชนอย่างแท้จริง

และอีกหนึ่งชุมชนสวรรค์บ้านไร่ของจังหวัดอุทัยธานี ที่จะขอแนะนำ นั่นคือ บ้านอีมาด อีทราย ตั้งอยู่ที่ตำบลแก่นมะกรูด อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ชุมชนเผ่ากระเหรี่ยง บรรยากาศของชุมชนที่ใกล้ชิดธรรมชาติ ทำให้ผู้คนที่นี่มีวิถีชีวิตที่เงียบสงบเรียบง่าย มีความร่วมมือร่วมใจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สร้างวินัยรักษ์ต้นไม้ รักษาความสะอาดในชุมชน เพื่อการอาศัยอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับธรรมชาติอย่างสมดุล รวมถึงความเชื่อและความศรัทธาในต้นพระเจ้าห้าพระองค์ ที่เชื่อกันว่า มีพระ 5 รูปจำศีลอยู่ใต้ต้นไม้นี้และผลของต้นไม้ได้ร่วงลงมา จึงคิดว่า เทวดาประทานพรให้ ซึ่งผลของต้นไม้ จะมีลักษณะเป็นวงกลมมีร่องขรุขระ ผิวเปลือกนูน ลักษณะคล้ายองค์พระพุทธรูป เป็นผลไม้ที่มีดีทางธรรมชาติ มีเทวดาคุ้มครอง จึงเรียกว่า “พระเจ้าห้าพระองค์”ตามความเชื่อถือศรัทธาของชาวบ้านในชุมชน

นอกจากนี้ การแสดงออกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพชน อาทิ การรำต่ง เป็นการรำให้พรต้อนรับแก่ผู้มาเยือน รำอวยพรให้ผู้มาเยือนมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรือง การสืบทอดภูมิปัญญาการทอผ้าที่มีลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน หาชมได้ยาก ที่นี่จึงมีถ่ายทอดภูมิปัญญาการทอผ้าให้ลูกหลานทำหน้าที่ในการอนุรักษ์ผ้าทอให้คงอยู่กับชุมชนต่อไป และการต้อนรับผู้มาเยือนด้วยอาหารที่มีรสชาติอร่อยขึ้นชื่อของชุมชน ข้าวเหนียวหัวหงอก ซึ่งใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติที่มีอยู่ในชุมชน หากท่านใดสนใจสามารถแวะชิม แวะชม แวะพักกันได้ใกล้กรุงเทพฯ มีบริการที่พักในรูปแบบโฮมสเตย์ อิงแอบแนบชิดธรรมชาติอย่างที่สุด

เมื่อเดินทางเที่ยวชมทั้ง 2 ชุมชนแล้ว ก็ยังสามารถมุ่งหน้าต่อไปได้ที่ “แก่นมะกรูด” สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมช่วงฤดูหนาวที่นักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ แวะมาเที่ยวชมดอกไม้เมืองหนาวบานสะพรั่ง สูดกลิ่นไอลมหนาวกันอย่างคับคั่ง จนถูกขานนามว่า “หนาวสุดกลางสยาม” ห้ามพลาดนะครับ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก ให้นักท่องเที่ยวทุกท่าน กรมการพัฒนาชุมชน จึงได้มอบหมายให้ข้าราชการของกรมฯ อำนวยความสะดวกในด้านข้อมูลแก่นักท่องเที่ยวที่สนใจจะไปสัมผัสบรรยากาศหนาวสุดกลางสยาม จ.อุทัยธานี คือ คุณกิตติพงษ์ สิงห์คำ 08 2758 9307 หรือที่สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดอุทัยธานี 0 5651 1337 หรือสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอบ้านไร่ 0 5653 9126

อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวด้วยว่า มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการค้นหามนต์เสน่ห์ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ใกล้กรุงฯ เพื่อการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในเชิงสร้างสรรค์ ช่วยให้คนในชุมชนมีงานทำ มีอาชีพ สร้างรายได้ ให้แก่เกิดขึ้นได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน

“สุวัจน์”ประกาศปฏิญญาโคราช มหานครแห่งอารยสถาปัตย์

People Unity News : “สุวัจน์”ผนึกกำลังชาวโคราช ประกาศความพร้อมก้าวสู่การเป็น “โคราชแห่งอารยสถาปัตย์” เตรียมจัดแข่งขันกีฬาคนพิการทางการเคลื่อนไหวชิงแชมป์โลกปีหน้า

