วันที่ 1 กรกฎาคม 2025

พาณิชย์รุกหนักวางกิจกรรมเจาะตลาดอินเดีย 7 รัฐสำคัญ

People unity : กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เตรียมแผนจัดกิจกรรมบุกตลาดอินเดียอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2562 เร่งผลักดันการส่งออกไทยให้ขยายตัวร้อยละ 8 ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยมุ่งเป้าใน 7 รัฐสำคัญของอินเดีย อาทิ รัฐมหาราษฎระ รัฐคุชราต รัฐทมิฬนาฑู รัฐเตลังกานา รัฐเวสต์เบงกอล รัฐเจ็ดสาวน้อย และนิวเดลี เน้นสร้างความสัมพันธ์ในระดับ Strategic Partnership การส่งเสริมการขยายตลาดสินค้าเกษตรและผลไม้ไทย รวมทั้งเร่งผลักดันความร่วมมือกับกลุ่ม On-line Platform อินเดีย เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยมีช่องทางดำเนินธุรกิจในตลาดอินเดียเพิ่มมากขึ้น

นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ด้วยอินเดียเป็นตลาดขนาดใหญ่ ประชากรจำนวนมากและมีความหลากหลายแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ มีประชากรกว่า 1,300 ล้านคน และขนาดพื้นที่กว่า 3.2 ล้านตารางกิโลเมตร จัดเป็นประเทศที่มีพื้นที่มากเป็นอันดับ 7 ของโลก โดยมีการแบ่งการปกครองออกเป็น 29 รัฐ และ 7 Union Territories กระทรวงพาณิชย์จึงกำหนดยุทธศาสตร์เจาะตลาดอินเดียรายรัฐ โดยเน้นรัฐเป้าหมายสำคัญ 7 รัฐ ประกอบด้วย

-รัฐมหาราษฎระ มีมหานครมุมไบเป็นเมืองหลวงของรัฐ และเป็นเมืองท่าธุรกิจที่สำคัญของอินเดีย  ประชากรมีรายได้ต่อหัวสูงและมีกำลังซื้อ อีกทั้งยังมีนักธุรกิจต่างชาติอาศัยอยู่จำนวนมาก ประชากรอินเดียที่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวจึงได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ และวัฒนธรรมจากประเทศตะวันตกค่อนข้างมาก สนใจสินค้านำเข้าที่มีสไตล์และทันสมัย สินค้าและบริการไทยที่มีศักยภาพเหมาะกับการเจาะตลาดนี้ คือ อาหารและเกษตรแปรรูป ร้านอาหาร ของตกแต่งบ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เฟอร์นิเจอร์บิลด์อินที่มีแบบทันสมัย บริการออกแบบตกแต่งภายใน แฟชั่น เครื่องประดับ เครื่องแต่งกาย เครื่องสำอางสำหรับสุภาพสตรีวัยทำงาน และสถานบริการด้านเสริมความงามและลดน้ำหนัก

-รัฐคุชราตซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของรัฐมหาราษฎระ เป็นรัฐ Dry State ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ และชำนาญในเรื่องการเจียรไนเพชร สินค้าเป้าหมายของรัฐจึงเน้นเป็นกลุ่มอัญมณี พลอยสี ยา/สมุนไพร และอาหารมังสวิรัติ

-รัฐทมิฬนาฑู เป็นเมืองท่าสำคัญทางอินเดียตอนใต้ และเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ สิ่งทอ และอากาศยานของอินเดีย สินค้าเป้าหมายและบริการเป้าหมาย คือ แป้งมัน ผลิตภัณฑ์ยาง ผลไม้สด/แปรรูป เครื่องประดับยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และบริการคาร์แคร์

-รัฐเตลังกานา เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยาและไอทีของอินเดีย เหมาะสำหรับเจาะกลุ่มผู้บริโภค Super Rich และมุสลิม สินค้าและบริการเป้าหมาย คือ อาหารฮาลาล วีแกน ไลฟ์สไตล์ แฟชั่นที่มีนวัตกรรมและดีไซน์ กล้วยไม้ การถ่ายทำ/ตัดต่อภาพยนตร์ และบริการรับจัดงานแต่งงาน

-รัฐเวสต์เบงกอล เป็นเมืองท่าธุรกิจทางฝั่งตะวันออกของอินเดีย และเป็นพื้นที่เชื่อมต่อไปยัง     ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย หรือรัฐเจ็ดสาวน้อย สินค้าเป้าหมาย คือ อาหาร วัสดุก่อสร้าง ออกแบบตกแต่งภายใน เครื่องใช้ในครัวเรือน และของตกแต่งบ้าน

-รัฐเจ็ดสาวน้อย เป็นพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ประกอบด้วย 7 รัฐ คือ     อัสสัม เมฆาลัย มณีปุระ มิโซรัม ตรีปุระ อรุณาจัลประเทศ และนากาแลนด์ ซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมโยงเส้นทางขนส่งทางบกจากอาเซียน-อินเดีย โดยมีสินค้าและบริการเป้าหมาย ได้แก่ อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า ของใช้ในบ้าน เสื้อผ้าแฟชั่นที่มีราคาไม่สูงมาก บริการโลจิสติกส์

-นิวเดลี เป็นดินแดนสหภาพอาณาเขตของรัฐบาลกลางอินเดีย และเป็นเมืองหลวงของอินเดีย โดยมีสินค้าเป้าหมาย คือ อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงรส ของตกแต่งบ้าน แฟชั่นเครื่องประดับ และเครื่องใช้ไฟฟ้า

ด้าน นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวเสริมว่า กรมได้ให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศในอินเดียทั้ง 3 แห่ง สำรวจและศึกษาโอกาสของสินค้าไทยที่มีศักยภาพตามความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละรัฐเพื่อเลือกรัฐเป้าหมาย 7 รัฐดังกล่าว และวางกลยุทธ์เข้าสู่ตลาดโดยใช้การจับคู่สินค้าและธุรกิจบริการไทยที่มีศักยภาพที่เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละรัฐ เพื่อให้การเจาะตลาดอินเดียเกิดผลที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น

สำหรับในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จะมีกิจกรรมที่เป็น Flagship สำคัญในตลาดอินเดีย อาทิ การจัดคณะผู้แทนการค้าธุรกิจบริการ Event Business เดินทางไปเจรจาการค้าในรัฐมหาราษฎระ เมืองมุมไบ ในเดือนพฤษภาคม 2562 ซึ่งจะเป็นช่วงเดียวกันกับที่สภาธุรกิจไทย-อินเดีย กำหนดนำคณะนักธุรกิจกลุ่ม Hospitality และวัสดุก่อสร้าง เดินทางไปเจรจาการค้าในเมืองมุมไบ และเตรียมการประชุม ITJBF (Indian-Thai Joint Business Forum) ที่จะจัดในไทยในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2562

จากนั้นในเดือนกรกฎาคม 2562 จะมีกิจกรรมส่งเสริมการขายผลไม้ไทย โดยเฉพาะ ลำไย มังคุด ร่วมกับห้าง Modern Trade รายใหญ่ของอินเดีย อาทิ Reliance และ Future Group ในรัฐมหาราษฎระ รัฐคุชราต รัฐเตลังกานา รัฐทมิฬนาฑู รัฐเวสต์เบงกอล และนิวเดลี รวมกว่า 40 สาขา

นอกจากนี้ กรมยังได้เดินหน้าผลักดันและส่งเสริมความร่วมมือกับ PayTM ซึ่งเป็นหนึ่งใน On-line Platform รายสำคัญของอินเดีย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับบริษัท Trading รายใหญ่ของไทยเพื่อทำหน้าที่รวบรวมสินค้าไทยส่งให้ PayTM ไปกระจายในตลาดอินเดียต่อไป โดยหากความร่วมมือดังกล่าวเป็นบรรลุผลสำเร็จจะส่งผลให้สินค้าไทยสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคตลาดออนไลน์ในอินเดียได้ดีขึ้น

ในปี 2561 การค้าระหว่างไทยและอินเดียมีมูลค่ารวม 12,463.75 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 20.16 แบ่งเป็นไทยส่งออกไปอินเดียมูลค่า 7,600.32 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 17.34 และไทยนำเข้าจากอินเดีย 4,863.43 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 24.86 และในเดือนมกราคม 2562 การค้าระหว่างไทยและอินเดียมีมูลค่ารวม 1,074.53 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 4.8 แบ่งเป็นไทยส่งออกไปอินเดีย 639.67 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 3.11 และไทยนำเข้าจากอินเดีย 434.86 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 7.4

ทั้งนี้ สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจดำเนินธุรกิจในตลาดอินเดีย และเอเชียใต้ สามารถดูรายละเอียดกิจกรรมส่งเสริมตลาดได้ที่ http://drive.ditp.go.th หรือสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับตลาดเพิ่มเติมได้ที่สำนักพัฒนาตลาดและธุรกิจไทยในต่างประเทศ 1 กลุ่มงานเอเชียใต้ แอฟริกา และตะวันออกกลาง หมายเลขโทรศัพท์ 02-507-8209 หรือ 02-507-8239 ถึง 8240

เศรษฐกิจ : พาณิชย์รุกหนักวางกิจกรรมเจาะตลาดอินเดีย 7 รัฐสำคัญ

People unity : post 18 มีนาคม 2562 เวลา 23.00 น.

“จุรินทร์”เปิดยิ่งใหญ่! มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 36 หนุนธุรกิจยานยนต์ให้เข้มแข็ง

People Unity News : “จุรินทร์”เปิดยิ่งใหญ่! มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 36 ที่ห้องรอยัล จูบิลี ชาเรนเจอร์ อิมแพ็คเมืองทองธานี หนุนธุรกิจยานยนต์ให้เข้มแข็ง

วันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 เวลา 8.30 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานพิธีเปิดงาน”มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 36″ ณ ห้องรอยัล จูบิลี ชาเรนเจอร์ อิมแพ็คเมืองทองธานี โดยนายจุรินทร์ กล่าวว่า ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้มาเป็นมาเป็นประธานพิธีเปิด งาน “มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 36” ซึ่งจัดโดย บริษัท สื่อสากล จำกัด ในวันนี้ ตามที่ปัจจุบัน “ยานยนต์” ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่รถยนต์ แต่ยังรวมถึงยานพาหนะทุกชนิด ทุกประเภทที่สามารถรองรับวิถีชีวิต รสนิยม และตอบสนองความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึงนั้น ดังนั้นตลาดยานยนต์จึงเป็นตลาดที่กว้างขวาง และขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือในปีที่ผ่านมา ไทยมียอดผลิตรถยนต์และจักรยานยนต์ ทั้งเพื่อจำหน่ายภายในประเทศ และส่งออกยังตลาดต่างประเทศรวมกันกว่า 5 ล้านคัน โดยเฉพาะรถยนต์ ที่มียอดผลิตกว่า 2 ล้านคัน ซึ่งนับเป็น สถิติสูงสุดในรอบ 5 ปี

รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ กล่าวว่า การเจริญเติบโตของตลาดยานยนต์ในเขตอาเซียน ซึ่งมีไทยเป็นศูนย์กลางเป็นสิ่งที่รัฐบาลเล็งเห็น และให้การส่งเสริมมาโดยตลอดเมื่อผนวกกับการจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 36” ภายใต้แนวคิด “โลดแล่นทันใด ทะยานไปด้วยกัน”รวมถึงมีโครงการแสดงสินค้าแบบ B to B(บีทูบี) จึงเป็น เสมือนแรงสนับสนุนให้ธุรกิจยานยนต์ไทยมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น รวมถึงกระตุ้นให้ เกิดการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ และเชื่อมต่อธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ
นอกจากนี้

“ผมได้รับทราบว่าบริษัท สื่อสากล จำกัด ได้ก่อตั้ง “มูลนิธิลม หายใจไร้มลทิน” มาตั้งแต่ปี 2550 เพื่อรณรงค์แก้ปัญหามลพิษในอากาศที่เกิดจากยานยนต์ และปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตให้แก่เยาวชน ซึ่งกิจกรรมทั้งสองด้านล้วนมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศเป็นอย่างยิ่ง จึงขอแสดงความชื่นชมบริษัท สื่อสากล จำกัด (นิตยสารฟอร์มูลา) ที่ได้ผลิตสื่อพร้อมดำเนิน กิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อวงการยานยนต์ และสังคมส่วนรวม โดยเฉพาะการ จัดงาน “มหกรรมยานยนต์” ที่ช่วยพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรม และ พาณิชยกรรมของยานยนต์ไทย มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษ” นายจุรินทร์ กล่าว

