วันที่ 1 พฤษภาคม 2025

1 มี.ค. แจกชุดตรวจ ATK กลุ่มเสี่ยง เฟส 2 ผ่านแอปฯ “เป๋าตัง”

People Unity News : 1 มี.ค. แจกชุดตรวจ ATK กลุ่มเสี่ยง เฟส 2 ผ่านแอปฯ “เป๋าตัง”

28 ก.พ. 65 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เตรียมแจกชุดตรวจโควิดด้วยตนเอง (ATK) สำหรับประชาชนทุกสิทธิที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เริ่ม 1 มี.ค. 65 เป็นต้นไป

แนวทางการรับชุดตรวจ ATK เมื่อคัดกรองความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังแล้ว หากผลประเมินว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง สามารถขอรับชุดตรวจคนละ 2 ชุด ได้ที่หน่วยบริการที่เข้าร่วมกระจายชุดตรวจ ATK ได้แก่ ร้านยา, คลินิกพยาบาล, คลินิกกายภาพบำบัด, หน่วยเทคนิคการแพทย์ฯ หรือหน่วยบริการอื่นกว่า 2,000 แห่ง กรณีไม่มีมือถือสมาร์ทโฟนไปขอรับโดยตรงได้ที่หน่วยบริการที่เข้าร่วมโครงการ

📍กรณีมีสมาร์ทโฟน

  • เข้าแอปฯ เป๋าตัง เลือก กระเป๋าสุขภาพ เลือก “ฟรี ชุดตรวจโควิด”
  • ทำแบบประเมินความเสี่ยง
  • หากเป็นกลุ่มเสี่ยง ระบบจะให้ค้นหาหน่วยบริการใกล้บ้านภายในวันนั้น
  • เดินทางไปรับพร้อมมือถือที่มีแอปเป๋าตัง เพื่อใช้สแกน QR Code ของหน่วยบริการ
  • จะได้รับชุดตรวจคนละ 2 ชุด นำกลับมาตรวจและบันทึกผลผ่านแอปเป๋าตัง

📍กรณีไม่มีสมาร์ทโฟน

  • โทร.1330 ตรวจสอบข้อมูลหน่วยบริการที่เข้าร่วมโครงการ
  • เดินทางไปที่หน่วยบริการพร้อมบัตรประชาชนแล้ว ทำประเมินความเสี่ยง
  • หากเป็นกลุ่มเสี่ยงจะได้รับชุดตรวจ 2 ชุด และนำกลับมาตรวจและแจ้งผลตรวจกับตัวแทนหน่วยบริการเพื่อบันทึกผลตรวจให้

สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยดาวน์โหลดแอปฯ เป๋าตัง สามารถดาวน์โหลดและลงทะเบียนได้ที่ https://krungthai.com/link/paotang-ktbwallet

Advertising

นายกฯสั่งจัดการ “แก๊งปลอมแบงก์” ขอประชาชนที่พบแบงก์ปลอม เขียนคำว่า “ปลอม” นำส่งธนาคาร

People Unity News : 6 พฤษภาคม 65 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  สั่งจัดการมิจฉาชีพแก๊งปลอมธนบัตรที่ผลิตแบงก์ปลอมออกมาหลอกลวงสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนอย่างเด็ดขาด ส่วนประชาชนหากพบแบงก์ปลอม ให้เขียนคำว่า “ปลอม” ลงบนธนบัตร ส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อนำส่งเข้าระบบ แล้วแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ หรือแจ้งธนาคารแห่งประเทศไทย โดยโทษในการทำแบงก์ปลอม คือ จำคุก 10 ปี – ตลอดชีวิต ปรับ 200,000 – 400,000 บาท ส่วนผู้นำไปใช้ทั้งที่รู้ว่าปลอม มีโทษจำคุก 1 – 15 ปี ปรับ 20,000 – 300,000 บาท

วิธีการสังเกต “แบงก์จริง” มีความแกร่งทนทาน ไม่ยุ่ยง่าย เนื้อกระดาษมีใยฝ้ายเป็นส่วนประกอบหลักมีความหนาบางไม่เท่ากันจนเกิดเป็นลายน้ำ ลายน้ำเป็นพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อยกส่องกับแสงสว่างจะเห็นได้ชัดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง และลายน้ำตัวเลขราคารูปลายไทยที่โปร่งแสงเป็นพิเศษ เมื่อพลิกเอียงเข้าหาแสงภายในมีตัวเลขแจ้งชนิดราคาซ่อนอยู่ในลายประดิษฐ์ เมื่อพลิกขึ้นลงหรือซ้ายขวา แบงก์ 500 และ 1,000 บาท จะเห็นการสลับสี ส่วนแบงก์ 100 จะเห็นเป็นประกาย

Advertisement

ดีเดย์ 17 ก.ย.นี้ เริ่มขายสลาก L6 101 ล้านฉบับ เป็นดิจิทัล 21 ล้านฉบับ แบบใบ 80 ล้านฉบับ

People Unity News : 11 กันยายน 2566 สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เริ่มขายตัวสลาก L6 17 ก.ย.นี้  รวม 101 ล้านฉบับ แบ่งเป็นแบบดิจิทัล 21 ล้านฉบับ ผ่านแอปเป๋าตัง และแบบใบอีก 80 ล้านฉบับ จากนั้นจะเพิ่มแบบดิจิทัลเป็น 30 ล้านฉบับ ภายในสิ้นปี ซึ่งจะทำให้มีเงินรางวัลสูงสุด 180 ล้านบาท ส่วนสลาก N3 มาแน่ภายในเดือนกันยายนปีหน้า เล็งออกรางวัลทุกสัปดาห์สู้หวยใต้ดิน-หวยประเทศเพื่อนบ้าน

พันโทหนุน ศันสนาคม ผอ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยความคืบหน้าการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลแบบใหม่คือ สลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก (Lottery 6 : L6) ว่า จะเริ่มจำหน่ายงวดแรกงวดประจำวันที่ 1 ตุลาคม 2566 (เริ่มขาย 17 กันยายน 2566) โดยเป็นแบบใบ (มีการพิมพ์สลาก) จำนวน 80 ล้านฉบับ และแบบดิจิทัล (ไม่มีการพิมพ์สลาก) จำนวน 21 ล้านฉบับ รวมเป็นจำนวน 101 ล้านฉบับ  โดยสลาก L6 ทั้งแบบใบ และแบบดิจิทัล เป็นแบบกำหนดหมายเลขไว้ล่วงหน้า รูปแบบเดียวกับที่สำนักงานสลากฯ ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน แต่ทั้ง 2 แบบ จะถูกแยกจากกันชัดเจน

แบบใบ มีลักษณะรายละเอียดเหมือนเดิมทุกอย่าง ผู้ซื้อซื้อเป็นใบ (มีการพิมพ์สลาก) และนำใบสลากไปขึ้นเงินรางวัลซึ่งบนสลากจะระบุข้อความ L6 แบบใบ

ส่วนแบบดิจิทัล จะเป็นสลากดิจิทัลในแอปเป๋าตัง รูปแบบคล้ายกับสลากใบทุกอย่าง มีข้อความกำกับบนสลากว่า L6 แบบดิจิทัล แต่สำนักงานสลากจะไม่พิมพ์เป็นใบออกมาจำหน่าย ส่วนการขึ้นรางวัลก็สามารถขึ้นได้ 3 ช่องทาง 1.ผ่านวอลเล็ต 2.ผ่านบัญชีธนาคารกรุงไทย และ 3.ขึ้นรางวัลที่สำนักงานสลากฯ  ทุกรางวัล (จากเดิมรางวัลที่ 1 ต้องไปขึ้นรางวัลที่สำนักงานสลากเท่านั้น) นอกจากนี้ยังสามารถเก็บไว้รอขึ้นรางวัลได้นาน 2 ปี เช่นเดียวกับสลากแบบใบ สำนักงานสลากฯเตรียมเปิดตัวอย่างสลากทั้ง 2 แบบครั้งแรก ในวันออกสลากงวด 16 กันยายน 2566 และจะเริ่มขายในวันที่ 17 กันยายน 2566 (งวดออกรางวัล 1 ตุลาคม 2566)

“คณะกรรมการสำนักงานสลากมีมติ เพิ่มจำนวนสลาก L6 ไม่เกิน 110 ล้านฉบับ  ภายในสิ้นปี 2566  โดยจะเพิ่มเฉพาะแบบดิจิทัลเท่านั้น ส่วนแบบใบคงไว้ที่ 80 ล้านฉบับเท่าเดิม ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตอบรับของผู้ซื้อ ว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณสลากแบบดิจิทัลในแต่ละงวด ซึ่งคาดว่า จะเพิ่มงวดละ 1-2 ล้านฉบับ เมื่อถึงงวดสุดท้ายของปี 2566 สลาก L6 แบบดิจิทัลก็อาจจะมีถึง 30 ล้านฉบับ นั่นหมายความว่า จะมีสลากรางวัลที่ 1 มากถึง 30 ฉบับ เงินรางวัลสูง 180 ล้านบาท ส่วนสาเหตุที่เพิ่มเฉพาะแบบดิจิทัล เนื่องจากบอร์ดฯสำนักงานสลากเห็นว่า สลากดิจิทัลสามารถแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาได้และได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี”  พันโทหนุน กล่าว

ส่วนสลากกินแบ่งรัฐบาลในปัจจุบัน จำนวน 100 ล้านใบต่องวด มีช่องทางจำหน่าย 2 ช่องทางคือ สลากใบที่ซื้อตามแผงจำนวน 80 ล้านฉบับ และ สลากใบที่ถูกแสกนเข้าระบบจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ จำนวน 20 ล้านฉบับ

ส่วนสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก (Numbers 3 : N3) จะเริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ 2567 หรือ ก่อนเดือนกันยายน พ.ศ.2567 จะต้องมีสลาก N3 ออกมาจำหน่าย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดปลีกย่อย วัตถุประสงค์หลักของสลาก N3 คือ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน และแก้ไขปัญหาสลากเกินราคา เพราะขายด้วยระบบดิจิทัล ไม่สามารถซื้อ-ขาย เกินราคาได้ นอกจากนี้ก็ยังเป็นการดึงเงินจากหวยใต้ดินให้กลับเข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น  เพราะซื้อครั้งเดียวสามารถลุ้นได้ถึง 4 รางวัล คือ 3 ตัวตรง/ 3ตัวสลับ (3ตัวโต๊ด)/  2ตัวตรง / และรางวัลแจ๊กพ็อต หรือรางวัลพิเศษ ที่เลือกจากคนที่ถูก 3 ตัวตรงมา 1 คน โดยรูปแบบการจ่ายเงินรางวัลเป็นแบบแปรผัน  ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ซื้อเลขนั้นๆ  โดยการจัดสรรเงินรางวัล กำหนด (1) ร้อยละ 60 เป็นเงินรางวัล (2)ไม่น้อยกว่าร้อยละ 23 เป็นรายได้แผ่นดิน (3)ไม่เกินกว่าร้อยละ 17 เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน  กำหนดให้นำเงินที่จัดสรรไว้เป็นเงินรางวัลไปสมทบในงวดถัดไป แต่ไม่เกิน 1 งวด

ส่วนการขายก็ยังเป็นการขายผ่านตัวแทน เช่นเดียวกับ สลาก L6  ขณะที่ราคาสลาก N3 อาจจะอยู่ที่ 50 บาท หรือต่ำกว่านั้น ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 2567

“การออกสลาก N3 เป็นการเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนซื้อสลากแบบถูกกฎหมายมากขึ้น เพราะผู้ซื้อสลากสามารถเลือกตัวเลขได้ตามความต้องการ เช่นเดียวกับหวยใต้ดิน ซึ่ง N3 จะช่วยดึงเงินเข้าให้มาในระบบได้มากขึ้น เนื่องจากราคาต่ำกว่าสลาก L6 อีกทั้งสลาก N3 มีรางวัลให้ลุ้นมากกว่าหวยใต้ดิน ซื้อ 1 ลุ้นได้ถึง 4 รางวัล และอาจจะมีการพิจารณาให้ออกรางวัลทุกสัปดาห์ ขณะที่ปัจจุบันหวยใต้ดิน – หวยประเทศเพื่อนบ้าน ที่ออกรางวัลถี่ บางประเภทออกทุกวัน ได้รับความนิยมสูง มีวงเงินเฉลี่ยกว่า 1.5 – 4 แสนล้านบาทต่อปี” พันโทหนุน กล่าว

สำหรับตัวแทนจำหน่าย N3 อาจจะมาจากผู้จำหน่าย N6 อยู่ก่อนแล้ว เนื่องจากสำนักงานสลากต้องการให้กลุ่มผู้ค้าที่อยู่ในระบบเดิมมีรายได้เท่ากับค่าแรงขั้นต่ำ

Advertisement

วว. แนะกิน “แตงโม” ป้องกันการติดเชื้อ

People Unity News : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) แนะทาน “แตงโม” เพื่อช่วยคลายร้อน คลายความเครียด ด้วยคุณสมบัติอุดมด้วยสารอาหาร ที่ให้ประโยชน์กับร่างกาย ส่งผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันการติดเชื้อ รักษาแผลให้หายเร็ว ลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ในสภาวะที่มีแรงกดดันมากมายในยุคปัจจุบัน การรับประทานแตงโมสามารถช่วยลดความตึงเครียดได้ เพราะสารโพแทสเซียมในแตงโมจะช่วยควบคุมความดันโลหิตทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดี เย็นชื่นใจ เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย นอกจากนี้แตงโมยังมีสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในด้านต่างๆ ดังนี้

“ช่วยป้องกันการติดเชื้อ” เพราะการดื่มน้ำแตงโมจะช่วยเพิ่มเบต้าแคโนทีน (Beta Carotene) ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้ในการสร้างวิตามินเอ หากร่างกายมีวิตามินเอในปริมาณมากๆ จะมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และระบบขับปัสสาวะ รวมถึงยังช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผมให้แข็งแรงอีกด้วย

“ช่วยรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น” แตงโมมีสารซิตรัลลีน (citrulline) อยู่มาก โดยสารนี้จะไปช่วยในการรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น ทั้งนี้ในการรับประทานแตงโมไม่ใช่เพียงจะดื่มน้ำแตงโมอย่างเดียว เราควรกินเนื้อแตงโมเข้าไปด้วย โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นเนื้อสีขาวที่อยู่ลึกลงไป แม้รสชาติจะไม่ค่อยหวาน แต่มีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย

“ช่วยต้านมะเร็ง มีประโยชน์ต่อหัวใจ” แตงโมมีสารสำคัญสีแดงที่มีชื่อว่า “ไลโคปีน” (Lycopene) ที่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจ ซึ่งสารนี้จะมีอยู่มากในมะเขือเทศด้วยเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกันแล้วแตงโมจะมีมากกว่าถึง 40% นอกจากนี้วารสารวิชาการ “โรคมะเร็ง” แห่งเอเชียแปซิฟิก ได้ระบุว่าสารไลโคปีนนี้จะช่วยเป็นโล่ปกป้องผิวหนังจากรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดด เพื่อไม่ให้เป็นมะเร็งผิว

นอกจากนี้ทีมนักวิจัยจาก Florida State University พบว่าแตงโมมีกรดอะมิโน L-Citrulline อยู่มาก ซึ่งกรดชนิดนี้เป็นสารตั้งต้นของ L-Arginine ที่ช่วยควบคุมการทำงานของหลอดเลือดหัวใจและช่วยให้การไหลเวียนโลหิตเป็นไปโดยสะดวก จำเป็นต่อการสร้างกรดไนตริก ซึ่งเป็นก๊าซที่ช่วยขยายหลอดเลือด ช่วยลดความดันโลหิตและป้องกันเส้นเลือดสมองแตกได้

“มีประโยชน์ต่อคนที่เป็นโรคอ้วนและเบาหวาน” แตงโมมีแคลอรี่ต่ำและยังอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ ที่มีประโยชน์ วารสารโภชนาการของต่างประเทศ “Journal of Nutrition” ได้ให้ข้อมูลว่า กรดอะมิโนในแตงโมที่มีชื่อว่า “อาร์จินิน (Arginine)” มีอยู่มากมายในเนื้อแตงโม เป็นสารที่ช่วยในการเผาผลาญแคลอรี่ได้ ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันและกลูโคส ส่วนไขมันในแตงโมมี 96 แคลอรี่เท่านั้น ฉะนั้นการกินแตงโมที่ชุ่มฉ่ำด้วยน้ำ จะช่วยทำให้เราอิ่มได้เร็วขึ้น

“แตงโมกับความงาม” ความเย็นของแตงโมจะช่วยผ่อนคลายผิวหน้าภายนอกให้ดูสดชื่น ส่วนสารสีแดงจากแตงโม คือ ไลโคปีน ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) จะสามารถดูดซับความมันบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี และวิตามินเอที่มีในแตงโมจะช่วยให้ผิวพรรณกระจ่างใสขึ้น และวิตามินซีจะช่วยให้ผิวกายสดใสขึ้น แตงโมสีแดงสดยังเต็มไปด้วยโพแทสเซียมที่จะช่วยควบคุมระบบการไหลเวียนของโลหิตในบริเวณผิวหน้าให้เป็นปกติ อีกทั้งยังช่วยให้รูขุมชนมีความยืดหยุ่น ชุ่มชื่น น้ำของแตงโมก็มีประโยชน์ต่อผิวสวยของทุกคน เพราะในน้ำของแตงโมจะมีโมเลกุลของน้ำตาล รวมทั้งมีกรดอะมิโนอยู่เล็กน้อย ซึ่งจะช่วยในการบำรุงผิวของสาวๆ ให้สวยใสยิ่งขึ้น

แม้ว่าแตงโมแช่เย็นจะให้ความสดชื่นแก่ผู้รับประทาน แต่อาจมีคุณค่าทางโภชนาการลดลงเมื่อเทียบกับแตงโมที่เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง เนื่องจากแตงโมยังผลิตสารอาหารต่อเนื่องแม้ถูกเก็บมาจากต้นแล้ว ซึ่งกระบวนการนี้จะลดลงหากนำแตงโมไปเก็บในอุณหภูมิเย็น อย่างไรก็ตามรสเย็นของแตงโมก็มีส่วนช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายและระบบย่อยอาหาร นอกจากนี้ “แตงโม” ยังมีคุณค่าทางสมุนไพร อาทิ “ราก” มีน้ำยางใช้กินแก้อาการตกเลือดหลังการแท้ง “ใบ” ใช้ชงเป็นยาลดไข้ ผลที่แสนอร่อยนั้นมีคุณสมบัติเป็นยาเย็น ช่วยระบาย ขับปัสสาวะ ช่วยย่อย แก้เบาหวาน และดีซ่าน จากคุณประโยชน์ที่หลากหลายนี้แตงโมจึงเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพอีกทางเลือกหนึ่งของคนรักสุขภาพทุกๆท่าน

โฆษณา

อุตุฯ เตือนภาคเหนือรับมือฝนตกหนัก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 มิถุนายน 2567 กรมอุตุฯ เผยไทยตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้น เตือนภาคเหนือเตรียมรับมือฝนถล่ม อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าไหลหลาก

กรมอุตุนิยมวิทยา เผยร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน และประเทศไทยตอนบนเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบริเวณภาคเหนือ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนเริ่มมีกำลังแรงขึ้น โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

Advertisement

ลดค่าน้ำ-ค่าไฟ-ค่าประกันน้ำ-ไฟ

People Unity News : คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2563 รับทราบมาตรการช่วยเหลือประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานสำหรับประชาชน ดังนี้

โฆษณา

กรมการค้าภายในเตือนหากมีคนโทรมาอ้างเป็น จนท.รัฐ อย่าคลิกลิงก์ โหลดแอป

People Unity News : 26 กุมภาพันธ์ 2566 รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เตือนหากได้รับโทรศัพท์อ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐแจ้งให้คลิกลิงก์ โหลดแอป อย่าหลงเชื่อ แนะโทรตรวจสอบก่อน ย้ำไม่แน่ใจ ขอให้โทรตรวจเช็กข้อมูลเจ้าหน้าที่ได้ทางสายด่วน 1569 เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพเหล่านี้

ร้อยตรีจักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ขณะนี้มีกลุ่มมิจฉาชีพอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ภาครัฐจากหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งกรมการค้าภายใน โทรศัพท์ หรือส่ง LINE ไปหา จากนั้นพูดชักจูงให้กดลิงก์ และกรอกข้อมูลส่วนบุคคล หรือแสร้งขอตรวจสอบข้อมูลธุรกิจ และหลอกให้คลิกลิงก์เพื่ออัปเดตข้อมูล จนก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนและธุรกิจ จึงขอแจ้งเตือนประชาชนว่า แม้กรมการค้าภายในจะมีช่องทางการสื่อสารกับประชาชนหลายช่องทาง รวมทั้ง Facebook (กรมการค้าภายใน DIT) LINE (@MR.DIT และ @ditgo) Youtube (DIT Channel) เว็บไซต์ www.dit.go.th และทางสายด่วน 1569 ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกและการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลให้แก่ประชาชน แต่กรมฯ ไม่มีนโยบายที่จะให้เจ้าหน้าที่โทรไปติดต่อเพื่อสอบถามข้อมูลส่วนตัว หรือโทรแจ้งให้คลิกลิงก์ โหลดแอปพลิเคชัน หรือทำธุรกรรมออนไลน์ใดๆ

ดังนั้น หากมีผู้แอบอ้างในลักษณะนี้ให้สงสัยว่าเป็นมิจฉาชีพหลอกลวง แต่หากไม่แน่ใจ ขอให้โทรตรวจเช็กข้อมูลเจ้าหน้าที่ได้ทางสายด่วน 1569 เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพเหล่านี้

Advertisement

ปภ.ย้ำ 40 จังหวัด ระวังฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง 13-16 ม.ค.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 มกราคม 2567 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เน้นย้ำพื้นที่ 40 จังหวัดภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง เฝ้าระวังสถานการณ์พายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางพื้นที่ ในช่วงวันที่ 13-16 ม.ค.67

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) ได้ติดตามสภาวะอากาศและพิจารณาปัจจัยเสี่ยง ประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยาได้มีประกาศฉบับที่ 4 (4/2567) ลงวันที่ 13 มกราคม 2567 เวลา 05.00 น. แจ้งว่า คลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาจะเคลื่อนผ่านประเทศไทยตอนบน ประกอบกับบริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากสาธารณรัฐประชาชนจีนระลอกใหม่จะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ในช่วงวันที่ 13-16 มกราคม 2567 ทำให้มีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ลูกเห็บตกบางพื้นที่ รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าในช่วงแรก บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคกลาง จากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง บริเวณภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคกลาง กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล อุณหภูมิจะลดลงเล็กน้อย โดยมีพื้นที่เฝ้าระวังสถานการณ์พายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง ระหว่างวันที่ 13-16 มกราคม 2567 แยกเป็น

ภาคเหนือ ทุกจังหวัด

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 จังหวัด ได้แก่ เลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม ชัยภูมิ ขอนแก่น และนครราชสีมา

ภาคกลาง 13 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรสาคร และสมุทรปราการ

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จึงได้ประสานแจ้ง 40 จังหวัดในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมถึงศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตในพื้นที่เสี่ยงภัย ให้เฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยในช่วงดังกล่าว โดยติดตามสภาพอากาศและแนวโน้มสถานการณ์ภัยอย่างใกล้ชิด และประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยทราบล่วงหน้า รวมถึงจัดเตรียมเครื่องมือเครื่องจักรกลสาธารณภัยและทีมปฏิบัติการเข้าประจำพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้พร้อมเผชิญเหตุและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ทันที ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนติดตามพยากรณ์อากาศและข้อมูลข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยให้ปฏิบัติตามคำเตือนอย่างเคร่งครัด ตลอดจนตรวจสอบบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณา หรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่มั่นคงแข็งแรง เพื่อป้องกันอันตรายจากการถูกล้มทับ รวมถึงระวังอันตรายจากฟ้าผ่า ส่วนเกษตรกรให้จัดทำที่ค้ำยันต้นไม้หรือที่กำบัง เพื่อป้องกันพืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหาย

สุดท้ายนี้ ประชาชนสามารถติดตามประกาศการแจ้งเตือนภัยที่แอปพลิเคชัน “THAI DISASTER ALERT” และหากได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัย สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” โดยเพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM รวมถึงสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือต่อไป

“อนุทิน” เรียกประชุม 3 กระทรวงจับตาสถานการณ์ “โคโรนา” ยันไทยป้องกันการแพร่ระบาดได้

People Unity News : รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน เรียกประชุม 3 กระทรวง “สาธารณสุข-คมนาคม-ท่องเที่ยว” จับตาสถานการณ์ “โคโรนา” ยืนยันไทยยังป้องกัน ควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ได้

เมื่อวานนี้ (26 ม.ค. 2563) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมชัยนาทนเรนทร อาคาร 1 ชั้น 2 ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานประชุมเชิงปฏิบัติการการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ในประเทศไทย ร่วมกับผู้บริหาร 3 กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม และกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ก่อนจัดทำมาตรการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาในวันอังคารที่ 28 มกราคม 2563 นี้ โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา นายพีระพล ถาวรสุภเจริญ รองปลัดกระทรวงคมนาคม และศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมประชุมด้วย

ภายหลังการประชุม รองนายกรัฐมนตรีได้ ขอบคุณหน่วยงานของทั้ง 3 กระทรวง ที่ร่วมบูรณาการแผนป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่ช่วยกันสกัดไม่ให้การระบาดของโรคนี้เพิ่มมากยิ่งขึ้น  ทำให้พบผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 จากต่างประเทศ ทั้งหมด 8 ราย ( ณ 26 ม ค.63) โดยกลับบ้านแล้ว 5 ราย อีก 3 รายยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่ายังไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศไทย แต่ยังคงเฝ้าระวังนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากประเทศจีนหรือประเทศที่สุ่มเสี่ยง หรือสงสัยว่าอาจจะมีอาการป่วย แต่ยังไม่ปรากฏอาการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการตรวจคัดกรองใน 5 สนามบิน ที่บินมาจากเมืองอู่ฮั่นและกวางโจว ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่  ภูเก็ต และกระบี่ นักท่องเที่ยวทุกคนจะได้รับแจกคำแนะนำ (health beware card) จากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรค

รองนายกรัฐมนตรีประกาศยืนยันว่า คณะผู้เชี่ยวชาญการควบคุมโรคระบาด และแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญของไทย ดำเนินการ 100% อุปกรณ์ในการตรวจสอบและแสกนก็เพียงพอต่อการรับมือสอดคล้องกรอบการดำเนินการขององค์การอนามัยโลก ทั้งยกระดับการเฝ้าระวัง คัดกรองผู้ป่วยสงสัยฯ จากพื้นที่แพร่ระบาดของโรค ครอบคลุมทั้ง สนามบิน สถานพยาบาลรัฐ/เอกชน และในชุมชน ให้โรงแรมที่พักเป็นจุดเฝ้าระวังด้วย ดังนั้น ความร่วมมือของประชาชน ผู้ประกอบการทัวร์ โรงแรม ที่พัก เป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้การควบคุมป้องกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ในการควบคุมป้องกันขณะนี้ มีประสิทธิภาพเพียงพอและเหมาะสมกับสถานการณ์โดยคำนึกถึงสุขภาพประชาชนในประเทศสำคัญเป็นอันดับแรก ประชาชนสามารถมั่นใจต่อการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุขและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้เชื่อมั่นในข่าวที่กระทรวงสาธารณสุขเผยแพร่ออกไป โดยกรมควบคุมโรคจะเป็นผู้แถลงข่าวทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง หากจำเป็นก็จะเพิ่มความถี่ในการแถลงข่าว เพื่อให้ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้รับรายงานการดำเนินการทุกอย่าง และมีความห่วงใยประชาชนต่อสถานการณ์นี้ และได้สั่งการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนให้มากที่สุดโดยไม่ต้องมีการปิดบังใดๆ เพื่อให้ประชาชนได้ปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง พร้อมทั้งยังทำงานร่วมกับคณะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเผยแพร่สู่ประชาชนได้รับทราบ

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวด้วยความมั่นใจว่า สถานการณ์จะดีขึ้นด้วยความร่วมมือจากประชาชน วอนอย่าเชื่อข่าวลือ “เช็คก่อนแชร์” เพื่อไม่ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแพร่หลาย เกิดความตระหนก และมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โปรดติดตามข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุข หากมีข้อสงสัย สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง  หรือเว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/intro.php และ Line@ / เพจ เฟสบุ๊ค : รู้กันทันโรค, เพจเฟสบุ๊ค : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข”

โอกาสนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ได้กำชับให้คำนึกถึงความปลอดภัยและสุขภาพประชาชนเป็นหลัก ประเด็นเศรษฐกิจเป็นเรื่องรอง สำนักโฆษกจะได้มีการประสานงานและทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในการช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง โดยเฉพาะข้อมูลในเรื่องการดูแล ป้องกันดูแลตนเองอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างความมั่นใจและคลายความวิตกกังวลให้กับประชาชน

โฆษณา

คปภ.จับมือภาคธุรกิจ มอบ “ประกันภัย 10 บาท” ฟรี!!! เป็นของขวัญให้คนไทยเทศกาลสงกรานต์

People Unity News11 เมษายน 2565 ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ สำนักงาน คปภ. ได้ส่งเสริมให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย “กรมธรรม์ประกันภัยสงกรานต์สุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์) สำหรับเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2565” เพื่อมอบเป็นของขวัญวันปีใหม่ไทยให้กับคนไทยทั่วประเทศ โดยจ่ายเบี้ยประกันภัยเพียง 10 บาท ให้ความคุ้มครองหลักๆ คือ ความคุ้มครองที่ 1 กรณีเสียชีวิต สูญเสียมือ เท้า สูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกายและ/หรืออุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จะได้รับความคุ้มครอง 100,000 บาท ความคุ้มครองที่ 2 กรณีเสียชีวิต สูญเสียมือ เท้า สูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จากการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกายและ/หรืออุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จะได้รับความคุ้มครอง 50,000 บาท ความคุ้มครองที่ 3 ค่าใช้จ่ายในการจัดการงานศพกรณีเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย (ยกเว้นกรณีเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยภายใน 15 วันแรก นับจากวันเริ่มต้นระยะเวลาประกันภัย) จะได้รับความคุ้มครอง 5,000 บาท ความคุ้มครองที่ 4 ค่าชดเชยรายได้ระหว่างการเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน กรณีได้รับการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ (สูงสุดไม่เกิน 30 วัน) จะได้รับความคุ้มครอง 200 บาทต่อวัน ความคุ้มครองที่ 5 ค่าชดเชยรายได้ระหว่างการเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยในในห้อง ICU กรณีได้รับการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ (ผลประโยชน์รวมความคุ้มครองที่ 4 ไม่เกิน 30 วัน) จะได้รับความคุ้มครอง 400 บาทต่อวัน

สำหรับเงื่อนไขการรับประกันภัยที่สำคัญ คือ ผู้ทำประกันภัยต้องมีอายุตั้งแต่ 20 ปีบริบูรณ์ ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ทำประกันภัย ระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน ทั้งนี้ ผู้เอาประกันภัยแต่ละราย มีสิทธิได้รับกรมธรรม์ประกันภัยจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 1 กรมธรรม์ต่อผู้ประกอบการ 1 ราย เท่านั้น โดยผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นผู้ถือกรมธรรม์ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ไทยให้กับคนไทยทั่วประเทศ และเนื่องจากประกันภัย 10 บาทดังกล่าวเป็นกรมธรรม์กลุ่มที่ประชาชนไม่ต้องจ่ายเงินซื้อกรมธรรม์ โดยสามารถรับสิทธิฟรีจากการไปใช้บริการตามเงื่อนไขที่ผู้ประกอบการซึ่งเข้าร่วมโครงการกำหนด ได้แก่ ธนาคารออมสิน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) บริษัท แมกซ์ โซลูชัน เซอร์วิส จำกัด บริษัท โลตัสส์ เจเนอรัล อินชัวรันส์ โบรคเกอร์ จำกัด บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AIS) บริษัท แบล็คแคนยอน (ประเทศไทย) จำกัด Café Amazon บริษัท เคาน์เตอร์ เซอร์วิส จำกัด บริษัท แรบบิท อินชัวรันส์ โบรคเกอร์ จำกัด บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวรันส์ โบรคเกอร์ จำกัด บริษัท ไทยพาณิชย์ โพรเทค จำกัด และบริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด

หากบุคคลทั่วไปต้องการซื้อโดยตรงสามารถรวมตัวเป็นกลุ่มซื้อจากบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้แก่  บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท เจมาร์ท ประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท สหประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอไอเอ จำกัด ได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2565

“เทศกาลสงกรานต์ปีนี้ สำนักงาน คปภ. ขอส่งความสุขวันปีใหม่ไทยมาให้ทุกท่านและขอให้ประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาหรือท่องเที่ยว ขับขี่รถด้วยความไม่ประมาท ผู้ที่ใช้รถยนต์อย่าลืมคาดเข็มขัดนิรภัย ส่วนผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ต้องสวมหมวกนิรภัย เมาไม่ขับ เตรียมสภาพร่างกาย และตรวจสภาพรถให้พร้อม ปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญควรตรวจวันหมดอายุกรมธรรม์ประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ตามที่กฎหมายกำหนด และควรทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจและประกันชีวิตอื่นๆด้วย เพื่อที่ระบบประกันภัยจะได้เข้ามาช่วยเยียวยาความสูญเสียต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ด้วยความไม่ประมาท อย่าลืมสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประกันภัยสามารถสอบถามได้ตลอด 24 ชั่วโมง ในช่วง 7 วันอันตราย คือระหว่างวันที่ 11-17 เมษายน 2565 ที่สายด่วน คปภ. 1186 หรือ Add Line Official @oicconnect ” เลขาธิการ คปภ. กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics