วันที่ 19 พฤษภาคม 2024

รัฐบาลเพิ่มสิทธิ “หลักประกันสุขภาพ” ให้เหมาะกับแต่ละช่วงวัย ตั้งแต่เด็กแรกเกิดถึง 60 ปีขึ้น

People Unity News : รัฐบาลเพิ่มสิทธิ “หลักประกันสุขภาพ” ให้เหมาะสมกับความจำเป็นของแต่ละช่วงวัย ตรงตามความต้องการที่แตกต่างกันของชายหญิง

5 ก.พ. 65 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ปี 2565 รัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้แก่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อบริหารจัดการสิทธิประโยชน์ให้กับประชาชนคนไทยทุกสิทธิหลักประกันสุขภาพ โดยเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์ให้เหมาะกับความจำเป็นของแต่ละช่วงวัย ดังนี้

✅กลุ่มหญิงตั้งครรภ์และหลังคลอด สามารถขอรับคำปรึกษาการเตรียมความพร้อมที่จะมีบุตรได้ที่หน่วยบริการประจำที่ลงทะเบียนไว้ จากเดิมการดูแลการตั้งครรภ์ในสิทธิบัตรทองกำหนดไว้อย่างน้อย 5 ครั้ง ปรับขยายเป็น 8 ครั้ง และหากมีความจำเป็นสามารถดูแลได้มากกว่านั้น

✅กลุ่มเด็กเล็กอายุ 0 – 5 ปี เมื่อทารกคลอดออกมาจะได้รับการเจาะเลือดที่ส้นเท้า เพื่อตรวจภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนและโรคฟินิลคีโตนูเรีย โดยจะเพิ่มการตรวจคัดกรองโรคทางพันธุกรรมเมตาบอลิก 40 โรค ด้วยเครื่อง Tandem mass spectrometry

✅กลุ่มเด็กโต – วัยรุ่น อายุ 6 – 24 ปี สำหรับผู้หญิงเมื่อเริ่มมีประจำเดือน มีสิทธิประโยชน์ในการตรวจเลือด เพื่อคัดกรองภาวะโลหิตจางที่อาจจะเกิดขึ้นได้ พร้อมสิทธิรับยาเสริมธาตุเหล็กและกรดโฟลิก และกลุ่มผู้ตั้งครรภ์ไม่พร้อม สามารถขอรับคำปรึกษาได้

✅กลุ่มผู้ใหญ่อายุ 25 – 59 ปี มีสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม คือ

> ตรวจคัดกรองการกลายพันธุ์ของยีนโรคมะเร็งเต้านม คือ ยีน BRCA1 BRCA2 ในคนที่เป็นมะเร็งเต้านม และติดตามญาติสายตรง ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงมารับการตรวจคัดกรอง ซึ่งจะได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง

> ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี HPV DNA Test หรือแป็บสเมียร์ (Pap smear)

> ตรวจคัดกรองโรคเสี่ยงมะเร็งและมะเร็งช่องปากในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป และการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังการสัมผัสเชื้อ (HIV PEP) กรณีหลังนี้ให้สิทธิในทุกกลุ่มวัย

✅กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป สิทธิประโยชน์จะมีความคล้ายคลึงกับกลุ่มวัยผู้ใหญ่ ซึ่งจะตรวจคัดกรองความดัน  เบาหวาน มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น

Advertising

สาธารณสุขเตือนประชาชนระวังโรคลมร้อนหรือฮีทสโตรก (Heat Stroke) ช่วงฤดูร้อน

People unity : กระทรวงสาธารณสุข  แนะนำประชาชนหลีกเลี่ยงทำกิจกรรมกลางแดดจัดเป็นเวลานาน ดื่มน้ำให้เพียงพอ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงที่อากาศร้อน ป้องกันโรคลมร้อนในช่วงฤดูร้อน

นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในปีนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่าประเทศไทยจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นกว่าทุกๆปี ตามแนวโน้มของอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากร่างกายปรับสภาพไม่ทันต่ออุณหภูมิที่สูงขึ้นจะเกิดการเจ็บป่วยและเสียชีวิตได้ง่าย กลุ่มอาการที่เกิดขึ้นเป็นได้ตั้งแต่อาการเพียงเล็กน้อย เช่น ผื่น ผดแดด บวมแดด ตะคริวแดด การเกร็งจากแดด ส่วนอาการที่รุนแรงจนอาจเสียชีวิต ได้แก่ เพลียแดด โรคลมร้อนหรือฮีทสโตรก (Heat Stroke) ถือว่าเป็นภัยใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน ไม่มีเหงื่อออก ตัวร้อนจัด ปวดศีรษะ ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตลดลง และอาจเสียชีวิตได้ทันที