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 มหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมาร่วมกับเทศบาลนครราชสีมาและมูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล จัดงานผนึกกำลังประกาศความพร้อมก้าวสู่การเป็น “โคราชแห่งอารยสถาปัตย์ “(KICK OFF KORAT FRIENDLY DESIGN) ที่ห้องประชุมอนุสรณ์ 70 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมาโดยมี นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายกสภามหาวิทยาลัย และอดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานและลงนามในปฏิญญา “โคราช มหานครแห่งอารยสถาปัตย์” ร่วมกับ นายจรัสชัย โชคเรือสกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อดิศร เนาวนนท์ อธิบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา นายกฤษนะ ละไล ประธานมูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล พร้อมหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จำนวน 20 แห่งและภารประชาชนกว่า 2,000 คน

นายสุวัจน์ กล่าวเปิดงานว่า ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ และเทคโนโลยีส่งผลให้อัตราการตายของประชากรลดลงและประชากรมีอายุยืนยาวขึ้น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่มีสัดส่วนของผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นผลการสำรวจในปีพ.ศ.2564 ประเทศไทยจะก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์โดยมีประชากรผู้สูงอายุร้อยละ 20 ของประชากรประเทศ ซึ่งผู้สูงอายุที่มีมากขึ้นมีโอกาสเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยและความพิการเพิ่มมากขึ้น และจากรายงานข้อมูลสถานการณ์คนพิการปี 2559 ประเทศไทยมีผู้สูงอายุที่มีความพิการร้อยละ 49.5 ของคนพิการทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหว รวมทั้งผู้พิการโดยกำเนิดและความพิการจากอุบัติเหตุ จากความเจ็บป่วย จากการสู้รบ และจากความชรา

ดังนั้น เพื่อให้ทุกคนในสังคมทุกเพศทุกวัยและทุกสภาพร่างกายมีคุณภาพชีวิตที่ดีสามารถดำรงชีวิตประจำวันได้โดยไม่เป็นภาระต่อสังคมโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติและเพื่อคุ้มครองสิทธิของทุกคนตามเจตนารมณ์ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษย์ชนแห่งสหประชาชาติ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย จึงสมควรตระหนักถึงความสำคัญและความร่วมมือกันขับเคลื่อนให้เกิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวลขึ้น ทั้งในด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์สิ่งของเครื่องใช้ การปรับปรุงและพัฒนาสภาพแวดล้อมในที่พักอาศัยในสถานศึกษาในสถานประกอบอาชีพและในสถานที่ต่างๆ เพื่อการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้อย่างเท่าเทียม ด้วยเหตุนี้ จึงได้ผนึกกำลังร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนตลอดจนชาวโคราชเพื่อขับเคลื่อนให้โคราชก้าวไปสู่การเป็นมหานครแห่งอารยสถาปัตย์

ที่สำคัญ ในระหว่างวันที่ท20-28 กุมภาพันธ์ 2563 จะมีการจัดแข่งขันกีฬาคนพิการทางการเคลื่อนไหวชิงแชมป์โลก” IWAS WORLD GAMES 2020″ ในจังหวัดนครราชสีมามีนักกีฬาเข้าร่วม 2,500 คนจาก 40 ประเทศทั่วโลก และยังเป็นการแข่งขันเพื่อเก็บคะแนนควอลิฟาย สำหรับการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกส์เกมส์ 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น ดังนั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนในการพัฒนาเมืองตามแนวทางอารยสถาปัตย์ จะทำให้เกิดความพร้อมต่อการรองรับภารกิจดังกล่าว ชาวโคราชในฐานะเป็นเจ้าภาพและเพื่อร่วมส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยว เพื่อคนทั้งมวลในจังหวัดนครราชสีมา การลงนามปฏิญญาดังกล่าว จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี จุดประกายความร่วมมือของประชาคมโคราชให้ก้าวสู่ความเป็นมหานครแห่งอารยสถาปัตย์ อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

“คณะสื่อกัมพูชา”เข้าพบ”เทวัญ” หารือแนวทางแก้ปัญหา’เฟคนิวส์’

