วันที่ 3 พฤษภาคม 2024

โฆษกกระทรวงดีอีเอสเผยคนไทยเผชิญข่าวปลอมในโซเชียลวันละมากกว่า 1 ล้านข้อความ

People Unity News : โฆษกกระทรวงดีอีเอสฝ่ายการเมือง สรุปผลการมอนิเตอร์ข่าวปลอมรอบสัปดาห์ (18-22 ก.ค. 64) มีข้อความที่ต้องคัดกรอง 8.2 ล้านข้อความ เปิด 3 อันดับข่าวคนสนใจมากสุด พบโควิดยังยึดพื้นที่เฟคนิวส์

23 ก.ค. 64 นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) กล่าวว่า จากผลการมอนิเตอร์ และรับแจ้งข่าวปลอมตลอดช่วงสัปดาห์นี้ (18-22 ก.ค. 64) โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม มีข้อความที่ต้องคัดกรองทั้งสิ้น 8,246,481 ข้อความ ในจำนวนนี้พบข้อความที่เข้าเกณฑ์ต้องดำเนินการตรวจสอบ 145 ข้อความ เป็นจำนวนเรื่องที่ต้องตรวจสอบทั้งหมด 79 เรื่อง โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับโควิด-19 มากถึง 50 เรื่อง

ทั้งนี้ เมื่อดูจากปริมาณข้อความเบาะแสข่าวปลอม พบข้อสังเกตน่าสนใจว่า ประชาชนจะเผชิญกับเนื้อหาบนโซเชียล/โลกออนไลน์ที่มีแนวโน้มอยู่ในกลุ่มข่าวปลอม/ข่าวบิดเบือน เฉลี่ยวันละมากกว่า 1 ล้านข้อความต่อวัน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลฯ จะมุ่งทำงานเชิงรุกในการบูรณาการการทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตลอดจนภาคส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งประสานงานตรวจสอบข้อเท็จจริง เผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องสู่ประชาชนและสังคมอย่างรวดเร็ว ลดความตื่นตระหนกและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ทันการณ์

สำหรับข่าวปลอมที่มีคนสนใจสูงสุด 3 อันดับแรกตลอดช่วงสัปดาห์นี้ ได้แก่ 1.เตือนเฝ้าระวังใน 24 ชม. จะเกิดแผ่นดินไหว ดินถล่ม น้ำท่วม และน้ำป่า 2.เครื่องตรวจวัดออกซิเจนในเลือดที่ปลายนิ้ว ใช้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในร่างกายได้ และ 3.กองทัพบก ประกาศแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ กทม.

นางสาวนพวรรณ กล่าวว่า อยากขอความร่วมมือประชาชน เมื่อได้รับข่าวสารข้อมูลผ่านโซเชียล ควรตรวจสอบให้รอบด้าน เลือกเชื่อ เลือกแชร์ และสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม ได้ผ่านช่องทางต่างๆ ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ดังนี้ ไลน์ @antifakenewscenter เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com/ ทวิตเตอร์ https://twitter.com/AFNCThailand และช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 เพื่อหลีกเลี่ยงจากการเป็นเหยื่อข่าวปลอมหรือข่าวบิดเบือน

Advertising

“บิ๊กตู่”ปิดห้องคุย กอ.รมน. ปรับแผนแก้ไฟใต้ ยังไม่เลิกเคอร์ฟิวหลังยิงถล่มชรบ.ยะลา

People Unity News :  “บิ๊กตู่”ยันยังไม่เลิกเคอร์ฟิวหลังยิงถล่มชรบ.ยะลา เผยผลสืบสวนคืบหน้าไปมากแล้ว แต่ต้องให้เวลา จนท. ย้ำใช้หลักสันติวิธี ปิดห้องคุย กอ.รมน. ปรับแผนแก้ไฟใต้ ยันคุยสันติสุขต่อเนื่อง

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในอาณาจักร (กอ.รมน.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ครั้งที่ 2/2562 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและผู้นำเหล่าทัพ เข้าร่วมการประชุม โดยไม่เปิดให้สื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังการประชุมแต่อย่างใด

จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังมีการประกาศเคอร์ฟิวการห้ามออกจากเคหสถานในเวลาค่ำคืน ภายหลังเกิดเหตุกลุ่มคนร้ายยิงถล่มชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ว่า เบื้องต้นยังไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลา แต่จะกำหนดเวลาให้สั้นที่สุด เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการสืบสวน สอบสวนทางคดี และเพื่อเป็นการจำกัดพื้นที่ของคนร้ายในช่วงที่มีการไล่ติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุ โดยยืนยันว่าไม่อยากให้มีผลกระทบต่ออย่างอื่น แต่เป็นเรื่องที่จำเป็น ซึ่งหากเราปิดพื้นที่ไม่ได้ ก็จะมีปัญหา ส่วนนี้ขอให้เข้าใจกันด้วย

เมื่อถามว่ามีรายงานว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มคนหน้าขาว ภายหลังก่อเหตุเสร็จสิ้น จะกลับไปนอนอยู่บ้าน ส่วนนี้จะมีการติดตามจับกุมอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การสืบสวน สอบสวนวันนี้มีความคืบหน้า แต่ยังเปิดเผยไม่ได้ ต้องใช้หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่จะไปจับใครก็ได้ ต้องเอาหลักฐานในพื้นที่เกิดเหตุมาติดตาม ซึ่งเราก็มีข้อมูลอยู่แล้ว ทั้งอาวุธปืน กระสุนและปอกกระสุน พร้อมมีข้อมูลอยู่แล้วว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายกลุ่มใดและมีกลุ่มใดเกี่ยวข้องบ้างก็จะต้องมาพิจารณาร่วมกัน คงจะได้รับทราบความคืบหน้าภายในเร็ววันนี้ ขอเวลาอีกหน่อย

เมื่อถามต่อว่า ผู้ก่อเหตุมีการใช้วัตถุระเบิด จะถือเป็นการก่อการร้ายมากกว่าการก่อความไม่สงบได้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า พวกเขาใช้กลยุทธ์เช่นนี้ เป็นกลยุทธ์การก่อการร้าย คือการสร้างเหตุความรุนแรงเพื่อกดดันต่อรัฐ และการทำงาน แล้วเราจะไปกดดันกันเพื่ออะไร ในเมื่อรัฐบาลพยายามแก้ปัญหาอย่างสันติวิธี ด้วยการบังคับใช้กฎหมาย การพัฒนา และสร้างการมีส่วนร่วม เราแก้ปัญหากันอย่างนี้ ไม่ดีกว่าหรือ ส่วนการก่อการร้ายนั้น มีองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น การยึดพื้นที่ การใช้ความรุนแรง แต่เหตุการณ์นี้เข้าข่ายแค่ใช้อาวุธสงคราม เพื่อกดดันรัฐ แต่หากเราตีความผิด การแก้ปัญหาก็จะผิดและเหตุการณ์จะรุนแรงขึ้น ท้ายสุดผลกระทบก็จะเกิดกับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งวันนี้เราลดระดับผลกระทบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ได้มากพอสมควร ประชาชนก็กลับมาให้ความร่วมมือ แม้แต่การบังคับใช้กฎหมายบางตัว ประชาชนก็เห็นด้วย เพราะเขาดูแล้วว่าเกิดประโยชน์กับเขา ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่คนที่มักจะมีปัญหาในเรื่องนี้ คือคนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ ซึ่งจะมองในเรื่องของสิทธิมนุษยชนอย่างเดียว

“ผมคิดว่าไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหน อยากไปละเมิดสิทธิมนุษยชนใครทั้งสิ้น แต่ไปดูผู้ก่อเหตุว่า สิ่งที่เขาทำ มันละเมิดสิทธิมนุษยนชนประชาชนหรือไม่ ในการทำร้ายประชาชนทั้งผู้บริสุทธิ์ ไทยพุทธ ไทยมุสลิม ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ไทยพุทธอย่างเดียว แต่ครั้งนี้เป็นการทำร้ายทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิม ขณะเดียวกัน ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวให้รัฐบาลเลิกนู้น เลิกนี้ แล้วทำไปเพื่ออะไร ไม่งั้นก็ลองไปอยู่ในพื้นที่เขาดู ว่าจะทำอย่างไร ลองไปอยู่กับเขานานๆ จะได้รู้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เมื่อถามว่าได้รับรายงานการหารือเกี่ยวกับการพูดคุยถึงสันติสุข จากมาเลเซียบ้างหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ได้รับรายงานตลอด ก่อนเขาไปตนก็ได้ให้นโยบายไป เมื่อเขากลับมาก็รายงานตน ก็ให้มีการปรับแผนกันไป ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกับกลุ่มที่มีบทบาทอย่างแท้จริง โดยจะเน้นในเรื่องของจะทำอย่างไรให้ในพื้นที่ปลอดภัย และมีสันติสุขอย่างยั่งยืน ต้องคุยกัน และปรับวิธีต่อเนื่อง เพราะมีหลายกลุ่ม หลายฝ่าย หลายระดับทั้งผู้นำระดับการเมือง การทหาร ทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ซึ่งคนรุ่นเก่านั้น ค่อนข้างจะพูดคุยในด้านสันติวิธีมากขึ้น แต่คนรุ่นใหม่ก็พยายามสร้างคนกลุ่มใหม่ๆ เข้ามาแทน เราต้องหาวิธีการว่าจะต้องแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร ดังนั้น จะต้องเจรจากับกลุ่มที่มีบทบาทแท้จริงในการก่อเหตุ แต่ปัญหาคือ เขาจะคุยด้วยหรือไม่ เพราะบางกลุ่มก็ไม่อยากมาเจรจา เพราะคงอยากใช้วิธีเดิมต่อไป พวกนี้คือพวกหัวรุนแรง เราบังคับไม่ได้ ถึงต้องไปพูดคุยที่ต่างประเทศ แต่ไม่ใช่การเจรจา เพราะถ้าเจรจาหมายถึงเรารบกันแล้ว จึงต้องเจรจาหยุดยิง แต่อันนี้ไม่ใช่ เป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย และทางมาเลเซีย ก็ตอบสนองด้วยดีตลอดมา แต่ก็ยังมีปัญหาอีกหลายอันที่ต้องแก้ควบคู่กันไป เช่น เรื่องบุคคลสองสัญชาติ การข้ามแดน เนื่องจากคนเหล่านี้ปลอมปนอยู่ในกลุ่มประชาชนทั่วไป เข้ามาหาก็ไม่รู้ เพราะหน้าตาก็เหมือนกัน ทั้งนี้ ตนได้สั่งการบริหารเชิงรุกไป แต่ต้องระวังการใช้อาวุธต่างๆ และการบังคับใช้กฎหมาย ต้องไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนมากเกินไป

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนการใช้กำลังของชรบ. ยังมีความจำเป็นต่อไป ถ้าไม่มีจะทำมาทำไม ซึ่งแต่ก่อนนี้ กำลังตำรวจในพื้นที่ และอาสาสมัครรักษาดินแดง (อส.) มีกำลังไม่เพียงพอ จึงต้องจัดทหารข้างนอกมาช่วย เมื่อเรียบร้อยแล้วก็เอาทหารกลับ ส่วนตำรวจและทหารในพื้นที่ก็ทำงานปกติไป แต่เมื่อเหตุการณ์ไม่ปกติ ก็จะนำกองกำลังทหารเข้าไปเติม ทุกประเทศก็ทำแบบนี้ และระหว่างนี้เราจะต้องเสริมสร้างกำลังในท้องถิ่นให้มากขึ้น เพราะคนเหล่านี้จะรู้จักพื้นที่และสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี แต่จะต้องเพิ่มความระมัดระวังตัวเองให้มากขึ้น เพราะทางยุทธวิธียังไม่เข้มแข็งพอ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการฝึกทบทวนมาโดยตลอด

“ผมถามเขาว่าจุดที่เกิด ทำไมไปตั้งฐานปฏิบัติการตรงนั้น เขาบอกมีความจำเป็น เพราะมีหมู่บ้านอยู่กลุ่มหนึ่ง และเขาต้องการไปดูแลประชาชนในหมู่บ้านดังกล่าว เพราะพื้นที่จำกัด เขาจึงไปตั้งกลางสวนยาง ส่วนด้านนอกทัศนวิสัยก็จำกัด มันจึงเปิดโอกาสให้ผู้ก่อเหตุเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งผมได้เตือนไปแล้วว่า ต้องหาวิธีการใหม่และปรับในเชิงกลยุทธ์ ให้มีชุดลาดตระเวนต่างๆ ให้รัดกุมมากขึ้น รวมถึงการป้องกันชายแดน และการลักลอบเข้าออกประเทศ ส่วนนี้ก็ต้องเพิ่มการกวดขัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

มอบแม่ทัพภาค 4 ร่วมพิธีสวดพระอภิธรรมผู้เสียชีวิตยะลา

ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์มอบให้แม่ทัพภาคที่ 4 เป็นผู้แทนร่วมพิธีสวดพระอภิธรรมผู้เสียชีวิต จากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ต.ลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลา เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมา พร้อมทั้งคณะรัฐมนตรีด้วย โดยนายกรัฐมนตรีแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้สูญเสียและสั่งการให้ดูแลทุกคนอย่างดีที่สุด พร้อมย้ำว่าไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานว่า เจ้าหน้าที่พบหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่สามารถระบุตัวคนร้ายที่ก่อเหตุได้แล้วจำนวนหนึ่ง และพบฐานปฏิบัติการร้าง 1 แห่ง โดยจะใช้แผนกดดันทุกพื้นที่ทั้งผู้ก่อเหตุและผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ เบื้องต้นได้ควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัยแล้ว 1 คน ที่ อ.ธารโต จ.ยะลา ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ฝ่ายความมั่นคงบังคับใช้กฎหมายด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้กระทบสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานและการดำเนินชีวิตของประชาชน พร้อมทั้งยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่จะประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่ตามที่มีข่าวลือกันแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนร่วมกันเป็นหูเป็นตา ตรวจสอบ และแจ้งเบาะแสแก่เจ้าหน้าที่ เพื่อจับกุมตัวผู้ก่อเหตุมาลงโทษให้ได้โดยเร็วที่สุด

ไม่เป็นอะไรมาก! “บิ๊กป้อม”ลื่นล้มในสภาฯ

People Unity : ไม่เป็นอะไรมาก! “บิ๊กป้อม”ลื่นล้มในสภาฯ “บิ๊กตู่” เข้าประคอง หลังโหวตผ่านงบฯปี 63

วันที่ 19 ต.ค.2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่มีการลงคะแนนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ได้ลุกออกที่นั่ง โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เดินตามหลัง เมื่อถึงทางต่างระดับด้านหลังบัลลังก์ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ยื่นมือมาเพื่อจะจับ พล.อ.ประวิตร แต่ปรากฎว่าจังหวะดังกล่าว พล.อ.ประวิตรได้ลื่นล้มเสียหลักล้มก้นกระแทกกับพื้น จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม รีบเข้าไปประคองพล.อ.ประวิตรทันที

อย่างไรก็ตาม เมื่อพล.อ.ประวิตรเดินออกมาจากลิฟท์ ก็มีสีหน้ายิ้มแย้ม และเดินด้วยท่าทีปกติไม่ได้มีอาการว่าจะได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

“ธนกร”ยันพรรคร่วมรัฐบาลยังเหนียวแน่นไร้ปัญหากับภท.

People Unity News : “ธนกร”ยันพรรคร่วมรัฐบาลยังเหนียวแน่นไร้ปัญหากับภท. ลั่นไม่มีเวลาให้ขัดแย้งโวพร้อมรับมือฝ่ายค้านซักฟอก “อนุทิน”สยบลือ!!ไม่มีเวลาขัดแย้งรัฐบาลบินอุบลฯรับบริจาคหัวใจ รัฐบาลเดินหน้าตามแผนปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาลทำงานด้วยความราบรื่นเพื่อพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ ไม่ได้มีปัญหาความขัดแย้งใดๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะกับพรรคภูมิใจไทยนั้น ผู้ใหญ่ของพรรคคุยกันอยู่ตลอด ที่สำคัญคือ รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ไม่ต้องการขัดแย้งกับใคร เอาเวลาทั้งหมดไปทำงานให้กับพี่น้องประชาชนดีกว่า เพราะประเทศยังมีหลายสิ่งที่จะต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้พี่น้องประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การทำงานของพรรคร่วมรัฐบาลขณะนี้จึงเป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลได้ประกาศไว้

นายธนกร กล่าวอีกว่า สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคร่วมฝ่ายค้านนั้น รัฐบาลพร้อมที่จะชี้แจงในทุกประเด็น ซึ่งทราบข้อมูลมาบ้างว่าฝ่ายค้านจะอภิปรายในประเด็นรัฐบาลบริหารงานล้มเหลวเป็นหลัก เพราะรัฐบาลนี้ไม่มีปัญหาในเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นเหมือนรัฐบาลในอดีต ดังนั้น ตนมั่นใจว่ารัฐบาลจะสามารถชี้แจงได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่เพื่อพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ หากพรรคฝ่ายค้านไม่มีอคติมากจนเกินไปจะเข้าใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ทุ่มเททำงานให้ประชาชนด้วยหัวใจจริงๆ ยิ่งตอนที่เห็นเด็กนักเรียนวิ่งไปกอดพล.อ.ประยุทธ์แล้วส่งเสียงบอกรักลุงตู่นั้น เชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์จะมีกำลังใจทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

“อนุทิน”สยบลือ!!ไม่มีเวลาขัดแย้งรัฐบาลบินอุบลฯรับบริจาคหัวใจ

ขณะที่ช่วงเช้าวันนี้ (23 พ.ย.62) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รอง รมน.และ รมว.สธ. นำคณะแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ บินไปรับ อวัยวะหัวใจ จากผู้บริจาคที่เสียชีวิต ที่จังหวัดอุบลราชธานี

รัฐบาลเดินหน้าตามแผนปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย

ขณะที่นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความก้าวหน้าในการปฏิรูปประเทศด้านกฏหมาย ตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 77 ได้บัญญัติแนวทางในการจัดทำและตรากฏหมายขึ้นใหม่โดยให้มีเท่าที่จำเป็น และต้องมีการประเมินผลสัมฤทธิ์เพื่อยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมถึงต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องเพื่อวิเคราะห์ผลกระทบจากกฎหมายอย่างรอบด้าน และประชาชนต้องได้รับทราบและเข้าใจถึงเหตุผลในการตรากฎหมาย

เพื่อรองรับการดำเนินการตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.หลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ.2562 ได้ถูกตราขึ้นและจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 27 พ.ย. นี้  อีกทั้ง ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่ออังคารที่ผ่านมา รัฐบาลได้อนุมัติร่างกฎกระทรวง ร่างคำแนะนำ และร่างหลักเกณฑ์ รวม 11 ฉบับ ตามที่คณะกรรมการพัฒนากฎหมายเสนอ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐเข้าใจโดยละเอียดและสามารถปฏิบัติตามพ.ร.บ.หลักเกณฑ์ฯได้อย่างถูกต้อง ประเด็นหลักๆที่หน่วยงานรัฐต้องปฏิบัติในการจัดทำร่างกฏหมาย อาทิ 1) วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย 2) ประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย โดยกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินและระยะเวลาที่ต้องทำให้เสร็จ 3) ยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็น ล้าสมัย หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตหรือประกอบอาชีพของประชาชน 4) กฎหมายใดที่มีผลบังคับใช้ก่อนวันที่ 27 พ.ย. 2562 ให้ทำการประเมินผลสัมฤทธิ์ครั้งแรกไม่ช้ากว่าห้าปีนับจากวันที่ 1 ม.ค. 2563 และประเมินครั้งต่อไปทุกๆห้าปี ซึ่งต้องทำให้แล้วเสร็จภายในหนี่งปีหลังเริ่มดำเนินการ 5) รับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องโดยรับฟังจากทั้งผู้สนับสนุนและผู้คัดค้านอย่างเท่าเทียมกัน และต้องเปิดกว้างหลายช่องทาง ทั้งเว็บไซด์ การสัมภาษณ์ การเชิญมาให้ข้อมูล และอื่นๆ 6) เผยแพร่กฎหมาย/กฎกระทรวง/ข้อบังคับ/ประกาศ/คำสั่งการในเว็บไซด์กลางที่รับผิดชอบโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์กรมหาชน) (สพร.) 7) จัดทำคำอธิบายโดยสรุปสาระสำคัญของกฎหมายด้วยภาษาที่ประชาชนสามารถเข้าใจได้ 7) กฎหมายต้องได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้ขาวต่างชาติเข้าใจกฎหมายไทย

นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า การขับเคลื่อนการปฏิรูปด้านกฎหมายนี้ รัฐบาลได้ยึดแนวทางที่สากลปฏิบัติ และมีความเหมาะสมสอดคล้องกับความพร้อมของหน่วยงานของรัฐและและบริบทประเทศไทย ซึ่งการดำเนินงานของคณะกรรมการพัฒนากฎหมายและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฏีกาได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์และมาตรฐานของการดำเนินการในเรื่องนี้ของต่างประเทศ รวมทั้งได้รับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อมากำหนดแนวทางปฏิบัติ และจัดให้มีการอบรมเตรียมความพร้อมในเรื่องดังกล่าวแล้ว

“อ้น”จี้”ธนาธร”แจงเหตุแถลงนอกศาลให้ข้อมูลไม่ชัด

People Unity News : “อ้น”จี้”ธนาธร”แจงเหตุแถลงนอกศาลให้ข้อมูลไม่ชัด มั่วยกเจตนารมณ์ รธน.เก่าคนละมาตรามาอ้าง ยกประเด็นคดีต่างกันกล่าวหามาตรฐานศาลฎีกา-ศาลรธรน. แถมระบุวันที่โอนหุ้นไม่ตรงกับที่ผ่านมา ย้ำชัดการมีความฝันไม่ผิด แต่ความฝันและการทำตามความฝันต้องเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2562 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ หรือ “อ้น” อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แถลงข่าวเพื่ออ่านคำแถลงปิดคดีกรณีการถือหุ้นบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยชี้ขาดความเป็นส.ส.สิ้นสุดลงหรือไม่ ในวันที่ 20 พ.ย.นี้ ที่ระบุว่า ศาลฎีกาใช้คนละมาตรฐานกับศาลรัฐธรรมนูญเป็นการกล่าวข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน เพราะศาลฎีกาพิจารณากรณีของผู้สมัครส.ส.นายภูเบศว์ เห็นหลอดในประเด็นคุณสมบัติการเป็นผู้สมัครส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98(3) แต่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณากรณีส.ส. พรรคฝ่ายร่วมรัฐบาล 41 คนที่ถูกพรรคอนาคตใหม่ร้องนั้น ในประเด็นที่ร้องขอให้ ส.ส. ทั้ง 41 คนหยุดปฏิบัติหน้าที่ เป็นการพิจารณาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรค 2 ว่า “หากปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าสมาชิกผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้สมาชิกผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย” ซึ่งเป็นคนละเหตุกับของผู้สมัคร ส.ส. นายภูเบศว์ การแถลงให้ข้อมูลว่าศาลฎีกาและศาลรัฐธรรมนูญใช้คนละมาตรฐานนั้นไม่น่าจะถูกต้อง การเทียบเคียงของที่แตกต่างกันว่าจะต้องเหมือนกันนั้นเป็นการใช้ตรรกะเหตุผลที่ผิด และสำหรับคำอธิบายว่าบริษัทวีลัคมีเดีย ไม่ได้เป็นบริษัทเกี่ยวกับสื่อเพราะเลิกพิมพ์หนังสือไปแล้วนั้น ก็ขอให้พิจารณากรณีผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคพลังประชารัฐ นายทวีป ขวัญบุรีที่ถูกตัดสิทธิสมัคร ส.ส. เแม้จะหยุดการพิมพ์หนังสือไปแล้วกว่า 20 ปี มาเทียบเคียง

น.ส.ทิพานัน กล่าวถึงวันที่ทำการซื้อขายโอนหุ้นระหว่างนายธนาธรและมารดา สังคมเกิดความสับสนอีกครั้งจากการให้ข้อมูลที่ขัดกันเองของนายธนาธร เพราะที่ผ่านมานายธนาธรกล่าวยืนยันและแสดงหลักฐานการโอนหุ้นว่าทำขึ้นเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2562 แต่จากคลิปการแถลงปิดคดีประมาณนาทีที่ 17 เป็นต้นไป นายธนาธรกลับกล่าวเองชัดเจนว่าโอนเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2562 ทำให้ประชาชนที่เชื่อในบรรทัดฐานว่า ความจริงพูดกี่ครั้งก็เหมือนเดิม เกิดความสงสัยว่าทำไมนายธนาธรถึงพูดแตกต่างกัน ความเครียดความกดดันใดทำให้พูดออกมาแตกต่างกันอีกแล้ว

รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า และอีกประเด็นที่สำคัญคือ การกล่าวอ้างเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญคนละฉบับ คนละมาตราที่แตกต่างกันมาสนับสนุนว่าตัวเองไม่ผิดนั้น ประชาชนที่ฟังการแถลงมีความสงสัยว่านายธนาธรทำไปเพราะเข้าใจผิดหรือต้องการชี้นำสังคมให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง ที่นายธนาธรแถลงอ้างนั้น เป็นเจตนารมณ์ของมาตรา 48 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นมาตราที่บังคับใช้กับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยบัญญัติห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นสื่อ แต่ความผิดของนายธนาธรที่กำลังถูกพิจารณาเป็นเรื่องคุณสมบัติของ “ผู้สมัคร ส.ส.” ในขั้นตอนตั้งแต่สมัครรับเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 98 (3) ซึ่งบัญญัติห้ามผู้สมัคร ส.ส. เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นสื่อ ทั้งนี้เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมุ่งหวังปรับปรุงให้การเมืองโปร่งใสมากขึ้น จึงเป็นครั้งแรกที่บัญญัติห้ามเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นสื่อตั้งแต่การลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ดังนั้นการกล่าวอ้างของนายธนาธรจึงไม่น่าจะรับฟังได้

อีกทั้ง การที่นายธนาธรกล่าวอ้างว่าไม่ได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการพิจารณาคดีนั้น อยากให้นายธนาธรและทนายความที่ปรึกษาได้ทบทวน ทำความเข้าใจ ตัวบทมาตราของกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวนและการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561เสียก่อนที่จะแถลงออกมาเช่นนั้น และอยากให้นายธนาธรชี้แจงว่าเหตุใดจึงแถลงปิดคดีนอกศาลซึ่งไม่มีผลทางกฎหมายและการวินิจฉัยชี้ขาดคดีเลย การแถลงนอกศาลดังกล่าวเป็นการแถลงฝ่ายเดียว ไม่มีกระบวนการตรวจสอบพิสูจน์พยานหลักฐานว่าสิ่งที่กล่าวอ้างเป็นจริงหรือไม่ การแถลงดังกล่าวกลับยิ่งทำให้เกิดความสับสนต่อสังคมว่าเป็นการแทรกแซงกระบวนการพิจารณาคดีของศาลหรือไม่

“การมีความฝันและทำตามความฝันไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องดูด้วยว่าความฝันมันถูกหรือไม่ และวิธีการที่ทำตามความฝันมันถูกหรือเปล่า เช่น หากมีความฝันว่าอยากเป็นคนขี้หลอกลวงก็ไม่ควรฝันต่อแล้ว หรือฝันว่าอยากรวยซึ่งไม่ผิดแต่ดันไปใช้วิธีการหลอกลวงเงินคนอื่นมาเพื่อให้ตนเองรวย แบบนี้มันก็ไม่ถูกต้อง ซึ่งโดยส่วนตัว ดิฉันเองก็เคยมีความฝัน ฝันว่าจะมีเพื่อนร่วมอาชีพที่เป็นคนรู้ผิดชอบ ไม่สะดุดขาตัวเองหกล้มแล้วคอยแต่โทษคนอื่น ฝันว่าเขาจะเป็นคนรักษาสัญญาทำตาม MOU ฝันว่าเขาจะรักษาคำพูดที่เขาให้ไว้กับคนในองค์กร ฝันว่าเขาจะไม่โกหกหลอกลวงใครอีกต่อไป แต่เมื่อความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้น ดิฉันก็หยุดฝัน หยุดเอาความฝันนั้นมาหลอกตัวเองและหลอกคนอื่น ตื่นมาเผชิญความจริงและทำหน้าที่ในทางที่ถูกต้องต่อไป” รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าว

“ลดาวัลลิ์”ร่วมขบวนรณรงค์ ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี

People Unity News : “ลดาวัลลิ์”ร่วมขบวนรณรงค์ ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ประกาศถึงเวลาชายไทยไม่ทุบตีทำร้ายภรรยาลดคดีอาชญากรรมทางเพศ จี้รัฐใช้กฏหมายจริงจัง

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเปิดเผยว่า เนื่องด้วยวันที่ 25 พฤศจิกายนเป็นวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล ออกมติรับรองโดยองค์การสหประชาชาติ ตนขอเข้าร่วมในกิจกรรมรณรงค์ในวันสำคัญนี้ด้วยในฐานะที่เป็นสตรีคนหนึ่ง จากการสังเกตการทางสังคมพบว่าในรอบหลายปีที่ผ่านมาจนกระทั่งปัจจุบัน ความรุนแรงที่เกิดจากการทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัวทั้งต่อร่างกาย วาจาและจิตใจ สถิติความรุนแรงจากการทุบตีทำร้าย การคุกคาม การล่วงละเมิด การแสวงหาประโยชน์ทางเพศไม่ได้ลดน้อยลง ตรงกันข้ามกลับเพิ่มมากขึ้น แม้แต่ในโรงเรียนผู้ได้ชื่อเป็นครูอาจารย์ก็กระทำรุนแรงต่อลูกศิษย์อย่างไร้ความปราณีและมโนธรรม เป็นสภาวะที่น่าวิตกอย่างยิ่ง

นางลดาวัลลิ์กล่าวว่า จาก ข่าวสารที่ปรากฏผ่านสื่อต่างๆพบว่า ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและผู้ที่กระทำความรุนแรงคือผู้ชาย ทั้งนี้ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ขาดสตินำไปสู่การใช้ความรุนแรงผู้ที่เป็นพ่อแม่จริงหรือพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงก็ทำร้ายลูก จนกระทั่งลูกซึ่งยังไร้เดียงสาได้รับอันตรายบาดเจ็บอย่างน่าสงสาร

รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวต่อไปว่า ในการป้องกันและแก้ไขนั้น นอกจากทุกภาคส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาครัฐจะต้องเป็นหลัก ในการที่จะ สร้างความรู้ความเข้าใจความตระหนัก ด้วยการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง ให้ผู้ที่อยู่ในสภาพกลุ่มเสี่ยงที่จะใช้ความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ได้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเด็กและสตรี และตนเองที่เป็นผู้กระทำ ขณะเดียวกันหน่วยงานรัฐก็ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังด้วย พ.ร.บ.คุ้ม ครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว กำหนดว่าผู้ใดกระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัวผู้นั้นกระทำความผิดฐาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน6,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“สำหรับองค์กรพัฒนาเอกชนทางด้านเด็กและสตรีซึ่งมีอยู่จำนวนมาก ก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือและสนับสนุนการปฏิบัติงานของ หน่วยงานรัฐอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะเปิดใจกว้าง ที่จะยอมรับให้องค์กรพัฒนาเอกชนเหล่านี้เข้ามาร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหายุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีด้วยหรือไม่ เพื่อจะได้ลบล้างสถิติองค์การสหประชาชาติที่ระบุว่าไทยมีสถิติคดีความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกอย่างต่อเนื่อง” นางลดาวัลลิ์กล่าว

“รองโฆษกพปชร.”โต้”ปิยบุตร”ทิ้งหลักวิชาชีพนักกฎหมาย

People Unity News : “รองโฆษกพปชร.”โต้”ปิยบุตร”เป็นนักการเมืองแล้วทิ้งความรู้หลักวิชาชีพนักกฎหมาย กล่าวหาผู้พิพากษาใช้ความคิดอุดมการณ์ส่วนบุคคล จี้หยุดประดิษฐ์วาทกรรม “ลอว์แฟร์” หวังทำลายความเชื่อถือของศาลใช่หรือไม่

วันที่ 19 พ.ย.2562 จากกรณียูทูปของพรรคอนาคตใหม่เผยแพร่วิดีโอที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ บรรยายกลไกทำงานเกี่ยวกับลอว์แฟร์ หรือ Lawfare หรือการใช้กระบวนการทางยุติธรรมเป็นเครื่องมือกำจัดศัตรูทางการเมือง และกล่าวหาว่า ผู้พิพากษาที่อยู่ในบังลังก์ตัดสินคดีล้วนมีจิตสำนึกที่เป็นตัวของตัวเอง มีความคิดความเชื่อ อุดมการณ์ส่วนบุคคลนั้น น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ หรือ “อ้น” อดีตผู้สมัครส.ส.กทม. และรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า อยากถามนายปิยบุตรว่า เหตุใดจึงกล่าวหาผู้พิพากษาและกระบวนการยุติธรรมเช่นนั้น นักกฎหมายต่างๆ รวมถึงผู้พิพากษาต้องมีจริยธรรมในการประกอบวิชาชีพอยู่แล้ว ซึ่งองค์ความรู้ของวิชา LA461 หลักวิชาชีพของนักกฎหมายที่นายปิยบุตรได้เคยเรียนมาแล้วในระดับปริญญาตรีเมื่อเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา ก็เคยสอนไว้ชัดเจนว่า “ในการทำหน้าที่ของผู้พิพากษา ผู้พิพากษาจะต้องละความเป็นปุถุชนของตนเอง ทำหน้าที่โดยปราศจากอคติทั้ง 4 พิจารณาคดีเพื่อดำรงความยุติธรรม”

และหากนายปิยบุตรจำความรู้ของวิชาหลักวิชาชีพนักกฎหมายได้ ย่อมรู้แก่ใจว่าการกล่าวหาดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ จึงขอให้หยุดประดิษฐ์วาทกรรมเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนเองและพรรคพวกในฐานะนักการเมือง หยุดสร้างกระแสชี้นำสังคมเพื่อมุ่งหวัง “บั่นทอนความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม”

“การประดิษฐ์คำและแปลความของคำว่า Lawfare ของนายปิยบุตร ว่ามาจากคำว่า Warfare และ Law มารวมกันเป็น “Lawfare” หมายถึง”นิติสงคราม” น่าจะผิดพลาด เพราะคำว่า “Fare” ไม่ได้แปลว่า สงครามแต่อย่างใด และรัฐบาล ไม่เคยใช้กฎหมายกลั่นแกล้งใคร อำนาจตุลาการเป็นอำนาจอิสระ” น.ส.ทิพานัน กล่าว

รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันสิ่งที่เรากำลังทำคือการยกระดับสวัสดิการ หรือ “Welfare” ของประชาชน เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นี่คือสิ่งที่ควรทำในฐานะนักการเมือง ผู้แทนของประชาชน

ซัด“ช่อ-อนาคตใหม่” ปั่นกระแสป้ายสี “มาดามเดียร์”

น.ส.ทิพานัน ยังกล่าวจากกรณีที่น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ “ช่อ” ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ออกมาแถลงข่าวพาดพิงไปยังนางสาว น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ทำนองว่ามีความเกี่ยวข้องเป็นเจ้าของสื่อชัดเจน แต่กลับไม่ถูกดำเนินคดีนั้นว่า น.ส.วทันยาปฏิบัติตามกฎหมายถูกต้องครบถ้วน และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าวใดๆของสื่อในเครือเนชั่น จึงขอให้น.ส.พรรณิการ์ ไปทำความเข้าใจเรื่องคุณสมบัติผู้สมัครส.ส.และ ส.ส. ตามมาตรา 98 (3) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ที่ระบุว่า “บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร … เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ” ก่อนที่จะออกมาชี้นำให้สังคมเกิดความสับสนเช่นนี้

เพราะเรื่องนี้น.ส.พรรณิการ์และพรรคอนาคตใหม่เองรู้อยู่เต็มอกว่า น.ส.วทันยา นั้นทำทุกอย่างถูกต้อง เมื่อกระบวนการขั้นตอนถูกต้องตามคุณสมบัติแล้ว จึงไม่มีความผิด และหากน.ส.พรรณิการ์ กับพรรคอนาคตใหม่เห็นว่าน.ส.วทันยา ขาดคุณสมบัติส.ส. ตามมาตราใดของรัฐธรรมนูญ ก็สามารถใช้กระบวนการทางกฎหมายยื่นตรวจสอบคุณสมบัติของ ส.ส. ได้ แต่เมื่อถึงเวลาใกล้กำหนดวันชี้ขาดกรณีของนายธนาธร กลับไปหยิบยกกรณีนี้ขึ้นมา หวังปั่นกระแสสร้างความเข้าใจผิด น.ส.พรรณิการ์และพรรคอนาคตใหม่ไม่ควรมาแถลงข่าวบิดเบือนให้ผู้อื่นเสียหายเช่นนี้ น.ส. พรรณิการ์ ควร “ตั้งสติ” รอผลคำตัดสินของศาลเสียก่อนเพราะยังไม่มีใครรู้ว่าผลจะออกมาเป็นคุณหรือโทษต่อพรรคอนาคตใหม่ทั้งนั้น แต่การแถลงข่าวของ น.ส.พรรณิการ์ เมื่อวานนี้ทำให้ประชาชนมีคำถามว่า กระทำเพื่อหวังกดดันกระบวนการพิจารณาคดีของศาลหรือไม่ หรือเป็นการหวังลดความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมของไทยหรือไม่

“ขอให้น.ส.พรรณิการ์ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนพูด รวมถึงข้อมูลต่างๆ เพราะทั้ง น.ส. วทันยา และคู่สมรสไม่ได้เป็นเจ้าของผู้ถือหุ้นสื่อใดๆ ทั้งสิ้น และขอให้หยุดชี้นำสังคมว่า นักการเมืองที่มีบุคคลในครอบครัวทำงานด้านสื่อหรือในอดีตนักการเมืองเคยทำงานด้านสื่อแล้วนักการเมืองท่านนั้นจะมีอิทธิพลต่อสื่อนั้นๆ จะทำให้สื่อออกข่าวให้คุณให้โทษต่อนักการเมืองได้ มิฉะนั้นแล้วหากสังคมถือตามบรรทัดฐานนี้ ประชาชนอาจมองว่าการที่หัวหน้าพรรคการเมืองท่านหนึ่งมีมารดาผู้ให้กำเนิดถือหุ้นสื่อใหญ่ในปัจจุบัน หรือในอดีตโฆษกพรรคการเมืองท่านหนึ่งก็เคยทำงานด้านสื่อ เป็นพิธีกรรายการข่าวและบรรณาธิการข่าว ก็อาจจะมีอิทธิพลต่อสื่อนั้นๆ ด้วยเช่นกัน”น.ส.ทิพานัน กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวต่อว่า ขอให้นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางกฎหมายที่สุด อธิบายกับน.ส.พรรณิการ์และสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ให้ชัดเจนว่า รัฐธรรมนูญกำหนดข้อห้ามของคู่สมรสและบุตรของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเฉพาะในมาตรา 184 ตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น คุณสมบัติของ ส.ส. ตามมาตราอื่น เป็นข้อบังคับเฉพาะตัวของผู้เป็นส.ส. นั้นเอง เช่น มาตรา 98 (3) บัญญัติห้ามผู้สมัคร ส.ส. และ ส.ส. เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ นั้น กฎหมายบัญญัติห้ามใครบ้าง ห้ามบุคคลในครอบครัวเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นสื่อหรือไม่ กฎหมายไม่ได้ห้ามอดีตผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับสื่อเข้ามาเป็นนักการเมือง การที่อดีตเคยทำงานสื่อหรือมีบุคคลในครอบครัวหรือไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นจะครอบงำสื่อได้

รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้ประชาชนสงสัยอย่างมากว่า การเคลื่อนไหวต่างๆ ของพรรคอนาคตใหม่ทั้งการแถลงปิดคดีนอกศาล การจัดงานเวทีพรรค การยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำคดีตามหน้าที่ การสร้างกระแสประดิษฐ์วาทกรรมบั่นทอนความน่าเชื่อถือของศาล การแถลงข่าวกล่าวอ้างเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญกับบิดเบือนข้อมูลที่ไม่ถูกต้องนั้น น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีของนายธนาธรซึ่งจะมีการตัดสินคดีในวันพรุ่งนี้ใช่หรือไม่ (20พฤศจิกายน 2562) เพราะตัวนายธนาธรเองคงรู้ข้อเท็จจริงอยู่แก่ใจว่าในขณะที่สมัคร ส.ส. นั้น ได้โอนหุ้นบริษัทวีลัคมีเดียไปแล้วหรือยัง เมื่อจำความอะไรไม่ได้ในศาล ไม่มีพยานหลักฐานที่เป็นความจริงพิสูจน์ว่าตนโอนหุ้นไปแล้ว จึงพยายามสร้างกระแสอื่น ชี้นำสังคมเพื่อให้เป็นคุณประโยชน์แก่ตนเองหรือเปล่า

กกต.ชี้ “อานุภาพ” ยังไม่พ้นสมาชิกภาพ ส.ก. เว้นแต่ลาออกเอง

People Unity News : 15 กรกฎาคม 2565 กกต.กทม.ชี้ “อานุภาพ” ยังไม่พ้นสมาชิกภาพ เว้นแต่ลาออกเอง ระบุหาก ส.ก.พ้นตำแหน่ง ต้องจัดเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ลาออก

นายสำราญ ตันพานิช ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร (ผอ.กกต.กทม.) กล่าวถึงกรณีที่ นายอานุภาพ ธารทอง ส.ก.เขตสาทร พรรคก้าวไกล ซึ่งถูกพนักงานสอบสวนฝากขัง ในคดีถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดทางเพศ และอนาจารหญิงสาว 4 ราย ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล เพื่อพิสูจน์ตัวเอง ว่า ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว แต่เท่าที่ติดตามทราบว่าเป็นการลาออกจากสมาชิกพรรคก้าวไกล แต่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง ซึ่งแตกต่างจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะต้องสังกัดพรรค และกรณีที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมคุมขังก่อนหน้านี้ ก็ถือว่ายังไม่เข้าข่าย เพราะได้รับการประกันตัว ดังนั้นจึงยังไม่ส่งผลกระทบกับสมาชิกภาพของนายอานุภาพ เว้นแต่จะมีการแสดงสปิริตลาออก ซึ่งหากมีการลาออกจริง ก็จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่ลาออก โดยปลัด กทม.ในฐานะเจ้าพนักงานจะเป็นผู้กำหนดวันเลือกตั้ง และประสานมายังกรรมการการเลือกตั้งกรุงเทพมหานครต่อไป อย่างไรก็ตาม หากนายอานุภาพยังไม่ลาออก ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ตัวเองและรอคดีถึงที่สุด

Advertisement

ทำไมพลังประชารัฐเสนอชื่อ ประยุทธ์-สมคิด-อุตตม เป็นนายกฯ

People unity : เมื่อวาน (30 มกราคม 2562) ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ มีมติเสนอชื่อ 3 ชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรค คือ 1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 2.นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และ 3.นายอุตตม สาวนายน โดยหลังจากนี้ ผู้บริหารพรรคจะเข้าไปเชิญอย่างเป็นทางการต่อไป

ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นไปตามคาดของคนทั่วไป เพราะเป็นที่รู้กันทั่วไปตั้งแต่ตั้งพรรคพลังประชารัฐแล้วว่า พรรคพลังประชารัฐตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯหลังการเลือกตั้ง

ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ กับชื่อพรรคพลังประชารัฐ จึงคู่กันมาตลอด โดยชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเสมือนแบรนด์ของพรรคพลังประชารัฐ

ทว่า เหตุผลสำคัญมากไปกว่านั้นที่ทำให้พรรคพลังประชารัฐต้องเลือก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นชื่อแรกในบัญชีนายกฯของพรรค หรือเป็นชื่อแรกที่พรรคจะเสนอชื่อในสภาเป็นนายกฯ ก็เพราะ ตลอด 4 ปีกว่าที่ผ่านมา จากการสำรวจของโพลล์สำนักต่างๆ คะแนนความนิยมจากประชาชนในตัว พล.อ.ประยุทธ์ ครองอันดับ 1 ตลอดมา พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นจุดขายที่สำคัญที่สุดของพรรคพลังประชารัฐ ตั้งแต่พรรคยังมีแต่ชื่อ ยังไม่มีการจัดตั้ง และยังไม่มีนโยบายใดๆ แสดงให้เห็นว่าแบรนด์ พล.อ.ประยุทธ์ แข็งแกร่งและยอดนิยมจริงๆ จึงไม่แปลกที่แกนนำกลุ่มสามมิตรแสดงความวิตกว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตอบรับเข้ามาเป็นบัญชีนายกฯของพรรค ก็ไม่รู้ว่าจะหาเสียงอย่างไร หรือเอาอะไรไปหาเสียง

ชื่อที่สองที่พรรคพลังประชารัฐเสนออยู่ในบัญชีนายกฯของพรรค คือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์

ชื่อของนายสมคิด เป็นชื่อที่คนทั่วไปส่วนใหญ่ไม่คาดคิดมาก่อน การที่จู่ๆมีชื่อนายสมคิดโผล่มาด้วย จึงสร้างความแปลกใจให้คนทั่วไปไม่น้อย

แต่สำหรับคนที่อยู่ในวงในรัฐบาล หรืออยู่ในวงการเมือง รวมทั้งสื่อ ไม่แปลกใจที่พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อนายสมคิดเป็นนายกฯของพรรคด้วย เพราะในวงในหรือในวงการเมืองรู้ดีว่า คนที่เป็นต้นคิดและเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐคือนายสมคิดนั่นเอง เพียงแต่นายสมคิดไม่ออกหน้า และมอบหมายให้เด็กในคาถาของตน 4 คน คือ 4 กุมารการเมือง เป็นผู้ขับเคลื่อนพรรคพลังประชารัฐแทน

ชื่อของนายสมคิดถูกเสนอขึ้นมาด้วยเหตุผลอะไร

1.แน่นอนว่าเพื่อตอบแทนนายสมคิดในฐานะผู้ต้นคิดก่อตั้งพรรค จาก 4 กุมารการเมือง

2.เพื่อเป็นจุดขายด้านโยบายเศรษฐกิจของพรรคว่าจะเป็นนโยบายที่สืบต่อจากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับนักธุรกิจและนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ

3.เพื่อเป็นรายชื่อนายกฯสำรองของพรรค กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถเป็นนายกฯได้ หรือตัดสินใจไม่เป็นนายกฯต่อไป

อย่างไรก็ดี ถ้าจะพูดกันตรงๆ ชื่อของนายสมคิดในเวลานี้ไม่สามารถเป็นจุดขายทางด้านความนิยมจากประชาชนได้เหมือนกับชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ เนื่องจากประชาชนทั่วไปยังไม่พอใจกับการแก้ไขปัญหาภาวะเศรษฐกิจให้พ้นจากความฝืดเคือง การที่พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อนายสมคิดจึงเหมือนดาบสองคม คือ ได้ความเชื่อมั่นจากนักลงทุนนักธุรกิจรายใหญ่ทั้งไทยและต่างชาติ แต่ขณะเดียวกันก็อาจทำให้ประชาชนทั่วไปที่ไม่พอใจกับปัญหาเศรษฐกิจ พาลไม่เลือกพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งตรงนี้แกนนำพรรคพลังประชารัฐและตัวนายสมคิดเองจะต้องคิดให้ดีๆว่าได้หรือเสีย คุ้มหรือไม่คุ้ม เพราะในตอนนี้ทุกพรรคล้วนพุ่งเป้าโจมตีไปที่ปํญหาเศรษฐกิจฝืดเคือง ดังนั้น ถ้าจะเอาชื่อนายสมคิดไปแปะไว้เฉยๆในบัญชีรายชื่อนายกฯของพรรค ก็จะมีแต่ผลเสีย แต่ควรจะต้องหาวิธีการทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในตัวนายสมคิดและให้โอกาสนายสมคิดทำงานต่อไป ด้วยการลงคะแนนเลือกพรรคพลังประชารัฐ

ชื่อที่สามที่พรรคพลังประชารัฐเสนออยู่ในบัญชีนายกฯของพรรค คือ นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค

การมีชื่อของนายอุตตม เป็นเรื่องปกติ เพราะนายอุตตมรับบทเป็นหัวหน้าพรรค จึงต้องได้รับเกียรติให้เป็นบัญชีนายกฯของพรรค

แต่หากมองในแง่ชื่อชั้น จะพบว่านายอุตตม ยังห่างไกลทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และนายสมคิดอยู่หลายขุม ดังนั้น ชื่อของนายอุตตมจึงไม่มีความหมายในสนามเลือกตั้ง เพราะยังไม่เป็นแม่เหล็กแรงสูงพอที่จะดูดความนิยมจากประชาชนได้

ถ้าจะให้ดี นายอุตตมควรถอนตัว ไม่รับเป็นบัญชีรายชื่อนายกฯของพรรค แล้วปล่อยให้บิ๊กเนมสองคน คือ พล.อ.ประยุทธ์ และนายสมคิด เป็นจุดขายคู่หูดูโอ จะเป็นการดีกว่า

โดย : พูลเดช กรรณิการ์

นักวิชาการอิสระด้านการเมือง

31 มกราคม 2562

การเมือง : ทำไมพลังประชารัฐเสนอชื่อ ประยุทธ์-สมคิด-อุตตม เป็นนายกฯ

People unity : post 31 มกราคม 2562 เวลา 02.10 น.

นายกฯ นั่งหัวโต๊ะถกวงเงินงบฯ ปี 2567

People Unity News : 4 มกราคม 66 นายกฯ นั่งหัวโต๊ะถกกำหนดวงเงินงบฯ ปี 2567 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต ให้สัญญาจะทำให้สถานะการเงินการคลังมีความมั่นคงในทุกด้าน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมพิจารณากำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ ผอ.สำนักงบประมาณ เข้าร่วม

โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้เป็นการประชุมเรื่องแผนการเงินระยะปานกลาง รายรับรายจ่ายปีงบประมาณ 2567 และประเมินไปถึงปี 2570 ซึ่งจำเป็นต้องประเมิน เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการวางพื้นฐานการใช้จ่ายงบประมาณ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคตอย่างระมัดระวังที่สุด พร้อมขอขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้อง และในโอกาสนี้ขออวยพรปีใหม่ให้กับทุกๆ คนเพราะถือเป็นการประชุมครั้งแรกของปี 2566 ที่พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้สถานะการเงินการคลังของเรามีความมั่นคงในทุกๆด้าน และขอให้ทุกคนมีความสุขประสบความสำเร็จทุกประการทั้งชีวิตราชการและเรื่องส่วนตัว

Advertisement

Verified by ExactMetrics