วันที่ 26 เมษายน 2024

เกษตรกรเตรียมเฮ! “เฉลิมชัย”ซื้อขายน้ำยางข้นกับ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่จีน

People Unity News : เกษตรกรเตรียมเฮ! “เฉลิมชัย” บุกหนัก นำทัพกระทรวงเกษตรฯ พา กยท. ลงนาม MOU ซื้อขายน้ำยางข้น กับ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ของจีน

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงเกษตรฯ และการยางแห่งประเทศไทย บุกตลาดจีน จับมือ 3 บริษัทน้ำยางข้นยักษ์ใหญ่จีน ลงนามความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางด้านธุรกิจระหว่างการยางแห่งประเทศไทย กับ 3 บริษัทน้ำยางข้นจีน ได้แก่ 1. บ. GOAMI ZHENGFENG TRADING (บ. นำเข้าน้ำยางข้น อันดับ1 ของจีน) 2. บ. NINGBO CHANGHKEN (บ.นำเข้าน้ำยางข้นจากไทยเป็นอันดับ1) 3. บ. SANGDONG XINGYU (บ. ใช้น้ำยางข้นผลิตถึงมือยางอันดับ 1 ของจีน) ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชาจีน

การลงนาม MOU ครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพปริมาณการส่งออกน้ำยางข้นไปจีนได้เพิ่มขึ้นกว่า 60,000 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ที่ผ่านมา จีนเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย ซึ่งไทยส่งออกน้ำยางข้นไปจีน ปีละกว่า 420,000 ตัน (37.8% ของการส่งออกทั่วโลก) เป็นมูลค่ากว่า 15,500 ล้านบาทต่อปี

ปี 2561 อุตสาหกรรมน้ำยางข้นไทยได้รับผลกระทบอย่างมาก ไทยส่งออกน้ำยางข้นลดลง 14 เปอร์เซนต์ โดยเฉพาะตลาดจีนลดลงกว่า 23 เปอร์เซนต์ ซึ่งการลงนามในวันนี้ จะเป็นการรักษาฐานลูกค้าจากประเทศผู้ซื้อยางเดิม เพิ่มมูลค่าทางการค้าให้สินค้ายางพาราของไทย เป็นการเพิ่มช่องทางหาตลาดใหม่ๆ เพื่อสร้างเสถียรภาพราคายางให้กับพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางของไทย

“นับเป็นนิมิตหมายอันดี ในการตอกย้ำถึงคุณภาพน้ำยางข้นของไทยที่ดีที่สุดในโลกให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีน ซึ่งฝ่ายไทยมีศักยภาพส่งออกน้ำยางคุณภาพสูง และพร้อมจะเป็นคู่ค้าที่ดีกับจีนและทุกประเทศทั่วโลก” นายเฉลิมชัยกล่าว

“พิพัฒน์” ชูท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ “ประเทศไทยเป็นเมืองหลวงของโลกด้านการดูแลสุขภาพ”

People Unity News : คณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) เตรียมความพร้อม 3 ด้าน รับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หากได้รับการผ่อนปรนหลังสถานการณ์โควิด 19 คลี่คลาย

นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) ครั้งที่ 1/2563 โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธาน พร้อมด้วยคณะกรรมการจากภาครัฐและภาคเอกชนร่วมประชุม พิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเมื่อสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) คลี่คลาย

นายแพทย์ธเรศกล่าวว่า ที่ประชุมได้พิจารณาและเห็นชอบในหลักการ 3 ด้าน ได้แก่ 1.จัดทำแนวทางการรักษาพยาบาลพร้อมเป็นสถานกักกันในโรงพยาบาล สำหรับผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างชาติที่ต้องการเข้ารับการรักษาพยาบาลต่อเนื่องในประเทศไทย ซึ่งรวมผู้ติดตาม โดยแบ่งเป็นสถานกักกันในโรงพยาบาล (Hospital Quarantine) กักกันตัวผู้ป่วยชาวไทยที่เดินทางกลับเข้ามาในไทย และสถานกักกันในโรงพยาบาลทางเลือก (Alternative Hospital Quarantine) สำหรับผู้ป่วยชาวต่างชาติและผู้ติดตาม ต้องมีการนัดหมายไว้ล่วงหน้า โดยรักษาและกักกันเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน ต้องมีผลการตรวจโควิด 19 ก่อนเข้าประเทศไม่เกิน 72 ชั่วโมง เมื่อเข้ามารักษาต้องมีการตรวจอีก 3 ครั้ง (ก่อนรักษา ระหว่างรักษา และหลังการรักษา) เพื่อความปลอดภัยและเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่นำเชื้อมาแพร่ระบาดในไทย โดยค่าใช้จ่ายในการรักษากรณี Hospital Quarantine หากเป็นคนไทยเป็นไปตามสิทธิการรักษา หากเกินสิทธิ์ต้องจ่ายเองโดยสมัครใจ กรณี Alternative Hospital Quarantine ผู้ป่วยต่างชาติและคนไทยที่สมัครใจต้องชำระค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด

2.เห็นชอบให้ “ประเทศไทยเป็นเมืองหลวงของโลกด้านการดูแลสุขภาพ” โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ตราสัญลักษณ์ Medical Hub ภายใต้แนวคิด “Healthcare Capital of the World” และกำหนดข้อความสำคัญในการสื่อสารว่า “Beyond Healthcare, Trust Thailand” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการกลับเข้ามาใช้บริการรักษาพยาบาลในประเทศไทย และ 3.มาตรการพัฒนาชุดเครื่องมือแพทย์รองรับการระบาดของโรคโควิด 19 เพื่อรับมือและลดโอกาสติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ และผู้เข้ารับการตรวจหาเชื้อวิด 19 โดยเน้นการผลิตในประเทศไทย แบ่งเป็น 4 กลุ่มคือ เครื่องมือแพทย์สำหรับการคัดกรองและตรวจสอบโรค เครื่องมือแพทย์สำหรับการป้องกันและควบคุมโรค เครื่องมือแพทย์สำหรับการคัดแยกและการฆ่าเชื้อ และเครื่องมือแพทย์สำหรับการบำบัดรักษาโรค โดยเน้นการผลิตในประเทศไทย

