วันที่ 18 พฤษภาคม 2024

ครั้งแรก!”เฉลิมชัย”เปิดตลาดใหญ่จีน ส่งออกรำข้าวสกัดน้ำมันและกากเนื้อเมล็ดปาล์ม

People Unity News : “เฉลิมชัย”ลุยเปิดตลาดใหญ่ส่งออกรำข้าวสกัดน้ำมันและกากเนื้อในเมล็ดปาล์มไปจีนเป็นครั้งแรก พร้อมร่วมลงนามพิธีสารด้านมาตรการสุขอนามัยฯ กับผู้แทนรัฐบาลจีน หวังโกยรายได้มหาศาลเข้าประเทศ

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยผู้บริหารของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมในพิธีลงนามพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดมาตรการด้านสุขอนามัยฯ กับผู้บริหารของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อการส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปยังจีน เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ณ สำนักงานการศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน

นายเฉลิมชัย และนายจาง จี้ เหวิน รัฐมนตรีช่วยว่าการสำนักงานการศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ( Mr. ZHANG Jiwen, Vice Minister and CPC Committee Member of the General Administration of Customs of China (GACC)) ได้ร่วมลงนาม ในพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชในการนำเข้ารำสกัดน้ำมันและ กากเนื้อในเมล็ดปาล์มจากประเทศไทย ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อให้ไทยสามารถส่งออกรำสกัดน้ำมันและกากเนื้อในเมล็ดปาล์ม ซึ่งเป็นกากที่เหลือจากการสกัดน้ำมันพืชไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนได้

นายเฉลิมชัย กล่าวว่า พิธีสารดังกล่าวจัดทำขึ้นเพื่อเปิดตลาดการส่งออกสินค้ารำสกัดน้ำมันและกากเนื้อในเมล็ดปาล์มไปยังประเทศจีนเพื่อนำไปใช้เป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ นับเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญของไทย เป็นการเพิ่มโอกาสและสร้างมูลค่าให้กับสิ่งเหลือใช้ทางการเกษตร โดยไทยมีศักยภาพในการผลิตกากรำข้าวราว 280,000 ตันต่อปี และกากเนื้อในเมล็ดปาล์มราว 250,000 ตันต่อปี พิธีสารมีสาระสำคัญเกี่ยวกับมาตรการกำจัดศัตรูพืช การควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยสำหรับผลิตภัณฑ์รำสกัดน้ำมันและกากเนื้อในเมล็ดปาล์มของไทย โดยการลงนามในพิธีสารฯ ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยและสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในครั้งนี้

ทั้งนี้ จีนได้กำหนดให้ผู้ส่งออกที่ประสงค์จะส่งออกรำสกัดน้ำมันและกากเนื้อในเมล็ดปาล์มไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ต้องผ่านการตรวจสอบจากกรมวิชาการเกษตรและได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนกับ GACC โดยสามารถสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และคำขอเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนได้ในเว็บไซต์ของกองพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าพืช กรมวิชาการเกษตร ที่ www.doa.go.th โทร. 029407422 หรือ เว็บไซต์สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ที่ https://www.acfs.go.th/

“จุรินทร์”เปิดถกนักธุรกิจไทย-จีนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม-การค้า

People Unity News : “จุรินทร์”เป็นประธานประชุม “แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม -การค้า” หาญตระกูลมูลนิธิโลก ครั้งที่ 8 ชม สร้างความสัมพันธ์ที่ดี -เพิ่มโอกาเจรจาการค้า สอดคล้องนโยบาย ปชป. และภารกิจ ก.พาณิชย์

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 เวลา 11.00 น. ที่หาญตระกูลมูลนิธิประเทศไทย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุม”แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม -การค้า” หาญตระกูลมูลนิธิโลก ครั้งที่ 8 โดยมีนักธุรกิจไทย-จีน เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 500 คน

พร้อมกันนี้ นายจุรินทร์ ในฐานะประธานในงานฯ กล่าวว่านับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่หาญตระกูลมูลนิธิประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดงานการประชุมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม – การค้า หาญตระกูลทั่วโลกในปีนี้ ในนามของ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ตนขอชื่นชมการจัดงานในครั้งนี้ที่ได้เชื่อมโยงผู้ที่มีสายสัมพันธ์กับตระกูลหาญทั่วโลก ที่จะนำไปสู่เวทีการเจรจาแลกเปลี่ยนทางธุรกิจระหว่างกัน ซึ่งถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่จะสามารถเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างประเทศให้เติบโตขึ้น

รมว.พาณิชย์ กล่าวต่อว่า กระทรวงพาณิชย์มีภารกิจหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าทั้งในและต่างประเทศ สำหรับด้านการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงฯมุ่งเน้นในการผลักดันการส่งออกของไทยทั้งในตลาดเดิม การเปิดตลาดใหม่ และฟื้นฟูตลาดเก่า โดยสร้างความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือในมาตรฐานสินค้าและบริการ ตลอดจนส่งเสริมการตลาดและการส่งออกสินค้าของไทยผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อขับเคลื่อนการส่งเสริมและอํานวยความสะดวกในการทําธุรกิจและเพิ่มรายได้ให้กับประเทศไทย

โดยเฉพาะ 2 เดือนที่ผ่านมาตน และคณะได้นำภาคเอกชนไทย เดินทางไปหลายประเทศเพื่อเปิดตลาดใหม่ ทั้งอินเดีย จีน สหรัฐอเมริกา ตุรกี เยอรมัน สามารถทำ MOU ขายสินค้าไทย ได้มูลค่า กว่า 65,000 ล้านบาท

“การจัดงานในวันนี้ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีของตระกูลหาญทั่วโลกที่ได้มีโอกาสมาพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ตลอดจนการเพิ่มโอกาสในการเจรจาทางธุรกิจระหว่างกัน ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับการขับเคลื่อนนโยบายและภารกิจของ พรรคประชาธิปัตย์ และกระทรวงพาณิชย์ด้วย ในโอกาสนี้ จึงขออวยพรให้การจัดงานในครั้งนี้ประสบผลสำเร็จตามเจตนารมณ์ของคณะผู้จัดงานทุกประการ” นายจุรินทร์ กล่าว

“อุตตม สาวนายน”ยันความเชื่อมั่นช่วยพ้นสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้ได้

People Unity News : “อุตตม สาวนายน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยันความเชื่อมั่นช่วยพ้นสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้ได้

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่ผมได้กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในไตรมาสสุดท้ายของปีไปแล้ว ซึ่งได้แก่ มาตรการ “ชิมช้อปใช้” ที่กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย การท่องเที่ยวในพื้นที่ชุมชน และมาตรการประกันรายได้เกษตรกร รวมทั้งมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้โครงการ”บ้านในฝัน รับปีใหม่” สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท

สำหรับความคืบหน้าของ มาตรการ “ชิมช้อปใช้” ซึ่งขณะนี้อยู่ในเฟส 3 มียอดการจ่ายใช้รวมทั้งหมด 13,922.7 ล้านบาท โดยเป็นยอดการใช้จ่ายผ่านกระเป๋า 1 จำนวน 11,580.2 ล้านบาท และผ่านกระเป๋า 2 ที่จะได้รับเงิน Cash Back คืน เป็นจำนวน 2,342.2 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นโดยลำดับ โดย “ชิมช้อปใช้” มียอดการใช้จ่ายผ่านร้านค้า ได้แก่ ร้านชิม จำนวน 1,832.5 ล้านบาท ร้านช้อป จำนวน 8,648.5 ล้านบาท ร้านใช้ จำนวน 160.9 ล้านบาท ร้านค้าทั่วไป 3,258.3 ล้านบาท และโรงแรม ที่พัก จำนวน 21.3 ล้านบาท

ด้านมาตรการประกันรายได้เกษตรกร จากข้อมูลของ ธ.ก.ส. ณ วันที่ 21 พ.ย.62 มีการจ่ายเงินให้กับเกษตรกร ในโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปี 2562/63 รอบที่ 1 แล้ว 542,853 ราย เป็นจำนวนเงิน 13,050 ล้านบาท

โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2562-63 จำนวน 286,003 ราย เป็นเงิน 2,595 ล้านบาท

และโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 1 จ่ายไปแล้ว จำนวน 590,322 ราย เป็นเงิน 3,348 ล้านบาท

ในส่วนของโครงการ”บ้านในฝัน รับปีใหม่” ที่ต้องการให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงการมีบ้านในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ในวงเงินสินเชื่อ ธอส.ประชารัฐ 5 หมื่นล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย 2.5% ต่อปี ซึ่งเปิดให้มีการยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่ 24 ต.ค. 62 ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ยื่นขอกู้แล้วรวม 5,441 ราย วงเงิน 11,110 ล้านบาท และ ธอส.ได้อนุมัติเงินกู้ไปแล้ว 2,140 ราย วงเงิน 3,931 ล้านบาท โดยคาดว่าวงเงินรวมทั้งหมดจะมีผู้ยื่นกู้เต็มในช่วงเดือน ก.พ. 63

ด้าน ธ.ออมสิน ยังได้เตรียมออกมาตรการสินเชื่อเคหะตัวใหม่ ให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) โดยเบื้องต้นได้เตรียมวงเงินปล่อยสินเชื่อไว้ประมาณ 25,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยราว 2.7-2.9% ต่อปี และตั้งเป้าจะเริ่มโครงการได้ในเดือน ธ.ค.62 โดยปรับให้มีเงื่อนไขพิเศษ อาทิ การผ่อนชำระ 10 บาทต่อเดือนในระยะแรก รวมถึงไม่จำกัดเพดานราคาบ้าน เพื่อเปิดกว้างให้ประชาชนสามารถซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีโครงการ “สินเชื่อประชาชน 555” ที่จะเปิดโอกาสให้กับผู้มีรายได้น้อยในระดับเศรษฐกิจฐานรากกู้ยืมเพื่อการประกอบอาชีพ โดยคิดดอกเบี้ย 0.5% ต่อเดือน ผ่อนชำระ 5 ปี ในวงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย

ขณะเดียวกันกระทรวงการคลังก็ได้ติดตามสถานการณ์การส่งออกอย่างใกล้ชิด โดยข้อมูลการส่งออกและนำเข้า 10 เดือนของปี 2562 พบว่ามีการส่งออกรวม 2.07 แสนล้านดอลลาร์ ลดลงจากปีก่อน 2.4% การนำเข้าอยู่ที่ 1.99 แสนล้านดอลลาร์ลดลง 4.1%

โดยพบว่าการส่งออกสินค้าในเดือนต.ค. มีสัญญาณที่ดีขึ้นจากการที่สินค้าบางรายการที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ และส่วนประกอบ สามารถกลับมาขยายตัวได้เป็นบวกในรอบ 13 เดือน

ในส่วนการส่งออกสินค้าไปยังตลาดหลักของไทยที่ในภาพรวมหดตัวเพียง 0.6% แต่ในตลาดหลักอย่าง สหรัฐฯ ยังขยายตัวได้ 4.8% ญี่ปุ่นขยายตัวได้ 0.5% และตลาดตะวันออกกลาง การส่งออกขยายตัวได้ 3.7% ส่วนตลาดการส่งออกสำคัญที่หดตัวได้แก่ อินเดียที่หดตัว 17.2% จากนโยบายการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศลดลง ตลาด CLMV หดตัว 9.9%ตลาดจีนหดตัว 4.2% เป็นต้น

สำหรับแนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ก.พาณิชย์ คาดว่าในเดือน พ.ย.การส่งออกจะยังคงหดตัวต่อไปอีก 1 เดือน และจะขยายตัวได้อีกครั้งในเดือน ธ.ค.โดยการส่งออกทั้งปี 62 คาดว่าจะติดลบประมาณ 1.5 – 2%

นอกจากนี้ ในสัปดาห์หน้าผมมีนัดหารือกับ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (Fetco) ถึงแนวทางการจัดตั้งกองทุนรวมรูปแบบใหม่ที่จะมาทดแทนกองทุนรวมLTF โดยจะต้องคำนึงถึงสิทธิประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับให้มากที่สุด

ขณะเดียวกันกระทรวงการคลัง ได้เตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมไว้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเดือนสุดท้ายของปีเพื่อดูแลเศรษฐกิจในประเทศให้เข้มแข็ง และจับตาสถานการณ์การส่งออกอย่างใกล้ชิด ขณะนี้เศรษฐกิจไทยต้องการ “ความเชื่อมั่น” เป็นสิ่งสำคัญ ผมเชื่อว่า หากทุกฝ่ายร่วมมือกัน เราจะสามารถผ่านพ้นสถานการณ์ในขณะนี้ไปได้

“สนธิรัตน์”เร่งขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าเต็มสูบ

People Unity News : “สนธิรัตน์”เร่งขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าเต็มสูบ ทั้งสถานีบริการและแบตเตอรี่เก็บประจุไฟฟ้า พร้อมกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนเชื่อเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เผย 5 ปีที่ผ่านมาคนไทยนิยมใช้รถยนต์ EV เพิ่มตลอด โดยปี 2562 จดทะเบียนพุ่งแล้วกว่า 2.4 หมื่นคัน

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้แนวโน้มในการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับทิศทางของเทคโนโลยีประหยัดพลังงานและกระแสลดการใช้น้ำมันที่ก่อมลพิษ ซึ่งกระทรวงพลังงานได้เร่งขับเคลื่อนนโยบายเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง ระดมความร่วมมือทุกภาคส่วน จัดทำแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย ทั้งสถานีให้บริการและอุปกรณ์กักเก็บพลังงานไฟฟ้า ฯลฯ

ทั้งนี้ตามข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก พบว่า ณ เดือนกันยายน 2562 มีจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าที่จดทะเบียนแล้วสูงถึง 24,380 คัน ขณะที่ในปี 2561 มีจำนวน 20,484 คันและปี 2557 จำนวน 9,585 คัน

สำหรับโครงการสนับสนุนการลงทุนสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับภาครัฐและเอกชน เป็นแนวทางสำคัญได้เริ่มตั้งแต่ปี 2559-2563 นำร่องการใช้งานกลุ่มรถโดยสารสาธารณะไฟฟ้าและเตรียมพร้อมสู่รถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคล โดยในปี 2564 จะขับเคลื่อนอย่างเต็มรูปแบบ มีการพัฒนาระบบบริหารจัดการการอัดประจุไฟฟ้าอัจฉริยะ การพัฒนาระบบบริหารความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศ ร่วมกับการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า (Vihicle to Grid)

“เราได้เร่งพัฒนาระบบต่างๆ รองรับความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มที่และต้องใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ โดยเชื่อว่าหากปริมาณคนไทยหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามีมากขึ้น เมืองจะพัฒนาสู่การเป็น Smart City สร้างความสะดวกในการใช้ชีวิต ประหยัดพลังงาน รักษาสิ่งแวดล้อม ลดมลพิษด้วย”