ในทุกๆปีจะมีผู้ป่วยโรคเหตุปัจจัยจากความร้อนเข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลเฉลี่ยปีละประมาณ 3,500 ราย ข้อมูลเฝ้าระวังการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตเนื่องจากภาวะอากาศร้อน ของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ในช่วงฤดูร้อน ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม พ.ศ.2558-2560 มีผู้เสียชีวิตสูงสุดในปี 2559 จำนวน 60 ราย ซึ่งเป็นปีที่มีอากาศร้อนกว่าทุกปี สำหรับหน้าร้อนปี 2561 พบผู้เสียชีวิต 18 ราย เป็นชาย 17 ราย หญิง 1 ราย ส่วนใหญ่ร้อยละ 30 มีอาชีพรับจ้าง ร้อยละ 15 เป็นเกษตรกร โดยมีโรคประจำตัวเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ร้อยละ 27.8 มีพฤติกรรมเสี่ยงคือการดื่มสุราเป็นประจำร้อยละ 27.7 และเสียชีวิตสูงสุดในเดือนเมษายน

นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า ขอให้ประชาชนใส่ใจถึงสภาพแวดล้อม อุณหภูมิ ความชื้นรอบตัวที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน  ไม่ออกกำลังกายหรือทำงานกลางแดดจัดเป็นเวลานาน  ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ วันละ 8-10 แก้ว ไม่ปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำจนรู้สึกกระหายหรือริมฝีปากแห้ง สวมเสื้อผ้าเหมาะสมกับสภาพอากาศและระบายเหงื่อได้ดี สวมแว่นกันแดด กางร่ม ทาโลชั่นกันแดด SPF 15 ขึ้นไป ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงที่อากาศร้อน ดูแลเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้ป่วยเรื้อรังอย่างใกล้ชิด

หากพบผู้มีอาการสงสัยว่าเจ็บป่วยจากสภาวะอากาศร้อน ควรให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยรีบนำผู้ป่วยเข้าในที่ร่ม อากาศถ่ายเทได้สะดวก ให้ดื่มน้ำเย็น ให้นอนราบและยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นสูง ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามหน้าผาก ซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ ร่วมกับใช้พัดลมเป่าช่วยระบายความร้อน เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกายให้ต่ำลงโดยเร็วที่สุด ถ้ามีอาการรุนแรง หมดสติ ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลทันที หรือโทรสายด่วน 1669

สังคม : สาธารณสุขเตือนประชาชนระวังโรคลมร้อนหรือฮีทสโตรก (Heat Stroke) ช่วงฤดูร้อน

People unity : post 3 มีนาคม 2562 เวลา 12.00 น.

ครม.อนุมัติ 445 ล้านให้ ตร.ซื้อกล้องบันทึกภาพ-เสียง

People Unity News : 21 กุมภาพันธ์ 2566 ครม.อนุมัติ 445 ล้านบาทให้ ตร.จัดหากล้องบันทึกภาพและเสียง นายกฯ ย้ำจัดหาโปร่งใส ตรวจสอบได้

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)  ว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติ  444.81 ล้านบาทให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ดำเนินโครงการ จัดหากล้องบันทึกภาพและเสียงตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 โดยจะจัดหากล้องบันทึกภาพและเสียงจำนวน  48,568 ชุด แบ่งเป็น 3 รายการ ได้แก่  1.กล้องบันทึกภาพและเสียงชนิดติดบนตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ  จำนวน 37,624  ชุด งบประมาณ  338.62 ล้านบาท  สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 กลุ่มสายงาน ได้แก่ สายงานป้องกันปราบปรามและสายงานจราจร  จำนวน 16,945 ชุด  และสายงานสืบสวนสอบสวน จำนวน 20,679 ชุดซึ่งได้รับการจัดสรรเป็นครั้งแรก

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า 2.กล้องบันทึกภาพและเสียงแบบมือถือ พร้อมอุปกรณ์เพื่อใช้ในห้องสอบสวนและห้องควบคุม จำนวน 9,366  ชุด งบประมาณ 93.57 ล้านบาท สำหรับสถานีตำรวจทั่วประเทศ จำนวน 1,484 สถานี และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จำนวน 77 หน่วยงาน 3.กล้องบันทึกภาพและเสียงชนิดติดตั้งภายในรถยนต์ จำนวน 1,578 ชุด  งบประมาณ  12.62  ล้านบาท สำหรับติดตั้งในรถยนต์ของกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาค 1-9

“พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันพรุ่งนี้ ( 22 ก.พ.) บัญญัติให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องบันทึกภาพและเสียงผู้ต้องหาตั้งแต่เริ่มควบคุมตัว ผู้ต้องหาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา จึงเป็นความจำเป็นต้องจัดหากล้องบันทึกภาพและเสียง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายปฏิบัติการทุกนายใช้ในการปฏิบัติงานตามหน้าที่โดยเร่งด่วนและทันที” นายอนุชา กล่าว

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมย้ำเรื่องการจัดหาด้วยความสุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้  และไม่ให้ผลประโยชน์ตกแก่บุคคลใด สำหรับหน่วยงานที่มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว เช่น  กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม ให้เร่งจัดลำดับความจำเป็นด้วย

Advertisement

“AI กับพุทธธรรม” วิจัยสุดทันสมัย! คณาจารย์ “ม.สงฆ์ มมร”ทำ

People Unity :  “AI กับพุทธธรรม” วิจัยสุดทันสมัย! คณาจารย์ “ม.สงฆ์ มมร”ทำ “อุทิส ศิริวรรณ”เผย “พระพุทธเจ้าเป็นนักทรัพยากรมนุษย์ที่ทันสมัย”

วันที่ 20 ต.ค.2562 ศ.ดร.อุทิส ศิริวรรณ นักวิชาการด้านพุทธศาสนา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว” Uthit Siriwan” ความว่า “ประเด็นวิจัยทันสมัย AI กับพุทธธรรม? โดยคณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร) ตลอดสัปดาห์ผมใช้เวลาค่อนข้างมากค้นคว้าและอ่าน “งานวิจัยทันสมัย” AI เป็นต้น เพื่อตอบ “ประเด็น” ที่คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตสิรินธร สมุทรสาคร ทั้ง 3 ท่าน ช่วยกันทำวิจัย

งานวิจัยชุดโครงการนี้น่าสนใจ เพราะประเด็นวิจัยที่ตั้งขึ้นยกตัวอย่าง “ทฤษฎี 3 สมดุล (สมดุลผลิต สมดุลบริโภค สมดุลผลประโยชน์) ที่ส่งเสริมให้เกิดการสนับสนุนกันระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค” ข้อคำถามคือ “การสร้างและใช้งานหุ่นยนต์ของผู้ผลิตย่อมมีจุดมุ่งหมายอย่างเดียว คือ สนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพของผู้บริโภค” ประเด็นที่ผมต้องตอบคือ ท่านเห็นด้วย หรือมีข้อโต้แย้ง หรือมีข้อสนับสนุนต่อประเด็นเหล่านี้หรือไม่อย่างไร

ยกตัวอย่างคำถามวิจัย เป็นต้นว่า… 1) ในแผนประเทศไทย 4.0 ที่ยึดโยงอยู่กับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่เห็นว่าแรงงานมนุษย์เป็นต้นทุนในการผลิตอย่างหนึ่ง การบริหารจัดการกิจการให้ได้กำไรมากที่สุดวิธีการหนึ่ง ก็คือ การลดต้นทุนการผลิตและบริหารจัดการ การจ้างงานมนุษย์ก็อยู่ในขอบเขตนี้ด้วย 2) เทคโนโลยีหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ยิ่งก้าวหน้ามากขึ้นเท่าใด ก็จะทำให้ผู้ประกอบการใช้หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ แทนแรงงานมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น รออีกสัก 1 ปี คงได้คำตอบจาก “ผู้ทรงคุณวุฒิ” ที่หลากหลายวงการ ผมเองก็มี “ประเด็น” ที่จะอภิปราย….

ผมคิดอะไร? คิดว่าโลกในยุคเปลี่ยนผ่านพุทธศาสนาใช้ “ตอบ” โจทย์วิจัยประเด็นปัญหาชาวโลกในยุคดิจิทัลได้เพราะจะว่าไปแล้ว “พระพุทธเจ้า” เน้นให้ใช้แรงงานคนน้อย แต่ทำแล้วได้ผลงานมากอยู่แล้ว ยกตัวอย่างให้พระจาริกไปรูปเดียว และให้ใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า โดยเฉพาะเพื่อ “ประโยชน์” “เกื้อกูล” และ “ความสุข” บอกตรง ผมว่า “พระพุทธเจ้า” เป็น “นักทรัพยากรมนุษย์” ที่ทันสมัย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศ.ดร.อุทิส ศิริวรรณได้ติดตามพัฒนาการของเทคโนโลยีขึ้นสูงและแสดงความเห็นที่สัมพันธ์กับพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นให้คณะสงฆ์เห็นความสำคัญ อย่างเช่นได้นำเสนอล่าสุดเรื่อง “การศึกษา’อุทิส ศิริวรรณ’นักวิชาการด้านพุทธศาสนา แนะใช้ ‘AI-IoT’ต่อยอดบาลีพุทธศาสตร์ศึกษาระดับป.เอก https://www.banmuang.co.th/news/education/163540)

