วันที่ 14 กันยายน 2025

ธอส.จัดเต็มช่วยเหลือ ปชช. ในงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน ครั้งที่ 1”

People Unity News : 3 พฤศจิกายน 2565 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ร่วมงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน ครั้งที่ 1 กรุงเทพฯ” พบกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินมากมาย นำโดย 3 มาตรการช่วยเหลือลูกค้าธนาคาร ได้แก่ มาตรการ 22 [M22] : สำหรับลูกค้ารายย่อยสถานะ NPL หรือ ลูกค้ารายย่อยสถานะ NPL ที่อยู่ระหว่างการใช้มาตรการ/ปรับโครงสร้างหนี้ที่กู้เงินมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ให้ผ่อนชำระเงินงวดต่ำพร้อมลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษระยะเวลา 2 ปี เดือนที่ 1-10 ผ่อนชำระเพียงงวดละ 1,000 บาท ดอกเบี้ย 0% ต่อปี (ตัดชำระเงินต้นทั้งหมด) สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำปีแรก 2.75% ต่อปี สลากออมทรัพย์ ธอส. ลุ้นรางวัลสูงสุดถึง 2 ล้านบาท และบ้านมือสองคุณภาพดีกว่า 1,000 รายการ ราคาขายต่ำสุดเพียง 45,000 บาท พร้อมรับสิทธิ์ผ่อนดาวน์ 0% นานสูงสุดถึง 36 เดือน ระหว่างวันที่ 4-6 พฤศจิกายน 2565 ณ อิมแพ็ค ฮอลล์ 5 เมืองทองธานี

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” พร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจอันเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 จึงร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนและแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับประชาชน ให้สามารถไกล่เกลี่ยหนี้กับสถาบันการเงินเพื่อให้กลับมาชำระหนี้ได้ตามความสามารถ รวมถึงให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องและฟื้นฟูธุรกิจหลัง COVID-19 และเปลี่ยนหนี้นอกระบบเป็นหนี้ในระบบ ลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน พร้อมให้คำปรึกษาทางการเงินแก่ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป จึงได้นำผลิตภัณฑ์ทางการเงินของธนาคารเข้าร่วมงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน ครั้งที่ 1 กรุงเทพฯ” ที่จัดโดยกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ

โดยภายในงานจะได้พบกับมาตรการช่วยเหลือลูกค้าประชาชน และผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่พิเศษสุดๆ ในงานนี้เท่านั้น ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

1.มาตรการช่วยเหลือลูกค้าในปัจจุบันของธนาคารผ่าน 3 มาตรการ ได้แก่ 1.มาตรการ 22 [M22] : สำหรับลูกค้ารายย่อยสถานะ NPL หรือ ลูกค้ารายย่อยสถานะ NPL ที่อยู่ระหว่างการใช้มาตรการ/ปรับโครงสร้างหนี้ ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ให้ผ่อนชำระเงินงวดต่ำพร้อมลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษ ระยะเวลา 2 ปี แบ่งเป็น ในเดือนที่ 1-10 ผ่อนชำระเพียงงวดละ 1,000 บาท คิดดอกเบี้ยเท่ากับ 0% ต่อปี (ตัดชำระเงินต้นทั้งหมด) ซึ่งถือเป็นการยกเว้นการคิดอัตราดอกเบี้ยนานที่สุดเท่าที่ธนาคารเคยออกมาตรการมา ขณะที่เดือนที่ 11-18 คิดเงินงวดจากอัตราดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี และเดือนที่ 19-21 คิดเงินงวดจากอัตราดอกเบี้ย 3.90% ต่อปี เดือนที่ 22-24 คิดเงินงวดจากอัตราดอกเบี้ย MRR-2.00% ต่อปี ทั้งนี้ หากลูกค้าชำระเกินที่ธนาคารกำหนดจะนำไปตัดดอกเบี้ยค้างชำระของลูกค้า(ถ้ามี) 2.มาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ : คิดเงินงวดจากอัตราดอกเบี้ย 3.90% ต่อปี นาน 6 เดือน จากนั้นให้กลับมาใช้อัตราดอกเบี้ยเดิมที่เคยใช้อยู่ และ 3.มาตรการ 17 [M17] : สำหรับลูกค้ารายย่อยสถานะ NPL หรือ ลูกค้ารายย่อยสถานะ NPL ที่อยู่ระหว่างการใช้มาตรการ/ปรับโครงสร้างหนี้ ให้ผ่อนชำระเงินงวดต่ำพร้อมลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษ ระยะเวลา 1 ปี แบ่งเป็น เดือนที่ 1-3 ผ่อนชำระเพียงงวดละ 1,000 บาท คิดดอกเบี้ยเท่ากับ 0% ต่อปี (ตัดชำระเงินต้นทั้งหมด) เดือนที่ 4-6 คิดเงินงวดจากอัตราดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี และเดือนที่ 7-12 คิดเงินงวดจากอัตราดอกเบี้ย 3.90% ต่อปี ทั้งนี้ หากลูกค้าชำระเกินที่ธนาคารกำหนดจะนำไปตัดดอกเบี้ยค้างชำระของลูกค้า(ถ้ามี) ซึ่ง ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2565 มีลูกค้าลงทะเบียนยื่นความประสงค์เข้ามาตรการของ ธอส. ผ่านระบบของ ธปท. จำนวน 4,466 ราย เงินต้นคงเหลือ 6,421 ล้านบาท

