People Unity News : ร.ท.หญิงสุณิสาถามพล.อ.ประยุทธ์แค่เดินมาตอบคำถามกมธ.ป.ป.ช. ทำไมต้องทำเหมือนจะเป็นจะตายด้วย ที่ผ่านมารัฐมนตรีคนอื่นเขาก็ยังมาชี้แจงได้เพราะเป็นเรื่องปกติ

เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2562 ร.ท.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เห็นภาพกรรมาธิการ ปปช. ซีกรัฐบาล วิ่งพล่านทำทุกอย่างเพื่อปกป้องมิให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องมาตอบคำถามคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. ที่สภาผู้แทนราษฎร แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้า เป็นเรื่องความเดือดร้อนของชาวบ้านธรรมดาๆ แล้วบรรดาผู้แทนราษฎรทั้งหลายจะออกแรงเพื่อปกป้องกันสุดใจถึงขนาดนี้หรือไม่ ซึ่งหาก ส.ส. เหล่านี้ แบ่งพลังสักครึ่งหนึ่งที่ใช้ในการปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ แล้วเอาพลังงานตรงนั้นไปใช้ในการเรียกร้องความถูกต้องให้ประชาชน ประเทศไทยก็คงจะเจริญกว่านี้มาก

ทั้งนี้ เรื่องการเข้าให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. นั้น อันที่จริงไม่ใช่เรื่องใหญ่โต คณะกรรมาธิการ เขาแค่เชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาตอบคำถามที่สภา ไม่ได้เรียกมาเข้าคุกสักหน่อย ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ คิดว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไร รัฐมนตรีคนอื่น ๆ เขาก็เคยเดินทางเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการชุดต่าง ๆ กันเป็นเรื่องปกติ ทำไม พล.อ. ประยุทธ์ ต้องกลัวขนาดนี้ จนทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่

ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ ชอบบอกว่าเลือกตั้งช้าแล้ว จะเป็นจะตายกันหรือไง ก็ขอถามกลับว่า กะอีแค่เดินมาตอบคำถามที่สภา ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ ต้องทำเหมือนจะเป็นจะตายด้วย ดังนั้น ทางออกง่าย ๆ ของเรื่องนี้ ก็แค่ พล.อ.ประยุทธ์ นั่งรถมาที่สภาเท่านั้น  ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ เลิกทำตัวมีปัญหา และยอมรับการตรวจสอบ ผู้ใหญ่ในประเทศหลาย ๆท่านก็จะได้ไม่ต้องวุ่นวายมาช่วยจนเสียหลักการกันไปหมด แถมยังอาจช่วยทำให้ พล.อ ประยุทธ์ ดูดีขึ้น ว่าขนาดเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ก็ยอมลดทิฐิเพื่อไม่ให้บ้านเมืองวุ่นวายด้วย อย่าทำให้ ผู้ใหญ่หลาย ๆ คนในประเทศนี้ต้องควักต้นทุนทางสังคมเพื่อปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีความขัดแย้งและความวุ่นวายในคณะกรรมาธิการ ปปช.ว่า ตนเห็นด้วยกับความเห็นของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ระบุว่า ความเปลี่ยนแปลงใดๆเกี่ยวกับตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการ เป็นเรื่องภายในของคณะกรรมาธิการนั้นๆ เพราะการโหวตเลือกตำแหน่งต่างๆของคณะกรรมาธิการ เป็นการลงมติในที่ประชุมคณะกรรมาธิการทั้งสิ้น ดังนั้นถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งใดๆก็เป็นเรื่องภายในของกรรมาธิการที่จะพิจารณากัน จากข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีการระบุถึงการสิ้นสุดของผู้ดำรงประธานคณะกรรมาธิการ ต้องพิจารณาว่าสามารถนำข้อบังคับข้อที่ 108 ว่าด้วยการสิ้นสุดของกรรมาธิการมาบังคับใช้โดยอนุโลมได้หรือไม่

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา หรือโดยประเพณีปฎิบัติไม่เคยมีการโหวตเปลี่ยนตัวประธานคณะกรรมาธิการเลย เว้นแต่ตัวประธานจะขอลาออกจากตำแหน่งเสียเอง เพราะตำแหน่งประธานคณะกรรมาธการแต่ละคณะ เป็นข้อตกลงร่วมกันเป็นการภายในระหว่างวิปทั้ง2ฝ่าย และเป็นโควต้าของแต่ละพรรค ที่แบ่งกันชัดเจนตามสัดส่วนระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล

ส่วนกรณีที่มีกรรมาธิการ ปปช.ในสัดส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล ยื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้พิจารณาการทำหน้าที่ของประธานคณะกรรมาธิการ ปปช.ว่าถูกต้องหรือไม่ และร้องเรียนถึงความขัดแย้งในการทำงานของคณะกรรมาธิการนั้น เชื่อว่า เรื่องนี้เมื่อท่านประธานสภาฯรับหนังสือดังกล่าวแล้ว อาจจะมอบให้คณะกรรมาธิการกิจการสภาดำเนินการเหมือนกับข้อขัดแย้งของคณะกรรมาธิการบางคณะที่คณะกรรมาธิการกิจการสภาพิจารณาแก้ปัญหาจบแล้ว

ต้องยอมรับความจริงว่า สภาชุดนี้ มีส.ส.หน้าใหม่เข้ามาเป็นจำนวนมาก ในคณะกรรมาธิการบางคณะ มีกรรมาธิการที่เป็นส.ส.ใหม่เกิอบทั้งคณะ และบางคณะมีประธานคณะกรรมาธิการเป็นส.ส.สมัยแรก ยังขาดประสบการณ์ในการทำหน้าที่ ไม่เคยผ่านงานด้านกรรมาธิการมาก่อน ก็จะทำให้เกิดความขลุกขลักในการทำงานช่วงแรกๆ เชื่อว่าเมื่อผ่านการทำงานไปได้สักระยะหนึ่งทุกอย่างก็คงจะเข้าที่เข้าทาง ดำเนินการไปด้วยดีได้อย่างแน่นอน

อยากให้ ส.ส.ทุกคนได้ตระหนักถึงการทำหน้าที่ของตนในคณะกรรมาธิการว่า ทุกคนเป็นตัวแทนของประชาขน ในคณะกรรมาธิการจะไม่มีความเป็นพรรคการเมือง ทุกคนมีสถานะเป็นกรรมาธิการ มีหน้าที่ต้องทำงานร่วมกันตามบทบาทหน้าที่ ที่ได้ระบุไว้ในข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ไม่ควรนำเอาความเป็นพรรคการเมือง หรือขั้วการเมือง หรือความมีอคติ ความไม่พอใจส่วนตัวมายุ่งเกี่ยวกับการปฎิบัติหน้าที่ในคณะกรรมาธิการ หรือหากไม่มีการลดราวาศอกซึ่งกันและกัน ก็จะทำให้การทำงานของคณะกรรมาธิการแต่ละคณะไม่ประสบความสำเร็จตามเจตนารมย์ของข้อบังคับการประชุมสภา และเจตนารมย์ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน

“ไพบูลย์”แนะ”บิ๊กตู่”ส่งคืนหนังสือเรียกของ”เสรีพิสุทธิ์” เหตุกระทำโดยผิดกฏหมาย

นายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ตนได้ ยื่นเรื่องคำร้อง เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2562 เพื่อขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาวินิจฉัยเสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญกรณี พระราชบัญญัติคำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. 2554 มาตรา 5 มาตรา 8 และมาตรา 13 มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 129 ซึ่งต่อมาในวันที่ 15 พ.ย.2562 ผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นชอบให้เสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยต่อไปในวันเดียวกัน

นายไพบูลย์เห็นว่าการที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธานคณะกรรมาธิการ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ(กมธ.ปปช) สภาผู้แทนราษฎร ได้ลงนามในหนังสือด่วนที่สุด ที่ สผ.0019.05/945 เชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาชี้แจงแถลงข้อเท็จจริงต่อ กมธ.ปปชในวันพุธที่ 20 พ.ย. 2562 ในประเด็นข้อซักถาม ระบุไว้ 16 ข้อ ทั้งนี้ เนื้อหาในหนังสือระบุว่าอาศัยอำนาจตามมาตรา 129 วรรคสี่ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ประกอบมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติคำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. 2554 โดยหนังสือระบุไว้มุมบนขวาว่า กมธ.(บค.)1 นั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธาน กมธ ปปชได้ดำเนินการออกหนังสือฉบับดังกล่าว ตามแบบ กมธ.(บค.)1 เป็นไปตาม พรบ คำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการฯมาตรา 6 ที่ตนได้ตรวจสอบพบว่าขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 129 เนื่องจากได้บัญญัติให้คณะกรรมาธิการมีอำนาจ”สอบสวน “ซึ่งเป็นการขัดต่อเอกสารหลักฐานความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ มาตรา 129 ที่อธิบายไว้ ว่าเจตนารมย์แห่งรัฐธรรมนูญ วางหลักการใหม่ให้คณะกรรมาธิการไม่มีอำนาจ”สอบสวน” แต่ให้มีอำนาจเพียง”สอบหาข้อเท็จจริง” เท่านั้น จึงทำให้ พรบ คำสั่งเรียกของคณะกมธฯมาตรา 6 ซึ่งปรากฏให้คณะกรรมาธิการมีอำนาจ”สอบสวน”จึงขัดต่อความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 129 เช่นเดียวกับ พรบ คำสั่งเรียกของกมธฯมาตรา 5 มาตรา 8 และมาตรา 13 ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินมีความเห็นไปแล้วว่า มาตราดังกล่าว ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 129

ดังนั้นการออกหนังสือเรียกให้นายกรัฐมนตรีมาชี้แจงครั้งล่าสุดของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธาน กมธ ปปช นอกจากขัดต่อรัฐธรรมนูญแล้ว ในหนังสือฉบับดังกล่าวยังระบุเรื่องที่ขอให้ชี้แจงแถลงข้อเท็จจริงคำถามจำนวน 16 ข้อที่ไม่อยู่ในกรอบอำนาจของกมธ ปปช วิญญูชนที่ได้อ่านคำถามดังกล่าวแล้ว ย่อมเห็นได้อย่างชัดเเจ้งว่า มีเจตนาจงใจกลั่นแกล้งผู้ที่ต้องไปชี้แจงแถลงข้อเท็จจริง จึงอาจเข้าข่ายเจ้าหน้าที่รัฐ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157

และประกอบกับกรณีดังกล่าวผู้ตรวจการแผ่นดินได้เสนอเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย พรบ คำสั่งเรียกของกมธฯขัดหรือเเย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา129 แล้ว นายไพบูลย์จึงเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ควรปฏิเสธไม่ไปชี้แจงต่อ คณะกมธ ปปช ตามหนังสือที่สผ.0019.05/945 หรือพิจารณาส่งคืนหนังสือฉบับดังกล่าวโดยเหตุที่เป็นการออกหนังสือโดยมิชอบด้วยกฏหมายหลายประการ และพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธาน กมธ ปปช ควรเร่งขอยกเลิกหนังสือฉบับดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อป้องกันการถูกฟ้องร้องดำเนินคดีต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในความผิดตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 157