ทั้งนี้ ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2558-2579 (Energy Efficiency Plan : EEP 2015) กระทรวงมีเป้าหมายส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงปี 2579 รวมทั้งสิ้น 1.2 ล้านคัน ทั้งในรูปแบบยานยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริดและยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่

นายสนธิรัตน์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่กระทรวงพลังงานจะต้องเร่งพัฒนาต่อไปคือการยกระดับอุตสาหกรรมไฟฟ้าในอนาคต เพื่อรองรับความต้องการพลังงานไฟฟ้าที่มากขึ้นจากภาคขนส่งและรถ EV พร้อมส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) ให้มีประสิทธิภาพ ด้วยการส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยพัฒนา เช่นขณะนี้ ปตท. โดยสถาบันวิทยสิริเมธี ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จัดตั้งโรงงานต้นแบบผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนและลิเธียมซัลเฟอร์ (กำลังผลิต 500 ก้อนต่อวัน) และนำแบตเตอรี่ไปทดสอบกับรถยนต์และเรือไฟฟ้า รถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า แล้ว

นอกจากนั้น กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมการผลิตระบบกักเก็บพลังงาน ประเภทแบตเตอรี่เป็นอุตสาหกรรมอนาคตของประเทศ ซึ่งสะท้อนจากปริมาณการความนิยมใช้รถยนต์ EV ที่สูงขึ้นตลอดเวลา รวมทั้งได้ตระหนักถึงความสำคัญในประเด็นของการหาแนวทางในการจัดการกับแบตเตอรี่ที่ใช้แล้ว สอดคล้องกับทิศทางประเทศไทยที่จะก้าวไปสู่การเป็นผู้ผลิตอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง

“สมคิด”ถกขุนคลังลั่นรักษาศก.ไม่ให้ชะลอไปมากกว่านี้

People Unity News : “สมคิด”ถกขุนคลังหาแนวทางสร้างแรงส่งเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนได้ถึงปีหน้า ลั่นต้องไม่ให้ชะลอไปมากกว่านี้ ครม.เศรษฐกิจ เร่งขับเคลื่อนโค้งสุดท้ายดัน GDP ทั้งปีโตในกรอบ 2.7-3.2%,เล็งออกมาตรการกระตุ้นเพิ่ม-จี้ รสก.ลงทุนกว่าแสนล้าน

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังหารือกับนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ว่า ปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกันดูแลเพื่อให้เกิดแรงส่งทางเศรษฐกิจที่จะทำให้ประเทศเติบโต โดยปีนี้ต้องรักษาระดับการโตของเศรษฐกิจไม่ให้ชะลอไปมากกว่านี้ โดยไตรมาส 4 ของปี 2562 ต้องทำให้ได้ดี เพื่อสร้างแรงส่งทางเศรษฐกิจให้ต่อเนื่องไปปีหน้า เพราะขณะนี้คนไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ปีหน้าจะเป็นอย่างไร ขณะที่กระทรวงการคลังรู้อยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไร และกำลังคิดว่าควรมีมาตรการอะไรออกมา โดยสิ่งที่กระทบต่อเศรษฐกิจไทยนอกจากการส่งออกแล้ว ยังมีเรื่องการเชื่อมั่นที่ยังไม่ฟื้นตัว ที่ต้องนำมาพิจารณาควบคู่กัน

ครม.เศรษฐกิจ เร่งขับเคลื่อนโค้งสุดท้ายดัน GDP ทั้งปีโตในกรอบ 2.7-3.2%

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรี (ครม.เศรษฐกิจ) เปิดเผยว่า วันนี้ที่ประชุมฯ รับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 3/62 ที่ขยายตัว 2.4% และคาดว่าในไตรมาส 4/62 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นราว 2.8% และทั้งปี 62 คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 2.6% ซึ่งหากเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ แล้วพบว่าไทยยังอยู่ในกลุ่มประเทศที่การเติบโตยังขยายตัวเร่งขึ้น ซึ่งรัฐบาลต้องขับเคลื่อนให้มีการเติบโตต่อเนื่องไป เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น การลงทุน การจับจ่ายใช้สอย

“รัฐบาลพยายามเร่งเครื่องขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้าย ขณะที่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกมีวงรอบอย่างน้อย 2-3 ปี ตอนนี้ผ่านไปปีครึ่งแล้ว ยังมีปัญหาเรื่อง Trade War และ Brexit ที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออก เราคุมปัจจัยภายนอกไม่ได้จึงต้องมาเน้นกระตุ้นภายในประเทศ ทั้งการบริโภคภาคเอกชน การลงทุน…ภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 3/62 เริ่มหยุดเซแล้ว ตัวเลขไตรมาส 4/62 น่าจะสะท้อนว่าค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น แต่รัฐบาลไม่ได้รอ จะมีมาตรการเพิ่มเติมในช่วงเวลาที่เหลือ”นายกอบศักดิ์ กล่าว

นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ที่ประชุมฯ เห็นชอบที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้เติบโตได้ดีขึ้นเพื่อเป็นแรงส่งให้กับเศรษฐกิจในปีหน้า โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้เศรษฐกิจทั้งปีนี้เติบโตในกรอบ 2.7-3.2% ด้วยการเร่งรัดให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายการลงทุนกว่า 1.15 แสนล้านบาทในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ และเตรียมที่จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมโดเน้นที่เศรษฐกิจในประเทศ

พร้อมทั้ง ปลดล็อคปัญหาและอุปสรรคของโครงการลงทุนต่าง ๆ ที่เป็นขั้นตอนของกฎหมาย เช่น กำหนดสกุลเงินกู้โครงการรถไฟไทย-จีนเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐเพื่อลดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน, ข้อกำหนดเรื่อง Roadside Station โครงการทางพิเศษบางปะอิน-นครราชสีมา, โครงการรถไฟรางคู่ นครปฐม-ชุมพร, ลพบุรี-ปากน้ำโพ, ทางด่วนพิเศษพระราม 3 เป็นต้น โดยขณะนี้มาตรการต่างๆ ได้ดำเนินการไปแล้ว ซึ่งที่ประชุมฯ จะได้ติดตามผลว่าเป็นอย่างไร และในช่วงปลายปีที่เป็นโค้งสุดท้ายจะมีมาตรการเสริมอีกหรือไม่

“งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจกว่า 1 แสนล้านบาทนี้มีคำยืนยันจากหน่วยงานแล้วว่าได้รับอนุมัติให้ดำเนินการลงทุนภายในปีนี้”นายกอบศักดิ์ กล่าว

สำหรับการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นยังมีข้อจำกัดเรื่องชนเพดานงบ ทำให้เหลืองบที่จะนำมาใช้ได้ราว 1 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

นายกอบศักดิ์ ยังชี้แจงกรณีที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมวพาณิชย์ มักไม่ได้เข้าร่วมประชุม ครม.เศรษฐกิจว่า เกิดจากความผิดพลาดในการจัดตารางงานของตนเอง เนื่องจาดไปตรงกับที่นายจุรินทร์ติดภารกิจต้องประชุมอาเซียน และเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการเรื่องการส่งออกอย่างเข้มข้น โดยคาดหวังที่จะให้มีการส่งออกได้จริง ถ้าเป็นไปได้น่าจะมีออเดอร์สินค้าเกษตรจากจีนเข้ามาในช่วงเดือน ธ.ค.62

สำหรับในปี 63 ได้กำหนด 5 แนวทางการบริหารจัดการเศรษฐกิจ คือ 1.การดูแลเกษตรกร แรงงาน ผู้มีรายได้น้อย SMEs เศรษฐกิจฐานราก ตลอดจนปัญหาภัยแล้ง 2.การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ 3.การขับเคลื่อนการส่งออกให้ขยายตัวไม่ต่ำกว่า 3% 4.ส่งเสริมการท่องเที่ยว ตั้งเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 41.8 ล้านคน รายได้ 2.22 ล้านล้านบาท และ 5.ตั้งเป้าส่งเสริมการลงทุนกว่า 3 ล้านล้านบาท ขยายตัว 5.9% จากปีนี้

เกษตรกรเตรียมเฮ! “เฉลิมชัย”ซื้อขายน้ำยางข้นกับ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่จีน

People Unity News : เกษตรกรเตรียมเฮ! “เฉลิมชัย” บุกหนัก นำทัพกระทรวงเกษตรฯ พา กยท. ลงนาม MOU ซื้อขายน้ำยางข้น กับ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ของจีน

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงเกษตรฯ และการยางแห่งประเทศไทย บุกตลาดจีน จับมือ 3 บริษัทน้ำยางข้นยักษ์ใหญ่จีน ลงนามความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางด้านธุรกิจระหว่างการยางแห่งประเทศไทย กับ 3 บริษัทน้ำยางข้นจีน ได้แก่ 1. บ. GOAMI ZHENGFENG TRADING (บ. นำเข้าน้ำยางข้น อันดับ1 ของจีน) 2. บ. NINGBO CHANGHKEN (บ.นำเข้าน้ำยางข้นจากไทยเป็นอันดับ1) 3. บ. SANGDONG XINGYU (บ. ใช้น้ำยางข้นผลิตถึงมือยางอันดับ 1 ของจีน) ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชาจีน

การลงนาม MOU ครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพปริมาณการส่งออกน้ำยางข้นไปจีนได้เพิ่มขึ้นกว่า 60,000 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ที่ผ่านมา จีนเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย ซึ่งไทยส่งออกน้ำยางข้นไปจีน ปีละกว่า 420,000 ตัน (37.8% ของการส่งออกทั่วโลก) เป็นมูลค่ากว่า 15,500 ล้านบาทต่อปี

ปี 2561 อุตสาหกรรมน้ำยางข้นไทยได้รับผลกระทบอย่างมาก ไทยส่งออกน้ำยางข้นลดลง 14 เปอร์เซนต์ โดยเฉพาะตลาดจีนลดลงกว่า 23 เปอร์เซนต์ ซึ่งการลงนามในวันนี้ จะเป็นการรักษาฐานลูกค้าจากประเทศผู้ซื้อยางเดิม เพิ่มมูลค่าทางการค้าให้สินค้ายางพาราของไทย เป็นการเพิ่มช่องทางหาตลาดใหม่ๆ เพื่อสร้างเสถียรภาพราคายางให้กับพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางของไทย

“นับเป็นนิมิตหมายอันดี ในการตอกย้ำถึงคุณภาพน้ำยางข้นของไทยที่ดีที่สุดในโลกให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีน ซึ่งฝ่ายไทยมีศักยภาพส่งออกน้ำยางคุณภาพสูง และพร้อมจะเป็นคู่ค้าที่ดีกับจีนและทุกประเทศทั่วโลก” นายเฉลิมชัยกล่าว

“มนัญญา”ขีดเส้น 3 วันส่งออก 3 สารเคมีเกษตร

People Unity News : “มนัญญา” เปิดโอกาสให้ผู้แทนจากสมาคมบริษัทผู้ส่งสารเคมีร่วมหารือเสนอข้อคิดเห็นและสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน ถึงแนวทางการดำเนินการภายหลังที่จะมีการยกเลิกการใช้ 3 สารเคมี คือ พาราควอต-ไกลโฟเซต-คลอร์ไพริฟอส

เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมร่วมกับ 3 สมาคมบริษัทผู้ส่งสารเคมี ได้แก่ สมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร สมาคมอารักขาพืชไทย และสมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่าได้เชิญสมาคมต่าง ๆ มาร่วมหารือเพื่อรับฟังข้อคิดเห็นและสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน ถึงแนวทางการดำเนินการภายหลังที่จะมีการยกเลิกการใช้ 3 สารเคมี ได้แก่ พาราควอต-ไกลโฟเซต-คลอร์ไพริฟอส

นางสาวมนัญญาได้ชี้แจงในที่ประชุมว่าหากบริษัทใดมีวัตถุประสงค์ที่จะส่งออก 3 สารดังกล่าวนี้ จะสามารถดำเนินการได้ใน 3 วันทำการ และสามารถแจ้งจำนวนสต๊อกเข้ามาได้ อย่างไรก็ตาม หากคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่จะมีการประชุมในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 นี้ มีมติในการใช้สารเคมี 3 ตัวนี้อย่างไร ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็พร้อมดำเนินการตามมติของที่ประชุม

“พิพัฒน์”สั่ง ททท. จัดเต็ม“อะเมซิ่งไทยแลนด์มาราธอน”หวังสร้างรายได้ 1,000 ล้าน

People Unity News : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จับมือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การกีฬาแห่งประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร และไทยแลนด์ไตรลีก เปิดตัวการแข่งขันวิ่งมาราธอนส่งเสริมการท่องเที่ยว “วิ่งผ่าเมือง ครั้งที่ 3 ประจำปี 2563” รายการ อะเมซิ่งไทยแลนด์มาราธอนแบงค็อก 2020 พรีเซ็นต์บายโตโยต้า” หวังบูมเศรษฐกิจสร้างกระแสท่องเที่ยวเชิงกีฬาในช่วงต้นปี 63 คาดมีนักวิ่งทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติร่วมแข่งขัน 30,000 คน สร้างรายได้มากกว่า 900 ล้านบาท ด้านรัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬาสั่งการผู้ว่าททท.เตรียมจัด “อะเมซิ่งไทยแลนด์มาราธอนซีรี่ย์ 5 รายการตลอดปี ตั้งเป้าไทยเป็นศูนย์กลางวิ่งมาราธอนของเอเชีย

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 ที่โรงภาพยนตร์เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ ถนนรัชดาภิเษก นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานแถลงข่าวการจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอนส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับโลกรายการ “อะเมซิ่งไทยแลนด์มาราธอนแบงค็อก 2020 พรีเซ็นต์บายโตโยต้า” ท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติ ทั้งผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย, รองปลัดกรุงเทพมหานคร, รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนภาคเอกชน, ผู้แทนชมรมวิ่ง และสื่อมวลชนที่มาร่วมงานอย่างคับคั่ง

รมว.ท่องเที่ยวฯ ในฐานะรองประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการอำนวยการจัดการแข่งขันฯ และเป็นผู้ออกคำสั่งกระทรวงฯ ในการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดการแข่งขันรายการนี้ กล่าวว่า กระทรวงมีนโยบายที่ชัดเจนที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sports Tourism) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกีฬาที่มีโอกาสดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาร่วมเป็นจำนวนมากอย่างวิ่งมาราธอน, วิ่งเทรล หรือไตรกีฬา ให้เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์หลักในระยะยาว โดยมีแผนการสร้างแบรนด์ระดับโลกด้วยตัวเอง ในฐานะของตัวแทนรัฐบาล จึงได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับเป็นเจ้าภาพในแต่ละส่วน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนและสามารถจัดการแข่งขันมาราธอนในระดับโลกได้ในที่สุด ตนคาดหวังว่าการแข่งขันรายการนี้ จะต้องจัดอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี รวมทั้งจะทำให้รายการนี้ติดอันดับ 1 ใน 10 ของมาราธอนที่คนทั่วโลกอยากเดินทางมาร่วมแข่งขันมากที่สุด

นอกจากนี้ รมว.ท่องเที่ยวฯ ยังได้สั่งการให้ ททท.นำรายการนี้เสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อจัดเป็นซีรี่ย์มาราธอนของประเทศต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2563 โดยขั้นต้นเลือก 5 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (อะเมซิ่งไทยแลนด์มาราธอน), จังหวัดบุรีรัมย์, จังหวัดชลบุรี, จังหวัดภูเก็ต และจังหวัดราชบุรี ตั้งเป้ามีผู้ร่วมแข่งขันทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเกิน 100,000 คน เป็นคนต่างชาติ มากกว่า 15,000 คน

“ประเทศไทยของเรามีศักยภาพ มีความพร้อมที่จะจัดวิ่งมาราธอนเป็นรายการระดับ WORLD EVENT เรามีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย มีการต้อนรับที่อบอุ่น ใครๆ ก็อยากมาวิ่งอยากมาเที่ยวเมืองไทย ดังนั้น ตนจะดันรายการอะเมซิ่งไทยแลนด์มาราธอนเป็นรายการนำร่องของรัฐบาล เพื่อนาไปสู่มาราธอนซีรี่ย์ของประเทศให้ได้ในที่สุด ฉะนั้นทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน” นายพิพัฒน์กล่าว

โดยรายละเอียดของการแข่งขัน แบ่งเป็น 4 ระยะ คือ ประเภทมาราธอน ระยะ 42.195 กม. ประเภทฮาล์ฟมาราธอน ระยะ 21.10 กม. ประเภทระยะ 10 กม. และประเภทแฟมิลี่รัน ระยะ 5 กม. ส่วนเส้นทางการวิ่งนั้น ถือเป็นไฮไลท์สาคัญของการจัดมาราธอนในครั้งนี้ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ WWW.AMAZINGTHAILANDMARATHON2020.COM

แบงก์พาณิชย์หั่นดอกเบี้ยช่วยกระตุ้นคนซื้อ“บ้านในฝัน รับปีใหม่”

People Unity News : แบงก์พาณิชย์หั่นดอกเบี้ย ช่วยกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ โครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” ได้อานิสงส์ผู้ประกอบการทั่วประเทศแห่เข้าร่วมโครงการคึกคัก กระหน่ำอัดโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม จัดอีเว้นท์ส่งเสริมการขาย พร้อมขึ้นป้ายประชาสัมพันธ์ดันยอดขายโค้งสุดท้ายของปีนี้

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (ปฏิบัติงานกระทรวงการคลัง) เปิดเผยว่า มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของกระทรวงการคลังในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2562 ภายใต้โครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน (11.11) ที่ผ่านมา โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์นำร่องเสนอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2.5% คงที่ 3 ปี

จากข้อมูลที่สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร แจ้งมาว่า โครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศ ทั้งจากประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด อาคารพาณิชย์ ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม โดยได้เข้าร่วมโครงการและจัดอีเว้นท์ตามห้างสรรพสินค้าและมีแคมเปญ ลด แลก แจก แถม ให้ราคาชนิดต่ำสุดๆ อีกทั้งหลายๆ โครงการมีการแจกทองคำหรือสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด และมอบสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมายชนิดไม่เคยมีมาก่อน รวมถึงพร้อมใจกันขึ้นป้ายประชาสัมพันธ์โครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” ตามโครงการและสำนักงานขายทั่วประเทศ ส่งผลให้ยอดขายในช่วงที่ผ่านมาเพิ่มมากขึ้นเป็นที่น่าพอใจ จากช่วงไตรมาสที่สองและสามก่อนหน้านี้ กิจกรรมและยอดขายมีไม่มากนัก โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์มีลูกค้าแวะเข้าชมโครงการอย่างต่อเนื่อง

นายชาญกฤช กล่าวอีกว่า สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ตลอดจนผู้ประกอบการรายย่อย ต่างแสดงความเชื่อมั่นว่ามาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ผ่านโครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” จะช่วยกระตุ้นยอดขายได้ตามเป้าที่วางไว้ และจะช่วยระบายสต๊อกคงค้างที่มีอยู่ราว 35,000 ยูนิตได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ล้วนตอบสนองนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการหั่นดอกเบี้ยเงินกู้ลง เช่น ธนาคารออมสินเปิดตัวโครงการสินเชื่อเคหะตัวใหม่ วงเงิน 25,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย 2.7-2.9% ต่อปี และมีเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติมอีก ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป โดยเป้าสินเชื่อทั้งปี 2562 ของธนาคารออมสิน มีทั้งสิ้น 7 หมื่นล้านบาท ตั้งแต่มกราคมถึงตุลาคม ปล่อยไปแล้ว 38,000 ล้านบาท

ธนาคารธนชาตจับมือพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค กระตุ้นตลาดส่งท้ายปี จัดข้อเสนอพิเศษร่วมแคมเปญ House & Condo of The Year 2019 ให้ดอกเบี้ย 2.5% ต่อปี นาน 3 ปี และให้ผ่อนต่ำเพียงล้านละ 3,000 บาท สำหรับลูกค้าบ้านเดี่ยว ชูจุดแข็งให้วงเงินกู้สูงสุด 100% อนุมัติไว ธนาคารกสิกรไทยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ลง 0.25% จากปัจจุบันที่ 6.25% เป็น 6.00% ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่กลุ่มลูกค้าของธนาคารใช้เป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสำหรับลูกค้านิติบุคคลลง 0.07%-0.25% ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป

“จุรินทร์” จับคู่ธุรกิจสินค้าผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปมูลค่าเกือบ 7,000 ล้าน

People Unity News : “จุรินทร์” รุกหนักนำกระทรวงพาณิชย์ลุยจับคู่ธุรกิจสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป มูลค่าเกือบ 7,000 ล้าน

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2562 เวลา 9.00 น. ที่โรงแรมเซ็นทารา ลาดพร้าว นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานสักขีพยาน การทำข้อตกลง MOU ในงานการจับคู่ธุรกิจ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออกและใช้เวทีการเจรจาการค้าโครงการจับคู่ธุรกิจสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป เบื้องต้นมูลค่าการเจรจาจากการจัดโครงการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) สินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป คิดเป็นจำนวน 232.69 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 6,980 ล้านบาท

แบ่งเป็น 1.มูลค่าการเจรจาจากการลงนาม MOU ระหว่างบริษัทไทย และคู่ค้าต่างประเทศได้แก่ ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ จีน และอินเดีย จำนวน 14 ฉบับ มูลค่าการซื้อขายคิดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 138.69 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 4,160 ล้านบาท ประกอบด้วย สินค้าข้าว (ข้าวหอมมะลิไทย ข้าวหอม ข้าวขาว ข้าวเหนียว) ปริมาณรวม 145,000 ตัน ภายในหนึ่งปี สินค้าผลไม้อบแห้ง มะพร้าวอบแห้ง มะม่วงอบแห้ง 500 ตู้ ภายในห้าปี สินค้ามะขามหวาน 20 ตู้ ภายในหนึ่งปี การลงนาม MOU ข้อตกลงซื้อขายสินค้าเกษตรระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กับ Bigbasket.com (บริษัท Supermarket Grocery Supplies Pvt. Ltd.) 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือประมาณ 150 ล้านบาท) ภายในสองปี และมูลค่าคาดการณ์การค้าภายในงานเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) คิดเป็นจำนวน 94 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 2,820 ล้านบาท

หลังจากนั้นในช่วงการเป็นประธานเปิดโครงการจับคู่ธุรกิจสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป นายจุรินทร์ กล่าวว่า  วันนี้ถือว่าเป็นวันพิเศษอีกวันหนึ่งของประเทศไทยที่กระทรวงพาณิชย์ได้มีโอกาสจัดให้มีการพบปะกันระหว่างผู้ส่งออกของไทยและผู้นำเข้าจากประเทศต่างๆที่มาจากทั้งประเทศจีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อาเซียน ตะวันออกกลาง สหภาพยุโรป อเมริกา และแอฟริกา รวมทั้งสิ้น 176 บริษัท ขณะเดียวกันก็มีบริษัทจากประเทศไทยที่เป็นผู้ส่งออกมารวมกันอยู่ในที่นี้รวมทั้งสิ้น 150 บริษัท เพื่อเจรจาทำธุรกิจกัน ก่อให้เกิดการซื้อขายระหว่างกันที่สามารถคำนวณเป็นตัวเลขส่งออกของประเทศไทยได้ในทันที

“โดยสินค้าที่จะนำมาใช้ในการเจรจาซื้อขายกันในที่ประชุมแห่งนี้ประกอบด้วยสินค้าทั้งหมด 5 หมวด ซึ่งจะมุ่งเน้นสินค้าทางการเกษตร และสินค้าเกษตรแปรรูป ประกอบด้วยยางพารา มันสำปะหลัง ข้าว ผลไม้แปรรูป และผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ ขอถือโอกาสนี้ขอบคุณกระทรวงพาณิชย์ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และกรมการค้าระหว่างประเทศ ที่ได้จัดให้มีการเจรจาพบปะระหว่างผู้นำเข้าและผู้ประกอบการไทยที่เกิดขึ้นในวันนี้ ขอแสดงความยินดีล่วงหน้ากับผู้ส่งออกไทยที่จะช่วยกันนำตัวเลขการส่งออกให้กับประเทศไทยได้ต่อไป” นายจุรินทร์ กล่าว

โฆษณา

Verified by ExactMetrics