วันที่ 19 พฤษภาคม 2024

ด่วน!!!! กองสลากฯแจ้งอายัดสลากหาย งวด 16 ก.ย.นี้ 9 พันใบ หากถูกรางวัล ขึ้นเงินไม่ได้

People Unity News : 14 กันยายน 2566 กองสลากฯ เตือนระวังซื้อสลากอายัด 9,000 ใบ ออกรางวัลงวด 16 ก.ย.66 ตัวแทนทำหาย และสูญหายทางไปรษณีย์ หากถูกรางวัล ขึ้นเงินไม่ได้ ต้องพิสูจน์ทางคดีให้แล้วเสร็จ

นายธนวรรธน์ พลวิชัย โฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า สำนักงานสลากฯ ได้อายัดสลากฯ จำนวน 90 เล่ม หรือ 9,000 ใบ จาก 2 คดี เป็นสลากฯ สำหรับออกรางวัลประจำงวดวันที่ 16 กันยายน 2566 คดีแรก ได้รับแจ้งจากประชาชนตัวแทนจำหน่าย เป็นผู้เสียหาย ระบุว่า สลากกินแบ่งรัฐบาลได้สูญหาย จึงแจ้งตำรวจให้บันทึกประจำวันรับแจ้งความเป็นหลักฐาน ต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรวารินชำราบ ตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี ตำรวจภูธรภาค 3 ลงวันที่ 7 กันยายน 2566 จากนั้นได้ติดต่อสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อขอให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล อายัดสลากกินแบ่งรัฐบาลที่สูญหาย งวดวันที่ 16 กันยายน 2566 จำนวน 45 เล่ม

ดังนั้น เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น สำนักงานสลากฯ จึงเผยแพร่ข้อมูลหมายเลขสลากกินแบ่งรัฐบาลที่มีการแจ้งความสูญหาย เพื่อให้ประชาชนโดยทั่วไปได้รับทราบ เพราะหากซื้อสลากฯ จากคนอื่นนำไปขายให้กับประชาชนทั่วไป โดยเป็นสลากฯ ที่ได้อายัดไปแล้ว จะขึ้นเงินรางวัลไม่ได้ จนกว่าจะพิสูจน์ความเป็นเจ้าของตัวจริง โดยให้ตรวจสอบสลากฯ ตามลิงก์ด้านล่างนี้ https://api.glo.or.th/url/gGBviv4ocDu1

นายธนวรรธน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า คดีที่ 2 เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ โดยตัวแทนจำหน่ายในจังหวัดอุดรธานี ได้แจ้งความบันทึกประจำวันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ไม่ได้รับสลากฯ ตามที่จัดส่งให้ทางไปรษณีย์ไทย จำนวน 45 เล่ม สำหรับงวดออกรางวัล 16 กันยายน 2566 ด้วยเช่นกัน ทำให้มีสลากฯ ถูกอายัดในงวดดังกล่าวนี้ 90 เล่ม หรือจำนวน 9,000 ใบ หากถูกกระจายไปยังประชาชนทั่วไป ต้องระวังเมื่อถูกรางวัล เพราะต้องพิสูจน์ทางคดีให้ชัดเจนว่า ได้รับสลากฯ ที่อายัดไปแล้ว อย่างไร

Advertisement

ด่วน!! รมว.ดีอี เผยพบ 1,158 หน่วยงาน ข้อมูลรั่ว ลั่นเอาจริงขโมยข้อมูล-ซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล

People Unity News : 22 พฤศจิกายน 2566 “ประเสริฐ” ระบุพบ 1,158 หน่วยงานข้อมูลรั่ว และ 21 หน่วยงาน ระบบไซเบอร์เสี่ยงสูง ยืนยันรัฐบาลนี้เอาจริงเรื่องขโมยข้อมูล ซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล ต้องจับตัวเอามาลงโทษให้ได้

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (รมว.ดีอี) กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมามีปัญหาการหลุดรั่วของข้อมูลประชาชน ตลอดจนการซื้อขายข้อมูลประชาชนตามที่เป็นข่าว จึงเร่งดำเนินการ 6 มาตรการ เพื่อแก้ปัญหานี้ โดยแบ่งเป็นระยะเร่งด่วน 30 วัน ระยะ 6 เดือน และระยะ 12 เดือน ดังนี้

ระยะเร่งด่วนใน 30 วัน

1.ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPC Eagle Eye เร่งตรวจสอบข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ พร้อมทั้งค้นหา เฝ้าระวังการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล โดยในช่วงวันที่ 9-20 พ.ย. 66 ได้ดำเนินการและมีผลดังนี้

-ตรวจสอบแล้ว จำนวน 3,119 หน่วยงาน (ภาครัฐ/ภาคเอกชน)

-ตรวจพบข้อมูลรั่วไหล/แจ้งเตือนหน่วยงานแล้ว จำนวน 1,158 เรื่อง

-หน่วยงานแก้ไขแล้วจำนวน 781 เรื่อง

นอกจากนี้ พบกรณีซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล 3 เรื่อง อยู่ระหว่างสืบสวนดำเนินคดีร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ทั้งนี้ ได้สั่งการให้ศูนย์ PDPC Eagle Eye เร่งตรวจสอบ 9,000 หน่วยงานใน 30 วัน

2.ให้สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ตรวจสอบช่องโหว่ ระบบ cybersecurity หรือระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยข้อมูล โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐที่เป็นหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ (Critical Information Infrastructure : CII) อาทิ ด้านพลังงานและสาธารณสุข ด้านบริการภาครัฐ และการเงินการธนาคาร เป็นต้น โดยการตรวจสอบช่องโหว่ของระบบ cybersecurity ช่วงวันที่ 9-20 พ.ย. 66

-ตรวจสอบระบบ cybersecurity แล้ว จำนวน 91 หน่วยงาน

-ตรวจพบมีความเสี่ยงระดับสูง 21 หน่วยงาน และ สกมช. ได้แจ้งให้แก้ไขแล้ว

นอกจากนี้พบการซื้อขายข้อมูลคนไทยใน darkweb (เว็บผิดกฎหมายที่คนร้ายหรือโจรออนไลน์นิยมใช้) จำนวน 3 เรื่อง อยู่ระหว่างสืบสวนดำเนินคดีร่วมกับ บช.สอท.

3.ให้ สคส. และ สกมช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมโรงแรมไทย รวมถึงเครือข่ายภาคสื่อมวลชน สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นหากไม่ปฏิบัติตามระเบียบขั้นตอนการรักษาความปลอดภัยของหน่วยงาน ความรู้เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Awareness Training) เช่น การป้องกันการบุกรุกจากบุคคลภายนอก การตั้งค่าระบบอย่างปลอดภัย และการบังคับใช้กฎหมายตามอำนาจหน้าที่อย่างเคร่งครัด

4.ให้ดีอี และ สอท. เร่งรัดปิดกั้นการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลที่ผิดกฎหมาย และดำเนินคดีจับกุมผู้กระทำความผิด

ระยะ 6 เดือน

5.ส่งเสริมการใช้งานระบบคลาวด์กลางภาครัฐที่มีความน่าเชื่อถือ ความมั่นคงปลอดภัยตามหลักวิชาการสากล รองรับการใช้งานของบุคลากรของหน่วยงานต่างๆ ได้อย่างปลอดภัย เพื่อป้องกันและลดปัญหาการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล จากสาเหตุที่หน่วยงานภาครัฐส่งข้อมูลให้หน่วยงานภายนอก หรือขาดบุคลากรในการกำกับดูแลงานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ระยะ 12 เดือน

6.ปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัยต่อบริบทของสังคมและพฤติการณ์ที่เปลี่ยนไป และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบและป้องกันอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่ดียิ่งขึ้น เช่น

-พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้ครอบคลุมการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล

-พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 เพิ่มบทลงโทษทางอาญาในการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล และ ให้อำนาจ สคส. ดำเนินคดีได้เอง โดยไม่ต้องรอผู้เสียหายร้องเรียน

-พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ พ.ศ. 2562 เพิ่มบทลงโทษแก่หน่วยงานรัฐที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์

สำหรับ 6 มาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและแก้ปัญหาซื้อขายข้อมูล รัฐมนตรีดีอีได้รายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 21 พ.ย.แล้ว

นายประเสริฐ กล่าวในตอนท้ายว่า “ขอยืนยันว่ารัฐบาลนี้เอาจริง เรื่องขโมยข้อมูล ซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล ต้องจับตัวเอามาลงโทษให้ได้ สำหรับเรื่องหน่วยงานปล่อยปละละเลยให้ข้อมูลรั่ว ตนได้สั่งการให้เร่งตรวจสอบการเปิดเผยข้อมูลที่ไม่เหมาะสม และระบบ cybersecurity ของหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะหน่วยงานของรัฐที่มีข้อมูลประชาชนจำนวนมาก ยังพบว่ามีข้อมูลรั่ว และสั่งการให้เร่งแก้ไขไปแล้ว หากหน่วยงานไหนยังทำผิดซ้ำจะลงโทษอย่างเคร่งครัดเด็ดขาดตามกฎหมาย”

Advertisement

รัฐบาลสั่งธนาคารเตรียมเงินสดให้เพียงพอรองรับความต้องการของประชาชนในช่วงโควิด-19

People Unity News : รัฐบาลสั่งธนาคารเตรียมเงินสดเพียงพอ รองรับความต้องการของประชาชนในสถานการณ์โควิด-19

เมื่อวานนี้ (23 มี.ค.2563) เวลา 13.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล COVID-19 ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ นายสมคิด จันทมฤก  โฆษกกระทรวงมหาดไทย ร.ต.อ. พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพมหานคร และนางภานิณี มโนสันติ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานกิจการนโยบายสินเชื่อและภาครัฐ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลให้พำนักอยู่ที่บ้าน งดการเดินทางไปต่างจังหวัด  อย่างไรก็ตาม การประกาศปิดถานที่ต่างๆเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม – 12 เมษายน 2563 ส่งผลให้พี่น้องประชาชนหรือแรงงานต่างด้าวที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการปิดสถานบันเทิง สถานที่ต่างๆ เดินทางกลับยังภูมิลำเนาของตนเอง  ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถห้ามประชาชนเดินทางกลับได้ แต่ได้มีมาตรการการรองรับคือคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ให้จัดทำแผนปฏิบัติการค้นหาเฝ้าระวัง ป้องกันโรคระดับจังหวัด อำเภอและหมู่บ้าน คัดกรองผู้ที่เดินทางจากพื้นที่เสี่ยง เช่น กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ให้คัดแยกตัวและสังเกตการณ์ 14 วันตามหลักของกระทรวงสาธารณสุข พร้อมกันนี้ ขอความร่วมมือประชาชนที่ยังไม่เดินทางกลับยังภูมิลำเนาให้อยู่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลไปก่อน เพราะอาจไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือไม่ หากกลับไปภูมิลำเนาอาจนำเชื้อกลับไปยังครอบครัวของตนเอง ในส่วนของการเยียวยานั้น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่ากระทรวงการคลังจะเสนอมาตรการต่างๆในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ เพื่อเยียวยาดูแลพี่น้องประชาชน สำหรับนายจ้างและลูกจ้าง ผู้ประกันตน สำนักงานประกันสังคมมีมติลดอัตราสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนเหลือ 4% เป็นระยะเวลา 6 เดือน ขยายระยะเวลาส่งเงินสมทบงวดเดือนมีนาคม – พฤษภาคม ไปอีก 3 เดือน และเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน สำนักงานประกันสังคมจ่ายอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง เป็นระยะเวลาไม่เกิน 80 วัน

โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณรัฐบาลจีนได้มีการบริจาคเวชภัณฑ์ให้กับทางรัฐบาลไทยมีการบริจาคชุดตรวจเชื้อ จำนวน 20,000 ชุด หน้ากากอนามัย จำนวน 100,000 ชิ้น หน้ากากอนามัย ประเภท N 95 จำนวน 20,000 ชิ้น ชุดอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัย (PPE : Personal Protective Equipment) จำนวน 20,000 ชุด

จากนั้น ร.ต.อ. พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า เรากำลังเข้าสู่ช่วงเวลาสุดท้ายหรือช่วงเวลาทองคำ (golden period) ซึ่งจะชี้ชะตาว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้หรือไม่ ดังนั้น กรุงเทพมหานครจึงเร่งออกมาตรการสกัดการเคลื่อนย้ายหรือห้ามคนไม่ให้ออกมาทำกิจกรรม โดยปิดสถานที่ รวมทั้งหมด 4 คำสั่ง โดยคำสั่งที่ 1 สั่งปิด 8 สถานที่ เช่น สนามมวย สถานบริการ และเพิ่มเติมปิดสถานที่ตามคำสั่งที่ 2 รวมทั้งหมด 26 สถานที่ คำสั่งที่ 3 เป็นการขยายความคำสั่งที่ 2  และคำสั่งที่ 4 เป็นมาตรการที่ต้องดำเนินการต่อไป โดยขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน โฆษกกรุงเทพมหานครยังอธิบายเพิ่มเติมถึง ประเด็น “ห้างสรรพสินค้า” เป็นภาษากฎหมายครอบคลุมถึง ห้างทุกประเภท ศูนย์การค้า และคอมมูนิตี้มอลล์  ส่วนธนาคารในหรือนอกห้างเปิดบริการตามปกติ ประเด็นร้านอาหาร ทุกๆที่สามารถเปิดบริการได้เหมือนเดิมเพียงแต่ต้องซื้อกลับไปทานที่บ้านเท่านั้น ยกเว้นสนามบินเนื่องจากต้องรองรับผู้โดยสาร แต่ให้ใช้มาตรการเว้นระยะห่าง กรณีภาพคนแออัดที่สถานีขนส่งหมอชิตหลังคำสั่งปิดสถานที่ต่างๆ เพื่อเดินทางกลับภูมิลำเนานั้น พบว่าร้อยละ 90 เป็นชาวลาว พม่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่าน อีกร้อยละ 10 เป็นชาวไทยผู้ที่เดินทางกลับต่างจังหวัด พบว่าเพิ่มเพียงร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ที่ใช้บริการสถานีขนส่งหมอชิตในแต่ละวันแล้ว โฆษกกรุงเทพมหานคร กล่าวขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกท่านที่ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการไม่ออกจากบ้าน

รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ที่ปรึกษากรมการแพทย์และกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์การระบาดครั้งนี้รุนแรงและแพร่กระจายไปทั่วโลก คาดว่า ยังคงระบาดเป็นเวลาระยะยาว ดังนั้น ต้องช่วยกันบรรเทาสถานการณ์ อยากเห็นความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องประชาชน ปฏิบัติตามมาตรการต่างๆที่ทางการแพทย์ได้กลั่นกรอง สำหรับการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ทางอากาศระยะไกลในรูปแบบละอองฝอย โอกาสเกิดขึ้นได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ กลุ่มผู้ป่วย เช่น ไอรุนแรง โรคหอบ ซึ่งผู้ป่วยเหล่านี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมีการใส่เครื่องช่วยหายใจ แพทย์จะแนะนำให้ใส่หน้ากากอนามัยแบบ N95  ขณะที่คนส่วนมากมีการแพร่กระจายเชื้อโรคทางอากาศจะเป็นแบบละอองใหญ่ อยู่ในระยะ 1 – 2 เมตร จึงได้รณรงค์เว้นระยะห่างทางสังคม ผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติได้แนะนำผู้ที่เดินทางกลับภูมิลำเนา ขอให้ทยอยกลับ อย่ากลับเป็นกลุ่มก้อน เพราะจะเกิดความแออัด ง่ายต่อการแพร่กระจายเชื้อ เมื่อถึงบ้านขอให้ล้างมือเป็นอันดับแรก จากนั้นอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่แล้ว ใส่หน้ากากอนามัย จึงค่อยทักทายญาติผู้ใหญ่ในบ้าน พร้อมระวังตนเอง เฝ้าสังเกตอาการกักตัว 14 วัน หากมีอาการให้รีบพบแพทย์ทันที

โอกาสนี้ นายสมคิด จันทมฤก  โฆษกกระทรวงมหาดไทย ยังได้แถลงแผนรองรับประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงนี้ว่า กระทรวงมหาดไทยประสานงานร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ แต่งตั้งคณะทำงานประกอบไปด้วย กำนัน แพทย์ประจำตำบล คณะกรรมการหมู่บ้าน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านและนายอำเภอ ซึ่งจะกระจายไปทุกหมู่บ้าน ทุกชมชน โดยมีแนวทางทำงานขั้นตอนแรก จัดทำข้อมูลเพื่อเป็นฐานข้อมูลว่าประชาชนเดินทางมาจากส่วนไหนของกรุงเทพมหานครและภูมิลำเนาอยู่ที่ใด ขั้นตอนถัดมาจะ ให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่เดินทางกลับมา เว้นระยะห่างทางสังคม งดใช้สิ่งของร่วมกัน หมั่นล้างมือ สวมใส่หน้ากากอนามัย เฝ้าสังเกตอาการ 14 วัน รวมถึงคนในพื้นที่ชุมชนช่วยกันดูแล หากสงสัยว่าผู้ที่อยู่ในช่วงเฝ้าสังเกต มีอาการป่วยให้รีบแจ้งคณะทำงาน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อให้เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณะสุขรีบเข้าไปดำเนินการทันที นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยยังมอบหมายให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ดูแลกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชนเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งมีการจัดเตรียมอุปกรณ์ป้องกันเชื้อ อุปกรณ์วัดไข้ให้กับเจ้าหน้าที่ด้วย สำหรับบุคคลที่ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในการเฝ้าสังเกตอาการ ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย และจะถูกดำเนินคดี

จากนั้น นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย ยืนยันมีเงินสดมีเพียงพอให้บริการแก่ประชาชนในสภาวะฉุกเฉิน โดยร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง ให้บริการในหลายช่องทาง อาทิ ระบบตู้เอทีเอ็ม ธนาคารพาณิชย์ ประมาณ 54,000 ตู้ ทั่วประเทศมีปริมาณเพียงพอสำหรับประชาชนที่จะมาทำการ เบิก-ถอน หรือทำธุรกรรมต่างๆ โดยจะเติมเงินอย่างสม่ำเสมอ สาขาธนาคารเปิดให้บริการตามปกติทั้งในห้างสรรพสินค้าและนอกห้างสรรพสินค้า โดยเน้นเฝ้าระวัง กำหนดระยะห่างเข้าแถวที่ชัดเจน เนื่องจากบางสาขาสถานที่ไม่กว้างขวาง  นอกจากนี้ ประชาชนยังสามารถใช้ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ Internet Mobile Banking ในการทำธุรกรรมต่างๆ ซึ่งมีประชาชนหันมาใช้ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เนื่องจากสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ไม่มีค่าบริการ รวมทั้งสามารถป้องกันเชื้อไวรัสได้อีกด้วย  นอกจากนี้ ยังพิจารณาสถานะทางการเงินของลูกค้าที่ถดถอย จากสภาวะ การค้าขายมีหยุดชะงัก ให้เจ้าหน้าที่ของธนาคารมีการเจรจากับลูกค้าถึงมาตรการต่างๆ เช่น กรณีพักชำระเงินต้นนั้น เพิ่มสภาพคล่อง ฟื้นฟูธุรกิจ นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือระหว่างธนาคารพาณิชย์กับภาครัฐ โดยภาครัฐจัดสินเชื่อ Soft Loan ผ่านทางธนาคารออมสินสำหรับธนาคารพาณิชย์กู้เพื่อนำไปปล่อยสินเชื้อให้ประชาชน ในวงเงิน 1.5 แสนล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี หากประชาชนมีข้อสงสัย หรือต้องการความช่วยเหลือ เช่น เพิ่มวงเงินบัตรเครดิตชั่วคราว รับมาตรการด้านสินเชื่อ สามารถติดต่อ  Call Center ของธนาคารพาณิชย์ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ทั้งนี้ นางภานิณี มโนสันติ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานกิจการนโยบายสินเชื่อและภาครัฐ ธนาคารอาคาสงเคราะห์ กล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือลูกค้าธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณโควิด-19 ว่า  ธนาคารฯได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ให้สามารถผ่อนชำระหนี้กับธนาคารต่อไปได้ โดยลูกหนี้รายย่อยในส่วนของการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบมาก่อนนั้น ได้ออกมาตรการผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ย ในอัตราดอกเบี้ย 1% ระยะเวลา 4 เดือน เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มท่องเที่ยวให้ผ่อนชำระต่อไปได้และสามารถมีเงินเหลือในการดำรงชีวิต โดยจะต้องแสดงหลักฐานในการถูกลดค่าจ้างหรือวันทำงานให้ธนาคารฯสามารถพิสูจน์  สามารถยื่นความประสงค์ได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563  สำหรับกรณีได้รับผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เช่น กรณีกรุงเทพมหานครออกประกาศปิดห้างสรรพสินค้า ฯลฯ ทำให้มีผู้ค้าบางส่วนหรือลูกจ้างของผู้ค้าบางส่วน ถูกลดวันทำงานหรือการจ้างลง หากลูกค้าอยู่ในช่วงของการใช้อัตราดอกเบี้ยโปรโมชั่นคือดอกเบี้ยพิเศษของธนาคารฯ สามารถผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ยได้ 6 เดือน แต่ถ้าอยู่ในช่วงปรับอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ธนาคารก็จะมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษให้ โดยระยะเวลาในการผ่อนชำระอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 6 เดือนเช่นกัน สามารถยื่นความประสงค์เข้าร่วมมาตรการได้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563  ทั้งนี้ สองมาตรการมีกรอบวงเงินอยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังเพิ่มความสะดวกในการผ่อนชำระหนี้เงินกู้ ที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ผ่านบริการ GHB ALL Mobile Application Banking เพื่อชำระหนี้ผ่านโทรศัพท์มือถือแทนการชำระหนี้ที่ธนาคารหรือชำระหนี้ตามร้านค้าสะดวกซื้อต่างๆ เพื่อลดความแออัดไม่ให้คนไปรวมกันจำนวนมากเมื่อชำระหนี้แล้วสามารถดูการชำระตัดต้นตัดดอกจากใบเสร็จบนมือถือได้ทันที

ปัจจุบันธนาคารฯมีลูกค้าประมาณ 1 ล้านราย ส่วนมากลูกค้าปล่อยกู้เป็นระดับล่างถึงปานกลาง วงเงินกู้สูงสุดส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 10 – 20 ล้านบาท และระดับทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 3 – 5 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ที่ได้รับผลกระทบที่ต้องใช้เงินจากมาตรการดังกล่าวประมาณ 20% – 30% และลูกค้าส่วนใหญ่เป็นในลักษณะการกู้ร่วม ซึ่งผู้กู้ร่วมบางรายยังมีอาชีพหรือมีรายได้ที่เพียงพอสามารถผ่อนชำระได้ จึงอาจไม่ได้ใช้มาตรการนี้ทั้งหมด

ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่านายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการยกระดับมาตรการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน สอดคล้องกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ โดยให้ยาเบาจนกระทั่งเป็นยาแรง หากมีความจำเป็นก็จะใช้ยาแรงมากกว่านี้  โดยนายกรัฐมนตรีพร้อมตัดสินใจใช้มาตรการที่เข้มข้นสูงสุด โดยจะรับข้อมูลรอบด้านเพื่อพิจารณาประกอบการตัดสินใจ

นอกจากนี้  นายกรัฐมนตรียังย้ำถึงมาตรการเยียวยาช่วยเหลือทางการเงินแก่ประชาชน โดยธนาคารรัฐและธนาคารเอกชนร่วมกันแก้ปัญหาด้านสินเชื่อ พักชำระหนี้ ขยายระยะเวลาการพักชำระหนี้ ลดดอกเบี้ยต่างๆ เพื่อเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยกระทรวงการคลังจะมีมาตรการลดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย จาก 3% เหลือ 1.5% เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการและบุคคลธรรมดาตั้งแต่เดือน เม.ย.-ก.ย.นี้ หลังจากนั้นผู้ประกอบการที่ใช้ระบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Withholding Tax) จะจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่าย ส่วนมาตรการลดค่าครองชีพ ค่าน้ำ ค่าไฟ วันพุธนี้จะมีการลงทะเบียนขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้าและน้ำประปา อีกทั้ง กระทรวงที่เกี่ยวข้องนายกรัฐมนตรีสั่งการให้ลงไปดูแลลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากการปิดสถานที่ต่างๆ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาคณะกรรมการประกันสังคมได้ประชุมหารือกันมีแนวทางช่วยเหลือลูกจ้างผู้ประกันตนจาก COVID-19 การดูแลรักษาพยาบาลตามสิทธิ์  ไม่เสียค่าใช้จ่าย การจ่ายเงินชดเชยในช่วงที่ไม่มีการจ้างงาน สิทธิในการลางาน วันพรุ่งนี้จะมีมาตรการเยียวยาส่วนลูกจ้างที่ไม่ใช่ผู้ประกันตน ซึ่งกระทรวงการคลังจะเสนอมาตรการเหล่านี้เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ เพื่อจะดูแลลูกจ้างที่เรียกว่า หาเช้ากินค่ำหากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถโทรสายด่วนประกันสังคม 1506

โฆษณา

กรมอุทยานแห่งชาติฯ ยืนยันแนวเขต อช. เขาใหญ่ถูกต้องตามกฎหมาย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 มีนาคม 2567 อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ยืนยันแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยการจัดทำแผนที่แสดงแนวเขตอุทยานแห่งชาติแนบท้ายพระราชกฤษฎีกาประกาศแนวเขตอุทยานแห่งชาติเป็นไปตาม พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติฯ ชี้การสำรวจรังวัดแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ดำเนินการตั้งแต่ปี 2502 แต่การชี้ขาดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการ One Map

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า กรมอุทยานแห่งชาติฯ ยืนยันแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เนื่องจากการจัดทำแผนที่แสดงแนวเขตอุทยานแห่งชาติเป็นไปตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 หรือพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 (เดิม) ที่กำหนดให้การประกาศเขตอุทยานแห่งชาติต้องจัดทำเป็นพระราชกฤษฎีกาและให้มีแผนที่แสดงแนวเขตแนบท้ายด้วย

ดังนั้น การกำหนดเขตอุทยานแห่งชาติตามพระราชกฤษฎีกาจึงเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติตามที่บัญญัติในกฎหมาย โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชมีกระบวนการในการสำรวจเพื่อกำหนดเขต แล้วจึงขึ้นรูปแผนที่ในมาตราส่วนที่เหมาะสมที่จะใช้เป็นแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาตามแนวทางการจัดทำกฎหมายที่มีแผนที่ท้ายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อีกทั้งดำเนินการตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยมาตรฐานระวางแผนที่และแผนที่รูปแปลงที่ดินในที่ดินของรัฐ พ.ศ. 2550 รวมทั้งได้มีการถ่ายทอดแนวเขตอุทยานแห่งชาติ ตามแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาลงในแผนที่มาตราส่วน 1 : 4,000 และแผนที่ระวางมาตราส่วน 1 : 50,000 ตามที่ระเบียบกำหนดครบทุกแห่งแล้ว โดยแผนที่มาตราส่วน  : 4,000 ยังเป็นแผนที่ที่คณะอนุกรรมการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ (One Map) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ กำหนดให้เป็นแผนที่รัฐในการดำเนินการพิจารณาจัดทำแนวเขต One Map

สำหรับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้มีการสำรวจรังวัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 และได้นำผลการสำรวจรังวัดมาประกอบกับสภาพข้อเท็จจริง แล้วจึงขึ้นรูปเป็นแผนที่ในมาตราส่วนที่เหมาะสม จัดทำเป็นแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2505 ตามแนวทางที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนด พร้อมทั้งได้มีการจัดทำแผนที่มาตราฐานโดยการถ่ายทอดแนวเขตจากแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาลงในแผนที่มาตราส่วน 1 : 4,000 ให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำหนดไว้ข้างต้น ใช้เป็นแผนที่ในการปฏิบัติงานและใช้เป็นแผนที่ฐานในการจัดทำ One Map ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติกำหนด

นายอรรถพลกล่าวถึงปัญหาแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ตามที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชดำเนินการและถือปฏิบัติ มีแนวเขตไม่สอดคล้องตรงกันกับแนวเขตที่กรมแผนที่ทหารได้จัดทำในบริเวณที่มีการออกเอกสาร ส.ป.ก. 4-01 ท้องที่บ้านเหวปลากั้ง ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยระบุว่า เห็นควรเสนอให้คณะอนุกรรมการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐ (One Map) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติพิจารณาตามหลักเกณฑ์การพิจารณา One Map ให้ได้ข้อยุติและถูกต้องตามข้อเท็จจริงต่อไป

Advertisement

วว. แนะกิน “แตงโม” ป้องกันการติดเชื้อ

People Unity News : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) แนะทาน “แตงโม” เพื่อช่วยคลายร้อน คลายความเครียด ด้วยคุณสมบัติอุดมด้วยสารอาหาร ที่ให้ประโยชน์กับร่างกาย ส่งผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันการติดเชื้อ รักษาแผลให้หายเร็ว ลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ในสภาวะที่มีแรงกดดันมากมายในยุคปัจจุบัน การรับประทานแตงโมสามารถช่วยลดความตึงเครียดได้ เพราะสารโพแทสเซียมในแตงโมจะช่วยควบคุมความดันโลหิตทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดี เย็นชื่นใจ เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย นอกจากนี้แตงโมยังมีสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในด้านต่างๆ ดังนี้

“ช่วยป้องกันการติดเชื้อ” เพราะการดื่มน้ำแตงโมจะช่วยเพิ่มเบต้าแคโนทีน (Beta Carotene) ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้ในการสร้างวิตามินเอ หากร่างกายมีวิตามินเอในปริมาณมากๆ จะมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และระบบขับปัสสาวะ รวมถึงยังช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผมให้แข็งแรงอีกด้วย

“ช่วยรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น” แตงโมมีสารซิตรัลลีน (citrulline) อยู่มาก โดยสารนี้จะไปช่วยในการรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น ทั้งนี้ในการรับประทานแตงโมไม่ใช่เพียงจะดื่มน้ำแตงโมอย่างเดียว เราควรกินเนื้อแตงโมเข้าไปด้วย โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นเนื้อสีขาวที่อยู่ลึกลงไป แม้รสชาติจะไม่ค่อยหวาน แต่มีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย

“ช่วยต้านมะเร็ง มีประโยชน์ต่อหัวใจ” แตงโมมีสารสำคัญสีแดงที่มีชื่อว่า “ไลโคปีน” (Lycopene) ที่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจ ซึ่งสารนี้จะมีอยู่มากในมะเขือเทศด้วยเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกันแล้วแตงโมจะมีมากกว่าถึง 40% นอกจากนี้วารสารวิชาการ “โรคมะเร็ง” แห่งเอเชียแปซิฟิก ได้ระบุว่าสารไลโคปีนนี้จะช่วยเป็นโล่ปกป้องผิวหนังจากรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดด เพื่อไม่ให้เป็นมะเร็งผิว

นอกจากนี้ทีมนักวิจัยจาก Florida State University พบว่าแตงโมมีกรดอะมิโน L-Citrulline อยู่มาก ซึ่งกรดชนิดนี้เป็นสารตั้งต้นของ L-Arginine ที่ช่วยควบคุมการทำงานของหลอดเลือดหัวใจและช่วยให้การไหลเวียนโลหิตเป็นไปโดยสะดวก จำเป็นต่อการสร้างกรดไนตริก ซึ่งเป็นก๊าซที่ช่วยขยายหลอดเลือด ช่วยลดความดันโลหิตและป้องกันเส้นเลือดสมองแตกได้

“มีประโยชน์ต่อคนที่เป็นโรคอ้วนและเบาหวาน” แตงโมมีแคลอรี่ต่ำและยังอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ ที่มีประโยชน์ วารสารโภชนาการของต่างประเทศ “Journal of Nutrition” ได้ให้ข้อมูลว่า กรดอะมิโนในแตงโมที่มีชื่อว่า “อาร์จินิน (Arginine)” มีอยู่มากมายในเนื้อแตงโม เป็นสารที่ช่วยในการเผาผลาญแคลอรี่ได้ ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันและกลูโคส ส่วนไขมันในแตงโมมี 96 แคลอรี่เท่านั้น ฉะนั้นการกินแตงโมที่ชุ่มฉ่ำด้วยน้ำ จะช่วยทำให้เราอิ่มได้เร็วขึ้น

“แตงโมกับความงาม” ความเย็นของแตงโมจะช่วยผ่อนคลายผิวหน้าภายนอกให้ดูสดชื่น ส่วนสารสีแดงจากแตงโม คือ ไลโคปีน ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) จะสามารถดูดซับความมันบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี และวิตามินเอที่มีในแตงโมจะช่วยให้ผิวพรรณกระจ่างใสขึ้น และวิตามินซีจะช่วยให้ผิวกายสดใสขึ้น แตงโมสีแดงสดยังเต็มไปด้วยโพแทสเซียมที่จะช่วยควบคุมระบบการไหลเวียนของโลหิตในบริเวณผิวหน้าให้เป็นปกติ อีกทั้งยังช่วยให้รูขุมชนมีความยืดหยุ่น ชุ่มชื่น น้ำของแตงโมก็มีประโยชน์ต่อผิวสวยของทุกคน เพราะในน้ำของแตงโมจะมีโมเลกุลของน้ำตาล รวมทั้งมีกรดอะมิโนอยู่เล็กน้อย ซึ่งจะช่วยในการบำรุงผิวของสาวๆ ให้สวยใสยิ่งขึ้น

แม้ว่าแตงโมแช่เย็นจะให้ความสดชื่นแก่ผู้รับประทาน แต่อาจมีคุณค่าทางโภชนาการลดลงเมื่อเทียบกับแตงโมที่เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง เนื่องจากแตงโมยังผลิตสารอาหารต่อเนื่องแม้ถูกเก็บมาจากต้นแล้ว ซึ่งกระบวนการนี้จะลดลงหากนำแตงโมไปเก็บในอุณหภูมิเย็น อย่างไรก็ตามรสเย็นของแตงโมก็มีส่วนช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายและระบบย่อยอาหาร นอกจากนี้ “แตงโม” ยังมีคุณค่าทางสมุนไพร อาทิ “ราก” มีน้ำยางใช้กินแก้อาการตกเลือดหลังการแท้ง “ใบ” ใช้ชงเป็นยาลดไข้ ผลที่แสนอร่อยนั้นมีคุณสมบัติเป็นยาเย็น ช่วยระบาย ขับปัสสาวะ ช่วยย่อย แก้เบาหวาน และดีซ่าน จากคุณประโยชน์ที่หลากหลายนี้แตงโมจึงเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพอีกทางเลือกหนึ่งของคนรักสุขภาพทุกๆท่าน

โฆษณา

กทพ.ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ 3 สายวันหยุดยาว

People Unity News : 26 กรกฎาคม 2566 กทพ.ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ 3 สายวันหยุดที่ 28 ก.ค. และวันที่ 1-2 ส.ค.66

การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษ รวม 3 สายทางดังนี้

ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้นที่ 1) จำนวน 19 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2) จำนวน 31 ด่านและทางพิเศษอุดรรัถยา (บางปะอิน-ปากเกร็ด) จำนวน 10 ด่าน จำนวน 3 วัน ได้แก่

– วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 2566 (วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร  มหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว)

– วันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2566 (วันอาสาฬหบูชา)

– วันพุธที่ 2 สิงหาคม 2566 (วันเข้าพรรษา)

ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ถึง 24.00 น. ซึ่งเป็นวันหยุดราชการประจำปีตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี โดยเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมที่ปรากฏในสัญญาสัมปทานฉบับแก้ไขใหม่ระหว่าง กทพ. บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด (NECL) เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนในวันหยุดและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน รวมทั้งช่วยลดปัญหาจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษได้อีกด้วย

ทั้งนี้ ผู้ใช้ทางพิเศษสามารถดาวน์โหลด Application “EXAT Portal” เพื่อตรวจสอบยอดเงินคงเหลือและการใช้บัตร Easy Pass รับข่าวสารโปรโมชั่นและสิทธิประโยชน์ และขอเชิญชวนผู้ใช้บริการบัตร Easy Pass ลงทะเบียนปรับปรุงข้อมูลด้วยตนเองทาง EXAT Portal Application หรือ www.thaieasypass.com เพื่อยกระดับบัตร Easy Pass เป็น Easy Pass Plus เตรียมพร้อมเข้าสู่ระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น (M-Flow)

Advertisement

กระทรวงดีอีเอสแจก “เน็ตอยู่บ้าน” ฟรี 3 เดือน

People Unity News : “ดีอีเอส” เพิ่มมาตรการเน็ตบ้านฟรี เป็นเวลา 3 เดือน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนช่วงโควิด-19

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แถลงข่าวเกี่ยวกับการเพิ่มมาตรการเน็ตบ้านฟรีช่วยประชาชนลดภาระค่าใช้จ่ายช่วงโควิด-19 ภายใต้กิจกรรม “ดีอีเอสช่วยประชาชนสู้ภัยโควิด-19” โดยได้รับความร่วมมือจาก บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ในการสนับสนุนบริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ประจำที่ (Fixed Broadband) แพ็กเกจ “เน็ตอยู่บ้าน” ความเร็ว 100/50 Mbps ให้กับประชาชนที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ตบ้าน โดยจะติดตั้งและให้บริการแก่ประชาชนฟรีเป็นระยะเวลา 3 เดือน สำหรับแพ็กเกจ “เน็ตอยู่บ้าน” ความเร็วสูงสุด 100/50 Mbps ระยะเวลาสัญญาใช้บริการ 12 เดือน ได้จัดเตรียมรองรับประชาชนจำนวน 100,000 ราย ซึ่งจะเปิดให้ประชาชนใช้งานฟรี 3 เดือน โดยฟรีค่าใช้จ่ายแรกเข้าและค่าติดตั้งสำหรับผู้ใช้บริการต่อเนื่องจนครบตามระยะเวลาในอัตรา 390.- บาท/เดือน ประชาชนที่สนใจสามารถสมัครรับสิทธิ์แพ็กเกจดังกล่าวได้ตั้งแต่ 15 พ.ค. – 31 ก.ค.63  ณ สำนักงานบริการลูกค้า CAT และ TOT, ช่องทางออนไลน์เว็บไซต์ www.CinternetBYCAT.com  Facebook : CinternetBYCAT  และ www.tot.co.th หรือสอบถามที่ CAT Contact Center 1322 และ TOT Contact Center 1100

ทั้งนี้ กระทรวงดีอีเอสคำนึงถึงการรองรับสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบไปอีกระยะหนึ่ง โดยประชาชนที่ยังคงอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ยังคงมีความจำเป็นต้องใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การสนับสนุนอินเทอร์เน็ตบ้านจึงมีความจำเป็นโดยนอกจากรองรับการทำงานที่บ้าน (WFH) ยังรวมถึงกลุ่มนักเรียนนักศึกษาจำนวนมากที่ยังไม่สามารถเรียนตามปกติจะต้องเรียนออนไลน์เพิ่มขึ้น

โฆษณา

“อนุทิน” ขอความกรุณา ปชช. ไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้น

People Unity News : 17 เมษายน 2566 “อนุทิน” ยันไม่มีอำนาจมอบนโยบาย สธ. แล้ว ได้แต่กำชับปลัดฯ ดูแลโควิดหลังสงกรานต์ ขอความกรุณา ปชช.รับวัคซีนเข็มกระตุ้นต้านโอมิครอน โยนถามหมอเป็นคลัสเตอร์ใหม่หรือไม่ เผยยังอยู่ในวิสัยที่ยังไม่เสี่ยง

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้นหลังเทศกาลสงกรานต์ ว่า ตอนนี้ตนเองเป็นรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แต่ได้กำชับให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขไป ให้มาปฏิบัติหน้าที่ตามที่เคยมอบนโยบายไปก่อนหน้านี้

“เพราะตอนนี้ไม่สามารถมอบนโบบาย ทำได้เพียงสนับสนุนเท่านั้น หากผู้บริหารเสนออะไรมาที่ต้องนำเข้าที่ประชุม ครม. หรือสิ่งที่จำเป็น ตนต้องสแตนด์บายเร่งเพื่อให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ซึ่งขณะนี้ไม่กล้าใช้คำว่าสั่งการอะไร” นายอนุทินกล่าว

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ขณะนี้ปลัดกระทรวงฯ กำลังเปิดศูนย์ฉุกเฉิน หรือ eoc และให้การยืนยันว่าแม้จะมีการติดเชื้อมากขึ้น ก็ต้องขอให้ประชาชนมารับวัคซีนให้มากขึ้นเช่นกัน เพราะการฉีดวัคซีนจะสามารทำให้ระดับความรุนแรงของเชื้อลดลง ส่วนจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้นนั้น ก็ยังคงเฝ้าระวังอยู่แล้ว ให้การยืนยันกับทุกคนว่า เรื่องเวชภัณฑ์และทีมแพทย์ที่มีความพร้อมมากๆ

ทั้งนี้ จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นจากการมีความใกล้ชิดมากขึ้น แต่จำนวนผู้ป่วยที่มีความรุนแรงส่วนใหญ่ยังอยู่ในกลุ่มผู้ป่วย 608 กลุ่มที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว และมีเชื้อโควิดเป็นตัวเร่งเร้าให้มีอาการหนักขึ้น รวมถึงผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข โดยขอความกรุณาให้ไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้น ช่วยทำให้ความเสี่ยงทั้งหลายลดลง เพราะยังเป็นเชื้อโอมิครอนอยู่ ซึ่งวัคซีนยังสามารถลดความรุนแรงของเชื้อได้

นายอนุทิน ยังกล่าวถึง ความกังวลต่อจำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นคลัสเตอร์ และทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อพีคมากขึ้นเหมือนปีก่อนหรือไม่ว่า เรื่องนี้ต้องให้ไปถามแพทย์ แต่เท่าที่ได้รับการรายงานจากกระทรวงสาธารณสุขนั้น ยืนยันว่ายังอยู่ในวิสัยที่ยังไม่ถือว่าเป็นความเสี่ยง การควบคุมดูแลต้องอยู่ทั้งสองฝ่าย หากป่วยแล้วป่วยหนัก เรามียารักษา และที่เพิ่มความคุ้มกันไปด้วยซึ่งเหมาะสมกับกลุ่มผู้ป่วย 608

Advertisement

กระทรวงต่างประเทศชี้แจง เหตุผู้แทนไทยไปประชุม Belt and Road Forum ที่จีนจำนวนมาก

People Unity : ด่วน! กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจง ตามที่มีการสอบถามว่า ทำไมคณะผู้แทนไทยไปเข้าร่วมการประชุม Belt and Road Forum ครั้งที่ 2 ที่จีนเป็นจำนวนมาก

วันนี้ (27 เมษายน 2562) อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงว่า การประชุมข้อริเริ่มสายแถบหนึ่งเส้นทาง จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 – 27 เม.ย.2562 ตั้งแต่การประชุมระดับผู้เชี่ยวชาญ/ระดับสูง จำนวน 12 เวที ในลักษณะเวทีการหารือกลุ่มย่อย (Thematic Forum) ครอบคลุมประเด็นความเชื่อมโยงในทุกมิติ ตั้งแต่ด้านนโยบาย โครงสร้างพื้นฐาน การค้าการลงทุน เทคโนโลยีและนวัตกรรม ดิจิทัล จนถึงด้านการศึกษาและประชาชน โดยมีผู้แทนจาก 150 ประเทศ องค์การระหว่างประเทศ 29 องค์การ และภาควิชาการเอกชนจำนวนมาก ชาวต่างประเทศที่มาเข้าร่วมกว่า 5,000 คน สำหรับประเทศไทย ฝ่ายจีนได้เชิญรัฐมนตรีของไทยเข้าร่วมในเวทีต่างๆด้วย ได้แก่ รมว. กต. (เข้าร่วมเวที ความเชื่อมโยงด้านนโยบาย) รมว. คค. (เข้าร่วมเวทีการเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน) รมว. ดศ. (เข้าร่วมเวทีดิจิทัล) เลขาธิการ ป.ป.ช. (เข้าร่วมเวทีเกี่ยวกับการต่อต้านคอรัปชั่น) เลขาธิการ BOI (เข้าร่วมเวทีส่งเสริมการค้าการลงทุน) รวมทั้งผู้แทนหน่วยงานอื่นๆ ที่ได้รับเชิญเข้าร่วม อาทิ เวทีความเชื่อมโยงด้านนวัตกรรม การศึกษาและด้านประชาชน นอกจากนี้ ยังมีผู้แทนภาคประชาสังคมและภาคเอกชนไทยจำนวนมากได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมด้วย

ในการประชุมระดับผู้นำ นรม. ได้รับเชิญจาก ปธน. สี จิ้นผิง (สปป. จีน) เข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำระหว่างวันที่ 26 – 27 เมษายน 2562 ประกอบด้วยการประชุมระดับสูง (High Level) และการประชุมผู้นำโต๊ะกลม (Roundtable) โดยในการประชุมครั้งนี้ มีผู้นำเข้าร่วมทั้งหมด 38 ประเทศ จากทุกทวีป รวมทั้งอาเซียน 10 ประเทศ เพื่อติดตามความคืบหน้าของความร่วมมือและโครงการต่างๆ ภายใต้ข้อริเริ่มฯ และเพื่อหารือถึงทิศทางความร่วมมือในอนาคต

ไทยให้ความสำคัญกับข้อริเริ่มฯ โดยถือเป็นยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนา โดยเฉพาะความเชื่อมโยง การพัฒนาอย่างยั่งยืน และการเน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาของไทยที่ไทยผลักดันมาโดยตลอด โดยจีนถือเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่สำคัญที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันในทุกระดับ และในการเข้าร่วมครั้งนี้ นอกเหนือจากการแสดงถึงบทบาทของไทยในฐานะสะพานเชื่อมระหว่างภูมิภาครวมถึง BRI แล้ว ยังแสดงถึงบทบาทไทยในฐานะประธานอาเซียนด้วย

ข่าวด่วน : กระทรวงต่างประเทศชี้แจง เหตุผู้แทนไทยไปประชุม Belt and Road Forum ที่จีนจำนวนมาก

People Unity : post 27 เมษายน 2562 เวลา 19.50 น.

กรมธนารักษ์เริ่มใช้ราคาประเมินที่ดิน-สิ่งปลูกสร้างใหม่ 1 ม.ค. 66

People Unity News : 22 ธันวาคม 2565 กรมธนารักษ์เริ่มใช้บัญชีราคาประเมินที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง ตามพระราชบัญญัติการประเมินราคาทรัพย์สิน เพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พ.ศ.2562 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป โดยราคาประเมินที่ดินมีอัตราการเปลี่ยนแปลงราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยทั้งประเทศประมาณร้อยละ 8.93 และราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ 6.21

วันนี้ (22 ธันวาคม 2565) ณ กรมธนารักษ์ นายจำเริญ โพธิยอด อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า ประธานคณะกรรมการประจำจังหวัดแต่ละจังหวัดได้มีการประกาศบัญชีราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามพระราชบัญญัติการประเมินราคาทรัพย์สินเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พ.ศ. 2562 แล้ว ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2564 แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในปัจจุบันยังคงส่งผลกระทบโดยรวมต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ จึงให้เริ่มใช้บัญชีดังกล่าวในวันที่ 1 มกราคม 2566 เพื่อลดภาระกับประชาชนที่จะต้องนำราคาประเมินไปใช้เป็นฐานในการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งภาษีอากรและค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ซึ่งขณะนี้กรุงเทพมหานครและจังหวัดต่างๆ ได้ดำเนินการติดประกาศและเตรียมข้อมูลเผยแพร่แล้ว ดังนั้น ราคาประเมินใหม่จะใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2566 ถึง 31 ธันวาคม 2569 โดยราคาประเมินที่ดินมีอัตราการเปลี่ยนแปลงราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยทั้งประเทศ ประมาณร้อยละ 8.93 และราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ 6.21 เมื่อเทียบกับรอบบัญชีที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งใช้มาเป็นระยะเวลา 7 ปี โดยที่กรุงเทพมหานคร มีอัตราการเปลี่ยนแปลงราคาประเมินที่ดินเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 2.76 และราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้นเฉลี่ย ร้อยละ 4.60

นายจำเริญกล่าวต่อว่า สำหรับปีภาษี 2566 จะใช้ราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รอบบัญชี พ.ศ. 2566-2569 ไปใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ซึ่งจากข้อมูลที่ผ่านมามีจำนวนการจดทะเบียนซื้อขายเฉลี่ยปีละประมาณ 7 ล้านแปลง คิดเป็นร้อยละ 20 จากจำนวนแปลงที่ดินทั้งหมด และราคาดังกล่าวยังนำไปใช้ในการจัดเก็บภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งหากประชาชนที่เป็นเจ้าของที่ดินใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นเกษตรกรรมหรือเป็นที่อยู่อาศัย (บ้านหลังหลัก) มีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท จะได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งถือว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบแต่จะได้รับผลกระทบกับประชาชนผู้ที่ถือครองที่ดินที่มีจำนวนมาก และมีบ้านมากกว่า 1 หลัง สำหรับผู้เช่าที่ราชพัสดุยังจะต้องจ่ายค่าภาษี ซึ่งไม่ได้รับการยกเว้น

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถตรวจสอบราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รอบบัญชี พ.ศ. 2566-2569 ได้ที่เว็บไซต์กรมธนารักษ์ www.treasury.go.th หรือแอปพลิเคชัน TRD Property Valuation และสอบถามราคาประเมินที่ดิน โทร. 0 2270 0360 – 63 และ Call Center กรมธนารักษ์ โทร. 0 2059 4999

Advertisement

Verified by ExactMetrics