“พช.”ยกขบวนอาหารถิ่นรสไทยแท้เสิร์ฟคนกรุง

People Unity : “พช.”ยกขบวนอาหารถิ่นรสไทยแท้เสิร์ฟคนกรุง ในงาน “กรุงเทพธารา ไทยเท่ เสน่ห์นคร @ central World” ณ ลานสแควร์ B ศูนย์การค้าเซนทรัลเวิลด์

นายอนุชิต โอชัยกุล ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมการตลาด สำนักส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและวิสาหกิจชุมชน ผู้แทนกรมการพัฒนาชุมชน(พช.) เข้าร่วมพิธีเปิดงาน “กรุงเทพธารา ไทยเท่ เสน่ห์นคร @ central World” ณ ลานสแควร์ B ศูนย์การค้าเซนทรัลเวิลด์ โดยการจัดงานครั้งนี้ เป็นการบูรณาการร่วมกันหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน เพื่อประชาสัมพันธ์อาหารถิ่นรสไทยแท้ จากสี่ภาคอาหารฟิวชั่น และอาหารขึ้นชื่อทั่วกรุง ให้คนกรุงได้เลือกซื้ออย่างสะดวกสบาย ง่าย ๆ กลางใจเมือง พร้อมถ่ายภาพกับฉากสวย ๆ เก๋เก๋ ที่ผสมผสานวัฒนธรรมจากสี่ภาค โดยมีคุณพีช พชร จิราธิวัฒน์ และคุณพีชญา วัฒนามนตรี ดารานักแสดง ร่วมโปรโมทงานฯ

ห้ามพลาดชิมความอร่อยอาหารถิ่นรสไทยแท้ต้นตำรับจากผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP จำนวน 19 ร้าน ระหว่างวันที่ 25 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2562 ณ ลานสแควร์ B ศูนย์การค้าเซนทรัลเวิลด์

“ม.สงฆ์ มจร” มุ่งพัฒนา “MCU TV” ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกสื่อสารในยุคปัจจุบัน

People Unity : “ม.สงฆ์ มจร” มุ่งพัฒนา “MCU TV” ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกสื่อสารในยุคปัจจุบัน กำหนดประชุมคณะกรรมการบิหาร 2 เดือนต่อครั้ง เพื่อประเมินผลของการพัฒนาสถานี

เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562 ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ. วังน้อย จ. พระนครศรีอยุธยา พระครูโสภณพุทธิศาสตร์ ,ผศ.ดร.รองอธิการบดีฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแผ่ ในฐานะประธานคณะกรรมการบิหารสถานีโทรทัศน์เพื่อการศึกษาและเผยแผ่ธรรมะ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานีโทรทัศน์เพื่อการศึกษาฯ (MCU TV) เพื่อรับฟังความคิดเห็นในการขับเคลื่อนกลยุทธ์เชิงรุก และจัดทำแผนพัฒนาสถานีโทรทัศน์ MCU TV 5 ปี

โดยมีคณะกรรมการเข้าร่วมกระชุม อาทิ พระสุวรรณเมธาภรณ์, ผศ.ดร. รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ พระเมธีธรรมาจารย์,รศ.ดร. รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา พร้อมผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตรายการโทรทัศน์มาร่วมให้คำแนะนำใน เช่น พระเทพสุวรรณเมธี นายมานพ จีรกาญจน์ไพศาล นางขวัญเรือน แก้วพิจิตร โดยที่ปีะชุมได้ให้ข้อคิดเห็นและเสนอแนะใน การผลิตโทรทัศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตเนื้อหาออกอากาศให้ทันเหตุการณ์และเผยแพร่ควบคู่ไปกับสื่อออนไลน์ ปรับปรุงอุปกรณ์ให้มีความทันสมัย

จัดการบริหารเป็นสัดส่วน เน้นบุคลากรภายใน และสร้างเครือข่ายจากวิทยาเขตวิทยาลัยสงฆ์ ในเครือของมหาวิทยาลัย และประสานความร่วมมือจากบุคลากรภายนอก ในการผลิตรายการ รวมถึงงบประมาณจัดสรรในการผลิตรายการ นอกจากนี้ ต้องเน้นกลยุทธ์ ปรับผังรายการให้เข้ากับยุคสมัยและหารายได้จากภายนอกเข้ามาสนับสนุนการผลิตรายการในสถานีโทรทัศน์ MCU TV และได้กำชับในการใช้ลิขสิทธิ์ในถูกต้อง พร้อมทั้งเน้นเนื้อหาด้านข่าวให้มีความรวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ นำออกเผยแพร่ทั้งทางดาวเทียมและสื่อออนไลน์ เพื่อกระจายให้สังคมรับรู้ข้อมูลข่าวสารของมหาวิทยาลัยและของคณะสงฆ์ โดยให้ผู้บริหารนำไปพิจารณา ปรับปรุงแล้วนำเสนอในการประชุมต่อไป

ทั้งนี้ ที่ประชุมยังกำหนดให้มีการประชุมคณะกรรมการบริหาร ระยะเวลา 2 เดือนต่อครั้ง เพื่อประเมินผลของการพัฒนาสถานีต่อไป

ครม. ไฟเขียวเพิ่มวันลาคลอด ขรก. รับเงินเดือน 50% – พ่อลาดูแลลูก 15 วันไม่ติดต่อกันได้

People Unity News : ครม. ไฟเขียวเพิ่มวันลาคลอด ขรก. รับเงินเดือน 50% – พ่อลาดูแลลูก 15 วันไม่ติดต่อกันได้

12 ม.ค. 65 ที่ประชุม ครม. (11 ม.ค. 65) อนุมัติหลักการร่างมาตรการสนับสนุนสตรีให้เป็นพลังสำคัญทางเศรษฐกิจ สร้างการมีส่วนร่วมของผู้ชายในการเลี้ยงดูบุตร และสร้างกลไกการพัฒนาเด็ก เพื่อลดภาระให้กับผู้หญิงที่ทำงาน สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ ที่ไทยเข้าร่วมเป็นรัฐภาคี

ครอบคลุม 3 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มแรงงานหญิงทั้งในระบบและนอกระบบ กลุ่มแม่เลี้ยงเดี่ยว และกลุ่มผู้หญิงสูงอายุที่เป็นผู้เลี้ยงดูเด็ก

สำหรับมาตรการสนับสนุนมี 3 ส่วนหลัก

▶️จัดบริการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และขยายเวลาเปิด – ปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือสถานรับเลี้ยงเด็กให้สอดคล้องกับเวลาทำงานของผู้ปกครองในแต่ละพื้นที่

▶️ขยายวันลาคลอดของแม่ที่เป็นข้าราชการหญิง โดยได้รับค่าจ้างจากเดิมไม่เกิน 90 วัน เป็น 98 วัน (เพิ่มขึ้น 8 วัน) และสามารถลาเพิ่มได้อีกไม่เกิน 90 วัน โดยได้รับเงินเดือนในอัตรา 50%

▶️ส่งเสริมการลาของสามีที่เป็นข้าราชการชาย ช่วยภรรยาดูแลบุตรหลังคลอด โดยให้มีสิทธิลาได้ 15 วันทำการ เป็นช่วงๆ ไม่ติดต่อกันจนครบวันลา (จากเดิมที่ให้ลาครั้งหนึ่งติดต่อกันได้ไม่เกิน 15 วันทำการ)

มาตรการดังกล่าวยังไม่มีผลในขณะนี้ โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จะรับข้อเสนอแนะจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณา และแก้ไขระเบียบต่อไป

Advertising

“หมออนันต์”ชี้ สธ.จับมือ กสท. พัฒนาแพลตฟอร์มสธ.แห่งชาติ

People Unity News : “หมออนันต์”ชี้ สธ.จับมือ กสท. พัฒนาแพลตฟอร์มสธ.แห่งชาติ เชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยทั่วปท. เผย ไม่เกิน 3 ปี ได้ใช้งานเต็มรูปแบบ “เศรษฐพงค์” ลั่น “แพลตฟอร์มสธ.-telemedicine” จะพลิกโฉมวงการแพทย์ไทย ลดเหลื่อมล้ำ-รักษารวดเร็ว-มีคุณภาพ พัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล

วันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 นพ.อนันต์ กนกศิลป์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการลงนามความร่วมมือระหว่าง สธ. กับบริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มระบบสาธารณสุขแห่งชาติ ว่า หลังจากนี้กระทรวงจะยกร่างทีโออาร์ เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่บริษัท กสท.ฯ จะนำมาใช้ เพื่อให้สถานบริการด้านสาธารณสุขใช้ระบบเป็นแบบเดียวกัน เบื้องต้นคาดว่าเดือนธันวาคมนี้จะแล้วเสร็จ และดำเนินการตามกรอบที่กฎหมายกำหนดได้ตั้งแต่ต้นปี 2563 ตนมั่นใจว่า บริษัท กสท. ที่มีเทคโนโลยีและบุคลากรที่เชี่ยวชาญ จะดำเนินการด้านระบบให้สนับสนุนการพัฒนาแพลตฟอร์มด้านสาธารณสุขให้สำเร็จได้ตามกรอบเวลา และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเหตุผลที่ต้องพัฒนาแพลตฟอร์มฯดังกล่าว เพราะปัจจุบันหน่วยบริการสาธารณสุขของประเทศเป็นแบบแยกส่วน ขาดการเชื่อมโยงข้อมูลที่จะอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน หรือผู้ใช้บริการ ดังนั้นหากพัฒนาระบบปฏิบัติการให้เป็นระบบเดียวกันหรือ single system เหมือนกับประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน หรือ เวียดนาม จะยกระดับมาตรฐานการให้บริการด้านสาธารณสุขกับประชาชนได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น” นพ.อนันต์ กล่าว

