วันที่ 3 พฤศจิกายน 2025

นายกฯ มุ่งยกระดับแอปฯ “ทางรัฐ” สู่การเป็น Super App รองรับเศรษฐกิจดิจิทัล และ E-Government

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 กรกฎาคม 2567 นายกฯ มุ่งยกระดับแอปฯ “ทางรัฐ” สู่การเป็น Super App พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และ E-Government ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐอย่างทันสมัย สะดวก ครอบคลุม ปลอดภัย และตรวจสอบได้

วันที่ 30 กรกฎาคม 2567 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มุ่งวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนำไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและ E-Government วางนโยบายพัฒนาแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” สำหรับลงทะเบียนรับสิทธิในโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต” 10,000 บาท ของรัฐบาล ไปสู่การสร้าง “Super App” ยกระดับเป็นศูนย์กลางในการให้ประชาชนทุกช่วงวัยสามารถติดต่อขอรับบริการจากภาครัฐผ่านแอปพลิเคชันนี้ได้อย่างครอบคลุมตลอด 24 ชั่วโมง

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA ได้ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ซึ่งปัจจุบันมีบริการภาครัฐกว่า 152 บริการ ก้าวไปสู่การเป็น “Super App” ที่ครอบคลุมการติดต่อและรับบริการจากภาครัฐแบบครบวงจร และสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนคนไทยทุกคน ตามแนวความคิด E-Government ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงภาครัฐผ่านช่องทางที่ง่าย จบ ครบทุกช่วงวัย โดยประชาชนสามารถขอรับบริการได้แบบออนไลน์ทั้งหมด ลดค่าใช้จ่าย การเตรียมเอกสาร และประหยัดเวลาในการติดต่อหน่วยงานราชการ

รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในการใช้แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” โดยการนำระบบ Blockchain มาใช้เพิ่มความโปร่งใสในการทำธุรกรรม ต้องมีการยืนยันตัวตนบนแอปพลิเคชันด้วยมาตรฐานการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล รวมถึงมีการเชื่อมข้อมูลของแต่ละหน่วยงาน ทำให้สามารถตรวจจับผู้ที่ดำเนินธุรกรรมอย่างผิดกฎหมาย หรือใช้ไม่ตรงวัตถุประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ยังถูกออกแบบมาให้มีการใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้าแบบพบหน้า และต้องซื้อสินค้าจากร้านค้าในอำเภอเดียวกันกับชื่อที่อยู่ในทะเบียนบ้าน หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขจะทำให้การใช้จ่ายนั้นไม่ผ่าน ทำให้ต้องมีการตรวจสอบ 3 ด้าน ได้แก่ 1) ที่อยู่ของร้านค้าตามที่ลงทะเบียนโครงการฯ 2) ที่อยู่ของประชาชนตามทะเบียนบ้านในขณะที่ ลงทะเบียนโครงการฯ และ 3) พิกัดที่อยู่ของประชาชนในขณะที่ใช้จ่ายกับร้านค้าต้องอยู่ในเขตอำเภอเดียวกัน การชำระเงินจึงจะสมบูรณ์ อย่างไรก็ดี ผู้ที่ชื่อที่อยู่ในทะเบียนบ้านกับที่อยู่จริง ณ ปัจจุบัน ไม่ตรงกัน กระทรวงการคลังเปิดโอกาสให้สามารถย้ายที่อยู่ในทะเบียนบ้านได้ โดยให้ย้ายทะเบียนบ้าน ที่อำเภอ หรือสำนักงานเขต ให้เสร็จสิ้นก่อนทำการลงทะเบียนสมัคร Digital Wallet 1 วัน เช่น หากวางแผนจะลงทะเบียนสมัคร Digital Wallet ในวันที่ 1 กันยายน 2567 ให้ย้ายทะเบียนบ้านให้เสร็จภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2567

“นายกรัฐมนตรีมุ่งหวังให้โครงการ Digital Wallet วางรากฐานระบบเศรษฐกิจดิจิทัล และ E-Government ให้ประเทศ ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับต่อยอดพัฒนาให้แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ไปสู่การเป็น “Super App” ซึ่งนอกจากจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลของประชาชนถึง 40-50 ล้านนคนแล้ว ยังวางเป้าหมายยกระดับการให้บริการแก่ประชาชนคนไทยทุกคนและทุกช่วงวัย ให้สามารถรับบริการจากหน่วยงานรัฐได้อย่างสะดวก ครอบคลุม ปลอดภัย และตรวจสอบได้” นายชัย กล่าว

Advertisement

ก.คลังเพิ่มทุนโครงการเหมืองแร่โพแทชอาเซียน 90 ล้าน

People Unity News : 1 มีนาคม 2566 คลังงัดงบกลางเพิ่มทุนโครงการเหมืองแร่โพแทชอาเซียน 90 ล้านบาท  คงสัดส่วนผู้ถือหุ้นตามข้อตกลงโครงการอุตสาหกรรมอาเซียน

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ครม.เห็นชอบการเพิ่มทุนในโครงการเหมืองแร่โพแทชของอาเซียน โดยเพิ่มทุนเพื่อชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนส่วนแรกในสัดส่วนของกระทรวงการคลัง จำนวน 90 ล้านบาท สำหรับบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) เพื่อคงสัดส่วนการถือหุ้นของรัฐบาลเจ้าของโครงการเป็นไปตามข้อตกลงพื้นฐานว่าด้วยโครงการอุตสาหกรรมอาเซียน (Basic Agreement) และให้โครงการสามารถดำเนินงานต่อไปได้ มอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาใช้จ่ายงบกลาง ปีงบประมาณ 2566  ชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนในส่วนแรกตามขั้นตอนของกฎหมาย

โครงการเหมืองแร่โพแทชของอาเซียน เป็นโครงการภายใต้ข้อตกลงพื้นฐานว่าด้วยโครงการอุตสาหกรรมอาเซียน (Basic Agreement) โดยไทยเป็นสมาชิกร่วมกับประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และบูรไน ซึ่งข้อตกลงกำหนดให้ประเทศเจ้าของโครงการต้องร่วมลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของยอดลงทุนทั้งหมด และรัฐบาลเจ้าของโครงการต้องลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของยอดเงินลงทุนนั้น โดยอีกร้อยละ 40 ประเทศสมาชิกอาเซียนจะเป็นผู้ลงทุน โครงการนี้ มีบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินโครงการ มีทุนจดทะเบียน 2,805.8 ล้านบาท และกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ร้อยละ 20 เป็นเงิน 516.16 ล้านบาท ลักษณะของโครงการ เป็นการทำเหมืองใต้ดิน  มีแร่โพแทชและเกลือหินเป็นผลผลิตสำคัญ ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ มีมูลค่าแหล่งแร่รวม 200,000 ล้านบาท และได้เริ่มพัฒนาเหมืองขั้นต้นเพื่อการผลิตแร่โพแทชไว้แล้ว เช่น การขุดเจาะอุโมงค์เข้าสู่เหมืองใต้ดินเพื่อการขนส่ง การสร้างห้องใต้ดินเพื่อทดลองผลิตแร่โพแทช ซึ่งไม่พบปัญหาด้านวิศวกรรม

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา บริษัทไม่สามารถหาทุนเพื่อดำเนินธุรกิจได้ แม้ภาครัฐโดยกระทรวงการคลังได้พยายามเพิ่มทุนแก่บริษัทหลายครั้ง เช่น ขยายนิยามผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยให้ครอบคลุมรัฐวิสาหกิจไทย รวมถึงบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจไทย แต่ไม่มีหน่วยงานใดให้ความสนใจ  จึงไม่สามารถผลิตแร่ได้ตามเป้าหมาย  อีกทั้ง มีภาคเอกชนรายใหม่ให้ความสนใจ เข้ามาลงทุนในโครงการ  อาจจะส่งผลต่อสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทเปลี่ยนแปลง กระทรวงการคลังจึงต้องเพิ่มทุนในครั้งนี้ ให้เป็นไปตามข้อตกลงพื้นฐานว่าด้วยโครงการอุตสาหกรรมอาเซียน (Basic Agreement)

Advertisement

บอร์ดดุสิตธานี ตั้ง “ชนินทธ์” ควบกรุ๊ปซีอีโอ หลัง “ศุภจี” ตอบรับนั่ง รมว.พาณิชย์

14 กันยายน 2568 คณะกรรมการดุสิตธานี มีมติแต่งตั้ง “ชนินทธ์ โทณวณิก” รักษาการประธานกรรมการ ควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม (กรุ๊ปซีอีโอ) หลังจาก “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” ขอเกษียณก่อนครบกำหนดจากการปฏิบัติหน้าที่ มีผลตั้งแต่วันนี้ (12 กันยายน 2568) เป็นต้นไป มั่นใจไม่กระทบการดำเนินงานของกลุ่มดุสิตธานี ย้ำ “ดุสิตธานี” ผ่านการวางรากฐานอย่างแข็งแกร่ง และพร้อมที่จะเติบโตอย่างมั่นคงภายใต้บริบทใหม่

บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับแจ้งจากนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ว่าหลังจากได้รับการทาบทามจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนางศุภจีได้ตัดสินใจตอบรับการทาบทามเพื่อดำรงตำแหน่งดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงมีความประสงค์จะขอเกษียณอายุก่อนครบกำหนดจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ. ดุสิตธานี เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมเศรษฐกิจ ที่จะร่วมขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ เพื่อพัฒนาประเทศในช่วงที่ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน และเพื่อให้การดำเนินงานของบริษัทฯ เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมั่นคง คณะกรรมการบริษัทฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568 ได้มีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มควบอีกหนึ่งตำแหน่ง เพื่อให้การบริหารจัดการและนโยบายต่าง ๆ ในระยะเปลี่ยนผ่าน สามารถดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น

นายชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี เปิดเผยว่าในฐานะองค์กรที่ดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติ ดุสิตธานีรู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ นางศุภจีได้รับโอกาสอันสำคัญนี้ ซึ่งจะเป็นการอุทิศตนเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติในช่วงรอยต่อที่สำคัญของบ้านเมือง

“บริษัทขอขอบคุณคุณศุภจีสำหรับความทุ่มเท ความเป็นผู้นำ และวิสัยทัศน์ที่ได้หล่อหลอมองค์กรตลอดที่ผ่านมา จนภารกิจในการวางรากฐานให้กลุ่มดุสิตธานีพร้อมที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สามารถสำเร็จลุล่วงด้วยดี ในขณะที่ภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงเวลานี้ต้องการผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาเป็นแรงขับเคลื่อน ซึ่งนับเป็นเรื่องเร่งด่วน ภายใต้เงื่อนเวลาที่จำกัด กลุ่มดุสิตธานีจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่คุณศุภจีจะได้ใช้ความรู้ความสามารถทำงานรับใช้ชาติและประชาชน ซึ่งเป็นช่วงเวลาสั้นๆ และหากภารกิจของชาติเสร็จสิ้นเป็นเรียบร้อย กลุ่มดุสิตธานีก็พร้อมจะต้อนรับคุณศุภจีกลับมาเสมอ โอกาสนี้ ผมขอร่วมแสดงความยินดีและอวยพรให้คุณศุภจีประสบความสำเร็จอย่างสูงในภารกิจอันทรงเกียรตินี้ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างยั่งยืน” นายชนินทธ์กล่าว

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี รู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแบรนด์ไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลก และสามารถทำให้ “ดุสิตธานี” เป็นหมุดหมายที่สำคัญของประเทศไทยจากนักเดินทางทั่วทุกมุมโลก พร้อมกันนี้ ขอขอบคุณทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงาน ทั้งผู้ถือหุ้น กรรมการบริษัท ผู้บริหาร พนักงาน ลูกค้า และคู่ค้าของดุสิตธานี ที่ร่วมแรงร่วมใจฝ่าฟันวิกฤติรวมทั้งปัจจัยท้าทายจนทำให้แบรนด์ “ดุสิตธานี” เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง สง่างาม และน่าภาคภูมิใจ สำหรับการดำเนินงานของกลุ่มดุสิตธานีหลังจากนี้ จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากแผนงานเดิมที่ได้ถูกวางรากฐานไว้อย่างมั่นคงตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงแรม ธุรกิจการศึกษา ธุรกิจอาหาร และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” (Dusit Central Park) มูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท ที่จะเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งตามเป้าหมายเดิมที่วางไว้ ด้วยทีมบุคลากรที่มีคุณภาพของกลุ่มดุสิตธานีที่ยังคงทุ่มเททำงานอย่างเต็มกำลังเหมือนที่ผ่านมา ดังนั้น ขอให้ผู้ลงทุน ลูกค้า คู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ รวมถึงทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง มั่นใจและเชื่อมั่นในสิ่งที่ “ดุสิตธานี” ดำเนินการมาโดยตลอด

“อยากให้ทุกคนมั่นใจว่า สิ่งที่ถูกส่งต่อและวางไว้บนมือของผู้บริหารและพนักงานของกลุ่มดุสิตธานีหลังจากนี้ คือการเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของดุสิตธานี บนรากฐานที่มั่นคง ที่ดิฉันและทีมดุสิตธานีทุกคนร่วมกันสร้างไว้และนี่คือ สิ่งที่เราพยายามทำมาตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา นั่นคือ ไม่ว่าจะเผชิญกับปัจจัยท้าทาย หรือความเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ยังเชื่อมั่นได้ว่า ทั้งโครงสร้างองค์กร โครงสร้างธุรกิจ และโครงสร้างทางการเงินของกลุ่มดุสิตธานีจะรองรับกับทุกความเปลี่ยนแปลงนั้นได้เป็นอย่างมั่นคง สุดท้ายนี้ ดิฉันขอขอบคุณคุณชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ ที่ให้โอกาสและมอบหมายให้ทำภารกิจสำคัญจนลุล่วง รวมถึงยินดีและเต็มใจที่จะให้ดิฉันมีโอกาสใช้ความรู้ความสามารถในการรับใช้ประเทศชาติและประชาชน และดิฉันเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ดุสิตธานีจะสามารถยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งในฐานะแบรนด์ไทยในระดับโลกได้อย่างยั่งยืน” นางศุภจี กล่าว

Advertisement

ก.อุตสาหกรรมรับรองคุณภาพสินค้า “เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ” จากผู้ผลิตชุมชน 2 รายแรก

People Unity News : กระทรวงอุตสาหกรรม การันตี “เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ” สินค้าจากชุมชน สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ 100% หลัง สมอ. ให้การรับรองคุณภาพสินค้าแก่ผู้ผลิตชุมชน 2 รายแรกของไทย ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) ที่ปรับแก้ไขใหม่ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เมื่อเดือนมีนาคม 2563 ที่ผ่านมา ชวนประชาชนอุดหนุนสินค้าไทย รับวิถีปกติใหม่ (New normal)

นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ได้แก้ไขมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน  มผช.907/2563 ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือ ซึ่งรวมถึงเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ เพื่อให้สอดคล้องตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข โดยแก้ไขเกณฑ์กำหนดส่วนผสมของแอลกอฮอล์ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ70 เพื่อให้สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 นั้น เป็นที่น่ายินดีว่า มีผู้ผลิตชุมชน 2 รายแรกของไทย ได้รับการรับรองคุณภาพสินค้าตามมาตรฐานดังกล่าวจาก สมอ. แล้ว ได้แก่ ดีดีดี แอลกอฮอล์เจล ของนางสาวเรณู แก้วตา ผู้ผลิตชุมชนจังหวัดลำพูน ได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2563 และนางสาววรรณภัสสร สันติธรรมสุททิ์ ผู้ผลิตชุมชนจังหวัดชุมพร ได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา

“การได้รับการรับรองในครั้งนี้ เป็นเครื่องการันตีว่า สินค้ามีคุณภาพตามมาตรฐาน สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ 100 % ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายและสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เป็นหนึ่งในมาตรการและแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการของกระทรวงอุตสาหกรรม ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบ ให้สามารถพัฒนาสินค้าได้ตามมาตรฐาน สร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจ ตลอดจนเพิ่มยอดขายสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น และเพิ่มสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจภายใต้สถานการณ์โควิด 19″ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า “แม้ว่าสถานการณ์โควิด 19 จะคลี่คลาย แต่ประชาชนก็ยังต้องป้องกันตนเอง ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย การใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ และฉีดพ่นแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ เพื่อให้ปลอดภัยจากเชื้อไวรัสดังกล่าว เจลแอลกอฮอล์ล้างมือจึงเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่จำเป็นสำหรับประชาชนที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันตามวิถีปกติใหม่ หรือ New normal จึงขอฝากถึงประชาชนให้อุดหนุนสินค้าของไทย โดยเฉพาะสินค้าจากผู้ผลิตชุมชน และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เพื่อสร้างงานและสร้างรายได้สู่ชุมชน และที่สำคัญเพื่อความปลอดภัยและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 สำหรับผู้ผลิตชุมชน และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สามารถนำมาตรฐาน มผช.907/2563 ไปเป็นแนวทางในการผลิตเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ที่ได้มาตรฐาน โดยขอให้ท่านยื่นจดแจ้งกับกระทรวงสาธารณสุขตามกฎหมายก่อน หลังจากนั้นให้มายื่นขอการรับรองที่ สมอ. หรือสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ทั้งนี้ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.tisi.go.th หรือสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2202 3345-46 กองบริหารมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน

Advertising

พล.อ.ประยุทธ์​ ชมพรรณไม้เมืองหนาว จ.ระยอง ยันเดินหน้าทุกโครงการเพื่ออนาคต

People Unity News : 9 สิงหาคม 2566 นายกฯ ​ยิ้ม หลังชมพรรณไม้เมืองหนาว จ.ระยอง ยันเดินหน้าทุกโครงการเพื่ออนาคต ไม่มีเลือกที่รักมักที่ชัง บอก​ไม่ขอออกความเห็นการเมือง​ พ้อเป็นคนไม่สำคัญ​ ไม่ทราบเพื่อไทยประกาศสลายขั้ว ตั้งรัฐบาลพิเศษ

พล.อ.ประยุทธ์​ จันทร์โอชา​ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ เดินทางมายังโครงการนำพลังงานความเย็นเหลือใช้จากการเปลี่ยนสถานะของก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกพืชเมืองหนาว ต่อยอดด้านการเกษตรเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ที่อาคารนิทรรศน์พรรณพฤกษา อ.เมืองระยอง จ.ระยอง ซึ่งจุดนี้มีนายสาธิต​ ปิตุเตชะ​ รัฐมนตรี​ช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข​ ในฐานะรักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ​ร่วมคณะด้วย

ทันทีที่ พล.อ.ประยุทธ์ และคณะ เดินทางมาถึง ได้ทักทายสื่อมวลชน โดยระบุว่า​มีความสุขจริงๆ เย็นดีเหลือเกิน​ มิน่าไม่เห็นเลยพวกนี้ ซึ่งภายในอาคารมีการควบคุมอุณหภูมิอยู่ที่ 15 องศาเซลเซียส​ จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขึ้นไปบริเวณห้องรับฟังบรรยายสรุปการดำเนินการ​ ก่อนจะลงมาร่วมถ่ายรูปกับดอกไม้ภายในอาคาร

หลังจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์​ ได้ให้​สัมภาษณ์​ถึงการลงพื้นที่ตรวจราชการในครั้งนี้ว่า ตนได้รับรายงานมาโดยตลอด ซึ่งทั้งหมดเป็นความร่วมมือร่วมใจของเราที่ทำกันมาหลายปีด้วยกันตั้งแต่รัฐบาลที่ผ่านมาครั้งแรก เพราะเราคิดว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศไทยเดินหน้าไปได้ ซึ่งต้องส่งเสริมการลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้มีความพร้อม เลยต้องเตรียมโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางบก ทางเรือ​ ทางอากาศ ให้พร้อม เพราะจะเป็นแรงจูงใจให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุน จากการดำเนินการมีความก้าวหน้าไปมาก​ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะต้องพัฒนาและเข้าใจร่วมกัน และตนไม่อะไรกับใครเลย เพียงแต่ขอความเข้าใจว่าจะต้องเดินหน้าประเทศกันไปอย่างไร​ เพื่อเดินหน้าสู่อนาคต​

“ตนถึงบอกว่าวันนี้ต้องมีอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อดีตไม่ดีก็อย่าทำ อะไรที่ดีทำซะ ทำต่อเนื่อง ทำต่อไป ปัจจุบันคือทำให้คนรุ่นหลังเพื่ออนาคต ซึ่งใครมีหน้าที่ตรงนี้ก็ต้องมองทั้ง 3 อย่าง เราเลือกที่รัก​มักที่ชัง​ใครไม่ได้ เพราะคนไทยทั้งหมด 70 ล้านคน เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้เขาทั้งหมด ไม่ว่าจะมากจะน้อยก็แล้วแต่ศักยภาพที่เรามีอยู่​ พร้อมขอสื่อมวลชนอย่าถามเลยเรื่องเก่าๆ​ เรื่องในอดีต​ ตนยังไม่ตอบ วันนี้พูดถึงอนาคตแล้ว” นายกรัฐมนตรี กล่าว

เมื่อสื่อมวลชนถามว่าแล้วปัจจุบันเป็นอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์​ ถามกลับสื่อมวลชนว่า “ปัจจุบันคืออะไร การเมือง”

เมื่อถามถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้แต่ละกระทรวงเตรียมเอกสารส่งต่อให้รัฐบาลใหม่​ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า “ก็ใช่​ ต้องส่งเขาไง นี่แหละคือคำว่าส่งต่อ”

ทั้งนี้ หากโครงการอะไรจะเดินได้ การเมืองจะต้องนิ่งด้วยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์​ กล่าวพร้อมชี้นิ้วมายังสื่อมวลชน “บอกเขาสิ บอกการเมืองเขา ตนไม่ใช่ตอนนี้”

ส่วนที่พรรคเพื่อไทยประกาศชูข้อเสนอตั้งรัฐบาลพิเศษสลายขั้วการเมือง เพื่อแก้วิกฤติการเมืองกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ถามกลับสื่อว่า “มีหรือ มีที่ไหน​ ไม่รู้สิ ก็แล้วแต่​ นึกถึงประเทศชาติ​ ประชาชน​ก็แล้วกัน​ จะทำอะไรก็ทำได้ทั้งหมดแหละ”

พร้อมย้ำว่า ตนไม่มีความเห็นไง ทำไมต้องมีความเห็นด้วยจ๊ะ สื่อมวลชนจึงกล่าวว่าเพราะนายกฯ เป็นคนสำคัญ พล.อ.ประยุทธ์​ ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง พร้อมระบุว่า “อย่าคิด ฉันเป็นคนไม่สำคัญ ให้ไปฟังเพลงดูสิ เพลงคนไม่สำคัญ​“ ก่อนเดินออกจากวงสัมภาษณ์

ผู้สื่อข่าวยังถามว่าตกลง พล.อ.ประยุทธ์ สำคัญหรือไม่สำคัญ นายกรัฐมนตรีได้กล่าว​ระหว่างเดินว่า​ “ถามอยู่ได้​ เดี๋ยวก็พลาดจนได้แหละ”

ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินทางกลับ ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่าแต่แฟนคลับยังเห็นว่านายกฯ เป็นคนสำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ เอามือป้องปาก และพูดว่า “เหรอ ทีตอนนี้เห็นว่าสำคัญขึ้นมาเชียวล่ะ” จากนั้นได้ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ และกล่าวอีกว่า “วันนี้มาทั้งวันไม่เหนื่อย แต่เหนื่อยกับคำถามสื่อที่ถามกันนี่แหละ” จากนั้นได้ยิ้มอย่างอารมณ์ดี และส่งสัญลักษณ์ I love you และ Mini Heart ก่อนเดินทางกลับ

Advertisement

โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรมแจ้งชาวไร่อ้อยเตรียมรับข่าวดี

People Unity News : โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรมแจ้งชาวไร่อ้อยเตรียมรับข่าวดี หากจดทะเบียนชาวไร่อ้อยก่อน 29 พ.ย นี้ เพื่อรับการช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างทั่วถึง

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2562 นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เผยว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ได้เปิดให้บริการรับจดทะเบียนชาวไร่อ้อยและหัวหน้ากลุ่มชาวไร่อ้อย ประจำปี 2562 ครั้งที่ 2 ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 โดยเกษตรกรชาวไร่อ้อยสามารถยื่นคำร้องขอจดทะเบียน ได้ที่เขตบริหารอ้อยและน้ำตาลทราย 1 – 8 และหน่วยประจำโรงงานน้ำตาลทั้ง 57 แห่งทั่วประเทศ ฟรีไม่เสียค่าธรรมเนียมใด ๆ ทั้งสิ้น
สำหรับสิทธิประโยชน์ที่เกษตรกรชาวไร่อ้อยจะได้รับเบื้องต้นจากการจดทะเบียน คือ

1) ได้รับสิทธิ์ในการส่งอ้อยเข้าโรงงานอย่างถูกต้องและเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด 2) ได้รับเงินค่าอ้อยเพิ่มขึ้นกรณีที่การประกาศราคาอ้อยขั้นสุดท้ายมากกว่าราคาอ้อยขั้นต้น และ 3) ได้รับการสนับสนุนและการให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ จากภาครัฐ อยากให้ชาวไร่อ้อยทุกครอบครัวลงทะเบียนให้ครบถ้วนเพื่อเตรียมรับข่าวดีที่น่าจะมีการประกาศเร็วๆนี้

เอกชนเชื่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลเศรษฐา 1 น่าจะทำได้จริง

People Unity News : 5 กันยายน 2566 ภาคเอกชนมั่นใจแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจด้านต่างๆของรัฐบาลเศรษฐา 1 จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาดีขึ้นในปีหน้าโตแน่ไม่ต่ำกว่า 5% ย้ำขอให้เดินหน้าเต็มที่ แม้จะเจอปัญหาภาคการส่งออกแต่เชื่อว่าหากร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นทีมเดียวกันโอกาสส่งออกไทยปีหน้าก็จะกลับมาบวกเช่นกัน

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกล่าวว่า ภาคเอกชนได้รับรู้และรับทราบถึงแนวทางปฏิบัติของรัฐบาลเศรษฐา 1 ที่จะประกาศใช้ในเร็ววันนี้ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการด้านการท่องเที่ยว ผ่านมาตรการฟรีวีซ่าเพื่อดึงนักท่องเที่ยวสำคัญอย่างชาวจีนมาเที่ยวที่เมืองไทยที่จะสร้างรายได้ให้กับไทยหลายหมื่นล้านบาท รวมทั้งยังสร้างกิจกรรมให้กับภาคธุรกิจทั้งท่องเที่ยวและต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ แนวทางลดค่าครองชีพให้กับประชาชนลดค่าน้ำมันและไฟฟ้ารวมทั้งอื่นๆลงเพื่อช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถยืนต่อไปได้ และถึงแม้ภาคเอกชนมีความเป็นห่วงเกี่ยวกับโครงการดิจิตอลวอลเล็ต 1 หมื่นบาทต่อคนที่จะใช้เม็ดเงินมากกว่า 5 แสนล้านบาท แต่เห็นว่าแนวทางนี้รัฐบาลที่มาจากพรรคเพื่อไทยน่าจะสามารถดำเนินการได้สำเร็จ โดยโครงการนี้ถือเป็นสิ่งที่ผู้มีรายได้น้อยต้องการเพื่อดำรงชีพต่อไปได้ และหากรัฐบาลสามารถทำตรงนี้ได้สำเร็จพร้อมทั้งมีแนวทางบริหารประเทศที่ชัดเจนก็เชื่อว่านักลงทุนจากต่างประเทศจะหันกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทยแน่นอน

“ข้อเสนอเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจของหอการค้าฯ ได้แก่ 1.การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ นโยบายลดค่าครองชีพ และลดต้นทุนภาคเอกชน 2.ส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายและเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยว และ 3. การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณที่ยังค้างท่อ และเร่งจัดทำงบประมาณรายจ่าย 2567 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนแผนงานต่างๆ รวมทั้งเร่งสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ภายใต้การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและเอกชน ผ่านกลไก กรอ. ทุกระดับ เพื่อผลักดัน GDP ปีนี้ให้สามารถเติบโตได้มากกว่า 3% และเป็นแรงส่งต่อให้ GDP ปีหน้าเติบโตได้ 5%” นายสนั่นกล่าว

ขณะที่ภาคการส่งออกของไทยในปีนี้ ยอมรับว่าปีนี้มีหลายปัจจัยที่กระทบทำให้ยอดการส่งออกของไทยไม่ดีนักและคาดว่าปีนี้ยอดส่งออกน่าจะติดลบประมาณ 2% แต่ในปี 67 เมื่อภาครัฐและเอกชนมาประชุมร่วมกันเพื่อเตรียมแผนการผลักดันการส่งออกแบบเจาะตลาดเชิงรุกโดยเฉพาะในกลุ่มตะวันออกกลาง อียูและตลาดใหม่ๆก็เชื่อว่าโอกาสตัวเลขการส่งออกไทยในปี 67 ก็จะมาเป็นบวกได้แน่นอนและขณะนี้อยู่ในระหว่างการนัดหมายพบกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เพื่อจะได้กำหนดแนวทางร่วมกันผลักดันการส่งออกของไทยในปี 67 ได้ต่อไป

Advertisement

ครม.อนุมัติร่างผลิตภัณฑ์อุตฯ กระดาษสัมผัสอาหาร-ปรุงอาหารด้วยความร้อน ต้องมีมาตรฐาน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 สิงหาคม 2568 ครม. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. และร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อนต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ….

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ ดังนี้ 1) อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ….ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการควบคุมผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน

2) อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อนต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการควบคุมผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อนต้องเป็นไปตามมาตรฐาน

โดยการอนุมัติหลักการทั้งสองร่างดังกล่าว เพื่อให้มีคุณภาพและความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ลดความเสี่ยงที่ผู้บริโภคอาจได้รับจากสารเคมีที่เป็นอันตราย และสารก่อมะเร็งที่อยู่ในกระดาษสัมผัสอาหาร รวมทั้งเพื่อป้องกันความเสียหายอันอาจจะเกิดแก่ประชาชน กิจการอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ (มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมใหม่)

ทั้งนี้ หลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. … ระบุให้ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กำหนดคุณลักษณะด้านควานความปลอดภัยของกระดาษ กระดาษแข็ง และภาชนะกระดาษที่ไม่ไม่ไล่สีในเนื้อกระดาษสำหรับใช้กับอาหารทั่วไปและอาหารบรรจุขณะร้อน (hot-fill) ทั้งที่สัมผัสอาหารโดยตรงและไม่สัมผัสอาหารโดยตรง ตามรายละเอียด ดังนี้ กระดาษสัมผัสอาหาร หมายถึง กระดาษ กระดาษแข็ง และภาชนะกระดาษ ที่มีวัตถุประสงค์สำหรับใช้ห่อหุ้ม บรรจุ รวบรวบรวม หรือรองรับอาหาร

ภาชนะกระดาษ หมายถึง ภาชนะซึ่งใช้บรรจุหรือรองรับอาหาร เช่น จาม ชาม ถาด ถ้วย กล่อง ถุง ที่ทำจากกระดาษหรือกระดาษแข็ง รวมถึง รวมภาชนะที่ทำจากเยื่อกระดาษ (molded pulp article) ภาชนะทำจากเยื่อกระดาษ หมายถึง ภาชนะที่เกิดจากการขึ้นรูปเยื่อกระดาษเป็นภาชนะแล้วนำไปทำให้แห้ง

สารเคมีในกระบวนการผลิด หมายถึง สารเคมีทุกชนิดที่ใช้การผลิต ใช้ปรับปรุงคุณสมสมบัติเดิมของกระดาษหรือเพิ่มคุณสมบัติใหม่ให้กับกระดาษ เช่น สารเดิมแต่งเชิงหน้าที่ (functional additive) และสารช่วยในกระบวนการผลิต (production aid) รวมถึงสารที่ช่วยเสริมการทำงานของสารเดิมแต่งเชิงหน้าที่ทำความสะอาดเครื่องจักรผลิตกระดาษสัมผัสอาหาร

ขณะที่ หลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อนต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. ระบุให้ มาตรการผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กำหนดคุณลักษณะด้านความปลอดภัยของกระดาษ กระดาษแข็ง และภาชนะกระดาษที่ทำจากเยื่อบริสุทธิ์ผสมเส้นใยสังเคราะห์ไม่ใส่สีในเนื้อกระดาษ สำหรับใช้สัมผัสอาหาร เพื่อกรองของหลวร้อน อุ่นอาหาร หรือปรุงอาหาร ที่อุณหภูมิไม่เกิน 220 องศาเซลเซียส

Advertisement

ออมสิน คว้า 7 รางวัลรัฐวิสาหกิจ ปี 2567 มากสุดเป็นประวัติการณ์ ผลจากความสำเร็จ ธนาคารเพื่อสังคม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 กุมภาพันธ์ 2568 ออมสิน ท็อปฟอร์ม!  คว้า 7 รางวัลรัฐวิสาหกิจ ปี 2567 “ระดับดีเด่น” มากสุดเป็นประวัติการณ์ นับเป็นรัฐวิสาหกิจที่ได้รับรางวัลสูงสุด พร้อมครองรางวัลเกียรติยศ “รัฐวิสาหกิจยอดเยี่ยม” 2 ปีซ้อน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น (SOE Award) ประจำปี 2567 ให้แก่ นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน คณะกรรมการธนาคารออมสิน และผู้บริหาร รวมทั้งสิ้น 7 รางวัล ประกอบด้วย รางวัลรัฐวิสาหกิจยอดเยี่ยม รางวัลคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจดีเด่น รางวัลการบริหารจัดการองค์กรดีเด่น รางวัลการพัฒนาสู่รัฐวิสาหกิจดิจิทัล รางวัลการพัฒนาสู่รัฐวิสาหกิจยั่งยืน รางวัลการดำเนินงานเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีเด่น และ รางวัลความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมดีเด่น (ด้านนวัตกรรม) จัดขึ้นโดยคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินได้รับรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2567 ถึง 7 รางวัล มากสุดในประวัติศาสตร์ของธนาคารในการได้รับรางวัลในระดับดีเด่นทั้งหมด และเป็นรัฐวิสาหกิจที่ได้รับรางวัลมากที่สุดในครั้งนี้ ที่สำคัญได้รับรางวัลเกียรติยศรัฐวิสาหกิจยอดเยี่ยม 2 ปีติดต่อกัน ความสำเร็จในการได้รับรางวัลดังกล่าว นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของบุคลากรธนาคารออมสินทุกคน ที่มุ่งมั่นตั้งใจในการรักษามาตรฐานการดำเนินงานในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีธรรมาภิบาล โปร่งใส ให้ความสำคัญกับการดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างสมดุล โดยเฉพาะการเดินหน้าตามภารกิจการเป็นธนาคารเพื่อสังคม เพื่อสร้าง Social Impact ให้กับผู้คนและสังคมในวงกว้าง และขยายขีดความสามารถการแข่งขันในระยะยาว

สำหรับรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2567 ที่ธนาคารออมสินได้รับ ประกอบด้วย รางวัลรัฐวิสาหกิจยอดเยี่ยม มอบให้รัฐวิสาหกิจที่มีมาตรฐานการดำเนินงานที่โดดเด่นในทุก ๆ ด้าน สามารถตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของประชาชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตลอดจนเป็นแรงขับเคลื่อนในการพัฒนาประเทศ รางวัลคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจดีเด่น มอบให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจซึ่งปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แทนของผู้ถือหุ้นภาครัฐ ในความมุ่งมั่นและมีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ และผลักดันการบริหารงานของฝ่ายจัดการให้บรรลุเป้าหมายขององค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส สอดคล้องกับหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี รางวัลการบริหารจัดการองค์กรดีเด่น ได้รับติดต่อกันเป็นปีที่ 6 มอบให้รัฐวิสาหกิจที่รักษามาตรฐานการบริหารจัดการดำเนินงานได้เป็นเลิศ สามารถสร้างศักยภาพในการแข่งขันและพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำพาองค์กรเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ รางวัลการพัฒนาสู่รัฐวิสาหกิจดิจิทัล จากความมุ่งมั่นในการยกระดับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัล มาบริหารจัดการและพัฒนาองค์กรในมิติต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงขององค์กร ยกระดับประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ตลอดจนพัฒนาผลิตภัณฑ์บริการใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

พร้อมกันนี้ ยังได้รับ รางวัลการพัฒนาสู่รัฐวิสาหกิจยั่งยืน จากการที่ธนาคารให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างสร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่ารวม โดยคำนึงถึงมิติสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม รางวัลการดำเนินงานเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีเด่น จากโครงการ “ออมสินฮ่วมใจ๋ฮักขุนน่าน” ที่ธนาคารใช้กลยุทธ์การพัฒนาชุมชนแบบองค์รวม โดยยึดโยงกับบริบทแวดล้อมของพื้นที่ เพื่อสร้างคุณค่าร่วมให้ธุรกิจเติบโตควบคู่กับการสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชนและสังคม รางวัลความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมดีเด่น ธนาคารได้รับรางวัลด้านนวัตกรรม จากโครงการ GSB ESG Score : Portfolio Low-Carbon โดยนำนวัตกรรมทางการเงินมาพัฒนาเป็น ESG Score เครื่องมือในการพิจารณาสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อสร้างความยั่งยืนต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกส่วน ทั้งองค์กรธุรกิจ ธนาคาร ประเทศชาติ และโลกได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

Advertisement

รัฐบาลเตรียมแผนกระจายสินค้าไปยังตลาดจีนเป็นรายมณฑล

People Unity News : 16 กรกฎาคม 2566 นายกฯ เชื่อมั่นทุกการทำงานที่ผ่านมาส่งผลให้ไทยครองอันดับ 1 ส่งออกผลไม้ไทยไปจีน มีส่วนแบ่งในตลาดผลไม้ของจีนถึงร้อยละ 41.3 รัฐบาลเตรียมแผนกระจายสินค้าไปยังตลาดจีนเป็นรายมณฑล

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ได้รับทราบว่า ไทยเป็นแหล่งนำเข้าผลไม้อันดับ 1 ของจีน และมีส่วนแบ่งในตลาดผลไม้ของจีนถึงร้อยละ 41.3 สะท้อนศักยภาพสินค้าไทย พร้อมแนะผู้ประกอบการคงคุณภาพ มาตรฐานของผลไม้ เตรียมความพร้อมเพื่อส่งออกไปยังตลาดจีนในรายมณฑล รวมถึงตลาดอื่น ๆ ที่น่าสนใจเพิ่มเติม

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ไทยถือเป็นอันดับ 1 ในการส่งออกผลไม้ไปยังจีน โดยในปี 2565 ไทยมีส่วนแบ่งในตลาดผลไม้ของจีนถึงร้อยละ 41.3 ซึ่งปัจจุบันสำนักงานศุลกากรจีน (GACC) อนุญาตให้นำเข้าผลไม้จากไทยกว่า 22 ชนิด ได้แก่ มะขาม น้อยหน่า มะละกอ มะเฟือง ฝรั่ง เงาะ ลองกอง ละมุด เสาวรส ส้มเปลือกล่อน ส้ม ส้มโอ สับปะรด กล้วย มะพร้าว ขนุน ลำไย ทุเรียน มะม่วง ลิ้นจี่ มังคุด และชมพู่ โดยผลไม้สดที่ไทยครองตลาดสำคัญในจีน ได้แก่ ทุเรียน ส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 95.3 ลำไย ร้อยละ 99.3 มังคุด ร้อยละ 86.8 มะพร้าว ร้อยละ 69.2 น้อยหน่า ร้อยละ 100 ชมพู่ ร้อยละ 100 และเงาะ ร้อยละ 82.4

ด้วยนโยบายการทำงานเชิงรุกของรัฐบาล จุดเด่นทางด้านคุณภาพและรสชาติของผลไม้ไทย ทำให้ผลไม้ไทยมีส่วนแบ่งทางการตลาด และเป็นที่ต้องการในต่างประเทศอย่างมาก ถือเป็นโอกาสสำคัญของเกษตรกรและผู้ประกอบการของไทยในการพัฒนาคุณภาพ กระบวนการผลิต การจัดการเพื่อการส่งออกผลไม้ไทย รวมถึงรัฐบาลผลักดันนโยบายการกระจายตลาด ลดความเสี่ยงในการพึ่งพาตลาดเดียว โดยกระจายตลาดส่งออกผลไม้ไปยังตลาดใหม่ ๆ ที่มีกำลังซื้อ และขยายตลาดลงสู่ระดับมณฑลของจีนให้มากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ผลไม้ไทยเข้าสู่ตัวเมืองชั้นในของจีนมากขึ้น

“โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้รักษาคุณภาพ มาตรฐานด้านสุขอนามัย ความปลอดภัย และคุณภาพของผลไม้ โดยสั่งการอย่างต่อเนื่องให้ส่งเสริมและผลักดันการส่งออกสินค้าทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ พร้อมส่งเสริมผู้ประกอบการไทยเพื่อหาช่องทางการส่งออกที่มีศักยภาพเพิ่มเติม ให้สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค เพื่อนำเสนอสินค้าไทยให้เป็นที่รู้จัก เพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด และเพิ่มมูลค่าทางการค้าให้กับประเทศต่อไป” นางสาวรัชดา กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics