วันที่ 30 เมษายน 2024

กทม.จับมือ สภาเภสัชกรรม เชื่อมโยงการทำงานร้านยาคุณภาพ กับศูนย์บริการสาธารณสุข กทม.

People Unity News : 25 กรกฎาคม 2566 กทม. ร่วมกับ สภาเภสัชกรรม เชื่อมโยงการทำงานร้านยาคุณภาพ กับศูนย์บริการสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร เพิ่มทางเลือกให้ประชาชน ในการดูแลรักษาภาวะความเจ็บป่วยเบื้องต้น และเพิ่มประสิทธิภาพการส่งต่อผู้ป่วยไปยังศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร

รองศาสตราจารย์ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หารือกับ เภสัชกรปรีชาพันธุ์ติเวช อุปนายกสภาเภสัชกรรม คนที่ 2 และคณะ เพื่อร่วมกันหาแนวทางลดความแออัดในโรงพยาบาลและพัฒนาระบบสาธารณสุขปฐมภูมิให้เข้มแข็ง ด้วยการนำร้านยาคุณภาพ ซึ่งผ่านการรับรองจากสภาเภสัชกรรม เข้ามาอยู่ในเครือข่ายเดียวกับกรุงเทพมหานคร ผ่านระบบBangkok Health Zoning เพื่อเชื่อมต่อการทำงานระหว่างร้านยาคุณภาพกับศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร ทำให้ระบบสาธารณสุขปฐมภูมิ หรือหน่วยการรักษาพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้าน มีความเข้มแข็ง และทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการให้บริการได้ง่ายมากขึ้นและทางเลือกของประชาชนในการดูแลรักษาภาวะความเจ็บป่วยเบื้องต้นของตนเอง เพราะร้านยาคุณภาพ จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความรู้ความเข้าใจในการใช้ยาที่ถูกต้อง และการดูแลรักษาสุขภาพ ควบคู่กับการให้บริการด้านยาและส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาที่เหมาะสมตลอดจนให้คำแนะนำ และช่วยดูแลประชาชนในเรื่องของสิทธิการรักษา รวมถึง ส่งต่อผู้ป่วยไปยังศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานครได้

ทั้งนี้ ในอนาคต กรุงเทพมหานครและสภาเภสัชกรรม จะมีการทำ MOU ร่วมกันในเรื่องนี้ และจะมีการนำข้อมูล ตลอดจนพิกัดของร้านยาคุณภาพมาอยู่บนระบบ Bangkok Health Map เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการระบบสาธารณสุขในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้มีประสิทธิภาพต่อไป

Advertisement

วันลอยกระทง!กรมควบคุมโรคแนะนำวัยรุ่นคู่รักให้รู้จักป้องกันการมีเพศสัมพันธ์

People Unity News : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนในช่วงเทศกาลวันลอยกระทงปีนี้ให้ระมัดระวังอุบัติเหตุจากการจมน้ำ ผู้ปกครองควรดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ไม่ปล่อยให้เด็กลงไปเก็บกระทงหรือปล่อยเด็กเล็กอยู่ตามลำพัง เพราะอาจเสี่ยงจมน้ำเสียชีวิตได้แม้ระดับน้ำลึกเพียง 2-3 นิ้ว และอุบัติเหตุจากการจุดประทัด ดอกไม้ไฟ พลุ พร้อมแนะวัยรุ่นคู่รักให้รู้จักป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ในค่ำคืนวันลอยกระทง

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 นายแพทย์อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีและโฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวว่า วันลอยกระทงปีนี้ตรงกับวันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 ซึ่งในแต่ละพื้นที่จะมีการจัดกิจกรรมตามประเพณี และจะมีประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมงาน โดยทุกปีจะพบผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำในค่ำคืนวันลอยกระทง จากข้อมูลของกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เฉพาะช่วงลอยกระทง 3 วัน (ก่อนวันลอยกระทง วันลอยกระทง และหลังวันลอยกระทง) ในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา (ปี 2557-2561) พบผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำรวม 166 ราย (เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จำนวน 29 ราย) โดยในปี 2561 เพียงปีเดียว พบผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำ 26 ราย (เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จำนวน 5 ราย) และบางรายอาจได้รับอุบัติเหตุจากการจุดประทัด ดอกไม้ไฟ พลุ ทำให้ได้รับบาดเจ็บตามอวัยวะต่างๆของร่างกาย ดังนั้น กรมควบคุมโรค จึงขอเตือนประชาชนในช่วงเทศกาลวันลอยกระทงปีนี้ ขอให้ระมัดระวังอุบัติเหตุดังกล่าว นอกจากนี้ ขอแนะนำวัยรุ่นคู่รักที่มักควงคู่กันออกมาลอยกระทงให้รู้จักป้องกันการมีเพศสัมพันธ์

คำแนะนำในการป้องกันการจมน้ำ ให้ยึดหลัก 3 อย่า คือ 1.อย่าใกล้: อย่ายืนใกล้ขอบบ่อ 2.อย่าเก็บ: อย่าลงน้ำไปเก็บเงินในกระทง 3.อย่าก้ม: อย่าก้มไปลอยกระทง โดยผู้ปกครองควรดูแลเด็กอย่างใกล้ชิดไม่ให้คลาดสายตา และเพิ่มความระมัดระวังเมื่อนำเด็กเข้าใกล้แหล่งน้ำ โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ต้องอยู่ในระยะที่แขนเอื้อมถึง ไม่ปล่อยให้เด็กไปลอยกระทงกันเองตามลำพังแม้จะอยู่บนฝั่งเพราะอาจพลัดตกหรือลื่นได้ รวมถึงในกะละมังหรือถังน้ำด้วย และไม่ควรให้เด็กลงเก็บกระทงหรือเก็บเงินในกระทงเด็ดขาด เพราะเด็กอาจเสี่ยงจมน้ำและเสียชีวิตได้ ส่วนในกลุ่มผู้ใหญ่ควรหลีกเลี่ยงการดื่มสุรา และลงน้ำ หากมีการโดยสารเรือให้สวมเสื้อชูชีพทุกครั้งทั้งผู้ใหญ่และเด็ก

นายแพทย์อัษฎางค์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับคำแนะนำในการจุดประทัด ดอกไม้ไฟ และพลุ เพื่อความปลอดภัย ควรปฏิบัติดังนี้ 1.ไม่จุดประทัด พลุ ดอกไม้ไฟ ใกล้วัตถุไวไฟหรืออาคารบ้านเรือน ไม่เล่นผาดโผน อาจเสี่ยงเกิดการระเบิดได้ 2.ผู้ปกครองไม่ควรให้เด็กนำประทัด ดอกไม้ไฟมาจุด 3.หากจำเป็นต้องใช้ในงานพิธี ควรอ่านคำแนะนำก่อน และควรจุดให้ห่างจากตัวประมาณ 1 ช่วงแขน 4.ห้ามพยายามจุดประทัด ดอกไม้ไฟ และพลุที่จุดแล้วไม่ติดอย่างเด็ดขาด 5.ไม่เก็บประทัด ดอกไม้ไฟ และพลุไว้ในกระเป๋าเสื้อ กางเกง หรือที่มีอากาศร้อน แดดส่องถึง เพราะอาจเกิดการเสียดสีและระเบิดได้ 6.ควรเตรียมภาชนะบรรจุน้ำไว้ใกล้ๆ ไว้ใช้กรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน 7.ห้ามประกอบหรือดัดแปลงประทัด ดอกไม้ไฟ และพลุไว้จุดเองเด็ดขาด 8.ให้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 อย่างเคร่งครัด และ 9.หากเกิดอุบัติเหตุ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อนิ้วหรืออวัยวะใดอวัยวะหนึ่งขาดจากแรงระเบิด ให้รีบห้ามเลือดบริเวณที่อวัยวะขาด โดยใช้ผ้าสะอาดปิดบาดแผล และพันบาดแผลให้แน่นเพื่อป้องกันเลือดออก ไม่ควรใช้เชือกหรือสายรัดเหนือแผลเพราะจะทำให้เส้นประสาทหรือหลอดเลือดเสียหายได้ และรีบโทรแจ้งขอความช่วยเหลือจากทีมแพทย์กู้ชีพ โทร. 1669

นอกจากนี้ ขอแนะนำกลุ่มวัยรุ่นให้มีสติ รู้จักป้องกันการมีเพศสัมพันธ์อย่างถูกวิธี ดังนี้ 1.ควรหาวิธีปฏิเสธหรือต่อรอง เมื่ออยู่ในสภาวะที่ไม่พร้อมจะมีเพศสัมพันธ์หรือเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย 2.หากหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพื่อป้องกันการเกิดโรค หรือการตั้งครรภ์ที่ยังไม่พร้อม 3.ระมัดระวังและไม่ควรไว้ใจผู้อื่นง่ายๆ ควรไปลอยกระทงเป็นกลุ่มไม่ไปในพื้นที่ล่อแหลมสุ่มเสี่ยง อย่าเปิดโอกาสที่จะอยู่ด้วยกันสองต่อสอง 4.ไม่ควรพิสูจน์ความรักด้วยการมีเพศสัมพันธ์ เพราะการมีเพศสัมพันธ์ดังกล่าวนี้ อาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย เช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการติดเชื้อเอชไอวี การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์อันจะนำไปสู่ปัญหาการทำแท้ง ก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมและสังคมตามมา

กรมควบคุมโรคเผยกรุงเทพฯผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุดรอบสัปดาห์

People Unity : กรมควบคุมโรคเผยแพร่”พยากรณ์โรคและภัยสุขภาพรายสัปดาห์” กรุงเทพฯผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุด

วันที่ 26 ต.ค.2562 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค สถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทย จากศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุเพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน (ข้อมูล ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2562) พบผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน 737,464 ราย และเสียชีวิต 13,291 ราย ส่วนจังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุด คือ กรุงเทพฯ รองลงมาคือชลบุรี นครราชสีมา เชียงใหม่ และสมุทรปราการ ตามลำดับ สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ นอกจากตัวผู้ขับขี่และยานพาหนะแล้ว ยังมีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมด้วย เช่น ฝนตก ถนนลื่น ทัศนวิสัยไม่ดี

อธิบดีกรมควบคุมโรคระบุอีกว่า การพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพประจำสัปดาห์นี้ คาดว่าในช่วงนี้มีโอกาสจะพบอุบัติเหตุทางถนนอย่างต่อเนื่อง เพราะประเทศไทยเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ประชาชนมักเดินทางท่องเที่ยวตามภูเขาสูง โดยเฉพาะทางภาคเหนือ ซึ่งในช่วงเช้าอาจมีหมอกลงจัด ทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลงได้ ประกอบกับในบางพื้นที่ยังมีฝนตก อาจทำให้ถนนลื่น เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน กรมควบคุมโรค จึงขอแนะนำให้ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ใช้หลักการป้องกันการบาดเจ็บ ตามหลัก 3ม. 2ข. 1ร. ได้แก่ 3ม. (เมาไม่ขับ สวมหมวกนิรภัย มอเตอร์ไซค์ปลอดภัย) 2ข. (คาดเข็มขัดนิรภัย พกใบขับขี่ติดตัวเสมอ) และ 1ร. (ขับขี่ไม่เร็ว) หากผู้ขับขี่รู้สึกเกิดความอ่อนล้า อย่าฝืนขับ ควรพักงีบหลับอย่างน้อย 15 นาที และหลีกเลี่ยงการโดยสารบนกระบะท้าย กรณีมีความจำเป็นต้องโดยสารให้มีหลังคาปกปิด และมีที่นั่งสองแถวที่มั่นคงแข็งแรง ไม่นั่งห้อยโหนหรือยืนกระบะท้าย ตรวจสอบสมรรถนะรถและสภาพความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ ใช้ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด ขับขี่รถยนต์ตามกฎจราจร และเว้นระยะห่างขณะขับตามรถคันหน้าให้มากกว่าปกติเป็น 2 เท่า โดยเฉพาะช่วงฝนตกหรือหมอกลงจัด เพื่อลดอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้

รัฐบาลเดินหน้าปรับระดับฝีมือแรงงาน (Reskill) ให้แก่ “แรงงาน” ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด

People Unity News : รัฐบาลเดินหน้าปรับระดับฝีมือแรงงาน (Reskill) ให้แก่ “แรงงาน” ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด พร้อมเชิญชวนนายจ้างลงทะเบียนร่วมโครงการส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงานในธุรกิจ SMEs ระยะ 2 ตั้งแต่วันนี้ – 20 ธ.ค. 64

13 ธ.ค.64 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า สถานการณ์ด้านแรงงานส่งสัญญาณในทิศทางที่ดีขึ้น โดยการว่างงานในระบบประกันสังคมในปี 2564 ดีขึ้นจากปี 2563

เนื่องจากจำนวนผู้ประกันตนที่ขอสิทธิประโยชน์การว่างงานที่ลดลง และจำนวนผู้ประกันตนที่เข้าสู่ระบบมากกว่าจำนวนผู้ที่ออกจากระบบ ซึ่งสอดคล้องกับการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจทั้งในภาคการส่งออก การผลิต และการบริโภค ซึ่งช่วยพยุงการจ้างงานโดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs

โดยกระทรวงแรงงานจะเร่งพัฒนาทักษะแรงงานเพื่อยกระดับ (Unskill) ปรับระดับฝีมือแรงงาน (Reskill) ให้แก่แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เน้นในภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและผู้ว่างงานอื่นๆ

สำหรับนายจ้าง กระทรวงแรงงานได้เปิดโครงการส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงานในธุรกิจ SMEs ลงทะเบียนระยะที่ 2 ได้ตั้งแต่วันนี้  – 20 ธ.ค. 64 โดยนายจ้างที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการจ้างงานจะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลในอัตรา 3,000 บาท/ลูกจ้างสัญชาติไทย 1 คน/เดือน เป็นระยะเวลา 2 เดือน (ธ.ค. 64 และ ม.ค. 65)

Advertising

2 กระทรวงจับมือสำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยผ่านทางแอพ “คนไทยมีบ้าน : Home for All”

People unity news online : 16 พฤษภาคม 2560 กระทรวงการคลัง โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) สำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยผ่านแอพพลิเคชั่น “คนไทยมีบ้าน : Home for All” รวมทั้งเว็บไซต์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นได้แล้วตั้งแต่วันนี้ (16 พฤษภาคม 2560) เป็นต้นไป หวังนำผลสำรวจไปจัดทำฐานข้อมูลในการวางแผนพัฒนาปริมาณที่อยู่อาศัยใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน พร้อมเตรียมแคมเปญสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยพิเศษมอบให้ผู้ที่ร่วมตอบแบบสำรวจ

พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการและบริการของรัฐ โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และผู้ด้อยโอกาส เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญประการหนึ่งในการสร้างความมั่นคงในชีวิตให้กับประชาชนให้มีที่อยู่อาศัย มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และเพื่อเป็นการนำนโยบายมาสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะหน่วยงานหลักในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยของประเทศ จึงได้จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) เพื่อใช้เป็นกรอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะยาวโดยบูรณาการความร่วมมือในการดำเนินงานกับภาคีทุกภาคส่วน ภายใต้วิสัยทัศน์ “คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่วและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2579 : Smart Housing” ซึ่งการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกระทรวงการคลัง โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ กับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  โดยการเคหะแห่งชาติ และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) จัดทำ “โครงการแอพพลิเคชั่นคนไทยมีบ้าน : Home for All” เพื่อสำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น “คนไทยมีบ้าน : Home for All” ที่ App Store (ระบบปฏิบัติการ iOS) และ Play Store (ระบบปฏิบัติการ Android) เพื่อกรอกแบบสำรวจผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ท หรือกรอกแบบสำรวจผ่านระบบอินเตอร์เน็ทบนคอมพิวเตอร์ได้ที่เว็บไซต์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ www.ghbank.co.th และเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ www.reic.or.th ขณะเดียวกัน การเคหะแห่งชาติ และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ซึ่งมีพันธกิจเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือและส่งเสริมให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัย จะนำผลสำรวจที่ได้ไปจัดทำเป็นฐานข้อมูลในการศึกษาวิเคราะห์ วางแผนในการพัฒนาปริมาณที่อยู่อาศัยใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในแต่ละกลุ่ม มีความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ช่วยให้คนไทยได้มีบ้านอย่างทั่วถึงต่อไป

ด้าน นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงานดำเนินการสำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างเป็นรูปธรรมจากประชาชนทั่วประเทศผ่านแอพพลิเคชั่น “คนไทยมีบ้าน : Home for All” ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นความมุ่งมั่น และความพยายามของรัฐบาลในการจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนทุกกลุ่มในสังคมอย่างเท่าเทียม โดย ธอส.เป็นผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นรวมทั้งดำเนินการด้านเทคนิคเพื่อให้สามารถใช้แอพพลิเคชั่นสำรวจและจัดเก็บข้อมูล จากนั้นศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์จะสรุปภาพรวมรายงานต่อกระทรวงการคลัง และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นรายสัปดาห์ และรายเดือน พร้อมนำมาวิเคราะห์เชื่อมโยงกับข้อมูลด้านอุปทานที่มีอยู่ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เพื่อนำผลเข้าเสนอต่อคณะกรรมการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน และนำไปจัดทำเป็นข้อเสนอในการจัดหาอุปทานที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนทั้งในปัจจุบันและอนาคตต่อผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ซึ่งถือเป็นการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาตามแนวทางประชารัฐได้อย่างสมบูรณ์อีกทางหนึ่งด้วย

ขณะที่ นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กล่าวว่า เมื่อประชาชนดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น “คนไทยมีบ้าน : Home for All” แล้วจะสามารถเข้าไปตอบแบบสำรวจผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ทได้ทันที ซึ่งผู้ที่ตอบแบบสำรวจจะต้องกรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ-นามสกุล อายุ อาชีพ รายได้ต่อเดือน วงเงินสินเชื่อที่ต้องการ ความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อ วัตถุประสงค์ในการขอสินเชื่อ ช่วงเวลา(ปี)ที่ต้องการมีบ้าน รวมถึงทำเลที่อยู่อาศัยที่ต้องการ และเมื่อกรอกข้อมูลครบถ้วนจะได้รับรหัส หรือ QR Code สำหรับนำมาติดต่อกับธนาคารเพื่อขอรับผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่เหมาะสม สิทธิพิเศษเพื่อการมีบ้านในอนาคต หรือคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน ธอส. ยังสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการวางแผนทางการเงินและพัฒนานวัตกรรมด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้นต่อไป

ทั้งนี้ สามารถดาวน์โหลดและกรอกแบบสำรวจในแอพพลิเคชั่น “คนไทยมีบ้าน : Home for All” รวมถึงที่เว็บไซต์  www.ghbank.co.th และ www.reic.or.th ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ (16 พฤษภาคม 2560) เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์

People unity news online : post 16 พฤษภาคม 2560 เวลา 21.23 น.

Verified by ExactMetrics