วันที่ 20 พฤษภาคม 2024

“บิ๊กตู่”ตั้ง”พงศ์พร”นั่งที่ปรึกษาดูแลพุทธศาสนาต่อ

People Unity : “บิ๊กตู่”ตั้ง”พงศ์พร”นั่งที่ปรึกษาดูแลพุทธศาสนาต่อ เหตุภารกิจบางอย่างยังไม่เสร็จสิ้น ส่วนผอ.พศ.คนใหม่อยู่ที่”เทวัญ” พร้อมรับโอน “สมเกียรติ ธงศรี”รอง ผอ.พศ.เข้ากรุสำนักนายกฯ

เมื่อเวลา 12.20 น.วันที่ 21 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำหรับ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ที่เพิ่งเกษียณอายุราชการจากตำแหน่ง ผอ.พศ. ได้มีการว่าจ้างต่อให้รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในกิจการพระพุทธศาสนา ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.62 โดยมอบหมายให้ดูแลเรื่องบางเรื่องที่ค้างอยู่ใน พศ. และเมื่อถึงเวลาได้ ผอ.พศ.คนใหม่แล้วก็จะได้แบ่งหน้าที่กันให้ถูกต้องต่อไปว่า จะให้ พ.ต.ท.พงศ์พรช่วยประสานหรือดูแลเรื่องใดบ้าง การจ้างเช่นนี้ไม่ใช่การต่ออายุ และไม่มีอำนาจทางราชการ แต่มีบทบาท โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาการว่าจ้าง ขึ้นอยู่กับภารกิจหรือแล้วแต่นายกฯ

ผู้สื่อข่าวถามว่า การว่าจ้าง พ.ต.ท.พงศ์พรต่อ เพื่อให้มาดูแลคดีเงินทอนวัดหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า มีเรื่องบางเรื่องที่ต้องประสานกับหน่วยงานอื่น ซึ่งยังไม่ทราบว่า ผอ.พศ.คนใหม่เป็นใคร หาก ผอ.พศ.ถนัดในภารกิจเหล่านี้ พ.ต.ท.พงศ์พรก็จะมีบทบาทน้อยลง แต่ถ้าไม่ถนัด พ.ต.ท.พงศ์พรก็อาจจะมีบทบาทมากขึ้น แต่ว่าไม่มีอำนาจในการสั่งการ

นายวิษณุกล่าวถึงการแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) คนใหม่ว่า ต้องถามนายเทวัญ ลิปตพัลลภ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแล พศ.ว่าจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 22 ต.ค.เลยหรือไม่ ซึ่งตนไม่ทราบ แต่หากจะเสนอเข้า ครม.จะต้องมีการเสนอมายังตนก่อน ส่วนที่ก่อนหน้านี้ ครม.มีมติรับโอนนายสมเกียรติ ธงศรี รอง ผอ.พศ. มาเป็นผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นการโอนในระดับที่สูงขึ้นกว่าเดิม และมาช่วยงานได้

ครม.เห็นชอบเปิด “หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา” (Anti-Corruption Education)

People unity news online : ครม.เห็นชอบ “หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา” (Anti-Corruption Education) ครอบคลุมทั้งระบบการศึกษา รวมถึงหลักสูตรฝึกอบรมบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐ

พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ คือ เห็นชอบ “หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา” (Anti-Corruption Education)

พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวในระหว่างการประชุมผู้บริหารองค์กรหลักกระทรวงศึกษาธิการ ครั้งที่ 11/2561 ว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ ดังนี้

1.เห็นชอบหลักการเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำหลักสูตรดังกล่าวไปพิจารณาปรับใช้กับกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่ต้องนำหลักสูตรไปดำเนินการรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาไปพิจารณาดำเนินการต่อไป โดยให้ประสานงานกับสำนักงาน ป.ป.ช. อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้

สำหรับภาระงบประมาณที่อาจจะเกิดขึ้นซึ่งไม่ได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับไว้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 ไปดำเนินการในโอกาสแรกก่อน สำหรับปีงบประมาณต่อๆไปให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ

2.ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อพิจารณานำหลักสูตรนี้ไปปรับใช้ในโครงการฝึกอบรมหลักสูตรข้าราชการ บุคลากรภาครัฐ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจที่บรรจุใหม่ รวมทั้งให้พิจารณากำหนดกลุ่มเป้าหมายของหลักสูตรโค้ชให้มีความชัดเจน โดยให้หมายความรวมถึงบุคลากรทางการศึกษา เช่น ครู อาจารย์ หรือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ทั้งในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานและหลักสูตรอุดมศึกษาด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้บุคลากรทางการศึกษาที่เข้ารับการอบรมหลักสูตรดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในการถ่ายทอดความรู้หรือช่วยในการจัดการเรียนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการและรายงานผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการดังกล่าวให้คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาทราบเป็นระยะๆด้วย

สาระสำคัญ  สำนักงาน ป.ป.ช.รายงานว่าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษามีวัตถุประสงค์ในการปลูกฝังและสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริตให้สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ส่วนตนสิ่งใดเป็นประโยชน์ส่วนรวม ยึดถือประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน มีจิตพอเพียงต้านทุจริต ละอายและเกรงกลัวที่จะไม่ทุจริตและไม่ทนต่อการทุจริตทุกรูปแบบผ่านสถาบันการศึกษา

ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องปลูกฝังตั้งแต่ระดับปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษา ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งอาชีวศึกษา การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย และสถาบันการศึกษาอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น สถาบันการศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร สถาบันการศึกษาในสังกัด ตช. สถาบันการศึกษาทางทหาร เป็นต้น ต่อเนื่องไปจนถึงระดับอุดมศึกษา เพื่อให้ครอบคลุมทั้งระบบการศึกษา นอกจากนี้ ยังรวมถึงหลักสูตรฝึกอบรมสำหรับบุคลากรของรัฐและพนักงานรัฐวิสาหกิจในหน่วยงานภาครัฐ

โดยแต่ละหลักสูตรประกอบด้วยเนื้อหา 4 ชุดวิชา ดังนี้

1.การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ชุดวิชาดังกล่าวเน้นการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน โดยปรับเปลี่ยนระบบการคิดของคนในสังคมแยกแยะให้ได้ว่า “เรื่องใดเป็นประโยชน์ส่วนตน … เรื่องใดเป็นประโยชน์ส่วนรวม” โดยนำวิธีคิดแบบฐาน 10 (Analog thinking) และฐาน 2 (Digital thinking) มาประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างยั่งยืน

2.ความละอายความไม่ทนต่อการทุจริต เป็นชุดวิชาเกี่ยวกับการสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต เป็นการปรับเปลี่ยนสภาพสังคมให้เกิดภาวะ “ที่ไม่ทนต่อการทุจริต” โดยเริ่มตั้งแต่กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมในทุกช่วงวัย เพื่อสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริต และปลูกฝังความพอเพียง มีวินัย ซื่อสัตย์สุจริต ความเป็นพลเมืองดี มีจิตสาธารณะ ผ่านทางสถาบันหรือกลุ่มตัวแทนที่ทำหน้าที่ในการกล่อมเกลาทางสังคม เพื่อให้เด็ก เยาวชน ผู้ใหญ่ เกิดพฤติกรรมที่ละอายต่อการกระทำความผิด การไม่ยอมรับและต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ

3.STRONG: จิตพอเพียงต้านทุจริต เป็นชุดวิชาที่ประยุกต์หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ประกอบกับหลักการต่อต้านการทุจริตอื่นๆ เพื่อสร้างฐานคิดจิตพอเพียงต่อต้านการทุจริตให้เกิดขึ้นเป็นพื้นฐานความคิดของปัจเจกบุคคล โดยประยุกต์หลัก “STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต” ซึ่งคิดค้นโดยรองศาสตราจารย์ ดร.มาณี ไชยธีรานุวัฒศิริ ในปี 2560 มาเป็นแนวทางในการพัฒนาวัฒนธรรมหน่วยงาน

4.พลเมืองและความรับผิดชอบต่อสังคม พลเมืองศึกษาเป็นการจัดการศึกษาและประสบการณ์เรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เป็นพลเมืองดีของประเทศ มีความภูมิใจในความเป็นพลเมืองตนเอง มีสิทธิมีเสียง สนใจต่อส่วนรวม และมีส่วนร่วมในกิจการบ้านเมืองตามระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย หรือการเรียนรู้เกี่ยวกับรัฐบาล รัฐธรรมนูญ กฎหมาย ระบบการเมือง การปกครอง สิทธิและความรับผิดชอบของพลเมือง ระบบการบริหารจัดการสาธารณะและระบบตุลาการ

People unity news online : post 23 พฤษภาคม 2561 เวลา 11.00 น.

นายกฯชื่นชมแคมเปญ Friend of sacit สร้างกระแส Gen Z ใส่ผ้าไทย

People Unity News : 6 พฤศจิกายน 2565 นายกฯ ชื่นชมแคมเปญ Friend of sacit สร้างกระแสวัยรุ่น Gen Z ใส่ชุดผ้าไทย ด้านศิลปิน ดารา คนดัง ร่วมเป็นต้นแบบใช้งานคราฟต์สร้างมูลค่าเพิ่ม หัตถกรรมไทยให้โกอินเตอร์

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ชื่นชมแคมเปญ Friend of sacit ของสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) ที่มีออกกิจกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับงานหัตถกรรมไทยด้านต่างๆ ให้ทันสมัยเป็นที่สนใจของคนไทยและต่างชาติ เช่น ล่าสุดได้ชวนคนรุ่นใหม่แสดงพลังต้นแบบการใช้ผ้าไทยในกิจกรรม “แปลงโฉมวัยรุ่น Gen Z ด้วยผ้าไทย” ที่ให้วัยรุ่นมาสวมใส่ชุดผ้าไทยที่มีเสน่ห์แตกต่างกันตามภูมิภาค เพื่อสร้างกระแสการสวมใส่ผ้าไทยในหมู่เยาวชน เป็น Soft Power ที่จะส่งผลบวกทั้งด้านวัฒนธรรม สังคมและเศรษฐกิจ

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ก่อนหน้านี้แคมเปญ Friend of sacit ได้เชิญศิลปิน ดารา นักแสดง เซเลบริตี้คนดัง และผู้ที่อยู่ในแวดวงงานคราฟต์ มาเป็นต้นแบบเพื่อสื่อสารในภาพลักษณ์ของงานหัตถศิลป์ไทยในผลงานต่างๆ ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า ของใช้ส่วนตัว ที่มีความสวยงาม ทันสมัย สามารถใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่และประชาชนทั่วไป สะท้อนพลังสร้างสรรค์ของงานศิลปหัตถกรรมที่สามารถออกแบบให้มีความเป็นสากลแต่ยังคงสามารถสะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นไทยได้อย่างโดดเด่นได้

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ความสำคัญกับนโยบายการสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งประเทศไทยไทยมีจุดเด่นและความพร้อมด้านทุนวัฒนธรรมต่างๆ ที่จะก่อให้เกิดมูลค่าเศรษฐกิจ ซึ่งการผลักดัน Soft Power ไทยด้วยการนำทุนทางวัฒนธรรม จะเป็นการต่อยอดสร้างสรรค์สินค้าและบริการ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็ง พัฒนาประเทศ ทั้งในมิติสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ความมั่นคง และการสร้างเกียรติภูมิ ภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในเวทีโลก

Advertisement

นำร่องจังหวัดอุดรธานี! สภาสตรีฯผนึกพลัง”พช.” รณรงค์ใส่ผ้าไทยทั่วประเทศ หนุนเศรษฐกิจชุมชนกว่า 9 พันล้าน

People Unity : สภาสตรีฯผนึกพลังกับ กรมพัฒนาชุมชน รณรงค์ใส่ผ้าไทยทั่วประเทศหนุนเศรษฐกิจชุมชนกว่า 9 พันล้านบาท ลงพื้นที่นำร่องจังหวัดอุดรธานี

วันที่ 19 ต.ค.2562 เวลา 09.49 น. นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ให้การต้อนรับ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน และ นางรชตพร โตดิลกเวชช์ ประธานคณะกรรมการบริหารสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์และที่ปรึกษาประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน และคณะกรรมการจากสภาสตรีแห่งชาติ ฯ

เพื่อร่วมพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการประสานความร่วมมือ “โครงการสืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย ดำรงไว้ในแผ่นดิน” ระหว่าง นายนิรัตน์ ดร.วันดี และองค์กรสตรีในจังหวัดอุดรธานี ประกอบด้วยนางกอบแก้ว คงน้อย นายกสมาคมส่งเสริมวัฒนธรรมหญิง จ.อุดรธานี ดร. ประกายแก้ว รัตนะนาคะ นายกสมาคมผู้นำสตรีพัฒนาชุมชนจังหวัดอุดรธานี แพทย์หญิงเฉลิมวรรณ ศศิประภา นายกสมาคมสตรีนักธุรกิจหญิง และวิชาชีพแห่งประเทศไทย อุดรธานี นายหมวดตรี ดร. ยงฤดี พูลทรัพย์ นายกสมาคมสตรีอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี รศ. ดร.กฤตติกา แสนโภชน์ นายกสมาคมแม่ดีเด่นแห่งชาติอุดรธานี โดยมีนายอิทธพนธ์ ตรีวัฒนสุวรรณ นายกเทศมนตรีเทศบาลนครอุดรธานี นำสตรีในองค์กรมาร่วมงาน 50 คน และหัวหน้าส่วนราชการ พร้อมด้วยองค์สตรี ในจังหวัดอุดรธานี จากอำเภอต่างๆ จำนวน ๒๕๐ คน เข้าร่วมในพิธีดังกล่าว ณ ห้อง ประชุมอุดรดุษฎี โรงแรมเจริญโฮเต็ล

โดยเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2562 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน(พช.) และดร.วันดี ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการประสานความร่วมมือ โครงการสืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย ดำรงไว้ในแผ่นดิน ร่วมกันระหว่างสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ซึ่งมีองค์กรสมาชิก จำนวน ๒๑๒ องค์กร กระจายอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ กับ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ณ ห้องประชุมพระกรุณานิวาสน์ 1 สภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์
ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติฯ เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการสืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยการอนุรักษ์ ส่งเสริมและเผยแพร่ผ้าไทยศิลปะอันล้ำค่าของชาติให้ดำรงคงอยู่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย ให้ชาวโลกได้ชื่นชม อีกทั้งเพื่อเชิดชูอัตลักษณ์คุณค่าผ้าท้องถิ่นให้เกิดกระแสความนิยมการแต่งกายผ้าไทยแก่ประชาชนทั่วไปทั่วประเทศ และยังสนับสนุนส่งเสริมการสร้างงานสร้างอาชีพและเสริมสร้างรายได้ให้กับกลุ่มสตรีในท้องถิ่นสภาสตรีแห่งชาติฯจึงได้จัดโครงการนี้ขึ้นมา

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า เพื่อรณรงค์ให้คนไทยทั้งประเทศร่วมมือร่วมใจกันใส่ผ้าทอไทย ไม่ว่าจะเป็นผ้าฝ้าย ผ้าไหม เพื่อช่วยกันสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานราก ลดความเหลื่อมล้ำกระจายรายได้ให้แก่ชุมชน รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม และรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่น ทั้งนี้ การใส่ผ้าทอไทยทุกผืน ก่อให้เกิดรายได้กระจายไปยังชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มสตรีกว่า 90% รายได้ที่เกิดจากการทอผ้าออกจำหน่ายจะสามารถช่วยสตรียกระดับคุณภาพชีวิต ส่งบุตรหลานให้มีโอกาสเล่าเรียน ดูแลครอบครัวได้เมื่อยามเจ็บป่วย สร้างครอบครัวให้เข้มแข็ง

ดร.วันดี กล่าวว่า”หากคนไทยทั้งประเทศพร้อมใจกันสวมใส่ผ้าไทยในทุกวันทั้งประเทศ จะช่วยเป็นการส่งเสริมการทอผ้าในชุมชน สร้างงาน สร้างอาชีพ ลดปัญหาการว่างงาน ลดปัญหาการย้ายถิ่นฐาน และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้ ถ้าคนไทยร่วมมือร่วมใจกันใส่ผ้าไทย เพียง 30 ล้านคน จะมีความต้องการใช้ผ้าไทยถึง 300 ล้านเมตร/ปี เฉลี่ยราคาเมตรละ 300 บาทจะมีมูลค่ากว่าปีละ 9,000 ล้านบาท” ประธานสภาสตรีแห่งชาติฯกล่าวเชิญชวน

“แพนเค้ก​ เขมนิจ​”พร้อมครอบครัวทำบุญทอดกฐินที่วัดไทยเมืองลียง​ฝรั่งเศส

People Unity News : “แพนเค้ก​ เขมนิจ​”พร้อมครอบครัวทำบุญทอดกฐินที่วัดไทยเมืองลียง​ฝรั่งเศส สมเด็จพระมหาธีราจารย์เป็นประธาน

เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานคณกรรมการฝ่ายสาธารณะสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ เจ้าอาวาสวัดยานนาวา กรุงเทพมหานคร ได้เดินทางไปเป็นประธานในการทอดกฐินสามัคคี​ ณ​ วัดนวมินทรราชูทิศ​ เมืองลียง​ ประเทศฝรั่งเศส ในโอกาสนี้มี”แพนเค้ก​ เขมนิจ​ เขมนิจ​ จามิกรณ์” นางนวลอนงค์​ จามิกรณ์​ พร้อมครอบครัวและคณะ​ ได้เดินทางไปร่วมทำบุญด้วย

Cr.เพจ Watnawamin Lyon

บอร์ด สปสช. หนุน “อนุทิน”หลังคุย”หมอเลี๊ยบ” เร่งปฏิรูป “ห้องฉุกเฉิน” ลดแออัด

People Unity News : “อนุทิน” คุย “หมอเลี๊ยบ” ยกระดับห้องฉุกเฉินตั้งเป้าลดความแออัด จัดลำดับการรักษาอย่างถูกต้อง ขณะที่ บอร์ด สปสช. หนุน “แนวทางปฏิรูป” แยกจัดบริการนอกเวลาราชการ นำร่อง ปี 2563 ยกคุณภาพบริการลดความขัดแย้งวินิจฉัย

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้าในโครงการยกระดับห้องฉุกเฉิน 21 โรงพยาบาลว่า ได้เชิญนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาหารือเรื่องนี้ พร้อมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง แนวคิดคือสร้างระบบคัดกรองผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพ ห้องฉุกเฉิน ต้องใช้รักษาผู้ป่วยฉุกเฉินจริงๆ แต่ก็เข้าใจว่าใครป่วย ก็ต้องการรักษาด่วนทั้งนั้น ซึ่งมันต้องหาทางออก ต้องปรับปรุงระบบคัดกรอง ได้ฟังข้อเสนอจากหลายฝ่าย เมื่อฟังแล้วเป็นประโยชน์กับประชาชน ลดความแออัดในโรงพยาบาลและห้องฉุกเฉิน ย่อมเป็นเรื่องที่น่าสนับสนุน ส่วนเรื่องงบประมาณอย่าเป็นห่วง เพราะถ้ามีประโยชน์ เรื่องนี้ ไม่ใช่ปัญหา

จากนั้น นายอนุทินได้กล่าวถึงโครงการโรงพยาบาลอาหารปลอดภัยว่า เป็นโครงการที่มีอยู่แล้ว เพราะอาหารโรงพยาบาล ต้องสะอาด ถูกหลักอนามัย เพียงแต่ช่วงนี้ หยิบมาพูดถึงอีกครั้ง ซึ่งมีนโยบายให้ทุกโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ซื้อวัตถุดิบจากเกษตรกรไทย สร้างเม็ดเงินให้คนไทยด้วยกัน แต่ต้องระมัดระวังเรื่องสารเคมีตกค้างด้วย

ประเด็นเรื่องการยกระดับห้องฉุกเฉินนั้น สืบเนื่องมากจากที่นายอนุทินเคยโพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัวระบุว่า กำลังหารือแนวทางพัฒนาห้องฉุกเฉินโรงพยาบาล สร้างมาตรการ และมาตรฐานบริการประชาชน จะเริ่มต้นวันที่ 1 ธันวาคม นี้ ปรับปรุงศักยภาพ 21 โรงพยาบาล ก่อน ตามงบประมาณที่มี แล้วรองบประมาณปี 2563 ออกมา เพื่อจะพัฒนาให้ได้มากที่สุด

ผู้สื่อข่าวเปิดเผยว่า สำหรับโรงพยาบาล 21 แห่งข้างต้น ที่จะมีการปรับปรุงห้องฉุกเฉิน ประกอบด้วย เขต 1 รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ รพ.ลำปาง เขต 2 รพ.พุทธชินราช จ.พิษณุโลก เขต 3 รพ.สวรรค์ประชารักษ์ เขต 4 รพ.สระบุรี รพ.พระนครศรีอยุธยา รพ.ปทุมธานี เขต 5รพ.นครปฐม เขต 6 รพ.ชลบุรี รพ.ระยอง เขต 7 รพ.ขอนแก่น เขต 8 รพ.อุดรธานี เขต 9 รพ.มหาราชนคราราชสีมา รพ.บุรีรัมย์ เขต 10 รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี เขต 11 รพ.สุราษฎร์ธานี รพ.วชิระภูเก็ต เขต 12 รพ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และรพ.สังกัดกรมการแพทย์ 3 แห่ง คือรพ.ราชวิถี รพ.นพรัตนราชธานี และรพ.เลิดสิน

อย่างไรก็ตามที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นายอนุทิน ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) โดยที่ประชุมได้เห็นชอบข้อเสนอการใช้สิทธิบริการสาธารณสุข ตามนโยบาย “บริการเจ็บป่วยฉุกเฉินคุณภาพ” นำเสนอโดย นพ.การุณย์ คุณติรานนท์ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

นายอนุทิน กล่าวว่า ตามข้อเสนอ “แนวทางการปฏิรูปห้องฉุกเฉิน” โดยกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2562 มีหลักการเพื่อลดความแออัดในห้องฉุกเฉินเพื่อให้ผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินวิกฤตและเร่งด่วน ได้รับบริการมีคุณภาพมากขึ้น แยกการบริการเจ็บป่วยไม่รุนแรงและเจ็บป่วยทั่วไปออก และเพื่อให้ผู้ป่วยที่มีอาการที่ไม่ถึงเกณฑ์เจ็บป่วยฉุกเฉินเร่งด่วนมีสิทธิเข้ารับบริการนอกเวลาราชการ โดยมอบให้ สปสช. ร่วมพัฒนาระบบในการสนับสนุนค่าใช้จ่ายการบริการผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรง (สีเขียว) และผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการ

ที่ผ่านมา สปสช.ได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการปฏิรูปห้องฉุกเฉิน โดยมีการออกประกาศตามข้อ 10 วรรคสอง ของข้อบังคับมาตรา 7 กำหนดเพิ่ม “เหตุสมควรอื่นเพื่อลดความแออัดในห้องฉุกเฉินและเพิ่มคุณภาพในการใช้บริการนอกเวลาราชการ” เพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรง (สีเขียว) และผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและได้รับบริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน กำหนดเงื่อนไขจัดบริการนอกเวลาราชการเฉพาะหน่วยบริการเฉพาะที่มีศักยภาพตามแนวทางบริการฉุกเฉินคุณภาพ โดยแยกจัดบริการเป็น 2 ห้องชัดเจน ตามมาตรฐาน คือ ห้องฉุกเฉินคุณภาพเพื่อดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตและเจ็บป่วยฉุกเฉินเร่งด่วน (สีแดงและสีเหลือง) และห้องฉุกเฉินไม่รุนแรงเพื่อดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรง (สีเขียว) และที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลา พร้อมแยกระบบข้อมูลบริการนอกเวลาราชการ

นอกจากนี้ได้เพิ่มค่าบริการสาธารณสุขนอกเวลาราชการในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรงและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการเป็นรายการบริการใหม่ โดยกำหนดอัตราชดเชยค่าบริการ 150 บาทต่อครั้ง ซึ่งในปีงบประมาณ 2563 (10 เดือน) คาดว่าจะมีการรับบริการประมาณ 1.05 ล้านครั้ง หรือร้อยละ 10 ของการรับบริการผู้ป่วยนอก ใช้งบประมาณไม่เกิน 157.50 ล้านบาท โดยจะเป็นการใช้เงินกองทุนรายการรายได้สูง (ต่ำ) กว่าค่าใช้จ่ายสะสมในการดำเนินการ

ด้าน นพ.การุณย์ กล่าวว่า การจ่ายชดเชยค่าบริการสาธารณสุขนอกเวลาราชการในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรงและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการนี้ จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป โดยในปีงบประมาณ 2563 มีโรงพยาบาลร่วมนำร่องจับ 34 แห่ง ซึ่งผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรงและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

“สปสช.มีนโยบายสนับสนุนการปฏิรูปห้องฉุกเฉินตามข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับบริการที่มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อให้ห้องฉุกเฉินเป็นพื้นที่ดูแลเฉพาะรับผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตและผู้ป่วยเจ็บป่วยฉุกเฉินเร่งด่วนเท่านั้น ขณะเดียวกันเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรงและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากช่วยลดความแออัดในห้องฉุกเฉินแล้วยังลดความขัดแย้งระหว่างบุคลากรทางการแพทย์กับผู้ป่วยและญาติในความเห็นที่ไม่ตรงกันกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน” นพ.การุณย์ กล่าว

เตือนผู้ที่มีภาวะไขมันส่วนเกินสะสมมากกว่าปกติเสี่ยงเป็นโรคหอบหืด

People Unity : กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคทรวงอก เตือนผู้ที่มีภาวะไขมันส่วนเกินสะสมมากกว่าปกติ หรือโรคอ้วนลงพุง ทำให้ระบบหายใจทำงานติดขัด ก่อให้เกิดโรคหอบหืดตามมา

วันที่ 25 ต.ค.2562 นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า การรับประทานอาหารเกินความต้องการของร่างกาย ทำให้เกิดภาวะที่มีไขมันสะสมมากผิดปกติหรือมากเกินกว่าที่ร่างกาย จะเผาผลาญออกไป ส่งผลให้พุงยื่นออกมาอย่างชัดเจน เรียกว่า โรคอ้วนลงพุง ซึ่งผลแทรกซ้อนของ โรคดังกล่าว อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมา คือ เสี่ยงกับภาวะไขมันอุดตันหลอดเลือดและหัวใจ อาทิ โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง ไตวาย มะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ ภาวะหัวใจล้มเหลว อีกทั้งไขมันส่วนเกินนั้นยังสามารถเข้าไปสะสมในปอดจนเบียดทางเดินหายใจ ทำให้หลอดลมตีบลง เกิดอาการเหนื่อยง่าย หายใจลำบากซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหอบหืดได้ ทั้งนี้ผู้ที่เข้าเกณฑ์เสี่ยงโรคอ้วนลงพุงจะมีลักษณะต่างๆ อย่างน้อย 3 ข้อ ดังนี้ คือ 1. ภาวะอ้วนลงพุง 2. ความดันโลหิตสูง 130/85 มม.ปรอทขึ้นไป 3. น้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารสูงกว่า 100 มิลลิกรัม ต่อเดซิลิตรขึ้นไป 4. ไขมันไตรกลีเซอไรด์สูงกว่า 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร 5. มีไขมันดี ชนิด HDL ต่ำ โดยเพศชายน้อยกว่า 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และเพศหญิงน้อยกว่า 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หากพบว่าร่างกายมีลักษณะดังกล่าว ต้องรีบหาแนวทางการรักษาและป้องกันโรคอ้วนลงพุง เพื่อห่างไกลโรคร้ายแทรกซ้อนที่จะตามมาอย่างทันท่วงที

นายแพทย์เอนก กนกศิลป์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคอ้วนลงพุง เป็นกระบวนการหนึ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดลม ทำให้มีอาการโรคหอบหืดตามมา อาการในผู้ป่วยโรคหอบหืดมักจะเหนื่อยหอบเวลาออกแรง ไอ เสมหะเหนียวข้น หายใจลำบาก แน่นหน้าอก และมีเสียงดังวี๊ดๆ หรือมีอาการในช่วงกลางคืน และมีค่าความเร็วของลมหายใจออกสูงสุดอยู่ระหว่าง 50 – 80 % ของค่าที่ดีที่สุด ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรค ผู้ป่วยต้องปฏิบัติตนด้วยการคุมอาหารและลดน้ำหนักในรายที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วัน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารไม่ให้มีปริมาณมากเกินไป หลีกเลี่ยงอาหารประเภททอด มัน กะทิ ดื่มน้ำเปล่าหลีกเลี่ยงน้ำหวานและน้ำอัดลม หากสามารถปฏิบัติตนตามคำแนะนำต่างๆเหล่านี้ ได้อย่างถูกต้อง สม่ำเสมอ จะทำให้หลีกหนีโรคอ้วนลงพุง ส่งผลให้มีสุขภาพแข็งแรงห่างไกลโรคร้ายที่แทรกซ้อนตามมาอีกด้วย

รู้ยัง? สปสช. สานต่อดูแลผู้ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง (กลุ่มสีเขียว) ผ่านทาง 2 แอป

People Unity News : 19 กรกฎาคม 2565 สปสช. สานต่อการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 สิทธิบัตรทอง (กลุ่มสีเขียว) ผ่านบริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ที่อยู่ในพื้นที่ กทม. – ปริมณฑล คือ นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร

โดยสามารถเลือกลงทะเบียนตามแบบฟอร์มลงทะเบียนโครงการ Self-Isolation สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 สนับสนุนโครงการโดย สปสช. และ สวทช. ผ่านการให้บริการ ดังนี้

1.แอปฯ Good Doctor Technology ให้บริการโดย บริษัท กู๊ด ด็อกเตอร์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) : https://forms.gle/YKVMKy1p8FRDDBje7 สอบถามเพิ่มเติม LINE ID: @GDTT

2.แอปฯ MorDee (หมอดี) ให้บริการโดย บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด : https://form.typeform.com/to/cNKqNz3p สอบถามเพิ่มเติม LINE ID : @mordeeapp

Advertisement

กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและพฤติกรรม แนะเคล็ดลับ ”เลี้ยงลูกอย่างไรให้สนุก”

People Unity News ลูกดื้อจังเลย ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ นอนก็ดึก ตื่นก็สาย ให้กินข้าวก็ไม่ยอมกิน คุณพ่อคุณแม่หลายท่านเคยประสบปัญหาแบบนี้ และทำให้ต้องเสียอารมณ์หรือไม่ บางท่านอาจบอกว่าทุกวัน และบางท่านอาจบอกว่านานๆลูกถึงจะออกฤทธิ์ จะมีวิธีรับมืออย่างไรดี

1 เมษายน 2565 นายแพทย์ไพโรจน์  สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า การได้เลี้ยงลูกง่ายก็อาจบอกว่าโชคดีมีบุญที่ทำมาแต่ปางก่อน แต่จริงๆแล้วถ้าเข้าใจพัฒนาการเด็กก็อาจจะเลี้ยงได้แบบสนุกและทำตามอย่างที่ต้องการได้ไม่ยากเลย เด็กแต่ละวัยมีความเข้าใจและความต้องการแตกต่างกัน วัยที่มีความสำคัญมากต่ออนาคตของเด็ก และมักประสบปัญหาเรื่องพฤติกรรมบ่อยๆ คือช่วงปฐมวัย หรืออายุก่อน 6 ปี โดยเฉพาะช่วง 2-3 ขวบ เด็กจะมีอารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วและยึดเอาตัวเองเป็นสำคัญ ถ้าบอกว่าไม่ หรืออย่า จะทำทันที หรือแอบทำให้ได้ แต่ถ้าบอกให้ทำจะไม่ยอมทำเด็ดขาด ฉะนั้น คำเหล่านี้จะเป็นคำต้องห้าม ที่จะพูดกับเด็กเวลาอยากจะให้เข้าทำอะไรหรือห้ามทำอะไร

นายแพทย์อภิชัย  สิรกุลจิรา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กล่าวเพิ่มว่า เด็กๆจะรู้สึกมีความสุข มีความภูมิใจและอยากทำ ถ้าเขาได้เป็นคนจัดการเองหรือเป็นคนที่ตัดสินใจทำด้วยตัวเอง นอกจากนี้เด็กๆจะชอบเลียนแบบสิ่งที่ผู้ใหญ่ทำ เช่น เห็นผู้ใหญ่นั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์ เขาก็จะอยากกดคอมพิวเตอร์ด้วย เห็นผู้ใหญ่ถูบ้าน เขาก็อยากถูบ้านด้วย ฉะนั้นวิธีการสอนลูกที่ดีที่สุดก็คือเป็นตัวอย่างให้ลูกดู ไม่ใช่สอนโดยการบ่น หรือสั่ง เช่น สอนให้ลูกพูดจาไพเราะ แต่พ่อแม่เวลาลืมตัวโมโหเสียงดังแล้วพูดหยาบคาย ลูกก็คงไม่มีวันพูดจาสุภาพอ่อนหวานได้

แพทย์หญิงอินท์สุดา แก้วกาญจน์ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและพฤติกรรม กล่าวเสริมว่า สิ่งสำคัญอย่าเอาชนะคะคานกับลูก แต่ก็ไม่ใช่ยอมลูกไปเสียทุกอย่าง เช่น ต้องพาลูกไปธุระที่ต้องแต่งตัวเรียบร้อย แต่ลูกไม่ยอม จะใส่แต่เสื้อตัวเก่งที่สีสะดุดตาลายการ์ตูนตัวโปรดไม่เหมาะกับกาลเทศะ ควรหาวิธีที่จะทำให้เหมือนลูกเป็นคนเลือกเอง แต่ตัวเลือกที่ผู้ปกครองหยิบมาให้ลูกเลือก เป็นเสื้อที่ดูแล้วเหมาะกับงานทุกตัวเลือก ลูกก็จะรู้สึกว่าลูกเป็นคนจัดการเองไม่ใช่โดนบังคับ แนะนำเคล็ดลับสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง 3 ข้อให้ดูแลเลี้ยงลูกในวัยนี้

1) พ่อแม่และทุกคนในครอบครัวต้องคิดไว้เสมอว่าสิ่งที่เราแสดงออกนั้นเด็กๆจะมองเห็นและเรียนรู้ที่จะทำตามตลอดเวลา อย่าคิดว่าเขาเป็นเด็กเล็กที่ยังไม่รู้เรื่องเด็ดขาด

2) ควรมีความสม่ำเสมอในกิจวัตรประจำวัน เช่น กินป็นเวลา นอนเป็นเวลา ระยะเวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะการดูหน้าจอต่างๆไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน การจะทำกิจวัตรเหล่านี้ให้ได้เป็นเวลาส่ำเสมอต้องอาศัยความแน่วแน่และความเข้มแข็งทางใจของพ่อแม่ ไม่ใช่เจอลูกอ้อน ร้องไห้หรือลูกดื้อหน่อยก็ยอมลูก แต่ก็ไม่ควรใช้อารมณ์กับลูก

3) ปรับพฤติกรรมเด็กด้วยกันเป็นทีมเวิร์คโดยทุกคนในบ้านต้องร่วมมือกันมีความเห็นตกลงไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ใช่พ่อห้ามทำพฤติกรรมแบบนี้แต่ปู่กับย่าบอกไม่เป็นไร เด็กจะสับสนและคิดว่าเราทำอะไรก็ได้มีคนเข้าข้างแน่นอน เขาจะไม่เรียนรู้ว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ ท้ายนี้พ่อแม่ไม่ต้องเครียด ทำอารมณ์ให้สดชื่นเสมอ มองโลกในแง่ดีคิดเสียว่าลูกดื้อ หมายความว่าลูกเราเก่งพอที่จะมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว ก้าวไปสู่วัยที่โตขึ้นไปอีกก้าว

Advertisement

กยศ.เพิ่มวงเงินให้กู้เป็น 40,000 ล้าน รองรับนักเรียน-นักศึกษากู้ 700,000 ราย

People Unity News : กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ขยายกรอบการให้กู้ยืมปีการศึกษา 2564 โดยเพิ่มวงเงินให้กู้ยืมเป็น 40,000 ล้านบาท เพื่อรองรับนักเรียน นักศึกษา จำนวน 700,000 ราย พร้อมขยายเวลายื่นขอกู้ยืมเงินภาคเรียนที่ 1/2564 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2564

นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้เปิดเผยว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในช่วงที่ผ่านมาทำให้มีผู้ประสงค์จะขอกู้ยืมเพื่อการศึกษามากขึ้น คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบในการขยายกรอบวงเงินการให้กู้ยืมแก่นักเรียน นักศึกษาผู้ประสงค์ขอกู้ยืมในปีการศึกษา 2564 จากเดิมที่กองทุนได้กำหนดกรอบการให้กู้ยืมไว้ จำนวน 38,587 ล้านบาท สำหรับผู้กู้ยืม จำนวน 623,891 ราย โดยได้เพิ่มกรอบวงเงินเป็น 40,000 ล้านบาท สำหรับผู้กู้ยืม จำนวน 700,000 ราย เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบต่างๆ ให้กับนักเรียน นักศึกษา ผู้ปกครองที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ดังกล่าว จึงขอให้ผู้ปกครองไม่ต้องเป็นกังวลในเรื่องค่าใช้จ่ายในการศึกษาของบุตรหลาน ทั้งนี้ กองทุนขอยืนยันว่ากองทุนมีเงินให้กู้ยืมเพียงพอสำหรับนักเรียน นักศึกษาได้มีโอกาสได้เรียนต่ออย่างแน่นอน ซึ่งในปีนี้กองทุนได้รับชำระหนี้ประมาณ 32,000 ล้านบาท โดยจะนำเงินที่ได้รับจากการรับชำระหนี้มาหมุนเวียนให้กับผู้กู้ยืมโดยไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินแต่อย่างใด

โดยขณะนี้ กองทุนได้ขยายเวลายื่นขอกู้ยืมเงินภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2564 นักเรียน นักศึกษาสามารถยื่นกู้ยืมผ่านโทรศัพท์มือถือด้วยแอปพลิเคชัน กยศ. Connect หรือทาง www.studentloan.or.th โดยไม่ต้องมีผู้ค้ำประกันในการทำสัญญากู้ยืมเงินใหม่ ซึ่งกองทุนได้เปิดระบบ DSL ให้ผู้กู้ยืมและสถานศึกษาได้เริ่มดำเนินการกู้ยืมในปีการศึกษา 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นมา ขณะนี้มีผู้ประสงค์ขอกู้ยืม จำนวน 616,834 ราย ซึ่งกองทุนได้อนุมัติการกู้ยืมเงินไปแล้ว 584,077 ราย ซึ่งเป็นปีแรกที่กองทุนได้เปิดให้มีการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาครบทั้ง 4 ลักษณะ ได้แก่ 1) นักเรียนหรือนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ 2) นักเรียนหรือนักศึกษาที่ศึกษาในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลัก ซึ่งมีความชัดเจนของการผลิตกำลังคนและมีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ 3) นักเรียนหรือนักศึกษาที่ศึกษาในสาขาวิชาขาดแคลน หรือที่กองทุนมุ่งส่งเสริมเป็นพิเศษ และ 4) นักเรียนหรือนักศึกษาที่เรียนดีเพื่อสร้างความเป็นเลิศในระดับปริญญาโท หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่โทร 0 2016 4888 หรือไลน์บัญชีทางการ กยศ.” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าว

Advertising

Verified by ExactMetrics