2.สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.40% (เท่ากับ 2.75%) ต่อปี ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.90% (เท่ากับ 3.25%) ต่อปี ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.40% (เท่ากับ 3.75%) ต่อปี เฉลี่ย 3 ปีแรกเพียง 3.25% (อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารปัจจุบันเท่ากับ 6.150% ต่อปี) ปีที่ 4-5 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.15% (เท่ากับ 4%) ต่อปี ปีที่ 6-7 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% (เท่ากับ 4.65%) ต่อปี ผ่อนชำระนานสูงสุดถึง 40 ปี กรณีวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเงินงวดเริ่มต้นปีแรกเพียง 3,800 บาท/เดือนเท่านั้น โดยให้กู้เพื่อรีไฟแนนซ์บ้านหรือห้องชุด(คอนโดมิเนียม)จากสถาบันการเงินอื่น หรือรีไฟแนนซ์ที่ดินเปล่าจากสถาบันการเงินอื่นพร้อมปลูกสร้าง หรือรีไฟแนนซ์บ้านจากสถาบันการเงินอื่นและปลูกสร้างหรือต่อเติม ขยาย หรือซ่อมแซมอาคาร หรือกู้เพื่อต่อเติม ขยาย หรือซ่อมแซมอาคาร ซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับการอยู่อาศัย ชำระหนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย และเพื่อชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ พิเศษ!! ธนาคารผ่อนปรนเงื่อนไขการกู้ ณ วันยื่นกู้ลูกค้ามีสถานะบัญชีปกติ ไม่มีหนี้ค้าง ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ยื่นคำขอกู้ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2565 – 28 กุมภาพันธ์ 2566 และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 เมษายน 2566

3.สลากออมทรัพย์ ธอส. ให้ผลตอบแทนดี โอกาสถูกรางวัลสูง นำโดย ชุดขาลเพิ่มพูน หน่วยละ 1,000 บาท ผลตอบแทนหน้าสลาก 0.30% ต่อปี และบวกผลตอบแทนผันแปรตามคุณภาพสินเชื่อโครงการ 0.70% ต่อปี รวมรับผลตอบแทนสูงสุด 1% ต่อปี (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด) พร้อมโอกาสลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่ารางวัลละ 2 ล้านบาท และรางวัลเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว ชุดเกล็ดดาว พลัส หน่วยละ 5,000 บาทผลตอบแทนหน้าสลาก 0.65% ต่อปี และโอกาสลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 1 ล้านบาท พร้อมรางวัลเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว และรางวัลเลขสลับเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว และชุดต่อเงิน ต่อทอง หน่วยละ 10,000 บาท ผลตอบแทนหน้าสลาก 0.50% ต่อปี พร้อมโอกาสลุ้นรางวัลที่ 1 เป็นสลากชุดต่อเงิน ต่อทอง มูลค่า 1 ล้านบาท และรางวัลเลขท้าย 1 ตัว จองสิทธิ์ภายในงานและซื้อสลากระหว่างวันที่ 4-13 พฤศจิกายน 2565 ณ สาขาในกรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ พิเศษ!! รับฟรีกระเป๋าพับอเนกประสงค์ 1 ราย ต่อ 1 ใบ สำหรับผู้ที่จองสิทธิ์ซื้อสลากทั้ง 3 ชุด ตามระยะเวลาที่กำหนด

4.บ้านมือสอง ธอส. คุณภาพดี ทำเลเด่น จากทั่วประเทศมากกว่า 1,000 รายการ จำหน่ายพร้อมส่วนลดสูงสุด 50% จากราคาประเมินปัจจุบัน  และสามารถผ่อนดาวน์  0% ระยะเวลานานถึง 36 เดือนทุกรายการทรัพย์ โดยในงานนี้มีรายการทรัพย์ราคาขายต่ำสุดเพียง 45,000 บาท ได้แก่ ทรัพย์ประเภทห้องชุด ชั้นที่ 5 จาก 5 ชั้น ขนาดเนื้อที่ 24.50 ตารางเมตร ในโครงการกำนันกำธรคอนโด อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ จองซื้อทรัพย์ภายในงาน วางเงินประกันการซื้อทรัพย์และทำสัญญามัดจำการซื้อภายในงานเพียงรายการละ 1,000 บาท (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด) พิเศษ!! ต่อที่ 1 รับฟรีกระเป๋าพับอเนกประสงค์ 1 รายการทรัพย์ ต่อ 1 ใบ สำหรับลูกค้าที่จองซื้อบ้านมือสอง ธอส. ภายในงาน และ ต่อที่ 2 รับบัตรเติมน้ำมันมูลค่า 1,000 บาท 1 รายการทรัพย์ ต่อ 1 ใบ สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายภายในระยะเวลาที่กำหนด

ทั้งนี้ งานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน ครั้งที่ 1 กรุงเทพฯ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-6 พฤศจิกายน 2565 ณ อิมแพ็ค ฮอลล์ 5 เมืองทองธานี โดยผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนผ่านระบบของธนาคารแห่งประเทศไทยได้ที่ https://ln15.gsb.or.th/WEB-DEBT/ เพื่อแจ้งความประสงค์มาติดต่อขอแก้ไขหนี้ พร้อมรับสิทธิพิเศษอื่น ๆ ได้ตลอดงานทั้ง 3 วัน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Mobile Application : GHB ALL , Mobile Application : GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th

Advertisement

 

ททท. เนรมิตริมน้ำเจ้าพระยา ยามค่ำคืน ด้วย แสง สี พลุ ยิ่งใหญ่ ในงาน “VIJIT CHAO PHRAYA 2023” ตลอดเดือนธันวาคม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 ธันวาคม 2566 ททท. ชวนชม งาน VIJIT CHAO PHRAYA 2023 ตลอดเดือนธันวาคม กระตุ้นการท่องเที่ยวส่งท้ายปี คาดสร้างรายได้กว่า 600 ล้านบาท

น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดกิจกรรม “VIJIT CHAO PHRAYA 2023” งานแสดง แสง สี ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านวัดวาอารามและย่านสำคัญริมน้ำเจ้าพระยา รวม 7 พื้นที่  ระหว่างวันที่ 1-31 ธันวาคมนี้ จัดโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชน เนตรมิตรสีสันเจ้าพระยาเพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวส่งท้ายปี คาดงานปีนี้จะสร้างรายได้กว่า 600 ล้านบาท

ด้าน น.ส.ฐาปนีย์  ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า งานนี้เป็นอีกหนึ่งบิ๊กอีเวนต์ภายใต้โครงการ Thailand Winter Festivals โดยปีนี้ ททท. ขยายเวลาการแสดงเป็น 1 เดือนเต็ม โดยใช้ 7 พื้นที่สำคัญที่มีชื่อเสียง ริมน้ำเจ้าพระยา มาแต่งแต้มสีสันยามค่ำคืนด้วยนวัตกรรม แสง สี และสื่อผสมสมัยใหม่ ทั้ง Projection Mapping & Lighting ควบคู่กับการผสมผสานวัฒนธรรมอย่างสร้างสรรค์ให้มีความทันสมัย เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับนักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสและอยากเดินทางกลับมาอีกครั้ง

Advertisement

ยูเนสโก ยกย่อง “ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ” 1 ใน 6 สนามบินสวยสุดในโลก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 พฤศจิกายน 2567 “สุริยะ” รมว.คมนาคม ปลื้ม ยูเนสโก ยกย่อง “ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ” ติดอันดับ 1 ใน 6 สนามบินสวยที่สุดในโลก ประจำปี 2567 ด้าน “อาคาร SAT-1” สุดปัง! หลังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสนามบินที่มีสถาปัตยกรรมสวยที่สุดของโลก โชว์ความโดดเด่นด้านความงาม-ความคิดสร้างสรรค์ ชูอัตลักษณ์ความเป็นไทย จ่อประกาศผล 2 ธ.ค.นี้

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ปัจจุบันท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ภายใต้การบริหารงานของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้รับการยกย่องจากองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ให้ติดอันดับ 1 ใน 6 สนามบินที่สวยที่สุดในโลกประจำปี 2567 (The World’s most beautiful List 2024)

ทั้งนี้ ล่าสุดอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ยังได้ถูกเสนอชื่อเข้ารับรางวัล Prix Versailles หมวดหมู่สนามบิน จากคณะกรรมการ The Prix Versailles Selection Committee ซึ่งร่วมกับ UNESCO โดยจะมีการประกาศผลอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 2 ธันวาคม 2567 ณ สำนักงานใหญ่ UNESCO กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยเกณฑ์การให้คะแนนการออกแบบสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นในด้านความงาม ทั้งภายนอก และภายในอาคาร ประกอบด้วย ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม ที่ผสมผสานกับบริบททางสังคมและสิ่งแวดล้อม

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า สำหรับอาคาร SAT-1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมินั้น เป็นอาคารสูง 4 ชั้น และชั้นใต้ดิน 2 ชั้น มีพื้นที่ 216,000 ตารางเมตร มีประตูทางออกเชื่อมต่อกับหลุมจอดประชิดอาคาร (Contact Gate) จำนวน 28 หลุมจอด ถือว่ามีความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรม อัตลักษณ์ การออกแบบ การสร้างประสบการณ์ให้ผู้โดยสาร รวมทั้งให้ความสำคัญกับความยั่งยืนทางวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการถ่ายทอดความวิจิตรของเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ไทย สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศ

นอกจากนี้ ทอท. ยังได้มีการออกแบบที่สวยงาม โดยนำจุดแข็งทางวัฒนธรรมมานำเสนอ ประกอบกับการตกแต่งภายในอาคารเป็นแบบผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมและศิลปะที่สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทยให้กลมกลืนไปกับโครงสร้างอาคารที่ทันสมัย ครอบคลุมทั้งประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ และวิถีชีวิต โดยมีผลงานการตกแต่งประติมากรรมชิ้นเอกเป็นช้างคชสาร ตั้งอยู่บริเวณโถงกลางของชั้น 3 ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับผู้โดยสารขาออก

นายสุริยะ กล่าวต่ออีกว่า ขณะเดียวกัน ภายในชั้น 3 ของอาคารฯ ได้รับการออกแบบให้เป็นสวนตกแต่งด้วยสัตว์หิมพานต์ ตามคติความเชื่อไทยแต่โบราณ อาทิ กินนร กินรี เหมราช และหงส์สา ส่วนชั้น 2 ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับผู้โดยสารขาเข้า ได้ออกแบบเป็นสวนสัญจรที่จัดแสดงงานภูมิทัศน์ผสมผสานกับศิลปวัฒนธรรมของไทย เช่น หุ่นละครเล็ก หนังใหญ่ หัวโขน และว่าวไทย เป็นต้น

ในส่วนปลายอาคารทั้ง 2 ด้าน คือ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ติดตั้งสุวรรณบุษบก และรัตนบุษบก ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานองค์พระพุทธปฏิมา ปางมารวิชัย และปางเปิดโลก โดยถอดแบบมาจากวัดผาซ่อนแก้ว เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อสถานที่ ขณะที่ ห้องน้ำได้เสนออัตลักษณ์อันงดงามของแต่ละภาค มีภาพจิตรกรรม 4 ภาคของไทย ไปจนถึงประเพณีวัฒนธรรมของไทยมาใช้ออกแบบรูปลักษณ์ภายใน อีกทั้ง สุขภัณฑ์ทั้งหมด ยังใช้ระบบอัตโนมัติ เพื่อช่วยในการประหยัดน้ำอีกด้วย

สำหรับ 6 สนามบินที่เว็บไซต์ www.prix-versailles.com ได้ประกาศ 6 สนามบินที่สวยที่สุดในโลกประจำปี 2567 ได้แก่ 1.อาคาร SAT-1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทย 2.อาคารผู้โดยสาร E ท่าอากาศยานนานาชาติโลแกน (Logan International Airport) ประเทศสหรัฐอเมริกา 3.อาคารผู้โดยสารที่ 2 ท่าอากาศยานชางงี (Changi Airport) ประเทศสิงคโปร์ 4.ท่าอากาศยานนานาชาติซายิด (Zayed International Airport) ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 5.ท่าอากาศยานนานาชาติเฟลิเป้ แองเจเลส (Felipe Ángeles International Airport) ประเทศเม็กซิโก และ 6.ท่าอากาศยานนานาชาติแคนซัสซิตี้ (Kansas City International Airport) ประเทศสหรัฐอเมริกา

Advertisement

“ขนุนหนองเหียงชลบุรี” ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสินค้า GI แล้ว

People Unity News : 13 พฤษภาคม 2566 กรมทรัพย์สินทางปัญญา ประกาศ “ขนุนหนองเหียงชลบุรี” ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสินค้า GI แล้ว คาดสร้างเงินเข้าจังหวัดได้ไม่ต่ำกว่า 850 ล้านบาท/ปี และส่งออกไปต่างประเทศปีละ 106 ล้านบาท ย้ำหลังขึ้นทะเบียน GI จะยิ่งช่วยผลักดันสินค้าเป็นที่รู้จัก เพิ่มมูลค่าและสร้างเงินให้ท้องถิ่นได้มากขึ้น

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญา เดินหน้าสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรและชุมชนท้องถิ่น ผ่านแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากบนพื้นฐานแห่งอัตลักษณ์และภูมิปัญญาไทย โดยใช้ประโยชน์จากการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI เพื่อคุ้มครองสินค้าท้องถิ่นชุมชนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในพื้นที่แหล่งผลิตสินค้าในแต่ละท้องถิ่น สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ตลอดจนส่งเสริมการจัดทำระบบควบคุมคุณภาพสินค้าเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค และขยายช่องทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ล่าสุดกรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ประกาศขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) รายการใหม่ คือ ขนุนหนองเหียงชลบุรี ซึ่งเป็นผลไม้ท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงมายาวนาน เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งการขึ้นทะเบียน GI จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและท้องถิ่นที่ปลูกขนุน และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตได้เพิ่มขึ้น

ขนุนหนองเหียงชลบุรี มีลักษณะเป็นขนุนผลใหญ่ เปลือกบาง ซังน้อย ยวงใหญ่ เนื้อหนา แห้ง และกรอบ เนื้อมีสีเหลืองทอง สีเหลืองเข้ม สีเหลืองอมส้ม ไปจนถึงสีแดงอมส้ม รสชาติหวานกำลังดี มีกลิ่นหอมไม่แรงเกินไป เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งปลูกและผลิตในพื้นที่อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี โดยมีหลายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ทองประเสริฐ พันธุ์มาเลย์ พันธุ์เพชรราชา พันธุ์แดงสุริยา และพันธุ์ทองส้ม โดยสามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในชุมชนกว่า 850 ล้านบาทต่อปี และสามารถส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ เช่น จีนและเวียดนาม มูลค่าประมาณ 106 ล้านบาทต่อปี

นอกจากนี้ ปัจจุบันกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ประกาศขึ้นทะเบียนสินค้า GI ไทย รวมแล้ว 185 สินค้า ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ สร้างความเข้มแข็งให้ระบบเศรษฐกิจฐานราก และยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไม่ให้ถูกกดราคาสินค้าเกษตร โดยกรมฯ ตั้งเป้าสร้างมูลค่าการตลาดสินค้า GI ไทย สร้างเงินไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาทอีกด้วย

Advertisement

Startup ไทยเตรียมเฮ “พุทธิพงษ์” ชักชวน Amazon Web Services สนับสนุน Startup ไทย

People Unity News : Startup ไทย เตรียมเฮ รมว.ดีอีเอส ชักชวน Amazon Web Services ร่วมสนับสนุน Startup ไทย

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกัณต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และคณะฯ ได้เดินทางเข้าหารือความร่วมมือกับผู้บริหารระดับสูงของ Amazon Web Services (AWS) ณ สำนักงานใหญ่ Amazon Seattle สำหรับ AWS มีความถนัดในเรื่องระบบ cloud ซึ่งมีระบบสนับสนุนหลายระบบ รวมถึง e-commerce ของ Amazon เองและยังมีบริการเรื่องระบบความปลอดภัยของข้อมูล และมีโครงการพัฒนา startup ด้วย

“ผมเห็นว่า Amazon มีโอกาสมากในไทย เพราะเป็นบริษัทที่ startup ในไทยรู้จักเป็นอย่างดี ผมจึง ชักชวนให้ AWS มาทำกิจกรรมเพิ่มขึ้นในประเทศไทย และสนับสนุนประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งต่อไปจะเห็นความร่วมมือระหว่าง depa และ AWS มากขึ้น จะมีกิจกรรมแลกเปลี่ยนระหว่าง startup และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อสร้างเครือข่าย startup ไทยและอเมริกา จะมีการจัดกิจกรรมในประเทศไทยมากขึ้น รวมไปถึงการขายใน launch pad ซึ่งเป็น platform ขายสินค้าที่เป็นนวัตกรรมของ startup บน amazon.com เป็นประโยชน์อย่างมากในการยกระดับ startup ไทยสู่สากล” รมว.ดีอีเอส กล่าว

โฆษณา

ธนาคารออมสิน สร้างประวัติศาสตร์ กวาด 8 รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ปี 2566

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 กุมภาพันธ์ 2567 ออมสิน คว้ารางวัล “รัฐวิสาหกิจยอดเยี่ยม” และ “ผู้นำองค์กรดีเด่น” สร้างประวัติศาสตร์ กวาด 8 รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ปี 2566

เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง มอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น (SOE Award) ประจำปี 2566 ให้แก่ นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน คณะกรรมการธนาคารออมสิน และผู้บริหาร รวมทั้งสิ้น 8 รางวัล ประกอบด้วย รางวัลรัฐวิสาหกิจยอดเยี่ยมประจำปี รางวัลคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจดีเด่น รางวัลผู้นำองค์กรดีเด่น รางวัลเกียรติยศด้านการบริหารจัดการองค์กรดีเด่น รางวัลความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมดีเด่น รางวัลความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาดีเด่น รางวัลบริการดีเด่น และ รางวัลการดำเนินงานเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีเด่น สำหรับงานนี้ จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กระทรวงการคลัง

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า “รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น” ถือเป็นรางวัลเกียรติยศและเป็นความภาคภูมิใจของธนาคารออมสิน โดยปีนี้ได้รับ 8 รางวัลด้วยกัน มากที่สุดในประวัติศาสตร์ธนาคาร สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจในบทบาทสถาบันการเงินของรัฐ ที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนสนับสนุนนโยบายรัฐบาล ภายใต้ภารกิจธนาคารเพื่อสังคม ในการสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างเป็นรูปธรรม มีเป้าหมายชัดเจนในการลดความเหลื่อมล้ำทางการเงิน ทำให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งทุนที่เป็นธรรมอย่างยั่งยืน จากการร่วมมือร่วมใจผลักดันของผู้ปฏิบัติงานทั้งหมด นำมาซึ่งความภาคภูมิใจกับรางวัลทรงคุณค่าที่ได้รับนี้เป็นอย่างยิ่ง

สำหรับรางวัลที่ธนาคารออมสินได้รับในปีนี้ ได้แก่ รางวัลรัฐวิสาหกิจยอดเยี่ยม มอบให้รัฐวิสาหกิจที่มีความโดดเด่น และมีมาตรฐานในการดำเนินงานทุกๆ ด้าน สามารถสนองตอบความต้องการและความคาดหวังของประชาชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้เป็นอย่างดี รวมถึงคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจและผู้บริหารสูงสุดมีการปฏิบัติหน้าที่ร่วมกันอย่างเหมาะสม รางวัลคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจดีเด่น มอบให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจซึ่งปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แทนของผู้ถือหุ้นภาครัฐ ในการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจและส่งเสริมการบริหารงานของฝ่ายจัดการให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส สอดคล้องกับหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี รางวัลผู้นำองค์กรดีเด่น มอบให้ผู้บริหารสูงสุดที่สามารถนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้อย่างยั่งยืนโดยมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และสามารถผลักดันองค์กรให้บรรลุถึงวิสัยทัศน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รางวัลเกียรติยศด้านการบริหารจัดการองค์กรดีเด่น ได้รับต่อเนื่องติดต่อกันเป็นปีที่ 5 มอบให้รัฐวิสาหกิจที่มีการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ มีศักยภาพในการแข่งขัน สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่รัฐวิสาหกิจและมีการเจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืนในทุกด้าน

พร้อมกันนี้ ยังได้รับ รางวัลความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมดีเด่น ธนาคารได้รับรางวัลด้านนวัตกรรม จากโครงการ GSB New business models : ธุรกิจจำนำทะเบียนรถ นำเสนอนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ที่ธนาคารใช้เป็นกลไกในการแทรกแซงและกดดันอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่สูงเกินจริงให้กลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมและเป็นธรรม รางวัลความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาดีเด่น (ประเภทเชิดชูเกียรติ) โดยร่วมกับสำนักงานธนานุเคราะห์ฯ ภายใต้โครงการยกระดับการให้บริการทางการเงินและคุณภาพชีวิตแก่ลูกค้า ช่วยให้ลูกค้ากลุ่มที่ไม่สามารถขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ได้เข้าถึงบริการทางการเงินที่ดีขึ้นด้วยดอกเบี้ยที่เป็นธรรม รางวัลบริการดีเด่น ได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยปีนี้ได้รับจากโครงการ Social Mission integration for Better Service เป็นการปรับแนวคิดการทำงานโดยนำเอาปัจจัยด้านการช่วยเหลือสังคมผนวกเข้ากับบริการที่สำคัญของธนาคารในทุกด้าน ทั้งด้านความคุ้มค่าทางธุรกิจควบคู่ผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม และสุดท้าย รางวัลชมเชย รางวัลการดำเนินงานเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีเด่น จากโครงการออมสิน..พัฒนาชุมชนแบบองค์รวม สร้างบุคลากรของธนาคารให้เป็นนักพัฒนาชุมชนที่เข้าใจความต้องการของคนในท้องถิ่น ภายใต้หน่วยพัฒนาสังคมและชุมชน 18 ภาคทั่วประเทศ

Advertisement

ประยุทธ์ ชมความก้าวหน้าสถานีดาวเทียม นำพาประเทศเดินหน้า พัฒนาสู่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน

People Unity News : ประยุทธ์ ชมความก้าวหน้าสถานีดาวเทียม นำพาประเทศเดินหน้า พัฒนาสู่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน

17 กันยายน 2564 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจติดตามความก้าวหน้าสถานีดาวเทียมและศูนย์กลางขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอวกาศ สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) โครงการอุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ ในพื้นที่เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อติดตามการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง ได้แก่ ความคืบหน้าโครงการและการพัฒนาดาวเทียม โดยวิศวกรไทย ณ ศูนย์ทดสอบประกอบดาวเทียมแห่งชาติ ,การพัฒนาเศรษฐกิจอวกาศ จากเครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำ และการนําเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ไปใช้ประโยชน์ด้านการบริหารจัดการน้ำ

นายกรัฐมนตรี ชื่นชมการดำเนินงานและขอให้พัฒนาต่อไป เพราะการใช้เทคโนโลยีมาช่วยประมวลผล ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงก้าวเข้าสู่สังคมดิจิทัล นำพาประเทศเดินหน้าพัฒนาสู่ประเทศที่มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืนตลอดไป

Advertising

นายกฯ ขอบคุณข้อเสนอหอการค้าไทย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 พฤษภาคม 2567 ทำเนียบ – นายกฯ ขอบคุณข้อเสนอหอการค้าไทย ยินดีรับฟังความเห็นทุกภาคส่วน เชื่อมั่นความร่วมมือภาครัฐ-เอกชน เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีแก่คนไทย ยกระดับเศรษฐกิจให้เติบโตเต็มศักยภาพ

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มุ่งมั่นกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วประเทศ ย้ำพร้อมรับฟัง และร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ ขอบคุณ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ที่จัดประชุมใหญ่หอการค้า 5 ภาค ระดมความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในแต่ละพื้นที่

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าจากการที่หอการค้าไทยได้จัดประชุมใหญ่ หอการค้า 5 ภาค ซึ่งได้ระดมความคิดเห็นผู้ประกอบการ ทบทวนแผนงานเศรษฐกิจภาคเอกชนของหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศ และได้เสนอแผนยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของรัฐบาล เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของแต่ละภูมิภาคร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม เชื่อมั่นช่วยยกระดับเศรษฐกิจไทยให้เติบโตเต็มศักยภาพโดยแบ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ในแต่ภาค ดังนี้

แผนยุทธศาสตร์ภาคกลาง เสนอแผนการขับเคลื่อน 3 ด้าน ได้แก่ 1. การเป็นศูนย์กลางสุขภาพและศูนย์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Hub and Wellness) 2. การยกระดับอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับ Food Valley และ Innovation Hub 3. การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงกับภูมิภาคอื่นๆ สำหรับภาคเหนือ หอการค้าภาคเหนือผลักดันส่งเสริมพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Northern Economic Corridor: NEC – Creative LANNA) ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG พร้อมทั้งยกระดับสนามบินพิษณุโลกสู่การเป็นสนามบินนานาชาติ มุ่งเชื่อมโยงให้เกิดการท่องเที่ยวสู่ภูมิภาคอื่น ๆ

ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เสนอให้เป็นดินแดนแห่งการเชื่อมโยงและรุ่งเรืองในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงผ่าน 4 แผน ได้แก่ 1. การค้าและการท่องเที่ยว พื้นที่ชายแดนติดกับประเทศลาว 2. เกษตรและอาหาร ส่งเสริมโครงการเลี้ยงโคเนื้อคุณภาพสูง 3. ท่องเที่ยวและธุรกิจบริการ ส่งเสริมการท่องเที่ยวสายมู รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกที่อุดรธานีในปี 2569 และ 4. แผนบริหารจัดการแม่น้ำโขง แม่น้ำเลย แม่น้ำชี และแม่น้ำมูล เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม และการขาดแคลนน้ำ

ภาคตะวันออก เสนอให้เร่งรัดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในพื้นที่ EEC ครอบคลุมโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินภายในปี 2571 โครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 โครงการสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาภายในปี 2571  และโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 ภายในปี 2570 ผลักดันการขยายพื้นที่ EEC เพิ่มจังหวัดปราจีนบุรี นอกจากนี้ ยังสนับสนุนให้เกิดการวิจัยในระดับนานาชาติ และเร่งการลงทุนด้านการพัฒนาการศึกษา ยกระดับสมรรถนะกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

ภาคใต้ วางแผนขับเคลื่อน 4 เรื่อง ได้แก่ 1. การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกฝั่งทะเลอันดามัน จังหวัดระนอง ให้เป็นท่าเรือสินค้าคอนเทนเนอร์ ขนส่งสินค้าเส้นทางเดินเรือในกลุ่มประเทศเอเชียใต้ 2. การสร้างศูนย์ประชุมนานาชาติอันดามัน จังหวัดภูเก็ต เพื่อเป็นศูนย์กลางแสดงสินค้าและแลกเปลี่ยนธุรกิจ 3. การพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฝั่งอ่าวไทย เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเรือสำราญ จังหวัดสุราษฎร์ธานีและสงขลา 4. การพัฒนาการเชื่อมโยงโลจิสติกส์กลุ่มจังหวัดชายแดนภาคใต้ รองรับการเป็นศูนย์กลางสินค้าฮาลาล

“นายกรัฐมนตรีพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะในการพัฒนาแผนงานเศรษฐกิจจากทุกภาคส่วน และยินดีส่งเสริมการบูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อดึงศักยภาพของแต่ละภูมิภาคพัฒนาให้ครอบคลุมทุกมิติตามเป้าหมาย ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจักได้นำความคิดเห็น ข้อเสนอแนะของทุกภาคส่วนมาประกอบกันเป็นแนวทางที่มีประโยชน์ในการทำงาน ขับเคลื่อนไทยให้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค” นายชัย กล่าว

