วันที่ 14 ตุลาคม 2025

ออมสินจัดโปรสินเชื่อบ้าน “กู้ปีนี้ ผ่อนปีหน้า”

People Unity News : 3 ตุลาคม 65 นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า จากผลสำเร็จของการจัดสินเชื่อบ้าน “กู้ปีนี้ ผ่อนปีหน้า” ของธนาคาร เมื่อปลายปี 2564 ที่คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำ พร้อมทั้งปลอดชำระเงินงวด นาน 6 เดือน ปรากฏว่า จูงใจให้ประชาชนสนใจกู้เพื่อมีที่อยู่อาศัยของตัวเองเป็นจำนวนมาก จนสามารถปล่อยสินเชื่อได้เป็นวงเงินรวมสูงถึง 17,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของปี 2565 มีเสียงเรียกร้องอยากให้ธนาคารออมสินจัดโปรโมชันดีๆแบบนี้อีก ธนาคารจึงเปิดให้บริการสินเชื่อบ้าน “กู้ปีนี้ ผ่อนปีหน้า” อีกครั้ง หลังจากที่สถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย และเริ่มกลับมามีกิจกรรมทางเศรษฐกิจอีกครั้ง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยยังคงให้ทางเลือกในการปลอดชำระเงินงวด เพื่อช่วยลดภาระการผ่อนชำระของผู้กู้

โปรโมชันสินเชื่อบ้าน “กู้ปีนี้ ผ่อนปีหน้า” หลักเกณฑ์เงื่อนไขน่าสนใจสำหรับคนอยากมีบ้าน ทั้งซื้อ/สร้าง/ต่อเติม/ซ่อมแซม หรือต้องการรีไฟแนนซ์มาจากสถาบันการเงินอื่น กรณีทำประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ยปีแรก 1.99% (MRR-4.255% ต่อปี) ปีที่ 2-3 = 2.980% (MRR-3.265% ต่อปี) ปีที่ 4 เป็นต้นไป = 4.995% (MRR-1.250% ต่อปี) คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี เท่ากับ 2.65% ต่อปี (ปัจจุบัน MRR ธนาคารออมสิน = 6.245%) พร้อมเงื่อนไขพิเศษ โดย 6 เดือนแรก สามารถเลือกไม่ชำระเงินงวดได้ และหลังจากนั้นเลือกชำระเงินงวดแบบผ่อนต่ำอีก 6 เดือน ล้านละ 3,500 บาท/เดือน เพื่อมีเงินเพิ่มสภาพคล่องรองรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรือจะเลือกผ่อนชำระตามเงินงวดปกติก็ได้ นอกจากนี้ ธนาคารยกเว้นค่านิติกรรมสัญญา และค่าบริการสินเชื่อ รวมทั้งฟรีค่าจดจำนอง กรณี Re-Finance วงเงินกู้สินเชื่อเคหะ 1 ล้านบาทขึ้นไป และเลือกดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ซึ่งหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

ทั้งนี้ เปิดให้ยื่นกู้ได้ตั้งแต่บัดนี้ จนถึง วันที่ 15 ม.ค. 2566 ที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ และจัดทำนิติกรรมสัญญาภายในวันที่ 15 ก.พ. 2566 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115 และที่ facebook : GSB Society

Advertisement

รัฐบาลแจงยังไม่เริ่ม “ภูเก็ตโมเดล” เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขออย่ากังวล จะทำรัดกุมที่สุด

People Unity News : รัฐบาลแจงยังไม่เริ่ม “ภูเก็ตโมเดล” รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เผยอยู่ในขั้นหารืออีกหลายขั้นตอน

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยเตรียมใช้ภูเก็ตโมเดล เป็นต้นแบบเปิดรับนักท่องเที่ยวนั้น โครงการดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการหารือในรายละเอียด ยังมีอีกหลายขั้นตอนที่จะต้องมาพิจารณาร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น แนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยว กลุ่มชาวต่างชาติที่จะเข้ามา วิธีการคัดกรอง การป้องกัน ฯลฯ ซึ่งยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควร จนกว่าจะมั่นใจได้ว่า เมื่อเปิดรับชาวต่างชาติแล้ว จะไม่นำมาซึ่งความเสี่ยงการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอก 2

