วันที่ 19 พฤษภาคม 2024

ครม.เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. เพิ่มทุนเป็น 8 หมื่นล้าน ส่งผลให้ปล่อยสินเชื่อเพิ่มได้ถึง 2.4 แสนล้าน

People Unity News : ครม.มีมติเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 เห็นชอบการเพิ่มทุนเรือนหุ้นของ ธ.ก.ส. จากเดิม 60,000 ล้านบาท เป็น 80,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินภารกิจเป็นธนาคารพัฒนาชนบท ให้สอดคล้องกับทิศทางและนโยบายของภาครัฐตามกรอบแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 เห็นชอบการเพิ่มทุนเรือนหุ้นของ ธ.ก.ส. จากเดิม 60,000 ล้านบาท เป็น 80,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินภารกิจเป็นธนาคารพัฒนาชนบท ให้สอดคล้องกับทิศทางและนโยบายของภาครัฐตามกรอบแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ด้านการสร้างรายได้และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และขยายงานด้านการพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ทั้งด้านการอำนวยสินเชื่อ และการทำงานในท้องถิ่นร่วมกับเครือข่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแนวนโยบายของกระทรวงการคลัง ซึ่งให้ความสำคัญต่อการดูแลเศรษฐกิจฐานราก เพื่อสร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และขับเคลื่อนประเทศในระยะต่อไป

ความมั่นคงทางการเงินของ ธ.ก.ส. ที่แข็งแกร่งขึ้นนี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ ธ.ก.ส. สามารถผลักดันภารกิจได้อย่างเต็มศักยภาพตามภารกิจหลักในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันภาคเกษตรของไทย รวมถึงการเพิ่มรายได้และสร้างอาชีพให้แก่ผู้มีรายได้น้อยและขยายบทบาทของ ธ.ก.ส. ให้ครอบคลุมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างครบวงจรมากขึ้น ทั้งด้านการอำนวยสินเชื่อและการทำงานร่วมกับเครือข่าย เช่น การส่งเสริมให้เกิดเกษตรกรรุ่นใหม่หรือ Smart Farmer การพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร (Small and Medium Agriculture Enterprises : SMAEs) วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม กองทุนหมู่บ้าน สถาบันการเงินประชาชน และสหกรณ์การเกษตร การนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มผลิตผล แปรรูปสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่า พัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนและร้านค้าชุมชน ตลอดจนสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจแนวใหม่โดยเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวชุมชน รวมถึงการดูแลให้ความช่วยเหลือเกษตรกรซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางเมื่อเกิดเหตุภัยธรรมชาติหรือภัยพิบัติ

การเพิ่มทุนในครั้งนี้ นอกจากจะทำให้ ธ.ก.ส. สามารถขยายบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากแล้ว ยังก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเงิน และสังคม โดยจะทำให้ ธ.ก.ส. สามารถปล่อยสินเชื่อได้ 12 เท่าของทุนที่เพิ่มขึ้น คิดเป็นมูลค่าสินเชื่อที่สามารถเพิ่มขึ้น 2.4 แสนล้านบาท ส่งผลให้มีเกษตรกรมีเงินทุนเพิ่มขึ้น ระบบเศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็งขึ้น และกระตุ้นผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศภาคเกษตรให้ขยายตัวสูงขึ้น

โฆษณา

ททท.ชวนท่องเที่ยวเสมือนจริงผ่านเทคโนโลยี “Virtual Tours” ช่วงกักตัวอยู่บ้าน

People Unity News : ททท. ชวนสัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวเสมือนจริงผ่านเทคโนโลยี “Virtual Tours” 10 ที่ 9 จังหวัดทั่วไทยในช่วงระหว่างกักตัวอยู่บ้านเพื่อหยุดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

กองสารสนเทศการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ นำเทคโนโลยีเสมือนจริงมาผนวกกับการเดินทางท่องเที่ยว (Virtual Tours) พาชมสถานที่ท่องเที่ยว 10 แห่งใน 9 จังหวัดทั่วประเทศ ผ่านทางเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียของ ททท. ในช่วงระหว่างกักตัว อยู่บ้านเพื่อหยุดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา 2019 (โควิด-19)

นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร รองผู้ว่าการด้านดิจิทัล วิจัย และพัฒนา ททท. กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลกและของไทย ทำให้ประชาชนต้องปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด คือ อยู่บ้านเพื่อหยุดเชื้อ ไม่สามารถเดินทางท่องเที่ยวตามปกติได้ ททท. จึงได้นำเทคโนโลยี ทัวร์เสมือนจริง (Virtual Tours) ที่สามารถนำเสนอประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยว โดยพานักท่องเที่ยวสัมผัสบรรยากาศและกลิ่นอายประสบการณ์เสมือนจริงที่ได้เข้าไปเดินท่องเที่ยวอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆ ด้วย Virtual Tours to 10 places in 9 provinces นำเสนอแหล่งท่องเที่ยว 10 แห่งใน 9 จังหวัดทั่วประเทศไทย ประกอบด้วย ภาคเหนือ ได้แก่ วัดศรีชุม จ.สุโขทัย คุ้มเจ้าหลวง จ.แพร่ วัดนันตาราม จ.พะเยา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ ปราสาทสด๊กก๊อกธม จ.สระแก้ว ปราสาทหินพิมาย จ. นครราชสีมา ภาคตะวันออก ได้แก่ อ่าวคุ้งกระเบน จ.จันทบุรี ภาคกลาง ได้แก่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ และพระนารายณ์ราชนิเวศน์ จ.ลพบุรี วัดบางกุ้ง จ.สมุทรสงคราม และ ภาคใต้ ได้แก่ วังเจ้าเมืองพัทลุง จ.พัทลุง บ้านท่านขุน วัดมหาธาตุ และบ้านหนังตะลุง จ.นครศรีธรรมราช

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถเข้าชม Virtual Tours to 10 places in 9 provinces ได้ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2563 เป็นต้นไป ผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ www.tourismthailand.org  Facebook page : Amazing Thailand และ Twitter @ThailandFanClub และ @go2Thailand  อีกทั้ง สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กองสารสนเทศการตลาด ททท. โทร. 02-250-5500 ต่อ 2842

โฆษณา

“พิพัฒน์” ชูท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ “ประเทศไทยเป็นเมืองหลวงของโลกด้านการดูแลสุขภาพ”

People Unity News : คณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) เตรียมความพร้อม 3 ด้าน รับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หากได้รับการผ่อนปรนหลังสถานการณ์โควิด 19 คลี่คลาย

นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) ครั้งที่ 1/2563 โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธาน พร้อมด้วยคณะกรรมการจากภาครัฐและภาคเอกชนร่วมประชุม พิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเมื่อสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) คลี่คลาย

นายแพทย์ธเรศกล่าวว่า ที่ประชุมได้พิจารณาและเห็นชอบในหลักการ 3 ด้าน ได้แก่ 1.จัดทำแนวทางการรักษาพยาบาลพร้อมเป็นสถานกักกันในโรงพยาบาล สำหรับผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างชาติที่ต้องการเข้ารับการรักษาพยาบาลต่อเนื่องในประเทศไทย ซึ่งรวมผู้ติดตาม โดยแบ่งเป็นสถานกักกันในโรงพยาบาล (Hospital Quarantine) กักกันตัวผู้ป่วยชาวไทยที่เดินทางกลับเข้ามาในไทย และสถานกักกันในโรงพยาบาลทางเลือก (Alternative Hospital Quarantine) สำหรับผู้ป่วยชาวต่างชาติและผู้ติดตาม ต้องมีการนัดหมายไว้ล่วงหน้า โดยรักษาและกักกันเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน ต้องมีผลการตรวจโควิด 19 ก่อนเข้าประเทศไม่เกิน 72 ชั่วโมง เมื่อเข้ามารักษาต้องมีการตรวจอีก 3 ครั้ง (ก่อนรักษา ระหว่างรักษา และหลังการรักษา) เพื่อความปลอดภัยและเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่นำเชื้อมาแพร่ระบาดในไทย โดยค่าใช้จ่ายในการรักษากรณี Hospital Quarantine หากเป็นคนไทยเป็นไปตามสิทธิการรักษา หากเกินสิทธิ์ต้องจ่ายเองโดยสมัครใจ กรณี Alternative Hospital Quarantine ผู้ป่วยต่างชาติและคนไทยที่สมัครใจต้องชำระค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด

2.เห็นชอบให้ “ประเทศไทยเป็นเมืองหลวงของโลกด้านการดูแลสุขภาพ” โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ตราสัญลักษณ์ Medical Hub ภายใต้แนวคิด “Healthcare Capital of the World” และกำหนดข้อความสำคัญในการสื่อสารว่า “Beyond Healthcare, Trust Thailand” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการกลับเข้ามาใช้บริการรักษาพยาบาลในประเทศไทย และ 3.มาตรการพัฒนาชุดเครื่องมือแพทย์รองรับการระบาดของโรคโควิด 19 เพื่อรับมือและลดโอกาสติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ และผู้เข้ารับการตรวจหาเชื้อวิด 19 โดยเน้นการผลิตในประเทศไทย แบ่งเป็น 4 กลุ่มคือ เครื่องมือแพทย์สำหรับการคัดกรองและตรวจสอบโรค เครื่องมือแพทย์สำหรับการป้องกันและควบคุมโรค เครื่องมือแพทย์สำหรับการคัดแยกและการฆ่าเชื้อ และเครื่องมือแพทย์สำหรับการบำบัดรักษาโรค โดยเน้นการผลิตในประเทศไทย

Advertising

เฮ!! ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลิตรละ 5 บาท ออกไปอีก 4 เดือน ถึง 20 พ.ค.

People Unity News : 17 มกราคม 2566 ครม. เห็นชอบขยายเวลาปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 5 บาท ออกไปอีก 4 เดือน

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2566 เห็นชอบขยายเวลาปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 5 บาท ออกไปอีก 4 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2566 ถึง 20 พฤษภาคม 2566 เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนที่จะเกิดกับพี่น้องประชาชน และเพื่อให้กลไกทางเศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนได้ แม้ว่าการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตในครั้งนี้จะส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้ก็ตาม

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้วัตถุประสงค์ของการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงในครั้งนี้ สามารถส่งผ่านไปถึงประชาชนโดยตรงและส่งผ่านถึงการลดต้นทุนของสินค้าและบริการได้ กระทรวงการคลังมีความเห็นเพิ่มเติมว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงควรพิจารณาการบริหารจัดการเสถียรภาพของราคาน้ำมันดีเซลและสถานะทางการเงินของกองทุนฯ ให้เหมาะสม โดยพิจารณาปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลทันที 1 – 2 บาทต่อลิตร และบริหารจัดการให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในช่วงระหว่างราคา 33 – 35 บาทต่อลิตร ประกอบกับพิจารณาจัดเก็บเงินเข้ากองทุนในอัตราที่แตกต่างกันระหว่างประเภทน้ำมันดีเซล รวมทั้งพิจารณาความเป็นได้ในวิธีการนำเทคโนโลยี เช่น แอพพลิเคชั่น หรือบัตรส่วนลดมาใช้ในการอุดหนุนราคาน้ำมันในอนาคตเพื่อให้สามารถดำเนินการได้เฉพาะกลุ่มเป้าหมาย

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวสรุปว่า การปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังจะติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด และจะพิจารณาความเหมาะสมของมาตรการต่างๆ เพื่อให้การดำเนินนโยบายช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินการคลังของประเทศในระยะยาว

Advertisement

แจกต้นฟ้าทะลายโจร พืชสุขภาพและเศรษฐกิจ แก่สถาบันเกษตรกรในจังหวัดขอนแก่น

People Unity News : แจกต้นฟ้าทะลายโจร พืชสุขภาพและเศรษฐกิจ แก่สถาบันเกษตรกรในจังหวัดขอนแก่น

18 กันยายน 2564 นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดงาน Kick off โครงการส่งเสริมการผลิตฟ้าทะลายโจร ในสถาบันเกษตรกรในจังหวัดขอนแก่นและร่วมปลูกฟ้าทะลายโจรในแปลงปลูกฟ้าทะลายโจร พร้อมเปิดเผยว่า การจัดทำโครงการส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพร ฟ้าทะลายโจร สู้ภัยโควิด-19 ครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายการขยายพื้นที่ปลูกฟ้าทะลายโจร เพื่อป้อนเป็นวัตถุดิบในกระบวนการแปรรูปเข้าสู่ตลาดสามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและสมาชิกของสหกรณ์

อย่างไรก็ตาม ยังเป็นโอกาสให้กับสหกรณ์ในการต่อยอด ขยายการส่งเสริมและเพิ่มพื้นที่ปลูกให้กับสมาชิกสหกรณ์รายอื่นๆ รวมทั้งเป็นการรักษาเสถียรภาพด้านปริมาณและราคาให้เกิดความสมดุล ส่งเสริมให้ประชาชนใช้พืชสมุนไพรไทยเป็นทางเลือกในการรักษาโรคเพิ่มขึ้น