นพ.อนันต์ กล่าวว่า ระหว่างการพัฒนาเทคโนโลยีระบบปฏิบัติการ สธ. จำเป็นต้องปฏิรูปข้อมูลที่จะบรรจุในแพลตฟอร์มก่อน ยอมรับว่าอาจต้องใช้เวลาสมควร เนื่องจากแต่ละหน่วยบริการขาดการบูรณาการข้อมูล ทำให้ข้อมูลกระจัดกระจาย แต่เราได้วางแผนการทำงานในระยะต่างๆ รองรับไว้แล้ว โดยในปี 2564 การเชื่อมข้อมูลทุกรมของกระทรวงสาธารณสุขจะต้องชัดเจน และในปี 2565 จะมีความชัดเจนในการบูรณาการข้อมูลกับสถานบริการสาธารณสุขของเอกชน อย่างไรก็ตาม แนวทางเร่งรัดดังกล่าวตนเตรียมเสนอไปยังนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ฐานะฝ่ายนโยบาย ให้ขับเคลื่อนวาระดังกล่าว รวมถึงการพัฒนาแพลตฟอร์มสาธารณสุขเป็นวาระแห่งชาติ

ด้าน พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า จากการลงนามร่วมกันระหว่าง สธ. กับ บริษัท กสท.ฯ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของการดำเนินนโยบายด้านสาธารณสุขของพรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ซึ่งเมื่อโครงการนี้สามารถทำได้อย่างเต็มรูปแบบ เชื่อว่าจะพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการสาธารณสุขได้อย่างมาก ประชาชนไม่ต้องรอรับบริการเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลไหน ก็สามารถเรียกข้อมูลการรักษา ข้อมูลต่างๆของผู้ป่วยมาตรวจสอบได้ทันที ทำให้เกิดความรวดเร็วในการบริการ แน่นอนหากโครงการดังกล่าวทำได้สำเร็จ ประกอบกับนโยบายด้านสาธารณสุขของพรรคภูมิใจไทย คือ Telemedicine จะเป็นการพลิกโฉมวงการแพทย์ไทยก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างมีคุณภาพ รวมถึงยังเป็นพัฒนาระบบเศรษฐกิจดิจิทัลอีกด้วย

“ที่สำคัญคือการบริหารงานของรัฐบาลนี้ โดยเฉพาะวิสัยทัศน์ของผู้บริหารของกระทรวง ที่กว้างไกล เห็นความสำคัญในการปรับตัวของระบบสาธารณสุขให้เท่าทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อคุณภาพชีวิตประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง รวมถึงการพัฒนาระบบ และเทคโนโลยี จะทำให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบคุณภาพการบริการได้ ซึ่งจะส่งผลให้การรักษาดีขึ้น เนื่องจากทุกสถานบริการสาธารณสุขต้องแข่งขันด้วยคุณภาพ เพราะเมื่อข้อมูลด้านสาธารณสุขถูกเชื่อมโยง ประชาชนสามารถรับรู้ข้อมูลสุขภาพที่ตนเองรักษาได้ จะทำให้เกิดการเลือกสรรการรักษาหรือการบริการที่ตนเองพอใจมากที่สุด” พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ กล่าว

กลุ่มครูยุติธรรมภิวัฒน์ประชุมภาคใต้ ดีเดย์ฟ้ององค์กรรัฐสามแห่งฉ้อโกงประชาชน

People Unity News : กลุ่มครูยุติธรรมภิวัฒน์ประชุมภาคใต้ ดีเดย์ฟ้ององค์กรรัฐสามแห่งฉ้อโกงประชาชน หลังบุกร้องกองปราบปราม กรมสอบสวนคดีพิเศษ ป.ป.ท. กระทรวงศึกษาธิการและ ป.ป.ง.ได้คำตอบเพียงขณะนี้ได้รับเรื่องไว้

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 หลังจากกลุ่มครูยุติธรรมภิวัฒน์ 200 กว่าคนจากทั่วประเทศไปร้องเรียนกองปราบปราม กรมสอบสวนคดีพิเศษ ป.ป.ท. กระทรวงศึกษาธิการและ ป.ป.ง.ให้ทำการตรวจสอบการกระทำของสำนักงานสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) ธนาคารรัฐแห่งหนึ่ง และบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง ส่อว่าจะฉ้อโกงประชาชนตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2561 ต่อมามีเพียงสองหน่วยงานเท่านั้นที่ตอบมาว่า บริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง อาจมีการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 จึงได้ส่งข้อมูลการกระทำผิดและพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป และ ป.ป.ท.ได้ตอบมาว่า ขณะนี้ได้รับเรื่องไว้แล้วนั้น

นายสำคัญ จงโกเย็น เลขาธิการกลุ่มครูยุติธรรมภิวัฒน์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา เราได้ประชุมกับคณะทนาย 8 คนที่กรุงเทพฯ ที่ประชุมตกลงกันกำหนดวันฟ้องศาลทุจริตกลางและศาลทุจริตฯประจำภาคต่างๆ ในเดือนธันวาคม 2562 และจะทำการประชุมก่อนฟ้องร่วมกับพี่น้องครูผู้กู้รายละ 6 แสนบาทในโครงการ ช.พ.ค.5 ครูผู้กู้รายละ 1.2 ล้านบาทโครงการฯ 6 และครูผู้ก้ 3 ล้านบาทโครงการฯ 7 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ในวันเสาร์ที่ 30พ.ย.นี้

นายสำคัญกล่าวอีกว่า หนึ่งปีเต็มเราได้รับความร่วมมือจากแหล่งข่าว ผู้ใหญ่ในกระทรวงและสืบค้นพบว่า น่าจะมีเงื่อนงำอันเป็นปมเงื่อนหนี้ครูอยู่มากและมีความซับซ้อนมาก อาทิเช่น1. ครูผู้กู้โครงการ5-6-7 มีจำนวนรวม 358,705 ราย ยังคงต้องต่ออายุกรมธรรม์ประกันวินาศภัยอุบัติเหตุฯ ไม่ใช่ประกันชีวิตฯตามมติคณะรัฐมนตรี
22 พ.ค.2550 ครูต่างเดือดร้อนกันมาก เพราะอัตราเบี้ยประกันรายละ 33,480 บาท(เงินกู้6แสน) 66,960 บาท(เงินกู้ 1.2ล้านบาท) 186,300 บาท(เงินกู้3ล้านบาท)
ครูแทบสิ้นเนื้อประดาตัวและแสนสาหัส ถ้าไม่มีเงินเสียเบี้ยประกันในสัญญาข้อ 6 ให้ธนาคารออมสินหักเบี้ยประกันได้เลย แล้วไปเพิ่มยอดหนี้เรื่อยๆ ส่งเท่าไรก็เสียแต่ดอกเบี้ย เงินต้นเล็กน้อย อย่างเช่น ครูกลุ่มหนึ่งเมื่อโอนหนี้ไปแก้ยังสหกรณ์ครูจะต้องผ่อนส่งถึง 519 งวด เลยทีเดียวเราพากันเรียกว่า ชาติหน้าก็ใช้หนี้ไม่หมด 2. เงินค่าคอมมิชชัน มีหลักฐานแสดงการจ่ายเงินนี้แก่คนใน สกสค.สองส่วน ธนาคารออมสิน 1 ส่วน และบริษัทประกันอีก 1ส่วน ตอนแรกใส่ถุงไปแจกกันในระดับสาขา เขต และภาค ตอนหลังจำนวนเงินมากขึ้นต้องโอนเข้าบัญชีลับของธนาคาร สามารถตรวจสอบได้ที่บัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง เพราะเป็นเงินโอนทันทีจากธนาคารทุกสาขามาทำประกันกับบริษัทนี้มีจำนวนเงินสูงถึง 3 หมื่นกว่าล้านบาท

3. เอกสารน่าจะสมคบคิดกันในการหักโอนใน 4 บัญชีของ สกสค.ที่ธนาคารมอบให้ตามสัดส่วนร้อยละ 1 ของผู้กู้ ไปชำระหนี้แทนครูผู้กู้ค้างชำระ 3 เดือนติดต่อกันเพราะอดีตเลขาธิการ สกสค.ได้ไปลงนามในฐานะ”ผู้มีอำนาจทำการแทน” ให้กับรองผู้อำนวยการธนาคารออมสินภาค 1 เป็นผู้หักโอนจาก 4 บัญชีไปชำระหนี้แทนครูรวมแล้วทั้งสิ้น 99,198 คน เป็นเงินกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท

นายสำคัญยังกล่าวอีกว่า ในงานประชุมเตรียมฟ้องนี้ จะมีวิทยากรที่น่าสนใจอีกสองคน คือนายสมคิด หอมเนตร ประธานเครือข่ายภาคประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน จะพูดถึงอดีต รมช.กระทรวงพาณิชย์มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และได้เป็นผู้ประสานองค์กรของรัฐทั้งสาม และจะได้เปิดเผยถึงส่วนแบ่งคอมมิชชันเป็น 4 ส่วน