Advertisement

บอร์ด กพช.เห็นชอบอัตราส่งเงินเข้ากองทุนอนุรักษ์พลังงาน 0.005 บาท/ลิตร 1 ปี 0.05 บาท/ลิตร 2 ปี ลดภาระประชาชน

People Unity News : บอร์ด กพช. เห็นชอบกำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ ในอัตรา 0.005 บาทต่อลิตร เป็นระยะเวลา 1 ปี และอัตรา 0.05 บาทต่อลิตร ระยะเวลา 2 ปี บรรเทาความเดือดร้อน ลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

วันนี้ (5 พ.ย.64) เวลา 14.00 น. ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2564 ผ่านอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เข้าร่วมด้วย ซึ่ง นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปผลการประชุม  ดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลวางนโยบายอย่างเป็นขั้นตอนเกี่ยวกับมิติการใช้พลังงานสะอาดและการลดก๊าซเรือนกระจกที่ นายกรัฐมนตรีได้ประกาศในเวทีโลกในการประชุมผู้นำรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 หรือ COP 26 ที่สก็อตแลนที่ผ่านมา ร่วมกับนานาขาติ เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศโลก  ทั้งนี้ รัฐบาลยังได้เตรียมพร้อมความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศโดยแสวงหาความร่วมมือกับต่างประเทศด้วย และให้สอดคล้องกับนโยบายการใช้พลังงานสะอาดตามนโยบายของรัฐบาลและนโยบายของโลก ขณะเดียวกัน การลงทุนด้านพลังงานต่างๆต้องมีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม และไม่มีการผูกขาด สอดคล้องกับความต้องการในพื้นที่ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลังด้วย

โอกาสนี้  นายกรัฐมนตรียังเห็นชอบกับการกำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันดีเซลหมุนซ้า และน้ำมันเตาในอัตรา 0.05 บาทต่อลิตร เป็นระยะเวล 3 ปี   เพราะเป็นความจำเป็นในการลดภาระและช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)

ทั้งนี้  นายกรัฐมนตรียังขอให้ กกพ. ให้เร่งดำเนินการเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนให้เกิดผลโดยเร็ว เนื่องจากพลังงานไฟฟ้าจากขยะถือเป็นพลังงานทดแทนและพลังงานสะอาดที่จะนำไปสู่การลดโลกร้อน และยังสามารถแก้ปัญหาบริหารจัดการขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยต้องคำนึงไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศด้วย พร้อมให้กระทรวงมหาดไทยและกกพ. ได้จัดตั้งกลไกดำเนินงานร่วมกันในการพิจารณากลั่นกรองโครงการโรงไฟฟ้าขยะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการกำหนด TOR ให้มีความชัดเจนมีความโปร่งใสเพื่อไม่เกิดข้อขัดแข้งตามมาในอนาคต

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาและเห็นชอบในประเด็นสำคัญๆ  ดังนี้

1 ) ปรับลดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันดีเซลหมุนช้า และน้ำมันเตา ในอัตรา 0.005 บาทต่อลิตร เป็นระยะเวลา 1 ปี และอัตรา 0.05 บาทต่อลิตร ระยะเวลา 2 ปี มีผลทันทีหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา อีกทั้งยังเห็นชอบแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 – 2567 ปีละ 4,000 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจปรับปรุงแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ และการจัดสรรเงินตามแผนและกลุ่มงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวม 12,000 ล้านบาท

2) ทบทวนราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Price Review) จากสัญญาซื้อขาย LNG ระยะยาว บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท PETRONAS LNG LTD.,  จากสถานการณ์ตลาด LNG ในปัจจุบันมีแนวโน้มตึงตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับเงื่อนไขสัญญาระหว่าง บริษัท ปตท. และ PETRONAS นั้นก็ให้คู่สัญญาเปิดเจรจา Price Review ได้ในระหว่างปีที่ 5 ของสัญญา ปตท. จึงขอเจรจาในปี 2564 เพื่อปรับลดราคา LNG โดยได้ข้อสรุปผลการเจรจา LNG Price Review สามารถปรับลดสูตรราคา LNG SPA ลงเฉลี่ย -7% ซึ่งสามารถลดต้นทุนการจัดหา LNG ลงประมาณ 900 – 1,000 ล้านบาทต่อปี หรือรวมประมาณ 4,500 – 5,000 ล้านบาทในปี 2565 – 2569 หรือลดต้นทุนค่า Ft ประมาณ 0.42 สตางค์ต่อหน่วย และ กพช.มอบหมายให้บริษัท ปตท.ฯ เสนอสำนักงานอัยการสูงสุดตรวจร่างสัญญาต่อไป

3) เห็นชอบบรรจุโครงการ LNG Terminal พื้นที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 [T-3] ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จ.ระยอง ซึ่งมีกำลังการแปรสภาพ LNG เป็นก๊าซ 10.8 ล้านตัน ต่อปี (ขยายได้ถึง 16 ล้านตันต่อปี) ไว้ในแผนโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคงของประเทศ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการฯ ตามแผนดำเนินงานของ EEC และสัญญาร่วมลงทุน เพื่อให้โครงการแล้วเสร็จได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด

4) เห็นชอบอัตราค่าไฟฟ้าและการขยายกรอบความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทยกับ สปป. ลาว ดังนี้ โครงการน้ำงึม 3 ในอัตราค่าไฟฟ้าที่ 2.8934 บาทต่อหน่วย โครงการปากแบง ในอัตราค่าไฟฟ้าที่ 2.7935 บาทต่อหน่วย โครงการปากลาย ในอัตราค่าไฟฟ้าที่ 2.9426 บาทต่อหน่วย โดยอัตราค่าไฟฟ้าดังกล่าวจะคงที่ตลอดสัญญาและมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงนามในร่าง Tariff MOU โครงการน้ำงึม 3 โครงการปากแบง  และโครงการปากลาย ที่ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว เพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม แต่ทั้งนี้จะต้องไม่กระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้า นอกจากนี้ ขยายกรอบปริมาณรับซื้อไฟฟ้าภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและ สปป. ลาว เรื่องความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้า ใน สปป. ลาว จาก 9,000 เมกะวัตต์ เป็น 10,500 เมกะวัตต์ ทั้งนี้การรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการพลังน้ำจาก สปป. ลาว นั้น สอดคล้องตามกรอบ “แผนพลังงานชาติ” ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายการมุ่งสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในรูปแบบต่างๆ และสอดคล้องทิศทางพลังงานโลก ที่มุ่งเน้นพลังงานสะอาด ลดการปล่อย CO2 อีกด้วย

5) ที่ประชุมเห็นชอบหลักการในการรับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับปี 2565 เห็นชอบอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบ FiT ปี 2565 สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) กำลังผลิตติดตั้งไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ภายใต้กรอบอัตราค่าไฟฟ้าสูงสุดที่ 5.08 บาทต่อหน่วย (FiT Premium 8 ปี 0.70 บาท/หน่วย) สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) กำลังผลิตติดตั้งมากกว่า 10 – 50 เมกะวัตต์ ภายใต้กรอบอัตราค่าไฟฟ้าสูงสุดที่ 3.66 บาทต่อหน่วย และระยะเวลาการสนับสนุน 20 ปี โดยมอบหมายให้ กกพ. พิจารณากำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงต้นทุนการดำเนินการแต่ละโครงการต้นทุนการประกอบกิจการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ และผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าโดยรวมของประเทศ เพื่อใช้เป็นอัตราในการประกาศรับซื้อไฟฟ้าต่อไป

Advertising

ก.พลังงาน ขู่ ใช้ กฏหมายเข้าควบคุมค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน

People Unity News : 22 พฤศจิกายน 2566 กระทรวงพลังงาน ขอความร่วมมือผู้ค้าทุกรายควบคุมค่าการตลาดน้ำมันเบนซินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้น้ำมัน หากไม่ได้รับความร่วมมือ จะประสานกับกระทรวงพาณิชย์ในการใช้มาตรการด้านกฎหมายในการควบคุมค่าการตลาด

นายวัฒนพงษ์  คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน  (สนพ.) กล่าวว่า หลังจากที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับค่าการตลาดน้ำมันเบนซินของผู้ค้าที่สูงกว่าที่กระทรวงพลังงานขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ให้ปรับลดราคาขายปลีกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม  ทางกระทรวงฯได้ขอความร่วมมือมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน และได้มีการศึกษามาแล้วว่า ถึงแม้ต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจาก ค่าแรง ค่าเช่า อัตราภาษีที่ดิน ตลอดจนค่าสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น ผู้ค้ายังควรต้องรักษาระดับค่าการตลาดให้อยู่ในระดับที่มีความเหมาะสม และเป็นธรรมกับผู้บริโภค

ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานได้ติดตามสถานการณ์การปรับขึ้น-ลงค่าการตลาดมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบางช่วงก็อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2 บาท แต่ในบางช่วงก็อยู่ในระดับที่สูงกว่า 2 บาท พบว่า ค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน มีค่าสูงเกินค่าที่เหมาะมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด 4.8 บาทต่อลิตร และ ก.พลังงานได้ขอให้ผู้ค้าให้ความร่วมมือไม่ให้ค่าการตลาดน้ำมันกลุ่มเบนซินในภาพรวมสูงเกินกว่า 2 บาทเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านราคาน้ำมันให้แก่ประชาชน  ซึ่งหากมีความจำเป็นกระทรวงพลังงานจะร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ใช้มาตรการด้านกฎหมายในการเข้ากำกับดูแล

อย่างไรก็ตาม ค่าการตลาดคือ ส่วนที่เป็นต้นทุน ค่าใช้จ่าย และกำไรของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันทั้งระบบ ตั้งแต่การจัดการคลังน้ำมัน การขนส่งน้ำมันมายังสถานีบริการ รวมถึงการให้บริการของสถานีบริการที่เติมน้ำมันแต่ละลิตรให้กับประชาชน

“ผมได้ขอให้ผู้ค้าน้ำมันทุกรายควบคุมค่าการตลาดกลุ่มเบนซินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นธรรมกับทั้งผู้ค้าน้ำมันและประชาชนผู้บริโภค ซึ่งที่ผ่านมา ผู้ค้าน้ำมันจะมีการปรับขึ้น-ลงค่าการตลาดน้ำมันเฉลี่ยทุกชนิด  ในช่วงนี้ ค่าการตลาดสูงเกินไป ถึงแม้ว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีความผันผวน แต่อยากให้ผู้ค้าน้ำมันคำนึงถึงประชาชนที่กำลังได้รับความเดือดร้อน ดังนั้น หากยังไม่ได้รับความร่วมมือ อาจจำเป็นต้องประสานกับกระทรวงพาณิชย์ในการใช้มาตรการด้านกฎหมายเข้ากำกับดูแล ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานจะสร้างสมดุลด้านราคา โดยเฉพาะค่าการตลาดระหว่างผู้ค้าน้ำมันกับผู้บริโภคให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเป็นไปตามข้อกฎหมาย แต่จะคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ” นายวัฒนพงษ์ กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics