วันที่ 19 พฤษภาคม 2024

ศธ.คลอดหลักสูตรลูกเสือมัคคุเทศก์ นำร่องอบรม 8 จังหวัดภาคเรียนที่2

People Unity : ศธ.คลอดหลักสูตรลูกเสือมัคคุเทศก์ เดินหน้าพร้อมจัดอบรม 8 จังหวัดนำร่อง รับภาคเรียนที่ 2/62

ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยความก้าวหน้าของการจัดทำหลักสูตรเพื่อฝึกอบรมให้กับลูกเสือที่เข้าร่วม “โครงการลูกเสือมัคคุเทศก์”ภายหลังจากสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการลูกเสือมัคคุเทศก์” (Guide Scout) เมื่อวันที่ 17 กันยายน ที่ผ่านมา ณ โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย โดยสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อจัดทำหลักสูตรลูกเสือมัคคุเทศก์ ร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้หลักสูตรที่ครอบคลุมการสร้างสมรรถนะ ความรู้ และทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการเป็นลูกเสือมัคคุเทศก์ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ให้ได้มากที่สุด

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ขณะนี้สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ร่วมกับกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดทำหลักสูตร คู่มือ สื่อฝึกอบรม และอบรมแกนนำลูกเสือมัคคุเทศก์เสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมนำไปจัดอบรมให้กับลูกเสือที่เข้าร่วมโครงการลูกเสือมัคคุเทศก์ รวมจำนวนทั้งสิ้น 425 คน ใน 8 จังหวัดนำร่อง ได้แก่จังหวัดปราจีนบุรี พัทลุง เชียงใหม่ เลย สุโขทัย นครราชสีมา พระนครศรีอยุธยา และบุรีรัมย์

โดยการจัดอบรมโครงการลูกเสือมัคคุเทศก์ จะเริ่มขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2562 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งหลักสูตรประกอบด้วย การชี้แจงทำความเข้าใจ การให้ความรู้ ตลอดจนการฝึกปฏิบัติจริง รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 60 ชั่วโมง แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 ก่อนการฝึกอบรม จำนวน 13 ชั่วโมง สำหรับการศึกษาค้นคว้าจัดทำข้อมูลและเรียงความเกี่ยวกับบ้านเกิด

ระยะที่ 2 การฝึกอบรมเป็นเวลา 4 วัน จำนวน 27 ชั่วโมง เน้นการชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นมาของโครงการ การให้ความรู้ด้านวิชาการ 10 หน่วยเรียนรู้
ทั้งหลักการมัคคุเทศก์ การสื่อสาร ความรู้พื้นฐานของพื้นที่และพื้นที่ข้างเคียง จิตวิทยาการให้บริการ การเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และจิตอาสาของลูกเสือมัคคุเทศก์ ตลอดจนกระบวนการค้นหาเรื่องราวและเรื่องเล่าของท้องถิ่น การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และการใช้เทคโนโลยีเพื่อการมัคคุเทศก์

ระยะที่ 3 คือการฝึกปฏิบัติในสถานที่ท่องเที่ยว เป็นเวลา 20 ชั่วโมง ซึ่งกำหนดจัดกิจกรรม “Kick Off การฝึกประสบการณ์ลูกเสือมัคคุเทศก์” ในพื้นที่ 8 จังหวัดนำร่องในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ด้วย

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังการฝึกอบรมจะจัดให้มีพิธีมอบเครื่องหมายลูกเสือมัคคุเทศก์ (Badge) และมอบวุฒิบัตรแก่ผู้ผ่านหลักสูตร เพื่อนำไปใช้รับรองและเทียบประสบการณ์ (สะสมเครดิต) ที่จะเป็นประโยชน์ในการเรียนต่อระดับอุดมศึกษา การประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ หรือการมีโอกาสได้เป็นตัวแทนลูกเสือไทยเข้าร่วมโครงการของสำนักงานลูกเสือในเวทีระดับนานาชาติในอนาคต

“ขณะเดียวกัน สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ และกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะจัดให้มีการนิเทศการฝึกประสบการณ์ของลูกเสือมัคคุเทศก์ในทุกจังหวัดนำร่อง เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์ผลการประเมิน นำไปสู่การปรับปรุง แก้ไข และพัฒนาหลักสูตรให้ดียิ่งขึ้น พร้อมใช้เป็นต้นแบบในการขยายผลการฝึกอบรมลูกเสือมัคคุเทศก์ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศต่อไป” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว

ข่าวดี “ประยุทธ์” สั่งคลายล็อกบัตรทอง รักษาได้ทุกที่ ไม่ต้องมีใบส่งตัว

People Unity News : นายกรัฐมนตรีสั่งคลายล็อกบัตรทอง รักษาได้ทุกที่ ไม่ต้องมีใบส่งตัว

25 ตุลาคม 2563 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ในการยกระดับระบบสวัสดิการแห่งรัฐด้านสาธารณสุข ด้วยการยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกรณีประชาชนผู้มีสิทธิ์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) สามารถเข้ารับการรักษาที่ใดก็ได้ และยกเลิกการต้องใช้ใบส่งตัวของผู้ป่วยในกรณีมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนสถานที่รักษาพยาบาล โดยมีรายละเอียดการคลายล็อกดังนี้

1.ประชาชนสามารถรับการรักษาพยาบาลที่ใดก็ได้ โดยทดลองให้ประชาชนในกรุงเทพมหานคร สามารถไปรับบริการที่ “หน่วยบริการชุมชนอบอุ่น” อันประกอบด้วยคลินิกชุมชนอบอุ่น และหน่วยบริการเฉพาะทางชุมชนอบอุ่น ได้ทุกแห่ง ซึ่งที่ผ่านมา ผู้ใช้สิทธิบัตรทองจะถูกจับคู่กับหน่วยบริการประจำ (คลินิก) เพียงแห่งเดียวเท่านั้น เมื่อเจ็บป่วยก็ต้องไปรักษาที่คลินิกประจำนั้นๆ หากป่วยหนักจนคลินิกรักษาไม่ไหว คลินิกก็จะส่งตัวไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพให้รักษาต่อ

แต่นโยบายใหม่นี้ผู้ใช้สิทธิบัตรทองในพื้นที่ กทม. จะสามารถเข้ารับบริการในหน่วยบริการที่หลากหลายมากขึ้น โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ตั้งเป้าที่จะประสานหน่วยบริการจำนวน 500 แห่ง ให้เข้ามาเป็น “หน่วยบริการชุมชนอบอุ่น” (คลินิกชุมชนอบอุ่น และหน่วยบริการเฉพาะทางชุมชนอบอุ่น) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2563 เป็นต้นไป ผู้ใช้สิทธิบัตรทองใน กทม. จะสามารถเข้ารับบริการในหน่วยบริการชุมชนอบอุ่นในเขตของตัวเองได้ทุกแห่ง และสามารถนัดหมายการเข้ารับบริการล่วงหน้าได้ โดย สปสช. ได้ร่วมกับธนาคารกรุงไทยพัฒนาระบบนัดหมายการเข้ารับบริการล่วงหน้าผ่าน App เป๋าตัง ซึ่งจะเริ่มให้บริการในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังเช่น เบาหวาน ความดัน และจะขยายไปในกลุ่มผู้ป่วยนอกทั้งหมดในระยะต่อไป

2.“ผู้ป่วยใน” ไม่ต้องใช้ใบส่งตัวอีกต่อไป ทั้งนี้ “ใบส่งตัว” เป็นเอกสารที่ใช้สื่อสารลักษณะโรค อาการป่วย การรับการรักษาเบื้องต้น ซึ่งที่ผ่านมา หากหน่วยบริการประจำ (คลินิก) วินิจฉัยและส่งตัวผู้ป่วยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพ ผู้ป่วยต้องไปรับใบส่งตัวจากคลินิกหรือโรงพยาบาลก่อน ซึ่งทำให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวก

แต่นโยบายใหม่นี้ หากผู้ป่วยไปรับบริการที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพ แล้ว โรงพยาบาลวินิจฉัยว่าต้องแอดมิท (นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล) ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ทันที โดยไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัวอีก เนื่องจาก สปสช. จะจัดทำระบบออนไลน์เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างคลินิกกับโรงพยาบาลที่มีศักยภาพเองโดยอัตโนมัติ

3.ประชาชนแจ้งย้ายหน่วยบริการเมื่อใด รักษาที่ใหม่ได้ทันที

ที่ผ่านมา เมื่อผู้ใช้สิทธิบัตรทองขอย้ายหน่วยบริการ จะต้องรออีก 15วัน จึงจะไปรักษาที่หน่วยบริการแห่งใหม่ได้ แต่นโยบายใหม่นี้ ผู้ป่วยไม่ต้องรอ 15 วันอีกต่อไป กล่าวคือ เมื่อมีความประสงค์ที่จะย้ายเมื่อใด ก็สามารถไปรักษาที่ใหม่ได้ทันที ประชาชนที่ใช้สิทธิบัตรทองจึงอุ่นใจได้ว่า เมื่อมีเหตุจำเป็นต้องย้ายถิ่นฐาน ก็จะสามารถย้ายหน่วยบริการและเข้ารับการรักษาได้อย่างทันทีอย่างแน่นอน

4.ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งจะได้รับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพและไม่แออัด ทั้งนี้ มะเร็งเป็นโรคที่สร้างความทุกข์ให้กับประชาชนอย่างมาก เนื่องจากอัตราการเสียชีวิตสูง ค่าใช้จ่ายก็สูงด้วย และที่สำคัญคือ โรงพยาบาลบางแห่งเท่านั้นที่มีศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็ง จึงเกิดปัญหาคอขวดในการเข้ารับบริการเกิดความแออัด ต้องรอการนัดหมายที่ค่อนข้างนาน ซึ่งเมื่อผู้ป่วยเข้าถึงบริการรักษาล่าช้า ก็อาจทำให้มะเร็งลุกลามได้โดยไม่จำเป็น

ทั้งนี้ สปสช. จึงมีแนวคิดในการยกระดับการรักษาใหม่ โดยเมื่อผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง หน่วยบริการผู้วินิจฉัยจะส่งข้อมูลผู้ป่วยมายัง สปสช. เพื่อให้ สปสช.ประสานจัดหาโรงพยาบาลที่ไม่แออัด และมีศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็งประเภทนั้นๆได้ทันที ประชาชนก็จะได้รับบริการที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน พร้อมทั้งบริการให้ยาเคมีบำบัดที่บ้าน พร้อมด้วยการติดตามอาการและแนะนำการทานยาผ่านระบบสื่อสารทางไกล (Telehealth) ภายใต้การดูแลจากผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดอีกด้วย

นายอนุชา กล่าวย้ำว่า “การคลายล็อกข้อจำกัดต่างๆของบัตรทองในครั้งนี้ คือนโยบายของรัฐบาลในความพยายามที่จะยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อการดูแลรักษาพยาบาลที่ดี มีมาตรฐาน ง่ายและสะดวกสำหรับประชาชนคนไทยทุกคน”

Advertising 

“ประยุทธ์” ปลื้ม คลองโอ่งอ่าง ได้รางวัลระดับโลก

People Unity News : นายกฯ ปลื้ม คลองโอ่งอ่าง ได้รางวัลระดับโลก ตอกย้ำความสำเร็จการปรับปรุงภูมิทัศน์เมือง ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน

เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 64 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม แสดงความยินดีที่โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์คลองโอ่งอ่าง ได้รับรางวัล 2020 Asian Townscape Awards จากโครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Settlements Programme: UN-HABITAT) ถือเป็นความภาคภูมิใจในความสำเร็จของโครงการพัฒนาคูคลองของกรุงเทพมหานคร อันเป็นที่ยอมรับในระดับโลก

ขณะเดียวกัน โครงการนี้จะเป็นต้นแบบของการปรับปรุงภูมิทัศน์พื้นที่อื่นๆทั่วประเทศ รวมถึงเป็นต้นแบบการพัฒนาให้กับหลายๆประเทศทั่วโลก ในการปรับปรุงพื้นที่ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน ส่งผลในแง่บวกทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม

“นายกรัฐมนตรีติดตามการพัฒนาและบริหารจัดการคลองโอ่งอ่างมาโดยตลอด ได้พบว่าประสบความสำเร็จทั้งด้านเศรษฐกิจและการยอมรับ มีหลากหลายกิจกรรมสามารถดึงดูดความสนใจ กลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานครได้ในเวลาอันรวดเร็ว ที่สำคัญยังเป็นต้นแบบของการพัฒนาบริเวณโดยรอบคูคลองให้กับพื้นที่อื่นๆ ให้กลับมามีชีวิตชีวา”

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบบริเวณคูคลอง เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เฉพาะในกรุงเทพมหานคร มีการปรับปรุงและอยู่ในระหว่างการปรับปรุงคลองแล้วหลายสาย เช่น คลองหลอด คลองผดุงกรุงเกษม คลองลาดพร้าว คลองช่องนนทรี โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การปรับภูมิทัศน์พื้นที่เมือง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น มีการวางแนวทางการปรับปรุงที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวชุมชน รักษาเอกลักษณ์ของพื้นที่ พร้อมเพิ่มกิจกรรมใหม่ๆให้มีความหลากหลาย ทั้งการเพิ่มพื้นที่สีเขียวโดยรอบคูคลองให้กลายเป็นที่พักผ่อนของประชาชน รวมถึงการเชื่อมโยงการเดินทาง ซึ่งผลที่ได้มาคือ มูลค่าทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะถูกพัฒนาต่อยอดจากไปมรดกทางวัฒนธรรม ทั้งยังเป็นการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับวิถีชุมชนเข้าไว้ด้วยกัน จึงเป็นแนวการพัฒนาอย่างยั่งยืน

Advertising

ธอส.ให้กำลังใจ อสม. จัดให้ “สินเชื่อบ้านอยู่ดีมีสุขครอบครัว อสม.” ผ่อนเริ่มต้น 2,900 บ./เดือน

People Unity News : ข่าวดี อสม.อยากมีบ้าน ธอส. จัดให้! สินเชื่อบ้านอยู่ดีมีสุขครอบครัว อสม. ผ่อนเริ่มต้น 2,900 บ./เดือน

17 มีนาคม 2565 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. เตรียมวงเงิน 500 ล้านบาท จัดทำ “โครงการบ้านอยู่ดีมีสุขครอบครัว อสม.” เพื่อให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. ที่มีที่ดินปลอดภาระหนี้ ก่อสร้างบ้าน วงเงินกู้ต่อรายไม่เกิน 700,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี (4 ปีแรก) ระยะเวลาการกู้สูงสุด 40 ปี กรณีกู้ 700,000 บาท ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 2,900 บาทต่อเดือน

สามารถยื่นขอสินเชื่อได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ฟรีค่าธรรมเนียม 4 ประเภท ประกอบด้วย ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ ค่าประเมินราคาหลักประกัน ค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และค่าจดทะเบียนนิติกรรมจำนอง เพียงยื่นกู้และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 ธ.ค. 66

สมาชิก อสม. ที่ต้องการขอสินเชื่อดังกล่าว สามารถลงทะเบียนแสดงความจำนงที่ประธานกลุ่ม อสม. ในแต่ละพื้นที่ และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ G H Bank Call Center โทร. 0-2645-9000 หรือที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ

Advertising

สาธารณสุขเตือนเล่นมือถือตลอดเวลาเสี่ยงเป็น “โนโมโฟเบีย”

People unity news online : เมื่อวานนี้ (1 เมษายน 2561) แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในยุคที่โทรศัพท์สมาร์ทโฟน กลายเป็นสิ่งจำเป็นในการติดต่อสื่อสาร แต่บางกลุ่มมีพฤติกรรมติดอยู่กับการเล่นโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา เช่น พกติดตัว ต้องวางไว้ใกล้ตัวเสมอ รู้สึกกังวลเมื่อมือถือไม่ได้อยู่กับตัวหรือแบตเตอรี่หมด คอยเช็กข้อความจากโซเชียลมีเดีย หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูบ่อยแม้ไม่มีเรื่องด่วน ตื่นนอนจะเช็กโทรศัพท์ก่อนและยังคงเล่นโทรศัพท์ก่อนนอน ติดเกม หรือในแต่ละวันใช้เวลาพูดคุยกับผู้คนผ่านโทรศัพท์ในโลกออนไลน์มากกว่าพูดคุยกับคนรอบข้าง ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ จะถูกวินิจฉัยว่าเป็นอาการติดโทรศัพท์มือถือ (Nomophobia) และบางรายอาจมีอาการเครียด ตัวสั่น เหงื่อออก คลื่นไส้ หากไม่มีโทรศัพท์มือถืออยู่กับตัว โทรศัพท์เเบตหมด หรือว่าอยู่ในที่ไร้สัญญาณ อาการติดโทรศัพท์มือถือจะส่งผลต่อการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างและสังคม โดยเฉพาะด้านสุขภาพร่างกาย เช่น 1.นิ้วล็อก เกิดจากการใช้นิ้วกด จิ้ม สไลด์ หน้าจอเป็นระยะเวลานาน 2.อาการทางสายตา เช่น ตาล้า ตาพร่า ตาแห้ง เกิดจากเพ่งสายตาจ้องหน้าจอเล็กๆ ที่มีแสงจ้านานเกินไป อาจส่งผลให้วุ้นในตาเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม 3.ปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่ จากการก้มหน้า ค้อมตัวลง ส่งผล เลือดไหลเวียนไม่สะดวก หากเล่นนานๆ อาจมีอาการปวดศีรษะตามมา รวมไปถึงหมอนรองกระดูกเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร  4.โรคอ้วน แม้พฤติกรรมจะไม่ส่งผลโดยตรง แต่การนั่งทั้งวันโดยไม่ลุกเดินไปไหน เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคอ้วนและโรคเรื่อรังอื่นๆได้

ด้าน แพทย์หญิงทิพาวรรณ บูรณสิน สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า โนโมโฟเบีย (Nomophobia) มาจากคำว่า “no mobile phone phobia” เป็นศัพท์ที่หน่วยงายวิจัยทางการตลาดขนาดใหญ่ (YouGov) บัญญัติขึ้นเมื่อปี 2010 ที่ใช้เรียกอาการที่เกิดจากความหวาดกลัว วิตกกังวลเมื่อขาดโทรศัพท์มือถือ ซึ่งพบมากที่สุดกว่าร้อยละ 70 ในกลุ่มเยาวชน 18-24 ปี  รองลงมาคือ กลุ่มคนวัยทำงานช่วงอายุ 25–34 ปี และกลุ่มวัยใกล้เกษียณ 55 ปีขึ้นไป ตามลำดับ ในปัจจุบัน ยังไม่ถึงขั้นกำหนดเกณฑ์การวินิจฉัยโรคหลักทางจิตเวช (DSM 5) เนื่องจากการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรค พยาธิสภาพทางจิตใจ และ ผลกระทบต่อสุขภาพจิตในระยะยาวยังมีไม่มากพอ

อย่างไรก็ตาม แนวทางการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนด้วยตนเอง มีหลายวิธี เช่น กำหนดช่วงเวลาในการใช้โซเชียลมีเดียในแต่ละวัน, กำหนดสถานการณ์ที่จะไม่เล่นสมาร์ทโฟน เช่น ขณะเดิน กิน ก่อนนอน ตื่นนอนใหม่ๆ ขับรถ อยู่บนรถโดยสาร เรียน ทำงาน หรือแม้แต่อยู่ในห้องน้ำ ควรหากิจกรรม งานอดิเรก เล่นกีฬากิจกรรมผ่อนคลายในครอบครัวทดแทนเวลาในการใช้อุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด

People unity news online : post 2 เมษายน 2561 เวลา 08.30 น.

ประสานวัดเตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์

People Unity News : 13 เมษายน 2566 “อนุชา” สั่งการสำนักพุทธประสานวัดเตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยวเข้าวัดหนาแน่นช่วงสงกรานต์ ขอประชาชนขับขี่ปลอดภัย เมาไม่ขับ ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลสงกรานต์ประชาชนเดินทางเข้าวัดทำบุญ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างคึกคัก เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัว ซึ่งถือเป็นประเพณีดีงามที่ชาวพุทธถือปฏิบัติมาเป็นระยะเวลานาน ตนในฐานะรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนา สั่งการให้มีการเตรียมความพร้อมรองรับประชาชน และนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาทำบุญ ซึ่งคาดว่าปีนี้วัดจะเป็นสถานที่ที่พุทธศาสนิกชนจำนวนมากนิยมเดินทางภายหลังจากสถานการณ์แพร่พระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ผ่อนคลายลง ส่งผลให้การท่องเที่ยวทั่วประเทศกลับมาคึกคัก โดยเฉพาะการท่องเที่ยวสายวัฒนธรรม โดยปีนี้หลายจังหวัดได้จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐิจในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี อย่างเช่น ในพื้นที่กรุงเทพมหานครได้เปิดพื้นที่เล่นน้ำสงกรานต์ปลอดภัยปลอดเครื่องดื่มแอลกอลฮอล์ จำนวน 40 แห่ง ในพื้นที่ 29 เขต ส่วนที่ จ.เชียงใหม่ มีชาวเชียงใหม่และนักท่องเที่ยวร่วมเข้าวัดทำบุญ และเล่นน้ำสงกรานต์อย่างคึกคักหลังจากที่ไม่ได้จัดงานมาเป็นระยะเวลา 3 ปี จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา

“เทศกาลสงกรานต์ เป็นวันหยุดยาว มีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาเป็นจำนวนมาก ขอให้ใช้เวลาวันหยุดพักผ่อนอยู่กับครอบครัว ร่วมเข้าวัดทำบุญ ทำกิจกรรมตามประเพณี ในช่วง 7 วันอันตรายนี้ รัฐบาลขอให้ประชาชนเคารพ ปฏิบัติตามกฎจราจร และมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมทาง เพื่อลดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินจากอุบัติเหตุทางถนน ขอให้ประชาชนระลึกไว้เสมอว่า “เมาไม่ขับ” ในนามของรัฐบาลขออำนวยพรให้ทุกท่านเดินทางถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ และประสบแต่ความสุขในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

มีลุ้น!!! คนไทยได้เชียร์บอลโลก

People Unity News : 2 พฤศจิกายน 2565 “พล.อ.ประวิตร” บอกกำลังเจรจา กสทช.ถ่ายทอดบอลโลก ด้าน “สมศักดิ์” ระบุ ดีลช้าราคาจะถูกลง แต่อาจโดนวิจารณ์

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ระหว่างวันที่ 20 พ.ย.-18 ธ.ค. 65 ที่ประเทศกาตาร์ ว่า เป็นหน้าที่ของตนที่จะทำให้ได้ อยากให้ดูกันทุกคน

เมื่อถามย้ำว่าคนไทยจะได้ชมแน่ๆใช่หรือไม่และถ่ายทอดทางช่องใด พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังไม่รู้ เดี๋ยวให้ได้ก่อน โดยใช้งบประมาณของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพราะงบประมาณนี้ ทำให้ประชาชน

ด้าน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีไม่มีภาคเอกชนเข้ามาร่วมถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกเหมือนปีที่แล้ว ว่า ตนไม่ได้เป็นคนเริ่ม หลายท่านเป็นคนเริ่ม ตนเลยตอบไม่ถูก เอาเป็นว่ามีให้ดูก็โอเคแล้ว และงบที่ใช้น่าจะไม่ถึงหลักพันล้านบาท เพราะตนบอกในคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว ถ้ายิ่งช้ามันยิ่งคุ้ม ครั้งที่แล้วเหลือ 300 ล้านบาท เคยดีลมาหลายครั้งแล้ว แต่ถ้าทำช้าไปก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ จะทำให้เสียหน้า ตอนนี้ยังไม่ถือว่าช้าและราคาเริ่มลง

เมื่อถามว่าประเทศไทยถูกมองว่าใช้งบประมาณถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกมากที่สุดในภูมิภาค นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ถ้าเราทำสัญญามันก็ถูก เพราะเขากลัวเราไม่เอา และว่า “แม้ผมจะชอบเล่นฟุตบอล แต่ไม่ชอบดูฟุตบอลโลก เพราะมีหลายทีมไม่รู้จะเชียร์ใคร เยอะไปหมด”

Advertisement

“กนกวรรณ”ตรวจสนามกีฬาร.ร.กีฬาอุบลฯ เตรียมแข่งกีฬา กศน.เกมส์ครั้งที่ 5

People Unity News : “กนกวรรณ” เสมา 3 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความพร้อมของสนามกีฬาโรงเรียนกีฬาจังหวัดอุบลฯ เพื่อเตรียมการในการแข่งขันกีฬา กศน.เกมส์ ครั้งที่ 5 ปลื้ม กศน.อุบลเดินหน้าจัดการศึกษาเพื่อผู้ด้อยโอกาสได้ตามเป้า

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมคณะทำงาน รมช. และ นายธฤติ ประสานสอน ผอ.กศน.จังหวัดอุบลราชธานี ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบความพร้อมของสนาม ณ โรงเรียนกีฬาจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อใช้ในการแข่งขันกีฬา กศน. ทั่วประเทศ ครั้งที่ 5 ใน “กศน.เกมส์” ระหว่างวันที่ 19-21 กุมภาพันธ์ 2563

สำหรับกิจกรรมมีการแข่งขันกีฬาทั้งหมด 5 ประเภท ได้แก่  กรีฑาฟุตบอล, วอลเลย์บอล,ตะกร้อ, เปตองผสม และกอล์ฟ ซึ่งการจัดการแข่งขันกีฬาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้ นักศึกษา กศน. ผู้บริหารหน่วยงาน/สถานศึกษา ครู กศน. บุคลากรทางการศึกษา พนักงานราชการ และข้าราชการพลเรือน ในสังกัดสำนักงาน กศน.ได้เล่นกีฬาและออกกำลังกายอย่างถูกวิธี และเสริมสร้างสัมพันธภาพอันดีระหว่างนักศึกษา กศน. ผู้บริหารหน่วยงาน/สถานศึกษา ครู กศน. บุคลากรทางการศึกษา พนักงานราชการ และข้าราชการพลเรือน ในสังกัดสำนักงาน กศน.

ปลื้ม กศน.อุบลเดินหน้าจัดการศึกษาเพื่อผู้ด้อยโอกาสได้ตามเป้า

อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 23 ดร.กนกวรรณ พร้อมด้วย นายสมเกียรติ ตันดิลกตระกูล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะเดินทางไปตรวจเยี่ยมกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มเด็กเร่ร่อนที่ชุมชนท่าบ้งมั่ง เทศบาลเมืองวารินชำราบ โดย กศน. อำเภอวารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ซึ่งในวันนี้ รมช.ศธ.ได้ให้กำลังใจครู กศน.และสอบถาม พูดคุยถึงสภาพปัญหาพร้อมมอบสื่อการเรียน การสอน ผ้าห่มแก่กลุ่มเด็กเร่ร่อนที่มาเรียนในวันนี้จำนวน 20 คน ด้วยความห่วงใย

รมช.ศธ.ได้เปิดเผยว่า ตนมีความตั้งใจในการลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบาย ที่เคยมอบให้ผอ.กศน.จังหวัดอุบลราชธานีไปขับเคลื่อนตั้งแต่คราวลงพื้นที่เมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีและขอบคุณ กศน.จังหวัดอุบลราชธานีที่ได้นำข้อสั่งการ และนโยบายจัดการศึกษาเพื่อผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเร่ร่อนและผู้พิการ ไปขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเมืองอุบลราชธานี  (กศน.อำเภอเมืองอุบลราชธานี) ได้จัดการศึกษานอกระบบสำหรับ เด็กด้อยโอกาส มาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2552 จนถึงปัจจุบัน มีบุคลากรครูที่รับผิดชอบ จำนวน 4 คน กลุ่มเป้าหมาย ทั้งสิ้น จำนวน 101 คน  กระจายอยู่ในพื้นที่ชุมชนแออัดของอำเภอเมืองอุบลราชธานีและอำเภอวารินชำราบ จำนวน 11 ชุมชน  เนื่องด้วยสภาพแวดล้อมของชุมชนเมือง ที่มีความเหลื่อมล้ำของผู้คนที่มาจากต่างถิ่น เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่  ซึ่งกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวเป็นผู้ด้อยโอกาส  เนื่องจากเข้าไม่ถึงการบริการ  สวัสดิการต่างๆของภาครัฐ ด้วยองค์ประกอบหลายด้าน

“จึงต้องการความช่วยเหลือ การพัฒนา เพื่อสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขตามอัตภาพ  ไม่สร้างความเดือดร้อนหรือเป็นภาระของสังคม  โดยที่นี่มีการจัดการศึกษานอกระบบสำหรับเด็กด้อยโอกาส ตามกรอบนโยบาย  และภารกิจของสถานศึกษา ประกอบด้วย การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต  การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพ การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน และการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย โดยการประสานการดำเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่าย เช่น เทศบาลนครอุบล เทศบาลเมืองวารินชำราบ   โรงเรียนพุทธเมตตา(วัดไชยมงคล)  สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) นับว่าเป็นผลความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติของพื้นที่เป้าหมายได้อย่างดีระดับหนึ่ง” ดร.กนกวรรณ กล่าว

จากนั้น รมช.ศธ.พร้อมคณะ เดินทางไปตรวจเยี่ยมการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนสำหรับผู้สูงอายุ ณ โรงเรียนผู้สูงอายุ กศน.อำเภอเดชอุดม จ.อุบลราชธานี โรงเรียนผู้สูงอายุ กศน.อำเภอเดชอุดม เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2561 โดยเป็นสถานศึกษาที่เกิดจากการลงนามความร่วมมือในการจัดการศึกษา ระหว่าง เทศบาลตำบลเมืองเดช และ กศน.อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ที่มีวัตถุประสงค์มุ่งพัฒนาศักยภาพให้แก่ผู้สูงอายุภายใต้แนวคิด “การศึกษานอกโรงเรียนเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต” โดยมีผู้สูงอายุในพื้นที่เขต อบต.เมืองเดช ให้ความร่วมมือในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนร่วมกันทุกวันอังคารของสัปดาห์ เน้นการพัฒนาผู้สูงอายุด้วยการเรียนเพื่อพัฒนาศักยภาพชีวิต การเรียนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และการเรียนเพื่อพัฒนาสุขภาพชีวิต ผ่านการถ่ายทอดความรู้อย่างเป็นระบบที่ผู้สูงอายุจะได้เรียนรู้อย่างสนุกสนาน เกิดทักษะด้านการดูแลตัวเอง และพึ่งพาตัวเองได้ในระดับพื้นฐาน ทำให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพกายสุขภาพใจที่ดีขึ้น มีสังคม เพื่อน ฝูง ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เกิดประโยชน์แก่ตัวผู้เรียนรวมถึงการพัฒนาความสามารถทางกาย จิต สังคม ปัญญา และ เศรษฐกิจ เพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิต และเห็นคุณค่าในตนเองยิ่งขึ้น

ดร.กนกวรรณ ได้กล่าวขอบคุณ ทุกฝ่ายที่จัดกิจกรรม เพื่อผู้สูงอายุ ซึ่งในอนาคตผู้สูงอายุจะมีศักย ภาพมากขึ้น จึงขอให้ผู้สูงอายุอย่าอายที่จะมาร่วมแลกเปลี่ยน เรียนรู้ ประสบการณ์แก่กัน และเน้นย้ำให้สอดแทรกและปลูกฝังความสำคัญ ความเข้าใจที่ถูกต้องของสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมไปในกิจกรรมต่าง ๆ ด้วย

ดร.ดิศกุล เกษมสวัสดิ์ เลขาธิการ กศน. เปิดเผยว่า ขณะนี้ กศน.ได้ตั้งคณะทำงานและประชุมร่างแผนพัฒนาการศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาส(เร่ร่อน)​และผู้พิการ เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบายในการปฎิบัติของพื้นที่ให้บรรลุเป้าหมายครอบคลุมทุกมิติต่อไป

นายธฤติ ประสานสอน ผู้อำนวยการ กศน.จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงาน กศน.จังหวัดอุบลราชธานีได้จัดกิจกรรมส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการโดยมีการจัดตั้งชมรมผู้สูงอายุครอบคลุมทั้ง 25 อำเภอ ซึ่งมีการดำเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่ายในชุมชน จัดกิจกรรมที่มุ่งเน้นการพัฒนาแบบองค์รวม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในชุมชนให้สามารถดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและมีคุณค่าในสังคมต่อไป

ออมสินช่วยน้ำท่วมภาคใต้พักหนี้ 3 เดือนทันที ให้กู้ฉุกเฉินไม่คิดดอกเบี้ย 1 ปี 3 เดือนแรกไม่ต้องผ่อน

People Unity News : ออมสินช่วยน้ำท่วมภาคใต้พักหนี้ 3 เดือนทันที ให้กู้ฉุกเฉินไม่คิดดอกเบี้ย 1 ปี 3 เดือนแรกไม่ต้องผ่อน

ธนาคารออมสิน จัดมาตรการเร่งด่วนช่วยภัยน้ำท่วมภาคใต้ พักชำระหนี้ทันที 3 เดือน เน้นช่วยเหลือพื้นที่ตามความหนักเบาของผลกระทบที่ได้รับ พร้อมทั้งให้กู้ฉุกเฉิน “สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ” รายละ 50,000 บาท โดยปีแรกไม่คิดดอกเบี้ย และ 3 เดือนแรกไม่ต้องจ่ายคืนเงินกู้

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า เหตุฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องหลายวันในช่วงนี้ทำให้เกิดน้ำท่วมหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ของไทย ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และสร้างความเสียหายต่อลูกค้าและประชาชนเป็นวงกว้าง ธนาคารได้เร่งให้ความช่วยเหลือ โดยนำถุงยังชีพและน้ำดื่มออกไปแจกจ่ายเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าเป็นการด่วนแล้วกว่า 3,500 ชุด และหน่วยบริการอาหารฟรีทุกวัน ซึ่งเบื้องต้นจังหวัดที่ประสบภัยพิบัติ คือ จ.นครศรีธรรมราช กับ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีลูกค้าเงินฝากและสินเชื่อธนาคารออมสินกว่า 957,000 ราย และพื้นที่ใกล้เคียง โดยได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วน

ทั้งนี้ ธนาคารได้ออกมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกค้าสินเชื่อทุกประเภท แบ่งเป็น 3 ระดับตามความหนักเบาของผลกระทบที่ได้รับ โดยเฉพาะระดับความรุนแรงสูง และทางการประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัย ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบที่พักอาศัย/สถานประกอบการเสียหายส่งผลให้รายได้ลดลง และ/หรือมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ธนาคารผ่อนปรนให้พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 3 เดือน สำหรับระดับความรุนแรงปานกลาง ที่มีน้ำท่วมขังเกินกว่า 7 วัน และมีค่าใช้จ่ายปรับปรุง/ซ่อมแซม ให้พักชำระเงินต้นและชำระแต่ดอกเบี้ย 50% ในระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี และระดับความรุนแรงขั้นต้น ที่ถูกภัยน้ำท่วมและมีน้ำท่วมขังเกินกว่า 7 วัน ให้พักชำระเงินต้นไม่เกิน 2 ปี และชำระเงินแต่ดอกเบี้ย ขยายเวลาชำระหนี้เท่ากับระยะเวลาพักชำระเงินต้น

ขณะเดียวกัน ธนาคารยังให้ประชาชนที่ประสบภัยกู้เงินฉุกเฉิน “สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากเหตุน้ำท่วม/ภัยพิบัติ รายละไม่เกิน 50,000 บาท ไม่คิดดอกเบี้ยในปีแรก หลังจากนั้นคิดดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 0.85 ต่อเดือน (Flat Rate) ชำระเงินเป็นรายเดือน 3-5 ปี โดยปลอดชำระเงินงวด 3 เดือนแรก นอกจากนี้ ยังให้สินเชื่อเคหะแก่ผู้ประสบภัยพิบัติ เพิ่มเติมสำหรับลูกค้าเดิมและประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบเพื่อซ่อมแซมต่อเติมที่อยู่อาศัยส่วนที่เสียหายได้ถึง 100% ของราคาประเมิน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยดอกเบี้ยปีแรก 0% ปีที่ 2-3 = 3.00% ต่อปี และ ปีที่ 4 เป็นต้นไป = MRR-0.75% ต่อปี  และสินเชื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจของธนาคาร วงเงินกู้สูงสุด 10% ของวงเงินกู้เดิมแต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท ผ่อนนานสูงสุด 5 ปี โดยปลอดชำระเงินต้น 1 ปี อัตราดอกเบี้ยปีแรก 3.50% ปีที่ 2 เป็นต้นไป = MLR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยธนาคาร MRR = 6.245% และ MLR = 6.150% ต่อปี)

Advertising

กทม. เตรียมพัฒนาทางเท้า 5 ย่าน 10 โครงการ ยกระดับคุณภาพชีวิตคนกรุง

People Unity News : กทม. เตรียมพัฒนาทางเท้า 5 ย่าน 10 โครงการ ยกระดับคุณภาพชีวิตคนกรุง

19 ธ.ค.64 กทม. เตรียมดำเนินการตามแผนงานการพัฒนา “กรุงเทพบูรณาการ ฟื้นเมือง เชื่อมย่าน สานอนาคต เฟส 2” โดยเดินเท้าลงสำรวจทางเท้าและถนนใน 5 ย่าน รวม 10 โครงการ ประกอบด้วย

“ย่านศูนย์กลางธุรกิจ” ได้แก่ ถ.สาทรและคลองสาทร ระยะช่องนนทรี – ลุมพินี/ ถ.สีลม ระยะแยกนราธิวาส – ถ.เจริญกรุง

“ย่านเมืองเก่า” ได้แก่ ถ.เยาวราช ระยะคลองโอ่งอ่าง-วงเวียนโอเดียน – คลองผดุงกรุงเกษม/ ด้านล่างสะพานพระปกเกล้า

“ย่านธนบุรี” ได้แก่ ถ.บรมราชชนนี ระยะสะพานพระปิ่นเกล้า – เซ็นทรัลปิ่นเกล้า – ซ.รุ่งประชา

“ย่านเศรษฐกิจใหม่” ได้แก่ ถ.สุขุมวิท ระยะแยกราชประสงค์ – แยกอโศก/ ถ.ราชดำริ ระยะแยกราชประสงค์ – ถ.พระราม4/ แยกอโศก – แยกพระโขนง

“ย่านนวัตกรรมและศูนย์การแพทย์” ได้แก่ รอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และ 4 เกาะ/ ซ.โยธี

จากนั้น จะนำสรุปผลจากการลงพื้นที่สำรวจทางเท้าและถนน ความคิดเห็นประชาชนและประชาสังคม มาประกอบการพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพ จัดระเบียบสายไฟฟ้าและสายสื่อสาร ระบบระบายน้ำ ต้นไม้ ป้ายโฆษณา ปรับปรุงภูมิทัศน์ให้สวยงาม มีระเบียบเรียบร้อย เพิ่มความสะดวกแก่ประชาชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุและคนพิการ

Advertising

Verified by ExactMetrics