Advertising

ครั้งแรก!”เฉลิมชัย”เปิดตลาดใหญ่จีน ส่งออกรำข้าวสกัดน้ำมันและกากเนื้อเมล็ดปาล์ม

People Unity News : “เฉลิมชัย”ลุยเปิดตลาดใหญ่ส่งออกรำข้าวสกัดน้ำมันและกากเนื้อในเมล็ดปาล์มไปจีนเป็นครั้งแรก พร้อมร่วมลงนามพิธีสารด้านมาตรการสุขอนามัยฯ กับผู้แทนรัฐบาลจีน หวังโกยรายได้มหาศาลเข้าประเทศ

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยผู้บริหารของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมในพิธีลงนามพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดมาตรการด้านสุขอนามัยฯ กับผู้บริหารของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อการส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปยังจีน เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ณ สำนักงานการศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน

นายเฉลิมชัย และนายจาง จี้ เหวิน รัฐมนตรีช่วยว่าการสำนักงานการศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ( Mr. ZHANG Jiwen, Vice Minister and CPC Committee Member of the General Administration of Customs of China (GACC)) ได้ร่วมลงนาม ในพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชในการนำเข้ารำสกัดน้ำมันและ กากเนื้อในเมล็ดปาล์มจากประเทศไทย ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อให้ไทยสามารถส่งออกรำสกัดน้ำมันและกากเนื้อในเมล็ดปาล์ม ซึ่งเป็นกากที่เหลือจากการสกัดน้ำมันพืชไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนได้

นายเฉลิมชัย กล่าวว่า พิธีสารดังกล่าวจัดทำขึ้นเพื่อเปิดตลาดการส่งออกสินค้ารำสกัดน้ำมันและกากเนื้อในเมล็ดปาล์มไปยังประเทศจีนเพื่อนำไปใช้เป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ นับเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญของไทย เป็นการเพิ่มโอกาสและสร้างมูลค่าให้กับสิ่งเหลือใช้ทางการเกษตร โดยไทยมีศักยภาพในการผลิตกากรำข้าวราว 280,000 ตันต่อปี และกากเนื้อในเมล็ดปาล์มราว 250,000 ตันต่อปี พิธีสารมีสาระสำคัญเกี่ยวกับมาตรการกำจัดศัตรูพืช การควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยสำหรับผลิตภัณฑ์รำสกัดน้ำมันและกากเนื้อในเมล็ดปาล์มของไทย โดยการลงนามในพิธีสารฯ ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยและสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในครั้งนี้

ทั้งนี้ จีนได้กำหนดให้ผู้ส่งออกที่ประสงค์จะส่งออกรำสกัดน้ำมันและกากเนื้อในเมล็ดปาล์มไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ต้องผ่านการตรวจสอบจากกรมวิชาการเกษตรและได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนกับ GACC โดยสามารถสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และคำขอเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนได้ในเว็บไซต์ของกองพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าพืช กรมวิชาการเกษตร ที่ www.doa.go.th โทร. 029407422 หรือ เว็บไซต์สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ที่ https://www.acfs.go.th/

“จุรินทร์”เคาะประกันรายได้มันสำปะหลัง กก.ละ 2.50 บาท

People Unity News : “จุรินทร์” นำกรรมการนโยบายมันสำปะหลังเคาะ “1 ธันวาคม ” จ่ายส่วนต่างประกันรายได้มันสำปะหลัง กก.ละ 2.50บาท ครัวละไม่เกิน100ตัน อนุมัติวันนี้ และพรุ่งนี้นำเข้าครม.ด่วน

วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 เวลา 10.30 น. -13.20 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง ที่ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี ภายหลังหลังการประชุม นายจุรินทร์สรุปแถลงว่า ที่ประชุมอนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังปี 2562/2563 วงเงิน 9,671 ล้านบาท โดยจะประกันรายได้ผลผลิตหัวมันสำปะหลังสด เชื้อแป้ง 25% ในพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังทั่วประเทศ กก.ละ 2.50 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 100 ตัน

โดยเกษตรกรที่สามารถเข้าร่วมโครงการต้องขึ้นทะเบียนผู้ปลูกมันสำปะหลังกับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2561 – 30 พฤศจิกายน 2562 ที่มีจำนวนประมาณ 540,000 ราย และจะเปิดโอกาสให้เกษตรกรขึ้นทะเบียนได้ต่อเนื่อง โดยเกษตรกรสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป และโดยรัฐบาลจะโอนเงินงวดแรกในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 สำหรับเกษตรกรที่ได้รับสิทธิที่เก็บเกี่ยวตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 62 – 30 พฤศจิกายน 2562 (ประมาณร้อยละ 20 ของเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียน) และจะโอนเงินทุกวันทำการแรกของเดือนให้กับเกษตรกรที่เหลือ ที่เก็บเกี่ยวตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ถึง 31 เม ย 63 (ประมาณร้อยละ 80) และจะโอนเงินครั้งสุดท้ายวันที่ 1 พค 63 รวมทั้งมีการเก็บเกษตรกรที่ตกหล่นจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 63

โดยเกษตรกรหนึ่งรายสามารถใช้สิทธิได้เพียงครั้งเดียว และเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวหลังจากนั้น สามารถขึ้นทะเบียนใหม่สำหรับโครงการระยะที่ 2 และธกส จะโอนเงินชดเชยส่วนต่างเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง ตามช่วงระยะเวลาที่กำหนดภายใน 3 วัน นับตั้งแต่วันที่ประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงในแต่ละรอบ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดภาระในการเข้าร่วม โครงการฯ เกษตรกรไม่ต้องทำสัญญาประกันรายได้กับ ธ.ก.ส. โดยภายใต้โครงการนี้ รัฐบาลจะจ่ายเงินทุกวันที่หนึ่งของเดือน จำนวน 12 ครั้งต่อปี

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบมาตรการคู่ขนานเพื่อรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ในการสร้างมาตรฐานของมันสำปะหลังและเข้มงวดการกำกับดูแลการนำเข้าและส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังให้เป็นไปตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัด รวมทั้งสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ประกอบการลานมัน โรงแป้ง รายละไม่เกิน 350,000 บาท นำไปใช้ เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการจัดหาเครื่องร่อนดิน และสนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกรที่มีการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับมันสำปะหลัง นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรวบรวมหรือรับซื้อหัวมันสำปะหลังสด มันสำปะหลังเส้น เพื่อจำหน่ายต่อ และหรือแปรรูปเพื่อ สร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์

และที่ประชุมเรับทราบกับแนวทางการขยายตลาดมันสำปะหลังต่างประเทศ ตามกลยุทธ์รักษาตลาดเดิม ฟื้นฟูตลาดเก่า และขยายไปยังตลาดใหม่ การรักษาตลาดเดิม ได้แก่จีน โดยการเร่งรัดการจัดกิจกรรมในมณฑลสำคัญ เพื่อเพิ่มยอดส่งออก และการขยายตลาดใหม่ใน ตุรกี นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ และอินเดีย และฟื้นฟูตลาดเก่า คือ EU โดยการเจรจากับสหภาพยุโรปให้เพิ่มการจัดสรรปริมาณโควตาภาษีสินค้าแป้งดิบ จากปัจจุบันไม่เกินปีละ 10,000 ตัน ให้ไทยได้รับโควตาสินค้าแป้งมันสำปะหลังในปริมาณเป้าหมายที่ 20000 ตัน ซึ่งน่าจะเจรจาเสร็จสิ้นกลางปีหน้า

“และยังให้จัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจในการศึกษาแนวทางการจัดการกับโรคใบด่าง ให้มีประสิทธิภาพ และรวดเร็ว ให้ กระทรวงเกษตรรับไปดำเนินการ ภายใน 1 สัปดาห์ และการกำจัดโรคใบด่างทั้งในที่ดินที่มีและไม่มีเอกสารสิทธิ์ด้วย ” นายจุรินทร์ กล่าว

รายงานข่าวกรมการค้าภายในแจ้งด้วยว่า ที่ประชุมยัง มีมาตรการอื่นเพิ่มเติม เช่น เห็นชอบที่จะส่งเสริมการใช้เอทานอลให้เป็นไปตามแผนพลังงานทดแทนฯ ที่กำหนดการใช้เป็น 11.3 ล้านลิตร ต่อวัน ในปี 2579 (ปัจจุบันมีการใช้อยู่ที่ 4.5 ล้านลิตรต่อวัน) และแก้ไขพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 ให้โรงงานสุรากลั่นแห่งอื่น นอกเหนือจากองค์การสุราฯ ผลิตสุราสามทับออกจำหน่ายภายในประเทศได้ และลดการนำเข้าเอทานอลเกรดอุตสาหกรรม โดยให้โรงงานเอทานอลในประเทศไทย สามารถผลิตและจำหน่ายให้แก่อุตสาหกรรมอื่นได้ หรือเป็นผู้รับจ้างผลิต (Outsource) ให้แก่องค์การสุราได้ด้วยการใช้เอทานอลที่ผลิตในประเทศ

แบงก์พาณิชย์หั่นดอกเบี้ยช่วยกระตุ้นคนซื้อ“บ้านในฝัน รับปีใหม่”

People Unity News : แบงก์พาณิชย์หั่นดอกเบี้ย ช่วยกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ โครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” ได้อานิสงส์ผู้ประกอบการทั่วประเทศแห่เข้าร่วมโครงการคึกคัก กระหน่ำอัดโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม จัดอีเว้นท์ส่งเสริมการขาย พร้อมขึ้นป้ายประชาสัมพันธ์ดันยอดขายโค้งสุดท้ายของปีนี้

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (ปฏิบัติงานกระทรวงการคลัง) เปิดเผยว่า มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของกระทรวงการคลังในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2562 ภายใต้โครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน (11.11) ที่ผ่านมา โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์นำร่องเสนอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2.5% คงที่ 3 ปี

จากข้อมูลที่สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร แจ้งมาว่า โครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศ ทั้งจากประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด อาคารพาณิชย์ ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม โดยได้เข้าร่วมโครงการและจัดอีเว้นท์ตามห้างสรรพสินค้าและมีแคมเปญ ลด แลก แจก แถม ให้ราคาชนิดต่ำสุดๆ อีกทั้งหลายๆ โครงการมีการแจกทองคำหรือสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด และมอบสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมายชนิดไม่เคยมีมาก่อน รวมถึงพร้อมใจกันขึ้นป้ายประชาสัมพันธ์โครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” ตามโครงการและสำนักงานขายทั่วประเทศ ส่งผลให้ยอดขายในช่วงที่ผ่านมาเพิ่มมากขึ้นเป็นที่น่าพอใจ จากช่วงไตรมาสที่สองและสามก่อนหน้านี้ กิจกรรมและยอดขายมีไม่มากนัก โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์มีลูกค้าแวะเข้าชมโครงการอย่างต่อเนื่อง