ที่ผ่านมา กรมส่งเสริมสหกรณ์ ดำเนินโครงการส่งเสริมการปลูกฟ้าทะลายโจรในสถาบันเกษตรกร ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นและอนาคตอาจจะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ต่อไป

Advertising

ครม.เห็นชอบจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มเติม 6 แห่งในพื้นที่ EEC

People Unity News : ครม.เห็นชอบจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มเติม 6 แห่ง ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก

5 ต.ค.2564 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มเติม จำนวน 6 แห่ง และเปลี่ยนแปลงเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ จำนวน 1 แห่ง ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ

ปัจจุบันเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC (Eastern Economic Corridor) มีพื้นที่รับรองการประกอบกิจการอุตสาหกรรมและการค้า จำนวน 15,836 ไร่ สามารถรองรับการลงทุนได้เพียง 5 ปี เพื่อเพิ่มจุดแข็งดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายและรองรับการลงทุนในอนาคต จึงต้องจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มขึ้น 6 แห่ง ประกอบด้วย การจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อกิจการอุตสาหกรรมรูปแบบนิคมอุตสาหกรรม จำนวน 5 แห่ง รวมพื้นที่ทั้งสิ้น 6,884 ไร่ สามารถรองรับการประกอบกิจการได้ประมาณ 5,098 ไร่ ตั้งเป้าหมายการลงทุน 280,772 ล้านบาท ภายใน 10 ปี หรือระหว่างปี 2564 – 2573 ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี พื้นที่ 698 ไร่ รองรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การบินและโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรมโรจนะหนองใหญ่ จังหวัดชลบุรี พื้นที่ 1,501 ไร่ รองรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การบินและโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรมเอเชียคลีน จังหวัดชลบุรี พื้นที่ 978 ไร่ รองรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ยานยนต์สมัยใหม่ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ นิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง จังหวัดระยอง พื้นที่ 421 ไร่ รองรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ หุ่นยนต์ การบินและโลจิสติกส์ และดิจิทัล และนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง จังหวัดระยอง พื้นที่ 1,498 ไร่ รองรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ หุ่นยนต์ การบินและโลจิสติกส์

สำหรับการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อกิจการพิเศษ จำนวน 1 แห่ง ที่ศูนย์นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูงบ้านฉาง จังหวัดระยอง มีพื้นที่รวม 519 ไร่ สามารถรองรับการประกอบกิจการ 360 ไร่ ตั้งเป้าหมายการลงทุน 20,000 ล้านบาท ภายใน 10 ปี 2564 – 2573 เพื่อประโยชน์ในการพัฒนางานวิจัย กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลและกิจการที่เกี่ยวข้องไปสู่การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง นวัตกรรม และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่จะกำหนดพื้นที่นำร่องของ EEC ในการพัฒนาระบบโครงข่าย 5G อย่างเต็มรูปแบบ และเปลี่ยนแปลงเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการพิเศษ จำนวน 1 แห่ง ที่ศูนย์นวัตกรรมการแพทย์ครบวงจรธรรมศาสตร์ พัทยา (EECmd) โดยเปลี่ยนแปลงแผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดินของศูนย์นวัตกรรมการแพทย์ฯ และเพิ่มพื้นที่ประมาณ 18 ไร่ ทำให้พื้นที่รวมของศูนย์มีทั้งสิ้น 585 ไร่ จากเดิม 566 ไร่

Advertising

หอการค้าไทย ออกแถลงการณ์ ค้านขึ้นค่าแรง 400 บาททั่วประเทศ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 พฤษภาคม 2567 หอการค้าไทยและสมาคมการค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น คัดค้านขึ้นค่าแรง 400 บาททั่วประเทศ ยันจุดยืน เอกชนไม่ได้มีความพร้อมทุกราย

จากกรณีเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2567 ซึ่งตรงกับวันแรงงานที่ผ่านมา นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศขึ้นค่าแรง 400 บาทแบบถ้วนหน้าทั่วประเทศทุกอาชีพ ภายในวันที่ 1 ต.ค. 2567 นั้น

ล่าสุดเช้าวันนี้ (7 พ.ค.) นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ได้แถลงข่าวคัดค้านนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ

นายพจน์ ได้อ่านแถลงการณ์คัดค้าน พร้อมกล่าวว่า ได้รับการร้องเรียนจากภาคเอกชน โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวและภาคบริการ 54 สมาคมการค้า ได้ส่งรายชื่อไม่เห็นด้วยกับการขึ้นค่าแรงดังกล่าวเพราะเป็นการเพิ่มภาระต้นทุนจนไม่เหลือผลกำไร และทางหอการค้าไทย จะนำรายชื่อสมาคมที่คัดค้านไปยื่นให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในวันที่ 13 พ.ค.นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีร่วม 100 สมาคมการค้าที่ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นค่าแรง

ทั้งนี้ หอการค้าทั่วประเทศและสมาคมการค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น เห็นด้วยกับการยกระดับรายได้ให้แรงงานแต่การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปีควรปรับตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา 87 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 การขึ้นค่าแรงควรคำนึงถึงผลการศึกษาและการรับฟังความคิดเห็นจากคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดและกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) อีกครั้ง การปรับอัตราค่าจ้างควรพิจารณาจากทักษะฝีมือแรงงาน และการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉพาะพื้นที่จังหวัดและประเภทธุรกิจ ควรมีการรับฟังความคิดเห็นและศึกษาความพร้อมของแต่ละจังหวัด

การปรับค่าแรงจะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นเพราะบางจังหวัดจะขึ้นไปถึง 21% ดังนั้นการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำโดยไม่คำนึงถึงตามที่กฎหมายกำหนดจะทำให้ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการ หยุดกิจการ ลดขนาดกิจการหรือปรับธุรกิจออกนอกระบบภาษี จนนำไปสู่การปลดลูกจ้างและเลิกจ้างพนักงานในที่สุด

นายธนวรรธน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การปรับค่าจ้างครั้งนี้ คือ การกระชากด้วยนโยบายจากการหาเสียงไม่ได้ปรับขึ้นตามความจำเป็น โดยปีที่แล้วเศรษฐกิจไทยเติบโตเพียงแค่ 1.9% และเมื่อมองย้อนหลังไป 3 ปี เศรษฐกิจไทยเติบโตแค่ 6% ซึ่งจากผลการสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า การปรับค่าจ้างแรงงาน ควรปรับตามกลไกและตามค่าครองชีพที่สูงขึ้น การปรับครั้งนี้จะทำให้การจ้างงานไม่สดใส ผู้ประกอบการจะหันไปใช้เครื่องจักรมากขึ้นในอนาคต

Advertisement

กฟผ. มอบส่วนลดซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 มูลค่า 500 บาท จำนวน 10,000 สิทธิ์ พรุ่งนี้-30 มิ.ย.

People Unity News : 31 มีนาคม 2565 กฟผ. ชวนคนไทยลดใช้พลังงาน มอบส่วนลดซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 มูลค่า 500 บาท จำนวน 10,000 สิทธิ์ ตั้งแต่พรุ่งนี้ – 30 มิ.ย.65

นายสุทธิพงษ์ เฉลิมเกียรติ ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารจัดการความยั่งยืน ในฐานะรองโฆษกการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า กฟผ. ชวนประชาชนร่วมใจประหยัดพลังงานผ่านแคมเปญ “Save Energy for ALL ร่วมใจประหยัดพลังงาน ผ่านวิกฤตไปด้วยกัน” ด้วยการส่งเสริมการเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ประสิทธิภาพสูงและประหยัดไฟ

โดยมอบส่วนลด 500 บาท เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 มูลค่ารวม 1,000 บาท ขึ้นไป จำนวน 10,000 สิทธิ์

เริ่มใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. – 30 มิ.ย.65 หรือจนกว่าจะครบสิทธิ์ (สงวนสิทธิ์พนักงาน กฟผ. งดเข้าร่วมโครงการ)

เงื่อนไขการรับสิทธิ์ :

– แสดงบัตรประชาชน พร้อมสำเนาหรือรูปถ่ายทะเบียนบ้านที่มีรหัสประจำบ้าน ณ จุดขายที่เข้าร่วมโครงการ จำกัดครอบครัวละ 1 สิทธิ์

– แสดงหลักฐานการเพิ่มเพื่อนใน LINE@EGAT หรือ Facebook : กฟผ. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย อย่างใดอย่างหนึ่ง

– ต้องใช้สิทธิ์ภายในวันที่ลงทะเบียนรับสิทธิ์เท่านั้น

สำหรับห้างสรรพสินค้าและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ โฮมโปร เมกาโฮม เดอะมอลล์ ดิเอ็มโพเรียม สยามพารากอน บลูพอร์ต พาวเวอร์บาย แกรนด์โฮมมาร์ท ไทวัสดุ baan&Beyond ร้านค้าในสังกัดสมาคมผู้ค้าเครื่องปรับอากาศไทย และร้านสหกรณ์ผู้ปฏิบัติงาน กฟผ.

Advertisement

รัฐบาลปลื้มส่งออกมันสำปะหลังครึ่งปีแรก 6.7 ล้านตัน 8.2 หมื่นล้านบาท ลุ้นทั้งปีทำสถิติสูงสุดใหม่

People Unity News : วันนี้ (28 สิงหาคม 2565) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลชื่นชมผลสำเร็จ ตามที่ผลการส่งออกมันสำปะหลังไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2565 มีจำนวนกว่า 6.7 ล้านตัน รวมมูลค่า 8.2 หมื่นล้านบาท พร้อมกำชับทุกฝ่ายร่วมพิจารณามาตรการเพิ่มการส่งออกให้บรรลุเป้าหมาย 1.3 แสนล้านบาท

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งดำเนินมาตรการประกันราคาผลผลิต และรายได้เกษตรกรมันสำปะหลังอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งแสวงหาตลาดแก่ผู้ประกอบการค้ามันสำปะหลังทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) รายงานการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ได้แก่ มันเส้น มันอัดเม็ด แป้งดิบ แป้งแปรรูป และอื่นๆ (กากมัน และสาคู) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 นี้ มีอัตราการส่งออกแล้วกว่า 6.7 ล้านตัน รวมมูลค่ากว่า 8.2 หมื่นล้านบาท โดยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ถือว่ามีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 35.16% ทั้งนี้ เกิดจากปัจจัยด้านสงครามที่ส่งผลต่อวัตถุดิบทางการเกษตรและอาหารทั่วโลก โรงงานอาหารสัตว์ฟื้นตัวจากผลกระทบโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever : ASF) และโดยเฉพาะความต้องการมันเส้นเพื่อผลิตแอลกอฮอล์ของจีนสูง ทำให้ตลาดมันสำปะหลังไทยขยายตัว

โดยเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา กรมการค้าต่างประเทศได้ร่วมประชุมหารือ 4 สมาคมมันสำปะหลัง ได้แก่ สมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย สมาคมแป้งมันสำปะหลังไทย สมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย และสมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยคาดว่าการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในช่วงครึ่งปีหลังจะเพิ่มขึ้นในปริมาณ 4.25 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 4.7 หมื่นล้านบาท ขณะที่ตลอดทั้งปี 2565 จะมีปริมาณการส่งออกรวม 11 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปี 2564 ซึ่งหากยอดการส่งออกตรงตามที่คาดการณ์ไว้จริง มูลค่าการส่งออกมันสำปะหลังจะถือเป็นยอดสูงสุดในรอบ 15 ปี

“รัฐบาลโดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้การบูรณาการความร่วมมือร่วมกับภาคเกษตรกร ผู้ประกอบการ และคู่ค้ามันสำปะหลังต่างประเทศ ในการร่วมส่งเสริม และผลักดันการส่งออกสินค้าไทยอย่างมีประสิทธิภาพ โดยขอให้ทุกฝ่ายเร่งดำเนินการอย่างเต็มศักยภาพเพื่อบรรลุเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ พร้อมหาแนวทางการต่อยอดส่งออกสินค้าการเกษตรอื่น ๆ ขยายตลาดผลผลิตไทยให้เป็นที่รู้จักในต่างประเทศมากยิ่งขึ้น” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

ลดค่าไฟ เหลือ 3.99 บาท/หน่วย เริ่มรอบบิล ก.ย.นี้

People Unity News : 18 กันยายน 2566 ที่ประชุม ครม.รับทราบ รมว.พลังงาน หารือ กกพ. ลดค่าไฟฟ้า จาก 4.10 บาทต่อหน่วย เหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย เริ่มบิล ก.ย.นี้

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยว่าที่ประชุม ครม.รับทราบ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.พลังงาน หารือคณะกรรมการ กกพ. ลดค่าไฟฟ้า จาก 4.10 บาทต่อหน่วยเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย มีผลเริ่มบิลค่าไฟฟ้า ก.ย.66 นี้ เพื่อช่วยลดภาระประชาชน ช่วยลดต้นทุนภาคเอกชน โดยนายกรัฐมนตรี กำชับดำเนินการให้อยู่ในกรอบกฎหมาย

Advertisement

Verified by ExactMetrics