People Unity : “คณะสื่อมวลชนกัมพูชา” เข้าเยี่ยมคารวะ “รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี” ย้ำความสัมพันธ์อันดีของ2ประเทศ พร้อมหารือแนวทางแก้ปัญหา”Fake News”

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 21 ตุลาคม 2562 ที่ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายเปญ โบนา (Mr. Pen Bona) นายกสมาคมนักข่าวกัมพูชา (Club Cambodian journalists) นำคณะเข้าเยี่ยมคารวะ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยนายกสมาคมนักข่าวกัมพูชา แสดงความขอบคุณรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ให้โอกาสเข้าพบ พร้อมทั้งยืนยันความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและกัมพูชา

สำหรับด้านสื่อมวลชนนั้นทั้งสองฝ่ายมีการลงนามบันทึกความเข้าใจในการแลกเปลี่ยนการฝึกอบรมระหว่างสมาคมนักข่าวกัมพูชา และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยซึ่งมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือและความเข้าใจอันดีในการดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของไทยและกัมพูชาต่อไป ซึ่งทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านการประชาสัมพันธ์ในสังคมปัจจุบันที่เป็นยุคสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งสื่ออินเตอร์เน็ต และดิจิทัล เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดปัญหาข่าวลวง (Fake News) ในวงกว้าง ซึ่งนายกสมาคมนักข่าวกัมพูชาได้สอบถามแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวของรัฐบาล

ส่วน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลหน่วยงานด้านการประชาสัมพันธ์ของรัฐ ได้ทำงานร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในการแก้ไขปัญหา Fake News โดยมีการดำเนินการ 3 วิธี ได้แก่ 1.ปิดเว็บไซต์ที่นำเสนอข่าวที่บิดเบือน 2.ให้ความรู้และประชาสัมพันธ์กับประชาชนให้ระมัดระวังในการส่งต่อข้อมูล 3.ตั้งอาสาสมัครในการให้ความรู้ รวมถึงสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนในเรื่อง Fake News นอกจากนี้กรมประชาสัมพันธ์มีการจัดตั้ง “ข่าวจริงประเทศไทย” ทางแอพพลิเคชั่น Line และ Facebook เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องแก่ประชาชนด้วย

ทั้งนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างไทยและกัมพูชา พร้อมยืนยันว่า หากมีสิ่งใดที่สามารถให้ความร่วมมือกับสมาคมนักข่าวกัมพูชาได้ รัฐบาลไทยยินดีให้ความร่วมมือต่อไป

“สุวัจน์”มองอีอีซีโอกาสประเทศไทยและเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจ

People Unity News : “สุวัจน์”มองอีอีซีโอกาสประเทศไทยและเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจ พร้อมฝากอารยะสถาปัตย์กับเหตุสามารถสร้างความเท่าเทียมในการดำรงชีวิตของคนทุกกลุ่ม แนะพรรคร่วมรัฐบาลเร่งเคลียร์ให้จบใครนั่ง ปธ.กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถา ในงาน ASA Real Estate Forum 2019 ณ พารากอน ฮอลล์ 3 ศูนย์การค้า สยามพารากอน กรุงเทพมหานคร โดยมีนายอัชชพล ดุสิตนานนท์ นายกสมาคมสถาปนิกสยามฯ นายวีรพล จงเจริญใจ ประธานการจัดงานฯ และนายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคม อสังหาริมทรัพย์ไทย ร่วมเปิดงาน

ภายหลังจากการเปิดงาน นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ได้ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ประเทศไทย : เมืองแห่งโอกาส และความเท่าเทียม โดยนายสุวัจน์ได้กล่าวถึง วิกฤติทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่มีผลมาจากการถดถอยของเศรษฐกิจโลก และสงครามการค้าของประเทศมหาอำนาจ ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย และ Disruptive Technology ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 มีเทคโนโลยีใหม่ๆเกิดขึ้น ซึ่งทำให้เกิดความผันผวนทางไลฟ์สไตล์ เกิดการผันผวนในการทำธุรกิจ

และนายสุวัจน์ได้แสดงวิสัยทัศน์ เรื่องเมืองแห่งโอกาส ที่จะสร้างความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำให้กับประชาชนทั้งประเทศ โดยกล่าวถึง เมกะโปรเจคใหญ่ๆ อย่าง EEC (Eastern Economic Corridor) ที่เป็นการต่อยอดมาจาก โครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก(Eastern Seaboad)​ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการลงทุนทางอุตสาหกรรม ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก  โดยเป้าหมายของ EEC ​ คือ 1.การทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักการเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง 2.บรรยากาศการลงทุนของประเทศไทยต้องเติบโตไม่น้อยกว่า 10 % 3. GDP ประเทศไทยต้องโต 5 % 4.จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 100,000 คน 5.ภาคโลจิสติกส์​ ซึ่งเป็นตัวดึงนักลงทุน จะมีราคาถูกลง 6.จะมีนักท่องเที่ยวมากขึ้น และสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศ

นอกจากโครงการ EEC แล้ว โครการใหญ่ๆที่เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ก็ถือเป็นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น โครงการรถไฟความเร็วสูง ที่จะสามารถดึงดูดนักลงทุน รองรับนักท่องเที่ยวๆได้ 150 ล้านคนต่อปี จะมีการจ้างงาน และก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล การสร้างรถไฟฟ้าในกรุงเทพ ก่อให้เกิดโอกาสทางเศรษฐกิจในเรื่องของ อสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้า ทำให้ที่ดินมีมูลค่าเพิ่ม รถไฟรางคู่ที่ออกไปสู่ต่างจังหวัด จะเป็นการกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวไปให้เกษตรกร และ ท้องถิ่น ลดความเหลื่อมล้ำ รวมถึง มอเตอร์เวย์สายต่างๆที่จะกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ

การใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ Technology 5g มีนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางด้านธุรกิจ ด้านการแพทย์ ด้านการศึกษา องค์ความรู้ต่างๆจะหลั่งไหลสู่ชุมชนที่ห่างไกล และนอกเหนือจากเรื่องของเทคโนโลยี นายสุวัจน์ได้กล่าวถึงการสร้างพันธมิตร เช่น การเป็นประธานจัดงานประชุมอาเซียน ที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ การรวมกลุ่มทางการค้า เพื่อสร้างความเข้มแข็งและข้อต่อรองทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้เกิดโอกาสทางการลงทุนทีามากขึ้น และสุดท้าย นายสุวัจน์ได้กล่าวถึงจุดแข็งของประเทศไทย 2 ประการ นั่นก็คือ 1.การเกษตร ต้องใช้เทคโนโลยี และ อุตสาหกรรมมาใช้ในการเกษตรเพื่อแปรรูป และเพิ่มมูลค่า วัตุดิบคุณภาพของประเทศ 2.การท่องเที่ยว เพราะประเทศไทยมีความสวยงาม และมีความหลายหลายในแต่ละท้องถิ่น การส่งเสริมการท่องเที่ยว จะเป็นการลดความเหลื่อมล้ำ เพราะรายได้จากการท่องเที่ยวจะกระจายไปในทุกๆที่ โดยมีโครงสร้างพื้นฐานมารองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยว

และก่อนที่จะปิดการปาฐกถา นายสุวัจน์ได้ฝากถึงสถาปนิก ว่าต้องให้ความสำคัญกับ Universal Design (อารยะสถาปัตย์)​เพราะสามารถสร้างความเท่าเทียมในการดำรงชีวิตของคนทุกกลุ่มผ่านการออกแบบที่คำนึงถึงทุกๆคน เพื่อสร้างความเสมอภาคในสังคม และการใช้งานของคนทุกกลุ่ม

แนะพรรคร่วมรัฐบาลเร่งเคลียร์ให้จบใครนั่ง ปธ.กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ

นายสุวัจน์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ส่วนตัวขอเสนอให้พรรคร่วมรัฐบาลโดยหัวหน้าพรรคและคณะกรรมการประสานงานของแต่ละพรรคควรพูดคุยทำความเข้าใจ และหาข้อยุติเรื่องประธานคณะกรรมาธิการ จะได้ไม่กระทบกับเสถียรภาพของรัฐบาล

ทั้งนี้ นายสุวัจน์ เห็นว่าเป็นเรื่องดีที่พรรคประชาธิปัตย์จะเสนอชื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะไปพูดคุยกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลก่อน แต่ส่วนตนเองในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลยังไม่ได้รับการติดต่อหรือประสานงานมา อย่างไรก็ตาม ขอไม่แสดงความเห็นในเรื่องตัวบุคคลว่าใครเหมาะสม ระหว่าง นายอภิสิทธิ์ กับ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แต่มองว่าบุคคลที่จะมาเป็นประธานกรรมาธิการชุดนี้จะต้องมีบารมี เป็นที่ยอมรับ และสามารถควบคุมการประชุมเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ดี

“เรื่องนี้ต้องพูดคุยกันเพื่อให้ได้ข้อยุติในพรรคร่วมรัฐบาล เพราะความเห็นที่แตกต่างกันทำให้เกิดกระทบกับเสถียรภาพ และเกิดความไม่เข้าใจในสังคม”

อุ่นเครื่องซักฟอก! “อคน.”ชงญัตติชำแหละ”คำสั่งคสช.- ม.44”

People Unity News :  “อนาคตใหม่” วาง 10 ส.ส. ชำแหละคำสั่ง คสช. – ม.44 “ปิยบุตร” ชี้เป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจย้อนหลัง – ปชช.ได้รับผลกระทบวงกว้าง เล็งยื่น กกต. พิจารณาปมจำนวน ส.ส.พึงมี

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 5 พฤศจิกายน ที่พรรคอนาคตใหม่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของพรรคประจำสัปดาห์ โดยระบุว่า ในการเปิดประชุมสภาสมัยที่ 2 มีญัตติสำคัญที่จะเข้าสู่การพิจารณา ในส่วนของพรรคอนาคตใหม่ มีญัตติด่วนขอให้สภาผู้แทนราษฏร ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญเพื่อศึกษาผลกระทบ เกี่ยวกับการใช้อำนาจของ คสช. การออกคำสั่งของและการใช้มาตรา 44 ของ คสช. ว่ายังส่งผลกระทบอะไรบ้าง ซึ่งญัตตินี้ ตนเป็นผู้เสนอและวางผู้อภิปรายเอาไว้ 10 คน โดยจะอภิปรายในประเด็นต่างๆอย่างครอบคลุม ตั้งแต่ภาพรวมของประกาศไปจนถึงผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน เสรีภาพของสื่อ ปัญหานโยบายทวงคืนผืนป่า ที่ดิน สิ่งแวดล้อม การศึกษา การแทรกแซงองค์กรอิสระ ซึ่งจะเน้นไปที่ประกาศคำสั่งของ คสช. มิได้เน้นที่ตัวบุคคล อาจเรียกได้ว่าเป็นการอุ่นเครื่องก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจในเดือนธันวาคมนี้ ที่สำคัญประกาศคำสั่งเหล่านี้ ไม่สามารถโต้แย้งในศาลได้เลย เพราะรัฐธรรมนูญรับรองความชอบด้วยกฎหมายไว้ทั้งหมดแล้ว

“ผมคิดว่าญัตตินี้มีความสำคัญ เพราะในอดีต 5 ปีที่ผ่านมาของ คสช. เราไม่มีสภาผู้แทนราษฎรที่จะวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ คสช. ได้อย่างเต็มที่ ครั้งนี้อาจจะเรียกได้ว่า เป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คสช. ย้อนหลัง ถึงผลงานในอดีตที่ผ่านมาที่ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงปัจจุบัน และเหตุผลอีกประการหนึ่งคือ ศักดิ์ศรีของสภาผู้แทนราษฏรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ในวันนี้ บรรยากาศกำลังกลับคืนสู่ระบบปกติ ผู้แทนของราษฏรจึงมีอำนาจ มีความชอบธรรมอย่างเต็มที่ ที่จะกลับมาพิจารณาทบทวนว่า การออกประกาศของ คสช. ไปนั้น มีความถูกต้องชอบธรรมหรือไม่เพียงใด และควรที่จะต้องเสนอทางแก้ไข ยกเลิก หรือเยียวยา ผู้ที่เสียหายต่อไปอย่างไร” นายปิยบุตร กล่าว

นายปิยบุตร กล่าวว่า หากเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฏรเห็นชอบให้ตั้ง กมธ.วิสามัญชุดนี้ขึ้นมา จะเป็นไปตามสัดส่วนเดิม พรรคอนาคตใหม่จะได้รับโควต้าประมาณ 6 คน ทั้งนี้ต้องดูด้วยว่า ในที่ประชุมสภาฯ มีการเสนอว่าอย่างไร ซึ่งจากการที่ได้มีโอกาสปรึกษาเพื่อน ส.ส.จากหลายพรรค มีความเห็นตรงกันว่า เราควรต้องพูดเรื่องนี้ เพราะพวกเรามาจากการเลือกตั้งของพี่น้องประชาชน อีกทั้งประกาศคำสั่งของ คสช. ไม่ได้กระทบกับกลุ่มการเมืองกลุ่มหนึ่งเพียงเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างถึงพี่น้องประชาชน และยังกระทบถึงข้าราชการบางส่วนอีกด้วย ตนหวังว่าเพื่อน ส.ส.ในสภาฯ จะใช้โอกาสนี้ในการตั้งคณะ กมธ. เพื่อศึกษาในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม กมธ.กฎหมายฯ ที่ตนเป็นประธาน มีความคิดที่จะตั้งอนุกรรมาธิการศึกษาเรื่องนี้ แต่ต้องเรียนว่ามันจะเป็นการทำงานของคณะกรรมาธิการกฎหมายเท่านั้น จึงอยากตั้ง กมธ.ขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ส.ส. จากทุกพรรคและเชิญบุคคลภายนอกเข้ามาศึกษาร่วมกัน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่กว่าที่ กมธ.สามัญ คณะใดคณะหนึ่งจะรับเอาไว้

นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า จากการเลือกตั้งซ่อมเขต 5 จ.นครปฐมในครั้งที่ผ่านมา พรรคอนาคตใหม่ยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ และนำมาถอดบทเรียนกันภายในพรรค โดยตนได้โทรไปแสดงความยินดีกับหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาตั้งแต่วันเลือกตั้ง และเราไม่ได้ยุ่งกับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งตรงนี้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าขณะนี้พรรคอนาคตใหม่มี ส.ส. 80 ที่นั่ง จากที่ควรมีทั้งสิ้น 81 ที่นั่ง ตามจำนวน ส.ส. พึงมีที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนด ดังนั้น กกต. ต้องพิจารณาแก้ไข ซึ่งโดยหลักแล้วจะต้องนำผู้สมัคร ส.ส. จากบัญชีรายชื่ออีก 1 อันดับมาเป็น ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ ที่ตอนนี้ยังขาด ส.ส. พึงมีอยู่ 1 ที่นั่ง

“ในวันพรุ่งนี้ (6 พ.ย.) พรรคอนาคตใหม่จะไปยื่นหนังสือให้ กกต. พิจารณาทบทวนการคำนวณ ส.ส. ของพรรคอนาคตใหม่ และขอเรียนให้ทราบว่า กกต. ต้องระมัดระวังในการใช้ดุลยพินิจ หากเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม ป.อาญา ม.157 นั้น พรรคอนาคตใหม่ในฐานะผู้เสียหาย สามารถยื่นฟ้องร้องดำเนินคดีไปที่ศาลอาญา แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้โดยตรงแล้ว ตามแนวทางของศาลอุทธรณ์ล่าสุด และหากพบว่าในอดีต กกต. มีการใช้อำนาจหน้าที่ในลักษณะนี้ พรรคอนาตใหม่ขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินคดีต่อไป” นายปิยบุตร กล่าว

รัฐบาลตั้งเป้า “ลดการเสียชีวิต-บาดเจ็บบนท้องถนน” เหลือ 12 คน/ประชากร 1 แสน ภายในปี 70

People Unity News : วันนี้ (25 พฤษภาคม 2565) เวลา 09.00 น. ณ ห้องแกรนด์บอลรูม ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ ชั้น 4 โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติ เรื่อง ความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 15 พร้อมกล่าวปาฐกถา หัวข้อ “ทศวรรษใหม่ วิถีใหม่ ขับขี่ปลอดภัยต้องมาก่อน” และมอบโล่รางวัล Prime Minister Road Safety Awards ให้กับบุคคลและองค์กรที่มีผลงานดีเด่นด้านความปลอดภัยทางถนน จำนวน 49 รางวัล เพื่อเป็นการเสริมสร้างกำลังใจให้แก่บุคคลและองค์กรที่ดำเนินงานด้านความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทย โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมงาน

นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีกับหน่วยงาน องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และบุคคลที่ได้รับรางวัล Prime Minister Road Safety Awards ทั้ง 49 รางวัล ที่ได้มีการนำเสนอนวัตกรรม แนวความคิด ความมุ่งมั่นตั้งใจในการช่วยแก้ไขอุบัติเหตุทางถนนของประเทศ ทำให้ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนมีความปลอดภัยในการใช้ชีวิตใช้ถนน ลดความสูญเสียด้านจิตใจ ครอบครัว เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งมีความคาดหวังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลงานและแนวคิดต่างๆเหล่านี้ไปพัฒนา ปรับปรุง และปรับใช้ตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพ

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าในห้วงปี 2565 นี้ ถือเป็นการเข้าสู่ทศวรรษที่ 2 ของความปลอดภัยทางถนน (พ.ศ. 2564 – 2573) รัฐบาลได้ขับเคลื่อนการดำเนินการป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางถนน ผ่านกลไกระดับต่างๆ โดยกำหนดเป้าหมายภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พร้อมทั้งกวดขันการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการการแก้ไขปัญหาต่างๆแบบองค์รวม เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานป้องกัน ลดอุบัติเหตุ ลดการบาดเจ็บ และเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้ลดลงมากที่สุด โดยมีเป้าหมายในการลดการเสียชีวิตและการบาดเจ็บบนท้องถนนให้เหลือ 12 คน ต่อประชากรแสนคนภายในปี พ.ศ. 2570 เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ Vision Zero ภายในปี 2593 เป็นสิ่งที่ยาก แต่เป็นเป้าหมายสำคัญ ที่เราต้องร่วมเดินหน้าไปถึงให้ได้ ซึ่งศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ทั้งในส่วนกลางและระดับท้องถิ่น นับว่าเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญในการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆในการเกิดอุบัติเหตุ โดยการเสริมสร้างศักยภาพการบังคับใช้กฎหมาย การคมนาคม และยานพาหนะที่ปลอดภัย การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานถนน และระบบขนส่งที่มีความปลอดภัย การดูแลหลังเกิดอุบัติเหตุ การเก็บข้อมูล การจัดการเรื่องความเร็ว รวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านความปลอดภัยทางถนนมาปรับใช้ในการป้องกันและลดอุบัติเหตุ

นายกรัฐมนตรีกำชับให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและทุกภาคส่วน ร่วมสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และความร่วมมือให้แก่ผู้ที่ใช้รถใช้ถนน ให้มีความปลอดภัย ทั้งสภาพแวดล้อมทางกายภาพและสภาพแวดล้อมทางสังคม รวมทั้งกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมช่วยแก้ไขปัญหา โดยมุ่งเน้นการนำแนวคิด “วิถีแห่งระบบที่ปลอดภัย” มาดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยทั้งทางด้านกายภาพ เช่น การปรับปรุงถนนหนทาง ไฟฟ้าส่องสว่าง ป้ายจราจร เป็นต้น ด้านสังคม เช่น การสร้างค่านิยม “เมาไม่ขับ” ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ทักษะพื้นฐานด้านความปลอดภัยทางถนน และมีการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสม เพื่อเป็นการเริ่มต้นทษวรรษใหม่แห่งการขับขี่ปลอดภัย พร้อมขอให้การจัดสัมมนาวิชาการระดับชาติในวันนี้ เป็นโอกาสในการใช้เวทีเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และร่วมกันเสนอข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ และสร้างหนทางสู่ “ทศวรรษใหม่ วิถีใหม่ ขับขี่ปลอดภัยต้องมาก่อน” และสามารถนำข้อมูลไปประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนางานต่อไปในอนาคต

สำหรับการจัดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติ เรื่อง ความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 15 นับเป็นเวทีสำคัญในการบูรณาการความร่วมมือหน่วยงานภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนตามนโยบายของรัฐบาล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีให้ผู้บริหาร นักวิชาการ และผู้ปฏิบัติงานจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับทราบการดำเนินงานด้านการป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางถนน และมีส่วนร่วมเสนอนโยบายสาธารณะ รวมทั้งแนวทางการบูรณาการในการดำเนินงาน เพื่อให้สามารถนำความรู้ แนวทาง และรูปแบบการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ไปเผยแพร่และปฏิบัติให้เหมาะสมกับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง

Advertisement

Verified by ExactMetrics