อีกทั้งยังจะชี้ให้เห็นว่าเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม รวมทั้งการที่ธนาคารปล่อยกู้ให้แก่คณะกรรมการ สกสค.23 คนรวมทั้งปลัดกระทรวงรายละ2ล้านบาทโดยไม่ต้องทำประกันหนี้แต่ประการใด และยังนำเงินกองทุนสนับสนุนพิเศษฯที่ออมสินให้ครูและ สกสค.ไปให้เจ้าหน้าที่ สกสค. กู้ยืมในวงเงินที่สูงดอกเยี้ยต่ำเพียงร้อยละ2ต่อปี ฯลฯ และนายสาโรช บุตรเนียร อดีตนิติกรและคณะทำงานของรัฐมนตรีคนก่อนจะพูดถึง การทำสัญญาเงินกู้เป็นไปโดยสุจริตหรือไม่ การทำประกันเป็นการสร้างภาระมากกินปกติแก่ครูหรือไม่ ก่อนทำประกันเคยมีการบอกกล่าวครูให้รู้ก่อนหรือไม่หรือเพียงมีแผ่นปลิว และเอกสาร สกสค.เท่านั้น และการรักษาผลประโยชน์ของครูโดยองค์กร สกสค.ชื่อเต็มๆ ก็บอกอยู่แล้วว่าสวัสดิการและสวัสดิภาพครู ทำสมชื่อหรือไม่?

ด้านนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ผู้ประสานงานกลุ่มยุติธรรมภิวัฒน์ กล่าวถึงงานนี้ว่า ตนจะพูดในเรื่อง 1. องค์กรของรัฐสมคบคิดกันฉ้อโกงครูหรือไม่ 2. สัญญาเงินกู้แบบสำเร็จรูปฝ่ายเดียวเป็นสัญญาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนจนกลายเป็น”อาชญากรทางการศึกษา” กระทำการผ่านการกู้เงินและประกันภัยจนสร้างความเดือดร้อนของครูอย่างแสนสาหัสกระทบถึงคุณภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แก่ผู้เรียนและประชาชน และ 3.การสุมหัวกันแสวงหาประโยชน์ทั้งประกันภัย และการกู้เงินของอดีตปลัดกระทรวงและเจ้าหน้าที่ สกสค.แบบดอกเบี้ยถูกและไม่ต้องใช้หลักประกันใดๆ เลย.

“รมว.พม.”เร่งแก้ปัญหาค้ามนุษย์หวังไทยถึงเทียร์ 1 ย้ำต้องทำงานให้หนัก

People Unity News : “จุติ ไกรฤกษ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  เร่งแก้ปัญหาค้ามนุษย์หวังไทยถึงเทียร์ 1 ย้ำต้องทำงานให้หนัก 

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับและติดตามการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามค้ามนุษย์ ว่า หน่วยราชการของไทยทำได้ดีกว่าที่เราคาดไว้ ซึ่งในเรื่องสถานการณ์การค้ามนุษย์ หรือ ทิปรีพอร์ต ที่สหรัฐอเมริกามีความกังวล เราสามารถตอบคำถามได้โดยมีหลักฐานชัดเจนและอธิบายได้ ส่วนในที่ประชุมวันนี้ได้เร่งรัดคดีที่ยังค้างอยู่และขอรับทราบความคืบหน้าจากองค์กรเอกชนและภาคประชาชน โดยที่ประชุมได้รวบรวมประเด็นและข้อห่วงใยส่งให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามค้ามนุษย์แห่งชาติ และสั่งการให้ในที่ประชุมรายงานขั้นต้นให้เสร็จภายในวันที่ 31 ธ.ค. 62 ส่วนในข้อกังวลประเด็นเรื่องการบังคับใช้กฎหมายการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของภาครัฐก็ดีกว่าที่คิดไว้

“เราตั้งใจจะทำให้สถานะประเทศไทยดีกว่านี้ และมีอีกหลายอย่างที่เราต้องปรับปรุง สำหรับผมนั้นพยายามฟังองค์กรภาคประชาชนและภาคเอกชน เสมือนกับเขาเป็นกระจกเงา อะไรที่เราคิดว่าควรต้องปรับปรุงแก้ไข เราก็จะจัดลำดับความสำคัญและจะรีบทำก่อน คาดหวังว่าจะถึงเทียร์ 1 เราจะไม่ฝันแต่ต้องทำงานให้หนัก” นายจุติ กล่าว

Verified by ExactMetrics