นายชาญกฤช กล่าวอีกว่า สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ตลอดจนผู้ประกอบการรายย่อย ต่างแสดงความเชื่อมั่นว่ามาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ผ่านโครงการ “บ้านในฝัน รับปีใหม่” จะช่วยกระตุ้นยอดขายได้ตามเป้าที่วางไว้ และจะช่วยระบายสต๊อกคงค้างที่มีอยู่ราว 35,000 ยูนิตได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ล้วนตอบสนองนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการหั่นดอกเบี้ยเงินกู้ลง เช่น ธนาคารออมสินเปิดตัวโครงการสินเชื่อเคหะตัวใหม่ วงเงิน 25,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย 2.7-2.9% ต่อปี และมีเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติมอีก ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป โดยเป้าสินเชื่อทั้งปี 2562 ของธนาคารออมสิน มีทั้งสิ้น 7 หมื่นล้านบาท ตั้งแต่มกราคมถึงตุลาคม ปล่อยไปแล้ว 38,000 ล้านบาท

ธนาคารธนชาตจับมือพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค กระตุ้นตลาดส่งท้ายปี จัดข้อเสนอพิเศษร่วมแคมเปญ House & Condo of The Year 2019 ให้ดอกเบี้ย 2.5% ต่อปี นาน 3 ปี และให้ผ่อนต่ำเพียงล้านละ 3,000 บาท สำหรับลูกค้าบ้านเดี่ยว ชูจุดแข็งให้วงเงินกู้สูงสุด 100% อนุมัติไว ธนาคารกสิกรไทยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ลง 0.25% จากปัจจุบันที่ 6.25% เป็น 6.00% ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่กลุ่มลูกค้าของธนาคารใช้เป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสำหรับลูกค้านิติบุคคลลง 0.07%-0.25% ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป

“จุรินทร์”โชว์ศก.ไทยสร้างสรรค์ เวทีPIMผู้แทนจากม.ชั้นนำทั่วโลก

People Unity : “จุรินทร์” เป็นประธานเปิดงานสัมนา PIM Annual Conference 2019 on Creative Economy เชื่อมั่นเศรษฐกิจสร้างสรรค์จะขยายตัวต่อเนื่องในตลาดโลก พร้อมการแข่งขันที่รุนแรงและไทยคือผู้เล่นสำคัญ

วันที่ 24 ตุลาคม 2562 เวลา 9.00 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงานสัมนา PIM Annual Conference 2019 on Creative Economy โดยหัวข้อสัมมนาเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์นี้มีผู้เข้าร่วมงานสัมมนาจากมหาวิทยาลัยชั้นนําจากทั่วโลก ตั้งแต่วันที่ 23 ถึง 25 ตุลาคม 2562 โดยนายจุรินทร์กล่าวเปิดในเวลา 9.00 น. วันนี้ ที่โรงแรมเพนนินซูล่า

นายจุรินทร์ กล่าวว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นสาขาเศรษฐกิจที่มีส่วนในการสร้างเสริมการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจในระยะยาว หลอมรวมความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และเทคโนโลยี เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้นของสินค้าและบริการ ยกระดับค่าจ้าง พัฒนาทักษะแรงงาน เพิ่มเวลาว่างสำหรับพักผ่อน และที่สำคัญที่สุดคือ การขยายตัวและความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ เนื่องจากจินตนาการและนวัตกรรมเป็นสิ่งเสริมสร้างเอกลักษณ์และความแปลกใหม่ให้กับสินค้าและบริการ

ในขณะที่เทคโนโลยีช่วยส่งเสริมการเข้าถึงองค์ความรู้ การมีส่วนร่วมทางสังคม และวัฒนธรรม นอกจากนี้ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ในเศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม การส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์จึงมีส่วนช่วยในการสร้างโอกาสทางธุรกิจอย่างมากมายให้กับ SMEs ได้อย่างอัตโนมัติ แนวโน้มนี้เป็นที่รับรู้กันทั่วโลก ดังจะเห็นได้จากการที่ประเทศสำคัญหลายประเทศได้ประกาศตนเองว่าจะเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของโลก

และจากรายงานล่าสุดของ UNCTAD ขนาดตลาดสินค้าเชิงสร้างสรรค์ของโลกขยายตัวขึ้นกว่าเท่าตัว จาก 2.08 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในปี ค.ศ. 2002 เป็น 5.09 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2015 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่สูงกว่าร้อยละ 7 ถึงแม้ว่าโลกจะประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจหลายครั้งในช่วงเวลาดังกล่าว

นอกจากนี้ ในขณะที่ทวีปยุโรปเป็นผู้ส่งออกสินค้าเชิงสร้างสรรค์ที่ใหญ่ที่สุด แต่กลุ่มประเทศในเอเชียกำลังมีส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นโดยแค่จีนประเทศเดียวก็มีอัตราการขยายตัวของการส่งออกสินค้าและบริการเชิงสร้างสรรค์สูงถึงร้อยละ 14 ระหว่างปี พ.ศ. 2002 ถึง 2015 ปรากฏการณ์นี้เครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนว่ากลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของโลกตั้งอยู่ที่เอเชีย

นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่โดดเด่นในตลาดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของโลก ด้วยมูลค่าถึง 6.1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณเกือบสองแสนล้านบาท มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ของไทยสูงเป็นอันดับที่ 8 ของโลก เมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน และเป็นอันดับที่ 17 เมื่อเทียบกับทุกประเทศในโลก และได้ขยายตัวด้วยอัตราที่ก้าวกระโดดที่ร้อยละ 6.6 ต่อปี ระหว่างปี 2005 และ 2014 และเศรษฐกิจสร้างสรรค์มีสัดส่วนถึงร้อยละ 10-12 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของไทย ที่สำคัญไปกว่านั้น ประเทศไทยของเราเป็นที่รู้จักดีในเวทีโลกถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม

ดังนั้น เศรษฐกิจสร้างสรรค์จึงถือเป็นสาขาเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสำหรับประเทศเป็นอย่างยิ่ง และในการส่งเสริมการขยายตัวของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ประเทศไทยจึงใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาและมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ อาทิ อาหารไทย และหัตถกรรมไทย รวมทั้ง งานศิลปะ สื่อสร้างสรรค์ และงานออกแบบ ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในประเทศ โดยสำหรับไทย สินค้าส่งออกเชิงสร้างสรรค์ที่สำคัญ ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ตกแต่งภายใน และสินค้าแฟชั่น เป็นต้น

“ผมมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์จะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องในตลาดโลกที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง ที่การทำให้สินค้าและบริการมีความแปลกใหม่และโดดเด่น ได้กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการอยู่รอดและขยายตัวของธุรกิจ” นายจุรินทร์ กล่าว

“มนัญญา”ตรวจด่านเชียงแสน พบสารเคมีผักผลไม้ 14 ชนิด

People Unity News : “มนัญญา”ตรวจด่านเชียงแสน พบสารเคมีผักผลไม้ 14 ชนิด กรมวิชาการเกษตรจะจัดตั้งห้องปฏิบัติการที่สมบูรณ์ให้มีศักยภาพ

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากการตรวจด่านตรวจพืชของเชียงแสน กรมวิชาการเกษตร ที่ท่าเรือห้าเชียงและท่าเรือเชียงแสน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยไม่แจ้งหน่วยงานในพื้นที่ล่วงหน้าและเข้าสังเกตการณ์ห้องปฏิบัติการตรวจหาสารเคมีตกค้างในผักผลไม้ที่นำเข้าจากจีนและและเมียนมา พบกลุ่มสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชคือ ออการ์โนฟอสเฟตหรือคลอร์ไพรีฟอส ออการ์โนคลอรีน และไพรีทรอยด์

สำหรับด่านตรวจพืชแห่งนี้สุ่มตัวอย่าง 1,500 ตัวอย่างต่อปี เพื่อตรวจสารเคมีตกค้างในสินค้าเกษตรนำเข้า โดยกระทรวงเกษตรฯ ทำหน้าที่ในการเฝ้าระวัง เมื่อด่านตรวจพืชพบสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐาน แต่ไม่มีอำนาจกักกัน ต้องแจ้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งมีอำนาจกักสินค้านำเข้าเพื่อการบริโภค ซึ่งจะหารือกับนายอนุทิน ชาญวีระกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเพื่อร่วมมือกันตรวจอย่างเข้มงวดและกักกันไม่ให้สินค้าที่มีสารตกค้างเกินกว่าที่กำหนดนำเข้าได้

ทั้งนี้ กรมวิชาการเกษตรจะจัดตั้งห้องปฏิบัติการที่สมบูรณ์ขึ้นด่านเชียงของให้มีศักยภาพตรวจหาสารเคมีได้ 100 กว่าชนิด ส่วน อย. จะกักกันผักผลไม้ที่มีค่าเกินมาตรฐานเพื่อป้องกันอันตรายต่อสุขภาพของคนไทยและป้องกันผลกระทบที่จะเกิดแก่เกษตรกรไทย จากการที่ผักผลไม้ต่างประเทศเข้ามาตีตลาดปีละหลายแสนตัน จากด่านเชียงของ ผักผลไม้เหล่านี้จะส่งไปยังตลาดไท แล้วกระจายไปยังตลาดทั่วประเทศ

สำหรับสถิติการสุ่มตรวจสินค้าจากจีนและเมียนมา 1,500 ตัวอย่างในปีนี้ พบผักผลไม้ 14 ชนิดมีสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชเกินมาตรฐาน ได้แก่ ไดโครโตฟอส เมทามิโดฟอส และเมวินฟอส ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 อยู่ในกลุ่มออการ์โนฟอสเฟต ตรวจพบในพริก พริกหยวก และส้มจากเมียนมา นอกจากนี้ยังพบในคื่นช่าย ซาลารี กะหล่ำปลีม่วง พริกบล็อคเคอรี่ แรดิชที่นำเข้าจากจีน สำหรับสินค้าเกษตรที่พบสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชตกค้างมากที่สุดคือ ส้ม ซึ่งตรวจพบทุกตัวอย่างที่สุ่มตรวจ

แรงงานไทยเนื้อหอม ต่างชาติต้องการ ผลจากการบริหารจัดการโควิด-19 ที่ดีของไทย

สุชาติ ชมกลิ่น

People Unity News : แรงงานไทยช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศ ลดการว่างงาน หลังเป็นที่ต้องการของต่างประเทศ สาเหตุจากการบริหารจัดการโควิด-19 ที่ดีของไทย

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงการประชุม ครม.ครั้งล่าสุด รมว.แรงงาน (นายสุชาติ ชมกลิ่น) ได้รายงานให้ที่ประชุมซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมเป็นประธาน ได้รับทราบถึงการจัดส่งแรงงานไทยไปเก็บผลไม้ป่าในประเทศสวีเดนและประเทศฟินแลนด์ ฤดูกาล 2020 ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-กันยายน 2563 ว่ามีแรงงานไทยที่ได้รับการอนุญาตให้เดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในทั้งสองประเทศจำนวนทั้งสิ้น 5,254 คนโดยแยกเป็นประเทศฟินแลนด์ 2,014 คน และประเทศสวีเดน จำนวน 3,210 คน ก่อให้เกิดรายได้เข้าประเทศโดยประมาณขั้นต่ำ 618,341,720 บาท แบ่งเป็นประเทศฟินแลนด์จำนวน 182,655,000 บาท และประเทศสวีเดน จำนวน 435,686,720 บาท โดยในการเดินทางไปในครั้งนี้ กรมการจัดหางานได้วางมาตรการเพื่อคุ้มครองแรงงานไทยภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 โดยดำเนินการตามนโยบายของ ศบค. ทุกประการ ซึ่งแรงงานไทยทั้งหมดได้ผ่านการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ก่อนเดินทางไป และหลังจากเดินทางกลับ และจะต้องผ่านการกักตัวเป็นระยะเวลาจำนวน 14 วัน ซึ่งในฤดูกาลนี้แรงงานทั้งหมดได้เดินทางกลับถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1-22 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา และได้เข้ารับการกักกันตัวในสถานที่กักกันที่กระทรวงแรงงาน ,กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงกลาโหมได้ร่วมกันจัดขึ้น

สำหรับรายได้ของคนงานไทยที่ไปเก็บผลไม้ป่าในประเทศฟินแลนด์และประเทศสวีเดน ฤดูกาลปี 2020 พบว่า แรงงานที่เดินทางไปประเทศสวีเดน จะมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายประมาณคนละ 150,000 – 180,000 บาท โดยมีระยะเวลาเก็บผลไม้ประมาณ 2 เดือน ส่วนคนงานที่เดินทางไปเก็บผลไม้ที่ประเทศฟินแลนด์ มีระยะเวลาการเก็บผลไม้ประมาณ 55 วัน และมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายประมาณคนละ 90,000 – 150,000 บาท นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการกักตัวของคนงานทั้งหมดที่กลับมานั้น ไม่ได้ใช้งบประมาณของประเทศแต่อย่างใด แต่ใช้เงินของบริษัทต่างประเทศนั้นๆที่พาคนงานไทยไปทำงาน ซึ่งคนงานเหล่านี้ บริษัทต่างประเทศได้ออกค่าใช้จ่ายในการกักตัวโดยมีแบงค์การันตี คนละ 32,000 บาทต่อคน แต่หากค่าใช้จ่ายจริงไม่ถึงจำนวนนี้ กระทรวงแรงงานก็จะคืนให้บริษัทที่ออกค่าใช้จ่ายให้คนงานไทยที่ไปเก็บผลไม้ป่าต่อไป

นายอนุชา กล่าวว่า “แรงงานไทยเป็นที่ต้องการของต่างประเทศเป็นจำนวนมากในขณะนี้ ซึ่งส่วนสำคัญมาจากการบริหารจัดการโรคโควิด-19 ได้เป็นอย่างดีของไทย ทำให้ประเทศที่ต้องการนำเข้าแรงงาน มีความมั่นใจแรงงานจากไทยเป็นลำดับต้นๆ ซึ่งเป็นโอกาสดีในการเพิ่มช่องทางให้แรงงานไทยได้มีตลาดทำงานในต่างประเทศมากขึ้น เพื่อให้แรงงานไทยมีอาชีพ มีรายได้ ลดปัญหาการว่างงานภายในประเทศไทย อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และนำเงินกลับเข้าประเทศไทย ซึ่งการเดินทางไปทำงานต่างประเทศของแรงงานไทย สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้เป็นจำนวนมาก”

Advertising

พักชำระเงินต้นยาวถึงสิ้นปี!! ด่วนออมสินอัดมาตรการใหม่ล่าสุดช่วยธุรกิจ SMEs ลดภาระค่าใช้จ่าย

People Unity News : พักชำระเงินต้นยาวถึงสิ้นปี!! ออมสินออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs ลดภาระค่าใช้จ่าย โดยให้พักชำระเงินต้นจนถึง 31 ธันวาคม 2564

12 พ.ค.64 นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้ธนาคารออมสินดำเนินการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ธนาคารฯจึงกำหนดมาตรการพักชำระเงินต้น – ชำระเฉพาะดอกเบี้ย ให้ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs ทั้งที่กู้ในนามบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล สามารถแจ้งความประสงค์ขอเข้าร่วมมาตรการได้ตามความสมัครใจ เช่นเดียวกับลูกค้ารายย่อย ทั้งนี้ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายรายเดือนของผู้ที่ต้องขาดรายได้หรือรายได้ลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19

สำหรับผู้ที่เป็นลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs และสมัครใจเข้าร่วมมาตรการ สามารถพักชำระเงินต้นเป็นการชั่วคราว และชำระเฉพาะดอกเบี้ย ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 โดยลูกค้าสามารถแจ้งความประสงค์ได้แล้ว ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 วิธีการคือ

1.ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่เป็นบุคคลธรรมดา มีวงเงินกู้คงเหลือไม่เกิน 10 ล้านบาท ให้แจ้งความประสงค์ขอเข้ามาตรการและเลือกแผนชำระหนี้ด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชัน MyMo

2.ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่เป็นบุคคลธรรมดา มีวงเงินกู้คงเหลือมากกว่า 10 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 100 ล้านบาท และนิติบุคคลที่มีวงเงินกู้คงเหลือไม่เกิน 100 ล้านบาท ให้ติดต่อแจ้งความประสงค์ขอเข้ามาตรการได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา

ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าว เป็นมาตรการเสริมจากการแก้ไขปัญหาหนี้ค้างชำระ ที่ธนาคารฯได้ดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 จนไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามงวดชำระเดิม โดยที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมโครงการแล้วมากกว่า 5 แสนราย

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center ธนาคารออมสิน โทร. 1115  facebook : GSB Society และขอย้ำว่าธนาคารฯ ให้บริการทางการเงินรูปแบบดิจิทัลทางแอปพลิเคชัน MyMo เท่านั้น

Advertising

“จุรินทร์”ทำยอดอีก 2,400 ล้านที่เยอรมนี ขายผลิตภัณฑ์ยาง

People Unity News : “จุรินทร์”ทำยอดอีก 2,400 ล้านที่เยอรมนี ขายผลิตภัณฑ์ยาง ถุงมือยางทางการแพทย์ เครื่องดื่ม อาหารพร้อมประกาศลุยตลาดยุโรปต่อเนื่อง

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2562 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เยือนประเทศเยอรมนี โดยช่วงเช้า เวลา 9.30 – 10.00 น. เป็นประธานและสักขีพยานการลงนาม MOU ระหว่างนักธุรกิจไทยและเยอรมนี (ข้าวและเครื่องดื่ม) ณ โรงแรม Hyatt Regency Dusseldorf ผู้ส่งออกไทย บริษัท ยูนิเวอร์แซลไรซ์ จำกัด กับ บริษัท Kreyenhop & Kluge GmbH & Co. KG และผู้ส่งออกไทย บริษัท Boonrawd Trading International Co.,Ltd กับ บริษัท Kreyenhop & Kluge GmbH & Co. KG

ภายหลังการลงนาม นายจุรินทร์ กล่าวว่า ได้นำกระทรวงพาณิชย์และการยางแห่งประเทศไทยและภาคเอกชนมาเยือนประเทศเยอรมันนีเที่ยวนี้ มีกิจกรรมหลัก 3 เรื่องด้วยกันเรื่องที่หนึ่งการยางแห่งประเทศไทยและภาคเอกชนมาเจรจาขายยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางสองก็คือพระเอกชนมาร่วมงานเมดิก้า Mecida 2019 ซึ่งเป็นงานที่เยอรมันจัดงานแสดงสินค้าที่เกี่ยวกับการแพทย์และการดูแลสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในโลกติดต่อกันมาหลายปี กิจกรรมที่สามก็คือการยางพาภาคเอกชนไทยและกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศไปส่งเสริมการขายสินค้าไทยในห้างค้าส่งรายใหญ่ของเยอรมันคือห้าง METRO ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วประเทศใน 760 สาขาด้วยกันซึ่งสินค้าส่วนใหญ่คือสินค้าอาหาร อาหารสำเร็จรูป สำหรับการนำการยางและภาคเอกชน มาขายสินค้าทางการเกษตรนั้นปรากฏ ผลคือวันนี้ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจหรือ MOU ในการขายข้าวถุง และขายข้าวสารถุง จำนวน 6000 ตันให้กับภาคเอกชนของเยอรมัน มูลค่า 250 ล้านบาทโดยประมาณ และสองก็คือขายเครื่องดื่มให้กับภาคเอกชนประมาณ 40 ล้านบาทและผลิตภัณฑ์ยางนั้นสามารถทำยอดขายรวมกันเป็นถุงมือยางเพื่อการแพทย์ 2000 ล้านบาทโดยประมาณและสินค้าอื่นๆในงาน MEDICA คาดการณ์ว่าจะทำยอดปีนี้ที่มาร่วมงานประมาณ 150 ล้านบาท รวมมูลค่าทั้งหมดเป็น 2400 ล้านบาท สำหรับการเดินทางมาเยี่ยมเยอรมันครั้งนี้

สำหรับงาน MEDICA นั้นมีภาคเอกชนไทยมาร่วมงานทั้งหมด 16 บริษัทด้วยกัน สินค้าที่นำมาเจรจาในเรื่องของการขายประกอบด้วยเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องมือทางด้านการดูแลสุขภาพการกายภาพบำบัด อุปกรณ์ที่ใช้ในกระดูก อุปกรณ์ไฟฟ้าทางการแพทย์และของที่ใช้แล้วทิ้งทางการแพทย์ เป็นต้นที่การยางแห่งประเทศไทยนั้นถือว่าเป็นตลาดใหม่สำหรับการยางเพราะฉะนั้นการยางก็ได้มีการนัดผู้นำเข้าของเยอรมันเจรจาแต่ว่ายังต้องใช้เวลาในการนับหนึ่งแต่เชื่อว่าการยางจะสามารถที่จะขายยางได้เยอะทีเดียว

นายจุรินทร์ กล่าวว่า อยากจะเรียนให้ทราบเพิ่มเติมสำหรับการเปิดตลาดในเยอรมันและสหภาพยุโรปโดยเยอรมันถือว่าเป็นผู้นำประเทศหนึ่ง ในสหภาพยุโรป เราได้มีการเตรียมการในการบุกตลาดสหภาพยุโรปในหลายเรื่องด้วยกันเรื่องที่หนึ่งคือเริ่มต้นที่จะทำเอฟทีเอระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป ผมได้มอบหมายให้กรมเจรจาการค้าได้เริ่มต้นแล้วและถ้าการเจรจามีความคืบหน้าจะทำให้เร็วที่สุดเพราะจะมีผลช่วยให้การค้าระหว่างสหภาพยุโรปกับเรามีมูลค่าเพิ่มขึ้น และเราได้รับสิทธิในการส่งสินค้าบางอย่างที่ยังมีกำแพงภาษีจากสหภาพยุโรปที่ทำให้เราสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันในเรื่องภาษีนำเข้าบางตัวเช่นถุงมือยางเพื่อการแพทย์สำหรับตลาดสหภาพยุโรปรวมทั้งเยอรมันประเทศไทยต้องเสียภาษีนำเข้า 2.3% ขณะที่คู่แข่งสำคัญของเราคือมาเลเซียไม่ต้องเสียภาษีเพราะเขาได้สิทธิ์จีเอสพีซึ่งจะได้ไปจนถึงปีหน้าถ้าเราสามารถที่จะทำเอฟทีเอร่วมกันภาษีก็จะเป็นศูนย์ทำให้เราสามารถแข่งขันกับมาเลเซียได้คือสิ่งที่เราต้องเร่งรัดเอฟพีเอไทยกับอียูนอกจากนั้นสินค้าที่เราจะส่งไปยังสหภาพยุโรปต้องเป็นสินค้าที่มีมาตรฐานสูงเช่นมีเงื่อนไขด้านความยั่งยืน สิ่งแวดล้อมมาตรฐานอียูและ food safety เหล่านี้เป็นต้น

“ผู้ที่จะส่งสินค้ามาที่สภาพยุโรปต้องเป็นผู้ผลิตไทยที่ได้มาตรฐานและเป็นไปตามเงื่อนไขของอียูผมมั่นใจว่าประเทศของเราพัฒนาไปเยอะมากเรื่องการขายเหล่านี้ซึ่งเป็นข้อจำกัดบางเรื่องแต่เราสามารถที่จะบรรลุเงื่อนไขเหล่านี้ได้เพื่อให้เข้ามาแข่งขันในตลาดเหล่านี้ได้สำหรับตลาดที่ตั้งเป้าจะเข้ามาขยายในเยอรมันกับสหภาพยุโรปก็คืออย่างเรื่องผลิตภัณฑ์ยางและเรื่องข้าวโดยเฉพาะข้าวออแกนิกซ์ ซึ่งเป็นที่นิยมและไบโอพลาสติก อาหารสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง เช่นไก่แช่แข็ง เป็นต้น รวมทั้งในเรื่องของ startup ซึ่งเรามีศักยภาพเช่นในเรื่องของอนิเมชั่นภาพยนตร์สามารถที่จะมาทำความร่วมมือกับเยอรมันสหภาพยุโรปเพื่อเป็นแหล่งผลิตอนิเมชั่นบางส่วนให้กับเขาได้และที่สำคัญคือธุรกิจบริการร้านอาหารไทย สปา ก็เป็นธุรกิจบริการที่มีอนาคตสำหรับประเทศไทยในตลาดเยอรมันและตลาดสหภาพยุโรปรวมทั้งการที่เราจะต้องนำภาคเอกชนมาร่วมงานแสดงสินค้าในหลายภาคส่วนทั้งการแพทย์อาหารอื่นๆที่ ที่เค้าจัดเป็นประจำทุกปีนำผู้นำเข้าจากทั่วโลกมาที่นี่” นายจุรินทร์ กล่าว

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ทั้งนี้ทำให้ยอดขายมีความชัดเจน 2400 ล้านบาทเฉพาะทริปเดียวที่มาอย่างอื่นคือเรื่องปูทางอนาคตเช่นการยางแห่งประเทศไทยซึ่งวันนี้นัดผู้นำเข้ารายใหญ่สองรายซึ่งมีความคืบหน้าอย่างไรทางการยางก็จะรายงานให้ผมทราบในเรื่องเพื่อการเกษตรข้าวมันสำปะหลังยางพารารวมทั้งอาหารถือว่าเป็นหัวใจสำคัญที่จะเป็นเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ถ้ามียอดส่งออกเยอะก็จะมีผลเกื้อกูลไปถึงเกษตรกรที่อยู่ในระดับฐานรากด้วยจึงเป็นเป้าหมายสำคัญ

อย่างในอนาคตสำหรับในปัจจุบันทำแล้วบางส่วนอนาคตต้องให้ความสำคัญยิ่งขึ้นคือการเพิ่มมูลค่าเราจะไม่เน้นเฉพาะการส่งยางดิบในรูปของยางแผ่นรมควันหรือรูปน้ำอย่างคนรูปยางแท่งเท่านั้นแต่ว่าหัวใจสำคัญที่เป็นนโยบายถัดจากนี้ไปที่ต้องช่วยกันทุกวิถีทางคือในเรื่องของผลิตภัณฑ์ยางแปรรูปที่มีการเพิ่มมูลราคาโดยเฉพาะอย่างยิ่งถุงมือยางเพื่อการแพทย์อันนี้ยังมีตลาดในโลกที่ใหญ่มากถ้าเราแก้ปัญหาในเรื่องภาษีนำเข้าของประเทศนั้นนั้นให้เท่าเทียมกับคู่แข่งเราได้เราก็จะมีอนาคตและทำตัวเลขนำเข้าประเทศได้เยอะรวมทั้งหมอนยางพาราอันนี้ถือว่ามีอนาคตและมีมุระค่าเพิ่มเยอะมากสูงมากและมีตลาดหลายประเทศจะสามารถไปทำตลาดได้ทั้งในส่วนของตลาดยุโรปโดยเฉพาะตลาดจีนเป็นที่นิยมมากผมคิดว่าในอนาคตอันใกล้เราอ่ะต้องไปบุกจีนอีกรอบหนึ่งเพื่อทำตลาดเรื่องหมอยางพาราโดยเฉพาะคิดว่าคนจีนมีจำนวนเยอะมากคนละใบก็จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถถ่ายยังได้อีกเยอะมากบอกอยากได้เป็นนับไม่ถ้วนมาตุรกีเที่ยวนี้ 20,000,000 ใบที่เราทำ MOU ไป

Verified by ExactMetrics