วันที่ 5 พฤษภาคม 2024

รัฐบาลชวนสายเที่ยว-บริษัททัวร์ ร่วมโครงการทัวร์เที่ยวไทย เผยเหลือสิทธิ์กว่า 168,000 สิทธิ์

People Unity News : รัฐบาลเชิญชวนสายเที่ยว-บริษัททัวร์ ร่วมโครงการทัวร์เที่ยวไทย เผยเหลือสิทธิ์กว่า 168,000 สิทธิ์ นายกรัฐมนตรีกำชับปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคเข้มงวด

11 ก.พ. 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่รัฐบาลได้ขยายระยะเวลาโครงการทัวร์เที่ยวไทยจากเดิมสิ้นสุดเดือน ก.พ. 2565 ไปสิ้นสุด พ.ค. 2565 ขณะนี้ระบบได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนซื้อรายการนำเที่ยว บริษัทนำเที่ยวรายเดิมเริ่มส่งรายการนำเที่ยว และบริษัทนำเที่ยวรายใหม่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้แล้ว จึงขอเชิญชวนทั้งประชาชนที่สนใจ และผู้ประกอบการนำเที่ยวเข้าร่วมโครงการ

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถดำเนินการขอรับสิทธิตามโครงการผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังค์ โดยสามารถตรวจสอบแพ็คเกจท่องเที่ยวของบริษัทนำเที่ยวที่เข้าร่วมโครงการได้ที่เว็บไซต์ www.ทัวร์เที่ยวไทย.ไทย ซึ่งมีการจัดแบ่งกลุ่มให้เลือก 3 กลุ่ม  ประกอบด้วยกลุ่ม silver เป็นแพ็คเกจทัวร์ราคาถูก กลุ่ม Gold แพ็คเกจทัวร์ราคาปานกลาง และกลุ่ม Platinum แพ็คเกจทัวร์ราคาสูง

ขณะที่ผู้ประกอบการนำเที่ยวรายเดิมสามารถยื่นรายการนำเที่ยวส่วนผู้ประกอบการรายใหม่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการและศึกษารายละเอียดขั้นตอนและหลักเกณฑ์ตามโครงการได้ที่เว็บไซต์ www.ทัวร์เที่ยวไทย.ไทย  ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 9 ก.พ. 2565 เหลือสิทธิตามโครงการกว่า 168,000 สิทธิ จากที่รัฐบาลให้สิทธิ 2 แสนสิทธิ

สำหรับสิทธิตามโครงการนี้ รัฐบาลจะสนับสนุนส่วนลดค่าแพ็คเกจท่องเที่ยวในประเทศให้ประชาชนผู้ร่วมโครงการ 40% แต่ไม่เกิน 5,000 บาท/สิทธิ โดยให้ 1 สิทธิต่อคน  รวมทั้งหมด 2 แสนสิทธิ  โดยผู้จะเข้าร่วมโครงการจะต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย อายุ 18 ปีขึ้นไป และจะไม่สามารถใช้แพ็คเกจท่องเที่ยวของโครงการทัวร์เที่ยวไทยในช่วงเวลาเดียวกับการเข้าพักโรงแรม/ที่พักของโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 4 ได้

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม  ได้กำชับว่าเนื่องจากขณะยังคงมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงขอให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เข้มงวดในเรื่องของการกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการเพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดที่อาจเกิดขึ้นจากการเดินทางท่องเที่ยวภายใต้โครงการฯ และกำกับให้ผู้ประกอบการนำเที่ยวดูแลนักท่องเที่ยวตามมาตรการป้องกันโรคโดยเคร่งครัด

Advertising

สำนักงานสลากฯ ชี้แจงวิธีการขึ้นเงินรางวัล ‘สลากดิจิทัล’

People Unity News : วันนี้ (วันที่ 3 มิถุนายน 2565) พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า กรณีถูกรางวัล ระบบจะแจ้งเตือนไปที่แอปพลิเคชันเป๋าตัง ภายในเวลา 18.00 น. ของวันที่ออกรางวัล โดยให้เลือกรับรางวัลได้ 2 ช่องทางคือ เลือกรับโดยการโอนเงิน ซึ่งจะโอนเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยที่ผูกไว้กับแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งในอนาคตจะปรับเปลี่ยนให้สามารถผูกบัญชีธนาคารอื่นๆได้ เพื่อความสะดวกของผู้ซื้อ วิธีนี้จะเสียค่าธรรมเนียม 1% และ ค่าภาษีอากรแสตมป์ 0.5% ส่วนวิธีที่สอง สามารถเลือกมารับเงินรางวัลที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล สนามบินน้ำ โดยต้องกำหนด วัน เวลา ที่ต้องการเข้ามารับเงินรางวัลเพื่อที่สำนักงานสลากฯ จะจัดเตรียมสลากแบบใบตัวจริง เพื่อส่งคืนให้กับผู้ซื้อ เพื่อเข้าสู่กระบวนการขึ้นเงินรางวัล วิธีนี้จะเสียเฉพาะค่าภาษีอากรแสตมป์ 0.5% ทั้งนี้ ยืนยันว่าการกำหนดค่าธรรมเนียม และค่าอากรแสตมป์ดำเนินการเช่นเดียวกับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการนำสลากไปขึ้นเงินรางวัลที่สำนักงานสลาก หรือธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และธนาคารกรุงไทย

ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวต่อไปว่า กรณีที่ถูกรางวัลสลากที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มฯ จะต้องแจ้งในระบบว่า จะเลือกรับเงินรางวัลผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่งภายใน 15 วัน หากไม่แจ้งภายในกำหนด จะต้องมาขึ้นเงินรางวัลที่สำนักงานสลากภายใน 2 ปี โดยสลากที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์ม หรือดิจิทัล ที่ซื้อไว้จะแสดงอยู่ในประวัติข้อมูลการซื้อ 1 ปี ทั้งนี้ หากเลือกรับเงินรางวัลผ่านการโอนเงินเข้าบัญชีที่ผูกไว้ จะได้รับเงินโอนหลังจากที่แจ้ง ภายในระยะเวลา 12 ชั่วโมง ซึ่งยืนยันว่าจากที่ทดสอบระบบ การโอนเงินรางวัลไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ขอให้ผู้ซื้อสลากทุกคนไม่ต้องกังวล

พันโท หนุน ศันสนาคม กล่าวว่า การจำหน่ายสลากผ่านแพลตฟอร์มหรือสลากดิจิทัลนั้น สลากทุกใบเป็นของตัวแทนจำหน่ายรายย่อย สำนักงานสลากฯ เป็นแต่เพียงสนับสนุน จัดหาช่องทางการจำหน่ายในราคา 80 บาท ที่ได้ประโยชน์ทั้งผู้ซื้อและส่งเสริมตัวแทนรายย่อยผู้ขาย ให้สามารถวางขายในแพลตฟอร์ม ซึ่งมีผู้เข้ามาซื้อเป็นจำนวนมาก ไม่ต้องเสียค่าใช้ในการเร่ขาย ขณะเดียวกัน ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการมอมเมา เพราะปัจจุบันประชาชนที่ซื้อสลากตามแผงจำหน่ายก็สามารถซื้อได้แบบไม่จำกัดจำนวนอยู่แล้ว และขอย้ำว่า สลากทุกใบเป็นของพ่อแม่พี่น้องตัวแทนรายย่อย ดังนั้น การจำหน่ายสลากดิจิทัล นอกจากประชาชนผู้ซื้อจะสามารถซื้อสลากได้ในราคาที่กำหนด คือ 80 บาทแล้ว ยังเป็นการช่วยส่งเสริมอาชีพ ส่งเสริมรายได้ให้กับพ่อแม่พี่น้องที่เป็นตัวแทนรายย่อยอีกด้วย

Advertisement

นายกฯ ยินดี ร้านอาหารไทยคว้าอันดับ 1 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย

People Unity News : 1 เมษายน 2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ร่วมแสดงความยินดี ร้านอาหารไทยคว้าอันดับ 1 การจัดอันดับ 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย Asia’s 50 Best Restaurants 2023 ร้านอาหารไทยติดอันดับรวม 9 ร้าน ตอกย้ำเอกลักษณ์ soft power ของไทยในระดับสากล

วันนี้ (1 เม.ย. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและร่วมแสดงความยินดีกับ 9 ร้านอาหารไทยติดอันดับต้นๆ ในการจัดอันดับ 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย ประจำปี 2566 เชื่อมั่นอาหารไทยเป็นอาหารที่มีเสน่ห์ ครบรส สวยงาม เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทย สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างมากให้กับประเทศ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า Asia’s 50 Best Restaurants Academy ซึ่งเป็นการรวมตัวของบุคคลสำคัญวงการอาหารกว่า 300 คน ประกอบด้วยนักเขียนบทความอาหาร นักวิจารณ์ เชฟ ผู้ประกอบการร้านอาหาร และผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารในระดับภูมิภาค ได้ร่วมกันจัดอันดับร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย ประจำปี 2566 (Asia’s 50 Best Restaurants 2023) โดยร้าน Le Du ของไทยได้รับอันดับ 1 ร้านอาหารยอดเยี่ยม (https://www.theworlds50best.com/asia/en/list/1-50) โดยขึ้นมาจากลำดับที่ 4 จากปีก่อน และยังได้รับอันดับ 1 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งประเทศไทย (The Best Restaurant in Thailand) ควบอีก 1 รางวัลด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวเพิ่มเติมว่า ในการจัดอันดับดังกล่าว ร้านอาหารไทยรวม 9 อันดับ ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และเป็นเมืองที่ได้รับรางวัลมากที่สุดอีกด้วย ได้แก่ ร้าน Le Du อันดับ 1 ร้าน Nusara อันดับ 3 ร้าน Gaggan Anand อันดับ 5 ร้าน Sorn อันดับ 9 ร้าน Suhring อันดับ 22 ร้าน Ms. Maria & Mr. Singh อันดับ 33 ร้าน Potong อันดับ 35 Raan Jay Fai (เจ๊ไฝ) อันดับ 38 ร้าน Baan Tepa อันดับ 46 และแม้ว่าผู้ชนะส่วนใหญ่ในการจัดอันดับจะเป็นร้านอาหารรสเลิศ แต่ร้านอาหารริมทางอย่าง ร้านเจ๊ไฝ ก็ได้รับการจัดให้ติดใน 1 ใน 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย ประจำปี 2566 ด้วย

“รัฐบาลชื่นชมและตระหนักถึงศักยภาพหลายๆ ด้านของไทย โดยอาหารไทยขึ้นชื่อในเรื่องของรสชาติ ใช้วัตถุดิบที่หลากหลาย ครบเครื่อง โดดเด่นในการนำเสนอวัฒนธรรม นำความเป็นไทยเผยแพร่ไปสู่สากล สู่การเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลยินดีผลักดัน และสนับสนุนศักยภาพในด้านนี้เสมอมา และพร้อมผลักดันให้อาหารไทยให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยว สร้างภาพลักษณ์ให้ไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว” นายอนุชา กล่าว

 Advertisement

เฮ!! ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลิตรละ 5 บาท ออกไปอีก 4 เดือน ถึง 20 พ.ค.

People Unity News : 17 มกราคม 2566 ครม. เห็นชอบขยายเวลาปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 5 บาท ออกไปอีก 4 เดือน

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2566 เห็นชอบขยายเวลาปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 5 บาท ออกไปอีก 4 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2566 ถึง 20 พฤษภาคม 2566 เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนที่จะเกิดกับพี่น้องประชาชน และเพื่อให้กลไกทางเศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนได้ แม้ว่าการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตในครั้งนี้จะส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้ก็ตาม

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้วัตถุประสงค์ของการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงในครั้งนี้ สามารถส่งผ่านไปถึงประชาชนโดยตรงและส่งผ่านถึงการลดต้นทุนของสินค้าและบริการได้ กระทรวงการคลังมีความเห็นเพิ่มเติมว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงควรพิจารณาการบริหารจัดการเสถียรภาพของราคาน้ำมันดีเซลและสถานะทางการเงินของกองทุนฯ ให้เหมาะสม โดยพิจารณาปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลทันที 1 – 2 บาทต่อลิตร และบริหารจัดการให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในช่วงระหว่างราคา 33 – 35 บาทต่อลิตร ประกอบกับพิจารณาจัดเก็บเงินเข้ากองทุนในอัตราที่แตกต่างกันระหว่างประเภทน้ำมันดีเซล รวมทั้งพิจารณาความเป็นได้ในวิธีการนำเทคโนโลยี เช่น แอพพลิเคชั่น หรือบัตรส่วนลดมาใช้ในการอุดหนุนราคาน้ำมันในอนาคตเพื่อให้สามารถดำเนินการได้เฉพาะกลุ่มเป้าหมาย

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวสรุปว่า การปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังจะติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด และจะพิจารณาความเหมาะสมของมาตรการต่างๆ เพื่อให้การดำเนินนโยบายช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินการคลังของประเทศในระยะยาว

Advertisement

นายกฯอยากเห็น ปตท. ลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น นำคนไทยไปร่วมทุน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 ธันวาคม 2566 นายกฯแสดงความยินดีครบรอบ 45 ปี ปตท. หวังให้ช่วยสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่ เป็นเจ้าสัวน้อย

ค่ำวานนี้ (12 พ.ย. 66) เวลา 18.30 น.  ณ เพลนารี ฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถนนรัชดาภิเษก เขตคลองเตย กรุงเทพฯ  นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานงานเลี้ยงรับรองขอบคุณผู้มีส่วนได้เสีย เนื่องในวาระครบรอบ 45 ปี บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ผู้แทนภาครัฐ ผู้แทนภาคเอกชน  ผู้บริหารและพนักงานบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  เข้าร่วมงาน

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาร่วมงานในวาระครบรอบ 45 ปี ของบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเป็นบริษัทที่นำธงชาติไทยไปปักในนิตยสาร ฟอร์จูน โกลบอล 500 และเคยไต่อันดับถึง TOP 100 แต่เมื่อมีบริษัทอื่นมาก็ถูกเบียดไป  แต่บริษัท ปตท. มีการเติบโตอย่างยั่งยืน สร้างความภาคภูมิใจสูงสุดให้กับคนไทยที่มีบริษัทระดับโลกได้   ไม่ต้องพูดถึงความสำเร็จในธุรกิจ ปตท. ที่ได้ดำเนินการในช่วง 45 ปีที่ผ่านมา ได้เข้าร่วมกับทุกรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสังคมในการดูแลคนไทยทุกคนไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งไหน  รวมถึงวิกฤตโรคระบาดโควิด 19  ในอดีต 45 ปีที่ผ่านมา บริษัท ปตท.เป็นบริษัทที่ยืนเคียงข้างพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน  เป็นที่พึ่งของทุกคนเป็นบริษัทที่ไม่ได้คำนึงถึงแค่ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นอย่างเดียว  แต่ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ความสุขสบายของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เนื่องในโอกาส 45 ปีของบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  ตนมีข้อคิด 2-3 ข้อ ข้อแรกด้วยงบดุลของบริษัทที่แข็งแกร่งมาก สิ่งที่ต้องการคือ บริษัท ปตท. ไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นนำพาผู้มีความรู้จากประเทศไทยไปร่วมทุนไปทำการเจรจาการค้าไปพัฒนาประเทศนั้นๆ ด้วยทุนของคนไทยด้วยองค์ความรู้ของคนไทย  ตนเชื่อว่า ยังมีอีกหลายประเทศที่เราสามารถไปลงทุนได้ทำการค้าขายได้  รัฐบาลพร้อมสนับสนุนทั้งการลงทุนและให้มาลงทุนในประเทศไทย  พร้อมเชื่อว่า ปตท. พร้อมที่จะเป็น partner กับบริษัทข้ามชาติทั้งหลายที่มาลงทุนในประเทศไทย  อีกทั้ง รัฐบาลพร้อมที่จะนำ ปตท.เดินเคียงคู่ไปกับรัฐบาลเพื่อที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา  พร้อมทั้งให้ ปตท.เดินทางออกไปต่างประเทศเพื่อไปร่วมทุนกับบริษัทยักษ์ใหญ่ในหลายบริษัทเพื่อทำให้คนไทยมีความภาคภูมิใจ

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง พลังงานบริสุทธิ์ถือเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นเรื่องที่ปัจจุบันนี้ได้มีการพูดคุยกันมาก ถ้าประเทศไหนบริษัทไหนจะมาลงทุนที่ประเทศไทยเขารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ประเทศไทยมีความพร้อมสูงสุดประเทศหนึ่งในภูมิภาคนี้ในการที่จะรองรับการลงทุนที่ต้องการพลังงานบริสุทธิ์  ปตท. เป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นองค์กรที่ทำให้ประเทศไทยมีจุดแข็งในด้านนี้  อย่างไรก็ตาม นายกฯ ขอให้ทุกคนอย่า ลด ละ ในการที่จะพัฒนาเรื่องนี้ต่อไป  ต้องทำให้เราไปถึงจุดมุ่งหมายได้และดึงดูดนักลงทุนที่มีความต้องการลงทุนในการพึ่งพาพลังงานบริสุทธิ์ ซึ่งเชื่อว่า ปตท. สามารถทำได้และทำดีอยู่แล้ว

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี  กล่าวถึง การสร้างแรงบันดาลใจของคนรุ่นใหม่ที่มองเข้ามาบริษัทใหญ่ๆอย่าง ปตท. บริษัทที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก อยากให้ ปตท.มีส่วนปั้นพัฒนาดูแลเยาวชนที่เพิ่งเข้ามาในวงการธุรกิจ  ปั้นพัฒนาให้เขาเป็นเจ้าสัวน้อยให้ได้ไม่ใช่แค่ให้เขามาอยู่ภายใต้ของบริษัท ปตท. หลายคนอาจจะเข้าใจว่า ปตท.จ้างสนับสนุนเป็นแหล่งงานให้กับคนรุ่นใหม่มากมาย  ตนเชื่อว่า หลายคนมีความต้องการที่จะแตกต่างกันไป หลายคนมีความต้องการทำงานเป็นพนักงานของ ปตท. หลายคนต้องการให้เป็นหน่วยงานช่วยปั้นให้เขาเป็นเจ้าสัวตัวน้อยได้และพัฒนาต่อไปเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ

“วันนี้ถือเป็นวันดีที่มีนักธุรกิจชั้นนำ มีอดีตผู้ว่าการ ปตท. มีผู้ที่มีอุปการคุณ  คณะกรรมการที่มารวมตัวกันอยู่ในที่นี้  มาเฉลิมฉลองความสำเร็จของ ปตท.  ซึ่งเชื่อว่าภารกิจอันยิ่งใหญ่ของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยยังไม่จบเพียงแค่นี้ ขอเป็นกำลังใจเป็นแรงใจ ขอเป็นเพื่อนที่เดินเข้ามาไปด้วยกันในอนาคตที่สดใสเพื่อจะยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนให้ดีขึ้นควบคู่ไปกับ ปตท.” นายกฯ กล่าว

Advertisement

กรมชลประทานจ้างแรงงาน 75,000 คนปี 65 สร้างรายได้ทดแทนให้แก่เกษตรกรและประชาชน

People Unity News : กรมชลประทานเดินหน้าจ้างแรงงานปี 65 หวังสร้างรายได้ทดแทนให้แก่เกษตรกรและประชาชน สอบถามเพิ่มเติม สายด่วน 1460

28 พ.ย.64 กรมชลประทานเปิดรับสมัครแรงงานทั่วประเทศ ตามโครงการจ้างแรงงานชลประทาน ปี 65 ในตำแหน่งงานซ่อมแซม บำรุงรักษา ขุดลอก ปรับปรุงงานชลประทาน ก่อสร้างแหล่งน้ำ ระบบส่งน้ำ แก้มลิง โครงการป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ำ ฯลฯ เพื่อให้เกษตรกร มีรายได้ทดแทนจากการว่างเว้นการทำการเกษตร โดยได้รับค่าจ้างประมาณเดือนละ 7,800 บาท ระยะเวลาการจ้างงาน 1 – 10 เดือน

ขณะนี้ ทั่วประเทศมีผู้สนใจเข้าร่วมจ้างแรงงานแล้ว 2,155 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 2.87 ของแผน ยังสามารถจ้างแรงงานได้อีกประมาณ 72,845 คน ให้ครบตามเป้าที่กำหนดไว้ 75,000 คน

สำหรับคุณสมบัติของผู้ร่วมโครงการที่จะได้รับการจ้างแรงงาน มีดังนี้

✅ เกษตรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรหรือเกษตรกรในพื้นที่

✅ สมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำของกรมชลประทานในพื้นที่

✅ ประชาชน และผู้ใช้แรงงานทั่วไป

✅ หากแรงงานที่ต้องการในพื้นที่เป้าหมายมีไม่เพียงพอ จะพิจารณาจ้างแรงงานในพื้นที่ใกล้เคียงจากหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด และลุ่มน้ำ ตามลำดับ

เกษตรกรหรือประชาชนที่สนใจ สามารถติดต่อสอบถามหรือสมัครได้ที่โครงการชลประทานใกล้บ้าน หรือสายด่วนกรมชลประทาน โทร.1460

Advertising

เตือน ปชช. 1.15 ล้านคน รีบยืนยันตัวตนใช้สิทธิบัตรสวัสดิการรัฐ

People Unity News : 27 มิถุนายน 2566 รัฐบาลแจงความคืบหน้าโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อุทธรณ์สำเร็จ 4.16 แสนคน เตือน 1.15 ล้านคน รีบยืนยันตัวตน เริ่มใช้สิทธิ 1 ส.ค.นี้

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุม ครม. รับทราบรายงานความก้าวหน้าโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 และการใช้สิทธิภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้

ความก้าวหน้าโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการะทั้งสิ้น 19,647,241 ราย เมื่อพิจารณาคุณสมบัติของลงทะเบียนแล้วพบว่ามีผู้ผ่านเกณฑ์ จำนวน 14,596,820 ราย ไม่ผ่านเกณฑ์จำนวน 5,050,421 ราย โดยผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ได้ยื่นอุทธรณ์ จำนวน 1,266,682 ราย (คิดเป็นร้อยละ 25.08 ของผู้ไม่ผ่านเกณฑ์) และมีผู้ผ่านการตรวจสอบเพิ่มเติม (เกษตรกร) จำนวน 416,153 ราย

“ทำให้มีผู้ผ่านเกณฑ์โครงการ ปี 65 รวมทั้งสิ้น 15,012,973 ราย โดยมีผู้ที่ยืนยันตัวตนสำเร็จ จำนวน 13,444,534 ราย คิดเป็นร้อยละ 92.11 ของจำนวนผู้ผ่านเกณฑ์ทั้งหมด และยังไม่ได้ยืนยันตัวตนหรือยืนยันตัวตนไม่สำเร็จอีก จำนวน  1,152,286 ราย คิดเป็นร้อยละ 7.89 ของจำนวนผู้ผ่านเกณฑ์ทั้งหมด สำหรับผู้ที่ไม่ได้ยืนยันตัวตนหรือยืนยันตัวตนไม่สำเร็จ ยังคงยืนยันตัวตนได้ และจะเริ่มใช้สิทธิในวันที่ 1 สิงหาคม 2566 โดยจะได้รับสิทธิเฉพาะเดือนที่กระทรวงการคลังดำเนินการตั้งวงเงินให้ แต่ไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

น.ส.รัชดา กล่าวว่า สำหรับการใช้สิทธิภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2566 มีดังนี้ เดือนเมษายน 2566 มีผู้ใช้สิทธิจำนวน 12.31 ล้านราย มูลค่าการใช้สิทธิรวม 4,005.65 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค 3,682.35 ล้านบาท ส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 259.41 ล้านบาท ค่าเดินทางระบบขนส่งสาธารณะ 63.88 ล้านบาท สำหรับมาตรการบรรเทาค่าไฟฟ้า/ค่าน้ำประปา ผู้ขอใช้สิทธิต้องลงทะเบียนขอรับสิทธิ ส่วนการจ่ายเงินเพิ่มเติมเบี้ยคนพิการ เดือนละ 200 บาท เฉพาะผู้พิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการและผ่านเกณฑ์การพิจารณาคุณสมบัติตามโครงการปี 65 มีจำนวน 794,189 ราย รวมเป็นเงิน 158.84 ล้านบาท

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เดือนพฤษภาคม 2566 มีผู้ใช้สิทธิจำนวน 12.79 ล้านราย มูลค่าการใช้สิทธิรวม 4,252.15 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค 4,028.97 ล้านบาท ส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 45.45 ล้านบาท ค่าเดินทางระบบขนส่งสาธารณะ 62.62 ล้านบาท สำหรับมาตรการบรรเทาค่าไฟฟ้า/ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า มูลค่าการใช้สิทธิ 105.09 ล้านบาท ค่าน้ำประปา มูลค่าการใช้สิทธิ 9.93 ล้านบาท ส่วนการจ่ายเงินเพิ่มเติมเบี้ยคนพิการ เดือนละ 200 บาท เฉพาะผู้พิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการและผ่านเกณฑ์การพิจารณาคุณสมบัติตามโครงการปี 65 มีจำนวน 1,016,008 ราย รวมเป็นเงิน 203.20 ล้านบาท

“สถานะปัจจุบันของกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 กองทุนมีงบประมาณรวม 51,644.51 ล้านบาท โดยเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับจัดสรรสวัสดิการแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (1 ต.ค. 65-24 พ.ค. 66) จำนวน 35,923.45 ล้านบาท ส่งผลให้งบประมาณคงเหลือ ณ วันที่ 24 พ.ค. 66 รวมทั้งสิ้น 15,721.06 ล้านบาท” น.ส.รัชดา กล่าว

Advertisement

“สนธิรัตน์”เผยปี 63 เริ่มคิกออฟลงทุนโรงไฟฟ้าชุมชน

People Unity News : “สนธิรัตน์”เผยนโยบายโรงไฟฟ้าชุมชนได้รับความสนใจจากผู้ประกอบและท้องถิ่นทั่วประเทศอย่างคึกคัก เตรียมออกประกาศหลักเกณฑ์ลงทุนและเริ่มคิกออฟ ปี ’63 ตั้งเป้าหมาย 1,000 MW ดันเศรษฐกิจไทยเงินสะพัดกว่า 1 แสนล้านบาท

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงนโยบายโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากว่า ขณะนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบคือ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้ยกร่างหลักเกณฑ์และแนวทางการร่วมลงทุนโรงไฟฟ้าชุมชนเสร็จแล้ว โดยจัดทำรายละเอียดที่ครบสมบูรณ์และได้นำข้อเสนอแนะต่างๆ ที่ได้รับจากเวทีรับฟังความความคิดเห็นมาปรับปรุงให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อชุมชนและประชาชน

หลังจากนี้ พพ.เตรียมนำเสนอร่างหลักเกณฑ์ฯ นี้ ต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมการสนับสนุนการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก จากนั้นจะเข้าสู่ที่ประชุม คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง) และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ต่อไป คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2563

“โครงการโรงไฟฟ้าชุมชน เป็นนโยบายที่ตอบโจทย์ประชาชนทุกพื้นที่ทั่วประเทศสามารถเป็นเจ้าของพลังงานได้ โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์ ยกระดับชุมชนสู่การเป็นผู้ผลิต ผู้ใช้ และผู้จำหน่ายไฟฟ้า ขณะนี้จึงได้รับความสนใจอย่างมากมาย มีองค์กรท้องถิ่นและผู้ประกอบการที่มีศักยภาพลงทุน สอบถามเข้ามายังกระทรวงพลังงานอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ร่างหลักเกณฑ์ฯ ที่กำลังจะออกมานี้จึงถือเป็นการสร้างความชัดเจนให้ทุกฝ่ายได้ดำเนินงานขั้นต่อไป”

นายสนธิรัตน์ เชื่อมั่นว่า โรงไฟฟ้าชุมชนถือเป็นการพลิกมิติด้านพลังงานครั้งสำคัญ จากที่เคยถูกมองว่าอยู่ในกลุ่มทุนใหญ่ มาสู่มือของประชาชนคนเล็ก คนน้อยสามารถมีสิทธิ์ มีเสียง มีส่วนร่วมกับชุมชนของตนเองได้ โดยอาศัยวัตถุดิบทางการเกษตร พืชผลพลังงานตามบริบทของท้องถิ่น และทรัพยากรหมุนเวียนตามธรรมชาติ เช่น แสงแดด นับว่าสอดคล้องกับทิศทางด้านพลังงานสะอาดและกระแสอนุรักษ์ที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกกำลังก้าวไปอีกด้วย

สำหรับขนาดของโรงไฟฟ้าชุมชนแต่ละแห่งนั้น จะเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (vspp) ซึ่งมีขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์/โรง มีมูลค่าการลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท/เมกะวัตต์ ซึ่งนโยบายของกระทรวงพลังงาน มีเป้าหมายจะส่งเสริมโรงไฟฟ้าชุมชนรวมทั้งสิ้น 1,000 เมกะวัตต์ (MW) ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากคิดเป็นเม็ดเงินลงทุนในภาพรวมไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท โดยจะเริ่มก่อสร้างโรงไฟฟ้าชุมชนประเภทนี้และเข้าระบบได้ในปี 2565 ที่สำคัญ โครงการประเภท Quick Win จะสามารถส่งไฟฟ้าเข้าระบบได้ภายใน 6 เดือนหลังจากการได้ผลการคัดเลือก

ในส่วนรูปแบบการขายไฟฟ้าคืนกลับมายังภาครัฐนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ระบุว่า ได้มอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เตรียมข้อมูลปริมาณความต้องการไฟฟ้าในแต่ละภูมิภาคไว้แล้วว่าในแต่ละพื้นที่มีมากน้อยอย่างไร พร้อมวางระบบสายส่งที่มีศักยภาพ ส่วนการเปิดการรับซื้อไฟฟ้าจะเป็นหน้าที่ของ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ซึ่งปัจจุบัน กกพ.เตรียมความพร้อมเบื้องต้นไว้ระดับหนึ่งเช่นเดียวกัน จึงมั่นใจว่าโครงการนี้จะมีความพร้อมดำเนินการ สร้างรายได้ให้ชุมชนอย่างเป็นระบบ

รมช.คลัง แจง “เงินดิจิทัลวอลเล็ต” เปรียบเสมือนคูปองที่เทียบเท่ากับเงินบาท 10,000 บาท

People Unity News : 10 ตุลาคม 2566 พรรคเพื่อไทย – ส.ส.เพื่อไทย แจงที่ประชุมพรรค ประชาชนต้องการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ด้าน รมช.คลัง ย้ำเดินหน้าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ ขณะที่ “แพทองธาร” เชื่อหากนโยบายสำเร็จ ต่างชาติจะดูเป็นตัวอย่าง

พรรคเพื่อไทยมีการประชุม ส.ส.พรรค ประจำสัปดาห์ โดยมีนายชูศักดิ์ ศิรินิล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธาน ส.ส.พรรค, นายอดิศร เพียงเกษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุม โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และรองประธานกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เข้าร่วมการประชุม

ช่วงหนึ่งที่ประชุมเปิดให้ ส.ส. อาทิ นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์, นายอัครนันท์ กัณณ์กิตตินันท์ ส.ส.กาญจนบุรี, น.ส.ชนก จันทาทอง ส.ส.หนองคาย, น.ส.ศรีโสภา โกฏคําลือ ส.ส.เชียงใหม่ ได้สอบถามเกี่ยวกับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต พร้อมสะท้อนความเห็นว่าประชาชนทุกคนต่างเฝ้ารอนโยบายดังกล่าว อยากให้เริ่มโครงการได้โดยเร็วที่สุด และต้องการให้ขยายรัศมีในการใช้เงินมากกว่า 4 กิโลเมตร เพราะในบางพื้นที่ลำบากในการเดินทางใช้จ่าย เช่น พื้นที่บนเขาบนดอย รวมทั้งผู้สูงอายุที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือหรืออินเทอร์เน็ต จะสามารถใช้เงินในโครงการนี้ได้หรือไม่

นายจุลพันธ์ ชี้แจงว่า วันนี้มารับฟังตัวแทนของประชาชนในการสะท้อนปัญหานโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เมื่อรับฟังแล้วก็ดีใจที่เห็นตรงกันว่านโยบายนี้มีความจำเป็น เบื้องต้นขอชี้แจงว่ารัฐบาลรับฟังทุกเสียงทั้งเห็นด้วยและคัดค้าน ขณะนี้เสียงในสังคมเป็นสองส่วน ทั้งเห็นด้วยอยากให้เดินหน้าโครงการให้เรียบร้อย และอีกส่วนหนึ่งขอให้ยับยั้งได้หรือไม่ ในฐานะรัฐบาลเรารับฟังทั้งหมด แต่ในภาคเอกชนที่รับฟังมาอยากเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายนี้ ส่วนประชาชนได้สะท้อนเป็นเสียงเดียวกันอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าให้เดินหน้าโครงการเพื่อให้เงินตัวนี้ต่อยอดชีวิตของเขา

นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า วันนี้สถานการณ์ในประเทศไทยไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เข้มแข็ง มุมมองที่เสนอออกมาหลายมุมมอง แม้จะเป็นอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็เป็นในมุมมองรักษาเสถียรภาพ แต่กลไกที่เป็นเครื่องมือในการบริหารเศรษฐกิจคือ กลไกทางการเงินและกลไกทางการคลัง ซึ่งกลไกทางการเงินอยู่ในมือ ธปท. เป็นหลักในการรักษาเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจ แต่กลไกในการคลังอยู่ในกระทรวงการคลังและรัฐบาล เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโต ขณะนี้ทุกคนรู้ว่าประเทศไทยอยู่ในสถานะของสังคมผู้สูงอายุ และมีความเสี่ยงต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ ถ้าปล่อยแบบนี้ต่อไปประเทศไทยเติบโตเหมือนกับ 10 ปีที่ผ่านมาโตไม่ถึง 2% จะถึงจุดที่แตกหัก คือรายรับของรัฐและงบประมาณของรัฐไม่สามารถเติบโตไปกับสวัสดิการที่จะให้กับประชาชนทั้งผู้สูงอายุหรือใครก็ตาม ซึ่งเป็นความเสี่ยง ฉะนั้นสิ่งที่รัฐบาลมองเราเห็นแล้วว่าการเติบโตของประเทศไทยใน 10 ปีที่ผ่านมา ไม่สามารถโตได้เต็มศักยภาพ เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน บ้านเรายังโตเพียงแค่ปีละ 3% กว่าๆ ซึ่งต่ำกว่าภูมิภาคมากมาย

นายจุลพันธ์ กล่าวอีกว่า วันนี้เราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องดึงประเทศไทยให้กลับมาเติบโตเหมาะสมกับศักยภาพและคนในประเทศเอง รัฐบาลจึงมองว่าการเติบโตในระดับ 5% เป็นระดับที่มีความเหมาะสมเป็นอย่างต่ำ กลไกที่จะใช้หนึ่งในนั้นคือ ตัวนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท แต่ไม่ได้มีในปีกเดียว แต่รัฐบาลที่นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีความครอบคลุมหลายมิติ ซึ่งเมื่อไปเปิดดูนโยบายเร่งด่วนที่เราแถลงนโยบายไปเมื่อเดือนกว่าๆ เราทำไปเกือบหมดแล้ว และปีหน้าคิดอยู่ว่าทำอะไรเพราะเราทำไปหมดเล่มแล้ว นี่คือสิ่งที่เราต้องรีบแก้ไขให้กับประชาชน

ทั้งนี้ สิ่งที่เราทำนอกจากการเดินหน้านโยบายเงินดิจิทัลคือ การลดค่าใช้จ่ายของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคาไฟฟ้าที่เหลือ 3.99 ราคาน้ำมันดีเซล วีซ่าฟรีให้กับนักท่องเที่ยวบางประเทศ ตอนนี้ยอดการจอง ยอดการเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว นโยบายที่เราไปกิโยตินกฎหมายที่เป็นข้อกำจัดต่างๆ ในการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพของประชาชน เราเดินหน้าหมด ซึ่งเวลาเราดูเราต้องดูเป็นแพ็กเกจใหญ่ และยืนยันว่านโยบายนี้จะทำให้ชีวิตพี่น้องประชาชนดีขึ้น

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า สิ่งที่เรากำลังเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ตอบคำถามได้หลายประเด็น แต่ขณะนี้มีความเข้าใจค่อนข้างสับสน บางส่วนอาจจะเป็นเรื่องของมุมมองทางการเมืองที่ต้องการโจมตีในตัวนโยบายหรือบุคคลของเราก็ตาม จึงขอฝาก ส.ส. ที่สัมผัสกับประชาชนอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอดในการที่จะช่วยรัฐบาลชี้แจงเพื่อความเข้าใจในหลายประเด็น เรื่องแรกคือความจำเป็นของนโยบาย ซึ่งตนชี้แจงไปแล้วว่าประเทศไทยไม่ได้โตตามศักยภาพ มีความจำเป็นที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ เงินเฟ้อถามว่าห่วงหรือไม่ ยืนยันว่าไม่กระทบมาก เพราะเงินเฟ้อช่วงที่ผ่านมามีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.25% เป็น 2.50% เพิ่มมา 5 จุด ซึ่งสามารถหยุดยั้งสถานการณ์เงินเฟ้อในระดับที่น่าพึงพอใจ เป็นนโยบายของ ธปท. เงินเฟ้อจาก 5% ขณะนี้เหลือ 0.3% ต่อให้มีนโยบายนี้เข้ามา เราก็มีกลไกควบคุมดูแลให้ความเหมาะสม แต่เรามีความจำเป็นที่จะต้องขยายฐานขยายเศรษฐกิจให้พี่น้องประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น

ส่วนเรื่องที่สองกรณีที่มีกล่าวหาว่านโยบายนี้จะไปซื้อคริปโทฯ จากต่างประเทศมาแจกประชาชน นี่เป็นความเข้าใจผิด เราไม่ได้แจกเงินเหรียญคริปโทฯ เงินนี้คือเงินบาทเดิม เพราะเงินบาทที่ไปอยู่ในรูปแบบของดิจิทัลวอลเล็ตทุกบาท จะต้องถูกแบ็กด้วยเงินบาทของไทยจริงๆ มันจะไม่มีการเปลี่ยนค่าหรือเก็งกำไรได้ มันคือเงินบาทในรูปแบบดิจิทัล คิดง่ายๆ คือเปรียบเสมือนเป็นคูปองที่เทียบเท่ากับเงินบาทจำนวนเงิน 10,000 บาท แต่มีการเขียนเงื่อนไขลงไปในคูปองด้วย การอธิบายแบบนี้จะเข้าใจให้ประชาชนเข้าใจเพราะเราต้องการให้เงินนี้กระตุ้นและเกิดการหมุนเวียนในเศรษฐกิจจริงๆ ถึงได้กำหนดว่าต้องใช้ภายใน 6 เดือน ต้องใช้กรอบระยะทางที่กำหนด และห้ามเอาไปใช้ในบางประเภท

“นโยบายนี้จะเป็นนโยบายแรกที่จะหมุนเวียนเศรษฐกิจมากกว่านโยบายใดๆ ก็ตามที่ประเทศไทยเคยใช้มา โดยไม่กล้าไปเทียบกับในโลก แต่อาจจะมากที่สุดในโลกก็ได้ เพราะในโลกไม่เคยมีกลไกนี้ ในการส่งเม็ดเงินไปยังประชาชนแล้วให้เขียนกลไกให้มันเกิดการหมุนเวียนลงทุนและการใช้จ่าย ซึ่งเมื่อจะมีการใช้จ่าย เราก็เห็นประชาชนในหลายจังหวัดเตรียมรอรับนโยบายนี้ ด้วยการเตรียมการลงทุนในภาคการผลิต ไปจ้างงาน ไปซื้อสินค้าประเภททุนมารองรับ เมื่อเงินมาถึงก็สามารถนำเงินส่วนนี้มาลงทุนในการประกอบอาชีพ” นายจุลพันธ์ กล่าว

นายจุลพันธ์ กล่าวอีกว่า เม็ดเงินเหล่านี้จะไม่ได้ลงเพียงแค่นี้ เพราะเราได้มีการพูดคุยกับสถาบันการเงินของรัฐบางแห่ง เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน สิ่งที่เขาต้องการทำคือเมื่อประชาชนจะนำเม็ดเงินที่บอกว่ามาจากดิจิทัลวอลเล็ต หากสามารถรวมกลุ่มกันได้หรืออาจจะไปคนเดียวก็ตามแล้วมีแผนลงทุนในการประกอบอาชีพที่ชัดเจน แล้วไปคุยกับธนาคารของรัฐก็พร้อมที่จะให้กู้เงินเพิ่มเติมเพื่อไปประกอบอาชีพ นี่คือการสร้างเม็ดเงินมหาศาลในกระบวนการลงทุนและเม็ดเงินในประเทศไทย

“สิ่งที่เราเดินหน้ามาขณะนี้เราเห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ เราเห็นโอกาส เห็นความหวังของประชาชนว่าเขาจะสามารถนำเม็ดเงินเหล่านี้ไปต่ออายุ ไปยื้อชีวิต ไปประกอบอาชีพสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ” นายจุลพันธ์ กล่าว

นายจุลพันธ์ ยังกล่าวว่า เราพร้อมที่จะผ่อนปรนในเรื่องพื้นที่ โดยอนุกรรมการขับเคลื่อนเรารับฟังและมีการพูดคุยกันในสัปดาห์นี้ เพื่อที่จะนำสิ่งที่ทุกท่านแสดงความเห็นและประชาชนส่งสัญญาณมาเข้าพิจารณาและพร้อมที่จะผ่อนปรนเพื่อให้มันเกิดประโยชน์สูงสุดกับการใช้เม็ดเงินตัวนี้ โดยอาจจะขยับเพิ่มจาก 4 กิโลเมตรเป็นตำบลเป็นอำเภอก็ได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงตนเชื่อว่ากลไกทางใช้เม็ดเงินจะเกิดการสะดวก และคล่องตัวและการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจจะมีเพิ่มมากขึ้น

ส่วนกรณีที่มีการเสนอให้แคปวงเงินว่าคนรวยอาจจะไม่ได้ประโยชน์นั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า กลไกทำนโยบายต้องมีการยืนยันตัวตนระดับหนึ่ง ถ้าใครไม่ยืนยันตัวตนถือว่าสละสิทธิ์ ถ้าใครไม่ต้องการเข้าโครงการก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ของประชาชน แต่เรากำลังดูอยู่และขอข้อมูลแล้วว่าถ้าเราจะหาเกณฑ์ในบอกว่าใครรวย ใครจนจะใช้เกณฑ์อย่างไร เช่น รายได้ที่ไปยื่นแบบต่อสรรพากรหรือบัญชีเงินฝากว่ามีเงินเท่าไร แต่เราต้องหาตัวเลขที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย และมันเป็นตัวเลขที่สามารถพิสูจน์ชัดได้ว่าเราจะทำด้วยความยุติธรรม

ส่วนคำถามเรื่องผู้สูงอายุและผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้นั้นจะแก้ไขอย่างไร เบื้องต้นตอนที่เราคิดโครงการ เราคิดว่าจะให้เขาต้องไปเดินยืนยันตัวตนที่ธนาคารของรัฐ เมื่อยืนยันตัวตนแล้วอาจจะมีกระดาษมาหนึ่งใบ และมีคิวอาร์โค้ดให้ไปซื้อของแลกเปลี่ยนกับคนที่มีแอปพลิเคชัน หรือคนที่มีสมาร์ทโฟนได้เลย แต่เรากำลังหาหนทางที่จะทำให้ดีกว่านี้ คือเมื่อยืนยันตัวตนแล้วจะบันทึกในบัตรประชาชน แล้วนำใช้บัตรประชาชนกับแอปพลิเคชันของอีกคนหนึ่ง เพื่อทำการแลกเปลี่ยนได้ แต่ต้องมีการยืนยันใบหน้า เพื่อไม่ให้สามารถให้ใครไปแอบอ้างหรือใช้บัตรประชาชนของท่านไปขึ้นเงินได้ ก็ขอให้สภาผู้แทนราษฎรไปทำความเข้าใจกับประชาชนว่า นโยบายนี้เป็นนโยบายหลักและเป็นประโยชน์ ไม่ใช่แค่กับประชาชน แต่หากให้พูดตรงๆ คือการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้ประชาชนเป็นกลไกมาช่วยรัฐบาลเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจมันเกิดขึ้น

ขณะที่นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ส.ส. ได้ลงพื้นที่และพูดคุยกับประชาชน ไม่ได้มีข้อที่บอกว่าควรทำหรือไม่ควรทำ แต่ถามมากกว่าว่าจะได้เมื่อไร ฉะนั้นประชาชนในพื้นที่กำลังรอคอยนโยบายนี้อย่างใจจดใจจ่อ เราเห็นได้ชัดว่าเศรษฐกิจของประเทศไม่ได้ถูกกระตุ้นในภาพรวมและภาพใหญ่แบบนี้มานานแล้ว จึงหวังว่านโยบายนี้จะช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศได้ครั้งใหญ่ ถามว่าใหญ่แค่ไหนก็ใหญ่เท่าที่ว่าหากเราทำสำเร็จต่างชาติจะดูเราเป็นตัวอย่างด้วยซ้ำว่าเราทำได้อย่างไร ทั้งนี้ ตอนที่เราหาเสียงต้องกำหนดเงื่อนไขต่างๆ เพื่อให้เศรษฐกิจหมุนเวียนและทั่วถึง ทั้งประชาชนที่อยู่ไกลอาจจะมีรายละเอียดต่างๆ ให้ทั่วถึงยิ่งขึ้น

นางสาวแพทองธาร กล่าวอีกว่า นอกจากกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ยังยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายที่สำคัญอย่างมาก และแน่นอนว่ารัฐบาลนี้เรามีนโยบายอื่นๆ ที่ทำควบคู่กันไปด้วยและเริ่มคิกออฟไปแล้ว เราจะเริ่มเห็นผลสำเร็จค่อยๆ ตามมาในแต่ละนโยบาย อย่างไรก็ตาม นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตจะนำไปสู่การจ้างงานและเกิดการสร้างอาชีพ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จะได้รับผลประโยชน์ทั่วกัน อีกทั้งรัฐบาลจะได้ผลตอบแทนมาในรูปแบบของภาษี ซึ่งภาษีที่ได้กลับมาจะทำให้รัฐบาลมีงบประมาณในการพัฒนานโยบายอื่นๆ ต่อยอดอีก เพื่อพัฒนาประเทศและช่วยเหลือและเพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้

“วันนี้ที่เราได้ประชุมกันรับฟังความคิดเห็นจาก ส.ส. ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง และมาคุยกับรัฐมนตรีแล้ว ขอฝากรัฐบาลไว้ด้วยว่าให้ทำนโยบายนี้ให้สำเร็จอย่างที่เราได้บอกกับประชาชนไว้ เพื่อรัฐบาลเข้มแข็งและประชาชนทุกคนจะได้รับประโยชน์ไปพร้อมกัน” นางสาวแพทองธาร กล่าว

Advertisement

“สุพัฒนพงษ์” เยือนญี่ปุ่นครั้งแรกนับจากโควิดระบาด ดึงการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์-เทคโนโลยีขั้นสูง

People Unity News : 20 เมษายน 2565 บีโอไอ เผยรองนายกรัฐมนตรี นำคณะหน่วยงานด้านเศรษฐกิจเดินทางไปชักจูงการลงทุน ณ ประเทศญี่ปุ่น พร้อมพบหารือกับบริษัทชั้นนำในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ สานความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ยกระดับกลุ่มอุตสาหกรรม BCG ย้ำไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญในภูมิภาค

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 19 – 23 เมษายน 2565 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร ผู้แทนการค้าไทย นำคณะหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของไทยเดินทางไปชักจูงการลงทุน ณ กรุงโตเกียว และ จังหวัดคานากาวะ ประเทศญี่ปุ่น นับเป็นการเดินทางเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการครั้งแรกนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19

“สถานการณ์การระบาดของโควิด – 19 ของโลกเริ่มคลี่คลาย ทำให้หลายประเทศรวมทั้งไทยเริ่มเปิดประเทศ และสามารถเดินทางระหว่างประเทศได้ ในช่วงเวลานี้การลงทุนถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ บีโอไอจึงต้องเร่งจัดกิจกรรมชักจูงลงทุน ประชาสัมพันธ์มาตรการส่งเสริมการลงทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน” นางสาวดวงใจกล่าว

วัตถุประสงค์ของการเดินทางเยือนญี่ปุ่นในครั้งนี้ เพื่อสานต่อข้อริเริ่มการเป็นหุ้นส่วนการร่วมสร้างสรรค์ (co – creation) ระหว่างไทย – ญี่ปุ่น และนำไปสู่การลงทุนในอนาคต ภายใต้ข้อริเริ่ม “Asia – Japan Investing for the Future Initiative” หรือ AJIF ที่ทั้งสองฝ่ายได้ประกาศเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

สำหรับการเดินทางเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี และคณะฯ มีกำหนดการเข้าพบ นายฮิโรคาสึ มัตสึโนะ หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น รวมทั้งหารือกับ นายฮากิอูดะ โคอิจิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น สมาพันธ์สมาคมธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น (KEIDANREN) รวมถึงบริษัทเอกชนรายใหญ่ของญี่ปุ่น ทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์  เพื่อนำเสนอนโยบายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่ไทยให้ความสำคัญ ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การแพทย์ อุตสาหกรรมกลุ่ม BCG การท่องเที่ยวและบริการ

นางสาวดวงใจกล่าวว่ารัฐบาลไทยได้ออกมาตรการหลายประการเพื่อสนับสนุนและอำนวยความสะดวกนักลงทุนหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ มาตรการส่งเสริมการใช้ยานพาหนะไฟฟ้า มาตรการด้านภาษี และการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวข้องกับยานพาหนะไฟฟ้า เช่น สถานีชาร์จยานพาหนะไฟฟ้า และการส่งเสริมโรงงานผลิตแบตเตอรี่ เป็นต้น

มาตรการส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับยานพาหนะไฟฟ้า รวมถึงการส่งเสริมโรงงานผลิตแบตเตอรี่ จะส่งผลให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะด้วย ถือเป็นโอกาสดีที่บริษัทญี่ปุ่นทั้งในกลุ่มยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีมาตรการเชิญชวนให้นักธุรกิจและนักลงทุนญี่ปุ่นเดินทางเข้ามาพำนักในประเทศไทย โดยกำหนดวีซ่าประเภทพิเศษคือวีซ่าสำหรับผู้พำนักระยะยาว (Long – Term Resident Visa: LTR) ซึ่งมีอายุถึง 10 ปี และญี่ปุ่นเป็นกลุ่มเป้าหมายสำหรับวีซ่าประเภทใหม่นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มบุคลากรทักษะสูง

Advertisement

Verified by ExactMetrics