วันที่ 29 เมษายน 2024

เลขาฯยูเอ็นขอ”บิ๊กตู่”ดันแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม-ลดขยะทะเล

People Unity News : “บิ๊กตู่”ยันไทยและอาเซียนร่วมมือยูเอ็นเดินหน้าการพัฒนาที่ยั่งยืน นำการประชุมผู้นำอาเซียนเน้นเป้าหมายประชาชนเป็นศูนย์กลาง ขณะที่เลขาฯยูเอ็นขอไทยช่วยผลักดันการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม-ลดขยะในทะเล

วันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 ที่ห้อง Sappire 108 ชั้น 1 อาคารอิมแพค ฟอรั่ม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้พบหารือกับ นายอันโตนิอู กุแตเรช เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง โดย นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกฯ ยินดีที่ได้พบกับเลขาธิการสหประชาชาติอีกครั้ง ภายหลังจากที่พบเมื่อเดือนกันยายนในช่วงการประชุม UNGA 74 ขอบคุณที่เดินทางมาร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน – สหประชาชาติ ครั้งที่ 10 นี้

พล.อ. ประยุทธ์ ยืนยันว่า ไทยให้ความสำคัญกับการสร้างหุ้นส่วนการพัฒนาที่ยั่งยืนระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน และระหว่างอาเซียนกับกลุ่มภูมิภาคต่างๆ ซึ่งอาเซียนพร้อมร่วมมือกับสหประชาชาติเพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับกลุ่มต่างๆ เกี่ยวกับแนวทาง องค์ความรู้ และประสบการณ์ เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมาย SDGs ไปด้วยกัน ทั้งนี้ ไทยยินดีเพิ่มบทบาท และมีส่วนร่วมในกรอบสหประชาชาติมากขึ้น ในการจัดกิจกรรมต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นท้าทายที่สืบเนื่องจากการประชุม UNGA 74

ด้าน เลขาธิการสหประชาชาติ ชื่นชมไทยและนายกฯ ที่มีบทบาทในเวทีระหว่างอย่างกระตือรือร้น ทั้งการจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน และการแสดงวิสัยทัศน์ในประเด็นท้าทายต่างๆ ในโลก ชื่นชมบทบาทของไทยที่โดดเด่นในเรื่องการดำเนินการเพื่อบรรลุ SDGs และยืนยันว่าองค์การสหประชาชาติให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม โดยขอให้ไทยช่วยเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันเพื่อแก้ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม การลดการปล่อยก๊าซ เรือนกระจก การใช้พลังงานหมุนเวียน ตลอดจน ชื่นชมความริเริ่มของไทยในการประชุมเกี่ยวกับการลดขยะในทะเล

ทั้งสองฝ่ายเชื่อมั่นในความร่วมมือร่วมกันทั้งระหว่างไทยกับสหประชาชาติ และระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติ โดยเชื่อมั่นว่าความเข้าใจในระดับพหุภาคีเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งในโอกาสนี้ นายกฯ ย้ำนโยบายของไทยที่สอดคล้องกับแนวทางความร่วมมือกับสหประชาชาติ อาทิ การแก้ไขปัญหาการประมง IUU การต่อต้านการค้ามนุษย์ การป้องกันการแสวงหาประโยชน์ทางเพศ และสิทธิมนุษยชน โดยในโอกาสนี้ นายกฯ ยินดีสนับสนุน ESCAP และทีมงานสหประชาชาติ ในการจัดงานครบรอบ 75 ปี ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในตอนท้าย เลขาธิการสหประชาชาติ อวยพรให้นายกฯ และประเทศไทย ประสบความสำเร็จในการจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนในครั้งนี้

นำการประชุมผู้นำอาเซียนเน้นเป้าหมายประชาชนเป็นศูนย์กลาง

ต่อมาเวลา 17:00 น. ณ ห้อง Sapphire 205 – 206 พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานการประชุมการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 แบบเต็มคณะ(Plenary) โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมด้วย พร้อมกับผู้นำประเทศอาเซียนทั้งหมด

ช่วงเปิดการประชุม พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า ยินดีที่ได้พบทุกท่านอีกครั้งที่ประเทศไทย และประสงค์จะใช้โอกาสนี้แลกเปลี่ยนมุมมองและวิสัยทัศน์ และติดตามการดำเนินการเพื่อร่วมกันกำหนดเป้าหมาย และทิศทางของอาเซียนต่อไป โดยภายหลังการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 34 เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาตนได้นำผลการประชุมดังกล่าวไปหารือกับผู้นำ G 20 ที่นครโอซากา และได้นำเสนอประเด็นความร่วมมือที่สำคัญ 4 ประการ ระหว่างอาเซียนกับประเทศสมาชิก G 20 เพื่อต่อยอดให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมคือ 1 การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ 2 การเข้าถึงแหล่งทุน 3 การพัฒนาทุนมนุษย์ และ 4 การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมซึ่งรวมถึงการแก้ปัญหาขยะทะเล

นอกจากนี้ยังได้นำประเด็นความร่วมมือที่ส่งเสริมความยั่งยืนในมิติต่างๆไปหารือต่อในช่วงการประชุมสมัชชาสหประชาชาติที่นครนิวยอร์กเมื่อเดือนกันยายน รวมทั้งได้ส่งเสริม “เสียงของอาเซียน”ในเวทีสหประชาชาติโดยได้กล่าวถ้อยแถลงในนามของอาเซียนในการประชุมไคลเมท แอ๊กชั่น ซัมมิท (Climate Action Summit) และ เอส ดี จี ซัมมิท ( SDG Summit )ซึ่งสะท้อนความมุ่งมั่นของอาเซียนในการร่วมมือ กับประชาคมโลก เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติ

การดำเนินการทั้งหมดนี้ก็เพื่อ สนับสนุนการสร้างประชาคมอาเซียน ที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และมองไปสู่อนาคตทั้งนี้โดยให้ความสำคัญกับการสร้างความเป็นหุ้นส่วนกับมิตรประเทศและภาคส่วนต่างๆ เพื่อการบรรลุเป้าประสงค์ข้างต้น เนื่องจากอาเซียนไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้สำเร็จโดยลำพัง ตนเชื่อว่าความเป็นหุ้นส่วนและการเป็นมิตรกับประเทศต่างๆ นอกภูมิภาคจะช่วยประชาคมอาเซียนของเราขับเคลื่อนแนวคิดหลักของอาเซียนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน ต่อไปในโอกาสนี้ โดยตอนหนึ่งนายกรัฐมนตรีไทยได้กล่าวถึงท่านนายกรัฐมนตรีแคนาดาได้ฝากความปรารถนาดีมายังผู้นำอาเซียนทุกท่าน และขอให้การประชุมสุดยอดในครั้งนี้ประสบความสำเร็จสมตามเจตนารมย์

จากนั้นนายกรัฐมนตรีประเทศไทยได้นำการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 โดยคาดว่าจะใช้เวลาพอสมควรขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ในเวทีการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนที่นายจุรินทร์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานสิ่นสุดเมื้อวานนี้นั้นได้ทำหน้าที่สรุปเนื้อหาและข้อบทต่างๆที่เกี่ยวข้องกับหุ้นส่วนเศรษฐกิจและการค้าโดยเฉพาะเป็นการเจรจาเงื่อนไขระหว่างกันซึ่งก็ได้ว่ามีการรายงานให้พลเอกประยุทธ์ได้รับทราบเพื่อได้มีข้อสรุปในการประชุมผู้นำอาเซียนครั้งนี้ด้วย

มท.ปลดล็อกระเบียบ ให้ อปท.ทั่วประเทศคล่องตัว ช่วย ปชช.

People Unity News : 17 ตุลาคม 2565 มหาดไทยปลดล็อก แก้ไขระเบียบ มท. ว่าด้วยการช่วยเหลือประชาชน ชี้ให้ อปท.ทั่วประเทศ เกิดความคล่องตัว ครอบคลุมและลดผลกระทบโดยเร็วที่สุด

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาได้เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความเดือดร้อนและความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้รับทราบจากเสียงสะท้อนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจในการดูแลให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ โดยในระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 2) ที่เป็นระเบียบเดิม ได้ระบุไว้ว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถช่วยเหลือประชาชนได้ 4 ด้าน คือ 1) ด้านสาธารณภัย 2) ด้านการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต 3) ด้านการป้องกันและระงับโรคติดต่อ และ 4) ด้านการช่วยเหลือเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย ซึ่งจากหากเป็นกรณีการช่วยเหลือที่นอกเหนือจาก 4 ด้านดังกล่าว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งต้องทำความตกลงกับปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยปลัดกระทรวงมหาดไทยได้มอบอำนาจให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ให้ความเห็นชอบ และเมื่อเกิดเหตุการณ์ในแต่ละครั้ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีหนังสือทำความตกลงเป็นครั้ง ๆ ไป อันเป็นขั้นตอนที่อาจทำให้การแก้ไขปัญหาไม่ทันการณ์

ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เพื่อเป็นการปลดล็อคข้อจำกัดของระเบียบกระทรวงมหาดไทยฯ ดังกล่าว ลดขั้นตอนการปฏิบัติ อันจะทำให้การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชน จึงได้สั่งการให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น พิจารณายกร่างแก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาเป็นการเร่งด่วน

“ในขณะนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลงนามประกาศใช้ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2565 ซึ่งได้มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2565 เป็นต้นมา โดยระเบียบ ฯ นี้ มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ เพื่อให้ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถพิจารณาช่วยเหลือประชาชนในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อฟื้นฟู เยียวยา สงเคราะห์ และบรรเทาผลกระทบของประชาชนให้ครอบคลุม รวดเร็ว และลดความล่าช้าที่เกิดขึ้นจากการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องขอทำความตกลงกับปลัดกระทรวงมหาดไทย หรือผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อมทั้งไม่ต้องเสนอให้คณะกรรมการช่วยเหลือประชาชนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณา เช่น กรณีฟ้าผ่าทำให้ประชาชนเสียชีวิต กรณีเสียชีวิตเนื่องจากช่วยเหลือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปฏิบัติงานหรือช่วยเหลือผู้อื่น กรณีมีเหตุการณ์ใช้อาวุธทำร้ายประชาชนจนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตโดยผู้ประสบภัยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และกรณีตั้งศูนย์ช่วยเหลือค้นหาประชาชนที่สูญหาย เป็นต้น โดยในกรณีจำเป็นเร่งด่วนในการช่วยเหลือประชาชน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็สามารถพิจารณาให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ตามความจำเป็น เหมาะสม ไม่เกินอัตราตามหลักเกณฑ์ที่หน่วยงานรัฐกำหนด เช่น การนำอัตราตามหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2563 ของกระทรวงการคลัง เพื่อช่วยเหลือด้านดำรงชีพเป็นค่าอาหาร จัดเลี้ยง 3 มื้อ มื้อละไม่เกิน 50 บาทต่อคน ค่าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บสาหัสเบื้องต้น เป็นเงินจำนวน 4,000 บาท ค่าจัดการศพผู้เสียชีวิตในอัตราไม่เกินรายละ 29,700 บาท เป็นต้น ซึ่งการช่วยเหลือประชาชนอาจช่วยเป็นสิ่งของหรือจ่ายเป็นเงินก็ได้ และกรณีการใช้จ่ายเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้พิจารณาถึงผลกระทบต่อสถานะทางการคลังในการบริหารหรือการจัดการบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น” นายสุทธิพงษ์ กล่าว

นายสุทธิพงษ์ กล่าวย้ำว่า ขณะนี้ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2565 จะช่วยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งสามารถฟื้นฟู เยียวยา สงเคราะห์ และบรรเทาผลกระทบของประชาชนได้คล่องตัว ครอบคลุม และช่วยเหลือประชาชนให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากไปได้โดยเร็ว และเมื่อสิ้นสุดโครงการช่วยเหลือต่าง ๆ ก็ขอความร่วมมือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินการให้ประชาชนได้รับรู้รับทราบโดยทั่วกัน เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน โดยให้ติดประกาศ ณ สำนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถานที่กลาง และที่ทำการหมู่บ้าน และชุมชน ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมกันทวนสอบให้เกิดความถูกต้อง และเกิดความโปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณ

Advertisement

“วรวัจน์”อัดรัฐบาลเทงบ 200 ล้านซื้ออาคารใหม่ในต่างแดน

People Unity News : “วรวัจน์”อัดรัฐบาลใช้งบประมาณไม่เหมาะสมติงรัฐเทงบ 200 ล้านซื้ออาคารใหม่ในต่างแดน ไม่สนใจชาวบ้านเดือดร้อน

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2562 นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล รองประธานคณะคณะกรรมาธิการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 เปิดเผยว่า การพิจารณาการพิจารณางบประมาณของกระทรวงพาณิชย์ ตั้งงบประมาณไว้ 7.5 พันล้านบาท ยังคงมีข้อสงสัยในหลายประการที่ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ตอบคำถามของคณะกรรมาธิการไม่ชัดเจน

โดยกรรมาธิการ ได้ตั้งข้อสังเกตกรณีสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ ใช้งบประมาณ 203ล้าน เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคารที่ทำการคณะผู้แทนการค้าไทยถาวรประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญา ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ว่า คุ้มค่าหรือไม่ เนื่องจากงบประมาณ ปี 2563 เป็นงบประมาณขาดดุล และกู้เงินจากต่างประเทศมาทำงบประมาณเกือบ 5 แสนล้านบาท

ขณะที่อาคารหลังนี้เช่ามาเป็นเวลา 24 ปีแล้ว จึงต้องพิจารณาว่าจะเอางบประมาณซึ่งมาจากการกู้ ไปซื้อจะคุ้มกับค่าดอกเบี้ยและค่าดูแลที่ต้องเสียหรือไม่ เมื่อเทียบกับค่าเช่าที่เช่าอยู่ กรรมาธิการซีกฝ่ายค้านคัดค้านแนวคิดดังกล่าวเพราะเห็นว่าในสภาพที่ประเทศมีหนี้สินที่ต้องกู้เงินมาจ่ายงบประมาณติดต่อกันนานแล้วเป็น 10 ปีและอย่างน้อยจะต้องกู้ไปอีกไม่ต่ำกว่า 10 ปี เป็นการใช้งบประมาณที่เหมาะสม

นายวรวัจน์ กล่าวด้วยว่า การดำเนินการเรื่องนี้ภายใต้สถานการณ์ของประเทศและประชาชนกำลังเดือดร้อน ขาดรายได้ บริษัทต่างๆปิดกิจการ มีการคาดการณ์ว่าในปีหน้าจะมีคนตกงานอีกไม่น้อยกว่า 500,000 คนจึงเป็นสภาพการณ์ที่ไม่เหมาะสมที่จะใช้จ่ายเม็ดเงินไหลออกไปต่างประเทศ จึงควรกลับไปใช้วิธีการเช่าเหมือนที่เคยทำมาทุกปีก่อน และนำเงินตรงนั้นมาช่วยเหลือประเทศในการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชนภายในประเทศ ซึ่งตนได้ขอสงวนคำแปรญัตติเอาไว้พูดกันในสภาเพื่อชี้แจงถึงการตัดเพื่อค้านการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์

“ชาวบ้านจะตายอยู่แล้ว ยังจะใช้เงินแบบนี้อีกขนาดเอาสภาพเศรษฐกิจชาวบ้านมาเปรียบเทียบแล้ว ก็ยังไม่ฟังหากให้ 1 กระทรวง เกรงว่าในอนาคตจะมี อีกหลายหน่วยงาน อาทิ กระทรวงต่างประเทศ หน่วยงานกองทัพ ฯลฯ ของบประมาณเพื่อซื้ออาคารเช่นเดียวกับกระทรวงพาณิชย์” นายวรวัจน์กล่าว

“วราวุธ”รับเร่งรวบรวมหลักฐานเอาผิด”ปารีณา” ปมรุกป่า

People Unity News : “วราวุธ”รับเร่งรวบรวมหลักฐานเอาผิด”ปารีณา” ปมรุกป่า เผยเจ้าตัวร้องขอให้สอบด้วยความเป็นธรรม

วันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงการแจ้งความเพื่อเอาผิด นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส. ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ กรณีการบุกรุกที่ป่าสงวนว่า ขณะนี้กระทรวงและกรมป่าไม้ อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานให้มีความรอบคอบและรัดกุมที่สุด ก่อนที่จะแจ้งความเอาผิดต่อไป ส่วนจะมีการดำเนินคดีตามกฏหมายหรือไม่นั้น นายวราวุธ ระบุว่า เป็นเรื่องที่ตำรวจและอัยการเป็นผู้พิจารณาว่า จะมีการส่งฟ้องหรือไม่ และเป็นเรื่องของผู้ถูกร้องเรียนที่จะต้องหาพยานมาต่อสู้ เช่นเดียวกับการเอาผิดทางแพ่ง ก็จะต้องรออัยการเป็นผู้พิจารณาเอาผิด

ขณะเดียวกัน นายวราวุธ ยอมรับว่า นางสาวปารีณา ร้องขอให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงตรวจสอบการเข้าครอบที่ดินด้วยความเป็นธรรม แต่ทั้งนี้ก็จะต้องดูเจตนาของนางสาวปารีณา ประกอบด้วย หลังเจ้าตัวอ้างว่าได้ถือครองที่ดังกล่าว ก่อนที่จะมีการประกาศเป็นเขตพื้นที่ป่าสงวน

นายวราวุธ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีการร้องเรียน ในกรณีที่ นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ส.ส. ชลบุรี พรรคพลังประชารัฐ เข้าข่ายการถือครอง ภบท.5 จำนวน 2 แปลง ที่จังหวัดจันทบุรี จำนวน 200 ไร่ และที่จังหวัดระยองอีก 150 ไร่หรือไม่ว่า เบื้องต้นยังไม่ทราบรายละเอียด และยังไม่ได้รับการายงานใดๆ แต่พร้อมตรวจสอบทันทีหากมีการร้องเรียนเข้ามา

“สิระ”เตรียมเสนอปลด”เสรีพิศุทธ์”พ้นประธานป.ป.ช. 20 พ.ย.นี้

People Unity News : “สิระ”เตรียมเสนอปลด”เสรีพิศุทธ์”พ้นประธานป.ป.ช. 20 พ.ย.นี้ มั่นใจเสียงหนุนเกินครึ่ง เผยคุยผู้ใหญ่พปชร.แล้ว

เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 ที่รัฐสภา นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรรพลังประชารัฐ ในฐานะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ(ป.ป.ช.) แถลงว่า หลังจากการประชุมกมธ.ป.ป.ช. มีกมธ.หลายคนไม่สบายใจและไม่ไว้วางใจต่อการทำหน้าที่ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธาน กมธ.ป.ป.ช. และหากประธานพิจารณาแต่เรื่องของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม และเรื่องของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เท่านั้น ไม่ได้สนใจเรื่องอื่นๆ เช่น การทุจริตของข้าราชการที่มีการร้องเรียนเข้ามาจำนวนมาก

“ทุกสัปดาห์กมธ.ฯเสียเวลากับเรื่องที่จบไปแล้ว และนักวิชาการและนักกฎหมายก็ท้วงติงแล้วว่าผิดกฎหมาย แต่ประธานก็ยังทำอยู่ ดังนั้นจึงเห็นว่าการประชุมกมธ.ครั้งต่อไปในวันที่ 20 พ.ย. จะมีการเสนอให้เปลี่ยนตัวประธานกมธ. โดยตนจะเป็นผู้เสนอ และมั่นใจว่ามีเสียงจากกมธ.เกินครึ่งที่จะสับสนุน เราได้คุยกันเบื้องต้นแล้วว่าหากประธานยังมีพฤติกรรมแบบนี้ต้องเปลี่ยน จึงมั่นใจเสียงจากกมธ.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลที่มี 15 เสียง เราจะได้ 8 เสียง ตามระเบียบการประชุมประธานสามารถออกเสียงได้แต่ตามมารยาทแล้วควรงดออกเสียง”

เมื่อถามว่าจะเสนอใครเป็นประธานกมธ.แทน นายสิระ กล่าวว่า เรื่องนี้ได้คุยกับผู้ใหญ่ในพรรคพลังประชารัฐแล้วตนจึงได้ออกมาแถลง โดยจะเลือกคนที่กรรมาธิการเห็นว่ามีความเหมาะสมกว่าพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เป็นแทน

“ครม.เศรษฐา 1” แบ่งงานรองนายกฯ กำกับดูแลกระทรวง

People Unity News : 14 กันยายน 2566 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวานนี้ (13 ก.ย.) ได้มีการแบ่งงานให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับดูแล โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กำกับดูแลกระทรวงการคลัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงกลาโหม

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กำกับดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลกระทรวงคมนาคม กระทรวงยุติธรรม (ยกเว้นกรมสอบสวนคดีพิเศษ) กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา

นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กำกับดูแลกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กำกับดูแลกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำกับดูแลกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กำกับดูแลกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม

นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)

Advertisement

“อนุทิน”โพสต์! ถูกกัปตันเรือสั่งให้เก็บมือเก็บเท้า

People Unity News : เก็บมือเก็บเท้า! “อนุทิน”โพสต์รูปนั่งเรือกับ”บิ๊กตู่” พร้อม Caption ชวนสงสัย

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่เฟซบุ๊ค “อนุทิน ชาญวีรกูล” ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปรากฏภาพนายอนุทิน ขณะนั่งเรือร่วมกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมข้อความว่า
“ลงเรือลำเดียวกันเชื่อฟังกัปตันท่านสั่งให้เก็บมือเก็บเท้า”

ทั้งนี้ โพสต์ดังกล่าวปรากฎขึ้นหลังมีข่าวว่านายอนุทิน และพรรคภูมิใจไทย มีปัญหากับสื่อค่ายดัง ซึ่งมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ส.ส.พรรคแกนนำรัฐบาล จากกรณีที่สื่อค่ายดังนำเสนอข่าวโจมตีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จนสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ต้องแจ้งความดำเนินคดีสำนักข่าวข้างต้น และมีการนำความขัดแย้งดังกล่าวไปขยายความว่าพรรคภูมิใจไทย กำลังมีปัญหากับพรรคแกนนำรัฐบาลด้วย ซึ่งประเด็นหลัง ผู้สื่อข่าววิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นสาเหตุให้นายอนุทินโพสต์ข้อความดังกล่าว เพื่อยุติข่าวลือเรื่องความขัดแย้งในพรรคร่วม

“รองโฆษกพปชร.”โต้”ปิยบุตร”ทิ้งหลักวิชาชีพนักกฎหมาย

People Unity News : “รองโฆษกพปชร.”โต้”ปิยบุตร”เป็นนักการเมืองแล้วทิ้งความรู้หลักวิชาชีพนักกฎหมาย กล่าวหาผู้พิพากษาใช้ความคิดอุดมการณ์ส่วนบุคคล จี้หยุดประดิษฐ์วาทกรรม “ลอว์แฟร์” หวังทำลายความเชื่อถือของศาลใช่หรือไม่

วันที่ 19 พ.ย.2562 จากกรณียูทูปของพรรคอนาคตใหม่เผยแพร่วิดีโอที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ บรรยายกลไกทำงานเกี่ยวกับลอว์แฟร์ หรือ Lawfare หรือการใช้กระบวนการทางยุติธรรมเป็นเครื่องมือกำจัดศัตรูทางการเมือง และกล่าวหาว่า ผู้พิพากษาที่อยู่ในบังลังก์ตัดสินคดีล้วนมีจิตสำนึกที่เป็นตัวของตัวเอง มีความคิดความเชื่อ อุดมการณ์ส่วนบุคคลนั้น น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ หรือ “อ้น” อดีตผู้สมัครส.ส.กทม. และรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า อยากถามนายปิยบุตรว่า เหตุใดจึงกล่าวหาผู้พิพากษาและกระบวนการยุติธรรมเช่นนั้น นักกฎหมายต่างๆ รวมถึงผู้พิพากษาต้องมีจริยธรรมในการประกอบวิชาชีพอยู่แล้ว ซึ่งองค์ความรู้ของวิชา LA461 หลักวิชาชีพของนักกฎหมายที่นายปิยบุตรได้เคยเรียนมาแล้วในระดับปริญญาตรีเมื่อเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา ก็เคยสอนไว้ชัดเจนว่า “ในการทำหน้าที่ของผู้พิพากษา ผู้พิพากษาจะต้องละความเป็นปุถุชนของตนเอง ทำหน้าที่โดยปราศจากอคติทั้ง 4 พิจารณาคดีเพื่อดำรงความยุติธรรม”

และหากนายปิยบุตรจำความรู้ของวิชาหลักวิชาชีพนักกฎหมายได้ ย่อมรู้แก่ใจว่าการกล่าวหาดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ จึงขอให้หยุดประดิษฐ์วาทกรรมเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนเองและพรรคพวกในฐานะนักการเมือง หยุดสร้างกระแสชี้นำสังคมเพื่อมุ่งหวัง “บั่นทอนความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม”

“การประดิษฐ์คำและแปลความของคำว่า Lawfare ของนายปิยบุตร ว่ามาจากคำว่า Warfare และ Law มารวมกันเป็น “Lawfare” หมายถึง”นิติสงคราม” น่าจะผิดพลาด เพราะคำว่า “Fare” ไม่ได้แปลว่า สงครามแต่อย่างใด และรัฐบาล ไม่เคยใช้กฎหมายกลั่นแกล้งใคร อำนาจตุลาการเป็นอำนาจอิสระ” น.ส.ทิพานัน กล่าว

รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันสิ่งที่เรากำลังทำคือการยกระดับสวัสดิการ หรือ “Welfare” ของประชาชน เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นี่คือสิ่งที่ควรทำในฐานะนักการเมือง ผู้แทนของประชาชน

ซัด“ช่อ-อนาคตใหม่” ปั่นกระแสป้ายสี “มาดามเดียร์”

น.ส.ทิพานัน ยังกล่าวจากกรณีที่น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ “ช่อ” ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ออกมาแถลงข่าวพาดพิงไปยังนางสาว น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ทำนองว่ามีความเกี่ยวข้องเป็นเจ้าของสื่อชัดเจน แต่กลับไม่ถูกดำเนินคดีนั้นว่า น.ส.วทันยาปฏิบัติตามกฎหมายถูกต้องครบถ้วน และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าวใดๆของสื่อในเครือเนชั่น จึงขอให้น.ส.พรรณิการ์ ไปทำความเข้าใจเรื่องคุณสมบัติผู้สมัครส.ส.และ ส.ส. ตามมาตรา 98 (3) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ที่ระบุว่า “บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร … เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ” ก่อนที่จะออกมาชี้นำให้สังคมเกิดความสับสนเช่นนี้

เพราะเรื่องนี้น.ส.พรรณิการ์และพรรคอนาคตใหม่เองรู้อยู่เต็มอกว่า น.ส.วทันยา นั้นทำทุกอย่างถูกต้อง เมื่อกระบวนการขั้นตอนถูกต้องตามคุณสมบัติแล้ว จึงไม่มีความผิด และหากน.ส.พรรณิการ์ กับพรรคอนาคตใหม่เห็นว่าน.ส.วทันยา ขาดคุณสมบัติส.ส. ตามมาตราใดของรัฐธรรมนูญ ก็สามารถใช้กระบวนการทางกฎหมายยื่นตรวจสอบคุณสมบัติของ ส.ส. ได้ แต่เมื่อถึงเวลาใกล้กำหนดวันชี้ขาดกรณีของนายธนาธร กลับไปหยิบยกกรณีนี้ขึ้นมา หวังปั่นกระแสสร้างความเข้าใจผิด น.ส.พรรณิการ์และพรรคอนาคตใหม่ไม่ควรมาแถลงข่าวบิดเบือนให้ผู้อื่นเสียหายเช่นนี้ น.ส. พรรณิการ์ ควร “ตั้งสติ” รอผลคำตัดสินของศาลเสียก่อนเพราะยังไม่มีใครรู้ว่าผลจะออกมาเป็นคุณหรือโทษต่อพรรคอนาคตใหม่ทั้งนั้น แต่การแถลงข่าวของ น.ส.พรรณิการ์ เมื่อวานนี้ทำให้ประชาชนมีคำถามว่า กระทำเพื่อหวังกดดันกระบวนการพิจารณาคดีของศาลหรือไม่ หรือเป็นการหวังลดความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมของไทยหรือไม่

“ขอให้น.ส.พรรณิการ์ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนพูด รวมถึงข้อมูลต่างๆ เพราะทั้ง น.ส. วทันยา และคู่สมรสไม่ได้เป็นเจ้าของผู้ถือหุ้นสื่อใดๆ ทั้งสิ้น และขอให้หยุดชี้นำสังคมว่า นักการเมืองที่มีบุคคลในครอบครัวทำงานด้านสื่อหรือในอดีตนักการเมืองเคยทำงานด้านสื่อแล้วนักการเมืองท่านนั้นจะมีอิทธิพลต่อสื่อนั้นๆ จะทำให้สื่อออกข่าวให้คุณให้โทษต่อนักการเมืองได้ มิฉะนั้นแล้วหากสังคมถือตามบรรทัดฐานนี้ ประชาชนอาจมองว่าการที่หัวหน้าพรรคการเมืองท่านหนึ่งมีมารดาผู้ให้กำเนิดถือหุ้นสื่อใหญ่ในปัจจุบัน หรือในอดีตโฆษกพรรคการเมืองท่านหนึ่งก็เคยทำงานด้านสื่อ เป็นพิธีกรรายการข่าวและบรรณาธิการข่าว ก็อาจจะมีอิทธิพลต่อสื่อนั้นๆ ด้วยเช่นกัน”น.ส.ทิพานัน กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวต่อว่า ขอให้นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางกฎหมายที่สุด อธิบายกับน.ส.พรรณิการ์และสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ให้ชัดเจนว่า รัฐธรรมนูญกำหนดข้อห้ามของคู่สมรสและบุตรของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเฉพาะในมาตรา 184 ตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น คุณสมบัติของ ส.ส. ตามมาตราอื่น เป็นข้อบังคับเฉพาะตัวของผู้เป็นส.ส. นั้นเอง เช่น มาตรา 98 (3) บัญญัติห้ามผู้สมัคร ส.ส. และ ส.ส. เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ นั้น กฎหมายบัญญัติห้ามใครบ้าง ห้ามบุคคลในครอบครัวเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นสื่อหรือไม่ กฎหมายไม่ได้ห้ามอดีตผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับสื่อเข้ามาเป็นนักการเมือง การที่อดีตเคยทำงานสื่อหรือมีบุคคลในครอบครัวหรือไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นจะครอบงำสื่อได้

รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้ประชาชนสงสัยอย่างมากว่า การเคลื่อนไหวต่างๆ ของพรรคอนาคตใหม่ทั้งการแถลงปิดคดีนอกศาล การจัดงานเวทีพรรค การยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำคดีตามหน้าที่ การสร้างกระแสประดิษฐ์วาทกรรมบั่นทอนความน่าเชื่อถือของศาล การแถลงข่าวกล่าวอ้างเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญกับบิดเบือนข้อมูลที่ไม่ถูกต้องนั้น น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีของนายธนาธรซึ่งจะมีการตัดสินคดีในวันพรุ่งนี้ใช่หรือไม่ (20พฤศจิกายน 2562) เพราะตัวนายธนาธรเองคงรู้ข้อเท็จจริงอยู่แก่ใจว่าในขณะที่สมัคร ส.ส. นั้น ได้โอนหุ้นบริษัทวีลัคมีเดียไปแล้วหรือยัง เมื่อจำความอะไรไม่ได้ในศาล ไม่มีพยานหลักฐานที่เป็นความจริงพิสูจน์ว่าตนโอนหุ้นไปแล้ว จึงพยายามสร้างกระแสอื่น ชี้นำสังคมเพื่อให้เป็นคุณประโยชน์แก่ตนเองหรือเปล่า

“เสรีพิศุทธ์”ไม่ยอมหยุด! เชิญ”บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม”อีกครั้งให้ชี้แจง 6 พ.ย.

People Unity News : “เสรีพิศุทธ์”ไม่ยอมหยุด! เชิญ”บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม”อีกครั้งให้ชี้แจง 6 พ.ย. “เชาว์” บี้ กมธ.ป.ป.ช.ทั้งชุดทบทวนบทบาทตัวเอง

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2562 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้พิจารณาหนังสือของเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับอำนาจของคณะกรรมาธิการในการเรียกนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีเข้ามาชี้แจงใน 3 เรื่องคือ 1.) การเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 เกี่ยวข้องกับการทุจริตประพฤติมิชอบอย่างไร 2.) การถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นเรื่องของรัฐบาล และ 3.) สภาผู้แทนราษฎรเองก็เคยเห็นชอบร่างกฎหมายที่รัฐบาลเคยเสนอมาแล้ว เช่น พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหมไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562

กรรมาธิการพิจารณาได้ข้อสรุปว่า กรรมาธิการมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 129 วรรค 4 ซึ่งเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคณะกรรมาธิการกับผู้ถูกเชิญ ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่ 3 ดังนั้น การทำหนังสือของเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจึงเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เพราะไม่ควรเข้ามายุ่งในเนื้อหาสาระ และนายกรัฐมนตรีก็ควรจะมาชี้แจงด้วยตนเอง

ขณะที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ส่งหนังสือมาแจ้งว่าติดภารกิจราชการ และชี้แจงสั้นๆ ว่า ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว คณะกรรมาธิการจึงมีมติทำหนังสือเชิญนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีให้มาเข้าชี้แจง ในวันที่ 6 พฤศจิกายนเวลา 10.00 น. และ 11.00 น. พร้อมย้ำว่า แม้ทั้งสองคนจะตัดพี่ตัดน้องกับตนเองไปแล้ว แต่ก็ยังมองว่าเป็นพี่น้องอยู่ จึงอยากจะเรียกเข้ามาสอบถาม

ทั้งนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมจะมีการพิจารณากรณีนายเอกชัย หงส์กังวาน แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ร้องขอให้ตรวจสอบการทำหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่มีมติไม่ชี้มูลความผิด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กรณีไม่ชี้แจงบัญชีทรัพย์สินนาฬิกาหรูว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 129 คณะกรรมาธิการไม่มีอำนาจเชิญองค์กรอิสระ ทางคณะกรรมาธิการฯ จึงมีมติทำหนังสือไปถึงเลขาธิการ ป.ป.ช. ขอเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องมาศึกษา โดยขอให้ส่งมาภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน และจัดตั้งคณะทำงานพิจารณาเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นเรื่องที่ประชาชนและสื่อมวลชนเคลือบแคลงสงสัยในมติที่ออกมา

“เชาว์” บี้ กมธ.ป.ป.ช.ทั้งชุด ทบทวนบทบาทตัวเอง

นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ Facebook เรื่อง “อย่าใช้กรรมาธิการของสภาเป็นกรรมาธิกูทางการเมือง” มีเนื้อหาว่า กรณีที่กรรมาธิการ ป.ป.ช.ของสภาผู้แทนราษฏรมีมติเชิญพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเข้าชี้แจงเรื่องการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 และกรณีกล่าวหานายกรัฐมนตรีถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญนั้น มีประเด็นคำถามให้ชวนคิดมองได้อยู่สองมิติที่น่าสนใจกล่าวคือ มิติด้านบทบาทหน้าที่ของกมธ.ป.ป.ช. ซึ่งผมเห็นว่ากรรมาธิการชุดนี้ไม่มีอำนาจที่จะเชิญนายกรัฐมนตรีมาชี้แจงเรื่องการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ของนายกฯและกรณีกล่าวหานายกรัฐมนตรีถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ใช่อำนาจหน้าที่โดยตรงกรรมาธิการป.ป.ช.มีหน้าที่ในการตรวจสอบการทุจริตและประพฤติมิชอบ….อีกทั้งกรณีนายกฯถวายสัตย์ไม่ครบศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยแล้วว่า ไม่มีองค์กรใดตามรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยได้ เนื่องจากเป็นเรื่องการกระทำทางการเมืองระหว่างองค์พระมหากษัตริย์กับฝ่ายบริหาร

การที่ผู้คนพุ่งเป้าตำหนิไปที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ประธานกมธ.ชุดนี้ ยังไม่ถูกต้องนัก เพราะเรื่องนี้เป็นมติของกรรมาธิการทั้งชุด จึงต้องถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของกรรมาธิการฯทั้งชุด ผมจึงอยากให้กรรมาธิการป.ป.ช.ตั้งหลักทบทวนบทบาทตัวเองใหม่ อย่าให้ใครใช้กรรมาธิการฯที่ต้องทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตน

นายเชาว์กล่าวต่อไปว่า ประการต่อมาคือเรื่องการทำงานในสภาระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ซึ่งจากการตรวจสอบรายชื่อกรรมาธิการชุดนี้พบว่าฝ่ายค้านมีเสียงในกรรมาธิการฯมากกว่ารัฐบาลหนึ่งเสียงคือ 8 ต่อ 7 เท่ากับฝ่ายค้านคือผู้คุมเกมในกรรมาธิการฯชุดนี้เพราะเป็นเสียงข้างมาก ผมจึงไม่เข้าใจว่ารัฐบาลซึ่งมีเสียงข้างมากในสภาปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้อย่างไร และกรรมาธิการฯซีกรัฐบาลทำอะไรอยู่ เหตุใดจึงไม่คัดค้านเมื่อมีการกระทำที่เกินเลยไปจากอำนาจหน้าที่ของตัวเอง ทั้งกรณีกรรมาธิการป.ป.ช.และการที่สภารับรองชื่อหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ที่อยู่ระหว่างถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไปเป็นกรรมาธิการงบประมาณ สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไม่เท่าทันเกมการเมืองของฝ่ายค้าน จึงควรต้องปรับวิธีคิดและการทำงานใหม่ ที่สำคัญอยากฝากถึงทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านว่าการทำงานในกรรมาธิการฯควรคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เดินหน้าไปด้วยกันโดยไม่มีฝ่าย จึงจะถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง

“จึงฝากไปยังพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ให้ตระหนักด้วยว่าพ.ร.บ.คำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ.2554 ที่นำมาใช้ขู่ว่าถ้าใครไม่มาตามคำเชิญมีโทษจำคุกนั้นออกในสมัยที่ท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี มีจุดประสงค์ให้ใช้กฎหมายนี้เพื่อประโยชน์ต่อการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ ให้มีประสิทธิภาพและได้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน บนหลักการยึดประโยชน์ชาติประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่กฎหมายที่มีไว้เพื่อให้ใครใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของฝ่ายตัวเอง ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่ามาตรา 12 ของกฎหมายฉบับเดียวกันนี้มีบทลงโทษสำหรับกรรมาธิการที่ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดมีโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีหรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงควรหยุดใช้อำนาจกรรมาธิการฯพร่ำเพรื่อต่อไปความศักดิ์สิทธิ์จะลดลงกลายเป็นกรรมาธิกูทางการเมือง จะไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนตามเจตนารมณ์ที่มุ่งหวัง”นายเชาว์กล่าวทิ้งท้าย

ประยุทธ์เร่งติดตามความคืบหน้าแก้โรคระบาดหมู-หมูแพง ตั้ง Warroom ชี้แจงประชาชน

People Unity News : นายกฯ เร่งติดตามความคืบหน้าแก้ “โรคระบาดหมู – หมูแพง” หนุนตั้ง Warroom ชี้แจงให้ ปชช. – สื่อมวลชนรับทราบ

14 ม.ค. 65 วันนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เร่งหารืออธิบดีกรมปศุสัตว์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามการแก้ปัญหาโรคระบาดในสุกร หลังการประกาศพบเชื้อโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ในประเทศไทย

โดยมอบแนวทางการแก้ปัญหาหมูและให้เร่งตรวจสอบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรเจ้าของฟาร์มผู้เสียหายทั้งรายย่อยและรายใหญ่

พร้อมให้หน่วยงานลงพื้นที่ตรวจสอบคุณภาพการเลี้ยงสุกร ทั้งโรงฆ่าสัตว์และเขียงหมูโดยเร็ว รวมทั้งเร่งสอบสวนสาเหตุและรักษาตามอาการตั้งแต่แรก ควบคู่กับการให้ความรู้ผู้เลี้ยงหมูในการป้องกันเบื้องต้น ระหว่างที่ยังต้องรอผลการวิจัยและพัฒนาวัคซีน และเปิดช่องทางรับแจ้งการเกิดโรคโดยเร็ว

สำหรับการบริหารจัดการความต้องการสุกรในภาพรวมนั้น ให้สำรวจปริมาณความต้องการประชาชนต่อการบริโภคและใช้เนื้อหมูในประเทศ รวมทั้งปริมาณการส่งออก และศึกษาความจำเป็นในการนำเข้าเนื้อหมูชั่วคราว การจัดหาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ เพื่อผลิตลูกหมูเพิ่มเติมในระบบ

นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้จัดตั้ง Warroom สื่อสาร – ชี้แจงการทำงานในการแก้ปัญหาหมูแพง และโรคระบาดทุกวัน เพื่อให้ประชาชนและสื่อมวลชนได้รับทราบจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

Advertising

Verified by ExactMetrics