วันที่ 6 พฤษภาคม 2024

“บิ๊กตู่”ปิดห้องคุย กอ.รมน. ปรับแผนแก้ไฟใต้ ยังไม่เลิกเคอร์ฟิวหลังยิงถล่มชรบ.ยะลา

People Unity News :  “บิ๊กตู่”ยันยังไม่เลิกเคอร์ฟิวหลังยิงถล่มชรบ.ยะลา เผยผลสืบสวนคืบหน้าไปมากแล้ว แต่ต้องให้เวลา จนท. ย้ำใช้หลักสันติวิธี ปิดห้องคุย กอ.รมน. ปรับแผนแก้ไฟใต้ ยันคุยสันติสุขต่อเนื่อง

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในอาณาจักร (กอ.รมน.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ครั้งที่ 2/2562 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและผู้นำเหล่าทัพ เข้าร่วมการประชุม โดยไม่เปิดให้สื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังการประชุมแต่อย่างใด

จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังมีการประกาศเคอร์ฟิวการห้ามออกจากเคหสถานในเวลาค่ำคืน ภายหลังเกิดเหตุกลุ่มคนร้ายยิงถล่มชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ว่า เบื้องต้นยังไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลา แต่จะกำหนดเวลาให้สั้นที่สุด เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการสืบสวน สอบสวนทางคดี และเพื่อเป็นการจำกัดพื้นที่ของคนร้ายในช่วงที่มีการไล่ติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุ โดยยืนยันว่าไม่อยากให้มีผลกระทบต่ออย่างอื่น แต่เป็นเรื่องที่จำเป็น ซึ่งหากเราปิดพื้นที่ไม่ได้ ก็จะมีปัญหา ส่วนนี้ขอให้เข้าใจกันด้วย

เมื่อถามว่ามีรายงานว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มคนหน้าขาว ภายหลังก่อเหตุเสร็จสิ้น จะกลับไปนอนอยู่บ้าน ส่วนนี้จะมีการติดตามจับกุมอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การสืบสวน สอบสวนวันนี้มีความคืบหน้า แต่ยังเปิดเผยไม่ได้ ต้องใช้หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่จะไปจับใครก็ได้ ต้องเอาหลักฐานในพื้นที่เกิดเหตุมาติดตาม ซึ่งเราก็มีข้อมูลอยู่แล้ว ทั้งอาวุธปืน กระสุนและปอกกระสุน พร้อมมีข้อมูลอยู่แล้วว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายกลุ่มใดและมีกลุ่มใดเกี่ยวข้องบ้างก็จะต้องมาพิจารณาร่วมกัน คงจะได้รับทราบความคืบหน้าภายในเร็ววันนี้ ขอเวลาอีกหน่อย

เมื่อถามต่อว่า ผู้ก่อเหตุมีการใช้วัตถุระเบิด จะถือเป็นการก่อการร้ายมากกว่าการก่อความไม่สงบได้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า พวกเขาใช้กลยุทธ์เช่นนี้ เป็นกลยุทธ์การก่อการร้าย คือการสร้างเหตุความรุนแรงเพื่อกดดันต่อรัฐ และการทำงาน แล้วเราจะไปกดดันกันเพื่ออะไร ในเมื่อรัฐบาลพยายามแก้ปัญหาอย่างสันติวิธี ด้วยการบังคับใช้กฎหมาย การพัฒนา และสร้างการมีส่วนร่วม เราแก้ปัญหากันอย่างนี้ ไม่ดีกว่าหรือ ส่วนการก่อการร้ายนั้น มีองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น การยึดพื้นที่ การใช้ความรุนแรง แต่เหตุการณ์นี้เข้าข่ายแค่ใช้อาวุธสงคราม เพื่อกดดันรัฐ แต่หากเราตีความผิด การแก้ปัญหาก็จะผิดและเหตุการณ์จะรุนแรงขึ้น ท้ายสุดผลกระทบก็จะเกิดกับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งวันนี้เราลดระดับผลกระทบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ได้มากพอสมควร ประชาชนก็กลับมาให้ความร่วมมือ แม้แต่การบังคับใช้กฎหมายบางตัว ประชาชนก็เห็นด้วย เพราะเขาดูแล้วว่าเกิดประโยชน์กับเขา ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่คนที่มักจะมีปัญหาในเรื่องนี้ คือคนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ ซึ่งจะมองในเรื่องของสิทธิมนุษยชนอย่างเดียว

“ผมคิดว่าไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหน อยากไปละเมิดสิทธิมนุษยชนใครทั้งสิ้น แต่ไปดูผู้ก่อเหตุว่า สิ่งที่เขาทำ มันละเมิดสิทธิมนุษยนชนประชาชนหรือไม่ ในการทำร้ายประชาชนทั้งผู้บริสุทธิ์ ไทยพุทธ ไทยมุสลิม ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ไทยพุทธอย่างเดียว แต่ครั้งนี้เป็นการทำร้ายทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิม ขณะเดียวกัน ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวให้รัฐบาลเลิกนู้น เลิกนี้ แล้วทำไปเพื่ออะไร ไม่งั้นก็ลองไปอยู่ในพื้นที่เขาดู ว่าจะทำอย่างไร ลองไปอยู่กับเขานานๆ จะได้รู้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เมื่อถามว่าได้รับรายงานการหารือเกี่ยวกับการพูดคุยถึงสันติสุข จากมาเลเซียบ้างหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ได้รับรายงานตลอด ก่อนเขาไปตนก็ได้ให้นโยบายไป เมื่อเขากลับมาก็รายงานตน ก็ให้มีการปรับแผนกันไป ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกับกลุ่มที่มีบทบาทอย่างแท้จริง โดยจะเน้นในเรื่องของจะทำอย่างไรให้ในพื้นที่ปลอดภัย และมีสันติสุขอย่างยั่งยืน ต้องคุยกัน และปรับวิธีต่อเนื่อง เพราะมีหลายกลุ่ม หลายฝ่าย หลายระดับทั้งผู้นำระดับการเมือง การทหาร ทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ซึ่งคนรุ่นเก่านั้น ค่อนข้างจะพูดคุยในด้านสันติวิธีมากขึ้น แต่คนรุ่นใหม่ก็พยายามสร้างคนกลุ่มใหม่ๆ เข้ามาแทน เราต้องหาวิธีการว่าจะต้องแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร ดังนั้น จะต้องเจรจากับกลุ่มที่มีบทบาทแท้จริงในการก่อเหตุ แต่ปัญหาคือ เขาจะคุยด้วยหรือไม่ เพราะบางกลุ่มก็ไม่อยากมาเจรจา เพราะคงอยากใช้วิธีเดิมต่อไป พวกนี้คือพวกหัวรุนแรง เราบังคับไม่ได้ ถึงต้องไปพูดคุยที่ต่างประเทศ แต่ไม่ใช่การเจรจา เพราะถ้าเจรจาหมายถึงเรารบกันแล้ว จึงต้องเจรจาหยุดยิง แต่อันนี้ไม่ใช่ เป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย และทางมาเลเซีย ก็ตอบสนองด้วยดีตลอดมา แต่ก็ยังมีปัญหาอีกหลายอันที่ต้องแก้ควบคู่กันไป เช่น เรื่องบุคคลสองสัญชาติ การข้ามแดน เนื่องจากคนเหล่านี้ปลอมปนอยู่ในกลุ่มประชาชนทั่วไป เข้ามาหาก็ไม่รู้ เพราะหน้าตาก็เหมือนกัน ทั้งนี้ ตนได้สั่งการบริหารเชิงรุกไป แต่ต้องระวังการใช้อาวุธต่างๆ และการบังคับใช้กฎหมาย ต้องไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนมากเกินไป

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนการใช้กำลังของชรบ. ยังมีความจำเป็นต่อไป ถ้าไม่มีจะทำมาทำไม ซึ่งแต่ก่อนนี้ กำลังตำรวจในพื้นที่ และอาสาสมัครรักษาดินแดง (อส.) มีกำลังไม่เพียงพอ จึงต้องจัดทหารข้างนอกมาช่วย เมื่อเรียบร้อยแล้วก็เอาทหารกลับ ส่วนตำรวจและทหารในพื้นที่ก็ทำงานปกติไป แต่เมื่อเหตุการณ์ไม่ปกติ ก็จะนำกองกำลังทหารเข้าไปเติม ทุกประเทศก็ทำแบบนี้ และระหว่างนี้เราจะต้องเสริมสร้างกำลังในท้องถิ่นให้มากขึ้น เพราะคนเหล่านี้จะรู้จักพื้นที่และสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี แต่จะต้องเพิ่มความระมัดระวังตัวเองให้มากขึ้น เพราะทางยุทธวิธียังไม่เข้มแข็งพอ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการฝึกทบทวนมาโดยตลอด

“ผมถามเขาว่าจุดที่เกิด ทำไมไปตั้งฐานปฏิบัติการตรงนั้น เขาบอกมีความจำเป็น เพราะมีหมู่บ้านอยู่กลุ่มหนึ่ง และเขาต้องการไปดูแลประชาชนในหมู่บ้านดังกล่าว เพราะพื้นที่จำกัด เขาจึงไปตั้งกลางสวนยาง ส่วนด้านนอกทัศนวิสัยก็จำกัด มันจึงเปิดโอกาสให้ผู้ก่อเหตุเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งผมได้เตือนไปแล้วว่า ต้องหาวิธีการใหม่และปรับในเชิงกลยุทธ์ ให้มีชุดลาดตระเวนต่างๆ ให้รัดกุมมากขึ้น รวมถึงการป้องกันชายแดน และการลักลอบเข้าออกประเทศ ส่วนนี้ก็ต้องเพิ่มการกวดขัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

มอบแม่ทัพภาค 4 ร่วมพิธีสวดพระอภิธรรมผู้เสียชีวิตยะลา

ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์มอบให้แม่ทัพภาคที่ 4 เป็นผู้แทนร่วมพิธีสวดพระอภิธรรมผู้เสียชีวิต จากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ต.ลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลา เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมา พร้อมทั้งคณะรัฐมนตรีด้วย โดยนายกรัฐมนตรีแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้สูญเสียและสั่งการให้ดูแลทุกคนอย่างดีที่สุด พร้อมย้ำว่าไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานว่า เจ้าหน้าที่พบหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่สามารถระบุตัวคนร้ายที่ก่อเหตุได้แล้วจำนวนหนึ่ง และพบฐานปฏิบัติการร้าง 1 แห่ง โดยจะใช้แผนกดดันทุกพื้นที่ทั้งผู้ก่อเหตุและผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ เบื้องต้นได้ควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัยแล้ว 1 คน ที่ อ.ธารโต จ.ยะลา ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ฝ่ายความมั่นคงบังคับใช้กฎหมายด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้กระทบสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานและการดำเนินชีวิตของประชาชน พร้อมทั้งยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่จะประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่ตามที่มีข่าวลือกันแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนร่วมกันเป็นหูเป็นตา ตรวจสอบ และแจ้งเบาะแสแก่เจ้าหน้าที่ เพื่อจับกุมตัวผู้ก่อเหตุมาลงโทษให้ได้โดยเร็วที่สุด

“โอ๊ค”รอด!ศาลยกฟ้องคดีฟอกเงินกรุงไทย

People Unity News : ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษายกฟ้อง “พานทองแท้ ชินวัตร” พ้นผิดคดีฟอกเงินกู้ธนาคารกรุงไทย

เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91 กรณีที่มีการโอนเช็คเข้าบัญชีของนายพานทองแท้ ชินวัตร จำนวน 10 ล้านบาท จากอดีตผู้บริหารกลุ่มบริษัทกฤษดามหานครที่ได้รับอนุมัติเงินกู้จากคณะกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทยโดยมิชอบ

ศาลพิพากษายกฟ้องนายพานทองแท้พ้นผิดในคดีฟอกเงินกู้ธนาคารกรุงไทยรับโอนเงินเป็นเช็คจำนวน 10 ล้านบาทเข้าบัญชี.

ทั้งนี้นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร นางสาวพินทองทา และนางสาวแพรทองธาร ชินวัตร ได้เดินทางไปรับคำพิษากษาด้วย โดยนายพานทองแท้มีสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกตื่นเต้นหรือไม่ นายพานทองแท้พยักหน้าและกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ก็มั่นใจในคดี ขณะที่คุณหญิงพจมานมีสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่บรรยากาศบริเวณศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีแกนนำและสมาชิกพรรคเพื่อไทยทยอยเดินทางให้กำลังใจนายพานทองแท้ อาทิ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา นายก่อแก้ว พิกุลทอง และนางสาวขัตติยา สวัสดิผลรวมถึงสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศที่มารอติดตามทำข่าวเป็นจำนวนมาก ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัยมีกำลังตำรวจจาก สน.สามเสน สน.นางเลิ้ง สน.บางโพธิ์ และสน.ชนะสงคราม รวม 40 นาย มาคอยดูแลความเรียบร้อยโดยรอบบริเวณ

“บิ๊กป้อม”เสียใจ! เหตุยิงถล่มชรบ.ยะลาดับ 15 ราย “บิ๊กตู่”ถก กอ.รมน.จับตาทิศทางแก้ปัญหาแดนใต้

People Unity News : “บิ๊กป้อม”เสียใจ! เหตุยิงถล่มชรบ.ยะลาดับ 15 ราย เผยสั่งลงพื้นที่ตรวจสอบปัดตอบเป็นก่อการร้าย “บิ๊กตู่” ประชุมกอ.รมน.จับตาทิศทางแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 8 พฤศจิกายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดยะลา ส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) เสียชีวิตถึง 15 ราย เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “นายกรัฐมนตรีได้สั่งการไปหมดแล้ว ก็ขอแสดงความเสียใจด้วย อย่างไรก็ตาม ผบ.ตร. และแม่ทัพภาค 4 ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว”

เมื่อถามว่าเหตุการณ์ความไม่สงบดังกล่าวมีผู้เสียชีวิตถึง 15 ราย ถือเป็นการก่อการร้ายหรือไม่ พล.อ.ประวิตร ปฏิเสธที่จะตอบคำถามดังกล่าว

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวพยายามซักถามเกี่ยวกับปรับแผนจัดกำลังชรบ.หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร โดยพล.อ.ประวิตร ไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว ก่อนเดินเข้าไปในตึกสันติไมตรีทันที เพื่อร่วมงานสรุปผลการปฏิบัติงานประจำปี 2562 และแถลงแผนการปฏิบัติงานประจำปี 2563 ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

การประชุมครั้งนี้มีนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะ รอง ผอ.รมน. พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รองผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะ ผู้ช่วย ผอ.รมน. พล.อ.ธีรวัฒน์ บุณยะวัฒน์ เสนาธิการทหารบก ในฐานะเลขาธิการ กอ.รมน. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม

สำหรับการประชุมในครั้งนี้ จับตาดูถึงประเด็นการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้หลังเกิดเหตุการณ์คนร้ายบุกใช้อาวุธปืนสงครามยิงถล่มป้อม ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) บ้านทางลุ่ม หมู่ 5 ต.ลำพะยา อ.เมืองยะลา จ.ยะลา จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 15 นาย ซึ่งเป็นประชาชนอาสา รวมทั้งการเดินหน้าพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างไรก็ตาม ในการประชุมครั้งนี้เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชน เข้า ไปสังเกตการณ์ภายในตึก สันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาลได้อย่างไร

ร.ท.หญิงสุณิสาระบุโครงการ 100 เดียวเที่ยวทั่วไทย และเที่ยววันธรรมดาราคาช็อคโลก

People Unity News : ร.ท.หญิงสุณิสาระบุโครงการ 100 เดียวเที่ยวทั่วไทย และเที่ยววันธรรมดาราคาช็อคโลก ของรัฐบาลประยุทธ์ จะล้มเหลวในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับ โครงการ ชิม ช็อป ใช้ และ ถือเป็นการใช้เงินงบประมาณอย่างไม่คุ้มค่า

วันที่ 11 พ.ย.2562 ร.ท.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า โครงการ 100 เดียวเที่ยวทั่วไทย และเที่ยววันธรรมดาราคาช็อคโลกของรัฐบาลประยุทธ์ ซึ่งใช้งบประมาณจาก งบกลาง จำนวน 116 ล้าน บาท รวม 2 โครงการ จะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ อย่างเป็นรูปธรรมและถือเป็นการใช้เงินงบประมาณอย่างไม่คุ้มค่า โดยเฉพาะ มาตรการ 100 เดียวเที่ยวทั่วไทยที่เริ่มโครงการในวันนี้ เป็นเพียงโครงการประชานิยมที่ไม่ได้สร้างกำลังซื้อให้ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งยังไม่มีผลต่อการกระตุ้น GDP เพราะการเพิ่ม GPD จากรายได้จากการท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ต้องทำโดยการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศ ไม่ใช่ด้วยการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ

ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีนักเศรษฐศาสตร์ทักท้วงเรื่องนี้ แล้ว โดยชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของโครงการชิมช็อปใช้ทั้ง 2 เฟส ที่ไม่สามารถสร้างรายได้ให้ภาคการท่องเที่ยวได้ตามเป้า เพราะคนส่วนใหญ่เลือกใช้สิทธิ์ซื้อของกินของใช้มากกว่าไปเที่ยว เม็ดเงิน 10,667ล้านบาท ที่รัฐบาลเทลงไปจึงไหลไปสู่ภาคการท่องเที่ยวเพียง 0.01 เปอร์เซ็นต์หรือ ราว 141 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งรัฐบาลเองก็ยอมรับว่ารายได้ในส่วนของการท่องเที่ยวนั่นต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ แต่รัฐบาลประยุทธ์ก็ไม่เข็ดและยังจะทำผิดซ้ำซากอีก ซึ่งสะท้อนว่ารัฐบาลประยุทธ์ขาดความระมัดระวังในการใช้เงินงบประมาณของประเทศ และลงทุนด้วยความเสี่ยง โดยไม่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจนเลยว่าผลตอบแทนจะคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ใช้ไปหรือไม่ เพราะรัฐบาลย่อมไม่รู้ล่วงหน้าว่าประชาชน 40,000 ราย ที่จะใช้สิทธิ์ในโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวดังกล่าว จะมีพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินอย่างไร แล้วรัฐบาลจะคำนวณผลตอบแทนที่จะกลับเข้ามาในระบบเศรษกิจได้อย่างแม่นยำได้อย่างไร

นอกจากนี้ ตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวก็มีสัญญาณไม่ดีเลยโดยเฉพาะดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในภาพรวม ก็ตกต่ำอย่างต่อเนื่องมาตลอด ภายหลังการรัฐประหาร โดยข้อมูลของกองดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในภาพรวม ประจำเดือน ต.ค 62 อยู่ที่ระดับ 46.3 ซึ่งต่ำกว่าระดับ 50 แปลว่าคนไทย ไม่กล้าใช้จ่าย เพราะมีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจไม่ดี แล้ว พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจไปพกเอาความมั่นใจจากไหนมา ทำไมถึงคิดจะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยวทั้ง ๆ ที่ คนไทยกำลังท้อแท้สิ้นหวัง มีคนตกงานเป็นแสน ๆ คน และเป้าหมายการส่งออกก็หดตัว ทั้งยัง มีข่าวคนฆ่าตัวตายหนีหนี้รายวัน นอกจากนี้ เพื่อความโปร่งใสของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว รัฐบาลต้องแจกแจงรายชื่อผู้ประกอบการที่ได้ส่วนแบ่งจากเงินอุดหนุน 116 ล้านบาทของรัฐบาล เพื่อให้สังคมเห็นว่าเม็ดเงินดังกล่าวกระจายไปอย่างทั่วถึง หรือกระจุกตัวอยู่ที่ผู้ประกอบการแค่บางกลุ่มกันแน่ รวมทั้ง ต้องเปิดเผยรายชื่อประชาชน 40,000 รายที่ได้สิทธิ์ในโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาลว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ หรือเป็นแค่นายหน้าที่เข้ามาจองสิทธิ์แทนผู้ประกอบการบางรายเพื่อหวังเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ในวงเงิน 116 ล้านบาทกันแน่ ทั้งนี้ แม้มูลค่าโครงการจะไม่สูง มีมูลค่าเพียงหลักร้อยล้านต้น ๆ แต่ก็เป็นเงินของแผ่นดิน ต่อให้เป็นการใช้งบประมาณเพียงบาทเดียว รัฐบาลก็ต้องใช้อย่างรอบคอบระมัดระวังและต้องใช้เงินด้วยความรับผิดชอบเพราะเป็นเงินของส่วนรวม นอกจากนี้ รัฐบาลประยุทธ์ควรหยุดทำให้ประชาชนเสพติดการแจกเงิน และควรฟังคำทักท้วงของทุกฝ่าย โดยเฉพาะ IMF ที่เตือนให้รัฐบาลระวังการใช้นโยบายประชานิยม แต่รัฐบาลควรกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการสร้างงาน สร้างอาชีพ และกระตุ้นการผลิต ซึ่งจะเป็นการสร้างกำลังซื้อที่ยั่งยืน ทั้งนี้ รัฐบาลประยุทธ์ควรดูตัวอย่างประเทศซึ่งมีรากฐานเศรษฐกิจที่แข่งแกร่ง เช่น ญี่ปุ่น ซึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการลดค่าครองชีพประชาชน เช่น ลดภาษีการบริโภคอาหารบางประเภท เพื่อให้คนญี่ปุ่นมีเงินเหลือในการบริโภค ในขณะที่ อินโดนีเซีย ซึ่งโดนสหรัฐตัด GSP เหมือนไทย เขาใช้วิธีกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมการส่งออกในอุตสาหกรรมที่ไม่ใช้น้ำมันและก๊าซ เพื่อเพิ่ม GDP ไม่มีชาติไหนเน้นการแจกเงิน ดังนั้น พล.อ. ประยุทธ์ควรเปลี่ยนแนวคิดในการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดิน และควรยึดถือคำสอนของพระราชาในอดีตที่สอนให้ประชาชนจับปลา ไม่ใช่เอาปลาไปแจกประชาชน.

คุมเข้ม”กมธ.”ห้ามเชิญคนนอกมั่ว! “ชวน”ออกกฎเหล็กต้องรายงานให้รู้ก่อน

People Unity News : “ชวน” ออกกฎเหล็ก คุมเข้ม กมธ.ห้ามเชิญมั่ว ให้ปธ.กมธ.รายงาน ปธ.สภาฯ ทุกวันศุกร์ พิจารณาเรื่องไหน ประเด็นอะไร เชิญใคร กันทำงานซ้ำซ้อน ให้อำนาจปธ.สภาฯ ชี้ขาดใครดำเนินการ หากทำมากกว่าหนึ่งคณะแล้วตกลงกันไม่ได้

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ออกประกาศระเบียบสภาผู้แทนราษฎรว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการกระทำกิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง หรือศึกษาเรื่องใดที่มีความเกี่ยวข้องกันของคณะกรรมาธิการหลายคณะ พ.ศ. 2562 มีเนื้อหาว่า โดยที่เป็นการสมควรให้มีระเบียบสภาผู้แทนราษฎรว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการกระทำกิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง หรือศึกษาเรื่องใดที่มีความเกี่ยวข้องกันของคณะกรรมาธิการหลายคณะอาศัยอำนาจตามความในข้อ 4 และข้อ 90 วรรคหก แห่งข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พศ. 2562 ประธานสภาผู้แทนราษฎรจึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบสภาผู้แทนราษฎรว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการกระทำกิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง หรือศึกษาเรื่องใดที่มีความเกี่ยวข้องกันของคณะกรรมาธิการหลายคณะ พ.ศ. 2562

ข้อ 2 ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นตันไป

ข้อ 3 ในระเบียบนี้
“ประธานสภา” หมายความว่า ประธานสภาผู้แทนราษฎร
“คณะกรรมาธิการ” หมายความว่า คณะกรรมาธิการสามัญของสภาผู้แทนราษฎร
“ที่ประชุม” หมายความว่า ที่ประชุมร่วมกันระหว่างประธานสภาและประธานคณะกรรมาธิการ
ที่เกี่ยวข้องทุกคณะ

ข้อ 4 เมื่อคณะกรรมาธิการจะกระทำกิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง หรือศึกษาเรื่องใด ให้ประธานคณะกรมาธิการทุกคณะรายงานต่อประธานสภาทราบภายในวันศุกร์ของทุกสัปดาห์ ว่าจะมีการพิจารณา
เรื่องใด ประเด็นใด และเชิญผู้ใด หรือหน่วยงานใดเข้าร่วมการพิจารณาในสัปดาห์ถัดไป

ข้อ 5 ให้ประธานสภาตรวจสอบรายงานตามข้อ 9 หากพบว่ามีคณะกรรมาธิการมากกว่าหนึ่งคณะ
จะกระทำกิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง หรือศึกษาเรื่องใดที่มีความเกี่ยวข้องกัน ให้ประธานสภาแจ้งให้ประธานคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องทราบโดยไม่ชักข้า และจัดให้มีการประชุมร่วมกันระหว่างประธานสภาและประธานคณะกรรฆาธิการที่เกี่ยวข้องทุกคณะ พื่อร่มกันดำเนินการ ทั้งนี้ ให้คณะกรมาธิการที่เกี่ยวข้องยุติการกระทำกิจการ
พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง หรือศึกษาเรื่องนั้นไว้เป็นการชั่วคราว ในกรณีที่ไม่อาจยุติการดำเนินการดังกล่าวได้ ให้คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจไปพลางก่อนได้ แต่ต้องไม่เกินเจ็ดวันนับแต่วันที่ประธานสภาแจ้งให้ทราบ

ข้อ 6 การร่วมกันดำเนินการตามข้อ 5 อาจพิจารณาดำเนินการในลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังต่อไปนี้
(1) ให้คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องทุกคณะร่วมกันกระทำกิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง
หรือศึกษาเรื่องนั้น โดยตกลงร่วมกันให้ประธานคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องคณะใดคณะหนึ่งเป็นประธานในการดำเนินการดังกล่าว หากไม่อาจตกลงกันได้ ให้ประธานสภาเป็นผู้กำหนด
(2) ให้คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องทุกคณะร่วมกันกระทำกิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง
หรือศึกษาเรื่องนั้น โดยให้คณะกรรมาธิการคณะใดคณะหนึ่งเป็นหลักในการดำเนินการ และให้คณะกรรมาธิการคณะอื่นที่เกี่ยวข้องส่งกรรมาธิการตามจำนวนที่ที่ประขุมกำหนดเข้าร่วมการดำเนินการนั้นด้วย
(3) แนวทางอื่นที่ที่ประชุมเห็นชอบให้คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องร่วมกันดำเนินการ เมื่อที่ประชุมเห็นขอบให้ร่วมกันดำเนินการตาม (1)(2) หรือ (3) แล้ว ให้ประธานสภาแจ้งคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องทุกคณะทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
ข้อ 7 ในกรณีที่มีญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้ ให้ประธานสภาเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัย และคำวินิจฉัยของประธานสภาให้ถือเป็นเด็ดขาด

ข้อ 8 ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้รักษาการตามระเบียบนี้

ประกาศณวันที่ 31ตุลาคม พ.ศ.2562 ลงชื่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร

ทั้งนี้ระเบียบดังกล่าวออกมาภายหลัง เกิดปัญหากรรมาธิการปปช ออกหนังสือเชิญพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มาชี้แจงกรณีเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 โดยไม่ถูกต้องเนื่องจากยังถวายสัจไม่ครบถ้วนถึง 3 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดมีการอ้างถึงการใช้อำนาจออกคำสั่งเรียกตามพระราชบัญญัติคำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาด้วย ซึ่งในขณะนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย มาตรา 5 มาตรา 8 และมาตรา 13 เกี่ยวกับการใช้อำนาจออกคำสั่งเรียกรวมถึงบทลงโทษทางอาญาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 129 หรือไม่ตามคำร้องของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ

“สมศักดิ์”ยันสำนวนคดี “บิลลี่” เสร็จก่อนกำหนด 20 วันแน่

People Unity News : รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่ราชบุรีมอบเงินเยียวยาเหยื่อคดีอาญา พร้อมเปิดคลินิกให้ความรู้ปชช. เผยสำนวนคดี “บิลลี่” เสร็จก่อนกำหนด 20 วัน ส่งศาลแล้วขอรอฟังอย่างเป็นทางการ พร้อมให้”รองกรวัชร์”คุมคดีต่อหาก กม. ให้ทำได้

วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 ที่วิทยาลัยเทคนิคราชบุรี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยนายวิวัฒน์ นิติกาญจนา ที่ปรึกษารมว.ยุตธรรม และคณะได้ลงพื้นที่จ.ราชบุรี เปิดโครงการยุติธรรมสร้างสุข ครั้งที่ 2 ประจำปีงบประมาณ 2563 โดยนายสมศักดิ์ ได้ปฐากถาพิเศษหัวข้อ “ยุติธรรมเชิงรุก สร้างสุขให้ประชาชน” และมอบเงินเยียวยาผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา จากนั้นได้ไปตรวจเยี่ยม เรือนจำกลางเขาบิน และศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน เขต 2 อ.เมือง จ.ราชบุรี

นายสมศักดิ์ กล่าวถึงการลงพื้นที่จ.ราชบุรี ว่า กระทรวงยุติธรรมได้มาพบปะและเยียวยาผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา มอบเงินช่วยเหลือเป็นค่าทดแทนและค่าเสียหายกับจำเลยในคดีอาญาและผู้ด้อยโอกาสหรือคนจนที่อยากให้ช่วยในเรื่องของคดีความ เช่น การหาทนาย เงินค่าประกันตัว ตลอดจนคนที่ต้องการได้ความรู้ในเรื่องของกฎหมายต่างๆ เราได้เปิดคลีนิกและบูธ ในชื่อ ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข รวมทั้งเรื่องไกล่เกลี่ยข้อพิพาทหลังศาลมีคำสั่งแล้ว มีหลายคดีที่มาไกล่เกลี่ย นอกจากนี้ยังมีการมอบประกาศนียบัตร หลักสูตร อบรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามพ.ร.บ.การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ.2562 จำนวน 100 ราย ซึ่งเราได้รับฟังข้อร้องเรียนและปัญหาต่างๆจากประชาชน และจำนำไปประมวลผลเพื่อช่วยเหลือและแก้ไขต่อไป

เมื่อถามถึงคดีของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำกระเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย นายสมศักดิ์ กล่าวว่า นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้พาภรรยานายบิลลี่มาร้องเรียน พบปะและพูดคุยและขอร้องให้ช่วยดำเนินการ โดยเฉพาะประเด็นนที่ อยากให้ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดูแลคดีนี้ต่อไป ตนได้บอกว่า คดีนี้พ.ต.ท.กรวัชร์ ขอเวลา 3 เดือน กำหนดวันสุดท้ายคือ 2 ธ.ค. 2562 และวันนี้ได้ยินว่า สำนวนได้ส่งไปที่ศาลแล้วเมื่อเช้า จึงถือว่า พ.ต.ท.กรวัชร์ ได้ทำงภารกิจจบแล้วตามที่ได้รับปากไว้กับประชาชน ส่วนรายละเอียดของสำนวนตนยังไม่ทราบ ว่าจะมีหมายจับ หมายค้นอย่างไร ขอให้รอฟังคำสังศาลอย่างเป็นทางการ คดีนี้เป็นคดีใหญ่ที่ทุกคนสนใจและรอฟัง ศาลคงใช้เวลาพิจารณาเราไม่ทราบว่าจะเวลาขนาดไหน นอกจากนี้นี้ พ.ต.ท.กรวัชร์ ยังดูแลคดีนี้อยู่ เพราะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาในคดีมาตั้งแต่แรก และขณะนี้พ.ต.ท.กรวัชร์ยังมีตำแหน่งเป็นรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อได้รับการโปรดเกล้าฯ จึงจะขาดจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในช่วงนี้จึงยังดูแลคดีอยู่ ไม่ต้องเป็นห่วง ขอให้สบายใจได้

“ผมได้บอกกับภรรยานายบิลลี่ไปว่า หากพ.ต.ท.กรวัชร์ ย้ายไปรับตำแหน่งใหม่ ถ้ากฎหมายให้สามารถมาดูแลคดีนี้ต่อไปได้ จะดำเนินการให้ แต่ตนไม่แน่ใจว่าตามกฎหมายทำได้หรือไม่ เพราะไปเป็นผู้ตรวจ ต้องพ้นจากกรมไปแล้ว”

เมื่อถามว่า คดีนี้ถือว่าจบก่อนกำหนด นายสมศักดิ์ กล่าว่า ถือว่าเร็วกว่ากำหนดถึง 20 วัน ทำให้เราสามารถตอบคำถามของครอบครัวนายบิลลี่และความห่วงกังวลของผู้คนได้ทั้งหมด ตนต้องขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมมือกันทำงานจนประสบผลสำเร็จ ส่วนศาลจะดำเนินการอย่างไรต่อไปคงต้องรอติดตามกัน เชื่อว่าอีกไม่นานคดีนี้จะได้ข้อยุติ

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ทางคณะผู้เข้าพบ ยังขอให้เร่งรัดกฎหมายอุ้มฆ่า ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของสภาแล้ว แต่เขากังวลเพราะได้ยินว่ามีเงื่อนไขของข้อเท็จจริงบางประการที่ต้องปรับปรุงและศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ทำให้กลัวว่ากฎหมายจะออกมาล้าช้าเกินไป ตนได้รับปากว่าจะทำให้ประหยัดเวลามากที่สุด ไม่ต้องห่วงว่าจะช้า จะทำให้เร็วที่สุดตามที่กฎหมายจะเอื้ออำนวย ขอให้ไม่ต้องกังวล

ทั้งนี้นายสุรพงษ์ กองจันทึก ทนายความ ในฐานะประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม นำน.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ หรือ มึนอ ภรรยานายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ แกนนำกระเหรี่ยงบ้านโป่ง-บางกลอย เข้าพบยื่นหนังสือต่อนายสมศักดิ์หลังดีเอสไอขอศาลออกหมายจับนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กับพวกรวม 4 ราย เพื่อขอให้ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รับผิดชอบสอบสวนคดีฆาตกรรมนายบิลลี่ต่อ พร้อมเร่งรัดให้ออกพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปราบการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย และออกมาตรการในการคุ้มครองปกป้องนักสิทธิมนุษยชน

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ตนขอให้รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมเร่งดำเนินการใน 3 ประเด็น คือ ขอให้แต่งตั้งหรือมอบหมายให้พ.ต.ท.กรวัชร์ เป็นหัวหน้าชุดสอบสวนหรือเป็นผู้รับผิดชอบทำคดีฆาตกรรมนายบิลลี่ต่อไป แม้ผู้ที่รับช่วงต่อจะมีความสามารถแต่ไม่เคยทำคดีนี้มาก่อนต้องใช้เวลาศึกษา อาจทำให้คดีเกิดความล่าช้าไม่ต่อเนื่อง, ขอให้นำร่างพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการทำให้บุคคลสูญหาย เข้าสู่การประชุมของสภาผู้แทนราษฎร พร้อมให้เร่งตราเป็นกฎหมายโดยเร็ว และขอให้มีมาตรการป้องกันและคุ้มครองนักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชน โดยจัดทำข้อมูล white list เพื่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยดูแล เนื่องจากก่อนหน้านี้กรมคุ้มครองสิทธิ์และเสรีภาพเคยยกร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว แต่หลังจากมีการเปลี่ยนอธิบดีคนใหม่เรื่องก็เงียบหายไปจึงอยากให้เร่งดำเนินการ

นายสุรพงษ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ดีเอสไอขอศาลอนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมนายบิลลี่ว่า ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับยังไม่ใช่ผู้ที่กระทำความผิด เพียงแต่เป็นผู้ที่เจ้าหน้าที่มีข้อมูลที่สงสัยก็ต้องเปิดโอกาสให้เข้าชี้แจงข้อเท็จจริง ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย

ด้านน.ส.พิณนภา กล่าวว่า ดีใจที่พ.ต.ท.กรวัชร์ได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น แต่ชาวบ้านบางกลอยต้องการให้พ.ต.ท.กรวัชร์ทำคดีฆาตกรรมนายบิลลี่ต่อจนจบ จึงต้องการให้รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมมีคำสั่งให้พ.ต.ท.กรวัชร์ รับผิดชอบคดีดังกล่าวจนกว่าคดีความจะถึงที่สุด สำหรับตนหลังจากทราบว่าผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมนายบิลลี่ ดีเอสไอร้องขอให้ศาลอนุมัติหมายจับก็ไม่ได้ติดใจอะไร อยากให้เขารับสารภาพและออกมาขอโทษสังคม กล้ารับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป เพราะเรื่องนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับใคร หากเกิดกับครอบครัวของผู้ต้องหาเองจะรู้สึกอย่างไร คนที่กล้าทำความผิดก็ควรกล้าออกมายอมรับความผิดที่ตนเองทำ

“อยู่ในหมู่บ้านบางครั้งก็กลัว บางครั้งก็ไม่กลัว เมื่อชาวบ้านถามว่าออกมาเรียกร้องสิทธิให้บิลลี่ไม่กลัวถูกอุ้มหายหรือ ถูกถามแบบนี้ก็รู้สึกกลัว แต่ตอนนี้คดีมีความคืบหน้าก็ไม่กลัวแล้ว และดีใจที่ดีเอสไอทำให้คดีมีความคืบหน้า แตกต่างจากความรู้เมื่อก่อนที่ไม่มีความหมายอะไรเลย ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับศาลว่าจะอนุมัติหมายจับหรือไม่ และไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็เชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรม” น.ส.พิณนภา กล่าว

“บิ๊กตู่”เผยได้รับรายงานออกหมายจับ”ชัยวัฒน์”แล้ว

ที่ตลาดน้ำเหล่าตั๊กลั๊ก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ขออนุมัติหมายจับกุม นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และพวก รวม 4 ราย คดีฆาตกรรม นายพอละจี เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “ได้รับรายงานแล้ว เรื่องคดีก็ว่ากันไป”

ลุ้น”โอ๊ค”รอดไม่รอด! คดีฟอกเงินกรุงไทย

People Unity News : ลุ้น”โอ๊ค”รอดไม่รอด! ศาลอาญาคดีทุจริตพิพากษาคดีฟอกเงินกรุงไทย

เมื่อเวลาประมาณ 09.40 น. วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางถึงศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เพื่อฟังคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91 กรณีที่มีการโอนเช็คเข้าบัญชีของนายพานทองแท้ ชินวัตร จำนวน 10 ล้านบาท จากอดีตผู้บริหารกลุ่มบริษัทกฤษดามหานครที่ได้รับอนุมัติเงินกู้จากคณะกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทยโดยมิชอบ

นายพานทองแท้มีสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกตื่นเต้นหรือไม่ นายพานทองแท้พยักหน้าและกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ก็มั่นใจในคดี ขณะที่คุณหญิงพจมานมีสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่บรรยากาศบริเวณศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีแกนนำและสมาชิกพรรคเพื่อไทยทยอยเดินทางให้กำลังใจนายพานทองแท้ อาทิ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา นายก่อแก้ว พิกุลทอง และนางสาวขัตติยา สวัสดิผลรวมถึงสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศที่มารอติดตามทำข่าวเป็นจำนวนมาก ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัยมีกำลังตำรวจจาก สน.สามเสน สน.นางเลิ้ง สน.บางโพธิ์ และสน.ชนะสงคราม รวม 40 นาย มาคอยดูแลความเรียบร้อยโดยรอบบริเวณ

ทั้งนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เริ่มอ่านคำพิพากษาในเวลา 10.00 น.

“เอม”โพสต์ IGให้กำลังใจพี่ชาย

“เอม”พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ บุตรสาวคนรองของ นายทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ โพสต์รูปภาพของมารดาและพี่ชาย คือ นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือโอ๊ค ผ่านอินสตาแกรม @aimpintongta โดยระบุว่า เรามีกันและกันเสมอนะ เหมือนเดิมตลอดมาและตลอดไป สู้ๆ! ตั้งสติไม่ต้องห่วงแม่ และพวกเรา พวกเราเข้มแข็งและเชื่อมั่นในตัวพี่ชายเสมอ @oak_ptt ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีค่ะ

“บิ๊กป้อม”ระบุไม่ต้องจับตาไม่หนักใจอะไร

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ต้องจับตาหรอก เขามาก็มา ผู้สื่อข่าวถามว่า ในตอนนี้ฝ่ายความมั่นคงหนักใจอะไรหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่หนักใจอะไรหรอก

“ธนกร”โต้”หญิงหน่อย”รับศก.ไทยไม่ค่อยดีเพราะผลกระทบจากศก.โลก

People Unity News : “ธนกร”โต้”หญิงหน่อย” เศรษฐกิจไทยไม่ค่อยดีเพราะผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก ยัน”บิ๊กตู่”ไม่เคยอุ้มนายทุน แต่ช่วยคนทั้งประเทศ เหน็บไม่เหมือนอดีตผู้นำบางคน เลือกช่วยเฉพาะจังหวัดที่เลือกตัวเองก่อน

วันที่ 4 พฤศจิกายน 2562 นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โจมตีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมว่า ไม่เคยแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างจริงจัง มักอ้างนักการเมืองและผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกว่า สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไม่ค่อยดีนักเนื่องจากผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกจริงๆ ซึ่งทุกประเทศในเอเชียได้รับผลกระทบหมด รัฐบาลจึงออกมาตรการต่างๆ มากระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อพยุงให้เศรษฐกิจประคองไปได้ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการชิมช้อปใช้ มาตรการประกันรายได้เกษตรกร การส่งเสริมการท่องเที่ยว ถ้าคุณหญิงสุดารัตน์ไม่พูดก็คงไม่มีใครว่า แต่ทางที่ดี หากมีข้อเสนอแนะอะไรดีๆ ก็น่าจะนำเสนอมา ไม่ใช่พูดไปเรื่อย เอาความสะใจไปวันๆ รัฐบาลมีความมุ่งมั่นและตั้งใจทำงานเพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้าให้ได้ คุณหญิงสุดารัตน์ควรเอาเวลาไปช่วยดูแลพรรคเพื่อไทยบ้างดีกว่า เห็นส.ส.หลายคนก็บ่นๆ อยู่

นายธนกร กล่าวอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ทำงานเพื่อพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ ไม่ได้ทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ที่สำคัญไม่เคยอุ้มนายทุนขนาดใหญ่หรือคนรวยตามที่คุณหญิงกล่าวหา ไม่เหมือนอดีตผู้นำบางคน ไปปราศรัยที่จ.นครสวรรค์แล้วบอกว่าจะช่วยจังหวัดที่เลือกพรรคของท่านก่อนเท่านั้น ทั้งนี้ รัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร เอสเอ็มอี แรงงาน สิ่งเหล่าพี่น้องประชาชนทราบดี มีเพียงคุณหญิงสุดารัตน์ที่ไม่ยอมเปิดรับ อยากให้เปิดใจให้กว้าง ทำจิตใจให้สงบ แล้วจะสัมผัสถึงความรักชาติ รักประชาชนของพล.อ.ประยุทธ์ คุณหญิงสุดารัตน์จะได้เข้าใจ มาช่วยกันเพื่อบ้านเมืองจะดีกว่า เพราะการเล่นเกมการเมืองมากจนเกินไปประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไร

“ภูมิธรรม”แนะแนวสรรหากมธ.แก้ไขรธน.

People Unity News : “ภูมิธรรม”แนะแนวสรรหากมธ.แก้ไขรธน. ทรงคุณวุฒิ ตั้งใจ ปลดล็อกที่เป็นอุปสรรคขัดขวางต่างๆได้

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2562 นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้าน สภาผู้แทนฯให้สัมภาษณ์เรื่องการแก้ไขรธน.เพิ่มเติมว่า ตามที่มีผู้เสนอความเห็นเกี่ยวกับการจัดตั้งกมธ.วิสามัญแก้ไขรัฐธรรมนูญ มายังพรรคร่วม7พรรคฝ่ายค้านนั้น ขอเรียนยืนยันว่า

1) การเลือกตัวแทนกมธ.ให้เข้ามาเป็นปธ.​กก.แก้รธน.​ เราจะระมัดระวังบทเรียนในอดีต มิให้การทำงานครั้งนี้ กลายเป็นความผิดพลาด โดยเลือกใครก็ได้ แต่ควรจะพิจารณาคนกลางที่มีความตั้งใจที่เห็นปัญหาของประเทศและปัญหาของรธน.ว่าเป็นอุปสรรคทำให้ประเทศเดินหน้าไม่ได้และที่สำคัญคนที่เข้ามาร่วมในคณะกมธ.ชุดนี้ควรเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความตั้งใจที่จะเข้ามาแก้ไขรธน.โดยมุ่งหวังที่จะช่วยปลดล็อกที่เป็นอุปสรรคขัดขวางต่างๆเพื่อให้การแก้ไข รธน.สามารถเป็นหนทางการปลดล็อคประเทศได้อย่างแท้จริง

2)แนวทางที่สำคัญอันหนึ่งที่จะได้หารือกันต่อไปคือ ช่วยกันมองหาคนที่ทุกฝ่ายยอมรับ ที่สามารถดึงความร่วมมือจากทุกภาคส่วน มาร่วมกันออกแบบรัฐธรรมนูญที่แก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชนได้และทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้เป็นอย่างดี

3)พรรคร่วมฝ่ายค้านทั้ง7พรรคจะนัดหารือกันก่อนที่วาระนี้จะเข้าสู่การพิจารณาและเชื่อว่าเราจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนที่สามารถตอบสนองการหาทางออกให้ประเทศและจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันและเป็นเอกภาพ

“เสรีพิศุทธ์”เมิน”พปชร.”ส่ง”ไพบูลย์”นั่งกมธ.ป.ป.ช.

People Unity News : “เสรีพิศุทธ์”เมิน”พปชร.”ส่ง”ไพบูลย์”นั่งกมธ.ป.ป.ช. แทน “ดล” แจงยกเลิกคำสั่งลักไก่แต่งตั้งที่ปรึกษาประธาน กมธ.แล้ว

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ กล่าวถึงกรณีที่นายดล เหตระกูล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติพัฒนา ลาออกจากการเป็นรองประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยพรรคพลังประชารัฐ จะส่งนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ มาทำหน้าที่แทนว่า ยังไม่ได้รับการหนังสือลาออกจากนายดล และไม่กังวลที่พรรคพลังประชารัฐ จะส่งนายไพบูลย์มาทำหน้าที่แทน เพราะเชื่อว่า เป็นการกดดันจากฝั่ง ส.ส.รัฐบาล เพราะเมื่อมีการเปลี่ยนตัวให้นายสิระ เจนจาคะ และนางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.พลังประชารัฐ กรรมาธิการก็มีแต่ป่วน

ส่วนกรณีที่นางสาวปารีณาไปแจ้งความเอาผิดพลตำรวจเอกเสรีศุทธ์ กรณีฝืนมติที่ประชุมธรรมาธิการที่ให้ออกหนังสือเรียกนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีแบบธรรมดา แต่พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ กลับสั่งการให้ออกเป็นหนังสือคำสั่งเรียกนั้น พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ ชี้แจงว่า เป็นความไม่เข้าใจของนางสาวปารีณา พร้อมยืนยันได้ดำเนินการตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญที่ในเชิญนากยรัฐมนตรี แต่รูปแบบการออกหนังสือนั้นไม่มีการกำหนดรูปแบบ จึงต้องใช้รูปแบบของหนังสือคำสั่งเรียก

พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ ยังชี้แจงถึงการออกประกาศแต่งตั้งที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการฯ ที่ระบุมติที่ประชุมในวันที่ 20 พฤศจิกายน แต่กลับมีการเผยแพร่ก่อนเมื่อ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า ได้ยกเลิกหนังสือดังกล่าวไปแล้ว เพื่อเปลี่ยนหนังสือใหม่ เป็นเพื่อให้ทราบ

Verified by ExactMetrics