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ขอให้ชาวภูเก็ต และนักท่องเที่ยวชาวไทยสบายใจได้ ว่าตอนนี้ยังไม่มีการเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยการดำเนินการจะทำอย่างรัดกุมมากที่สุด การเปิดรับนักท่องเที่ยวจะทำอย่างเหมาะสม ไม่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื่อโควิด-19 ระลอก 2 และภูเก็ตโมเดลจะเป็นการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ (New Normal) ที่กำหนดพื้นที่ให้ท่องเที่ยวแบบจำกัด มีการกักตัว 14 วันก่อนให้เดินทางท่องเที่ยวอย่างแน่นอน ที่สำคัญจะพิจารณาเฉพาะประเทศที่ปลอดโควิด ช่วงนี้รัฐบาลขอเชิญชวนคนไทยออกไปเที่ยวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้มีการกระจายรายได้ลงสู่ประชาชนในแต่ละพื้นที่

Advertising

“ส้มควายภูเก็ต” ขึ้นทะเบียนเป็นสินค้า GI แล้ว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 พฤษภาคม 2567 อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เดินหน้าขึ้นทะเบียน “ส้มควายภูเก็ต” สินค้า GI รายการใหม่ อนุรักษ์ต่อยอดภูมิปัญญา สร้างรายได้ สร้างอาชีพแก่เกษตรกรชาวภูเก็ตอย่างยั่งยืน

กรมทรัพย์สินทางปัญญา เดินหน้าขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) “ส้มควายภูเก็ต” สินค้าภูมิปัญญาคุณภาพดี รสชาติเปรี้ยวจัด มีคุณค่าทางโภชนาการ แปรรูปได้หลากหลาย ทั้งรูปแบบผลสด แบบแห้งและแบบผง อีกหนึ่งสินค้าเด่นจากจังหวัดภูเก็ต สร้างความภาคภูมิใจและรายได้สู่จังหวัดภูเก็ตกว่า 3.6 ล้านบาท

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เผยว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญายังคงเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรและชุมชนท้องถิ่น ผ่านนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากบนพื้นฐานแห่งอัตลักษณ์และภูมิปัญญาไทย โดยใช้ประโยชน์จากการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI เพื่อคุ้มครองสินค้าท้องถิ่นชุมชนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในพื้นที่แหล่งผลิตสินค้าในแต่ละท้องถิ่น ตลอดจนให้ความคุ้มครองและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า โดยกรมฯ จะเดินหน้าส่งเสริมการจัดทำระบบควบคุมคุณภาพสินค้าเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค และขยายช่องทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ประกาศขึ้นทะเบียน “ส้มควายภูเก็ต” สินค้า GI รายการใหม่ลำดับที่ 3 ของจังหวัดภูเก็ตต่อจากสินค้าสับปะรดภูเก็ตและมุกภูเก็ต ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน GI ไปก่อนหน้านี้

“ส้มควายภูเก็ต” เป็นพันธุ์ส้มที่มีทรงผลกลม ร่องผิวเปลือกตื้น เนื้อละเอียด หนา แน่น รสชาติเปรี้ยวจัด มีขอบเขตการปลูกครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของจังหวัดภูเก็ต ลักษณะดินเป็นดินร่วนปนเหนียว อุดมไปด้วยธาตุอาหารหลักที่จำเป็น อีกทั้งสภาพภูมิอากาศที่มีฝนตกชุกตลอดปี ถือเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการปลูกต้นส้มควาย ทำให้ต้นส้มเจริญเติบโตได้ดี ทั้งในมิติของการจัดการใบ ดอก และติดผล สามารถเก็บเกี่ยวได้ตลอดทั้งปี

“ส้มควายภูเก็ต” เป็นพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการและสารสำคัญต่างๆ ผสมผสานกับกระบวนการผลิตที่พิถีพิถัน มีการควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอน ตั้งแต่กระบวนการผลิต การเก็บเกี่ยว จนถึงการแปรรูป โดยอาศัยทั้งภูมิปัญญาที่สืบทอดต่อกันมา ร่วมกับการส่งเสริมจากหลายภาคส่วนในจังหวัด ส่งผลให้ส้มควายภูเก็ตเป็นสินค้า ที่มีคุณภาพดี สามารถนำมาจำหน่ายได้ทั้งแบบผลสด แบบแห้ง และแบบผง อีกทั้งยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นอาหารพื้นเมืองและเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมเวชสำอางค์ได้อีกด้วย ส้มควายภูเก็ตจึงเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่เป็นที่ยอมรับและเป็นที่ต้องการของตลาด มีการสั่งซื้อส้มควายทั้งแบบขายปลีก ขายผ่านช่องทางออนไลน์ และการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ ให้มีการส่งสินค้าไปจำหน่ายนอกพื้นที่จังหวัดภูเก็ต รวมถึงการร่วมงานแสดงสินค้าต่างๆ ทั่วประเทศ ถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่กว่า 3.6 ล้านบาทต่อปี

ทั้งนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญาขอเชิญทุกท่านร่วมสนับสนุนผู้ประกอบการ GI และอุดหนุนสินค้า GI ไทย โดยติดตามข้อมูลสินค้า GI รายการต่างๆ และข่าวสารความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องได้ที่ เพจ Facebook : GI Thailand หรือสอบถามเพิ่มเติมโทรสายด่วนกรมทรัพย์สินทางปัญญา 1368 ได้

Advertisement

ธอส. จัดงาน GHB ALL HOME EXPO 2024 @เซ็นทรัล อีสต์วิลล์ รามอินทรา ลดสูงสุดถึง 50%

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 กุมภาพันธ์ 2567 ธอส. จัดงาน GHB ALL HOME EXPO 2024 @เซ็นทรัล  อีสต์วิลล์ รามอินทรา นำทรัพย์เด่น ทำเลดีกว่า 1,000 รายการ ลดสูงสุดถึง 50%

นายศักดิ์สิทธิ์ จิตตนูนท์ รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานปรับโครงสร้างหนี้ และรักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบังคับคดี ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” ส่งเสริมให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ง่ายขึ้น จึงเตรียมจัดงาน มหกรรมบ้านมือสอง ธอส. : GHB ALL HOME EXPO 2024 @เซ็นทรัล อีสต์วิลล์ รามอินทรา ระหว่างวันที่ 16-18 ก.พ. 2567 ณ เซ็นทรัล อีสต์วิลล์ รามอินทรา โดยนำบ้านมือสองคุณภาพดี ทำเลเด่น และราคาคุ้มค่า พร้อมส่วนลดสูงสุด 50% จากราคาในปัจจุบัน มาจำหน่ายรวม 1,160 รายการ ทั้งประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ และห้องชุด (คอนโดมิเนียม) แบ่งเป็น ทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 662 รายการ และทรัพย์ในภูมิภาค 498 รายการ โดยทรัพย์ที่มีราคาต่ำสุด ได้แก่ ทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม ขนาดเนื้อที่ 26.25 ตรม. ในโครงการรินทร์ทองคอนโดมิเนียม อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ มีราคาเพียง 75,000 บาท เท่านั้น!! พิเศษ! ลงทะเบียนจองซื้อทรัพย์ภายในงานมีโอกาสได้รับสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำสุด นานสูงสุด 24 เดือน และผู้ที่ทำสัญญาตั้งแต่วันที่ 16 – 23 ก.พ. 2567 รับฟรีบัตรกำนัลแทนเงินสด มูลค่า 2,000 บาท จำนวน 20 รางวัล1 รายต่อ 1 รางวัล (สำหรับผู้ที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล 10 รายแรก และที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์ในส่วนภูมิภาค 10 รายแรก) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ G H Bank Call Center โทร. 0-2645-9000 กด 5 หรือ Facebook Fanpage บ้านมือสอง ธอส. หรือ ดูข้อมูลบ้านมือสอง ธอส. ได้ที่ www.ghbhomecenter.com, Mobile Application : GHB ALL HOME และ Line Official Account : @ghbnpa

Advertisement

แอร์เอเชียยืนยันกับ ”สมคิด” เตรียมลงทุนในไทยสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน

People unity news online : เมื่อวานนี้ (16 พฤษภาคม 2561) เวลา 14.30 น. นายโทนี่ เฟอร์นานเดส (Mr. Tony Fernandes) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มสายการบินแอร์เอเชีย เข้าเยี่ยมคารวะ รองนายกรัฐมนตรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างแอร์เอเชียกรุ๊ปกับรัฐบาลไทย ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

รองนายกรัฐมนตรีได้หารือกับนายโทนี่ เฟอร์นานเดส ยืนยันความร่วมมือระหว่างกันใน 3 ประเด็น หลัก ดังนี้

  1. แอร์เอเชียยืนยันแผนลงทุน 5 ปี ในการสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (Maintenance, Repair and Overhaul: MRO) ณ ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา (ระยอง-พัทยา) โดยจะใช้เงินลงทุนเริ่มต้นทั้งสิ้น 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะนี้แผนลงทุนนี้ได้รับการอนุมัติในหลักการแล้ว โดยจะเป็นการร่วมทุนระหว่างแอร์เอเชียกับหุ้นส่วน ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการซ่อมบำรุง จะทำให้ ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการซ่อมบำรุงอากาศยานในภูมิภาค
  2. การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ปัจจุบันแอร์เอเชียมีเครื่องสองลำที่ใช้บริการที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภา ซึ่งส่งผลให้มีจำนวนผู้โดยสารที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภาจำนวน 9 แสนคนต่อปี และแอร์เอเชียจะขยายการใช้บริการอย่างต่อเนื่อง เมื่อโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินเสร็จสิ้น แอร์เอเชียจะเพิ่มเที่ยวบินจากอู่ตะเภาไปยังยุโรป และออสเตรเลีย ซึ่งจะทำให้มีจำนวนผู้โดยสารที่ท่าอากาศบายอู่ตะเภาเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทฯเชื่อว่าหากมีการเปิดอาคารผู้โดยสารของสายการบิน Low cost ซึ่งคิดราคาภาษีสนามบินถูกกว่าอาคารผู้โดยสารปกติ จะเป็นการขยายตลาด เพิ่มจำนวนผู้โดยสารที่สนามบินอู่ตะเภา
  3. การร่วมมือกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ที่จะลงทุนที่สนามบินแห่งใหม่ที่อยู่ในแผนการสร้างของรัฐบาลไทย อาทิ เขตพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่/ลำพูน ชุมพร ระนอง เป็นต้น ทั้งนี้จะส่งเสริมนโยบายการท่องเที่ยวเมืองรองของรัฐบาลไทยด้วย

ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณกลุ่มสายการบินแอร์เอเชียที่ให้ความเชื่อมั่นตามแผนการพัฒนาของรัฐบาล และร่วมลงทุนในประเทศไทย

People unity news online : post 17 พฤษภาคม 2561 เวลา 19.10

คปภ. ขานรับนโยบาย รมว.คลัง เดินหน้าประกันภัยพืชผลการเกษตร

People Unity News : คปภ. ขานรับนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินหน้าพัฒนากลไกด้านประกันภัยพืชผลการเกษตร เพื่อมุ่งคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านประกันภัยให้กับเกษตรกรไทย

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากสภาวการณ์ของสภาพภูมิอากาศของโลกที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ทำให้เกิดภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรง และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เช่น น้ำท่วม ลมพายุ ภัยแล้ง แผ่นดินไหว ฯลฯ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายและผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยที่มีประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก  ดังนั้น การลดความเสี่ยงภัยด้วยระบบประกันภัย จึงมีความสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญเกษตรกรสามารถนำเงินที่ได้รับจากการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไปดำเนินการเพาะปลูกในฤดูการผลิตต่อไป

ที่ผ่านมาการเกิดภัยธรรมชาติ และการเกิดโรคระบาดที่ส่งผลกระทบทำให้เกิดความเสียหายของผลผลิตทางการเกษตรยังคงเกิดขึ้นทุกปี และแม้ว่าปัจจุบัน ได้มีการนำระบบประกันภัยเข้ามาช่วยรับภาระความเสี่ยงภัยที่เกิดขึ้น เช่น การประกันภัยข้าวนาปี การประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่รัฐบาลร่วมสนับสนุนค่าเบี้ยประกันภัย ซึ่งเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง การดำเนินงานดังกล่าว เป็นการเสนอโครงการช่วยเหลือแบบปีต่อปี โดยขึ้นกับนโยบายของรัฐบาลในแต่ละปี ดังนั้น เพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรทางด้านประกันภัยมีความต่อเนื่องและยั่งยืน สำนักงาน คปภ. จึงได้ร่วมกับศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดทำโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยงทางการเกษตร ปศุสัตว์ และประมง ด้วยการประกันภัย เพื่อศึกษาและเสนอแนวทางการจัดทำร่างกฎหมายการประกันภัยทางด้านเกษตรกรรม ได้แก่ พืชผล ปศุสัตว์ และประมง โดยได้มีการศึกษากฎหมายประกันภัยทางด้านเกษตรกรรมจากหลายประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อินเดีย ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี และ สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นต้น โดยกลุ่มที่มีกฎหมายประกันภัยพืชผลเป็นการเฉพาะ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี

สำหรับร่างกฎหมายการประกันภัยทางด้านเกษตรกรรมที่กำลังศึกษา นอกจากศึกษากฎหมายดังกล่าวจากหลายประเทศแล้ว ยังเน้นไปที่กฎหมายของสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งมีความน่าสนใจ เนื่องจากโครงสร้างของกฎหมายมีบทบัญญัติที่ชัดเจนและครอบคลุมเนื้อหาการประกันภัยด้านเกษตรกรรม มีสาระสำคัญ อาทิเช่น การกำหนดประเภทของผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้ครอบคลุมทั้งประเภทพืชผล ปศุสัตว์ และประมง  การกำหนดรูปแบบการประกันภัย ที่เหมาะสมในแต่ละผลิตภัณฑ์ การกำหนดประเภทความเสี่ยงภัย อัตราเบี้ยประกันภัยและวิธีการประเมินความเสียหาย การกำหนดบทบาทภาครัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บริษัทประกันภัย และระบบการประกันภัยต่อ จึงน่าจะเป็นประโยชน์ที่จะนำมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของประเทศไทย

เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินงานตามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยงทางการเกษตร ปศุสัตว์ และประมง ด้วยการประกันภัย เริ่มดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 และจะสิ้นสุดโครงการฯ ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 อย่างไรก็ดี เพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะแนวทางที่สามารถขับเคลื่อนได้อย่างเป็นรูปธรรมสำหรับรูปแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยด้านเกษตรกรรมประเภทต่างๆ จึงได้จัดให้มีการลงพื้นที่ในการจัดประชุมกลุ่มย่อย ระดมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะร่วมกันเกี่ยวกับประเด็นสำคัญในการวิจัยและประเด็นสำคัญของร่างกฎหมาย ระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลได้แก่ สำนักงาน คปภ. ผู้มีส่วนได้เสีย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ โดยได้จัดประชุมกลุ่มย่อยไปแล้ว จำนวน 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดสระบุรี จังหวัดสกลนคร และจังหวัดราชบุรี

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา ตนและคณะที่ปรึกษาโครงการฯ ได้ลงพื้นที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อจัดประชุมกลุ่มย่อยครั้งที่ 5 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับฟังความคิดเห็นของเกษตรกร หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่ เพื่อรวบรวมข้อเสนอแนะแนวทางหรือมาตรการในการนำระบบประกันภัยเข้าไปรองรับความเสี่ยงภัยด้านการประมง โดยมีการแบ่งกลุ่มย่อย จำนวน 5 กลุ่ม เพื่อระดมสมองและเป็นเวทีในการแสดงความคิดเห็น โดยมุ่งเน้นเรื่องการเลี้ยงกุ้งในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทำให้ได้รับทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อการศึกษาและวิจัยตามโครงการฯ เช่น ปัจจัยที่มีความเสี่ยง ต้นทุนในการเลี้ยงกุ้ง ความเสี่ยงที่เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งต้องการให้ระบบประกันภัยเข้ามารองรับความเสียหาย ความสามารถในการจ่ายเบี้ยประกันภัยของเกษตรกร เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้ลงพื้นที่เพื่อศึกษาข้อมูลการเลี้ยงกุ้ง ณ ศรีวิชัยฟาร์ม ตำบลลีเล็ด อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทำให้รับทราบปัญหาอุปสรรคและความเสี่ยงภัยในการเลี้ยงกุ้ง เช่น การเกิดโรคระบาดในกุ้ง การเกิดภัยธรรมชาติ เป็นต้น ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่สำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้เหมาะสมตรงกับความต้องการของเกษตรกรมากยิ่งขึ้น รวมถึงรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการประมงในรูปแบบอื่นๆ เพื่อให้การพัฒนากรอบแนวทางการจัดทำร่างกฎหมายการประกันภัยทางด้านเกษตรกรรม มีความสมบูรณ์ครบถ้วนที่สุด

“การศึกษาวิจัยเพื่อยกร่างกฎหมายการประกันภัยทางด้านเกษตรกรรมให้มีรูปแบบที่ชัดเจน มีความยืดหยุ่น เพื่อให้พี่น้องเกษตรกรมีเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์โรคระบาด หรือภัยธรรมชาติ ได้อย่างยั่งยืน ตลอดจนจะเป็นการส่งเสริมให้มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยพืชผลที่มีความหลากหลาย ซึ่งเป็นการน้อมรับนโยบายของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่ได้มอบหมายให้สำนักงาน คปภ. พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยทางการเกษตรอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้ระบบประกันภัยไปช่วยเหลือเกษตรกร ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. พร้อมที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้มีกลไกทางด้านประกันภัยในการบริหารความเสี่ยงด้านเกษตรกรรม เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับการคุ้มครองด้านประกันภัย และได้รับประโยชน์จากระบบประกันภัยอย่างเต็มที่” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

Advertising

กบข.จับมือแบงก์กรุงไทย เปิดให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยแก่สมาชิก กบข. ดอกเบี้ยถูกที่สุดในระบบ

People unity : กบข. ร่วมกับธนาคารกรุงไทย เปิดให้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยภายใต้โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยธนาคารกรุงไทยเพื่อสมาชิก กบข. เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับสมาชิก กบข. อัตราดอกเบี้ยถูกที่สุดในระบบ

นายวิทัย รัตนากร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข. ร่วมกับธนาคารกรุงไทย เปิดให้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยภายใต้โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยธนาคารกรุงไทยเพื่อสมาชิก กบข. เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับสมาชิก กบข. ที่ต้องการซื้อหรือสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ ปรับปรุง ต่อเติม หรือไถ่ถอนจำนองที่อยู่อาศัยเดิมจากสถาบันการเงินอื่น

จุดเด่นของสินเชื่อดังกล่าว คือ ให้อัตราดอกเบี้ยถูกที่สุดในระบบคือ 0% ในปีแรก อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีอยู่ที่  2.88% ต่อปี ให้วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 100% ของราคาประเมิน หรือ ราคาซื้อขายจริง ผู้ขอกู้ต้องเป็นสมาชิก กบข. และเป็นลูกค้าสินเชื่อรายใหม่ของธนาคารกรุงไทยเท่านั้น

นายวิทัยกล่าวว่า โครงการนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากสมาชิก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยถูกที่สุดในระบบ ช่วยให้สมาชิกสามารถบริหารจัดการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสิทธิพิเศษนี้มอบให้สำหรับสมาชิก กบข. เท่านั้น ผู้ที่สนใจควรรีบสมัครใช้สิทธิเพราะโครงการจะหมดเขตวันที่ 30 เมษายนนี้แล้ว

สมาชิก กบข. สามารถสมัครใช้สิทธิได้ที่ My GPF Application กดเมนูสิทธิพิเศษ แล้วเลือกแบนเนอร์สินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสมาชิก กบข. เมื่อกดใช้สิทธิจะมีเจ้าหน้าที่ธนาคารติดต่อกลับภายใน 1 – 2 วันทำการ หรือ สมัครใช้บริการได้ที่ธนาคารกรุงไทย ทุกสาขาทั่วประเทศ โทรสอบถามข้อมูลได้ที่ Call Center ธนาคารกรุงไทย 0-2111-1111 หรือศึกษาข้อมูลโครงการเพื่อเตรียมเอกสารประกอบการสมัครได้ที่เว็บ กบข. เมนูสวัสดิการลดรายจ่าย เลือกหัวข้อ สินเชื่อกรุงไทยเพื่อสมาชิก กบข.

เศรษฐกิจ : กบข.จับมือแบงก์กรุงไทย เปิดให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยแก่สมาชิก กบข. ดอกเบี้ยถูกที่สุดในระบบ

People unity : post 27 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 14.30 น.

รัฐบาลปลื้มราคาสินค้าเกษตรหลักปรับตัวสูงขึ้น

People unity news online : รัฐบาลยินดีราคาสินค้าเกษตรหลักปรับตัวสูงขึ้น พร้อมกำชับช่วยเหลือผลผลิตที่ยังมีปัญหา ยืนยันดูแลเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2561 พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่ราคาสินค้าเกษตรหลักหลายชนิดปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ช่วยให้เกษตรกรมีกำลังซื้อมากขึ้น โดยราคาข้าวเปลือกหอมมะลิ ปัจจุบันอยู่ที่ตันละ 18,700 บาท เพิ่มจากเดิมตันละ 12,000 – 14,000 บาท เป็นราคาที่สูงสุดในรอบ 10 ปี ส่วนข้าวเปลือกเจ้าเฉลี่ยตันละ 8,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่เกษตรกรพึงพอใจ

นอกจากนี้ มันสำปะหลังราคา กก.ละ 3.20 บาท สูงสุดในรอบ 10 ปีเช่นเดียวกัน ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคา กก.ละ 9.5 – 9.7 บาท ราคาหน้าโรงงานสูงกว่า กก.ละ 10 บาท และราคาปาล์มดิบขณะนี้เพิ่มขึ้นเป็น กก.ละ 4.20 บาทแล้วฃ

“สาเหตุที่ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากความพยายามของรัฐบาลในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะการระบายข้าวที่ตกค้างนานปีจนหมดสต๊อก และยังชนะการประมูลขายข้าวให้กับต่างประเทศ รวมถึงการวางแผนคาดการณ์แนวโน้มตลาด เพิ่มช่องทางการตลาด และส่งออกไปตลาดใหม่ๆ จึงช่วยให้สินค้ามีราคาดีขึ้น”

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า รัฐบาลยังได้ผลักดันโครงการร้านค้าธงฟ้าประชารัฐช่วยร้านโชห่วยที่มีปัญหาให้ฟื้นตัวขึ้นมาได้ และยังใช้เป็นกลไกช่วยลดค่าครองชีพให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 11.4 ล้านคน เพิ่มจุดจำหน่ายสินค้าทั้งในชุมชนและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ และช่วยสร้างงานสร้างอาชีพให้กับผู้มีรายได้น้อยผ่านโครงการแฟรนไชส์สร้างอาชีพ เช่น ร้านอาหาร ร้านเสริมสวย แม่บ้านมืออาชีพ เป็นต้น

สำหรับการส่งออกสินค้าก็มีข่าวดีด้วยว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่าถึง 81,780 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.5 ซึ่งถือว่าสูงสุดในรอบ 7 ปี และรัฐบาลมั่นใจว่าจะผลักดันให้การส่งออกเป็นไปตามเป้าหมายที่ร้อยละ 8 ภายในปีนี้

“นายกฯ ได้กำชับไว้ว่า ขอให้หน่วยราชการและภาคเอกชนช่วยกันส่งเสริมสินค้าเกษตรที่ยังมีราคาตกต่ำ เช่น สับปะรด ให้มีราคาสูงขึ้น เหมือนกับผลไม้ประเภทอื่น โดยอาจรณรงค์ให้เกษตรกรมีตลาดขายตรงสู่ผู้บริโภค หรือใช้กลยุทธ์ทางการตลาดอื่นๆ เข้ามาช่วยเหลือเกษตรกร พร้อมทั้งขอให้เกษตรกรปลูกพืชโดยคำนึงถึงความต้องการของตลาดและช่วงเวลาที่จะขายด้วย เพื่อไม่ให้สินค้าล้นหรือขาดตลาดทำให้ราคาสินค้าได้รับผลกระทบไปด้วย”

People unity news online : post 25 มิถุนายน 2561 เวลา 08.20 น.

แรงงานไทยเนื้อหอม ต่างชาติต้องการ ผลจากการบริหารจัดการโควิด-19 ที่ดีของไทย

สุชาติ ชมกลิ่น

People Unity News : แรงงานไทยช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศ ลดการว่างงาน หลังเป็นที่ต้องการของต่างประเทศ สาเหตุจากการบริหารจัดการโควิด-19 ที่ดีของไทย

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงการประชุม ครม.ครั้งล่าสุด รมว.แรงงาน (นายสุชาติ ชมกลิ่น) ได้รายงานให้ที่ประชุมซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมเป็นประธาน ได้รับทราบถึงการจัดส่งแรงงานไทยไปเก็บผลไม้ป่าในประเทศสวีเดนและประเทศฟินแลนด์ ฤดูกาล 2020 ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-กันยายน 2563 ว่ามีแรงงานไทยที่ได้รับการอนุญาตให้เดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในทั้งสองประเทศจำนวนทั้งสิ้น 5,254 คนโดยแยกเป็นประเทศฟินแลนด์ 2,014 คน และประเทศสวีเดน จำนวน 3,210 คน ก่อให้เกิดรายได้เข้าประเทศโดยประมาณขั้นต่ำ 618,341,720 บาท แบ่งเป็นประเทศฟินแลนด์จำนวน 182,655,000 บาท และประเทศสวีเดน จำนวน 435,686,720 บาท โดยในการเดินทางไปในครั้งนี้ กรมการจัดหางานได้วางมาตรการเพื่อคุ้มครองแรงงานไทยภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 โดยดำเนินการตามนโยบายของ ศบค. ทุกประการ ซึ่งแรงงานไทยทั้งหมดได้ผ่านการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ก่อนเดินทางไป และหลังจากเดินทางกลับ และจะต้องผ่านการกักตัวเป็นระยะเวลาจำนวน 14 วัน ซึ่งในฤดูกาลนี้แรงงานทั้งหมดได้เดินทางกลับถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1-22 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา และได้เข้ารับการกักกันตัวในสถานที่กักกันที่กระทรวงแรงงาน ,กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงกลาโหมได้ร่วมกันจัดขึ้น

สำหรับรายได้ของคนงานไทยที่ไปเก็บผลไม้ป่าในประเทศฟินแลนด์และประเทศสวีเดน ฤดูกาลปี 2020 พบว่า แรงงานที่เดินทางไปประเทศสวีเดน จะมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายประมาณคนละ 150,000 – 180,000 บาท โดยมีระยะเวลาเก็บผลไม้ประมาณ 2 เดือน ส่วนคนงานที่เดินทางไปเก็บผลไม้ที่ประเทศฟินแลนด์ มีระยะเวลาการเก็บผลไม้ประมาณ 55 วัน และมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายประมาณคนละ 90,000 – 150,000 บาท นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการกักตัวของคนงานทั้งหมดที่กลับมานั้น ไม่ได้ใช้งบประมาณของประเทศแต่อย่างใด แต่ใช้เงินของบริษัทต่างประเทศนั้นๆที่พาคนงานไทยไปทำงาน ซึ่งคนงานเหล่านี้ บริษัทต่างประเทศได้ออกค่าใช้จ่ายในการกักตัวโดยมีแบงค์การันตี คนละ 32,000 บาทต่อคน แต่หากค่าใช้จ่ายจริงไม่ถึงจำนวนนี้ กระทรวงแรงงานก็จะคืนให้บริษัทที่ออกค่าใช้จ่ายให้คนงานไทยที่ไปเก็บผลไม้ป่าต่อไป

นายอนุชา กล่าวว่า “แรงงานไทยเป็นที่ต้องการของต่างประเทศเป็นจำนวนมากในขณะนี้ ซึ่งส่วนสำคัญมาจากการบริหารจัดการโรคโควิด-19 ได้เป็นอย่างดีของไทย ทำให้ประเทศที่ต้องการนำเข้าแรงงาน มีความมั่นใจแรงงานจากไทยเป็นลำดับต้นๆ ซึ่งเป็นโอกาสดีในการเพิ่มช่องทางให้แรงงานไทยได้มีตลาดทำงานในต่างประเทศมากขึ้น เพื่อให้แรงงานไทยมีอาชีพ มีรายได้ ลดปัญหาการว่างงานภายในประเทศไทย อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และนำเงินกลับเข้าประเทศไทย ซึ่งการเดินทางไปทำงานต่างประเทศของแรงงานไทย สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้เป็นจำนวนมาก”

Advertising

“กรุงเทพฯ” อันดับ 1 เมืองที่ดีที่สุด “ทำงานทางไกล-ค่าใช้จ่ายต่ำ”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 31 พฤษภาคม 2568 รองโฆษกรัฐบาล เผยเว็บไซต์ New York Post จัดอันดับกรุงเทพฯ อันดับ 1 เมืองที่ดีที่สุดสำหรับทำงานทางไกล-ค่าใช้จ่ายต่ำ อินเทอร์เน็ตเร็ว วิวสวย ครบจบในเมืองเดียว

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ข้อมูลจากเว็บไซต์ New York Post จากสหรัฐอเมริกา จัดอันดับให้แต่ละเมืองได้รับคะแนนเต็ม 100 โดยกรุงเทพฯ ประเทศไทย คว้าอันดับ 1 ไปครอง ด้วยคะแนน 69.98 จากจุดเด่นเรื่องอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และไลฟ์สไตล์ราคาย่อมเยา เมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ วัดวาอารามอันวิจิตร อาหารรสเลิศ และชีวิตริมถนนที่คึกคักของกรุงเทพฯ คือเสน่ห์ที่ดึงดูดใจสำหรับผู้ที่ต้องการเปิดประสบการณ์ใหม่

นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า เมืองหลวงของไทยเปี่ยมไปด้วยพลังและชีวิตชีวา เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักเดินทางสายดิจิทัลที่ต้องการใช้ชีวิตในเมือง ซึ่งผสมผสานความทันสมัยเข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมได้อย่างลงตัว ข้อมูลจากเว็บไซต์ New York Post จากสหรัฐอเมริกา รายงานว่าการทำงานทางไกล กลายเป็นทางเลือกที่หลายคนใฝ่ฝันมากขึ้น หลังจากผ่านช่วงโควิดมาเกือบ 5 ปี

ล่าสุดผู้เชี่ยวชาญจาก QR Code Generator ได้จัดทำดัชนีจัดอันดับเมืองน่าอยู่สำหรับนักเดินทางสายดิจิทัล โดยพิจารณาจากความเร็วอินเทอร์เน็ต ค่าครองชีพ การเข้าถึงวีซ่าทำงานระยะไกล และปัจจัยอื่นๆ โดยกรุงเทพฯ ประเทศไทย คว้าอันดับ 1 ไปครองด้วยคะแนน 69.98 คะแนนเต็ม 100 คะแนน จากจุดเด่นเรื่องอินเทอร์เน็ตที่เร็ว และไลฟ์สไตล์ราคาย่อมเยา ส่วนอันดับ 2 บูคาเรสต์ เมืองหลวงของโรมาเนีย ด้วยคะแนน 65.62 เมืองในยุโรปตะวันออกแห่งนี้โดดเด่นด้านการเข้าถึงวีซ่าทำงานทางไกลได้ง่ายที่สุดตามการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ

“รัฐบาลเดินหน้ายกระดับการท่องเที่ยวไทย ด้วยการขยายฟรีวีซ่าเป็น 93 ประเทศ/ดินแดน พำนักได้ไม่เกิน 60 วัน พร้อมออกวีซ่าใหม่ “Destination Thailand Visa (DTV)” สำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการเที่ยวไทย ควบคู่กับทำงานทางไกลหรือทำกิจกรรมด้านวัฒนธรรมและการแพทย์ เพื่อตอบโจทย์นักเดินทางยุคใหม่ และกระตุ้นเศรษฐกิจไทยทั้งปี” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics