วันที่ 20 พฤษภาคม 2024

เล็งเปิดอบรมนักเรียน กทม. เรื่องบุหรี่ไฟฟ้า

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 มีนาคม 2567 “พวงเพ็ชร” เตรียมเปิดอบรมนักเรียน กทม.ทราบถึงโทษของบุหรี่ไฟฟ้า ขอเจ้าหน้าที่ตำรวจคุมเข้มชุมชน-โรงเรียน

นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเดินหน้ากวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้า ว่า วันนี้มีการประชุมบูรณาการ ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร และหลายหน่วยงาน เรื่องการให้ความรู้ กับประชาชน เยาวชน เรื่องโทษบุหรี่ไฟฟ้า และวิธีการแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นชุมชน หรือโรงเรียน และ และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ยืนยันว่า ต้องประชาสัมพันธ์ให้เยาวชนรู้ถึงโทษที่ร้ายแรง ทำลายหลอดเลือด หัวใจ มะเร็งปอด จึงอยากฝากว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตราย ขอให้ทุกคนช่วยกันทำให้สังคมดีขึ้น ปลอดจากยาเสพติด ปลอดจากบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชนตามโรงเรียนต่างๆ ที่ผู้ปกครองร้องเรียนกันมาเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งจะประสานไปยังกระทรวงศึกษาธิการ และโรงเรียนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยในช่วงสิ้นเดือนจะไปอบรมให้กับโรงเรียน ได้ทราบถึงโทษของบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมฝากให้ผู้ปกครองช่วยกันสอดส่องดูแลบุตรหลานอีกทางหนึ่งด้วย

Advertisement

ก.สาธารณสุขพบสถิติคนไทยป่วยจิตเวชเกือบ 3 ล้านคน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 เมษายน 2567 สาธารณสุขพบสถิติคนไทยป่วยจิตเวชเกือบ 3 ล้านคน จิตแพทย์ชี้สถานการณ์สุขภาพจิตเชื่อมโยงกับเหตุรุนแรง ขณะสถิติพบไทยมีผู้ป่วยจิตเวชที่เข้ารับบริการเกือบ 3 ล้านคน คาดในจำนวนนี้ 1 ใน 5 เกิดจากปัจจัยใช้ยาเสพติด

นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีมีเหตุการณ์คนคลั่งจากอาการทางจิตเวช และมีการใช้ยาเสพติด ก่อเหตุรุนแรงถึงขั้นทำร้ายผู้อื่นและคนในครอบครัวจนเสียชีวิต ระบุว่า อาการผู้ป่วยที่มีลักษณะอาการคลั่งนั้นมักมีอาการรับรู้ความเป็นจริงที่ผิดเพี้ยนไป เช่น หูแว่ว เห็นภาพหลอน หวาดระแวง

ลักษณะอาการทางจิตเวชแบบนี้หากเกิดจากโรคทางจิตเวชทั่วไปมักเป็นโรคทางจิตเวชที่เป็นมานานแล้ว และไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นในกลุ่มที่มีอาการรุนแรง แต่บ่อยครั้งพบว่าปัจจัยมาจากเรื่องยาเสพติดที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสมอง ทำให้เกิดการรับรู้ที่ผิดเพี้ยนไป พอไม่รับรู้ความเป็นจริงก็จะแสดงออกพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง พฤติกรรมแปลกๆ นำไปสู่การก่อความรุนแรงได้

ส่วนการดูแลผู้ป่วยจิตเวช ความสำคัญคือต้องได้รับการรักษาสม่ำเสมอ เพราะหลายกรณีผู้ป่วยจิตเวชไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังป่วย ดังนั้น ครอบครัวหรือคนที่อยู่ใกล้ชิดต้องสังเกตและช่วยเหลือ พาเข้าสู่การรักษาต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้มีโอกาสก่อความรุนแรงจากอาการที่หนักขึ้น โดยผู้ป่วยจิตเวชที่มาจากการเสพยาเสพติดมีอยู่สองกรณีคือ กรณีใช้ยาครั้งแรกและเกิดผลกระทบทางจิตทันที กับอีกกรณีคือเป็นกลุ่มที่ใช้ยาเสพติดมาเป็นระยะเวลานาน พอวันหนึ่งเมื่อหยุดใช้สมองอาจจะไม่กลับไปอยู่ในสภาพได้เดิมก็จะมีอาการทางจิตได้ ซึ่งการดูแลรักษาต้องดูเป็นรายกรณีไป

ขณะที่ข้อมูลผู้ป่วยจิตเวชทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในจากระบบคลังข้อมูลการแพทย์และสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าอยู่ที่ประมาณเกือบ 3 ล้านคน ซึ่งเชื่อว่าในจำนวนนี้ประมาณ 1 ใน 4 ถึง 1 ใน 5 ที่มาจากเรื่องยาเสพติด โดยอาการคลั่งนั้นบางครั้งมีโอกาสเกิดจากโรคทางอารมณ์ได้ เช่น ไบโพลาร์ หรือโรคจิตเภท ก็มีโอกาสคลั่งได้ แต่มีโอกาสเกิดน้อย นอกจากจะมีอาการที่รุนแรงมาก และไม่ได้รับการรักษาต่อเนื่อง ก็มีโอกาสเกิดได้ แต่ว่าน้อยกว่าเรื่องยาเสพติดเยอะ เพราะยาเสพติดแม้ใช้ครั้งหรือสองครั้งก็อาจเกิดอาการคลั่งได้

ส่วนการรักษาผู้ป่วยจิตเวชนั้น หากเป็นกรณีที่รับการรักษา และแพทย์ประเมินว่าสามารถรักษาเป็นผู้ป่วยนอกได้ เท่ากับว่าสามารถกลับมาอยู่ที่บ้าน อยู่ในชุมชนได้ ซึ่งจะต้องมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือ

โฆษกกรมสุขภาพจิต ย้ำว่า อยากให้ทุกความรุนแรงที่เกิดขึ้นย่อมเคยมีการบ่งบอกสัญญาณมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงจากคำพูด ความคิด พฤติกรรมเล็กน้อย เช่น ความรุนแรงต่อสิ่งของ ต่อสัตว์ ก่อนที่จะไปก่อความรุนแรงต่อคนรอบข้างหรือกับสังคม ต้องใส่ใจ ซึ่งหลายครั้งที่พบว่ามีการส่งสัญญาณ แต่คนรอบข้างและสังคมไม่ได้สนใจหรือไม่อยากเข้าไปยุ่ง แต่พระราชบัญญัติสุขภาพจิต ปี 51 ระบุไว้ว่า หากเจอบุคคลที่สงสัยว่าจะป่วยทางจิตเวช และสมควรที่ต้องได้รับการรักษา ซึ่งกฎหมายให้อำนาจหน้าที่กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถใช้กฎหมายดังกล่าวในการพาตัวคนนั้นเข้าสู่กระบวนการรักษาได้

Advertisement

ประสานวัดเตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์

People Unity News : 13 เมษายน 2566 “อนุชา” สั่งการสำนักพุทธประสานวัดเตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยวเข้าวัดหนาแน่นช่วงสงกรานต์ ขอประชาชนขับขี่ปลอดภัย เมาไม่ขับ ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลสงกรานต์ประชาชนเดินทางเข้าวัดทำบุญ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างคึกคัก เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัว ซึ่งถือเป็นประเพณีดีงามที่ชาวพุทธถือปฏิบัติมาเป็นระยะเวลานาน ตนในฐานะรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนา สั่งการให้มีการเตรียมความพร้อมรองรับประชาชน และนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาทำบุญ ซึ่งคาดว่าปีนี้วัดจะเป็นสถานที่ที่พุทธศาสนิกชนจำนวนมากนิยมเดินทางภายหลังจากสถานการณ์แพร่พระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ผ่อนคลายลง ส่งผลให้การท่องเที่ยวทั่วประเทศกลับมาคึกคัก โดยเฉพาะการท่องเที่ยวสายวัฒนธรรม โดยปีนี้หลายจังหวัดได้จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐิจในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี อย่างเช่น ในพื้นที่กรุงเทพมหานครได้เปิดพื้นที่เล่นน้ำสงกรานต์ปลอดภัยปลอดเครื่องดื่มแอลกอลฮอล์ จำนวน 40 แห่ง ในพื้นที่ 29 เขต ส่วนที่ จ.เชียงใหม่ มีชาวเชียงใหม่และนักท่องเที่ยวร่วมเข้าวัดทำบุญ และเล่นน้ำสงกรานต์อย่างคึกคักหลังจากที่ไม่ได้จัดงานมาเป็นระยะเวลา 3 ปี จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา

“เทศกาลสงกรานต์ เป็นวันหยุดยาว มีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาเป็นจำนวนมาก ขอให้ใช้เวลาวันหยุดพักผ่อนอยู่กับครอบครัว ร่วมเข้าวัดทำบุญ ทำกิจกรรมตามประเพณี ในช่วง 7 วันอันตรายนี้ รัฐบาลขอให้ประชาชนเคารพ ปฏิบัติตามกฎจราจร และมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมทาง เพื่อลดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินจากอุบัติเหตุทางถนน ขอให้ประชาชนระลึกไว้เสมอว่า “เมาไม่ขับ” ในนามของรัฐบาลขออำนวยพรให้ทุกท่านเดินทางถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ และประสบแต่ความสุขในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

กรมอนามัย เตือนวัยรุ่น Safe Sex หลังพบวัยรุ่นติดเชื้อ HIV สูงขึ้น

People Unity News :  7 พฤศจิกายน 2566 กรมอนามัย เตือนวัยรุ่นให้มีสติ รู้จักป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เมื่อมีเพศสัมพันธ์ หลังพบวัยรุ่นมีแนวโน้มติดเชื้อเอชไอวีมากขึ้น แนะวิธีปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดความเสี่ยงสำหรับวัยรุ่น พร้อมทั้งให้ครอบครัวสามารถเป็นที่ปรึกษาได้

แพทย์หญิงอัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มเยาวชน จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค โดยในปี 2565 คาดประมาณผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ 9,230 คน ซึ่งเกือบครึ่งเป็นกลุ่มอายุ 15-24 ปี สร้างความกังวลให้ประชาชนและสังคม และอาจส่งผลในอนาคต กรมอนามัยได้ดำเนินการสร้างความรอบรู้ด้านเพศสำหรับเยาวชน “รักเป็น ปลอดภัย” ด้วย 4 แนวทาง ดังนี้ 1.Safe Virgin มีเพศสัมพันธ์เมื่อพร้อม 2.Safe Sex หากจะมีเพศสัมพันธ์ ตนเองต้องปลอดภัย ใส่ถุงยางอนามัยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 3.Safe Abortion หากพลาดตั้งครรภ์ไม่พร้อม ปรึกษาหน่วยบริการฯ เพื่อรับคำปรึกษา และ 4.Safe Mom ฝากครรภ์คุณภาพ เพื่อลูกเกิดรอด แม่ปลอดภัย

ทางด้าน นายแพทย์เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวเพิ่มเติมว่า วัยรุ่นไทยควรรู้จักรักให้เป็น รักให้ปลอดภัย รู้วิธีการดูแลเพื่อป้องกันตนเองและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ด้วยการให้เกียรติและเคารพทุกเพศ ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกันสองต่อสองในที่ลับตาคน และมีสติอยู่เสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอารมณ์ทางเพศ ซึ่งจะนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ตั้งใจ หรือหากจะมีเพศสัมพันธ์ต้องรู้จักวิธีป้องกันการตั้งครรภ์และการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อลดความเสี่ยง ไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ และจะป้องกันได้ดีที่สุด ถ้าใช้ถุงยางอนามัยร่วมกับวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น ยาฝังคุมกำเนิดหรือห่วงคุมกำเนิด กรมอนามัยแนะนำการปฏิเสธโดยใช้ประโยค “ไม่…ถ้าฉันท้องแล้วเธอจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ยังไง?” เพราะการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ปฏิเสธได้ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ท้องไม่พร้อม หรือ ติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จะเกิดผลเสียระยะยาวในอนาคตทั้ง 2 ฝ่าย สำหรับพ่อแม่ ผู้ปกครองควรเป็นที่พึ่งให้กับลูกหลาน เปิดโอกาสให้ลูกรู้ว่าเขาสามารถพูดคุยกับพ่อแม่ได้ทุกเรื่อง ไม่ต้องกังวล หากไม่สามารถตอบคำถามลูกได้ทุกคำถาม ให้ความสำคัญกับวิธีการโต้ตอบ ให้ลูกรู้ว่าเขาสามารถพูดคุยกับพ่อแม่ได้ทุกเรื่อง และมีทางออกที่เหมาะสม

ทั้งนี้ กรมอนามัยมีการส่งเสริมความรอบรู้ด้านอนามัยวัยรุ่นและวัยเจริญพันธุ์ ผ่าน Line OA teen club เช่น ด้านเพศวิถีศึกษาและทักษะชีวิต การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น การคุมกำเนิดในวัยรุ่น สามารถเข้ารับคำปรึกษา เรียนรู้สร้างความรอบรู้ด้านเพศศึกษา และทักษะชีวิต โดย Add Line ได้ที่ @Teenclub

Advertisement

รัฐบาล เพิ่มช่องทางแจ้งเหตุฉุกเฉิน ผ่านไลน์ “ESS Help Me”

People Unity News : 29 กรกฎาคม 2566 รัฐบาล เพิ่มช่องทางแจ้งเหตุฉุกเฉินทางสังคม ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ “ESS Help Me”

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงหยุดยาวนี้ เชื่อว่าจะมีประชาชนจำนวนมากเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือท่องเที่ยวกับสมาชิกในครอบครัว โดยสภาหอการค้าไทยประเมินว่าจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนเพิ่มเติมในช่วงวันหยุดดังกล่าวประมาณ 5-7 พันล้านบาท ซึ่งนอกจากผลทางเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นโอกาสให้ครอบครัวได้อยู่ใกล้ชิดและมีเวลาคุณภาพร่วมกัน

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำชับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมดูแลประชาชนเรื่องความปลอดภัย ทั้งการเดินทาง การท่องเที่ยว และความปลอดภัยในทรัพย์สิน หากเกิดเหตุฉุกเฉิน ประชาชนสามารถใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันไลน์ “ESS Help Me” ซึ่งจะเข้าไปดูแลประชาชนที่ประสบปัญหาได้อย่างทันถ่วงที ลดการบาดเจ็บและการสูญเสียชีวิต ที่ผ่านมากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รายงานว่า มีผู้เข้าใช้บริการกว่า 2 แสน 6 หมื่นครั้งต่อเดือน

นอกจากนี้ ยังย้ำเตือนประชาชนให้ใช้ระบบแจ้งเหตุตามความเป็นจริง อย่าเข้าใช้ระบบเพื่อก่อกวนเจ้าหน้าที่เพื่อความสนุกสนานหรือคึกคะนอง เพราะนอกจากจะกระทบต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ จนส่งผลต่อการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่มีความเดือดร้อนจริงแล้ว การแจ้งเหตุอันเป็นเท็จโดยเจตนา จะถูกตั้งข้อหา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 384 มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

Advertisement

เตือนภัยผู้ใช้แอปฯ หาคู่ เสี่ยงตกเป็นเหยื่อหลายรูปแบบ

People Unity News : 14 ตุลาคม 2565 เตือนภัยผู้ใช้แอปฯ หาคู่ ระมัดระวังการคบหาบุคคลบนโลกออนไลน์ เสี่ยงตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ อาชญากรรมหลายรูปแบบ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันได้ปรากฏกรณีการใช้แอปพลิเคชันหาคู่เป็นช่องทางในการก่ออาชญากรรมโดยต่อเนื่อง เช่นล่าสุดได้ปรากฏว่ามีผู้ต้องหาตามหมายจับคดีทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย ได้ใช้แอปพลิเคชันหาคู่หลอกลวงเหยื่ออีกรายและมีการกักขัง ทำร้ายร่างกาย แต่เจ้าหน้าที่สามารถช่วยเหลือออกมาได้และจับกุมผู้กระทำผิดได้

ดังนี้ จึงขอเตือนให้ประชาชนที่มีการใช้แอปพลิเคชัน หรือโซเชียลมีเดียทุกช่องทางในการหาคู่ ให้ใช้ความระมัดระวังในการคบหาผู้ที่พบกันในช่องทางดังกล่าวอย่างรอบคอบ เนื่องจากมีมิจฉาชีพ และอาชญากรรูปหลากหลายรูปแบบแอบแฝงอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงไปทำร้ายร่างกาย หลอกลวงเพื่อมีเพศสัมพันธ์แล้วถ่ายคลิปเพื่อนำไปแบลคเมลเรียกเงินจากเหยื่อ

อย่างไรก็ตาม กรณีที่พบมากคือกลุ่มโรแมนซ์สแกม ทั้งที่เป็นคนไทยและต่างชาติ ที่จะเข้ามาหาเหยื่อในลักษณะตีสนิท พูดคุยคบหาเป็นคนรัก จากนั้นจะสร้างเรื่องราวต่างๆ เพื่อหลอกลวงให้มีการโอนเงินให้กลุ่มคนร้าย หรือบางกรณีหลอกลวงใช้เหยื่อเป็นเครื่องมือในการกระทำผิดที่เกี่ยวกับยาเสพติด หรือสิ่งผิดกฎหมาย

“ปัจจุบันแอปพลิเคชันหรือโซเชียลมีเดียเพื่อการหาคู่ได้รับความนิยมมากของคนทุกวัย เนื่องจากสามารถเชื่อมต่อหาคู่ได้ทั้งคนไทยและต่างชาติ แต่ความนิยมดังกล่าวก็เป็นช่องโหว่ให้มิจฉาชีพ อาชญากรไซเบอร์เข้ามาใช้เป็นช่องทางในการหลอกลวงเหยื่อด้วยรูปแบบต่างๆ จึงขอเตือนให้ผู้ใช้บริการใช้ความระมัดวัง อย่าหลงเชื่อผู้ที่พบกันในโซเชียลมีเดียโดยง่าย ขอให้ตรวจสอบประวัติบุคคลที่จะคบหาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะที่เข้ามายืมเงินและให้โอนเงินไม่ว่าจะด้วยเหตุใดอย่าโอนเด็ดขาดให้สันนิษฐานก่อนว่าเป็นคนร้ายที่เข้ามาหลอกลวง” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับแจ้งเหตุอาชญากรรมผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียและมีการออกข่าวสารเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับแนะนำแนวทางป้องกันการถูกหลอกลวงจากใช้แอปพลิเคชันหาคู่ ดังนี้ 1)ระมัดระวังในการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ไม่บอกข้อมูลทั้งหมดกับคนที่เพิ่งรู้จัก 2) ไม่หลงเชื่อ หรือไว้ใจบุคคลใดโดยง่าย หากมีความจำเป็นต้องนัดเจอควรมีเพื่อนหรือผู้ปกครองไปด้วย 3) ผู้ปกครองควรดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ไม่ปล่อยให้ใช้สื่อสังคมออนไลน์หรือโทรศัพท์มือถือเพียงลำพัง ควรพูดคุยทำความเข้าใจถึงขอบเขตการใช้งานว่าแอปพลิเคชันไหนใช้ได้บ้างหรือแอปพลิเคชันใดควรหลีกเลี่ยง 4) อะไรที่ดีเกินไป เร็วเกินไปให้ตั้งข้อสังเกตไว้ก่อนว่าอาจจะดีเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นโดยง่ายผ่านสื่อสังคมออนไลน์

ทั้งนี้ หากผู้ใช้แอปพลิเคชันหาคู่หรือโซเชียลมีเดียช่องทางต่างๆ พบเบาะแสการกระทำผิดไม่ว่าจะรูปแบบใด ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้ความช่วยเหลือ และดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตามขั้นตอนกฎหมาย โดยสามารถแจ้งได้ทั้งสายด่วน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 191 หรือ สายด่วน ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง

Advertisement

“อนุทิน” เดินหน้า นโยบายน้ำประปาดื่มได้ มุ่งลดภาระค่าใช้จ่าย ปชช.

People Unity News : 15 พฤศจิกายน 2566 การประปาส่วนภูมิภาค – “อนุทิน” เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายน้ำประปาดื่มได้ มุ่งลดภาระค่าใช้จ่าย ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงมหาดไทย ตรวจเยี่ยมการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สำนักงานใหญ่ กรุงเทพมหานคร พร้อมมอบหมายภารกิจและนโยบายการดำเนินงานให้แก่การประปาส่วนภูมิภาค โดยให้พัฒนาระบบสาธารณูปโภคด้านน้ำประปา ให้น้ำประปาในทุกพื้นที่มีความสะอาด มีมาตรฐานที่สามารถใช้สำหรับการอุปโภคและบริโภค (ดื่ม) ตามนโยบายน้ำประปาดื่มได้ ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักที่กระทรวงมหาดไทยให้ความสำคัญ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่าย และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน  โดยให้ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันจัดหาแหล่งน้ำดิบ และให้เร่งทำการศึกษาวิธีการใช้น้ำจากเขื่อนรัชชประภา (เขื่อนเชี่ยวหลาน) โดยให้ศึกษาความเป็นไปได้ในการเดินท่อเพื่อนำน้ำไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่หลายจังหวัดทางภาคใต้ ทั้งทางฝั่งอันดามัน และฝั่งอ่าวไทย ให้มีแหล่งน้ำที่สามารถใช้ประโยชน์ได้เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงทางสาธารณูปโภค ให้นักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่มีความมั่นใจและมีความสะดวกสบายในทุกมิติ ซึ่งจะส่งผลให้สามารถเพิ่มรายได้สู่ชุมชนได้จากหลายภาคส่วนด้วย

นอกจากนี้ กปภ. ได้ตอบรับนโยบายตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการขยายเวลาชำระค่าน้ำประปา เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีรายได้น้อยที่มีค่าน้ำประปาคงค้างไม่เกิน 150 บาท/เดือน ให้สามารถค้างชำระค่าน้ำประปาได้ 3 เดือน รวมเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 450 บาท จากเงื่อนไขเดิมที่สามารถค้างชำระค่าน้ำประปาได้เพียง 2 เดือน โดยจะเริ่มดำเนินการในเดือนพฤศจิกายนนี้ – มกราคม ปี 2567

Advertisement

กรมศุลฯขานรับข้อสั่งการ “เศรษฐา” เพิ่มโทษลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 พฤษภาคม 2567 กรมศุลกากรแก้ไขเพิ่มบทลงโทษปราบผู้กระทำความผิดสินค้าบุหรี่ไฟฟ้า

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า เนื่องด้วยในปัจจุบันมีการใช้บุหรี่ไฟฟ้ากันอย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของนักเรียนและนักศึกษา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีจึงได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงการคลังดำเนินมาตรการด้านการปราบปราม โดยเร่งให้มีการปราบปรามจับกุมผู้ลักลอบนำเข้า และผู้จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจังเด็ดขาด โดยให้บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เช่น กฎหมายว่าด้วยการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งสินค้า กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค และกฎหมายว่าด้วยศุลกากร

เพื่อให้มาตรการด้านปราบปรามผู้กระทำความผิดสัมฤทธิ์ผลตามแนวนโยบายของรัฐบาลกรมศุลกากรจึงได้ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมเกณฑ์การเปรียบเทียบงดการฟ้องร้องตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 สำหรับผู้กระทำความผิดฐานลักลอบหนีศุลกากรตามมาตรา 242 (กรณีจับกุมผู้กระทำความผิด ณ ด่านพรมแดน) ฐานหลีกเลี่ยงอากรตามมาตรา 243 ฐานหลีกเลี่ยงข้อห้ามหรือข้อจำกัดตามมาตรา 244 และฐานซื้อหรือรับไว้ด้วยประการใด ๆ ตามมาตรา 246 กรณีของกลางเป็นบุหรี่ไฟฟ้า บารากู่ และบารากู่ไฟฟ้า จากเดิมที่ให้ผู้กระทำความผิดยกของกลางให้เป็นของแผ่นดินเพียงอย่างเดียว เป็นให้ผู้กระทำความผิดต้องชำระค่าปรับหนึ่งเท่าของราคาของรวมค่าอากร กับอีกหนึ่งเท่าของภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต ภาษีเพื่อมหาดไทย และภาษีอื่น ๆ (ถ้ามี) และให้ยกของกลางให้เป็นของแผ่นดิน เช่นเดียวกับสินค้าอ่อนไหวจำพวกสุรา บุหรี่ กระเทียม หอมหัวใหญ่ หอมแดง และสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ เป็นต้น

จากการเพิ่มเติมเกณฑ์และเพิ่มบทลงโทษสำหรับผู้ที่ทำการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า บารากู่ และบารากู่ไฟฟ้า เป็นการปรามผู้กระทำความผิดให้เห็นถึงบทลงโทษที่หนักมากขึ้น และสร้างความเกรงกลัวในการกระทำความผิด เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้สังคมไทยปลอดภัยจากภัยของบุหรี่ไฟฟ้า อีกด้วย

Advertisement

กทม.จัดกิจกรรมจดแจ้งชีวิตคู่ LGBTQ+ ในวันวาเลนไทน์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 กุมภาพันธ์ 2567 กทม.สนับสนุนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม จัดกิจกรรมจดแจ้งชีวิตคู่ LGBTQ+ ในวันแห่งความรัก

นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงการจัดกิจกรรมการจดแจ้งชีวิตคู่ LGBTQ+ ในวันวาเลนไทน์ นอกจากกิจกรรมที่ได้มีการจัดอย่างปกติคือการจดทะเบียนสมรสแล้ว ปีที่แล้วยังมีการจัดกิจกรรมการจดแจ้งชีวิตคู่ LGBTQ+ นำร่อง 3 เขต ในปีนี้ที่ประชุมจึงเสนอให้มีการรับจดแจ้งชีวิตคู่ LGBTQ+ ให้ครบทั้ง 50 เขต เบื้องต้นมีเขตที่พร้อมแจ้งจัดกิจกรรมการจดแจ้งชีวิตคู่ LGBTQ+ แล้วจำนวน 9 เขต แม้ว่าการจดแจ้งนี้จะยังไม่มีผลทางกฎหมาย แต่การจดแจ้งนี้สะท้อนถึงเจตนารมย์ของกรุงเทพมหานครอยู่ 2 ส่วนคือ แสดงถึงเจตนารมย์ของกรุงเทพมหานครที่พร้อมให้ความสำคัญกับประชาชนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน และแสดงถึงความพร้อมของกรุงเทพมหานครที่หากมีกฎหมายแม่พร้อมแล้วและมีการออกกฎหมายลูกมาอย่างชัดเจน กรุงเทพมหานครก็พร้อมในการดำเนินการตามทันที

นอกจากนี้ สำนักการแพทย์ และสำนักอนามัย ย้ำว่าหากจดแจ้ง LGBTQ+ ในวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ 67 แล้วนั้น สามารถนำใบจดแจ้งเข้ามาตรวจสุขภาพได้ฟรีที่โรงพยาบาลสังกัด กทม. ทุกแห่งอีกด้วย

Advertisement

“ไทย” ติดอันดับ 3 Top Countries in the World

People Unity News : 6 ตุลาคม 2565 นายกฯ ยินดี ไทยติดอันดับ 3 Top Countries in the World จาก Condé Nast Traveler Readers’ Choice Awards 2022 ขอบคุณคนไทยช่วยให้ประเทศเป็นจุดสนใจของโลก พร้อมเดินหน้าทำงาน สนับสนุนการท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและยินดี ที่ประเทศไทยได้อันดับ 3 “ประเทศระดับท็อปของโลก” (Top Countries in the world) และกรุงเทพฯ ได้อันดับ 4 “เมืองที่ดีที่สุดในโลก” ในขณะที่เกาะ โรงแรม และรีสอร์ทของไทยหลายแห่ง ยังติดอันดับสูงในรายการ ‘ดีที่สุด’ อื่นๆอีกด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากรายงานผลการประกาศรางวัล Condé Nast Traveler Readers’ Choice Awards 2022 ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นอันดับที่ 3 ใน Top Countries in the World จากทั้งหมด 48 ประเทศ โดยได้รวม 90.46 คะแนน และอันดับ 1 คือ โปรตุเกส (91.22 คะแนน) และอันดับ 2 ญี่ปุ่น (91.17 คะแนน) ในขณะที่อันดับ 4 คือ สิงคโปร์ (90.09 คะแนน) โดยไทยและสิงคโปร์ เป็น 2 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่ได้รับการจัดให้อยู่ใน 10 อันดับแรก

นอกจากนี้ กรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทยก็ติดอันดับ 4 เมืองที่ดีที่สุดในโลก (Best Cities in the World) โดยกรุงเทพฯ ก็เป็นเพียง 1 ใน 2 เมืองในภูมิภาคอาเซียนที่ติดอันดับ 10 เมืองที่ดีที่สุดในโลกเช่นกัน ด้วยคะแนน 89.36 ซึ่ง เมืองซาน มิเกล เด อัลเลนเด (San Miguel de Allende) ประเทศเม็กซิโก ได้รับการจัดอันดับที่ 1 ด้วยคะแนน 92.94 สิงคโปร์ อันดับที่ 2 (89.49 คะแนน) และอันดับ 3 เมืองวิคทอเรีย ประเทศแคนาดา (89.46 คะแนน) ตามลำดับ

ในขณะที่การจัดอันดับ 10 ‘เกาะยอดนิยม’ ในเอเชีย เกาะสมุยได้อันดับที่ 3 ด้วยคะแนน 92.13 ภูเก็ตอยู่ที่ 5 ด้วย 90.88 คะแนน ส่วนเกาะพีพี อยู่ที่อันดับ 10 ด้วยคะแนน 76.41 นอกจากนี้ การประกาศรางวัลดังกล่าวได้มีการจัดอันดับ The Best ในส่วนของของรีสอร์ท โรงแรม สปา และอื่นๆ ซึ่งประเทศไทยก็ติดอันดับสูงในหลายรายการอีกด้วย

นายอนุชา กล่าวว่า รัฐบาลขอขอบคุณทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนทุกคน ที่มีส่วนร่วมสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย จากเสน่ห์ และความมีเอกลักษณ์ของประเทศ จนได้รับการยอมรับจากการจัดอันดับด้านต่างๆหลายรายการจากทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ไทยมีชื่อเสียงในสายตานักท่องเที่ยวทั่วโลก เป็นที่สนใจชาวต่างชาติประสงค์เดินทางมาไทย ทั้งเพื่อเดินทางมาท่องเที่ยว ทำงาน และมาอยู่อาศัย ซึ่งรัฐบาลได้อำนวยความสะดวกให้เกิดการเดินทางกระตุ้นเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมดำเนินนโยบายที่เหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการของกระแสโลก เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวไทย

Advertisement

Verified by ExactMetrics