วันที่ 16 พฤษภาคม 2024

“บิ๊กตู่”พร้อมครม.ส่งผู้แทนแสดงความเสียใจห่วงใยครอบครัวชรบ.ยะลา

People Unity News : นายกรัฐมนตรีแสดงความเสียใจและห่วงใยต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจากเหตุณ์ยิงถล่มจากป้อม ชรบ. จังหวัดยะลา และส่งผู้แทนนายกรัฐมนตรี เร่งทำงานอย่างเต็มที่

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในนามของรัฐบาลได้มอบหมายให้ พลโทพรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาค 4 เป็นผู้แทนนายกรัฐมนตรี แสดงความเสียใจและความห่วงใยต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์บุกยิงโจมตีป้อมยามจุดตรวจชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ประจำหมู่บ้านทุ่งสะเดา และชุดคุ้มครองตำบล (ชคต.) หมู่ที่ 4 ตำบลลำพะยา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา เป็นเหตุให้มีราษฎร, ชรบ. อรบ. และตำรวจ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 15 ราย โดยที่ 13 ราย เป็นชาวไทยผู้นับถือศาสนาพุทธ และอีก 2 ราย เป็นเป็นชาวไทยผู้นับถือศาสนาอิสลาม เมื่อคืนวันอังคาร ที่ 5 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา นั้น

พลโทพรศักดิ์ฯ กล่าวพลเอกประยุทธ์พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ทุกท่าน ได้ส่งพวงหรีดเพื่อเป็นแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวานก่อน โดยประชาชนผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเหล่านี้ล้วนเป็นผู้กล้าหาญ ทำหน้าที่ปกป้องชาติบ้านเมืองจากผู้ไม่ประสงค์ดีให้จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดความสุขสงบและสันติ

พร้อมนี้ได้กำชับและสั่งการให้ทุกหน่วยงานร่วมบูรณาการและเร่งรัดการแก้ไขปัญหาในส่วนของตนเองอย่างเต็มกำลังและสุดความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นการเร่งค้นหาผู้กระทำผิด การวางมาตราการที่เข้มข้นในการปกป้องชีวิตผู้บริสุทธิ์ทุกเชื้อชาติและศาสนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวและชุมชน การฟื้นฟูและเสริมสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้านและชุมชนให้สามารถทำหน้าที่ได้เช่นที่ผ่านมา

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยังขอร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันสร้างความรักและความสามัคคีให้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากวันนี้ทุกฝ่ายได้ตระหนักแล้วว่าประชาชนไม่ว่าจะเชื้อชาติไหน ศาสนาใด ล้วนมีภัยจากผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ซึ่งมิใช่ความขัดแย้งทางศาสนาของคนในพื้นที่ เป็นภัยร่วมกันของคนในพื้นที่และคนในประเทศไทยที่เฝ้าห่วงใยพี่น้องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนั้น การแสดงความรักและความสามัคคีของพี่น้องประชาชน จะเป็นปราการสำคัญในผนึกกำลังปกป้องและดูแลพี่น้องประชาชนทุกคนในพื้นที่ให้ได้รับความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข โดยรัฐบาลจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่และทำให้ดีที่สุด

วันเดียวกันนี้ พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวว่า ศอ.บต. ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ให้ดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บตามอำนาจหน้าที่ของ ศอ.บต. ให้เร็วที่สุด โดยวันนี้ทั้งวัน ตนเองได้ลงพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพจากทุกกระทรวงเพื่อจัดทำข้อมูลการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่เกิดเหตุแบบเฉพาะราย การกำหนดแนวทาง การเยียวยาและให้ความช่วยเหลือครอบครัว เพื่อให้ครอบครัวสามารถเป็นพลังในการดูแลสมาชิกในครอบครัวต่อไปได้ทำให้ครอบครัวยังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยสมบูรณ์

นอกจากนี้จะได้เพิ่มมาตรการการเยียวยาและให้ความช่วยเหลือชุมชน โดยเฉพาะในชุมชนที่เกิดเหตุครั้งนี้ จะเป็นตัวอย่างของการดำเนินการที่ทำแล้วจะประสบความสำเร็จนั่นคือการสร้างพลังและความเข้มแข็งให้กับชุมชน เพื่อให้ชุมชนสามารถฟื้นฟูความเข้มแข็ง ที่จะกลับมาดูแลและช่วยเหลือกันเองได้ ในส่วนนี้ ศอ.บต. จะเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงระบบการสนับสนุนการทำงานที่เกี่ยวข้องทุกมิติลงไปในพื้นที่ชุมชน เพื่อให้ชุมชนได้เป็นแกนหลักการทำงานในเชิงพื้นที่ ซึ่งเป็นแนวทางตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ในฐานะประธานกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้มอบหมายและสั่งการไว้แล้ว

พช.ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ชู “3 Rsโมเดล”

People Unity News : พช.ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ชู “3 Rsโมเดล” โชว์โครงการ “ถังขยะเปียก ลดโลกร้อน-บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” ในงานประชุมสิ่งแวดล้อมศึกษาโลกครั้งที่ 10 ที่ไบเทคบางนาระหว่างวันที่ 3-7 พ.ย.นี้

วันที่ 4 พฤศจิกายน 2562 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ร่วมรับเสด็จฯสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จเป็นองค์ประธานการประชุมสิ่งแวดล้อมศึกษาโลกครั้งที่ 10 : The 10th World Environmental Education Congress (10th WEEC 2019) ที่เป็นการประชุมระดับนานาชาติระหว่างประเทศที่เน้นการศึกษา ด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้หัวข้อ “Local Knowledge, Communication and Global Connectivity” (ภูมิปัญญาท้องถิ่น, การสื่อสารสิ่งแวดล้อมศึกษา และการเชื่อมโยงไปทั่วโลก)

เพื่อสร้างความร่วมมือทางวิชาการของผู้เข้าร่วมประชุม นักวิชาการจากทั่วโลก และปราชญ์ท้องถิ่น ตลอดจนเยาวชนในประเทศที่กำลังพัฒนาได้มีโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบ่งปันผลงาน เรียนรู้จากกันและกัน และร่วมกันกำหนดวิธีการที่จะจัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคต โดยใช้องค์ความรู้ วิชาการ รวมถึงเทคโนโลยีล่าสุดสำหรับการพัฒนาด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 10 ในระหว่างวันที่ 3 – 7 พฤศจิกายน 2562 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย จัดโดยสำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนา โดยโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเอกชน อาทิ คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันโลกร้อนศึกษาโดยมูลนิธินภามิตร สำนักงานเครือข่ายสิ่งแวดล้อมศึกษาโลก บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เป็นต้น

โดยปัจจุบันปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์ รวมถึงภัยพิบัติธรรมชาติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับโลก ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมจึงถือเป็นความรับผิดชอบของทุกคน ทุกภาคส่วน ที่ต้องมีจิตสำนึกแห่งการอนุรักษ์ และอยู่กับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยไม่ทำลาย และในการประชุมครั้งนี้ มุ่งหวังที่จะเผยแพร่พระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ในด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมด้วยวิธีทางธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นการจุดประกายให้เกิดการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาต่อยอดความรู้ในอนาคต

อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวว่า ในส่วนของกรมการพัฒนาชุมชนเอง ก็ได้ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พร้อมปฏิบัติเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เจ้าหน้าที่ฯ ในสังกัดทุกระดับ รวมถึงประชาชนทั่วไปด้วย โดยในส่วนของเจ้าหน้าที่กรมการพัฒนาชุมชน ได้มีการรณรงค์เรื่องการบริหารจัดการขยะอย่างถูกวิธี ตามแนวทาง 3 Rs คือ Reduce ใช้น้อย Reuse ใช้ซ้ำ และ Recycle นำกลับมาใช้ใหม่ ผ่านกระบวนการประชารัฐ ปลูกฝังให้ทุกคนเริ่มต้นจัดการขยะตั้งแต่ตัวเราเอง เริ่มจากการพกแก้วน้ำส่วนตัว พกถุงผ้าแทนถุงพลาสติก และ พกกล่องข้าวส่วนตัวแทนการใช้กล่องโฟม นอกจากนี้ได้มีการรณรงค์ให้มีการใช้ซ้ำแทนการทิ้ง การคัดแยกขยะแต่และประเภท และการลดการใช้หลอดพลาสติก เป็นต้น

ในระดับชุมชนได้มีข้อสั่งการให้สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด และสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอทั้วประเทศ จัดให้มีการรณรงค์หมู่บ้าน ตำบล หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยยึด “โกงธนูโมเดล” เป็นต้นแบบ ซึ่งองค์การบริหารส่วนตำบลโกงธนู อำเภอเมืองฯ จังหวัดลพบุรี ถือเป็นต้นแบบของการบริหารจัดการขยะที่ประสบผลสำเร็จ เห็นผลเป็นรูปธรรม มีการส่งเสริมให้ทุกครัวเรือนมีการจัดการคัดแยกขยะ เรียนรู้ร่วมกันในหมู่บ้าน เพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการคัดแยกขยะอย่างยั่งยืน ตั้งแต่ต้นทางมีการทำธนาคารขยะประชารัฐ และนำเงินที่ได้มาจัดตั้งสวัสดิการ “เพื่อนช่วยเพื่อน” สวัสดิการที่ช่วยดูแลคุณภาพชีวิตของสมาชิกทุกครัวเรือนในชุมชนในยามเสียชีวิต ถ้าเสียชีวิตจะได้ครอบครัวละไม่น้อยกว่า 85,000 บาท ส่วนขยะเปียก มีการทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์จากขยะเพื่อลดต้นทุนด้านการผลิต “ถังขยะเปียก ลดโลกร้อน” ประจำครัวเรือน ซึ่งเป็นสารบำรุงดินที่หมักในถังขยะเปียกครัวเรือน นำไปใช้ประโยชน์ในแปลงผักตามโครงการ “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” รวมถึงมีการทำนวัตกรรมพวงหรีดจักสานลดปริมาณขยะ ซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย

นอกจากนี้ พช. ยังได้กำหนดเป้าหมายของปีนี้ด้วยว่า ให้พัฒนากรทุกคนเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนทุกครัวเรือนช่วยกันปฏิบัติตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการดูแลรักษาบ้านเรือนให้สะอาด มีการคัดแยกขยะ พร้อมทั้งจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนที่นอกจากจะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยให้มีสารบำรุงดิน และปลูกพืชผักสวนครัวรั้วกินได้ที่ปลอดสารพิษ อันเป็นการทำอาหารให้เป็นยาบำรุงร่างกายและลดรายจ่ายที่ง่ายที่สุด รวมทั้งยังได้มีการรณรงค์ให้คนไทย ทุกเพศ ทุกวัย หันมาสวมใส่ผ้าไทยให้มากขึ้น เพื่อแสดงถึงความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ ฝีมือ ภูมิปัญญาของความเป็นไทย และยังเป็นอีกหนึ่งช่องทาง ที่ช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชน เสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มั่นคง ชุมชนก็จะมีความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้ด้วย

จ่อเสนอ “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” เป็นบุคคลสำคัญของโลก

People Unity News : 17 มีนาคม 2566 เชียงใหม่ – นายกฯ สนับสนุนข้อเสนอการสนับสนุนแผนแม่บทโครงการเสนอชื่อ ครูบาเจ้าศรีวิชัย เป็นบุคคลสำคัญของโลก

ที่วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์ โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับฟังข้อเสนอการสนับสนุนแผนแม่บทโครงการเสนอชื่อครูบาเจ้าศรีวิชัยเป็นบุคคลสำคัญของโลก กลุ่ม 10 จังหวัดภาคเหนือ จากพระเทพรัตนนายก เจ้าอาวาสวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร จังหวัดลําพูน ในฐานะประธานมูลนิธิครูบาเจ้าศรีวิชัย

ภายหลังรับฟังบรรยายสรุป นายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายตอนหนึ่งว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุน โครงการเสนอชื่อครูบาเจ้าศรีวิชัยเป็นบุคคลสำคัญของโลก พร้อมกล่าวชื่นชมว่าเป็นโครงการที่ดี เป็นการเชิดชูยกย่องบุคคลสำคัญของประเทศไทย ซึ่งครูบาศรีวิชัยเป็นพระภิกษุรูปหนึ่งที่เป็นที่เคารพบูชาอย่างยิ่งของพุทธศาสนิกชนชาวล้านนา เป็นแบบอย่างในการมีอุดมคติที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวในการปฏิบัติตามพระธรรมไทยทั่วประเทศ และเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณในการอุทิศตนเพื่อบำรุงพระธรรมวินัยโดยได้นำธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างในการเสียสละ อดทนอดกลั้นในการบำรุงพระพุทธศาสนา ทำให้พุทธศาสนิกชนที่เดินทางตามแนวทางการปฏิบัติของท่าน มีความสามัคคีในหมู่คณะ มีความเสียสละเพื่อส่วนรวม เอื้ออาทรต่อกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติ แม้เกิดปัญหาก็จะแก้ไขปัญหาด้วยขันติธรรมและปัญญา

นายกรัฐมนตรี สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงวัฒนธรรม รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันดำเนินการ โดยมอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพหลักในการจัดทำแผนและรายละเอียดต่างๆ ให้ครอบคลุมและชัดเจน และเตรียมพร้อมการนำเสนอต่อการพิจารณา

ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รายงานต่อที่ประชุมว่า กระทรวงวัฒนธรรมได้เตรียมแผนดำเนินการไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งในส่วนของงบประมาณและรายละเอียดการนำเสนอ มีความพร้อมเป็นอย่างมาก

นายกรัฐมนตรี ขอบคุณในความร่วมมือของทุกภาคส่วน พร้อมกล่าวย้ำว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลักของคนไทย สอนให้คนเป็นคนดีมีความรักความสามัคคี และอยู่ร่วมกันได้ด้วยความสงบ สถาบันศาสนามีส่วนสำคัญต่อจิตใจของประชาชน ฝากให้วัดช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา สร้างความศรัทธา เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชน

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ผู้นำท้องถิ่น หัวหน้าส่วนราชการ เร่งทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ ช่วยกันแก้ไขปัญหาการเผาป่า ลดมลพิษสร้างอากาศที่ดีให้กลับคืนมา ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่าย แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะทำไม่ได้ ถ้าทุกคนร่วมมือกัน เพราะทุกคนคือคนไทย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนต้องรักประเทศไทย ส่วนใครจะรักหรือไม่รักตนเองก็ไม่เป็นไร

Advertisement

นายกฯเหน็บแบงก์ชาติ มีหน่วยงานอื่นมีจิตสำนึกลดดอกเบี้ยช่วยประชาชน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 มีนาคม 2567 ทำเนียบรัฐบาล – นายกฯ บอกถึงแบงก์ชาติไม่ลดดอกเบี้ย แต่มีหน่วยงานอื่นมีจิตสำนึกลดดอกเบี้ยช่วยประชาชน ย้ำ หนี้สินคือสารตั้งต้นความหายนะของประเทศ

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการแก้ปัญหาหนี้สินของบุคลากรภาครัฐ ที่ทุกหน่วยงานอยากให้ลดดอกเบี้ย ว่า ทุกคนพูดเรื่องการลดดอกเบี้ย ที่ถือเป็นการลดรายจ่ายส่วนหนึ่ง อย่างน้อยหากธนาคารแห่งประเทศไทยยืนยันจะไม่ลดดอกเบี้ย แต่ก็มีหน่วยงานอื่นที่มีจิตสำนึกลดอัตราดอกเบี้ย ขอขอบคุณหน่วยงานเหล่านั้น เพราะการทำงานทำด้วยใจจริง ๆ เชื่อว่าผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บริหารระดับสูงเห็นความลำบากของประชาชนจริง ๆ โดยเฉพาะภาระหนี้สิน อย่างที่เคยกล่าวไว้ ภาระหนี้สินของประชาชน คือสารตั้งต้นของความหายนะของประเทศ ตอนนี้ต้องช่วยกันก่อน
ส่วนหนี้กยศ.ที่อยากให้ลดเหลือ 0.5 นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะไปช่วยดู เพราะตระหนักดีว่าเป็นความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ยืนยันว่าเรายังช่วยดูแลกันอย่างเต็มที่ โดยบอกไปในที่ประชุมว่า หากช่วยกันได้ ก็จะทำ รวมถึงการขยายวงเงิน และบอกอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ไปว่าควรเร่งเอาสหกรณ์เข้ามาอยู่ในโครงการโดยเร็ว ซึ่งเราเพิ่งเริ่มทำกันมาได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น และได้ผลส่วนหนึ่งแล้ว

“นายกิติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีก็มีแรงใจทำเรื่องนี้มาก ลงไปพูดคุยหลายหน่วยงาน พยายามทำให้ทุกคนมีความทะเยอทยานในการช่วยเหลือ ซึ่งประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว ดูจากแววตาของผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้งหลายในวันนี้ ซาบซึ้งถึงความลำบากของประชาชน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

ร.ท.หญิงสุณิสาถามพล.อ.ประยุทธ์แค่มาตอบคำถามกมธ.ป.ป.ช.จะตายหรือ

People Unity News : ร.ท.หญิงสุณิสาถามพล.อ.ประยุทธ์แค่เดินมาตอบคำถามกมธ.ป.ป.ช. ทำไมต้องทำเหมือนจะเป็นจะตายด้วย ที่ผ่านมารัฐมนตรีคนอื่นเขาก็ยังมาชี้แจงได้เพราะเป็นเรื่องปกติ

เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2562 ร.ท.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เห็นภาพกรรมาธิการ ปปช. ซีกรัฐบาล วิ่งพล่านทำทุกอย่างเพื่อปกป้องมิให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องมาตอบคำถามคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. ที่สภาผู้แทนราษฎร แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้า เป็นเรื่องความเดือดร้อนของชาวบ้านธรรมดาๆ แล้วบรรดาผู้แทนราษฎรทั้งหลายจะออกแรงเพื่อปกป้องกันสุดใจถึงขนาดนี้หรือไม่ ซึ่งหาก ส.ส. เหล่านี้ แบ่งพลังสักครึ่งหนึ่งที่ใช้ในการปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ แล้วเอาพลังงานตรงนั้นไปใช้ในการเรียกร้องความถูกต้องให้ประชาชน ประเทศไทยก็คงจะเจริญกว่านี้มาก

ทั้งนี้ เรื่องการเข้าให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. นั้น อันที่จริงไม่ใช่เรื่องใหญ่โต คณะกรรมาธิการ เขาแค่เชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาตอบคำถามที่สภา ไม่ได้เรียกมาเข้าคุกสักหน่อย ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ คิดว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไร รัฐมนตรีคนอื่น ๆ เขาก็เคยเดินทางเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการชุดต่าง ๆ กันเป็นเรื่องปกติ ทำไม พล.อ. ประยุทธ์ ต้องกลัวขนาดนี้ จนทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่

ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ ชอบบอกว่าเลือกตั้งช้าแล้ว จะเป็นจะตายกันหรือไง ก็ขอถามกลับว่า กะอีแค่เดินมาตอบคำถามที่สภา ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ ต้องทำเหมือนจะเป็นจะตายด้วย ดังนั้น ทางออกง่าย ๆ ของเรื่องนี้ ก็แค่ พล.อ.ประยุทธ์ นั่งรถมาที่สภาเท่านั้น  ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ เลิกทำตัวมีปัญหา และยอมรับการตรวจสอบ ผู้ใหญ่ในประเทศหลาย ๆท่านก็จะได้ไม่ต้องวุ่นวายมาช่วยจนเสียหลักการกันไปหมด แถมยังอาจช่วยทำให้ พล.อ ประยุทธ์ ดูดีขึ้น ว่าขนาดเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ก็ยอมลดทิฐิเพื่อไม่ให้บ้านเมืองวุ่นวายด้วย อย่าทำให้ ผู้ใหญ่หลาย ๆ คนในประเทศนี้ต้องควักต้นทุนทางสังคมเพื่อปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีความขัดแย้งและความวุ่นวายในคณะกรรมาธิการ ปปช.ว่า ตนเห็นด้วยกับความเห็นของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ระบุว่า ความเปลี่ยนแปลงใดๆเกี่ยวกับตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการ เป็นเรื่องภายในของคณะกรรมาธิการนั้นๆ เพราะการโหวตเลือกตำแหน่งต่างๆของคณะกรรมาธิการ เป็นการลงมติในที่ประชุมคณะกรรมาธิการทั้งสิ้น ดังนั้นถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งใดๆก็เป็นเรื่องภายในของกรรมาธิการที่จะพิจารณากัน จากข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีการระบุถึงการสิ้นสุดของผู้ดำรงประธานคณะกรรมาธิการ ต้องพิจารณาว่าสามารถนำข้อบังคับข้อที่ 108 ว่าด้วยการสิ้นสุดของกรรมาธิการมาบังคับใช้โดยอนุโลมได้หรือไม่

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา หรือโดยประเพณีปฎิบัติไม่เคยมีการโหวตเปลี่ยนตัวประธานคณะกรรมาธิการเลย เว้นแต่ตัวประธานจะขอลาออกจากตำแหน่งเสียเอง เพราะตำแหน่งประธานคณะกรรมาธการแต่ละคณะ เป็นข้อตกลงร่วมกันเป็นการภายในระหว่างวิปทั้ง2ฝ่าย และเป็นโควต้าของแต่ละพรรค ที่แบ่งกันชัดเจนตามสัดส่วนระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล

ส่วนกรณีที่มีกรรมาธิการ ปปช.ในสัดส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล ยื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้พิจารณาการทำหน้าที่ของประธานคณะกรรมาธิการ ปปช.ว่าถูกต้องหรือไม่ และร้องเรียนถึงความขัดแย้งในการทำงานของคณะกรรมาธิการนั้น เชื่อว่า เรื่องนี้เมื่อท่านประธานสภาฯรับหนังสือดังกล่าวแล้ว อาจจะมอบให้คณะกรรมาธิการกิจการสภาดำเนินการเหมือนกับข้อขัดแย้งของคณะกรรมาธิการบางคณะที่คณะกรรมาธิการกิจการสภาพิจารณาแก้ปัญหาจบแล้ว

ต้องยอมรับความจริงว่า สภาชุดนี้ มีส.ส.หน้าใหม่เข้ามาเป็นจำนวนมาก ในคณะกรรมาธิการบางคณะ มีกรรมาธิการที่เป็นส.ส.ใหม่เกิอบทั้งคณะ และบางคณะมีประธานคณะกรรมาธิการเป็นส.ส.สมัยแรก ยังขาดประสบการณ์ในการทำหน้าที่ ไม่เคยผ่านงานด้านกรรมาธิการมาก่อน ก็จะทำให้เกิดความขลุกขลักในการทำงานช่วงแรกๆ เชื่อว่าเมื่อผ่านการทำงานไปได้สักระยะหนึ่งทุกอย่างก็คงจะเข้าที่เข้าทาง ดำเนินการไปด้วยดีได้อย่างแน่นอน

อยากให้ ส.ส.ทุกคนได้ตระหนักถึงการทำหน้าที่ของตนในคณะกรรมาธิการว่า ทุกคนเป็นตัวแทนของประชาขน ในคณะกรรมาธิการจะไม่มีความเป็นพรรคการเมือง ทุกคนมีสถานะเป็นกรรมาธิการ มีหน้าที่ต้องทำงานร่วมกันตามบทบาทหน้าที่ ที่ได้ระบุไว้ในข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ไม่ควรนำเอาความเป็นพรรคการเมือง หรือขั้วการเมือง หรือความมีอคติ ความไม่พอใจส่วนตัวมายุ่งเกี่ยวกับการปฎิบัติหน้าที่ในคณะกรรมาธิการ หรือหากไม่มีการลดราวาศอกซึ่งกันและกัน ก็จะทำให้การทำงานของคณะกรรมาธิการแต่ละคณะไม่ประสบความสำเร็จตามเจตนารมย์ของข้อบังคับการประชุมสภา และเจตนารมย์ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน

“ไพบูลย์”แนะ”บิ๊กตู่”ส่งคืนหนังสือเรียกของ”เสรีพิสุทธิ์” เหตุกระทำโดยผิดกฏหมาย

นายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ตนได้ ยื่นเรื่องคำร้อง เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2562 เพื่อขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาวินิจฉัยเสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญกรณี พระราชบัญญัติคำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. 2554 มาตรา 5 มาตรา 8 และมาตรา 13 มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 129 ซึ่งต่อมาในวันที่ 15 พ.ย.2562 ผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นชอบให้เสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยต่อไปในวันเดียวกัน

นายไพบูลย์เห็นว่าการที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธานคณะกรรมาธิการ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ(กมธ.ปปช) สภาผู้แทนราษฎร ได้ลงนามในหนังสือด่วนที่สุด ที่ สผ.0019.05/945 เชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาชี้แจงแถลงข้อเท็จจริงต่อ กมธ.ปปชในวันพุธที่ 20 พ.ย. 2562 ในประเด็นข้อซักถาม ระบุไว้ 16 ข้อ ทั้งนี้ เนื้อหาในหนังสือระบุว่าอาศัยอำนาจตามมาตรา 129 วรรคสี่ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ประกอบมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติคำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. 2554 โดยหนังสือระบุไว้มุมบนขวาว่า กมธ.(บค.)1 นั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธาน กมธ ปปชได้ดำเนินการออกหนังสือฉบับดังกล่าว ตามแบบ กมธ.(บค.)1 เป็นไปตาม พรบ คำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการฯมาตรา 6 ที่ตนได้ตรวจสอบพบว่าขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 129 เนื่องจากได้บัญญัติให้คณะกรรมาธิการมีอำนาจ”สอบสวน “ซึ่งเป็นการขัดต่อเอกสารหลักฐานความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ มาตรา 129 ที่อธิบายไว้ ว่าเจตนารมย์แห่งรัฐธรรมนูญ วางหลักการใหม่ให้คณะกรรมาธิการไม่มีอำนาจ”สอบสวน” แต่ให้มีอำนาจเพียง”สอบหาข้อเท็จจริง” เท่านั้น จึงทำให้ พรบ คำสั่งเรียกของคณะกมธฯมาตรา 6 ซึ่งปรากฏให้คณะกรรมาธิการมีอำนาจ”สอบสวน”จึงขัดต่อความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 129 เช่นเดียวกับ พรบ คำสั่งเรียกของกมธฯมาตรา 5 มาตรา 8 และมาตรา 13 ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินมีความเห็นไปแล้วว่า มาตราดังกล่าว ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 129

ดังนั้นการออกหนังสือเรียกให้นายกรัฐมนตรีมาชี้แจงครั้งล่าสุดของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธาน กมธ ปปช นอกจากขัดต่อรัฐธรรมนูญแล้ว ในหนังสือฉบับดังกล่าวยังระบุเรื่องที่ขอให้ชี้แจงแถลงข้อเท็จจริงคำถามจำนวน 16 ข้อที่ไม่อยู่ในกรอบอำนาจของกมธ ปปช วิญญูชนที่ได้อ่านคำถามดังกล่าวแล้ว ย่อมเห็นได้อย่างชัดเเจ้งว่า มีเจตนาจงใจกลั่นแกล้งผู้ที่ต้องไปชี้แจงแถลงข้อเท็จจริง จึงอาจเข้าข่ายเจ้าหน้าที่รัฐ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157

และประกอบกับกรณีดังกล่าวผู้ตรวจการแผ่นดินได้เสนอเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย พรบ คำสั่งเรียกของกมธฯขัดหรือเเย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา129 แล้ว นายไพบูลย์จึงเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ควรปฏิเสธไม่ไปชี้แจงต่อ คณะกมธ ปปช ตามหนังสือที่สผ.0019.05/945 หรือพิจารณาส่งคืนหนังสือฉบับดังกล่าวโดยเหตุที่เป็นการออกหนังสือโดยมิชอบด้วยกฏหมายหลายประการ และพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธาน กมธ ปปช ควรเร่งขอยกเลิกหนังสือฉบับดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อป้องกันการถูกฟ้องร้องดำเนินคดีต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในความผิดตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 157

“รมช.พาณิชย์”รุดปลอบขวัญเด็กทำกระทงการ์ตูน เร่งเขี่ยตัวแทนลิขสิทธิ์​เถื่อนออกจากระบบ

People Unity News : รมช.พาณิชย์รุดปลอบขวัญเด็กทำกระทงการ์ตูนโคราช ประกาศ​ลั่นเตรียมจัดระเบียบตัวแทนลิขสิทธิ์​หวังเขี่ยตัวแทนเถื่อนออกจากระบบ ตัดตอนไม่ให้เรียกรับผลประโยชน์​ด้วยวิธีการข่มขู่คนทำมาหากินแบบไม่ถูกต้อง

วันที่ 9 พ.ย.2562 นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หลังได้รับทราบเหตุการณ์​เยาวชนในจังหวัดนครราชสีมา​ถูกดำเนินคดีละเมิดลิขสิทธิ์กรณี​ทำกระทงการ์ตูนก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก จึงได้เดินทางมาปลอบขวัญและให้กำลังใจ เนื่องจากตนเองก็เป็นคนโคราชเช่นกัน จึงมาให้กำลังใจในฐานะชาวโคราชคนหนึ่งที่ไม่อาจนิ่งดูดายหรือเพิกเผยเมื่อเห็นลูกหลานย่าโมเสียขวัญอย่างหนัก จากการถูกข่มขู่แสวงหาประโยชน์โดยอาศัยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเด็กและเยาวชน ในฐานะที่ตนกำกับดูแลกรมทรัพย์สินทางปัญญา​ จะนำเหตุการณ์​ครั้งนี้เป็นกรณีศึกษาเพื่อนำไปสู่การจัดระเบียบไม่ให้ตัวแทนลิขสิทธิ์เถื่อนอาศัยช่องว่างทางกฎหมาย​ไปข่มขู่คนทำมาหากินแบบไม่ถูกต้องอีกต่อไป โดยตนได้สั่งการให้กรมทรัพย์สินทางปัญญา​ดึงสิ่งที่อยู่​ในมุมมืดออกมาอยู่ในที่สว่าง เพราะประชาชนและเยาวชนทั่วไปที่ต้องการทำมาค้าขายควรจะได้รับรู้ว่าจะสามารถผลิตกระทงหรือสินค้าอื่นใด เป็นรูปการ์ตูน​ลายไหนได้หรือไม่ได้บ้าง ซึ่งกระทรวง​พาณิชย์​อยู่ระหว่างเร่งรัดดำเนินการและจะประกาศ​แนวทางจัดระเบียบตัวแทนลิขสิทธิ์ รวมถึงสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับลิขสิทธิ์การ์ตูน เพื่อป้องกันการล่อให้กระทำความผิด โดยจะจัดให้มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2562

ทั้งนี้ นายวีร​ศักดิ์​กล่าวว่า เบื้องต้นก็ได้กำชับกรมทรัพย์สินทางปัญญา​ว่าจะต้องขอความร่วมมือและกำหนดมาตรการให้ผู้เกี่ยวข้องยึดแนวทางปฏิบัติโดยผู้รับมอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจช่วงต้องดำเนินการตามกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมายและคำนึงถึงความเป็นธรรม รวมทั้งขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่ตำรวจในการพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะการตรวจสอบหนังสือมอบอำนาจของเจ้าของลิขสิทธิ์ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ โดยอาศัยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ผลิตหรือผู้ค้า โดยเฉพาะ​รายที่เป็นเด็กหรือเยาวชน

อย่างไรก็ตาม​ นายวีร​ศักดิ์​ย้ำว่า ไม่อยากให้เด็กและเยาวชนหลายรายในหลายจังหวัด​ที่ถูกดำเนินคดีในลักษณะ​เดียวกันนี้หมดกำลังใจที่จะช่วยเหลือครอบครัว​หารายได้พิเศษ อีกทั้งผู้ใหญ่​อย่างเราๆก็มีหน้าที่ที่จะต้องช่วยกันสนับสนุนให้เด็กๆคิดประดิษฐ์กระทงการ์ตูนหรือผลงานสินค้าอื่นๆ ให้สามารถสร้างสรรค์​รูปแบบหรือลวดลายการ์ตูน​ใหม่ๆได้อย่างเต็มที่

“ประยุทธ์” เตรียมมอบนโยบายและข้อสั่งการให้ รมต.ใหม่ไปขับเคลื่อนปฏิบัติ

People Unity News : นายกฯ เตรียมมอบนโยบาย รมต.ใหม่ พร้อมลุยงานทันที สั่ง ครม.เร่งสร้างผลงาน แก้ปัญหาให้ประชาชน

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้กล่าวว่ารัฐมนตรีที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พร้อมปฏิบัติงานทันที ซึ่งภายหลังการเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติงานในตำแหน่ง พร้อมอธิบายแนวทางการขับเคลื่อนภาพรวมของรัฐบาล ให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และรับข้อสั่งการจากนายกรัฐมนตรีไปขับเคลื่อน รวมถึงถือโอกาสพบปะ ครม. ทั้งคณะด้วย

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ขอให้เชื่อมั่นว่า ครม.ใหม่ ผ่านการพิจารณามาเป็นอย่างดีแล้ว ทุกคนล้วนมีประสบการณ์ด้านการบริหารระดับสูงมาแล้วทั้งสิ้น มีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่ง เชื่อว่าจะสามารถสานต่องานทันทีโดยไม่สะดุด และริเริ่มโครงการใหม่ๆได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ขอให้รัฐมนตรีทุกคนเร่งสร้างผลงานให้ปรากฏแก่สายตาประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมในช่วงที่สถานการณ์โรคโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย จะต้องเร่งขับเคลื่อนงานที่แต่ละกระทรวงรับผิดชอบ โดยเฉพาะฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว เพราะประเทศไทยถือว่าได้เปรียบที่สามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคได้เป็นอย่างดี จึงควรใช้ตรงนี้เป็นโอกาส เร่งฟื้นฟูสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนในประเทศ และชาวต่างชาติเกิดการลงทุนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อประเทศชาติและประชาชนในระยะยาว

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีระบุถึงการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจว่า นอกจากการทำงานของคณะ รมต. แล้ว ยังได้หารือกับคณะที่ปรึกษาด้านต่างๆ กรรมการด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ผู้แทนสถาบันการเงิน ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ สมาคมผู้ประกอบการ ฯลฯ โดยพูดคุยเพื่อรับข้อเสนอและความต้องการต่างๆ พร้อมพิจารณาร่วมกันถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินการ อันจะเป็นหนทางสู่การเร่งแก้ไขสถานการณ์ของประเทศภายใต้ข้อกำจัด พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยังมอบนโยบายให้เปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผ่านการดำเนินการของผู้ว่าราชการจังหวัด ที่มีทีมที่ปรึกษาที่มาจากประชาชน เพื่อจัดทำฐานข้อมูลแบบ Big Data แล้วจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วน ก่อนจะมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ซึ่งการดำเนินงานหลายเรื่องสามารถทำได้โดยระบบออนไลน์ ตามความตั้งใจที่ประกาศจะเป็นรัฐบาล New normal

Advertising

รมว.ดีอีเอสคนใหม่ เผยนโยบายเร่งด่วน ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ Fake News เร่งขับเคลื่อน “รัฐบาลดิจิทัล”

People Unity News : 7 กันยายน 2566 รมว.ดีอีเอส เข้า​กระทรวง​วันแรก​ ย้ำเดินหน้า​ปราบปราม​การหลอก​ลวง​ทางเทคโนโลยี​ และขับเคลื่อน​รัฐบาล​ดิจิทัล

นาย​ประเสริฐ​ จันทร​รวง​ทอง​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​ดิจิทัลเพื่อ​เศรษฐกิจ​และ​สังคม​ (ดีอีเอส) เข้า​กระทรวง​วันแรก​ ถือฤกษ์​ 09.29​ น.​ สักการะ​พระพรหม​บริเวณ​อาคาร​รัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ จากนั้น​ให้​สัมภาษณ์​ผู้สื่อข่าว​​ว่า​ นโยบาย​เร่งด่วน​คือ​ การปราบปราม​การ​หลอกลวงทางเทคโนโลยี​ แก๊ง​คอลเซ็นเตอร์​ และข่าว​ปลอม​ (Fake​ News) ซึ่ง​สร้าง​ความ​เสียหาย​ต่อ​ประชาชน​ โดยจะวางมาตรการ​การ​ตรวจสอบ​อย่างเข้มข้น

นอกจาก​นี้​จะเร่งขับเคลื่อน​ “รัฐบาล​ดิจิทัล” โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ภายในหน่วยงานต่างๆ​ ของ​รัฐ​ เพื่อ​เพิ่มศักยภาพการทำงานขององค์กรรัฐให้รวดเร็ว ก้าวทันตามเทคโนโลยี รวมถึงยังมีระบบการเชื่อมโยงการเข้าถึงข้อมูล ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วให้กับผู้ที่ต้องการติดต่อกับหน่วยงานภาครัฐง่ายยิ่งขึ้นและเพื่อ​ให้การบริการ​ของ​ภาค​รัฐ​เป็น​ไป​อย่าง​มีประสิทธิภาพ

Advertisement

เลขาฯพระปกเกล้า ชี้เลือกตั้งท้องถิ่นเป็นเครื่องมือสร้างประชาธิปไตยระดับชาติ

People Unity News : 28 กันยายน 2565 “วุฒิสาร”  ชี้การเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นโดยตรง สร้างประชาธิปไตย โจทย์สำคัญแก้ปัญหาของคนในชุมนุม ยกเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. สร้างปรากฎการณ์สะท้อนสิทธิประชาชน

นายวุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า  กล่าวในเวทีสัมมนาสาธารณะ “การประเมินผลการจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น”  ที่จัดโดย สถาบันพระปกเกล้า  ว่าการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่สำคัญสุดของระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะประชาธิปไตยแบบตัวแทน   กลไกการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือที่ให้อำนาจกับประชาชน ในการกำหนดคนที่จะมาเป็นตัวแทน ไม่ว่าจะเป็นระดับชาติหรือท้องถิ่น ดังนั้นหากสามารถทำให้กระบวนการเลือกตั้งเป็นแบบ Free and Fair  ทุกคนกาบนเสรีภาพทางความคิด  ปราศจากเงื่อนไข  อามิสสินจ้าง มีกลไกควบคุมการปฏิบัติอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม กลไกการตรวจสอบต้องมีประสิทธิภาพที่จะชี้ให้เห็นว่าการเลือกตั้งบริสุทธ์ยุติธรรมทั้งนี้การเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นเครื่องมือการสร้างประชาธิปไตยท้องถิ่นเพื่อไปสู่การสร้างประชาธิปไตยระดับชาติ

การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นเป็นการเลือกตั้งโดยตรง เมื่อพื้นที่เล็ก ความใกล้ชิดพื้นที่ ทำให้การตัดสินใจง่าย ขณะที่อำนาจในการถอดถอนตามกฎหมายยังมีข้อจำกัดทั้งเงื่อนเวลาการดำรงตำแหน่งและจำนวนประชาชนเข้าชื่อ พร้อมมองว่าการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นโดยตรง เป็นโจทย์สำคัญในการแก้ปัญหา พร้อมยกตัวอย่างการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. มีปรากฎการณ์ใหม่ เช่น แคนติเดตที่น่าสนใจจำนวนมากที่มีข้อเสนอทางนโยบายที่เป็นรูปธรรม และทำให้ประชาชนจับต้องได้ และตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายทั้งในพื้นที่และภาพรวม โดยมีนโยบายที่จะนำไปสู่การพัฒนาการเลือกตั้งท้องถิ่นในอนาคตต้องมีนโยบายและทิศทาง

นายวุฒิสาร มองว่าการเลือกตั้งทางตรงแม้จะมีข้อดี แต่ยังมีข้ออ่อน เช่น ทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น ทำให้การต่อสู้กันรุนแรงขึ้น  โดยเฉพาะในพื้นที่เล็ก จะทำให้การจัดเลือกตั้งยาก ทั้งนี้ในการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้ง อบจ.  เทศบาล  อบต. ที่ผ่านมาหลังถูกแช่แข็งมา 6-7 ปี  พบว่าประชาชนตื่นตัว ออกมาใช้สิทธิ์มาก ผู้สมัครหน้าใหม่และคนรุ่นใหม่ลงสมัคร โดย 60-70% ที่คนหน้าใหม่ได้รับเลือกตั้ง  สะท้อนว่าการเลือกตั้งไม่ใช่การส่งต่อมรดก  และบทบาทนักการเมืองท้องถิ่นเด่นชัด  ทำให้การเลือกตั้งเปลี่ยน และโจทย์ใหม่คือต้องทำให้หลังการเลือกตั้งจบลงยังเกิดความสามัคคี  ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชุมชน

Advertisement

“เจ้าคุณประสาร”แจงคณะอนุกมธ.พุทธและศาสนาอื่นยันไม่เกี่ยวข้องกับธรรมกาย

People Unity News :  “เจ้าคุณประสาร”แจงคณะอนุกมธ.พุทธและศาสนาอื่นยันไม่เกี่ยวข้องธรรมกาย เผยที่ประชุมมีมติรับศึกษาร่างพรบ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ธนาคารพระพุทธศาสนา และแม่ชีไทย ตามที่เสนอ วอนฝ่ายกล่าวหาอย่ากล่าวโจมตีให้ร้ายเหตุมีอคติเข้าครอบงำ

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 ที่ห้องประชุม 405 อาคารรัฐสภา (เกียกกาย) พระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ในฐานะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า นางพรเพ็ญ บุญศิริวัฒนกุล ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ ได้เรียกประชุมคณะอนุกรรมาธิการนัดแรก เริ่มประชุมที่ประชุมได้เสนอเชื่อและลงมติในการพิจารณาอนุกรรมาธิการเพื่อดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา รองประธาน เลขานุการ และผู้ช่วยเลขานุการ

จากนั้นได้ศึกษาทำความเข้าใจในขอบเขตอำนาจ หน้าที่ของอนุกรรมาธิการเพื่อให้ตรงกับรัฐธรรมนูญ กฎหมายและอื่นๆเพื่อให้เข้าใจตรงกัน ในวาระพิจารณานั้นส่วนของอาตมาได้ขอให้คณะอนุกรรมาธิการขออำนาจจากกรรมาธิการชุดใหญ่เพื่อศึกษาและเสนอต่อกรรมาธิการใน 3 เรื่องคือ 1. ร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา 2.ร่างพระราชบัญญัติธนาคารพระพุทธศาสนา และ 3.ร่างพระราชบัญญัติแม่ชีไทย ที่ประชุมมีมติรับไปดำเนินการทั้ง 3 เรื่องแต่ขอพิจารณาคราวละเรื่องเพื่อจะได้สำเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด

ก่อนหน้าเข้าสู่ระเบียบวาระ อาตมาได้ปรารภกับที่ประชุมว่า ก่อนมาประชุมมีสื่อมวลชนบางสำนักได้เสนอข่าวว่า มีอดีตเลขาธิการพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ได้กล่าวในทำนองว่าทำไมคณะอนุกรรมาธิการชุดนี้จึงแต่งตั้งบุคคลที่เป็นเครือข่ายวัดใหญ่วัดหนึ่งเข้าไปเป็นอนุกรรมาธิการด้วยโดยสื่อท่านนั้นก็พูดแสดงความเห็นทำนองว่ารวมเอาอาตมาเข้าไปในเครือข่ายนั้นด้วย รวมทั้งพูดว่าอาตมานั้นเคยลุกขึ้นถือดาบ รำดาบปกป้องอดีตเจ้าอาวาสวัดนั้นด้วย

อาตมาจึงยืนยันต่อคณะอนุกรรมาธิการว่า(เคยยืนยันกับสื่อมาแล้วหลายครั้ง) 1.ในชีวิตนี้ไม่เคยเข้าไปที่วัดดังกล่าว ไม่เคยเป็นมือปืนรับจ้าง ไม่เคยรับงานใครมาทำ ยืนยันชัดเจน ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นได้ทำงานเพื่อคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนาโดยรวมตลอดมา 2. บุคคลที่อดีตเลขาธิการพรรคการเมืองและสื่อคนนั้นเจาะจงพูดถึงซึ่งเป็นอนุกรรมาธิการอยู่ด้วยนั้นอาตมาได้ยืนยันต่อคณะอนุกรรมาธิการว่าไม่คยรู้จักกัน ไม่เคยติดต่อกัน เคยพบครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 นอกจากนั้นในการประชุมนัดแรกนี้ยังตั้งป้ายให้อาตมานั่งติดกันอีก คงจะเป็นประเด็นได้อีกแน่นอน นี่คือคำปรารภของอาตมาในที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการนัดแรก เมื่อเลิกประชุมก็รับการถวายข้าวกล่องขึ้นไปฉันบนรถเพื่อกลับไปปฎิบัติหน้าที่ตามปกติ

ภายหลังระหว่างเดินทางกลับได้รับการติดต่อจากหลายคน หลายฝ่ายว่า มีอดีตเลขาธิการพรรคการเมืองพรรคหนึ่งท้วง (หรือจะเรียกอะไรก็ตาม) ว่าการแต่งตั้งให้อาตมาเป็นอนุกรรมาธิการฯนั้นผิดรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถทำได้ พระสงฆ์เป็นอนุกรรมาธิการไม่ได้ ตอนนี้ฝ่ายที่รับผิดชอบก็เลยกำลังศึกษากันอยู่ว่าจะทำอย่างไร จะออกมาในรูปแบบใหน อย่างไร

พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวต่อว่า สำหรับอาตมานั้น ก่อนรับปากว่าจะไปนั่งทำหนัาที่ตรงนั้น ได้ศึกษารายละเอียดมาพอสมควร ทำการบ้านมาบ้างแล้ว และไปฟังจากนักกฎหมายหลายท่านในการประชุมวันแรก อาตมาขอสรุปประเด็นที่กำลังถูกบางท่าน บางคนตั้งข้อสังเกต ดังนี้

1.ผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่
2. ผิดกฎหมายอื่นใดไหม
3. ผิดกฎหมายสงฆ์และกฎเกณฑ์ ระเบียบ คำสั่ง ประกาศ ข้อบังคับและอื่นๆของมหาเถรสมาคมหรือไม่
4.เป็นการนำพาพระหรือพระกระโจนลงไปเล่นการเมืองใหม
5.เหมาะสม สมควรหรือไม่
6. ผิดพระธรรมวินัยไหม

ขอชี้แจงรายละเอียด ดังนี้
1. ไม่ปรากฎในรัฐธรรมนูญว่าพระสงฆ์เป็นบุคคลตัองห้ามในการดำรงตำแหน่งดังกล่าว
2. ไม่ปรากฎว่ามีกฎหมายฉบับใดๆของไทยในการห้ามพระสงฆ์เข้าไปดำรงตำแหน่งในอนุกรรมาธิการโดยเฉพาะในอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ
3.ไม่ปรากฎในกฎหมายสงฆ์และอื่นๆในการต้องห้ามในกรณีนี้
4. กรณีนี้ต้องพิจารณาให้รอบคอบ นี่เองที่อาตมาปรารภว่าได้ทำการบ้านมาบ้างแล้ว เราจะต้องแยกแยะเรื่องบ้านเมืองกับเรื่องการเมืองให้ออก บ้านเมืองคือส่วนรวมของประเทศชาติ ทุกคนต้องมีส่วนร่วมรวมทั้งพระสงฆ์ก็ไม่เว้น ส่วนการเมืองเรื่องอำนาจ การหาเสียง และผลประโยชน์อื่นใดนั้น จะรวมทั้งการชี้นำทางการเมืองด้วยแล้ว แน่นอนพระสงฆ์ไม่ควรยุ่งเกี่ยว ไม่ควรเกี่ยวข้อง

สำหรับในส่วนของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้บัญญัติไว้ชัดเจนในขอบข่ายอำนาจหน้าที่ของอนุกรรมาธิการ เพราะที่ผ่านมานั้นการตั้งคณะอนุฯมาหลายคณะ หลายชุดแล้วกลับกลายเป็นประเด็นทางการเมือง เป็นเครื่องมือทางการเมือง เช่น เรียกบุคคล องค์กร มาสอบ มาถาม มีการชี้ผิดชี้ถูกให้คุณให้โทษได้ เป็นต้น

รัฐธรรมนูญจึงกำหนดบทบาทของคณะอนุฯใหม่ไม่ให้มีอำนาจกระทำการแบบนั้นได้ เป็นเสมือนที่ปรึกษาทางวิชาการของกรรมาธิการชุดนั้นๆเท่านั้น ขอย้ำ คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ เป็นเสมือนที่ปรึกษาด้านวิชาการแก่คณะกรรมาธิการชุดใหญ่เท่านั้น ไม่มีอำนาจ หน้าที่อะไรมากไปกว่านี้

ในคำสั่งแต่งตั้งนั้น ชัดเจนให้คณะอนุกรรมาธิการชุดนี้ มีหน้าที่และอำนาจ ดังนี้

1. พิจารณาศึกษาประเด็นปัญหาตามที่คณะกรรมาธิการมอบหมาย ในเรื่องเกี่ยวกับการอุปถัมภ์ทำนุบำรุงและคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆที่ทางราชการให้การรับรอง รวมทั้งสร้างศาสนสัมพันธ์เพื่อความสามัคคีและศาสนิกชนสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสันติสุข

2. ให้คณะอนุกรรมาธิการรายงานผลการพิจารณาศึกษาต่อคณะกรรมาธิการทราบเป็นระยะ และจัดทำรายงานผลการพิจารณาศึกษาเสนอต่อคณะกรรมาธิการภายในระยะเวลาที่กำหนด

เหตุผลที่อาตมาได้อธิบายมาและยิ่งมาดูหน้าที่และอำนาจตามกรอบที่ได้รับมอบหมายแล้วก็จะมีแค่อย่างละข้อเท่านั้นเองสำหรับหน้าที่และอำนาจ และโดยเฉพาะข้อที่หนึ่งนั้นชัดเจนมาก ชัดเจนในภารกิจที่จะต้องทำ คือจะต้องปฎิบัติในสิ่งที่เป็นคุณต่อพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ นี่เป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องทำความเข้าใจให้ตรงกัน ให้เข้าใจเหมือนกันทุกฝ่าย รวมทั้งฝ่ายที่กำลังร้องอยู่ในขณะนี้ด้วย จึงอยากถามว่า นี่หรือการเมือง นี่ใช่ใหมพระเล่นการเมือง นี่ใช่ใหมพระทำผิดรัฐธรรมนูญและกฎหมายบ้านเมือง นี่ใช่ใหมพระทำตัวไม่เหมาะสม และถ้าหน้าที่และอำนาจที่ระบุไว้ในอนุกรรมาธิการชัดเจนขนาดนี้แล้วถ้าพระสงฆ์ซึ่งเป็นศากยบุตรยังไม่เหมาะในการไปทำหน้าที่ดังกล่าว ไม่ควรเป็นผู้แทนไปแสดงบทบาทนี้ ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร แล้วใครละที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจะไปทำหน้าที่ ช่วยตอบทีการกล่าวอ้างการเมืองโดยไม่ศึกษารายละเอียดให้ชัดเจนถ่องแท้มันง่ายดีและโดยเฉพาะเรื่องมันเกี่ยวเนื่องกับสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็โยนเป็นการเมืองไปหมด แบบนี้ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากการกล่าวโจมตีโดยการจับมัดรวมว่าเป็นเครือข่ายวัดโน้นวัดนี้ คนของคนโน้นคนนี้ถ้าไม่คำนึงถึงความถูกต้องและคุณธรรมแล้วก็สนุกปากดี

5. เหมาะสมหรือไม่ ตอบรวมแล้วในข้อที่ 4
6. พระพุทธองค์มีปณิธานส่วนพระองค์ว่า จะยังไม่ปรินิพพาน ถ้าสาวกของพระองค์ยังไม่ศึกษาพระพุทธศาสนาทั้งปริยัติและปฎิบัติแล้วนำไปสู่ปฎิเวธ เผยแผ่พระพุทธศาสนา และพิทักษ์ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา

“กรณีนี้เข้าข่ายพุทธปณิธานทั้งการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและการอุปถัมภ์ พิทักษ์ ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา วันนี้อาตมาขอยืนยันว่า ไม่ยึดติด ไม่กังวล พร้อมจะลุกออกไป ไม่มีปัญหา อาตมาขอร้องเพียงว่า อย่ากล่าวโจมตี ให้ร้าย มุ่งทำลายเพราะมีอคติเข้าครอบงำ บ้านเมืองของเราต้องการความสามัคคี เพื่อเดินหน้าประเทศไปสู่การกินดีอยู่ดีของคนทั้งประเทศ ท่านทั้งหลายจะมีสติและพอกันได้หรือยังกับการเล่นการเมืองเพื่อมุ่งทำลายล้างคนที่เราไม่ชอบโดยไม่คำนึงถึงคุณธรรมใดๆ ทั้งสิ้น
พอได้แล้วโยม” พระเมธีธรรมาจารย์ ระบุ

Verified by ExactMetrics