วันที่ 16 พฤษภาคม 2024

“ธนกร”มั่นใจเก้าอี้ปธ.กมธ.แก้รธน.พรรคร่วมทำความเข้าใจกันได้

People Unity News : “ธนกร”มั่นใจเก้าอี้ปธ.กมธ.แก้รธน.พรรคร่วมทำความเข้าใจกันได้ ลั่นยึดประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก วอนอย่าใช้วิธีปลุกม็อบลงถนนบ้านเมืองสงบดีแล้ว “เทพไท”ลั่น”สิระ”ไม่จำเป็นต้องมาสอนมารยาททางการเมืองเพราะเป็นส.ส.มาก่อนรู้ดี ส.ว.วันชัยบอก”อย่าดัดจริตทางการเมือง”

วันที่ 9 พ.ย.2562 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการเลือกประธานกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า จริงๆ แล้วตำแหน่งประธานกรรมาธิการฯ อยู่ที่การโหวตเลือกของคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งต้องให้เกียรติทุกท่าน รายชื่อที่ปรากฏเป็นข่าวนั้นเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ส่วนจะเหมาะสมกับตำแหน่งประธานกรรมาธิการฯ หรือไม่นั้นก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน สำหรับตนแล้วนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนฯมีความเหมาะสม นอกจากนั้นตนมองว่าเนื้อหาสาระในการศึกษารัฐธรรมนูญมีความสำคัญกว่าใครจะมานั่งเป็นประธานกรรมาธิการฯ และที่สำคัญคือ ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรบ้างกับเรื่องนี้ ที่สำคัญต้องคำนึงถึงประชาชน16.7 ล้านเสียงที่เห็นชอบกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม วิปรัฐบาลจะต้องมีการหารือกัน ซึ่งตนเชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะสามารถทำความเข้าใจกันได้

“แกนนำพรรคพลังประชารัฐได้มีการหารือกันบ้างแล้วแต่จะต้องมีการหารือในที่ประชุมพรรคอีกครั้ง แต่อยากจะฝากไปยังทุกพรรคการเมืองให้ระมัดระวังสิ่งที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีกด้วย เพราะเท่าที่ทราบ กำลังมีความพยายามจากบางกลุ่มการเมืองที่จะออกมาเคลื่อนไหวบนถนนอีก มีการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ขอให้เลิกเถอะ เพราะบ้านเมืองมาไกลแล้ว ขอบอกไว้เลยว่า หลายสิ่งหลายอย่างที่หัวหน้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่งตกที่นั่งลำบากนั้นไม่ได้เกิดจากใคร แต่เกิดจากตัวของท่านเอง กรรมใครกรรมมัน ใครทำอะไรไว้ก็ต้องรับกรรมที่ก่อไว้ อย่าโยนให้ใครเลย อย่าไปโทษใครเลย”นายธนกรกล่าว

“เทพไท”ลั่น”สิระ”ไม่จำเป็นต้องมาสอนมารยาททางการเมืองเพราะเป็นส.ส.มาก่อนรู้ดี

นายเทพไท เสนพงศ์ สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ถึงกรณีนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ระบุพาดพิงถึงตนและพรรคประชาธิปัตย์ให้ได้รับความเสียหาย ว่า การที่ตนต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหมส่งสัญญาณถึงพรรคพลังประชารัฐเพื่อไม่ให้ขัดขวางนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตน์ในการเป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ก็เพราะพล.อ.ประยุทธ์ได้แสดงเจตนาอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ ให้เป็นเรื่องของรัฐสภา

ดังนั้นการที่นายสิระ ออกมาปฏิเสธว่า พรรคพลังประชารัฐไม่เกี่ยวข้องกับพล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่เป็นความจริง เพราะพล.อ.ประยุทธ์คือหัวหน้าพรรคตัวจริงของพรรคพลังประชารัฐ แม้แต่ชื่อพรรคพลังประชารัฐก็มาจากโครงการประชารัฐของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ และที่พรรคพลังประชารัฐได้รับเลือกตั้ง สส.เข้ามาจำนวนมาก ก็เพราะการแจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน ซึ่งเปรียบเสมือนการซื้อเสียงล่วงหน้าของรัฐบาล และที่พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีได้ในตอนนี้ก็เพราะพรรคพลังประชารัฐเป็นผู้เสนอชื่อให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในนามพรรคพลังประชารัฐ เพราะฉะนั้นพล.อ.ประยุทธ์คือหัวหน้าพรรคตัวจริงของพรรคพลังประชารัฐ การที่ตนสัมภาษณ์ถึงพล.อ.ประยุทธ์ก็เป็นการแสดงความเห็นทางการเมือง เป็นเรื่องของผู้ใหญ่คุยกัน เด็กๆอย่างนายสิระก็ไม่ควรมายุ่งเกี่ยว เหมือนกับการที่แม่ทัพ นายกองเขาเจรจากัน ทหารเลวหน้าค่ายไม่ควรมาสอดรู้สอดเห็นหรือจัดการงานนอกสั่ง

“นายสิระไม่จำเป็นต้องมาสอนมารยาททางการเมืองกับผม เพราะผมเป็น สส.มาหลายสมัย ซึ่งต่างกับนายสิระที่เป็น สส.สมัยแรกและไม่แน่ใจว่าเลือกตั้งครั้งหน้าจะได้เข้ามาในสภาฯอีกหรือไม่ คุณก็เป็นได้แค่ สส.แดดเดียว ที่อาศัยใบบุญของพล.อ.ประยุทธ์เข้ามาในสภาฯ อยากจะบอกให้นายสิระว่าเอาเวลาไปเตรียมตัวแก้ข้อกล่าวหาที่นายศรีสุวรรณ จรรยา ยื่นต่อ ป.ป.ช.กรณีที่ไปมีพฤฒิกรรมกร่างใส่ตำรวจที่ภูเก็ต และเตรียมตัวขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะดีกว่า

พรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคการเมืองที่ได้คืบจะเอาศอกตามที่ถูกกล่าวหา การเป็นประธานสภาฯ ของนายชวน หลีกภัย ก็เพราะความเห็นพ้องของทุกฝ่าย และเป็นการทำหน้าที่ได้ดีที่สุด หากดูองค์ประกอบของ สส.ในสภาชุดนี้ที่มีความหลากหลายเช่นนี้ ถ้าประธานสภาฯไม่ใช่คนที่ชื่อชวน หลีกภัย ไม่รู้ว่าสภาฯชุดนี้จะวุ่นวายขนาดไหน การที่พรรคพลังประชารัฐ เสนอชื่อนายวีรกร คำประกอบ นายวิรัช รัตนเศรษฐ์ นายวิเชียร เชาวลิต จนถึงนายสุชาติ ตันเจริญ ให้เป็นประธานกรรมาธิการฯชุดดังกล่าวก็ยังไม่มีเสียงการตอบรับจากสังคมเลย จนวันนี้มีการนำชื่อของนายบวรศักดิ์ อุวรรโณ อดีตกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ มาเพื่อโยนหินถามทางนั้น ก็ต้องรอดูว่ามีการตอบรับ หรือถูกวิพากษ์วิจารณ์มากน้อยแค่ไหน เมื่อพรรคประชาธิปัตย์เสนอนายอภิสิทธิ์นั่งตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ ก็เพราะเห็นว่า เป็นผู้มีศักยภาพสูง มีประสบการณ์ทางการเมืองมายาวนาน เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ถ้าพรรคพลังประชารัฐจะเสนอชื่อใครขึ้นมา ก็อยากได้สังคมพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างบุคคลเหล่านั้นกับนายอภิสิทธิ์ ว่าใครมีความเหมาะสมในการทำหน้าที่นี้มากกว่ากัน ถ้าพรรคพลังประชารัฐจะอ้างสิทธิ์การเป็นพรรคการเมืองใหญ่ ต้องการให้คนของตัวเองเข้ามานั่งในตำแหน่งประธานกรรมการประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้จริง ก็อยากจะถามถึงเจตนาว่า มีความจริงใจในการศึกษาปัญหารัฐธรรมนูญมากน้อยแค่ไหน หรือจะขอให้เป็นเพียงแค่พิธีกรรม หรือเพื่อซื้อเวลา ไม่ให้ถูกโจมตีว่าไม่ได้ทำตามนโยบายเร่งด่วนที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาเท่านั้น” นายเทพไท กล่าว

ส.ว.วันชัยบอก”อย่าดัดจริตทางการเมือง”

นายวันชัย ศรีสิริ ส.ว.กล่าวว่า ถ้าจะว่ากันแบบตรงไปตรงมา ไม่ได้เอาการเมืองเข้ามายุ่ง จะเห็นได้ว่าไม่มีประชาชนส่วนใหญ่ที่ไหนมาเรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญ เห็นมีแต่นักการเมืองบางกลุ่มบางพวกเท่านั้น เพราะตั้งแต่มีการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาประมาณ 6 เดือนกว่า ยังไม่เห็นมีประเด็นใดๆทางรัฐธรรมนูญที่เป็นอุปสรรคปัญหาของประเทศและประชาชน พูดได้เลยว่าถ้าไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับนี้บ้านเมืองจะวุ่นวาย การเมืองจะสับสน แก่งแย่งอำนาจกันจนเกิดวิกฤต จะไม่มีใครยอมใคร แต่เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้โดยแท้จึงทำให้การเมืองเดินมาได้อย่างที่เห็น เป็นนวัตกรรมใหม่ของรัฐธรรมนูญที่สอดรับกับสถานการณ์ของบ้านเมืองเรา เป็นการผสมผสานอำนาจที่มาจากการเลือกตั้งและอำนาจที่มาจากความมั่นคงให้ช่วยกันประคับประคองในระยะเปลี่ยนผ่านใน 5 ปีนี้เท่านั้น เป็นการออกแบบมาอย่างลงตัวเพื่อบ้านเมืองและประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อให้นักการเมืองบางกลุ่มบางพวกมาแย่งอำนาจกันเหมือนอย่างที่เคยเป็น

ดังนั้นคนที่อยากให้แก้รัฐธรรมนูญส่วนใหญ่ เป็นพวกที่ดัดจริตทางการเมืองคือ 1. พวกที่แพ้การเลือกตั้ง อยากแก้ตัวแก้มือ 2. พวกที่กระสันอำนาจ อยากมีอำนาจ  สองพวกนี้ทำอะไรก็ได้ที่จะเป็นการสั่นคลอนสถานการณ์ของบ้านเมือง ทนไม่ได้ รอไม่ไหวกับการใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะขืนรอต่อไปและที่เป็นมาแล้วก็เป็นอานิสงส์ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงเกิด disruption ทางการเมือง

นายวันชัยกล่าวต่ออีกว่า จะลองใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปอีกสักระยะหนึ่งแล้วให้เห็นเป็นประจักษ์ว่ามันมีปัญหาอันเกิดจากรัฐธรรมนูญจริงๆแล้วค่อยเอามาพิจารณาหาทางแก้ไข รอไปก็ไม่มีใครจะเป็นจะตายเพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้นอกจากพวกที่กระสันกับอำนาจเท่านั้น และที่สำคัญการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นต้องเป็นความเห็นพ้องต้องกันของทุกฝ่ายการเมืองและฝ่ายประชาชน ควรที่จะปรึกษาหารือกันในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาไม่ใช่เกิดขึ้นจากสภาผู้แทนราษฎรโดยฝ่ายเดียวแล้วดึงส.ว.ไปเป็นกรรมาธิการ เป็นเรื่องแปลกประหลาดมากเพราะโดยปกติแต่ละสภาก็เป็นเรื่องของแต่ละสภาไม่ดึงคนของแต่ละสภามาเป็นกรรมาธิการ เกิดส.ว.ตั้งคณะกรรมาธิการมาแล้วไปดึงคนจากส.ส.มาเป็นกรรมาธิการ แปลกไหม… แต่จะมีได้ก็ในรัฐสภาเท่านั้น จากข่าวที่เกิดขึ้นจึงแปลกใจว่ามีใครกำลังทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่

ในเรื่องนี้กรรมาธิการการพัฒนาทางการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ได้ทำเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว โดยได้ทำการติดตามศึกษาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญมาตลอดแบบไม่มีอคติ ทั้งได้ไปดูการเลือกตั้ง ดูการปฏิบัติงานในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ และรัฐธรรมนูญต้องนำไปใช้บังคับทำกันเป็นหลักการด้วยเหตุด้วยผลและต้องการเป็นข้อสรุปถึงผลดีผลเสียของรัฐธรรมนูญอย่างเป็นวิชาการ ไม่ใช่เป็นเรื่องดัดจริตทางการเมือง กรรมาธิการชุดนี้ซุ่มทำแบบเงียบๆมานาน ไม่ต้องการสร้างข่าวสร้างประเด็น ทำมาก่อนส.ส.ที่จะทำเรื่องนี้เสียอีก และรุดหน้าไปมากแล้ว บอกได้เลยว่าทำเพื่อบ้านเมืองมากกว่าเล่นการเมือง

พล.อ.สิงห์ศึก ยันวุฒิสภาไม่ยื่นอภิปรายรัฐบาล

People Unity News : 13 มิถุนายน 2565 “พล.อ.สิงห์ศึก” ยันวุฒิสภาไม่ยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติรัฐบาล แจงเป็นกลไกตามรัฐธรรมนูญ แต่ตอนนี้ไม่มีใครยื่น ชี้ รัฐบาลบริหารราชการดีอยู่แล้ว

พลเอกสิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภา กล่าวถึงกรณีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ระบุ วุฒิสภาจะทำงานเชิงรุก และมีกลไกติดตามการบริหารงานรัฐบาลคือรัฐธรรมนูญมาตรา 153 ในการเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติว่า ตอนนี้ไม่มีการเสนอญัตติของสมาชิก ยอมรับว่ามีกฎหมายบัญญัติไว้ แต่จะทำหรือไม่ทำอยู่ที่วุฒิสภา อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลในขณะนี้ ทำดีอยู่แล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องเปิดอภิปรายทั่วไป จึงเห็นว่าการอภิปรายก็ให้เป็นเรื่องของสภาผู้แทนราษฎรว่ากันไป

พร้อมกันนี้ ยังปฏิเสธข้อสังเกตแนวคิดอภิปรายทั่วไปฯของวุฒิสภาว่า เป็นการเปิดเวทีให้รัฐบาลชี้แจงผลงานก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน หรือเป็นการฟอกขาวให้รัฐบาล โดยย้ำว่า มีกลไกตามกฎหมายตามข้อบังคับการประชุม แต่จะดำเนินการหรือไม่นั้น ตอนนี้ไม่มี เพราะส่วนใหญ่เห็นด้วยว่า รัฐบาลพยายามทำในสิ่งที่ดีเพื่อประชาชน

Advertisement

“สิระ”พร้อมนั่งกมธ.ป.ป.ช.แทน”พยม”ชน”เสรีพิสุทธิ์”

People Unity News : “ส.ส.สงขลา พปชร.”เตรียมลาออก “กมธ. การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ”เผย อึดอัดใจที่ต้องทำงานร่วมกับ “เสรีพิสุทธิ์”แถมยังกินภาษีประชาชนแบบไร้ประโยชน์ หวังแค่ดิสเครดิต “บื๊กตู่-รบ.”จ่อดัน “สิระ” นั่งแทน

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 นายพยม พรหมเพชร ส.ส.สงขลา พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์หน้าตนจะยื่นหนังสือขอลาออกจากกรรมาธิการชุดดังกล่าว เนื่องจากว่า มีความรู้สึกอึดอัดใจในการทำหน้า โดยเฉพาะการที่ต้องทำงานร่วมกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ในฐานะประธานกรรมาธิการ ซึ่งตนยังมีฐานะเป็นโฆษกกรรมาธิการ ที่จะต้องรับผิดชอบในการลงมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ซึ่งก็ก่อให้เกิดความรู้สึกอึดอัดใจ เพราะต้องยอมรับว่าตนคือ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ที่มีวางเชื่อมั่นในการเสนอพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่มาวันนี้จะให้ตนแถลงข่าวเพื่อดิสเครดิตพลเอกประยุทธ์และรัฐบาล ตรทำไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นก็คงเสียคน

นายพยม กล่าวต่อว่า ตนได้พูดคุยกับทางพรรคพลังประชารัฐ แล้วซึ่งพรรคพลังประชารัฐจะให้ผู้ที่มีความเหมาะสมเข้าไปนั่งในกรรมาธิการชุดนี้แทนตน เพราะตนระบุเหตุผลไปว่า ไม่สามารถทำงานร่วมกับพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้จริงๆ

นายพยม ยังกล่าวต่อว่า การเข้าร่วมประชุมในแต่ละครั้ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไม่เคยคุมการประชุมให้อยู่ในวาระประชุมเลย โดยที่ไม่สนใจในประเด็นใหม่ใหม่ หรือเรื่องที่เป็นประโยชน์กับประชาชนเลยมุ่งเน้นเพียงแต่ต้องการหาประเด็นจากพลเอกประยุทธ์ และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อย่างเช่นล่าสุดก็ จะรื้อคดีนาฬิกาหรูขึ้นมาพิจารณาใหม่ ซึ่งตนมองว่า เรื่องดังกล่าวจบสิ้นกระบวนการพิจารณาไปแล้ว ตนจึงไม่เห็นถึงประโยชน์ที่ต้องรื้อเรื่องนี้ขึ้นมาอีก เพราะเป็นการทำงานที่ถอยหลังลงคลอง สิ้นเปลืองเบี้ยประชุมที่มาจากภาษีประชาชน

“ผมไม่เคยมีปัญหากับการทำหน้าที่กรรมาธิการในฐานะ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล หากเรื่องที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์หยิบยกขึ้นมาพิจารณาเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ผมพร้อมที่จะทำ แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ใช้กรรมาธิการเป็นเครื่องมือเพื่อจะดิสเครดิตพลเอกประยุทธ์และรัฐบาล”นายพยม กล่าว

เมื่อถามว่าพรรคพลังประชารัฐจะให้ใครมาทำหน้าที่ในกรรมาธิการชุดนี้แทน นายพยม กล่าวว่า จากการพูดคุยเบื้องต้นน่าจะเป็น นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ เนื่องจากนายสิระเป็นคนกล้าสู้ กล้าชน น่าจะมีความเหมาะสมมากกว่าตน

ทางด้านนายสิระกล่าวว่า ตนได้มีการพูดคุยกับนายพยม ซึ่งนายพยมได้เปรยกับตนหลายครั้งแล้วว่า อึดอัดใจที่ต้องเข้าร่วมประชุมกับพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ที่เป็นประธานกรรมาธิการ ซึ่งตนก็เข้าใจความรู้สึกของนายพยมดี จึงได้มรการแจ้งให้ทราบพรรคทราบ ทั้งนี้ก็คงต้องรอให้พรรคมีมติออกมาก่อนว่า จะให้ตนไปทำหน้าที่แทนหรือไม่

“การไปทำหน้าที่แทนนายพยม ผมไม่ได้หวังที่จะเข้าไปเป็นศัตรูหรือขวางการทำหน้าที่ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ผมหวังเพียงที่จะให้กรรมาธิการชุดนี้ใช้เวทีของสภาฯไปในทางที่ถูกที่ควร ใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ให้คุ้มกับภาษีของประชาชนที่ต้องจ่ายเป็นเบี้ยประชุม ไม่ใช่ใช้ตำแหน่งประธานกรรมาธิการมาทำเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง”นายสิระ กล่าว

นายสิระ กล่าวต่อว่า ตนอยากฝากไปถึงพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ หากยังใช้กรรมาธิการชุดนี้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเหมือนกับที่ผ่านมา โดยไม่คิดจะไปทำเรื่องอื่นที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ คอยจ้องแต่จะทำลายพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัชฐมนตรีตนเชื่อว่าคงมี ส.ส.ในกรรมาธิการชุดนี้อีกหลายท่านที่ไม่อยากทำงานร่วมกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เพราะไม่ว่าจะเป็นใครก็ย่อมกลัวการติดคุกติดตะรางจากการทำเรื่องที่ไม่ถูกต้องด้วยกันทั้งนั้น และตนก็จะไม่ยอมปล่อยผ่านในเรื่องที่ไม่ถูกต้องเช่นกัน

“บิ๊กตู่”ปิดห้องคุย กอ.รมน. ปรับแผนแก้ไฟใต้ ยังไม่เลิกเคอร์ฟิวหลังยิงถล่มชรบ.ยะลา

People Unity News :  “บิ๊กตู่”ยันยังไม่เลิกเคอร์ฟิวหลังยิงถล่มชรบ.ยะลา เผยผลสืบสวนคืบหน้าไปมากแล้ว แต่ต้องให้เวลา จนท. ย้ำใช้หลักสันติวิธี ปิดห้องคุย กอ.รมน. ปรับแผนแก้ไฟใต้ ยันคุยสันติสุขต่อเนื่อง

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในอาณาจักร (กอ.รมน.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ครั้งที่ 2/2562 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและผู้นำเหล่าทัพ เข้าร่วมการประชุม โดยไม่เปิดให้สื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังการประชุมแต่อย่างใด

จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังมีการประกาศเคอร์ฟิวการห้ามออกจากเคหสถานในเวลาค่ำคืน ภายหลังเกิดเหตุกลุ่มคนร้ายยิงถล่มชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ว่า เบื้องต้นยังไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลา แต่จะกำหนดเวลาให้สั้นที่สุด เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการสืบสวน สอบสวนทางคดี และเพื่อเป็นการจำกัดพื้นที่ของคนร้ายในช่วงที่มีการไล่ติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุ โดยยืนยันว่าไม่อยากให้มีผลกระทบต่ออย่างอื่น แต่เป็นเรื่องที่จำเป็น ซึ่งหากเราปิดพื้นที่ไม่ได้ ก็จะมีปัญหา ส่วนนี้ขอให้เข้าใจกันด้วย

เมื่อถามว่ามีรายงานว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มคนหน้าขาว ภายหลังก่อเหตุเสร็จสิ้น จะกลับไปนอนอยู่บ้าน ส่วนนี้จะมีการติดตามจับกุมอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การสืบสวน สอบสวนวันนี้มีความคืบหน้า แต่ยังเปิดเผยไม่ได้ ต้องใช้หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่จะไปจับใครก็ได้ ต้องเอาหลักฐานในพื้นที่เกิดเหตุมาติดตาม ซึ่งเราก็มีข้อมูลอยู่แล้ว ทั้งอาวุธปืน กระสุนและปอกกระสุน พร้อมมีข้อมูลอยู่แล้วว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายกลุ่มใดและมีกลุ่มใดเกี่ยวข้องบ้างก็จะต้องมาพิจารณาร่วมกัน คงจะได้รับทราบความคืบหน้าภายในเร็ววันนี้ ขอเวลาอีกหน่อย

เมื่อถามต่อว่า ผู้ก่อเหตุมีการใช้วัตถุระเบิด จะถือเป็นการก่อการร้ายมากกว่าการก่อความไม่สงบได้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า พวกเขาใช้กลยุทธ์เช่นนี้ เป็นกลยุทธ์การก่อการร้าย คือการสร้างเหตุความรุนแรงเพื่อกดดันต่อรัฐ และการทำงาน แล้วเราจะไปกดดันกันเพื่ออะไร ในเมื่อรัฐบาลพยายามแก้ปัญหาอย่างสันติวิธี ด้วยการบังคับใช้กฎหมาย การพัฒนา และสร้างการมีส่วนร่วม เราแก้ปัญหากันอย่างนี้ ไม่ดีกว่าหรือ ส่วนการก่อการร้ายนั้น มีองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น การยึดพื้นที่ การใช้ความรุนแรง แต่เหตุการณ์นี้เข้าข่ายแค่ใช้อาวุธสงคราม เพื่อกดดันรัฐ แต่หากเราตีความผิด การแก้ปัญหาก็จะผิดและเหตุการณ์จะรุนแรงขึ้น ท้ายสุดผลกระทบก็จะเกิดกับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งวันนี้เราลดระดับผลกระทบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ได้มากพอสมควร ประชาชนก็กลับมาให้ความร่วมมือ แม้แต่การบังคับใช้กฎหมายบางตัว ประชาชนก็เห็นด้วย เพราะเขาดูแล้วว่าเกิดประโยชน์กับเขา ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่คนที่มักจะมีปัญหาในเรื่องนี้ คือคนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ ซึ่งจะมองในเรื่องของสิทธิมนุษยชนอย่างเดียว

“ผมคิดว่าไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหน อยากไปละเมิดสิทธิมนุษยชนใครทั้งสิ้น แต่ไปดูผู้ก่อเหตุว่า สิ่งที่เขาทำ มันละเมิดสิทธิมนุษยนชนประชาชนหรือไม่ ในการทำร้ายประชาชนทั้งผู้บริสุทธิ์ ไทยพุทธ ไทยมุสลิม ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ไทยพุทธอย่างเดียว แต่ครั้งนี้เป็นการทำร้ายทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิม ขณะเดียวกัน ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวให้รัฐบาลเลิกนู้น เลิกนี้ แล้วทำไปเพื่ออะไร ไม่งั้นก็ลองไปอยู่ในพื้นที่เขาดู ว่าจะทำอย่างไร ลองไปอยู่กับเขานานๆ จะได้รู้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เมื่อถามว่าได้รับรายงานการหารือเกี่ยวกับการพูดคุยถึงสันติสุข จากมาเลเซียบ้างหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ได้รับรายงานตลอด ก่อนเขาไปตนก็ได้ให้นโยบายไป เมื่อเขากลับมาก็รายงานตน ก็ให้มีการปรับแผนกันไป ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกับกลุ่มที่มีบทบาทอย่างแท้จริง โดยจะเน้นในเรื่องของจะทำอย่างไรให้ในพื้นที่ปลอดภัย และมีสันติสุขอย่างยั่งยืน ต้องคุยกัน และปรับวิธีต่อเนื่อง เพราะมีหลายกลุ่ม หลายฝ่าย หลายระดับทั้งผู้นำระดับการเมือง การทหาร ทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ซึ่งคนรุ่นเก่านั้น ค่อนข้างจะพูดคุยในด้านสันติวิธีมากขึ้น แต่คนรุ่นใหม่ก็พยายามสร้างคนกลุ่มใหม่ๆ เข้ามาแทน เราต้องหาวิธีการว่าจะต้องแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร ดังนั้น จะต้องเจรจากับกลุ่มที่มีบทบาทแท้จริงในการก่อเหตุ แต่ปัญหาคือ เขาจะคุยด้วยหรือไม่ เพราะบางกลุ่มก็ไม่อยากมาเจรจา เพราะคงอยากใช้วิธีเดิมต่อไป พวกนี้คือพวกหัวรุนแรง เราบังคับไม่ได้ ถึงต้องไปพูดคุยที่ต่างประเทศ แต่ไม่ใช่การเจรจา เพราะถ้าเจรจาหมายถึงเรารบกันแล้ว จึงต้องเจรจาหยุดยิง แต่อันนี้ไม่ใช่ เป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย และทางมาเลเซีย ก็ตอบสนองด้วยดีตลอดมา แต่ก็ยังมีปัญหาอีกหลายอันที่ต้องแก้ควบคู่กันไป เช่น เรื่องบุคคลสองสัญชาติ การข้ามแดน เนื่องจากคนเหล่านี้ปลอมปนอยู่ในกลุ่มประชาชนทั่วไป เข้ามาหาก็ไม่รู้ เพราะหน้าตาก็เหมือนกัน ทั้งนี้ ตนได้สั่งการบริหารเชิงรุกไป แต่ต้องระวังการใช้อาวุธต่างๆ และการบังคับใช้กฎหมาย ต้องไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนมากเกินไป

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนการใช้กำลังของชรบ. ยังมีความจำเป็นต่อไป ถ้าไม่มีจะทำมาทำไม ซึ่งแต่ก่อนนี้ กำลังตำรวจในพื้นที่ และอาสาสมัครรักษาดินแดง (อส.) มีกำลังไม่เพียงพอ จึงต้องจัดทหารข้างนอกมาช่วย เมื่อเรียบร้อยแล้วก็เอาทหารกลับ ส่วนตำรวจและทหารในพื้นที่ก็ทำงานปกติไป แต่เมื่อเหตุการณ์ไม่ปกติ ก็จะนำกองกำลังทหารเข้าไปเติม ทุกประเทศก็ทำแบบนี้ และระหว่างนี้เราจะต้องเสริมสร้างกำลังในท้องถิ่นให้มากขึ้น เพราะคนเหล่านี้จะรู้จักพื้นที่และสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี แต่จะต้องเพิ่มความระมัดระวังตัวเองให้มากขึ้น เพราะทางยุทธวิธียังไม่เข้มแข็งพอ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการฝึกทบทวนมาโดยตลอด

“ผมถามเขาว่าจุดที่เกิด ทำไมไปตั้งฐานปฏิบัติการตรงนั้น เขาบอกมีความจำเป็น เพราะมีหมู่บ้านอยู่กลุ่มหนึ่ง และเขาต้องการไปดูแลประชาชนในหมู่บ้านดังกล่าว เพราะพื้นที่จำกัด เขาจึงไปตั้งกลางสวนยาง ส่วนด้านนอกทัศนวิสัยก็จำกัด มันจึงเปิดโอกาสให้ผู้ก่อเหตุเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งผมได้เตือนไปแล้วว่า ต้องหาวิธีการใหม่และปรับในเชิงกลยุทธ์ ให้มีชุดลาดตระเวนต่างๆ ให้รัดกุมมากขึ้น รวมถึงการป้องกันชายแดน และการลักลอบเข้าออกประเทศ ส่วนนี้ก็ต้องเพิ่มการกวดขัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

มอบแม่ทัพภาค 4 ร่วมพิธีสวดพระอภิธรรมผู้เสียชีวิตยะลา

ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์มอบให้แม่ทัพภาคที่ 4 เป็นผู้แทนร่วมพิธีสวดพระอภิธรรมผู้เสียชีวิต จากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ต.ลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลา เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมา พร้อมทั้งคณะรัฐมนตรีด้วย โดยนายกรัฐมนตรีแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้สูญเสียและสั่งการให้ดูแลทุกคนอย่างดีที่สุด พร้อมย้ำว่าไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานว่า เจ้าหน้าที่พบหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่สามารถระบุตัวคนร้ายที่ก่อเหตุได้แล้วจำนวนหนึ่ง และพบฐานปฏิบัติการร้าง 1 แห่ง โดยจะใช้แผนกดดันทุกพื้นที่ทั้งผู้ก่อเหตุและผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ เบื้องต้นได้ควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัยแล้ว 1 คน ที่ อ.ธารโต จ.ยะลา ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ฝ่ายความมั่นคงบังคับใช้กฎหมายด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้กระทบสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานและการดำเนินชีวิตของประชาชน พร้อมทั้งยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่จะประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่ตามที่มีข่าวลือกันแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนร่วมกันเป็นหูเป็นตา ตรวจสอบ และแจ้งเบาะแสแก่เจ้าหน้าที่ เพื่อจับกุมตัวผู้ก่อเหตุมาลงโทษให้ได้โดยเร็วที่สุด

โฆษกรัฐบาล เผยฝรั่งเศสเตือนเพิ่มความระมัดระวังการเดินทาง-ท่องเที่ยว

People Unity News : 16 ตุลาคม 2566 โฆษกรัฐบาล เผยทางการฝรั่งเศสประกาศเตือนเพิ่มความระมัดระวังในการเดินทาง-ท่องเที่ยว ภายหลังยกระดับการเฝ้าระวังสถานการณ์การก่อการร้ายเป็นระดับสูงสุด

นายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประชาสัมพันธ์ข่าวสารจากสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปารีส ประกาศเตือนคนไทยในฝรั่งเศสให้เพิ่มความระมัดระวังในการเดินทาง-ท่องเที่ยว ภายหลังทางการฝรั่งเศสประกาศยกระดับการเฝ้าระวังสถานการณ์การก่อการร้ายเป็นระดับสูงสุด

จากกรณีเกิดเหตุร้ายเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งทางการฝรั่งเศสคาดว่าอาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง อีกทั้งต่อมาในวันที่ 14 ตุลาคม 2566 ทางการฝรั่งเศสได้มีการอพยพผู้คนโดยด่วนออกจากพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ และพระราชวังแวร์ซาย รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอื่นๆ เนื่องจากทางการฝรั่งเศสได้รับแจ้งเตือนว่าอาจมีการวางระเบิดในพื้นที่ดังกล่าว

ทางสถานเอกอัครราชทูตฯ จึงได้ประกาศเตือนคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวไทยในฝรั่งเศสให้เพิ่มความระมัดระวังในการเดินทาง หลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมชนและสถานที่ท่องเที่ยว ตรวจสอบเส้นทางการเดินทาง และการเปิดทำการของสถานที่ต่างๆ รวมทั้งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำของทางการฝรั่งเศสอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ หากมีเหตุด่วนและฉุกเฉิน ต้องการความช่วยเหลือจากสถานเอกอัครราชทูตฯ กรุณาติดต่อหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน +33 6 03 59 97 05 และ +33 6 46 71 96 94

“รัฐบาลห่วงใยสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชนไทยทุกคนด้วย ขอให้ติดตามข่าวสารจากช่องทางหลักของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนการเดินทาง หรือก่อนวางแผนการเดินทางทุกครั้ง” นายสัตวแพทย์ชัย กล่าว

Advertisement

ครม.เห็นชอบร่างเอกสาร รมต.อาเซียนด้านพลังงาน

People Unity News : 23 สิงหาคม 2566 ทำเนียบ – ครม.เห็นชอบต่อร่างเอกสารสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน สร้างความเชื่อมโยงเครือข่ายไฟฟ้า-ท่อก๊าซ เป็นกลางคาร์บอน

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบร่างเอกสารสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 41 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 22-25 สิงหาคม 2566 ณ เมืองบาหลี อินโดนีเซีย ประกอบด้วย ถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ในการเสริมสร้างความเชื่อมโยงโครงข่ายไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Grid: APG) การเชื่อมโยงโครงข่ายท่อก๊าซอาเซียน (Trans-ASEAN Gas Pipeline: TAGP) และโครงสร้างพื้นฐานด้านก๊าซธรรมชาติเหลว รวมถึงข้อริเริ่มด้านยุทธศาสตร์ความเป็นกลางทางคาร์บอนของอาเซียน เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ และการแข่งขันด้านการค้าและการลงทุนของภูมิภาค

ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ว่าด้วยความมั่นคงทางพลังงานที่ยั่งยืน เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน การสร้างเสถียรภาพของโครงข่ายไฟฟ้าและห่วงโซ่อุปทานพลังงาน ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 20 ด้วยการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน โดยใช้เทคโนโลยีพลังงานของแต่ละประเทศและภูมิภาค การใช้ประโยชน์จากทางเลือกนวัตกรรมและเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน และลดการปล่อยคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมและภาคการขนส่ง

ร่างถ้อยแถลงร่วมของโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป. ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ฉบับที่ 4 : มีสาระสำคัญ คือ ต่อยอดความสำเร็จในการเริ่มต้นโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป. ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งได้ริเริ่มการซื้อขายไฟฟ้าข้ามพรมแดนแบบพหุภาคีจาก สปป. ลาว ไปยังสิงคโปร์ ผ่านไทยและมาเลเซีย รวมถึงหารือถึงศักยภาพและแผนของโครงการฯ ในอนาคต และมุ่งมั่นพัฒนาการซื้อขายไฟฟ้าข้ามพรมแดนแบบพหุภาคีในอาเซียน

การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 41 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง อินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียน จัดประชุมเพื่อหารือกรอบความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน รวมทั้งการประชุมหารือกับประเทศคู่เจรจา และองค์กรระหว่างประเทศด้านพลังงาน ผลักดันความร่วมมือเพื่อให้บรรลุผลตามเป้าหมายของแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านพลังงานของอาเซียน ระยะที่ 2 พ.ศ. 2564-2568 (ค.ศ. 2021-2025) มีเป้าหมายเปลี่ยนผ่านพลังงานของอาเซียนไปสู่พลังงานที่ยั่งยืนในอนาคต

Advertisement

รบ.เดินหน้าปราบยาเสพติด มุ่งเป้ารายใหญ่ ไม่ให้กระจายต่อ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 กุมภาพันธ์ 2567 รัฐสภา – นายกฯ รับ ตกใจยาเสพติดแพร่หลายขายตามสี่แยก สั่งด่วนให้ตำรวจเร่งปราบ ชี้มุ่งเป้ารายใหญ่เพื่อไม่ให้กระจายต่อ ระบุนอกจากยาบ้า ยาไอซ์ ปัจจุบัน 4 คูณ 100 และบุหรี่ไฟฟ้า ก็น่าห่วง ย้ำจับมือเพื่อนบ้านแก้ปัญหา PM 2.5

นายโสภณ ซารัมย์ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ตั้งกระทู้ถามนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 3 เรื่องสำคัญ คือ การแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยหากเปรียบกับผู้ป่วย คืออยู่ในขั้นโคม่า ดังนั้นต้องปฏิรูปทั้งองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งหมด เพราะแม้สถิติการแก้ไขจะลด แต่สวนทางกับความเป็นจริง หากมองให้ลึกลงไป จากปกติปัญหายาเสพติดเกิดกับผู้ใช้แรงงาน แต่ปัจจุบันกลับพบไปถึงนักเรียน นอกจากยาบ้า ยาไอซ์ โดยเฉพาะขณะนี้การนำกระท่อมมาทำเป็นสูตรที่เรียกว่า 4 คูณ 100 กำลังเป็นแฟชั่น กับ บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งยาเสพติดมีหลายประเภท หาง่าย ราคาถูก การแก้ไขไม่จริงจัง จนเป็นปัญหาสังคม ขณะที่กฎหมายก็ไม่เอื้อต่อผู้ปฏิบัติ จับแล้วก็ปล่อย จึงมองว่าปัญหายาเสพติดในขณะนี้อาจจะเป็นวิกฤต เท่ากับวิกฤตเศรษฐกิจหรือการศึกษา รวมถึงการแก้ปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 ในระยะสั้นและระยะยาว และจากการที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปต่างประเทศ จะมีแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างไร โดยเฉพาะการแชร์นักท่องเที่ยวจากเมืองหลักอย่างกรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ต ไปสร้างรายได้ให้กับจังหวัดอื่นๆ ที่เป็นเมืองรอง

โดยนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ประเด็นยาเสพติดเป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนห่วงใย เพราะจากตัวเลขการจับกุม 4 เดือนสุดท้ายเมื่อปลายปี 2566 สามารถจับผู้ค้ารายย่อยเพิ่มมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 32,000 เคส ยาบ้าจับได้มากกว่าปีก่อน 2 เท่า คือ กว่า 250 ล้านเม็ด โดยเน้นจับผู้ค้ารายใหญ่ไม่ให้ไปกระจายต่อ ซึ่งรายใหญ่ที่ขายมากกว่า 500,000 เม็ดขึ้นไป จับได้ 62 เคส ยึดทรัพย์แล้วกว่า 2,500 ล้านบาท

“หากพูดถึงปัญหาจริง ก็ต้องยอมรับว่าตัวเลขเหล่านี้ยังไม่ได้เป็นที่น่าสบายใจ เพราะแม้ผู้ค้ารายใหญ่จะถูกจับไป แต่ไม่ได้ส่งผลให้ราคายาบ้าแพงขึ้น จึงเป็นการบ้านของรัฐบาลที่ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ต้องยอมรับรากเหง้าของปัญหามาจากเศรษฐกิจ การที่ประชาชนประสบปัญหารายจ่ายสูง รายได้น้อย อาจหมดหวังมาหลายปี รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะตระหนักปัญหาที่เกิดขึ้น” นายเศราฐา กล่าว

ส่วนเรื่องยาเสพติดที่จับได้แล้วใช้เวลานานในการทำลายนั้น นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนที่จะจับและพิสูจน์ทราบ และเก็บตัวอย่างเล็กๆ ไว้ ส่วนที่เหลือให้ทำลายล้างโดยเร็ว เพื่อตัดปัญหาที่สังคมสงสัยว่าอาจมีการรั่วไหล ขณะที่เรื่องน้ำกระท่อม ถือว่าเป็นยาเสพติดชนิดใหม่ที่วัยรุ่นให้ความสำคัญ และแพร่กระจายไปเร็ว

“ยอมรับว่า ไม่เคยทราบว่ามีการจำหน่ายอย่างแพร่หลายตามสี่แยก จึงได้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาพูดคุย เพื่อให้ดำเนินการกวาดล้างอย่างรวดเร็ว ร่วมกับฝ่ายปกครอง จนสามารถดำเนินการได้ภายใน 1 สัปดาห์ ที่จังหวัดอุบลราชธานี หลังได้พบกับ สส.ในจังหวัด พร้อมกันนี้ยังพยายามกระจายให้ดำเนินการต่อในจังหวัดอื่นๆ ด้วย ย้ำว่า หาก สส.ในพื้นที่มีปัญหา ขอให้แจ้งรัฐบาลเพื่อจัดการอย่างทันควัน” นายเศรษฐา กล่าว

นายกรัฐมนตรี มองว่า ปัญหายาเสพติดโยงไปถึงประเทศเพื่อบ้านด้วย เพราะต้องยอมรับว่า ประเทศที่มีปัญหาภายในอย่างมาก คือ ประเทศเมียนมา ที่มีพรมแดนติดต่อกัน 2,500 กม. ไทยจึงได้รับมอบหมายจากประเทศอาเซียน ที่จะเข้าไปเจรจากับฝ่ายเมียนมา จึงเป็นเรื่องน่ายินดี ที่สัปดาห์ที่ผ่านมา มหาอำนาจ 2 ประเทศ ส่งผู้นำมาเจรจาพูดคุยในหลายๆ ปัญหา ตนเองก็ได้เจรจาพูดคุยเรื่องปัญหาที่ส่งผลกับประเทศไทย ทั้งปัญหายาเสพติดที่ทะลักเข้ามาตามแนวชายแดน และต้องขอขอบคุณกองทัพไทยและความร่วมมือระหว่างฝ่ายปกครอง สส.พื้นที่ และกองทัพบก โดยแม่ทัพภาคที่ 3 กำจัดออเดอร์ได้อย่างมาก ซึ่งการที่ประเทศเพื่อนบ้านมีปัญหาภายใน เรื่องเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญ ง่ายสุดคือผลิตยาแล้วส่งกลับมาขายกับเรา เราก็ไม่ยอม และพยายามพูดคุยและชี้แจงให้มหาอำนาจทั้ง 2 ประเทศเข้าใจ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่ประเทศไทยมีส่วนได้เสียเป็นอย่างมาก ส่วนในอนาคตต้องสกัดการเข้ามาตามแนวชายแดนต่อไป เพราะปัจจุบันทางภาคเหนือทำได้ดี แต่ไปเจอที่ภาคกลาง เช่น กาญจนบุรีที่พบปัญหา จึงต้องสู้กันไป สำหรับการบำบัดคืนผู้เสพให้เป็นผู้ป่วย ก็เป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องดำเนินการต่อไป ซึ่งจะเรียกรัฐมนตรีสาธารณสุข มาหารือบ่ายนี้

ส่วนเรื่องของฝุ่นละออง PM 2.5  ก็เป็นปัญหาที่มีรากเหง้าจากปัญหาเศรษฐกิจ ยังมีการเผาทำลายวัชพืชด้วยการใช้ไม้ขีดเพียงก้านเดียว ดังนั้น เราจึงจำเป็นจะต้องสร้างองค์ความรู้ให้กับเกษตรกร ซึ่งรัฐบาลนี้ให้ความสำคัญ ควบคู่กับการผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด

“จะเห็นได้ว่า จุดความร้อนที่เกิดขึ้นปีนี้ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา พบว่าลดลงอย่างมีนัย แต่เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอาจจะยังเข้าใจการแก้ปัญหาน้อยหรือขาดปัจจัยบางอย่าง แต่เมื่อวานนี้ก็ได้มีการหารือกับผู้นำของกัมพูชา ซึ่งยืนยันว่าจะร่วมมือกันแก้ปัญหาเรื่องนี้” นายเศรษฐา กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะเดียวกัน ตนได้สั่งการให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง หากเกษตรกรยังใช้วิธีการเผาอยู่ อาจจะมีการใช้บังคับกฎหมายโดยกระทรวงมหาดไทย หรือตัดความช่วยเหลือจากรัฐบาล

ส่วนมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลนี้ลงทุนมากในการออกนโยบายต่างๆ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพราะประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีมาก ไม่ใช่แค่ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน หรือกรุงเทพฯ อย่างเดียว แต่เมืองรองก็ถือเป็นส่วนสำคัญ รัฐบาลอยากสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวกระจายตัวไปเมืองรอง เพื่อเป็นการกระจายรายได้ ผ่านทางซอฟต์พาวเวอร์ด้วยการจัดเทศกาลต่างๆ ทั้งปี ไม่ใช่เฉพาะไฮซีซั่นเท่านั้น

“แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องของนโยบายอย่างเดียวก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเมืองรองได้ การคมนาคมที่สะดวกสบายก็เป็นส่วนสำคัญ ซึ่งรัฐบาลมีแผนที่จะอัพเกรดสนามบินทั่วประเทศ เพื่อให้การเดินทางของนักท่องเที่ยว ทั้งคนไทยและต่างประเทศ สามารถเดินทางเข้าสู่เมืองรองได้” นายเศรษฐา กล่าว

ขณะเดียวกัน เราก็ได้มีการประสานพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม มาเลเซีย บรูไน นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางต่อได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า เพราะเราไม่ได้มองเพื่อนบ้านเป็นคู่แข่ง แต่จะมาช่วยสนับสนุนซึ่งกันและกัน จึงมั่นใจว่าสิ่งนี้จะพัฒนาเมืองรอง สามารถตอบสนองนักท่องเที่ยวได้แน่นอน และวันที่ 1 มีนาคมนี้ ก็จะมีการเปิดวีซ่าฟรีกับจีน อีกทั้งอยู่ระหว่างการดำเนินการประสานพูดคุย เรื่องขอฟรีวีซ่าเชงเก้นเข้ายุโรป

นายกรัฐมนตรี ยืนยันไม่ได้ให้ความสำคัญกับจังหวัดใหญ่เพียงอย่างเดียว เพราะตนเองก็ได้เดินทางไปทั่วประเทศไทย เข้าใจถึงวัฒนธรรม และสิ่งดีๆ ที่เมืองรองสามารถนำเสนอให้กับนักท่องเที่ยวได้ โดยปลายเดือนนี้ก็จะลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อดูเรื่องของวัฒนธรรม อาหารการกิน มีอะไรบ้างที่รัฐบาลสามารถสนับสนุนสร้างโอกาสพี่น้องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ แต่ทั้งหมดยังเป็นยังมีการบ้านที่ต้องทำต่อ เพื่อปรับปรุงให้ดีที่สุด

Advertisement

“พิธา” ย้ำสู้ไม่ถอย ยังมีสิทธิเป็นรัฐมนตรี

People Unity News : 23 กรกฎาคม 2566 ระยอง – “พิธา” หัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางไปยังตลาดดิโอโซน จ.ระยอง วานนี้ (22 ก.ค.) ระบุพรรคก้าวไกลขอสู้ไม่ถอย ไม่ได้เป็นนายกฯ ยังมีสิทธิเป็นรัฐมนตรีได้

เมื่อวานนี้ (22 ก.ค.) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางไปยังบริเวณตลาดดิโอโซน จังหวัดระยอง เพื่อร่วมงานสุราก้าวหน้า เฟสติวัล นายพิธา ได้ใช้เวลาปราศรัยทั้งเรื่องสุราก้าวหน้าและประเด็นการเมืองนานประมาณครึ่งชั่วโมง โดยพูดถึงประเด็นเรื่องการเมืองว่า พรรคก้าวไกลจะขอสู้ไม่ถอย ถึงแม้จะส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล นอกจากนี้ยังบอกว่าไม่ได้เป็นนายกฯ ยังมีสิทธิเป็นรัฐมนตรีได้ ขณะเดียวกันยังมีบางช่วงบางตอนที่นายพิธา กล่าวว่าเมื่อมาเมืองระยอง ต้องหวนคิดถึงบทกลอนของกวีเอกสุนทรภู่ ที่แต่งไว้เพื่อสอนคนถึงจิตใจของคน ที่ว่า “อย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน” เพราะบทกลอนนี้น่าจะใช้ได้ในสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ได้เป็นอย่างดีเพื่อเป็นคติไว้สอนใจ

นายพิธา ยังปราศรัยกรณีหุ้นไอทีวีด้วย โดยถามผู้คนที่มาต้อนรับว่าเคยเห็นพิธา ออกข่าวช่องไอทีวีหรือไม่และเคยเปิดทีวีดูข่าวช่องไอทีวีหรือไม่ ขณะที่เรื่องสุราก้าวหน้า ถือเป็นหนึ่งในนโยบายของพรรคก้าวไกลที่จะผลักดัน เพื่อสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นกับชุมชน หากเป็นรัฐบาลและในวันนี้ นายพิธา จะเดินทางไปยังจังหวัดจันทบุรี เพื่อขอบคุณชาวจันทบุรี

Advertisement

“องอาจ”เปิดสัมมนา ปชป.เชื่อม 3 กลไก”รมต.-สภาฯ-พรรค”

People Unity News : “องอาจ”เปิดสัมมนา ปชป. พร้อมเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งให้สมาชิกพรรค เชื่อม 3 กลไก รัฐมนตรี-สภาฯ-พรรค

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 พรรคประชาธิปัตย์จัดกิจกรรมสัมมนาเพื่อระดมสมองและฝึกปฏิบัติการสำหรับสมาชิกพรรค ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร เป็นเวลา 3 วัน ระหว่างวันที่ 22– 24 พฤศจิกายน 2562 ณ ศูนย์ประชุมสัมมนา ภูโอบ น้ำใส คันทรี รีสอร์ท อ.เมือง จ. นครนายก ซึ่งในการจัดกิจกรรมสัมมนาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการขับเคลื่อนภายใต้การดำเนินงานของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ภาคทั้ง 5 ภาค เพื่อสร้างความเข้มแข็ง โดยกรุงเทพมหานคร ถือเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญของพรรค

ช่วงเช้าที่ผ่านมา นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค กทม. และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานกล่าวเปิดการสัมมนาและให้นโยบายในการขับเคลื่อน โดยบรรยากาศสัมมนา เป็นไปอย่างคึกคัก

ทั้งนี้นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การจัดกิจกรรมสัมมนาให้กับสมาชิกพรรคกรุงเทพมหานครในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการขับเคลื่อนภายใต้การดำเนินงานของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ภาคทั้ง 5 ภาค เพื่อสร้างความเข้มแข็ง โดยกรุงเทพมหานคร ถือเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญ นอกเหนือจากภาคกลาง ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ

ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากทีมผู้บริหารของพรรค นำโดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค กทม. มีเนื้อหาในงานที่เน้นการฝึกปฏิบัติการเพื่อนำไปสู่การลงมือทำได้อย่างเป็นรูปธรรม

โดยมีหัวข้อในงานสัมมนาที่สำคัญ อาทิ “การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคบนหลัก อุดมการณ์ ทันสมัย” โดยนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรค “เศรษฐกิจทันสมัยสู่ชัยชนะในการเลือกตั้ง” โดยนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ “ยุวประชาธิปัตย์… คนรุ่นใหม่พลังขับเคลื่อนใหม่” โดย ดร. สรรเสริญ สมะลาภา รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการกิจการเยาวชนฯ ที่จะมาพูดคุยพร้อมกับตัวแทนคนรุ่นใหม่ของพรรค “รูปแบบการทำงานแบบผสาน 3 กลไก…เชื่อมคน เชื่อมพรรค เชื่อมสมาชิก” โดย นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ “การสื่อสารและการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อสร้างคะแนนนิยม” โดย นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงกิจกรรมระดมสมอง “ร่วมคิด ร่วมสร้างกรุงเทพ” โดย ดร.ธราดล เปี่ยมพงศ์สานต์ ผู้อำนวยการด้านนโยบาย สถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย และคณะฯ

“กรุงเทพมหานคร ถือเป็ นอีกหนึ่งพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญของพรรค การจัดกิจกรรมสัมมนาในครั้งนี้เชื่อว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ในการให้สมาชิกพรรคที่เข้าร่วมกิจกรรมเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนพื้นที่ร่วมกันกับ ส.ส. อดีตส.ส. ผู้สมัครส.ส. และทำงานสอดประสานกับ 3 กลไกหลักของพรรคคือกลไกรัฐมนตรี กลไกสภาฯ และกลไกพรรค เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทั้งระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาวร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด” นางดรุณวรรณ กล่าว

นายกฯเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมมือต่อสู้โรคไม่ติดต่อ (NCDs)

People Unity News : นายกรัฐมนตรี เชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมมือต่อสู้โรค NCDs ในนิทรรศการ “Together Fight NCDs ร่วมมือต่อสู้โรค NCDs”

เนื่องจากวันที่ 29 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันอัมพาตโลก องค์การอัมพาตโลกได้กำหนดประเด็น (Theme) การรณรงค์วันอัมพาตโลกปี 2562 คือ Don’t Be The One กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดคำขวัญในการรณรงค์ว่า “อย่าให้ อัมพฤกษ์ อัมพาต…เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ” พร้อมกันนี้ได้จัดกิจกรรมรณรงค์วันอ้วนโลก และวันเบาหวานโลก ซึ่งอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม–เดือนพฤศจิกายน เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อ

เช้าวันที่ 29 ต.ค.2562 ณ บริเวณหน้าตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพมหานคร พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข และคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกิจกรรมและเยี่ยมชมนิทรรศการ “Together Fight NCDs ร่วมมือต่อสู้โรค NCDs” พร้อมเชิญชวนประชาชน หน่วยงานทุกภาคส่วน และภาคีเครือข่าย ร่วมมือกันต่อสู้โรคไม่ติดต่อ (NCDs) ในงานประกอบด้วยกิจกรรมวัดรอบเอว วัดความดันโลหิต วัดความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ วัดมวลสารในร่างกาย และกิจกรรมการแสดงสัญลักษณ์ลดน้ำตาลและเกลือโซเดียมลง 30% เพื่อลดการบริโภคอาหารเค็ม หวาน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า นิทรรศการ “Together Fight NCDs ร่วมมือต่อสู้โรค NCDs” โรคอ้วน โรคอัมพาต โรคเบาหวาน เพื่อให้ประชาชนทราบความเสี่ยงต่อโรคอ้วน โรคอัมพาต และโรคเบาหวาน สามารถรู้ตัวเลขที่บ่งชี้สุขภาพและทราบระดับความเสี่ยงของตนเอง (รู้ตัวเลข รู้รักษ์สุขภาพ – Know your number Know your risk) ได้แก่ น้ำหนัก ความดันโลหิต รอบเอว และระดับน้ำตาลในเลือด จึงเชิญชวนประชาชนใส่ใจสุขภาพ วัดก่อน รู้ก่อน ลดเสี่ยง เลี่ยงโรคไม่ติดต่อ

ด้านนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การจัดนิทรรศการในครั้งนี้เป็นความร่วมมือของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักถึงปัญหาโรคอ้วน อัมพาต โรคเบาหวาน ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้น ปัจจุบันพบคนไทยมีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน 19 ล้านคน ผู้ป่วยอัมพาตรายใหม่ปีละ 42,000 คน และผู้ป่วยโรคเบาหวาน 5,000,000 คน จำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความร่วมมือกันต่อสู้กับโรคไม่ติดต่อ และที่สำคัญประชาชนทุกคนต้องเรียนรู้สัญญาณเตือนของการเกิดโรค เช่น ภาวะอ้วน ความดันโลหิตสูง ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ และปฏิบัติตนเพื่อให้มีสุขภาพดี ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ลดหวาน มัน เค็ม และตรวจสุขภาพทุกปี สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

Verified by ExactMetrics