วันที่ 5 พฤษภาคม 2024

“ประภัตร”ยันเร่งหาแนวช่วย เกษตรกรอีสาน ข้าวหอมมะลิเป็นโรคไหม้คอรวง

People Unity News : “ประภัตร”ยันเร่งหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรภาคอีสานที่ผลผลิตข้าวหอมมะลิเสียหายจากโรคไหม้คอรวง เตรียมประสานกระทรวงพาณิชย์จัดทำมาตรการชะลอการขายข้าวของชาวนา เกรงพ่อค้าโก่งราคาเช่นเดียวกับข้าวเหนียว ชี้แม้ผลผลิตน้อย แต่ยังเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตรวจการแพร่ระบาดของโรคไหม้คอรวงข้าวซึ่งพบความเสียหายใน 5 จังหวัดได้แก่ สุรินทร์ ศรีสะเกษ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด และอุบลราชธานีรวมพื้นที่ 550,000 ไร่ ซึ่งจังหวัดสุรินทร์มีการระบาดมากที่สุดกว่า 300,000 ไร่ ผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศเป็นเขตภัยพิบัติโรคพืชแล้ว เบื้องต้นเกษตรกรจะได้รับค่าชดเชยตามระเบียบกระทรวงการคลัง 1,113 บาทต่อไร่ รายละไม่เกิน 20 ไร่

นายประภัตรกล่าวต่อว่า ล่าสุดอัตราการระบาดลดลงเนื่องจากชาวนาเกี่ยวข้าวหอมมะลิพันธุ์ กข15 ซึ่งเกิดโรคไปกว่าร้อยละ 80 แล้ว อีกทั้งได้รับการสนับสนุนโดรน 3 ลำจากภาคเอกชนมาใช้ฉีดพ่นสารไตรโคเดอร์มาแปลงข้าวหอมพันธุ์ดอกมะลิ 105 ซึ่งจะเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายนเป็นต้นไปเพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อราก่อโรคไหม้คอรวง รวมทั้งมอบหมายให้กรมการข้าวจัดส่งไตรโคเดอร์มาให้เกษตรกรทั้ง 5 จังหวัดฉีดพ่นในแปลงข้าวซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับแปลงที่เป็นโรค

ทั้งนี้แปลงข้าวหอมมะลิ พันธุ์ กข 15 ที่เกิดโรคไหม้คอรวงแล้วส่งผลให้เมล็ดลีบนั้น ผลผลิตลดลงจาก 400 กิโลกรัมต่อไร่เหลือประมาณ 100 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อรวมกับความเสียหายจากฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยที่ผ่านมาคาดว่า ประมาณ 700,000 ไร่จากพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิทั้งประเทศ 3 ล้านกว่าไร่ ผลผลิตลดลง 3 ล้านตัน โดยประมาณการณ์ว่า ปี 2562 นี้จะได้ผลผลิตข้าวหอมมะลิ 6-7 ล้านตัน โดยลดลงกว่าปีที่แล้วซึ่งได้ 8 ล้านตัน ขณะนี้มอบหมายกรมการข้าวร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตรสำรวจความเสียหายทั้งหมดเพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่รายได้ลดลงจากการที่ผลผลิตเสียหายซึ่งจะได้นำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป

นายประภัตรยืนยันว่า ปริมาณข้าวหอมมะลิเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ แต่ผลผลิตที่ลดลงอาจส่งผลกระทบด้านราคาบ้าง จึงจะประสานกับกระทรวงพาณิชย์จัดทำโครงการชะลอการขายข้าวของชาวนา ในลักษณะเดียวกับโครงการจำนำยุ้งฉางเพื่อไม่ให้ข้าวหอมมะลิออกสู่ตลาดพร้อมกัน พ่อค้าอาจฉวยโอกาสจำหน่ายข้าวหอมมะลิแก่ผู้บริโภคในราคาสูงเช่นเดียวกับข้าวเหนียวที่ผลผลิตลดลงจากภัยแล้งในปีนี้ ยันยันว่า จะดูแลทั้งเกษตรกรให้ได้รับการช่วยเหลืออย่างเหมาะสมและไม่ให้ผู้บริโภคต้องเดือดร้อนจากราคาข้าวที่สูงขึ้น

นายสุดสาคร ภัทรกุลนิษฐ์ อธิบดีกรมการข้าวกล่าวว่า รมช. ประภัตรกำชับให้เตรียมส่งเจ้าหน้าที่ไปให้ความรู้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวหอมมะลิในฤดูกาลเพาะปลูกใหม่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคไหม้คอรวงข้าว โดยการนำเมล็ดพันธุ์มาคลุกสารไตรโคเดอร์มาก่อนหว่าน ใช้เมล็ดพันธุ์ไม่เกิน 10 -15 กิโลกรัมต่อไร่ อีกทั้งต้องไม่ใส่ปุ๋ยยูเรียและปุ๋ยสูตรที่มีธาตุไนโตรเจนสูงมากจนเกินไปเนื่องจากจะทำให้กอข้าวแน่นเกิน อากาศไม่ถ่ายเทและความชื้นสูง เมื่อมีสปอร์เชื้อราโรคไหม้มาติดต้นข้าวจะทำให้ระบาดอย่างรวดเร็ว

ลานพระธรรม!วัดโคราชเห็นใจชาวนาเปิดให้ตากข้าวฟรี

People Unity News : ลานพระธรรม!วัดโคราชเห็นใจชาวนาเปิดให้ตากข้าวฟรี เจ้าอาวาสเผยทางวัดรู้สึกสงสารและเห็นใจชาวนาที่ไม่มีสถานที่ตาก ตั้งกติกาตากได้ไม่เกินคนละ 2 วัน

วันที่ 15 พ.ย.2562 จากความทุกข์ของชาวนาเมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วไม่มีที่ตากให้แห้งบางพื้นที่ต้องตากบนถนนเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุรถชนกันจากการหักหลบกองข้าวเปลือกทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย ที่อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมานั้น ชาวนาบ้านท่าหลวง ตำบลท่าหลวง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ได้นำข้าวเปลือกมาตากพึ่งแดดไว้ภายในลานวัดบ้านท่าหลวงเป็นจำนวนมาก หลังจากหน่วยงานภาครัฐได้ขอความร่วมมือชาวนาไม่ให้ตากข้าวเปลือกบนถนน หวั่นเกิดอุบัติเหตุและกีดขวางการจราจร

พระสมุหะบุญมี ฐาระจิตโต เจ้าอาวาสวัดบ้านท่าหลวง กล่าวว่า ทางวัดรู้สึกสงสารและเห็นใจชาวนาที่ไม่มีสถานที่ตากข้าวเปลือกหลังจากเก็บเกี่ยวมาแล้ว จึงเปิดพื้นที่ลานวัดให้ชาวนานำข้าวเปลือกมาตาก เพราะไม่อยากให้ชาวนาไปตากข้าวบนถนน ซึ่งอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้

ด้านนายเจริญ โจ้พิมาย ชาวบ้าน บ้านท่าหลวง บอกว่า ดีใจที่ทางวัดอนุญาตให้นำข้าวมาตากบริเวณลานวัด เพราะชาวนาส่วนใหญ่ไม่มีที่ตากข้าว แต่กติกาการตากข้าวที่ลานวัดแห่งนี้ ต้องสลับสับเปลี่ยนกันไป หากชาวนาคนไหนเกี่ยวข้าวก่อน ก็จะนำข้าวมาตากก่อน ตากได้ไม่เกินคนละ 2 วัน จากนั้นก็เป็นคิวของชาวนาคนต่อไป ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความขัดแย้งแย่งที่ตากข้าวกันอีก ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบนถนน และช่วยไม่ให้เกิดปัญหาการนำวัสดุมาวางกีดขวางการจราจรบนพื้นผิวถนนได้ด้วย

Cr.ภาพตากข้าวถนนจาก https://www.posttoday.com/social/local/606260

“อนุทิน”เซ็นตั้งแล้ว! คณะทำงานกัญชาเสรีฯ”หมอธีระวัฒน์”นั่งประธาน “ดร.ภก.อนันต์ชัย”ประธานร่วม

People Unity News : รมว.สาธารณสุข ลงนามแต่งตั้งคณะทำงานกํากับและติดตามนโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์ และการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์สาธารณสุข “นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา” เป็นประธาน

วันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามในคำสั่งกระทรวงสาธารณสุขที่ 1250/2562 ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 แต่งตั้งคณะทํางานกํากับและติดตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ด้านกัญชาเสรีทางการแพทย์ และการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์สาธารณสุข ทั้งหมด 17 คน มี ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน

ส่วนคณะทำงานประกอบด้วย นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ คณบดีวิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต, ผศ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นต้น และมีนายธีรพงศ์ ตุนาค ผู้อำนวยการกองบริหารการสาธารณสุข สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นคณะทํางานและเลขานุการ

นอกจากนี้ยังมีนายทองเจือ ชาติกิจเจริญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นที่ปรึกษาของคณะทำงาน

คณะทำงานชุดนี้มีหน้าที่และอำนาจในการประสาน กํากับและติดตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ด้านที่ 4 การผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยให้ประชาชนเข้าถึงการใช้กัญชา และสมุนไพรทางการแพทย์ได้อย่างปลอดภัย และส่งเสริมนวัตกรรม ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ และหน้าที่อื่นๆ ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

คําสั่งกระทรวงสาธารณสุขดังกล่าวความว่า

ที่ 1250/2562 เรื่อง แต่งตั้งคณะทํางานกํากับและติดตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ด้านกัญชาเสรีทางการแพทย์ และการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์สาธารณสุข

ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบนโยบายในการประชุมผู้บริหารระดับสูง กระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2562 ณ ห้องประชุมชัยนาทนเรนทร สํานักงานปลัดกระทรวง สาธารณสุข ให้บุคลากรกระทรวงสาธารณสุขร่วมแรงร่วมใจกันทํางานที่สําคัญ 5 ด้าน ซึ่งนโยบายในด้านที่ 4 การผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยให้ประชาชนเข้าถึงการใช้กัญชา และสมุนไพรทางการแพทย์ได้อย่างปลอดภัย และส่งเสริมนวัตกรรมศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ นั้น

เพื่อให้การดําเนินงานตามนโยบายดังกล่าวเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ มีขั้นตอน การดําเนินงานและแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน รวมทั้งมีการกํากับ ติดตาม และประเมินผล พร้อมทั้งรายงาน ผลการปฏิบัติงานดังกล่าว อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จึงแต่งตั้งคณะทํางานกํากับและติดตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขด้านกัญชาเสรีทางการแพทย์ และการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์สาธารณสุข โดยมี องค์ประกอบ หน้าที่และอํานาจ ดังนี้

1.องค์ประกอบ

1.1 นายทองเจือ ชาติกิจเจริญ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ปรึกษา

1.2 นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ปรึกษา

1.3 ศาสตราจารย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธาน

1.4 นายอนันต์ชัย อัศวเมฆิน คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานร่วม

1.5 นายนิรันดร์ พิทักษ์วัชระ คณบดีวิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี คณะทํางาน

1.6 นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต คณะทํางาน

1.7 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน มหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะทํางาน

1.8 นายกวี ไชยศรี คณะทํางาน
1.9 นายธเนศ ดุสิตสุนทรกุล รองผู้อํานวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข คณะทํางาน
1.10 ผู้แทนกรมควบคุมโรค คณะทํางาน
1.11 ผู้แทนกรมการแพทย์ คณะทํางาน
1.12 ผู้แทนกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ คณะทํางาน
1.13 ผู้แทนกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก คณะทํางาน
1.14 นายธีรพงศ์ ตุนาค ผู้อ่านวยการกองบริหารการสาธารณสุข
สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข คณะทํางานและเลขานุการ
1.15 นางเกวลิน ชื่นเจริญสุข รองผู้อํานวยการกองบริหารการสาธารณสุข สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข คณะทํางานและผู้ช่วยเลขานุการ
1.16 นางสาวจงกลนี จริยานุวัฒน์ ผู้ช่วยผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข คณะท้างานและผู้ช่วยเลขานุการ
1.17 นางยุภา คงกลิ่นสุคนธ์ นักวิชาการสาธารณสุขชํานาญการพิเศษ กองบริหารการสาธารณสุข สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข คณะทํางานและผู้ช่วยเลขานุการ

2.หน้าที่และอํานาจ

2.1 ให้ประสาน กํากับและติดตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ด้านที่ 4 การผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยให้ประชาชนเข้าถึงการใช้กัญชา และสมุนไพรทางการแพทย์ได้อย่างปลอดภัย และส่งเสริมนวัตกรรม ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์
2.2 หน้าที่อื่นๆ ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

สั่ง ณ วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
(นายอนุทิน ชาญวีรกูล)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

จีนสนใจนำหลักพุทธพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน

People Unity News : จีนสนใจนำหลักพุทธพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนที่นับถือพร้อมศาสนาเต๋ามากกว่า 200 ล้าน

วันที่ 14 พ.ย.2562 เฟซบุ๊ก At HeaR ได้รายงานว่า นายควัน เจ๋อ จู รองประธานคณะกรรมการแห่งชนชาติและศาสนาแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และคณะเข้าเยี่ยมชมการดำเนินงาน และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นด้านพระพุทธศาสนากับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) โดยมี นายณรงค์ ทรงอารมณ์ รองผอ.พศ. รักษาราชการแทนผอ.พศ. พร้อมด้วยผู้บริหารพศ.ให้การต้อนรับที่ห้องประชุมชั้น 3 สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติหลังที่ 2 อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม โดยนายควัน เจ๋อ จู กล่าวว่า รัฐบาลจียมุ่งเน้นที่ต้องการจะทำให้ประชาชนมีความสุข มีคุณธรรม ตามนโยบาย one belt one road โดยประชาชนชาวจีนมีผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ และศาสนาเต๋า หรือลัทธิเต๋า มากกว่า 200 ล้านคน ดังนั้นจึงต้องการหารือถึงแนวทางความร่วมมือทางพระพุทธศาสนากับไทย เพื่อนำหลักพระพุทธศาสนามาเป็นแรงขับเคลื่อนในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน

ด้านนายณรงค์ กล่าวว่า ทางพศ.พร้อมที่จะให้ข้อมูล และร่วมมือ ในการนำหลักพระพุทธศาสนามาสร้างความสุขให้กับประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางคณะสงฆ์ไทย โดยมหาเถรสมาคม(มส.) ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เช่น หน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.), โครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 เป็นต้น ซึ่งการดำเนินงานจะเน้นไปที่การสนับสนุน ส่งเสริม ให้ประชาชนประกอบสัมมาชีพ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง

“พิพัฒน์​”​เปิดสเปเชียลโอลิมปิกยูนิฟายด์แบดมินตันชิงแชมป์เอเชียแปซิฟิคครั้งที่ 1

People Unity News : รมว.ท่องเที่ยว​และ​กีฬา​ เป็น​ประธาน​เปิดสเปเชียลโอลิมปิกยูนิฟายด์แบดมินตันชิงแชมป์เอเชียแปซิฟิค ครั้งที่ 1

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน​ 2562​ เวลา 19.00 น. นาย​พิพัฒน์​ รัช​กิจ​ประการ​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวงการ​ท่องเที่ยว​และ​กีฬา​ เป็น​ประธาน​เปิดการแข่งขันสเปเชียลโอลิมปิกยูนิฟายด์แบดมินตันชิงแชมป์เอเชียแปซิฟิค ครั้งที่ 1 ปี 2562 ระหว่างวันที่ 12-16 พฤศจิกายน 2562 โดยมีนายเขมพล​ อุ้ย​ต​ยะ​กุล​ เลขานุการ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​การ​ท่องเที่ยว​และ​กีฬา​ คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการ​คณะกรรมการโอลิมปิกสากล ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ดร.นริศ ชัยสูตร นายกสมาคมกีฬาสเปเชียลโอลิมปิกแห่งประเทศไทย คณะ​ผู้บริหาร​ฯ และแขกผู้​มีเกียรติ ร่วมในพิธี ณ อินดอร์สเตเดี้ยม การกีฬาแห่งประเทศไทย หัวหมาก

การแข่งขันกีฬายูนิฟายด์เป็นการแข่งขันกีฬาในรูปแบบที่ส่งเสริมการเรียนรู้และการอยู่ร่วมกันในสังคม (Inclusive Society) ประกอบด้วยผู้เล่นที่เป็นนักกีฬาพิเศษ (พิการทางสติปัญญา และนักกีฬาทั่วไป(ไม่พิการ) ในทีมหรือคู่เดียวกันซึ่งอยู่ในเพศเดียวกัน วัยเดียวกัน และมีทักษะกีฬาเท่าเทียมกัน จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการร่วมมือระหว่างคนพิเศษกับคนปกติ และเพื่อแสดงให้เห็นว่าคนพิเศษสามารถเป็นส่วนหนึ่งของสังคมได้ อันเป็นการสร้างการยอมรับทางสังคมให้กับผู้พิการกลุ่มนี้

โดยได้รับความสนใจ​จากคณะนักกีฬาสเปเชียลโอลิมปิก 14 ประเทศ ในภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิค เข้าร่วม ประกอบด้วย อินเดีย ฮ่องกง มาเก๊า เกาหลีใต้ ปากีสถาน บังคลาเทศ ศรีลังกา เมียนมาร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนิเซีย มัลดีฟ และประเทศไทย แต่ละประเทศส่งผู้เข้าร่วมได้ 11 คน ประกอบด้วย คู่ยูนิฟายด์ชาย 2 คู่ + คู่ยูนิฟายด์หญิง 2 คู่ รวมนักกีฬา 8 คน ผู้ฝึกสอนชาย 1 คน + ผู้ฝึกสอนหญิง 1 คน รวมผู้ฝึกสอน 2 คน (ไทยในฐานะประเทศเจ้าภาพ สามารถส่งได้ 2 ทีม) ผู้จัดการทีม 1 คน

สำหรับ​ประเภทการแข่งขัน แบ่งออกเป็น 2 รุ่นอายุ คือ
1. รุ่นอายุ 16-21 ปี ประเภทคู่ยูนิฟายด์ ชาย และ หญิง
2. รุ่นอายุ 22-29 ปี ประเภทคู่ยูนิฟายด์ ชาย และหญิง

บอร์ด สปสช. หนุน “อนุทิน”หลังคุย”หมอเลี๊ยบ” เร่งปฏิรูป “ห้องฉุกเฉิน” ลดแออัด

People Unity News : “อนุทิน” คุย “หมอเลี๊ยบ” ยกระดับห้องฉุกเฉินตั้งเป้าลดความแออัด จัดลำดับการรักษาอย่างถูกต้อง ขณะที่ บอร์ด สปสช. หนุน “แนวทางปฏิรูป” แยกจัดบริการนอกเวลาราชการ นำร่อง ปี 2563 ยกคุณภาพบริการลดความขัดแย้งวินิจฉัย

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้าในโครงการยกระดับห้องฉุกเฉิน 21 โรงพยาบาลว่า ได้เชิญนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาหารือเรื่องนี้ พร้อมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง แนวคิดคือสร้างระบบคัดกรองผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพ ห้องฉุกเฉิน ต้องใช้รักษาผู้ป่วยฉุกเฉินจริงๆ แต่ก็เข้าใจว่าใครป่วย ก็ต้องการรักษาด่วนทั้งนั้น ซึ่งมันต้องหาทางออก ต้องปรับปรุงระบบคัดกรอง ได้ฟังข้อเสนอจากหลายฝ่าย เมื่อฟังแล้วเป็นประโยชน์กับประชาชน ลดความแออัดในโรงพยาบาลและห้องฉุกเฉิน ย่อมเป็นเรื่องที่น่าสนับสนุน ส่วนเรื่องงบประมาณอย่าเป็นห่วง เพราะถ้ามีประโยชน์ เรื่องนี้ ไม่ใช่ปัญหา

จากนั้น นายอนุทินได้กล่าวถึงโครงการโรงพยาบาลอาหารปลอดภัยว่า เป็นโครงการที่มีอยู่แล้ว เพราะอาหารโรงพยาบาล ต้องสะอาด ถูกหลักอนามัย เพียงแต่ช่วงนี้ หยิบมาพูดถึงอีกครั้ง ซึ่งมีนโยบายให้ทุกโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ซื้อวัตถุดิบจากเกษตรกรไทย สร้างเม็ดเงินให้คนไทยด้วยกัน แต่ต้องระมัดระวังเรื่องสารเคมีตกค้างด้วย

ประเด็นเรื่องการยกระดับห้องฉุกเฉินนั้น สืบเนื่องมากจากที่นายอนุทินเคยโพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัวระบุว่า กำลังหารือแนวทางพัฒนาห้องฉุกเฉินโรงพยาบาล สร้างมาตรการ และมาตรฐานบริการประชาชน จะเริ่มต้นวันที่ 1 ธันวาคม นี้ ปรับปรุงศักยภาพ 21 โรงพยาบาล ก่อน ตามงบประมาณที่มี แล้วรองบประมาณปี 2563 ออกมา เพื่อจะพัฒนาให้ได้มากที่สุด

ผู้สื่อข่าวเปิดเผยว่า สำหรับโรงพยาบาล 21 แห่งข้างต้น ที่จะมีการปรับปรุงห้องฉุกเฉิน ประกอบด้วย เขต 1 รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ รพ.ลำปาง เขต 2 รพ.พุทธชินราช จ.พิษณุโลก เขต 3 รพ.สวรรค์ประชารักษ์ เขต 4 รพ.สระบุรี รพ.พระนครศรีอยุธยา รพ.ปทุมธานี เขต 5รพ.นครปฐม เขต 6 รพ.ชลบุรี รพ.ระยอง เขต 7 รพ.ขอนแก่น เขต 8 รพ.อุดรธานี เขต 9 รพ.มหาราชนคราราชสีมา รพ.บุรีรัมย์ เขต 10 รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี เขต 11 รพ.สุราษฎร์ธานี รพ.วชิระภูเก็ต เขต 12 รพ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และรพ.สังกัดกรมการแพทย์ 3 แห่ง คือรพ.ราชวิถี รพ.นพรัตนราชธานี และรพ.เลิดสิน

อย่างไรก็ตามที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นายอนุทิน ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) โดยที่ประชุมได้เห็นชอบข้อเสนอการใช้สิทธิบริการสาธารณสุข ตามนโยบาย “บริการเจ็บป่วยฉุกเฉินคุณภาพ” นำเสนอโดย นพ.การุณย์ คุณติรานนท์ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

นายอนุทิน กล่าวว่า ตามข้อเสนอ “แนวทางการปฏิรูปห้องฉุกเฉิน” โดยกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2562 มีหลักการเพื่อลดความแออัดในห้องฉุกเฉินเพื่อให้ผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินวิกฤตและเร่งด่วน ได้รับบริการมีคุณภาพมากขึ้น แยกการบริการเจ็บป่วยไม่รุนแรงและเจ็บป่วยทั่วไปออก และเพื่อให้ผู้ป่วยที่มีอาการที่ไม่ถึงเกณฑ์เจ็บป่วยฉุกเฉินเร่งด่วนมีสิทธิเข้ารับบริการนอกเวลาราชการ โดยมอบให้ สปสช. ร่วมพัฒนาระบบในการสนับสนุนค่าใช้จ่ายการบริการผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรง (สีเขียว) และผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการ

ที่ผ่านมา สปสช.ได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการปฏิรูปห้องฉุกเฉิน โดยมีการออกประกาศตามข้อ 10 วรรคสอง ของข้อบังคับมาตรา 7 กำหนดเพิ่ม “เหตุสมควรอื่นเพื่อลดความแออัดในห้องฉุกเฉินและเพิ่มคุณภาพในการใช้บริการนอกเวลาราชการ” เพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรง (สีเขียว) และผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและได้รับบริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน กำหนดเงื่อนไขจัดบริการนอกเวลาราชการเฉพาะหน่วยบริการเฉพาะที่มีศักยภาพตามแนวทางบริการฉุกเฉินคุณภาพ โดยแยกจัดบริการเป็น 2 ห้องชัดเจน ตามมาตรฐาน คือ ห้องฉุกเฉินคุณภาพเพื่อดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตและเจ็บป่วยฉุกเฉินเร่งด่วน (สีแดงและสีเหลือง) และห้องฉุกเฉินไม่รุนแรงเพื่อดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรง (สีเขียว) และที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลา พร้อมแยกระบบข้อมูลบริการนอกเวลาราชการ

นอกจากนี้ได้เพิ่มค่าบริการสาธารณสุขนอกเวลาราชการในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรงและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการเป็นรายการบริการใหม่ โดยกำหนดอัตราชดเชยค่าบริการ 150 บาทต่อครั้ง ซึ่งในปีงบประมาณ 2563 (10 เดือน) คาดว่าจะมีการรับบริการประมาณ 1.05 ล้านครั้ง หรือร้อยละ 10 ของการรับบริการผู้ป่วยนอก ใช้งบประมาณไม่เกิน 157.50 ล้านบาท โดยจะเป็นการใช้เงินกองทุนรายการรายได้สูง (ต่ำ) กว่าค่าใช้จ่ายสะสมในการดำเนินการ

ด้าน นพ.การุณย์ กล่าวว่า การจ่ายชดเชยค่าบริการสาธารณสุขนอกเวลาราชการในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรงและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการนี้ จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป โดยในปีงบประมาณ 2563 มีโรงพยาบาลร่วมนำร่องจับ 34 แห่ง ซึ่งผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรงและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

“สปสช.มีนโยบายสนับสนุนการปฏิรูปห้องฉุกเฉินตามข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับบริการที่มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อให้ห้องฉุกเฉินเป็นพื้นที่ดูแลเฉพาะรับผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตและผู้ป่วยเจ็บป่วยฉุกเฉินเร่งด่วนเท่านั้น ขณะเดียวกันเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรงและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากช่วยลดความแออัดในห้องฉุกเฉินแล้วยังลดความขัดแย้งระหว่างบุคลากรทางการแพทย์กับผู้ป่วยและญาติในความเห็นที่ไม่ตรงกันกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน” นพ.การุณย์ กล่าว

พิษยุบรวมเริ่มแล้ว! โรงเรียนตชด.อุดรฯถูกตัดน้ำไฟ

People Unity News : พิษยุบรวมเริ่มแล้ว! โรงเรียนตชด.อุดรฯถูกตัดน้ำไฟ พระมาโปรดติดโซลาร์เซลล์บรรเทาทุกข์

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 เพจพระครูวิมลปัญญาคุณ ศรีแสงธรรม ได้โพสต์ข้อความว่า โรงเรียนตชด.ห้วยหมากหล่ำ อยู่ในบ้านห้วยหมากหล่ำ ต.ทมนนางาม อ.โนนสะอาด จ.อุดรธานี มีนักเรียน 40 คน จากอนุบาลถึง ป.6 ตั้งมาหนึ่งปี ได้รับผลกระทบนโยบายยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก แต่ชาวบ้านไม่มีกำลังที่จะส่งลูกไปโรงเรียนรวมได้ มีปัญหามากมายพอๆ กับโรงเรียนศรีแสงธรรม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี ระยะเริ่มต้นเลย อีกทั้งชุมชนไม่มีที่ทำกิน มีรายได้จากการรับจ้างไปวันๆ มีน้ำประปาก็ไม่มีค่าไฟฟ้าจ่ายโดนตัด ต้องซื้อน้ำใช้เพราะบ่อน้ำที่มีก็ใช้ไม่ได้ ทางรัฐไปสร้างเขื่อนเก็บน้ำให้ใช้ก็ยังมีกลิ่นเน่าเหม็น กรองไม่ได้ นึ่งข้าวกินไม่ได้ โรงเรียนก็ได้รับผลกระทบอันเดียวกัน กรองน้ำหลายรอบกว่าจะให้ดื่มกินได้

วันนี้จึงได้มาติดตั้งระบบโซล่าร์เซลล์สูบน้ำจากบ่อท้ายบ้านขึ้นไปยังหอประปาหมู่บ้านเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำสะอาด ช่วยเรื่องน้ำทำสวนเล็กๆ น้อยในแปลงอาหารกลางวันของเด็กๆ และแบ่งเบาภาระค่าน้ำค่าไฟของคนในชุมชน ระยะทางประมาณ 700 เมตร นับเป็นงานยากพอสมควรที่สูบน้ำไกลขนาดนี้ เป็นโครงการของคนบันดาลไฟที่จะได้ช่วยเหลือชุมชน โดยทีมงานช่างขอข้าวจากโรงเรียนศรีแสงธรรมมาช่วยดูแลงานระบบที่บ้านห้วยหมากหล่ำ วันนี้ข้ามมาหลายจังหวัดจากอิสานใต้ มาอิสานเหนือ อุบลราชธานีถึงอุดรธานี มาติดตั้งโซล่าร์เซลล์

สธ.จัดประชุมวิชาการนานาชาติ เฉลิมพระเกียรติพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

People Unity News : กระทรวงสาธารณสุข จัดการประชุมวิชาการระดับนานาชาติเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพื่อเผยแพร่พระราชกรณียกิจของราชวงศ์จักรีกับการแพทย์และการสาธารณสุขไทย และพระมหากรุณาธิคุณในความห่วงใยสุขภาพของประชาชนที่อยู่ห่างไกลให้ปรากฏแก่สายตาชาวไทยและชาวต่างชาติ แลกเปลี่ยนเรียนรู้งานวิจัยและนวัตกรรมสุขภาพ สร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการในระดับนานาชาติ

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเปิดการประชุมวิชาการระดับนานาชาติเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก (International Conference on Advancement in Health Sciences Education and Professions : Synergy and Reform for Better Health (IHSEP2019) in Celebration of the Royal Coronation Ceremony) ว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 จึงได้จัดการประชุมวิชาการนานาชาติเพื่อเผยแพร่พระราชกรณียกิจของราชวงศ์จักรีกับการแพทย์และการสาธารณสุขไทย ในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข และความห่วงใยสุขภาพของประชาชนที่อยู่ในชนบทห่างไกล ให้ปรากฏแก่ชาวไทยและชาวต่างชาติ เป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้งานวิจัยและนวัตกรรมสุขภาพ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการในระดับนานาชาตินายอนุทินกล่าวต่อว่า การเตรียมความพร้อมสำหรับบุคลากรการแพทย์และการสาธารณสุข เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้การปฏิรูประบบสุขภาพของประเทศไทยบรรลุสู่เป้าหมาย การมีสุขภาพที่ดี การให้บริการที่ดี

การเข้าถึงระบบสุขภาพที่มากขึ้น ลดภาระค่าใช้จ่ายทางด้านการแพทย์ บุคลากรทางด้านการแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมอย่างเหมาะสม ในจำนวนที่เหมาะสม ครอบคลุมทุกสาขาวิชาชีพ ตลอดจนการดึงศักยภาพของบุคลากรดังกล่าวมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ จึงมีความจำเป็นต่อการฝึกอบรมบุคลากรสายวิชาชีพต่างๆ ให้มีความรู้ในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ให้สามารถคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาสำหรับผู้ป่วยและการให้บริการทางการแพทย์ในทุกๆ วันได้

“ผมหวังว่าการประชุมครั้งนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการปรับปรุงระบบสุขภาพของประชาชน รวมทั้งการดูแลผู้ป่วยและระบบสาธารณสุขของประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น” นายอนุทินกล่าว

ด้านนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การจัดการประชุมวิชาการนานาชาติครั้งนี้ สถาบันพระบรมราชชนก และสมาคมศิษย์เก่าวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี ได้รับความร่วมมือจาก 15 หน่วยงานจากประเทศจีน ญี่ปุ่น อินโดนีเชีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นิวซีแลนด์ อังกฤษ อเมริกา สวีเดน และสิงคโปร์ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ อาจารย์ นักวิจัยและนักศึกษา จาก 10 ประเทศ ได้แก่ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา สวีเดน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐประชาชนจีน นิวซีแลนด์ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และไทย ร่วมประชุมสำหรับสถาบันพระบรมราชชนก มีวิทยาลัยในสังกัดทั่วประเทศ จำนวน 39 แห่ง แบ่งเป็นวิทยาลัยพยาบาล 30 แห่ง วิทยาลัยการสาธารณสุข 7 แห่ง วิทยาลัยเทคโนโลยีทางการแพทย์กาญจนาภิเษก และวิทยาลัยการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี

พม.จัดงานรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี

People Unity News : พม.ร่วมกับสมาคมบัณฑิตสตรีทางกฎหมายแห่งประเทศไทยฯ จัดงานรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี เร่งสร้างความเข้มแข็งให้ครอบครัวเพื่อต่อสู้กับความรุนแรง “จุติ” เร่งจ่ายเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด ลั่น!งวดหน้าไม่ต้องรอถึงรอบจ่าย

วันนี้ 11 พ.ย. 62 เวลา 08.30 น. ที่ห้องกรุงธนบอลรูม ชั้น 3 โรงแรมรอยัลริเวอร์ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ร่วมกับสมาคมบัณฑิตสตรีทางกฎหมายแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จัดงานรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก และสตรี ภายใต้แนวคิด “ประสานรัก ประสานใจ ครอบครัวไทยไร้ความรุนแรง”

นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “มาตรการการส่งเสริมและป้องกันการเกิดความรุนแรงในครอบครัว” ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมงาน ประกอบด้วย เด็ก และเยาวชน บุคคลในครอบครัวจากชุมชนกรุงเทพมหานคร 50 เขต หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ผู้นำชุมชน องค์กรสตรี และประชาชนทั่วไป จำนวน 400 คน

นายจุติ กล่าวว่า สืบเนื่องจากการที่องค์การสหประชาชาติ ประกาศให้วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี สำหรับประเทศไทย มีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2542 ซึ่งกำหนดให้เดือนพฤศจิกายนของทุกปีเป็น “เดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี” เพื่อมุ่งเน้นที่จะป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงทางต่อเด็กและสตรีทุกรูปแบบ กระทรวงพม. ร่วมกับสมาคมบัณฑิตสตรีทางกฎหมายแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ดำเนินการจัดงานรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก และสตรี ในครั้งนี้นับเป็นประโยชน์อย่างยิ่งและเป็นการประสานความร่วมมือเพื่อร่วมรณรงค์ ยุติความรุนแรงให้บุคคลในสังคมให้ได้รับความรู้ มีความเข้าใจในสิทธิและหน้าที่ และมีส่วนร่วมในการรณรงค์ยุติความรุนแรงในครอบครัวและสังคม อันจะส่งผลให้บุคคลในสังคมปราศจากความรุนแรงในทุกรูปแบบ สังคมมีความเข้มแข็ง มีครอบครัวที่อบอุ่น และมีสัมพันธภาพที่ดีของครอบครัว

“การจัดงานรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก และสตรี ภายใต้แนวคิด “ประสานรัก ประสานใจ ครอบครัวไทยไร้ความรุนแรง” ในวันนี้ นับเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่กระทรวง พม. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยกระตุ้นให้คนในสังคมมีความรู้ และมีความตระหนักถึงความสำคัญของปัญหา และร่วมกันเป็นพลังในการยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว จนก่อให้เกิดกระแสสังคมในการ ไม่ยอมรับ ไม่นิ่งเฉย ไม่กระทำความรุนแรง” นายจุติ กล่าว

นายจุติ กล่าวภายหลังด้วยว่า เราจะสร้างครอบครัวให้เข้มแข็งเพื่อต่อสู้กับความรุนแรงในครอบครัว ครอบครัวที่เข้มแข็งจะเป็นพลังสำคัญเพื่อชาติต่อไปในอนาคต สังคมดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ต้องช่วยกันสร้าง เราควรหันมาให้ความรัก ความสนใจความเอาใจใส่กับคนรอบข้าง คนในครอบครัว ถ้าเรามีความรัก ความเมตตา ให้อภัยซึ่งกันและกัน เราก็จะมีความสุขกันถ้วนหน้า ตนมีความตั้งใจจะทำงานร่วมกันกับกระทรวงศึกษา พม.จะจับมือกันกับครูตามโรงเรียนต่างๆ ที่จะไปสำรวจเด็กนักเรียนในห้องไปดูและสังเกตความผิดปกติตั้งแต่เริ่มต้นจะได้แก้ไขได้ทัน ในขณะเดียวกันจะให้ความรู้กับสตรีทั่วประเทศทั้ง 76 จังหวัด หลังจากนั้นเราจะช่วยกันสร้างสถาบันครอบครัวให้เข้มแข็งต่อไป

“เราจะต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย ความรุนแรงในครอบครัว และยาเสพติด จะช่วยกันทำให้ครอบครัวมีภูมิคุ้มกันมีความรัก ความเมตตาต่อกันและกัน ทั้งนี้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ท่านทรงให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ก็จะเป็นพลังผลักดันพวกเราในเรื่องนี้ด้วย ให้เดินหน้าอย่างมั่นคงและมีกำลังใจ” นายจุติ กล่าว

เร่งจ่ายเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด ลั่น!งวดหน้าไม่ต้องรอถึงรอบจ่าย

ที่ สถาบันการพัฒนาความรู้ด้านการพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ต.เกาะพลับพลา  อ.เมือง จ.ราชบุรี นายจุติ ลงพื้นที่ตรวจติดตามการดำเนินงานในโอกาสการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 ระหว่างวันที่ 11-12 พฤศจิกายน 2562 โดยมีกลุ่มผู้สูงอายุ และประชาชนชาวจังหวัดราชบุรี จำนวนกว่า 400 คน ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ ได้เยี่ยมชมนิทรรศการ มหกรรมการขับเคลื่อนงานสวัสดิการด้านสังคมในพื้นที่ พบปะรับฟังเสียงประชาชนจากภาคส่วนต่างๆ ของ จ.ราชบุรี

นายจุติ กล่าวว่า วันนี้ได้ลงมาเยี่ยมและรับฟังความคิดเห็นของชาวราชบุรี มีหลายองค์กรที่ทำงานด้านสังคมช่วยและร่วมกันทำงาน รัฐบาลมีความมุ่งมั่นและตั้งใจดีในการทำงานเพื่อทุกคน ในส่วนผู้ที่มีรายได้น้อยก็จะช่วยให้ยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง ในส่วนอาสาสมัครสังคมก็จะต้องได้รับการพัฒนาศักยภาพในทุกมิติ เพื่อเป็นกำลังสำคัญและเป็นพี่เลี้ยงให้กับสังคมราชบุรีให้เดินก้าวหน้าต่อไป

“ผมคิดว่าวันนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการพัฒนาทุนมนุษย์ เพราะทุนมนุษย์เป็นต้นทุนที่สำคัญ ถ้าคุณมีความแข็งแกร่ง ครอบครัวมีความสุขมั่นคง สังคมจะมีความแข็งแกร่ง ประเทศก็จะมีความก้าวหน้าและสามัคคีพร้อมที่จะเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายจุติกล่าว

นายจุติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดที่ยังมีรายชื่อบางส่วนตกหล่น ทำให้ทางกระทรวงเร่งตรวจสอบข้อมูลและทยอยแก้ไขให้เร็วที่สุด ว่า มันมีปัญหาเนื่องจากมีการเปลี่ยนเกณฑ์ จากเดิมผู้ที่ได้รับเงินมีจำนวนน้อยขณะนี้ได้เพิ่มเป็นจำนวนมาก ฉะนั้นมีความจำเป็นในการที่จะต้องเอาข้อมูลเข้าระบบ เพื่อเงินที่จ่ายจะได้ถึงประชาชนโดยตรง ป้องกันการทุจริต มีความโปร่งใส ดังนั้นจำเป็นต้องกรอกข้อมูลถึง 59 ข้อต่อคน (จากเดิม 79 ข้อ) จึงมีความยากลำบากในการทำงานพอสมควร ทำให้เกิดความล่าช้า แต่ตนเชื่อมั่นว่าเมื่อกรอกข้อมูลเข้าระบบเสร็จแล้ว ทุกอย่างจะเดินหน้าไปโดยไม่ติดขัด

ในส่วนผู้ที่ยังไม่ได้รับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด นายจุติ กล่าวว่า ขณะนี้ตนได้ประชุมกับ พม.ทุกจังหวัด ทุกหน่วยงานระดมเจ้าหน้าที่จากส่วนต่างๆ มาช่วยทำตรงนี้อย่างเดียว เชื่อว่าจะทำให้เสร็จโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้จากปกติเงินจะออกทุกวันที่ 10 แต่ถ้าทำข้อมูลล็อตตกค้างเสร็จ ทาง พม.จะเร่งจ่ายเงินแก่ผู้ปกครองโดยไม่ต้องรอถึงรอบจ่าย

“อนุทิน”เดือดลั่น”หยาบช้าป่าเถื่อน” สั่งฟ้องแก็งค์อันธพาลตีกันใน ร.พ.

People Unity News : “อนุทิน”วอนสังคมจัดหนัก “แก็งค์อันธพาลตีกันใน ร.พ.” ชี้ เป็นการกระทำ “หยาบช้าป่าเถื่อน” พร้อมสั่ง สธ.ลุยดำเนินคดี

วันที่ 11 พ.ย.2562 จากกรณีที่ กลุ่มวัยรุ่นยกพวกตีกันถึงหน้าห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลอ่างทอง เมื่อกลางดึกวันที่ 9 พ.ย. ที่ผ่านมา ล่าสุดนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้โพสต์เฟซบุ๊ค “อนุทิน ชาญวีรกูล” ขอให้ทุกภาคส่วน ช่วยกันป้องกันปัญหาการทะเลาะวิวาทภายในโรงพยายาลอย่างเด็ดขาด พร้อมเปิดเผยว่าจะให้กระทรวงสาธารณสุข เร่งดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุทั้งหมด นายอนุทิน ระบุว่า

“ช่วยกันจัดให้หนัก
……….
เราควรจะทำอย่างไร ?
กับอันธพาลกระจอก ที่ชอบยกพวกมาก่อเหตุทำร้ายร่างกาย ทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาล

กี่ครั้งแล้ว ที่ห้องฉุกเฉิน และโรงพยาบาล ต้องเสียหาย
แพทย์ เจ้าหน้าที่ ต้องเสี่ยงบาดเจ็บ ทำงานไม่ได้ ทรัพย์สินโรงพยาบาล เครื่องมือแพทย์ เสียหาย ผู้ป่วยคนอื่นๆ เดือดร้อน

ขอแบบเอาให้เข็ดหลาบ ไม่แสดงสันดานหยาบช้าป่าเถื่อนแบบนี้อีก

ในสงคราม ยังเว้นพื้นที่ปลอดภัยให้โรงพยาบาล แพทย์ และ เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์

แต่ในหัวใจอันธพาลกระจอกพวกนี้ ไม่มีอะไรเลย รวมทั้งคำสอนของพ่อแม่ แย่จริงๆ

กระทรวงสาธารณสุข จะดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุด ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างเลวร้าย อีกต่อไป

https://tna.mcot.net/view/5dc8070be3f8e40b313b27b7

#saveโรงพยาบาล
#saveผู้ป่วย”

Verified by ExactMetrics