วันที่ 4 พฤษภาคม 2024

สธ.เตือนประชาชน!! กินหมูดิบเสี่ยงโรคไข้หูดับ เสียชีวิต!!

People Unity : กระทรวงสาธารณสุขห่วงประชาชนบริโภคแหนมหมู หมูดิบ เสี่ยงโรคไข้หูดับ อาจเสียชีวิตได้ ให้สาธารณสุขจังหวัดเร่งลงพื้นที่สอบสวนโรค และแนะนำประชาชนบริโภคอาหารถูกสุขลักษณะ

นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากกรณีที่มีข่าวประชาชนในจังหวัดแพร่และน่าน เกิดอาการผิดปกติเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล และมีบางรายเสียชีวิต หลังจากรับประทานแหนมหมูดิบ หมูป่าดิบ จึงให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเร่งลงพื้นที่สอบสวนโรค และให้ความรู้ประชาชนในการบริโภคอาหารที่ถูกสุขลักษณะ เบื้องต้นได้รับรายงานว่า ผู้ป่วยเป็นโรคไข้หูดับ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อสเตร็ปโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) มักพบใน เนื้อหมู เครื่องในและเลือดหมูที่เป็นโรค จากข้อมูลสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ตั้งแต่ 1 ม.ค. 62 – 10 พ.ค. 62 มีผู้ป่วยแล้วจำนวน 113 ราย จาก 22 จังหวัด และเสียชีวิต 15 ราย

นายแพทย์สุขุม กล่าวต่อว่า การรับประทานเนื้อหมูดิบ หรือปรุงสุกๆ ดิบๆ เสี่ยงต่อการการเกิดโรคไข้หูดับได้ แนะนำให้ปรุงเนื้อหมูให้สุกด้วยความร้อนจนเนื้อไม่มีสีแดง รวมถึงเลือกซื้อวัตถุดิบมาจากแหล่งที่ได้มาตรฐาน สะอาด ผ่านการตรวจจากโรงฆ่าสัตว์หรือจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ไม่ซื้อเนื้อหมูที่มีกลิ่นคาว สีคล้ำ หรือมีลักษณะเป็นเม็ดสาคู หลังจากสัมผัสกับเนื้อหมูควรรีบล้างมือทันที ส่วนการใช้มะนาวหรือไข่มดแดงนั้นไม่สามารถทำให้สุกหรือฆ่าเชื้อโรคได้

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผู้ป่วยโรคไข้หูดับจะมีอาการหลังรับประทานเนื้อหมูดิบ 3-5 วัน  มักมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะอย่างรุนแรง เวียนศีรษะจนทรงตัวไม่ได้ อาเจียน คอแข็ง หูหนวก ท้องเสีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หากปล่อยไว้เชื้อจะเข้าไปทำลายอวัยวะภายในและระบบประสาท ทำให้เยื่อหุ้มสมอง เยื่อบุหัวใจอักเสบ ประสาทหูทั้ง 2 ข้างอักเสบและเสื่อมอย่างรุนแรง ทำให้หูหนวกตลอดชีวิต รวมถึงพบเลือดออกใต้ผิวหนังได้ เมื่อพบอาการผิดปกติหลังรับประทานเนื้อหมูดิบขอให้รีบพบแพทย์ทันทีและบอกประวัติการกินหมูดิบให้ทราบ เนื่องจากหากวินิจฉัยได้เร็ว จะช่วยลดอัตราการหูหนวกและการเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ กลุ่มที่ติดเชื้อแล้วจะมีอาการป่วยรุนแรง ได้แก่ ผู้ที่ติดสุราเรื้อรัง ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคไต โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ผู้ที่เคยตัดม้ามออก เป็นต้น

โรคไข้หูดับ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตร็ปโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) สามารถติดต่อได้ 2 ทาง คือ 1.การสัมผัสกับหมูที่ติดเชื้อ รวมทั้งเนื้อหมู เครื่องในและเลือดหมูที่เป็นโรค โดยติดต่อสู่คนทางบาดแผล รอยขีดข่วนตามร่างกายหรือทางเยื่อบุตา 2.เกิดจากการบริโภคเนื้อหมู หรือเลือดหมูที่ปรุงดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ ที่มีเชื้ออยู่

สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

สังคม : สธ.เตือนประชาชน!! กินหมูดิบเสี่ยงโรคไข้หูดับ เสียชีวิต!!

People Unity : post 21 พฤษภาคม 2562 เวลา 11.00 น.

คกก.นโยบายฯต่างด้าว เห็นชอบให้แรงงาน 3 สัญชาติกว่า 2 ล้านคน ทำงานต่อได้อีก 2 ปี

People Unity : ที่ประชุม คกก.นโยบายฯคนต่างด้าว เห็นชอบให้ต่างด้าว 3 สัญชาติกว่า 2 ล้านคน ที่ใบอนุญาตทำงานจะสิ้นสุดในปี 62 และ 63 และการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่หมดอายุ ดำเนินการนำเข้าตามเอ็มโอยู โดยไม่ต้องเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เพื่อให้สามารถทำงานอยู่ในราชอาณาจักรได้อีก 2 ปี จนถึง 31 มี.ค.65

เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2562 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ครั้งที่ 1/2562 ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ ซึ่งภายหลังการประชุม นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา กลุ่มที่ใบอนุญาตทำงานและการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่หมดอายุ (ไม่รวมถึงกลุ่มที่นำเข้าตามระบบเอ็มโอยู) และกลุ่มที่ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางที่ยังมีอายุเหลืออยู่ในวันที่ไปยื่นขออนุญาตเพื่ออยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว สามารถดำเนินการในลักษณะนำเข้าตามระบบเอ็มโอยู โดยไม่ต้องเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร และอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรไม่เกิน 2 ปี โดยประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเพื่อขออยู่ต่อได้ครั้งละไม่เกิน 1 ปี

ส่วนการอนุญาตทำงานจะอนุญาตไม่เกิน 2 ปี โดยแยกเป็น 2 ห้วงเวลา คือ 1.ใบอนุญาตทำงานหมดอายุก่อนวันที่ 31 มี.ค.63 อนุญาตให้ทำงานถึงวันที่ 30 ก.ย.64 และ 2.ใบอนุญาตทำงานหมดอายุตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค.62 เป็นต้นไป อนุญาตให้ทำงานถึงวันที่ 31 มี.ค.65 สำหรับแรงงานกลุ่มอื่นหรือแรงงานที่ไม่ประสงค์จะดำเนินการตามแนวทางนี้ เมื่อสิ้นสุดการอนุญาตทำงานแล้วต้องเดินทางกลับประเทศ หากประสงค์จะทำงานในประเทศไทยต้องเดินทางเข้ามาทำงานโดยถูกต้องตามกฎหมายตามระบบเอ็มโอยูเท่านั้น

นายสุทธิกล่าวต่อว่า มีแรงงานต่างด้าวจำนวน 2,056,467 คน ที่จะต้องดำเนินการตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค.62 หรือภายใน 15 วัน นับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการดำเนินการจนถึงวันที่ 31 มี.ค.62 โดยแรงงานต่างด้าวสามารถยื่นคำขออยู่ต่อในราชอาณาจักรกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองได้ก่อนการอนุญาตสิ้นสุด 90 วัน ณ ที่ตั้งสำนักงานของแต่ละหน่วยงานในลักษณะศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (OSS) สำหรับกรุงเทพมหานครมอบหมายให้อธิบดีกรมการจัดหางานเป็นผู้พิจารณา ส่วนภูมิภาคมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้พิจารณา นอกจากนี้ ให้กระทรวงแรงงานนำแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าวปี 2562-2563 ตามมติที่ประชุม เสนอ ครม.พิจารณาต่อไป

สังคม : คกก.นโยบายฯต่างด้าว เห็นชอบให้แรงงาน 3 สัญชาติกว่า 2 ล้านคน ทำงานต่อได้อีก 2 ปี

People unity : post 8 กรกฎาคม 2562 เวลา 22.30 น.

 

ก.สาธารณสุขชู “อภัยภูเบศร โมเดล” ต้นแบบการใช้กัญชาทางการแพทย์

People Unity : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลอภัยภูเบศร โครงการการผลิตสารสกัดน้ำมันกัญชาภายใต้การรักษาโรคกรณีจำเป็นสำหรับผู้ป่วย “กัญชา อภัยภูเบศร โมเดล” ร่วมกับภาครัฐและเอกชนในการปลูก การผลิต และการใช้รักษาผู้ป่วย เป็นต้นแบบกัญชาทางการแพทย์ เน้นคุณภาพ ความปลอดภัย ตามมาตรฐานทางการแพทย์ ประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์และเหมาะสมกับคนไทยมากที่สุด

เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2562 ที่โรงพยาบาลอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำคณะผู้บริหารกระทรวงฯตรวจเยี่ยมโครงการการผลิตสารสกัดน้ำมันกัญชาภายใต้การรักษาโรคกรณีจำเป็นสำหรับผู้ป่วย “กัญชา อภัยภูเบศร โมเดล” โดยกล่าวว่า การนำสารสกัดกัญชามาใช้นั้น ต้องเน้นมาตรฐาน คุณภาพ ความปลอดภัยครบวงจร ตั้งแต่การปลูก การผลิต และการใช้ ซึ่งจะต้องผ่านการตรวจมาตรฐานจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ว่า มีความปลอดภัย ไม่มียาฆ่าแมลง โลหะหนัก สารเคมีตกค้าง และการจ่ายสารสกัดกัญชาให้ผู้ป่วยจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทางการแพทย์ ขณะนี้อยู่ในช่วงการทดลองวิจัย ติดตามผล และวางระบบ เพื่อประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์และเหมาะสมกับคนไทยมากที่สุด

ด้าน นายแพทย์นำพล แดนพิพัฒน์  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้ดำเนินการ “กัญชา อภัยภูเบศร โมเดล” ครบวงจร ตั้งแต่การปลูก การผลิต และการใช้ โดยความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จัดหาสารสกัดกัญชาที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาภายใต้การรักษาที่มีมาตรฐานทางการแพทย์ ซึ่งจะมีการคัดกรองผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาตามเกณฑ์ที่กำหนด  ตรวจร่างกายและการตรวจเพิ่มเติมอื่นๆตามความจำเป็น จ่ายยาและให้คำแนะนำแบบเฉพาะราย โดยเภสัชกรผู้ผ่านการอบรม โทรศัพท์ติดตามหลังการใช้ภายใน 24 ชั่วโมง ทุกวันใน 1 สัปดาห์แรก ทุกสัปดาห์ในเดือนแรก และนัดผู้ป่วยกลับมาติดตามทุก 1 เดือน เพื่อประเมินความปลอดภัยและประสิทธิผล

เภสัชกรหญิง ดร.สุภาภร ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า  ในระยะแรก เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2562 ได้คัดกรองและรักษาผู้ป่วยจำนวน 10 ราย โดยใช้สารสกัดกัญชาที่ได้รับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในผู้ป่วยพาร์กินสัน โรคลมชัก อัลไซเมอร์  และมะเร็งลำไส้ใหญ่กระจายไปเยื่อบุช่องท้อง จากการติดตามความปลอดภัยและประสิทธิผลเบื้องต้นใน 24 ชั่วโมง ไม่มีรายใดเกิดผลข้างเคียง และผู้ป่วยบางรายเริ่มเห็นผล เช่น อาการลิ้นคับปาก พูดได้ชัดมากขึ้น บางรายเดินได้มากขึ้น สำหรับระยะที่ 2 ช่วงเดือนกันยายน 2562 จะใช้น้ำมันกัญชาที่ได้จากการการสกัดของกลางของ ปปส. ที่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานไทยและสากล ประมาณ 100,000 ขวด นำมาใช้ในการรักษาอาการปวดปลายประสาทที่ไม่ตอบสนองในการรักษา และเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็งระยะที่ 4  โดยจะขยายไปยังโรงพยาบาลอื่นๆ และในระยะที่ 3 เดือนพฤศจิกายน 2562 จะสกัดน้ำมันกัญชาจากต้นกัญชา 16 ต้นที่ปลูกโดยวิสาหกิจชุมชนสมุนไพร เกษตรอินทรีย์บ้านดงบัง เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2562 คาดว่าจะเก็บเกี่ยวได้ในเดือนตุลาคม และได้สารสกัดกัญชาประมาณ 900 ขวดในเดือนพฤศจิกายน 2562 พร้อมเป็นพี่เลี้ยงให้สถานพยาบาลและวิสาหกิจชุมชนเกษตรที่มีความสนใจต่อไป

เภสัชกรหญิง ดร.สุภาภรกล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ ทุกวันจันทร์ที่ 4 ของเดือน เวลา 13.00 น- 16.00 น. ให้บริการผู้ป่วยรักษาแผนปัจจุบันไม่ได้ผล โดยขอให้ผู้ป่วยโทรปรึกษาก่อนเดินทางมารับบริการ ที่หมายเลข 037 211289 หรือ 037 211088 ต่อ 0 ในวันและเวลาราชการ เพื่อนัดหมายวันรับบริการ

สังคม : ก.สาธารณสุขชู “อภัยภูเบศร โมเดล” ต้นแบบการใช้กัญชาทางการแพทย์

People Unity : post 1 กรกฎาคม 2562 เวลา 01.12 น.

 

“ประยุทธ์” ปราศรัยเนื่องใน “วันแรงงานแห่งชาติ” ประจำปี 2562

People Unity : คำปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องใน “วันแรงงานแห่งชาติ” ประจำปี 2562 วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2562

พี่น้องผู้ใช้แรงงานที่รักทุกท่าน เนื่องในโอกาส “วันแรงงานแห่งชาติ” วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2562 ที่เวียนมาบรรจบอีกวาระหนึ่ง ผมขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดี มายังพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกท่าน

รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของแรงงาน และมีเป้าหมายพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกกลุ่มอาชีพ ทั้งในประเทศและอยู่ต่างประเทศอย่างเท่าเทียม รวมทั้งการกลไกการดำเนินงานในรูปแบบประชารัฐ เพื่อสร้างโอกาสอาชีพ และรายได้ที่มั่นคงให้แก่แรงงานในตลาดแรงงาน และแรงงานต่างด้าวที่ถูกกฎหมาย พร้อมทั้งยกระดับคุณภาพแรงงาน โดยการสนับสนุนและส่งเสริมให้แรงงานมีโอกาสเข้าถึงการเรียนรู้ และได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานในสาขาต่างๆ เพื่อรองรับตลาดแรงงานทั่วโลก และเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของแรงงานให้ดียิ่งขึ้น

ในปีที่ผ่านมา ผมขอขอบคุณหน่วยงานทุกภาคส่วน และพี่น้องแรงงานที่ได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ส่งผลให้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาจัดลำดับสถานะในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ของประเทศไทยอยู่ในระดับที่ดีขึ้น มาอยู่ในระดับ Tier 2 ในปี พ.ศ.2561 และได้รับการปลดสถานะใบเหลืองการทำประมงผิดกฎหมายจากสหภาพยุโรปได้สำเร็จ ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

เนื่องในโอกาส “วันแรงงานแห่งชาติ” ประจำปี 2562 ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย อีกทั้งเดชะพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้โปรดดลบันดาลพระราชทานพรให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกท่านพร้อมทั้งครอบครัว ประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีกำลังกาย กำลังใจที่เข้มแข็ง และสัมฤทธิ์ผลในสิ่งที่พึงปรารถนา เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนสืบไป สวัสดีครับ

สังคม : “ประยุทธ์” ปราศรัยเนื่องใน “วันแรงงานแห่งชาติ” ประจำปี 2562

People Unity : post 1 พฤษภาคม 2562 เวลา 11.30 น.

สังเวชนียสถานทำไม? ทำไม?ต้องสังเวชนียสถาน

People Unity News : พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส,รศ.ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษาและผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ ม.สงฆ์ มจร รายงาน หลังจากนำนิสิตปริญญาโทและเอก หลักสูตรสันติศึกษา มจร ทัศนศึกษาแดนแห่งพุทธภูมิ ประเทศอินเดียเนปาล

ในทุกครั้งที่เราผู้ซึ่งได้เรียกขานตัวเองว่าเป็น “พุทธศาสนิกชน” เกิดความสับสนในคุณค่าและเป้าหมายสูงสุดที่ถูกเรียกขานว่า “อุดมการณ์ของการเป็นพุทธ” คืออะไร และเป็นเช่นใด

สังเวชนียสถานเป็นพุทธภูมิข้างนอก ที่จะนำพาเราเข้าถึงพุทธภูมิข้างใน ที่จะช่วยย้ำเตือนและตอบโจทย์ในใจเรา อีกทั้งย้ำเตือนมิให้เราถอยห่างจากอุดมการณ์สูงสุด คือ พระนิพพาน

การที่พระอานนท์ทูลถามหลังจากที่พุทธองค์ปลงอายุสังขารสรุปได้กระชับว่า แล้วเหล่าพุทธบริษัทจะทำอย่างไร ถ้าพระองค์ไม่อยู่กับพวกเราแล้ว พระองค์จึงย้ำว่า “สังเวชนียสถาน” จะเป็นแหล่งที่จะทำให้เกิดการระลึกนึกถึงพุทธปณิธาน และเกิดแรงบันดาลใจในการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงอุดมการณ์สูงสุด คือ “พระนิพพาน”

หากเราขาดสติด้วยอำนาจแห่งโลกธรรม หรือหลงลืมอุดมการณ์ดังกล่าว ขอให้สละเวลา พนมมือ เจริญพุทธมนต์ ปิดเปลือกตา แล้วใช้สติระลึกรู้ เมื่อสมาธิตั้งมั่นจนปัญญาเบ่งบาน ในที่สุดจะทราบว่าเป้าหมายที่แท้จริงอยู่ตรงไหน?

การปลุกกายและกระตุ้นใจให้ปฏิบัติเช่นนั้น ย่อมไม่มีวันที่เราจะหลงไหลได้ปลื้มไปกับโลกธรรม และปล่อยตัวเผลอใจให้ไปคลุกคลี พร้อมทั้งเกลือกกลั้วกับกิเลสทั้งหลายที่เข้ามาพัวพันในแต่ละวัน

ถ้าเรามีพุทธะอยู่ในวิถี พัฒนาชีวีให้รู้ ตื่น และเบิกบาน ด้วยพลังของสติ สมาธิ และปัญญา อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องด้วยแล้ว ชีวิต และสังคมย่อมได้รับพลังแห่งสันติสุขในปัจจุบันทันทีตามหลักอกาลิโก คือ ปฏิบัติเมื่อใดได้รับผลเมื่อนั้น ไม่ต้องรอเวลา

แต่เพราะเราไม่ตระหนักรู้และใส่ใจต่อการกระตุ้นเตือนของพุทธองค์ที่ว่า “สูเจ้า จงมาดูโลกนี้อันตระการดุจราชรถ คนเขลาข้องอยู่ แต่ผู้มีปัญญาหาข้องอยู่ไม่” เราจึงพัดพาตัวเองถอยห่างออกไปจากอุดมการณ์ของพุทธองค์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ปรากฏการณ์พลัดหลงจากอุดมการณ์ดังกล่าว แม้จะทรงย้ำเตือนแล้วเตือนอีก ไม่ใช่เพิ่งเกิด ในพุทธกาลก็เกิด หลังพุทธก็เกิด ในปัจจุบันก็เกิด รวมไปถึงอนาคตก็จะยิ่งเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ ตราบจนเข้าสู่กลียุคในที่สุด

ฉะนั้น หมู่ชนที่มิได้เป็นพุทธโดยวิญญาณ หรือวิถี จะสืบสาน รักษา และต่อยอดพระพุทธศาสนาไปเพื่อการใด เพราะเมื่อตัวเอง ชุมชน และสังคมมิได้ประโยชน์ ประโยชน์ที่เกิดจากการใช้ปริยัติ เป็นสะพานทอดเดืนไปสู่การปฏิบัติ ประโยชน์ที่ใช้อามิสบูชาเป็นสะพานทอดเดินไปสู่ปฏิบัติบูชา

ในที่สุด เมื่อหมู่ชนไม่ยึดถือธรรมและวินัยเป็นศาสดาตามที่พุทธองค์ตรัสในมหาปริพนิพพานสูตรแล้ว เราจะมีศาสดาที่แท้จริงองค์ใดให้เราได้ใช้เป็นหลักปฏิบัติในวิถีชีวิต

สุดท้ายเราก็จะหันกลับไปนับถือ และพึ่งพาสิ่งภายนอก เช่น ป่าไม้บ้าง จอมปลวกบ้าง ต้นไม้แปลกๆ บ้าง สัตว์แปลกๆ บ้าง รวมไปถึงเทพเจ้าองค์ต่างๆ เพื่อให้มาซึ่งโลกธรรมที่เป็นอิฏฐารมณ์ทั้งหลาย

ประจักษ์ชัดว่า พุทธองค์เคยเตือนประเด็นดอกบัวตามคัมภร์บาลีมี 3 เหล่า การฝึกฝนพัฒนาพุทธศาสนิกชนก็ต้องพิจารณาบริบทและตัวแปรต่างๆ ตามจริตและเหตุปัจจัย ถึงกระนั้น สิ่งที่จะต้องกระตุ้นและชักนำให้พุทธศาสนิกชนมีสติ ระมัดระวังตลอดเวลา คือ “การไม่หลงลืมอุดมการณ์หลัก” ที่พุทธองค์ได้ประกาศไว้ ให้เราได้ปฏิบัติ

แม้นว่า ชาตินี้จะไม่บรรลุถึงได้ทั้งหมด หากได้ยินได้ฟัง และได้ปฏิบัติเอาไว้บ้าง เส้นทางสู่นิพพาน ทั้งนิพพานชั่วขณะ และนิพพานระยะยาว ย่อมจักปรากฏชัดได้ในที่สุด ในปัจจุบันและภพภูมินี้และอื่นๆ ต่อไป

ออมสินช่วยน้ำท่วมภาคใต้พักหนี้ 3 เดือนทันที ให้กู้ฉุกเฉินไม่คิดดอกเบี้ย 1 ปี 3 เดือนแรกไม่ต้องผ่อน

People Unity News : ออมสินช่วยน้ำท่วมภาคใต้พักหนี้ 3 เดือนทันที ให้กู้ฉุกเฉินไม่คิดดอกเบี้ย 1 ปี 3 เดือนแรกไม่ต้องผ่อน

ธนาคารออมสิน จัดมาตรการเร่งด่วนช่วยภัยน้ำท่วมภาคใต้ พักชำระหนี้ทันที 3 เดือน เน้นช่วยเหลือพื้นที่ตามความหนักเบาของผลกระทบที่ได้รับ พร้อมทั้งให้กู้ฉุกเฉิน “สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ” รายละ 50,000 บาท โดยปีแรกไม่คิดดอกเบี้ย และ 3 เดือนแรกไม่ต้องจ่ายคืนเงินกู้

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า เหตุฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องหลายวันในช่วงนี้ทำให้เกิดน้ำท่วมหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ของไทย ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และสร้างความเสียหายต่อลูกค้าและประชาชนเป็นวงกว้าง ธนาคารได้เร่งให้ความช่วยเหลือ โดยนำถุงยังชีพและน้ำดื่มออกไปแจกจ่ายเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าเป็นการด่วนแล้วกว่า 3,500 ชุด และหน่วยบริการอาหารฟรีทุกวัน ซึ่งเบื้องต้นจังหวัดที่ประสบภัยพิบัติ คือ จ.นครศรีธรรมราช กับ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีลูกค้าเงินฝากและสินเชื่อธนาคารออมสินกว่า 957,000 ราย และพื้นที่ใกล้เคียง โดยได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วน

ทั้งนี้ ธนาคารได้ออกมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกค้าสินเชื่อทุกประเภท แบ่งเป็น 3 ระดับตามความหนักเบาของผลกระทบที่ได้รับ โดยเฉพาะระดับความรุนแรงสูง และทางการประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัย ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบที่พักอาศัย/สถานประกอบการเสียหายส่งผลให้รายได้ลดลง และ/หรือมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ธนาคารผ่อนปรนให้พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 3 เดือน สำหรับระดับความรุนแรงปานกลาง ที่มีน้ำท่วมขังเกินกว่า 7 วัน และมีค่าใช้จ่ายปรับปรุง/ซ่อมแซม ให้พักชำระเงินต้นและชำระแต่ดอกเบี้ย 50% ในระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี และระดับความรุนแรงขั้นต้น ที่ถูกภัยน้ำท่วมและมีน้ำท่วมขังเกินกว่า 7 วัน ให้พักชำระเงินต้นไม่เกิน 2 ปี และชำระเงินแต่ดอกเบี้ย ขยายเวลาชำระหนี้เท่ากับระยะเวลาพักชำระเงินต้น

ขณะเดียวกัน ธนาคารยังให้ประชาชนที่ประสบภัยกู้เงินฉุกเฉิน “สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากเหตุน้ำท่วม/ภัยพิบัติ รายละไม่เกิน 50,000 บาท ไม่คิดดอกเบี้ยในปีแรก หลังจากนั้นคิดดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 0.85 ต่อเดือน (Flat Rate) ชำระเงินเป็นรายเดือน 3-5 ปี โดยปลอดชำระเงินงวด 3 เดือนแรก นอกจากนี้ ยังให้สินเชื่อเคหะแก่ผู้ประสบภัยพิบัติ เพิ่มเติมสำหรับลูกค้าเดิมและประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบเพื่อซ่อมแซมต่อเติมที่อยู่อาศัยส่วนที่เสียหายได้ถึง 100% ของราคาประเมิน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยดอกเบี้ยปีแรก 0% ปีที่ 2-3 = 3.00% ต่อปี และ ปีที่ 4 เป็นต้นไป = MRR-0.75% ต่อปี  และสินเชื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจของธนาคาร วงเงินกู้สูงสุด 10% ของวงเงินกู้เดิมแต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท ผ่อนนานสูงสุด 5 ปี โดยปลอดชำระเงินต้น 1 ปี อัตราดอกเบี้ยปีแรก 3.50% ปีที่ 2 เป็นต้นไป = MLR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยธนาคาร MRR = 6.245% และ MLR = 6.150% ต่อปี)

Advertising

เตือนผู้ที่มีภาวะไขมันส่วนเกินสะสมมากกว่าปกติเสี่ยงเป็นโรคหอบหืด

People Unity : กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคทรวงอก เตือนผู้ที่มีภาวะไขมันส่วนเกินสะสมมากกว่าปกติ หรือโรคอ้วนลงพุง ทำให้ระบบหายใจทำงานติดขัด ก่อให้เกิดโรคหอบหืดตามมา

วันที่ 25 ต.ค.2562 นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า การรับประทานอาหารเกินความต้องการของร่างกาย ทำให้เกิดภาวะที่มีไขมันสะสมมากผิดปกติหรือมากเกินกว่าที่ร่างกาย จะเผาผลาญออกไป ส่งผลให้พุงยื่นออกมาอย่างชัดเจน เรียกว่า โรคอ้วนลงพุง ซึ่งผลแทรกซ้อนของ โรคดังกล่าว อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมา คือ เสี่ยงกับภาวะไขมันอุดตันหลอดเลือดและหัวใจ อาทิ โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง ไตวาย มะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ ภาวะหัวใจล้มเหลว อีกทั้งไขมันส่วนเกินนั้นยังสามารถเข้าไปสะสมในปอดจนเบียดทางเดินหายใจ ทำให้หลอดลมตีบลง เกิดอาการเหนื่อยง่าย หายใจลำบากซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหอบหืดได้ ทั้งนี้ผู้ที่เข้าเกณฑ์เสี่ยงโรคอ้วนลงพุงจะมีลักษณะต่างๆ อย่างน้อย 3 ข้อ ดังนี้ คือ 1. ภาวะอ้วนลงพุง 2. ความดันโลหิตสูง 130/85 มม.ปรอทขึ้นไป 3. น้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารสูงกว่า 100 มิลลิกรัม ต่อเดซิลิตรขึ้นไป 4. ไขมันไตรกลีเซอไรด์สูงกว่า 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร 5. มีไขมันดี ชนิด HDL ต่ำ โดยเพศชายน้อยกว่า 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และเพศหญิงน้อยกว่า 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หากพบว่าร่างกายมีลักษณะดังกล่าว ต้องรีบหาแนวทางการรักษาและป้องกันโรคอ้วนลงพุง เพื่อห่างไกลโรคร้ายแทรกซ้อนที่จะตามมาอย่างทันท่วงที

นายแพทย์เอนก กนกศิลป์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคอ้วนลงพุง เป็นกระบวนการหนึ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดลม ทำให้มีอาการโรคหอบหืดตามมา อาการในผู้ป่วยโรคหอบหืดมักจะเหนื่อยหอบเวลาออกแรง ไอ เสมหะเหนียวข้น หายใจลำบาก แน่นหน้าอก และมีเสียงดังวี๊ดๆ หรือมีอาการในช่วงกลางคืน และมีค่าความเร็วของลมหายใจออกสูงสุดอยู่ระหว่าง 50 – 80 % ของค่าที่ดีที่สุด ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรค ผู้ป่วยต้องปฏิบัติตนด้วยการคุมอาหารและลดน้ำหนักในรายที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วัน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารไม่ให้มีปริมาณมากเกินไป หลีกเลี่ยงอาหารประเภททอด มัน กะทิ ดื่มน้ำเปล่าหลีกเลี่ยงน้ำหวานและน้ำอัดลม หากสามารถปฏิบัติตนตามคำแนะนำต่างๆเหล่านี้ ได้อย่างถูกต้อง สม่ำเสมอ จะทำให้หลีกหนีโรคอ้วนลงพุง ส่งผลให้มีสุขภาพแข็งแรงห่างไกลโรคร้ายที่แทรกซ้อนตามมาอีกด้วย

ศุลกากรเอาจริงส่งดำเนินคดีทุกรายลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์-เศษพลาสติก

People Unity : ศุลกากร เผยมาตรการเร่งด่วน แก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติก

4 กรกฎาคม 2562 : นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมศุลกากร แถลงข่าวเกี่ยวกับการกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาการลักลอบหรือหลีกเลี่ยงการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติกที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขอนามัย

นายกฤษฎา กล่าวว่า  จากเดิมจีนเป็นประเทศที่นำเข้าเศษขยะรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยเฉพาะเศษขยะอิเล็กทรอนิกส์ (พิกัด 84 และ 85 ที่มีการกำหนดรหัสสถิติเป็น 800 และ 899) และเศษพลาสติก (พิกัด 3915) ต่อมาจีนเริ่มมีนโยบายในการห้ามการนำเข้าเศษขยะหลายชนิด ประกอบกับผลการประชุมสนธิสัญญาบาร์เซล (Basel Convention) ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มีมติให้เพิ่มความเข้มงวดของชนิดขยะที่สามารถนำเข้าส่งออกระหว่างกันได้ รวมทั้งต้องได้รับความยินยอมในการนำเข้าจากประเทศปลายทางด้วย ส่งผลให้ประเทศอุตสาหกรรม เช่น ประเทศญี่ปุ่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา และประเทศในทวีปยุโรป เปลี่ยนจุดหมายการส่งออกเศษขยะมายังประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทน ซึ่งทำให้มีการนำเข้าเศษขยะมากเกินความจำเป็น ส่งผลให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มมีมาตรการตอบโต้การนำเข้าเศษขยะ โดยเฉพาะเศษพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปในทิศทางเดียวกัน คือ ห้ามหรือลดการนำเข้าเศษพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์

สำหรับกรณีขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยนั้น ผู้นำเข้าจะต้องได้รับอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมก่อนการนำเข้า แต่เนื่องจากคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ที่มี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2561 มีมติให้ระงับการอนุญาตนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์จากโรงงานที่ปฏิบัติไม่ถูกต้องตามอนุสัญญาบาเซล ทำให้เหลือผู้ได้รับอนุญาตนำเข้าเพียง 1 รายเท่านั้น นอกจากนี้ การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2562 มีมติเห็นชอบมาตรการห้ามนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้แล้วเข้ามาในประเทศ โดยได้อนุมัติร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดชนิดและแหล่งกำเนิดวัตถุดิบที่จะทำมาใช้ในโรงงาน พ.ศ. …. เพื่อกำหนดนิยามและข้อห้ามไม่ให้โรงงานใช้ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตของโรงงาน พร้อมมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการออกประกาศห้ามนำเข้าซึ่งสินค้าอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้แล้วที่จะนำมาถอดแยก เพื่อนำโลหะกลับมาใช้ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เป็นต้นมา มีการลดโควตาการนำเข้าของเศษพลาสติกจากหลายแสนตัน เหลือเพียง 70,000 ตัน เท่านั้น จากข้อมูลสถิติการนำเข้าของขยะอิเล็กทรอนิกส์ และการนำเข้าเศษพลาสติก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 จนถึงปัจจุบันของประเทศไทย พบว่ามีการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เริ่มมีแนวโน้มลดลงในปี พ.ศ. 2562 เนื่องจากมีการควบคุมการนำเข้าอย่างเข้มงวดจากภาครัฐ

อย่างไรก็ดี คาดว่าความต้องการขยะอิเล็กทรอนิกส์ภายในประเทศยังคงมีอยู่ และอาจมีการลักลอบหรือหลีกเลี่ยงการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์อยู่ ซึ่งจากข้อเท็จจริงดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติกเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขอนามัย และมีแนวโน้มในการนำเข้าโดยไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ จำเป็นต้องมีการกำหนดมาตรการแก้ไขอย่างเร่งด่วน กรมศุลกากรจึงมีมาตรการในการแก้ไขปัญหา ดังนี้

1.กรมศุลกากรได้มีการวิเคราะห์สถานการณ์เกี่ยวกับขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติก ดำเนินการติดตาม กำหนดเป้าหมายต้องสงสัยที่จะกระทำความผิดทางศุลกากร และเข้าตรวจสอบเพื่อติดตามและขยายผลอย่างต่อเนื่อง

2.สั่งการให้ กอง สำนักงาน และด่านศุลกากรทุกแห่ง เข้มงวดในการตรวจสอบของประเภทขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติก หรือของที่มีการสำแดงพิกัด หรือมีรูปลักษณ์ ใกล้เคียงกับขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติกเพื่อป้องกันการลักลอบหรือหลีกเลี่ยงทางศุลกากร

3.กรณีที่ตรวจพบการกระทำความผิดทางศุลกากรที่เกี่ยวกับของประเภทขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติก กรมศุลกากรจะดำเนินการส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป โดยไม่เปรียบเทียบงดการฟ้องร้องในชั้นศุลกากร

ทั้งนี้ ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ถึง 2562 กรมศุลกากรสามารถจับกุมคดีลักลอบและหลีกเลี่ยงนำเข้าเศษพลาสติกได้ทั้งสิ้น 103 คดี คิดเป็นมูลค่าทั้งหมด 17.5 ล้านบาท (น้ำหนักรวม 4,043 ตัน) โดยในปีงบประมาณ 2561 จับกุมได้ถึง 86 คดี คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 14.5 ล้านบาท (น้ำหนักรวม 3,664 ตัน) และในปีงบประมาณ 2562 (ตุลาคม 2561 – พฤษภาคม 2562) สามารถจับกุมได้แล้วถึง 17 คดี คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3 ล้านบาท (น้ำหนักรวม 379 ตัน)

สังคม : ศุลกากรเอาจริงส่งดำเนินคดีทุกรายลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์-เศษพลาสติก

People Unity : post 5 กรกฎาคม 2562 เวลา 10.20 น.

“AI กับพุทธธรรม” วิจัยสุดทันสมัย! คณาจารย์ “ม.สงฆ์ มมร”ทำ

People Unity :  “AI กับพุทธธรรม” วิจัยสุดทันสมัย! คณาจารย์ “ม.สงฆ์ มมร”ทำ “อุทิส ศิริวรรณ”เผย “พระพุทธเจ้าเป็นนักทรัพยากรมนุษย์ที่ทันสมัย”

วันที่ 20 ต.ค.2562 ศ.ดร.อุทิส ศิริวรรณ นักวิชาการด้านพุทธศาสนา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว” Uthit Siriwan” ความว่า “ประเด็นวิจัยทันสมัย AI กับพุทธธรรม? โดยคณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร) ตลอดสัปดาห์ผมใช้เวลาค่อนข้างมากค้นคว้าและอ่าน “งานวิจัยทันสมัย” AI เป็นต้น เพื่อตอบ “ประเด็น” ที่คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตสิรินธร สมุทรสาคร ทั้ง 3 ท่าน ช่วยกันทำวิจัย

งานวิจัยชุดโครงการนี้น่าสนใจ เพราะประเด็นวิจัยที่ตั้งขึ้นยกตัวอย่าง “ทฤษฎี 3 สมดุล (สมดุลผลิต สมดุลบริโภค สมดุลผลประโยชน์) ที่ส่งเสริมให้เกิดการสนับสนุนกันระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค” ข้อคำถามคือ “การสร้างและใช้งานหุ่นยนต์ของผู้ผลิตย่อมมีจุดมุ่งหมายอย่างเดียว คือ สนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพของผู้บริโภค” ประเด็นที่ผมต้องตอบคือ ท่านเห็นด้วย หรือมีข้อโต้แย้ง หรือมีข้อสนับสนุนต่อประเด็นเหล่านี้หรือไม่อย่างไร

ยกตัวอย่างคำถามวิจัย เป็นต้นว่า… 1) ในแผนประเทศไทย 4.0 ที่ยึดโยงอยู่กับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่เห็นว่าแรงงานมนุษย์เป็นต้นทุนในการผลิตอย่างหนึ่ง การบริหารจัดการกิจการให้ได้กำไรมากที่สุดวิธีการหนึ่ง ก็คือ การลดต้นทุนการผลิตและบริหารจัดการ การจ้างงานมนุษย์ก็อยู่ในขอบเขตนี้ด้วย 2) เทคโนโลยีหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ยิ่งก้าวหน้ามากขึ้นเท่าใด ก็จะทำให้ผู้ประกอบการใช้หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ แทนแรงงานมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น รออีกสัก 1 ปี คงได้คำตอบจาก “ผู้ทรงคุณวุฒิ” ที่หลากหลายวงการ ผมเองก็มี “ประเด็น” ที่จะอภิปราย….

ผมคิดอะไร? คิดว่าโลกในยุคเปลี่ยนผ่านพุทธศาสนาใช้ “ตอบ” โจทย์วิจัยประเด็นปัญหาชาวโลกในยุคดิจิทัลได้เพราะจะว่าไปแล้ว “พระพุทธเจ้า” เน้นให้ใช้แรงงานคนน้อย แต่ทำแล้วได้ผลงานมากอยู่แล้ว ยกตัวอย่างให้พระจาริกไปรูปเดียว และให้ใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า โดยเฉพาะเพื่อ “ประโยชน์” “เกื้อกูล” และ “ความสุข” บอกตรง ผมว่า “พระพุทธเจ้า” เป็น “นักทรัพยากรมนุษย์” ที่ทันสมัย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศ.ดร.อุทิส ศิริวรรณได้ติดตามพัฒนาการของเทคโนโลยีขึ้นสูงและแสดงความเห็นที่สัมพันธ์กับพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นให้คณะสงฆ์เห็นความสำคัญ อย่างเช่นได้นำเสนอล่าสุดเรื่อง “การศึกษา’อุทิส ศิริวรรณ’นักวิชาการด้านพุทธศาสนา แนะใช้ ‘AI-IoT’ต่อยอดบาลีพุทธศาสตร์ศึกษาระดับป.เอก https://www.banmuang.co.th/news/education/163540)

“ก้อง ห้วยไร่”ถวายเพลเณรโรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดภูเก็ตน่าน

People Unity News : “ก้อง ห้วยไร่”พาคณะเข้าวัดทำบุญถวายเพลเณรโรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดภูเก็ตน่าน ตามโครงการของวัด “หนึ่งพันบาทเลี้ยงพระเณรได้ทั้งโรงเรียน”

วันที่ 29 ต.ค.2562 ที่วัดภูเก็ต อำเภอปัว จังหวัดน่าน “ก้อง ห้วยไร่” นักร้องลูกทุ่งดังเจ้าของผลงานเพลงดัง “ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน” และคณะไปทำบุญเลี้ยงเพลสามเณรโรงเรียนวัดภูเก็ต ตามโครงการของวัด “หนึ่งพันบาทเลี้ยงพระเณรได้ทั้งโรงเรียน” ซึ่งมีพระภิกษุ สามเณรอาศัยอยู่ในวัดเพื่อศึกษาเล่าเรียนทั้งนักธรรม บาลีและแผนกสามัญ

Verified by ExactMetrics