รายงานแจ้งว่า การจัดงานในครั้งนี้ประสบผลสำเร็จมา 35 ครั้งวันนี้เป็นครั้งที่ 36 และเป็นมหกรรมยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี โดยจัดแสดงนับจากวันนี้ที่อิมแพค เมืองทองธานีไป 12 วัน มีบริษัทรถยนต์และที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกว่า 300 รายจากทั่วโลก และในงานนี้เป็นการสนับสนุนเพื่อให้เกิดการใช้ยางพาราในการผลิตยางรถยนต์สนโอกาสต่อไปตามนโยบายด้วย

สมุนไพรไทยเป็น Soft Power เล็งต่อยอดใช้กับอาหารกลุ่มคนรักสุขภาพ

People Unity News : 15 กันยายน 2566 กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเดินหน้าผลักดัน “สมุนไพรไทย” เป็น Soft Power เล็งต่อยอดใช้กับอาหารตอบสนองกลุ่มคนรักสุขภาพ สร้างเรื่องราวให้กับผลิตภัณฑ์กลุ่มเวชสำอาง อาหารเสริม สินค้าอุปโภคบริโภค และช่วยขยายช่องทางการตลาดทุกรูปแบบ เผยล่าสุดนำขายในงาน THAIFEX ทำยอดขายกว่า 200 ล้านบาท

นางรวีพรรณ ช้างเย็นฉ่ำ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมมีแผนที่จะส่งเสริมการตลาดสินค้า “สมุนไพรไทย” อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน มีคณะกรรมการนโยบายและสมุนไพรแห่งชาติ ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมภาพลักษณ์และการตลาดสมุนไพร มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน มีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็นฝ่ายเลขานุการ ทำหน้าที่ส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรทั้งในและต่างประเทศ และกำหนดช่องทางการตลาดในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อผลักดันสมุนไพรไทยให้เป็น Soft Power ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอีกรายการหนึ่ง

สำหรับการขับเคลื่อนสมุนไพรไทย ได้มีการกำหนดมาตรการผลักดันสมุนไพรเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ประเทศด้านอาหารและวัฒนธรรมไทย โดยบูรณาการประเด็นสมุนไพรร่วมกับอาหาร วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว ผลักดันคุณค่าของสมุนไพรไทยร่วมกับอาหารไทย ตอบรับกระแสนิยมด้านรักสุขภาพ นำเสนอเมนูอาหารที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรไทย ชูสรรพคุณที่มีคุณประโยชน์เจาะกลุ่มผู้บริโภคเฉพาะด้าน เช่น เพิ่มภูมิคุ้มกัน Plant-based และผู้สูงอายุ

ส่วนด้านการตลาด จะมีการศึกษาความต้องการของตลาด กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งเสริมการใช้การตลาดออนไลน์ที่น่าเชื่อถือ สร้างเรื่องเล่าดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค เน้นขยายตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรกลุ่มเวชสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ชุมชนกลุ่มสมุนไพร รวมทั้งสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์สมุนไพร

นอกจากนี้ จะเร่งการพัฒนาตราสัญลักษณ์คุณภาพสมุนไพรที่เป็นที่ยอมรับ โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็นหน่วยงานหลักในการพิจารณาคัดเลือกผู้ประกอบการสมุนไพรเพื่อมอบรางวัลผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพ ซึ่งสัญลักษณ์ของรางวัลมีแนวคิดการออกแบบมาจากรูปแบบของไผ่ที่สานเป็นรูปดวงดาวของเฉลว และกราฟิกรูปหัวใจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากผู้บริโภคในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพร

ทั้งนี้ ในส่วนของกรม จะเดินหน้ายกระดับศักยภาพด้านการตลาดของผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สมุนไพร สร้างภาพลักษณ์ที่ดี สะท้อนคุณค่า และความน่าเชื่อถือผลิตภัณฑ์สมุนไพร รวมทั้งขยายโอกาสทางการค้าให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ในการกำหนดให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการเป็นตลาดสมุนไพรของอาเซียน

ทางด้านผลการทำงาน ในปี 2565 ที่ผ่านมา ได้สร้างภาพลักษณ์และการรับรู้คุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยโดยสร้างเรื่องเล่าให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพร 22 ผลิตภัณฑ์ เน้นผลิตภัณฑ์ที่มีวัตถุดิบมาจาก Herbal Champion ได้แก่ ขมิ้นชัน กระชายดำ และบัวบก พร้อมประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ผ่านออนไลน์และเครือข่ายพันธมิตร และนำผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีศักยภาพขยายตลาดเชิงรุกเข้าสู่กลุ่มผู้บริโภคโดยตรงผ่านงานแสดงสินค้าต่าง ๆและการเจรจาจับคู่ธุรกิจกับผู้จัดจำหน่าย สามารถสร้างมูลค่าการค้าได้มากกว่า 15 ล้านบาท โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ยาดม น้ำมันหอมระเหย และเครื่องสำอาง สมุนไพรจากน้ำนมข้าว และในปี 2566 ได้นำผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน THAIFEX – Anuga Asia 2023 เมื่อเดือน พ.ค.2566 จำนวน 42 ราย สามารถสร้างมูลค่าการค้ารวมทั้งสิ้น 203.31 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ได้รับความนิยม 5 อันดับ ได้แก่ ขมิ้นชันผง น้ำมะขามป้อม ขนมจากขิง เครื่องดื่มจากจมูกข้าว และเครื่องแกง ตามลำดับ

Advertisement

“บิ๊กตู่” ตั้งเป้าปี 61 รายได้ท่องเที่ยว 3 ล้านๆบาท แนะทุกจังหวัดพัฒนาจุดขายท่องเที่ยว

People unity news online : เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2560 พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทยในปี 2561 ว่า รัฐบาลตั้งเป้าสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากปี 2560 อีกร้อยละ 10 หรือคิดเป็นตัวเลขประมาณ 3.03 ล้านล้านบาท โดยยังคงเน้นการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่มุ่งให้นักท่องเที่ยวใช้เวลาพำนักอยู่ในประเทศไทยนานขึ้นผ่านมาตรการต่างๆ พร้อมทั้งอาศัยแรงเสริมจากผลสำรวจของต่างประเทศที่จัดอันดับให้ไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถใช้เวลาท่องเที่ยวระยะยาวแต่คุ้มค่ามากที่สุดโดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ช่วยผลักดันให้สำเร็จผลมากยิ่งขึ้น

“ปี 2561 จะเป็นปีแห่งการท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน หรือ Amazing Thailand year 2018 โดยรัฐบาลขอความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐ เอกชน กลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้า และสายการบิน ร่วมกันจัดกิจกรรม และใช้ตราสัญลักษณ์ประชาสัมพันธ์การจัดงาน รวมถึงมอบสินค้าและบริการราคาพิเศษ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว”

นายกรัฐมนตรียังกล่าวด้วยว่า กรอบเวลาของปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.60 – 1 ม.ค.62 โดยสาเหตุที่เริ่มต้นในช่วงปลายปีนี้นั้นเพราะจะมีงานสำคัญระดับโลกเกิดขึ้นในไทย คือ การสวนสนามทางเรือนานาชาติของกองทัพอาเซียนและนอกอาเซียน รวมกว่า 30 ประเทศ ในวันที่ 18 พ.ย.60 ณ อ่าวพัทยา และการแข่งขันเครื่องบิน Air Race 1 Thailand ซึ่งเป็นการแข่งขันเครื่องบินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกของเอเชีย

“นายกฯอยากให้ทุกจังหวัดดึงเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ไม่ว่าจะในแง่ของภูมิศาสตร์ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ ออกมาเป็นจุดขาย เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถใช้เป็นทางเลือกในการท่องเที่ยว เชื่อมโยงกลุ่มจังหวัด ภาค ไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ชาวบ้านในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น และเป็นการยกระดับเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวมากยิ่งขึ้นอีกด้วย” พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด กล่าว

People unity news online : post 11 กันยายน 2560 เวลา 13.25 น.

กอช. จับมือ ธ.ก.ส. ส่งเสริมการออมให้เกษตรกรทั่วประเทศ เพิ่มความมั่นใจออกสมุดเงินออมให้

People Unity News : กอช. ผนึกกำลัง ธ.ก.ส. ส่งเสริมการออมให้ครอบคลุมเกษตรกรทั่วประเทศ  พร้อมเพิ่มความมั่นใจออกสมุดเงินออมให้

19 มี.ค. 2565 ณ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ผลิตดอกเบญจมาศแปลงใหญ่บ้านตาติด ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี นายอาคม  เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือการให้บริการหน่วยรับสมัครสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ ระหว่าง นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และ นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) โดยมี นางสาวชุณหจิต สังข์ใหม่ รองปลัดกระทรวงการคลัง ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ ร่วมเป็นสักขีพยาน และ นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมด้วยประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ

หลังพิธีลงนาม นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ภาครัฐให้ความสำคัญกับการวางแผนออมเงินของประชาชนเป็นอย่างมาก โดยได้กำหนดให้การออมเป็นวาระแห่งชาติ มุ่งหวังให้ประชาชนได้มีความมั่นคงในบั้นปลายชีวิตหลังอายุ 60 ปี  พร้อมสร้างวินัยการออมในทุกช่วงวัย ผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ซึ่งถือเป็นกองทุนการออมภาคประชาชน เป็นกลไกส่งเสริมการออมของประชาชนที่เป็นแรงงานนอกระบบไม่มีสวัสดิการรองรับ เช่น ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เกษตรกร ชาวไร่ชาวนา อสม. พ่อค้าแม่ค้า เพียงแค่สมัครเป็นสมาชิก กอช. ในส่วนของ ธ.ก.ส. เป็นธนาคารที่ให้บริการกับเกษตรกรและประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะในภาคชนบท โดยยังมีการส่งเสริมการออมให้สถานศึกษาในรูปแบบโรงเรียนธนาคารแก่นักเรียน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ทั้ง 2 หน่วยงาน ได้ร่วมกันผนึกกำลังขับเคลื่อนส่งเสริมการออมให้ประชาชน ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ได้มีการตระหนักถึงการวางแผนทางการเงิน เพื่อให้มีเงินออมไว้ใช้ยามเกษียณโดยเฉพาะในวันที่ไม่มีแรงทำงาน จะได้มีเงินออมส่วนนี้ไว้ใช้จ่ายรายเดือน นอกจาก ธ.ก.ส. จะเป็นหน่วยรับสมัคร และส่งเงินออมของสมาชิกให้ กอช. แล้ว ธ.ก.ส. ยังพร้อมเป็นหน่วยให้บริการออกสมุดเงินออม (Passbook) ให้แก่สมาชิก กอช. เพื่อใช้ในการตรวจสอบยอดเงินออมของตนเอง ยอดเงินที่รัฐบาลจ่ายสมทบ รวมถึงผลประโยชน์เพิ่มจากการเงินออมสะสมและเงินสมทบจากรัฐ  เพื่อให้สมาชิกมีความเชื่อมั่นในการออม นอกจากนี้สมาชิกยังสามารถดูความเคลื่อนไหวของเงินออม กอช. ผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน “กอช.” ได้ด้วย โดยความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันส่งเสริมให้ คนไทยได้รู้จักออมเงินกับ กอช. อีกทั้งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนคนไทยให้ดีขึ้น โดยไม่เป็นภาระของลูกหลานในยามชรา

นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ กล่าวว่า กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. มีจุดมุ่งหมายสำคัญในการสร้างหลักประกันที่มั่นคงในวัยเกษียณให้กับเกษตรกร ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เริ่มต้นตั้งแต่วัยเรียนอายุ 15 ปี จนเข้าสู่วัยทำงานถึงอายุ 60 ปี ออมขั้นต่ำเพียง 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี พร้อมรับเงินสมทบจากรัฐตามช่วงอายุสูงสุด 100% หรือ ไม่เกิน 1,200 บาท ต่อปี สมาชิกจะได้รับเงินสมทบจากรัฐในเดือนถัดไป การส่งเงินออมสะสมกับ กอช. เป็นการออมภาคสมัครใจ ไม่จำเป็นต้องออมเท่ากันทุกปี สมาชิกสามารถส่งเงินออมได้ตามกำลัง สามารถส่งเงินออมตั้งแต่อายุยังน้อย จำนวนเงินไม่มาก จะได้มีบำนาญใช้ตลอดชีพ

ที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนส่งเสริมการออม พร้อมให้บริการสมาชิก กอช. ด้วยดีมาตลอด อีกทั้งเป็นหนึ่งในหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุด ปัจจุบัน กอช. มีจำนวนสมาชิกประมาณ 2,467,437 คน กองทุนมีมูลค่าสินทรัพย์ ทั้งสิ้น 10,832.34 ล้านบาท มีสมาชิก กอช. เป็นผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรสูงสุด คิดเป็น 46%  ช่วงอายุสมาชิกที่มีการออมสูงสุด ในช่วงอายุ 31 – 50 ปี คิดเป็น 42%  มีสมาชิก กอช. ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 44% อยู่พื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 117,336 คน เงินออมรวม 208,441,199.76 บาท  (ข้อมูล ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565) และในครั้งนี้ทาง ธ.ก.ส. ได้เพิ่มการให้บริการแก่สมาชิก กอช. ในการเป็นหน่วยให้บริการออกสมุดเงินออม (Passbook) ตามความต้องการของสมาชิกได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยสมาชิกจะสมัครหรือส่งเงินออมกับ กอช. ที่ไหน ก็สามารถขอรับสมุดเงินออม กอช. ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ซึ่งทาง ธ.ก.ส. ได้อำนวยความสะดวกในการพิมพ์รายการเคลื่อนไหวทางบัญชีให้กับสมาชิก ทั้งเงินออมสะสม เงินสมทบจากรัฐ ผลประโยชน์ของเงินออมสะสมและเงินสมทบจากรัฐ

นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ธ.ก.ส. ได้เล็งเห็นความสำคัญของการออม เพื่อสวัสดิภาพของประชาชนในด้านการวางแผนทางการเงิน โดยที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้เป็นหน่วยให้บริการ ทั้งการรับสมัครสมาชิก กอช.และ ส่งเงินออมสะสม  โดยมีบริการหักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ (Direct Debit) รายเดือน ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ธ.ก.ส. ได้ให้บริการสมาชิก กอช. จำนวน 1,112,703 คน เป็นเงินจำนวนกว่า 2,645 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565) โดยในปีนี้ ธ.ก.ส. ได้ร่วมมือกับ กอช. ยกระดับการให้บริการ  ด้วยการออกสมุดเงินออมและบริการพิมพ์รายการเคลื่อนไหวในบัญชีแก่สมาชิก กอช. ที่ต้องการทราบจำนวนเงินสมทบของตัวเอง เงินสมทบจากรัฐบาล และผลประโยชน์เพิ่มจากการออมอย่างต่อเนื่อง เพิ่มความอุ่นใจในการสะสมเงินออมมากยิ่งขึ้น และสามารถนำไปเป็นข้อมูลเพื่อวางแผนการเงินของตนเองต่อไป ทั้งนี้ ธ.ก.ส. พร้อมเปิดให้บริการออกสมุดเงินออมสะสม กอช. (Passbook) เพียงสมาชิกแสดงบัตรประจำตัวประชาชนติดต่อขอเข้ารับสมุดออมเงิน กอช. ได้ตั้งแต่วันนี้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ที่ ธ.ก.ส. 1,020 สาขาทั่วประเทศ

Advertising

ออมสิน ทำโครงการ “ตลาดออมสินรวมใจ” สร้างต้นแบบตลาดเพื่อเศรษฐกิจดี ชีวิตดี สังคมยั่งยืน

People Unity News : 11 พฤศจิกายน 2566 ออมสิน ทำโครงการยกระดับตลาดแบบองค์รวม “ตลาดออมสินรวมใจ” นำร่อง 18 แห่งทั่วประเทศ สร้างต้นแบบตลาดเพื่อเศรษฐกิจดี ชีวิตดี สังคมยั่งยืน

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารได้จัดทำโครงการยกระดับตลาดแบบองค์รวม (Holistic Market Project) ภายใต้ชื่อ “ตลาดออมสินรวมใจ” ต่อยอดแนวคิดงานพัฒนาชุมชนแบบองค์รวม หรือ Holistic Area-Based Development ตั้งเป้าช่วยแก้ไขปัญหาหนี้และเป็นแหล่งเงินทุนแก่ผู้ขายในตลาดสดของชุมชน ล่าสุดได้ลงพื้นที่ตลาดเจดีย์แม่ครัว อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ 1 ใน 18 ตลาดของโครงการฯ เพื่อติดตามความคืบหน้างาน รวมถึงร่วมประชุมประเมินปัญหา-อุปสรรค และกำหนดปัจจัยความสำเร็จของตลาดแต่ละแห่งที่เข้าร่วมโครงการ ณ ห้องประชุมคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่

โครงการยกระดับตลาดแบบองค์รวม หรือ Holistic Market Project เป็นความร่วมมือของธนาคารออมสิน กับเจ้าของตลาด และหน่วยงานภาครัฐภาคเอกชน ที่ได้ร่วมกันคัดเลือกตลาดเอกชนและตลาดเทศบาล นำร่อง 18 แห่งทั่วประเทศ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการในตลาด ได้แก่ พ่อค้า แม่ค้า หาบเร่ แผงลอย และผู้ประกอบการรายย่อย ให้มีความเข้มแข็ง มีรายได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันสามารถเข้าถึงแหล่งเงินในระบบด้วยเงื่อนไขที่เป็นธรรม หลุดพ้นจากการเป็นหนี้นอกระบบ ด้วยการเข้าไปช่วยเหลือให้ความรู้ ให้คำปรึกษาแก่พ่อค้าแม่ค้า หรือผู้ค้าขายในตลาดผ่านการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ครอบคลุมการพัฒนาใน 7 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ด้วยการให้ความรู้และคำปรึกษาเรื่องการแก้ไขหนี้ในระบบ/นอกระบบ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และแนวทางการป้องกันการเกิดหนี้ 2) การส่งเสริมการออม เพื่อสร้างวินัยการออม 3) การเข้าถึงแหล่งเงินทุนหรือสินเชื่อด้วยอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่เป็นธรรม ไม่พึ่งพิงหนี้นอกระบบ 4) ให้ความรู้ทางการเงิน Financial Literacy การบริหารการเงิน และวางแผนการออม 5) สนับสนุนให้มีอาชีพที่ 2 เป็นอาชีพเสริม และเพิ่มทักษะเฉพาะด้านที่มีความจำเป็น 6) ให้ความรู้ในการเพิ่มช่องทางการขาย/การตลาด ผ่านช่องทางออนไลน์ และ 7) สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานในการค้าขาย ทั้งการ Re-Branding ตลาด ปรับปรุงสถานที่ ร้านค้า ป้ายบอกโซนค้าขาย และสภาพแวดล้อมในตลาด เป็นต้น ซึ่งขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนการติดตามความคืบหน้าและประเมินผลความสำเร็จของการดำเนินโครงการฯ ทั้ง 18 ตลาด ได้แก่ ตลาดนัดจตุจักร จ.กรุงเทพฯ ตลาดน้ำดอนหวาย จ.นครปฐม ตลาดเจดีย์แม่ครัว จ.เชียงใหม่ ตลาดสดเทศบาลวารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ตลาดเทศบาลเมืองสะเดา จ.สงขลา และ ตลาดสดเจ้าพระยา จ.ชลบุรี

Advertisement

ธอส.จัดงานตลาดนัดประชารัฐวายุภักษ์รักประชาชน 18 -20 ธ.ค.นี้ ที่สำนักงานใหญ่

People unity news online : ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จะเป็นเจ้าภาพจัดงาน “ตลาดนัดประชารัฐวายุภักษ์รักประชาชน ครั้งที่ 4” เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล และส่งเสริมให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย หรือลูกค้าของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 9 แห่ง มีพื้นที่ในการประกอบอาชีพ และส่งเสริมการใช้สินค้าชุมชน ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ และช่วยส่งเสริมให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ โดยกำหนดจัดงานตั้งแต่วันที่ 18 -20 ธันวาคม 2560 เวลา 07.00-16.00 น. ณ บริเวณหน้าอาคาร 1 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ พระราม 9

โดยจะมีพิธีเปิดงานตลาดนัดประชารัฐวายุภักษ์รักประชาชน ครั้งที่ 4 ในวันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2560 เวลา 09.15 น. โดยมี นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้บริหารหน่วยงาน SFIs ร่วมพิธีเปิดงาน ณ บริเวณหน้าอาคาร 1 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ พระราม 9

ธนาคารฯจึงขอเชิญพี่น้องประชาชนในละแวกใกล้เคียง และลูกค้าธนาคารฯ ไปเลือกซื้อสินค้าและผลิตภัณฑ์คุณภาพดี ราคาถูกในงานนี้

People unity news online : post 16 ธันวาคม 2560 เวลา 22.20 น.

ศบศ.ทำแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” ให้นายจ้างและลูกจ้างได้พบปะกันหวังกระตุ้นการจ้างงาน

People Unity News : ศบศ. รับนโยบายนายกฯ เน้นการจ้างงาน สนับสนุนภาคธุรกิจ และรักษาเสถียรภาพทางการเงิน แพลนจัดทำแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” หวังนายจ้างและลูกจ้างได้พบปะกัน

19 ส.ค. 63 เวลา 11.40 น. ณ ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายดนุชา พิชยนันท์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ นายสมิทธิ์ พนมยงค์ โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ แถลงผลการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ครั้งที่ 1/2563 สาระสำคัญ ดังนี้

รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยต่อความเดือดร้อนของประชาชนในทุกภาคส่วนทั้งด้านธุรกิจ ผู้ประกอบการและอาชีพอิสระ จึงจัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) ขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าหลังจากการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแล้ว ไทยยังคงมีเสถียรภาพอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวทางการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจทั้งระดับ Micro (ระดับพื้นที่) ซึ่งมอบหมายให้รัฐมนตรีรายกระทรวง ลงไปดูแลในระดับพื้นที่ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ดูแลแก้ไขปัญหาที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 รวมทั้งปัญหาเดิมที่มีอยู่แล้ว เช่น ภัยแล้ง สำหรับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจระดับ Macro (ระดับประเทศ) นั้น ศบศ. จะเป็นศูนย์ใหญ่ที่รับผิดชอบ โดยอาศัยความร่วมมือในทุกภาคส่วน ตามแนวทาง “รวมไทยสร้างชาติ” ซึ่งภายใต้ศูนย์นี้ ยังมีการทำงานของคณะอนุกรรมการอีก 3 ชุด เพื่อให้ครอบคลุมการดำเนินการทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพราะปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นผลพวงจากวิกฤตโควิด-19 ยังไม่มีวิธีการแก้ไขปัญหาที่แน่นอน การดำเนินการจึงต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง รอบคอบ ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์

นายสมิทธิ์ พนมยงค์  โฆษก ศบศ. ได้แถลงเพิ่มเติมเป้าหมายการทำงานของ ศบศ. คือ ลดการถดถอยทางเศรษฐกิจ ที่มีการประเมินในปีนี้ทั้งปีจะติดลบลดลงอยู่ที่ร้อยละ 7 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้มีการดำเนินการแล้วอย่างเช่น โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” จะมีการปรับปรุงขอบเขตการใช้สิทธิ เช่น จากเดิม 5 คืน ต่อ 1 สิทธิ เป็น 10 คืน ต่อ 1 สิทธิ และปรับเพิ่มค่าโดยสารเครื่องบิน จากเดิม 1,000 บาท ปรับเป็น 2,000 บาท รวมทั้งขยายฐานการใช้สิทธิสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการจัดอบรม สัมมนา ท่องเที่ยวอยู่แล้ว ใช้ในโครงการฯนี้ได้ นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ได้มีขยายคุณสมบัติของผู้ประกอบการในการขอสินเชื่อ (Soft Loan) เพื่อขยายขอบเขตทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่เข้าถึงสินเชื่อนั้นได้ เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำเป้าหมายหลักแก่ ศบศ. คือ 1.การจ้างงาน 2.การสนับสนุนภาคธุรกิจ และ 3.การรักษาเสถียรภาพทางการเงิน

จากนั้น  รองเลขาธิการสภาพัฒน์ฯ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมได้มีการเห็นชอบในหลักการ 4 เรื่องสำคัญ  ได้แก่ 1.สนับสนุนการท่องเที่ยว ในโครงการ เราเที่ยวด้วยกัน โดยมีการปรับปรุงขยายสิทธิ และการช่วยเหลือค่าเครื่องบินเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเดินทางได้ไกลขึ้น และขยายวงกลุ่มเป้าหมายโดยเน้นให้ธุรกิจขนาดใหญ่สามารถใช้สิทธิในการจัดประชุมสัมมนา 2.สนับสนุนการดูแลภาคธุรกิจ SME ให้เข้าถึงได้มากขึ้น เพื่อให้มีสภาพคล่องและธุรกิจยังคงดำเนินต่อไปได้ 3.มาตรการจ้างงาน โดยเฉพาะบัณฑิตจบใหม่และผู้ที่กำลังตกงานโดยมีการทำแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” โดยเน้นให้มีข้อมูลในรูปแบบ Big Data รวมศูนย์ข้อมูลเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้จ้างงานและผู้รับจ้างได้มีโอกาสเจอกันง่ายขึ้น และ 4. มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย

Advertising

รัฐบาลชวนผู้ประกอบการ “ร้านอาหารไทย” สมัครรับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 เมษายน 2568 3 พฤษภาคม 2568 รัฐบาลชวนผู้ประกอบการ “ร้านอาหารไทย” สมัครรับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT เพื่อโชว์ความมีมาตรฐานสากล สร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยว

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลขอเชิญชวนผู้ประกอบการร้านอาหารไทยทั่วประเทศ ที่มีเอกลักษณ์และความอร่อยที่น่าสนใจ เข้าสมัครรับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ปี 2568 โดยมีหลักเกณฑ์ คือ ร้านอาหารต้องเปิดให้บริการมาไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับถึงวันที่ยื่นสมัคร มีที่นั่งให้บริการภายในร้านไม่น้อยกว่า 10 ที่นั่ง เมนูอาหารของร้านต้องประกอบด้วยอาหารไทยไม่น้อยกว่า 70% และหัวหน้าพ่อครัวหรือหัวหน้าแม่ครัวเป็นคนไทย ร้านมีความสะอาด ถูกสุขอนามัย และสวยงาม ทั้งนี้ ร้านอาหารใด มีหลายสาขา ต้องให้แต่ละสาขายื่นใบสมัครรับตราแยกกัน หากผ่านเกณฑ์ จะได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ซึ่งมีอายุ 3 ปี นับจากวันที่ได้รับตรา

นายคารม กล่าวว่า การได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT จะเป็นการสร้างโอกาสทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการ สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก อันจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย นอกจากนี้ พณ. เตรียมรีแบรนด์ตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับมาตรฐานร้านอาหารสากล ด้วยการให้ดาวเหมือนมิชลินสตาร์ ซึ่งจะช่วยสร้างความจดจำในตราสัญลักษณ์ได้ง่ายมากขึ้น และเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ

ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค.2568) มีร้านอาหารไทยในประเทศได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT แล้ว 496 ร้าน ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ หากประชาชนต้องการค้นหาร้านอาหาร Thai SELECT หรือ Thai SELECT Guide 2024 สามารถค้นหาได้ที่ Line Official Account: @thaiselect หรือเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า www.dbd.go.th >> DBD e-Magazine >> Thai SELECT Guide

“การผลักดันร้านอาหารให้ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการผลักดันให้อาหารไทยเป็นซอฟต์พาวเวอร์อันดับ 1 ของประเทศ ซึ่งจะสามารถสร้างการจดจำแก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ รวมถึงเป็นแหล่งสร้างรายได้ที่สำคัญได้อีกด้วย ทั้งนี้ ผู้ประกอบการร้านอาหารไทยและผู้สนใจกิจกรรม สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร 0 2547 5954 e-Mail: thaiselectdbd@gmail.com เว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า www.dbd.go.th และ สายด่วน 1570” นายคารม กล่าว

Advertisement

 

นายกฯ เผยผลสำเร็จหารือภาคเอกชนญี่ปุ่น 5 บริษัท เชื่อมั่นศักยภาพประเทศไทย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 พฤษภาคม 2567 นายกฯ ให้สัมภาษณ์ผลสำเร็จการหารือภาคเอกชนญี่ปุ่น 5 บริษัท เชื่อมั่นศักยภาพประเทศไทย ขอบคุณการสนับสนุนของรัฐบาล และมีแผนขยายการลงทุนในไทยเพิ่มเติม พร้อมผลักดันการแก้ปัญหาภาคใต้ร่วมกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย

วันนี้ (23 พฤษภาคม 2567) เวลา 16.22 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงโตเกียว ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 2 ชั่วโมง) ณ ห้อง Sky Room ชั้น 24 โรงแรม The Peninsula Tokyo นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ถึงภารกิจในวันนี้ โดยได้หารือกับภาคเอกชนของญี่ปุ่น 5 ราย ดังนี้

1) บริษัท Mitsui & Co., Ltd. ซึ่งเคยพบกันเมื่อตอนนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน – ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ (ASEAN – Japan Commemorative Summit) เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2566 โดยบริษัทมีความคืบหน้าจากที่ได้คุยกันคราวก่อน เรื่องเชื้อเพลิงพลังงานสะอาดแบบยั่งยืน (sustainable aviation fuel: SAF) ซึ่งมีความคืบหน้า โดยมีการลงนาม MOU แล้ว และคาดว่าจะมีการตั้งฐานการผลิตที่ประเทศไทย โดยจะมีการทำประชาพิจารณ์ (Public Hearing) ที่จะให้รัฐบาลทำกับเอกชน ต้องมีการรับฟังความคิดเห็นก่อน นอกจากนี้ SAF ทำมาจากซากพืชที่เหลือจากไทย โดยเฉพาะอ้อย เป็นประโยชน์มากเพราะจะช่วยลด PM 2.5 ได้อย่างดี รวมถึงมีการสอบถามเรื่องการเจาะหาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งได้แจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับ OCA ว่า สัปดาห์หน้าจะมีการตั้งคณะกรรมการฯ นอกจากนี้ บริษัทมีโรงงานทำบรรจุภัณฑ์ที่มาเลเซีย นายกรัฐมนตรีจึงเชิญชวนให้มาสร้างโรงงานและทำการตลาดที่ไทย ซึ่งบริษัทกำลังพิจารณาความเป็นไปได้ ทั้งนี้ บริษัท Mitsui มีหลายบริษัทและมีการดำเนินธุรกิจที่หลากหลาย ซึ่งนายกรัฐมนตรีฝากว่า Mitsui เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดบริษัทหนึ่งในญี่ปุ่น เรามีความสัมพันธ์กันมานานมาก ขอให้มั่นใจว่า ประเทศไทยเปิดแล้ว และไม่มีเวลาไหนที่จะดีกว่าเวลานี้ที่จะมาลงทุนในไทย

2) บริษัท Ajinomoto Co., Inc. ซึ่งอยู่ในไทยมานานมากแล้ว มีโรงงานใหญ่ที่ผลิตผงชูรส 3 โรงงาน และจะมีการขยายโครงการในอนาคตอีก 16 โครงการภายในปีหน้า มูลค่าประมาณ 4,400 ล้านบาท ซึ่งจะขยายไปทำสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่เกี่ยวข้องกับ Amino acid ซึ่งจะส่งไปขายในต่างประเทศได้ รวมถึงเรื่อง Health Care เรื่อง Green Economy และทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อ ยำ ยำ ตลอดจนสนับสนุนเกษตรกรที่ทำมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำสินค้าของบริษัท โดยนายกรัฐมนตรีต้องการให้บริษัทสนับสนุนพืชผลอื่น ๆ ในจังหวัดอื่น ๆ ด้วย

3) บริษัท Sony Group Corporation เป็นบริษัทชั้นนำด้านเกม ดนตรี ภาพยนตร์ อิเล็กทรอนิกส์ และเลนส์กล้อง ซึ่งปัจจุบันทำเรื่องเซมิคอนดักเตอร์ในไทย และอยากให้ไทยเป็นศูนย์กลาง high-tech product ซึ่งปัจจุบันมีหลายโรงงานอยู่แล้ว นายกรัฐมนตรีเชิญให้บริษัทเข้ามาตั้ง Regional Office ในไทยเพราะธุรกิจเขาเยอะ โดยโรงงานที่ตั้งไม่ใช่ขายแค่ในประเทศอย่างเดียว แต่มีการส่งออกไปขายทั่วโลก ทำให้เป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของ FTA ซึ่งไทยจะมีการลงนามเร็ว ๆ นี้ กับอีกหลายประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีให้ความมั่นใจว่า รัฐบาลให้ความสำคัญ โดยเฉพาะการทำ FTA กับ EU รัฐบาลพยายามเร่งให้มีการลงนามภายในสิ้นปีหน้า (2568) นอกจากนี้ เกี่ยวกับ E-sport นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้บริษัทมาจัด Tournament ที่ไทย สอดคล้องกับที่ไทยพยายามส่งเสริมเรื่องการท่องเที่ยว Festival โดยบริษัทรับไปพิจารณา

4) บริษัท MUFG & Softbank ซึ่งมีเครือข่ายที่ดีในไทย โดยหุ้นกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา และเข้าไปลงทุนในหลายบริษัทที่จีน และอยากตั้ง Supply chain ย้ายฐานการผลิตมาที่ไทย เพราะไทยมี BOI ที่แข็งแกร่ง และบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ และอีกปัจจัยสำคัญคือความเป็นกลางทางด้านการเมืองของไทย ทำให้ Sony อยากย้ายฐานการผลิตมา โดยนายกรัฐมนตรีย้ำว่าพร้อมให้การสนับสนุน นอกจากนี้ Softbank ยังเป็นเจ้าของ LINE Application และมีประเด็นน่าสนใจที่เข้าไปลงทุนในบริษัทเล็ก ๆ ทั่วโลก และหลาย ๆ บริษัทก็ประสบความสำเร็จอย่างมากจึงอยากให้พิจารณาใช้ไทยเป็นฐานในการพัฒนา start-up ให้แข็งแกร่งขึ้น โดยรัฐบาลพร้อมสนับสนุน

5) บริษัท Nidec Corporation เป็นบริษัทที่ใช้ไทยในการเป็นฐานการผลิต ส่งออกอุตสาหกรรม high-tech โดยเฉพาะมอเตอร์ที่ใช้ในยานยนต์ไฟฟ้า EV โดรน โรงงานอยู่เยอะมากในไทย และจะมีการลงทุนในปีนี้อีกประมาณ 1,700 ล้านบาท อย่างไรก็ดีบริษัทประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะขั้นสูง และต้องการเพิ่มระยะเวลาการฝึกงานที่มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยไทย ให้มีความรู้ในเชิงลึกมากขึ้น นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีขอให้บริษัทให้ทุนการศึกษากับนักศึกษาปริญญาโทไปศึกษาที่ญี่ปุ่นซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาในอนาคต

ทั้งนี้ ในวันที่ 19-20 มิถุนายน 2567 ประธานผู้แทนการค้าไทย และเลขาธิการ BOI จะนำทีมมาที่เมืองโอซาก้าและกรุงโตเกียวเพื่อมาสานต่อภารกิจที่ได้พูดคุยไป

สำหรับในช่วงเย็น นายกรัฐมนตรีจะมีการหารือกับ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยจะมีการพูดคุยเรื่องการลงทุนที่ค้างกันไว้ การช่วยเหลือด้านการท่องเที่ยวของมาเลเซีย อาหารฮาลาล และปัญหาชายแดนภาคใต้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ บอกไว้ก่อนหน้าว่าอาจจะลงพื้นที่ไปยังภาคใต้ และจะสอบถามความสะดวกทางนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพราะการที่ผู้นำทั้งสองประเทศลงไป จะทำให้มีความแน่นแฟ้นมากขึ้น และปัญหาต่าง ๆ อาจคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น จากนั้น จะมีงานเลี้ยงอาหารค่ำ ซึ่งนายคิชิดะ ฟูโอมิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เข้าร่วมด้วย

Advertisement

Verified by ExactMetrics