วันที่ 28 เมษายน 2024

ธนาคารโลกพร้อมช่วยไทยแก้ปัญหาน้ำ

People Unity News : 2 พฤศจิกายน 2566 ทำเนียบรัฐบาล – “สมศักดิ์” หารือ ผอ.ใหญ่ด้านทรัพยากรน้ำ ธนาคารโลก พร้อมช่วยศึกษาแก้ปัญหาแบบยั่งยืน หลังมีข้อมูลว่าแก้ต้นน้ำได้ผลมากสุด ช่วยทั้งน้ำท่วม-แล้ง พร้อมขอช่วยสนับสนุนข้อมูล แก้ปมน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการหารือกับนายสาโรจ คุมาร์ จาร์ ผู้อำนวยการใหญ่ด้านภารกิจทรัพยากรน้ำ ธนาคารโลก และนายฟาบริซิโอ ซาโคเน ผู้จัดการธนาคารโลก ประจำประเทศไทย ในเรื่องความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยทางธนาคารโลก มีความยินดีที่จะเข้ามาช่วยประเทศไทย เพื่อแก้ปัญหาเรื่องน้ำ เพราะประเด็นความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำ เขามองว่า เป็นสิ่งที่สำคัญมาก จึงพร้อมเข้ามาทำงานร่วมกัน และสนับสนุนองค์ความรู้จากการศึกษาและแก้ปัญหาเรื่องน้ำมาทั่วโลกแล้ว

“เป็นสิ่งที่ดี ที่ธนาคารโลก จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการน้ำ ผมได้เสนอให้ช่วยศึกษาการแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำว่า จะทำอย่างไรได้บ้าง เพื่อช่วยลดผลกระทบเวลามีฝนตกหนักและน้ำเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนเสียหาย รวมถึงเวลาหน้าแล้ง ก็ไม่มีน้ำเพียงพอต่อการทำเกษตร ซึ่งผมอยากให้ธนาคารโลก ช่วยศึกษาอย่างละเอียด พร้อมแนะนำว่า ควรทำโครงการอย่างไร เพราะต้องยอมรับว่า เมื่อเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่แต่ละครั้ง ได้สร้างความเสียหายจำนวนมาก อย่างผลการศึกษาน้ำท่วม ปี 2554 มีความเสียหายกว่า 1.4 ล้านล้านบาท โดยถ้าธนาคารโลก เข้ามาช่วยศึกษา จะเป็นผลดีกับประเทศไทยมาก เนื่องจากมีข้อมูลสถิติในการแก้ปัญหาของหลายประเทศมาแล้ว ก็จะทำให้การศึกษาวิเคราะห์มีความแม่นยำ และแก้ปัญหาได้ตรงจุดอย่างแน่นอน” นายสมศักดิ์ กล่าว

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องการแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำ ทางธนาคารโลกยืนยันว่า เป็นการแก้ปัญหาที่ได้ผลมากที่สุด เพราะจะช่วยตั้งแต่เรื่องน้ำท่วม และการเก็บน้ำไว้ใช้หน้าแล้งได้ ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาแบบถาวร จึงจะช่วยศึกษาเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน รวมถึงจะช่วยสนับสนุนข้อมูลเรื่องน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง เพราะมีหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้ เช่น บางขุนเทียน ที่พบชายฝั่งถูกกัดเซาะเข้ามากว่า 1 กิโลเมตร จึงพร้อมที่จะนำผลการศึกษาของต่างประเทศมาช่วยแก้ปัญหา โดยตนได้ขอบคุณธนาคารโลก ที่ให้การสนับสนุนประเทศไทยมาโดยตลอด ซึ่งมีบทบาทสำคัญกับเราเป็นอย่างมาก เพราะได้ช่วยพัฒนาในหลายด้าน ทั้ง บริหารจัดการน้ำ และการก่อสร้างถนน โดยถือว่าเป็นความร่วมมือที่เกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง

Advertisement

นายกฯ สั่งเข้มงวดคลังแสง ย้ำโทษ จนท.ดูแลทางวินัย-อาญา

People Unity News : 21 กรกฎาคม 2566 “พล.อ.ประยุทธ์” สั่งเข้มงวดคลังแสง ไม่ให้เล็ดลอด-สูญหาย ย้ำโทษเจ้าหน้าที่ดูแลทางวินัยและอาญา

พันเอก จิตนาถ ปุณโณทก รองโฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมสภากลาโหมว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ เข้มงวดกวดขันการรักษาความปลอดภัยคลังอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่อยู่ในคลังต่างๆ ของหน่วย โดยเน้นย้ำและกําชับให้ผู้บังคับหน่วย รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง หมั่นตรวจสอบคลังที่อยู่ในความรับผิดชอบเป็นประจํา เพื่อป้องกันมิให้มีการลักลอบนําอาวุธ ยุทโธปกรณ์ ตลอดจนเครื่องกระสุน และวัตถุระเบิดของหน่วย ออกไปแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่มิชอบ หรือนําออกไปใช้งาน โดยไม่ได้รับอนุญาต หากมีข้อบกพร่องหรือมีการสูญหาย เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบต้องถูกลงโทษทั้งทางวินัยและทางอาญา

ทั้งนี้ การกำชับดังกล่าว เนื่องจากก่อนหน้านี้เกิดเหตุกระสุนในคลังอาวุธ นาวิกโยธิน สัตหีบ สูญหาย นับแสนนัด

Advertisement

นายกฯ เผยยังไม่คิดวางทายาทการเมือง

People Unity News : 4 ตุลาคม 2565 นายกฯ เผยยังไม่คิดวางทายาททางการเมือง ปัดตอบกระแสข่าว “พล.ต.อ.จักรทิพย์” เป็นทายาท 3 ป. บอกเป็นเรื่องของ พปชร.หาแคนดิเดตนายกฯใหม่

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงแนวทางการวางทายาททางการเมืองในอนาคตว่า ขณะนี้ยังไม่ได้คิด

เมื่อถามย้ำว่า จะวางแนวทางการเมืองหลังจากนี้อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้ำว่า ตนยังไม่ได้คิด ตอนนี้ทำเรื่องน้ำท่วมก่อน

ส่วนกระแสข่าวที่มีชื่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะมาเป็นทายาท 3 ป. หลังครบกำหนดเว้นวรรคการเมือง 2 ปี หลังพ้นตำแหน่ง ส.ว.นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว

ส่วนกระแสข่าวที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนยังไม่ทราบ เป็นเรื่องของพรรคพลังประชารัฐ

Advertisement

รมว.พลังงาน ให้ความมั่นใจค่าไฟจะไม่แพง ลั่นเอาจริงแน่นอนปฏิรูปโครงสร้างพลังงาน ไม่ได้พูดเอาเท่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 ธันวาคม 2566 “พีระพันธุ์” รมว.พลังงาน ให้ความมั่นใจค่าไฟ จะไม่แพงตามที่ กกพ. มีมติ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยมีใจความว่า ขอให้มั่นใจค่าไฟจะไม่สูงอย่างที่เป็นข่าวครับ ผมเข้าใจถึงความกังวลใจของพี่น้องประชาชนที่ถามกันมามากเรื่องราคาค่าไฟฟ้าภายหลังจากสิ้นสุดระยะเวลามาตรการลดค่าไฟฟ้าในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ว่าราคาอาจกระโดดสูงขึ้นถึงหน่วยละ 4.68 บาท หรือ 17% จากราคาปัจจุบันหน่วยละ 3.99 บาทตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้เปิดให้มีการสอบถามและมีมติไป

ผมเองก็รับไม่ได้ ถ้าราคาค่าไฟจะเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างนั้น เพราะถึง กกพ.จะมีมติแบบนั้น แต่เราก็ต้องบริหารจัดการเอาราคาค่าไฟลงมาให้ได้ ซึ่งผมได้สั่งการให้หน่วยงานต่างๆ เร่งประสานทุกจุดล่วงหน้าด้วยวิธีการใหม่ๆหลายรูปแบบแล้ว เพื่อไม่ให้ประชาชนไม่แบกรับค่าไฟฟ้าที่มากเกินไป จะพยายามทำให้ใกล้เคียงกับที่จ่ายอยู่ในปัจจุบันให้มากที่สุด

ผมขอให้ความมั่นใจว่ากระทรวงพลังงานยุคนี้ ไม่ได้นิ่งนอนใจและทำงานล่วงหน้ามาระยะหนึ่งแล้วเพื่อให้ราคาค่าไฟอยู่ในระดับที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก ซึ่งต้องใช้หลายกลไกพร้อมๆกันภายใต้โครงสร้างในปัจจุบันที่ไม่ได้ให้อำนาจกับฝ่ายนโยบายมากนัก แต่จะพยายามทำอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน

ทั้งนี้การที่ กกพ.ประกาศให้ประชาชนเห็นชอบแนวทางในการปรับอัตราค่าไฟฟ้าก่อนหน้านี้ เป็นเงื่อนไขตามกฎหมายที่จะต้องมีการประกาศเพื่อให้ประชาชนแสดงความคิดก่อนที่จะมีมติ แต่ทั้งนี้ไม่ได้เป็นที่สุด จะต้องมีการบริหารจัดการเพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุดต่อไป ทั้งหมดนี้จะเตรียมการให้เสร็จสิ้นและประกาศโดยเร็วที่สุด

ผมพูดเสมอว่านี่คือการแก้ไขปัญหาระยะสั้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนภายใต้โครงสร้างแบบปัจจุบัน แต่ที่กำลังดำเนินการแบบเข้มข้นที่สุด และทำงานกันไม่หยุดหย่อนทุกวัน คือการเร่งรวบรวมข้อมูลทุกด้านเกี่ยวกับพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ก๊าซ ไฟฟ้า พลังงานทดแทน และพลังงานสะอาด ให้ครบทุกมิติ เพื่อนำไปสู่การ รื้อ ลด ปลด สร้าง พลังงานให้มั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืนทั้งระบบ ไม่ยากครับ ถ้าแค่พูดเอาเท่ ฟังดูดีทรงภูมิ

คนทำแบบนั้นมีเยอะแล้ว แต่ไม่เคยเห็นรูปธรรม พูดไปเรื่อยๆ ใช่ครับ อะไรๆก็แก้โครงสร้าง แต่จะแก้อะไร แก้อย่างไรครับ ส่งผลกระทบแบบไหน จะทดแทนด้วยอะไร ทั้งระบบต้องสอดคล้องและไม่ก่อภาระเพิ่มให้กับประชาชน ย้อนกลับไปดูกันนะครับ กฎหมายแต่ละฉบับ รูปแบบที่ใช้กันอยู่ ใช้มานานเท่าไร ปล่อยกันมาสี่สิบปีแล้วนะครับ

ผมเองหลังแถลงนโยบายมาสองเดือนเศษ ผมไม่พูดมาก แต่ลงมือทำ อย่างน้อยผมก็พยายามลดภาระให้ประชาชน ไม่ว่าจะตามโครงสร้างแบบไหน ทั้งน้ำมันดีเซล เบนซิน ค่าไฟฟ้า ตรึงราคาค่าแก๊ส ผมดีใจที่พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เวลาเดียวกันก็เร่งดำเนินการรวบรวมข้อมูลชนิดลงลึกทุกขั้นทุกตอน ทำงานกันหลายคณะ ทำมากกว่าพูดลอยๆ ว่า “ปรับโครงสร้างๆๆ”

เมื่อข้อมูลครบถ้วนแล้ว ไม่นานครับ เพราะผมและคณะจะร่างกฎหมายเอง เป็นชุดและครอบคลุมทั้งหมด ตอบได้ทุกคำถาม เพราะยึดเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ผมศึกษา หาข้อมูล ถกเถียง คิดวิเคราะห์ คืบหน้าไปมากแล้ว แต่ยังไม่สมบูรณ์ เพราะนี่คือการลงมือทำจริง ไม่ใช่เพียงแค่พูดแล้วเสกออกมา ขอให้มั่นใจ ผมเอาจริงแน่นอน

Advertisement

รบ.เดินหน้าปราบยาเสพติด มุ่งเป้ารายใหญ่ ไม่ให้กระจายต่อ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 กุมภาพันธ์ 2567 รัฐสภา – นายกฯ รับ ตกใจยาเสพติดแพร่หลายขายตามสี่แยก สั่งด่วนให้ตำรวจเร่งปราบ ชี้มุ่งเป้ารายใหญ่เพื่อไม่ให้กระจายต่อ ระบุนอกจากยาบ้า ยาไอซ์ ปัจจุบัน 4 คูณ 100 และบุหรี่ไฟฟ้า ก็น่าห่วง ย้ำจับมือเพื่อนบ้านแก้ปัญหา PM 2.5

นายโสภณ ซารัมย์ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ตั้งกระทู้ถามนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 3 เรื่องสำคัญ คือ การแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยหากเปรียบกับผู้ป่วย คืออยู่ในขั้นโคม่า ดังนั้นต้องปฏิรูปทั้งองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งหมด เพราะแม้สถิติการแก้ไขจะลด แต่สวนทางกับความเป็นจริง หากมองให้ลึกลงไป จากปกติปัญหายาเสพติดเกิดกับผู้ใช้แรงงาน แต่ปัจจุบันกลับพบไปถึงนักเรียน นอกจากยาบ้า ยาไอซ์ โดยเฉพาะขณะนี้การนำกระท่อมมาทำเป็นสูตรที่เรียกว่า 4 คูณ 100 กำลังเป็นแฟชั่น กับ บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งยาเสพติดมีหลายประเภท หาง่าย ราคาถูก การแก้ไขไม่จริงจัง จนเป็นปัญหาสังคม ขณะที่กฎหมายก็ไม่เอื้อต่อผู้ปฏิบัติ จับแล้วก็ปล่อย จึงมองว่าปัญหายาเสพติดในขณะนี้อาจจะเป็นวิกฤต เท่ากับวิกฤตเศรษฐกิจหรือการศึกษา รวมถึงการแก้ปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 ในระยะสั้นและระยะยาว และจากการที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปต่างประเทศ จะมีแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างไร โดยเฉพาะการแชร์นักท่องเที่ยวจากเมืองหลักอย่างกรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ต ไปสร้างรายได้ให้กับจังหวัดอื่นๆ ที่เป็นเมืองรอง

โดยนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ประเด็นยาเสพติดเป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนห่วงใย เพราะจากตัวเลขการจับกุม 4 เดือนสุดท้ายเมื่อปลายปี 2566 สามารถจับผู้ค้ารายย่อยเพิ่มมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 32,000 เคส ยาบ้าจับได้มากกว่าปีก่อน 2 เท่า คือ กว่า 250 ล้านเม็ด โดยเน้นจับผู้ค้ารายใหญ่ไม่ให้ไปกระจายต่อ ซึ่งรายใหญ่ที่ขายมากกว่า 500,000 เม็ดขึ้นไป จับได้ 62 เคส ยึดทรัพย์แล้วกว่า 2,500 ล้านบาท

“หากพูดถึงปัญหาจริง ก็ต้องยอมรับว่าตัวเลขเหล่านี้ยังไม่ได้เป็นที่น่าสบายใจ เพราะแม้ผู้ค้ารายใหญ่จะถูกจับไป แต่ไม่ได้ส่งผลให้ราคายาบ้าแพงขึ้น จึงเป็นการบ้านของรัฐบาลที่ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ต้องยอมรับรากเหง้าของปัญหามาจากเศรษฐกิจ การที่ประชาชนประสบปัญหารายจ่ายสูง รายได้น้อย อาจหมดหวังมาหลายปี รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะตระหนักปัญหาที่เกิดขึ้น” นายเศราฐา กล่าว

ส่วนเรื่องยาเสพติดที่จับได้แล้วใช้เวลานานในการทำลายนั้น นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนที่จะจับและพิสูจน์ทราบ และเก็บตัวอย่างเล็กๆ ไว้ ส่วนที่เหลือให้ทำลายล้างโดยเร็ว เพื่อตัดปัญหาที่สังคมสงสัยว่าอาจมีการรั่วไหล ขณะที่เรื่องน้ำกระท่อม ถือว่าเป็นยาเสพติดชนิดใหม่ที่วัยรุ่นให้ความสำคัญ และแพร่กระจายไปเร็ว

“ยอมรับว่า ไม่เคยทราบว่ามีการจำหน่ายอย่างแพร่หลายตามสี่แยก จึงได้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาพูดคุย เพื่อให้ดำเนินการกวาดล้างอย่างรวดเร็ว ร่วมกับฝ่ายปกครอง จนสามารถดำเนินการได้ภายใน 1 สัปดาห์ ที่จังหวัดอุบลราชธานี หลังได้พบกับ สส.ในจังหวัด พร้อมกันนี้ยังพยายามกระจายให้ดำเนินการต่อในจังหวัดอื่นๆ ด้วย ย้ำว่า หาก สส.ในพื้นที่มีปัญหา ขอให้แจ้งรัฐบาลเพื่อจัดการอย่างทันควัน” นายเศรษฐา กล่าว

นายกรัฐมนตรี มองว่า ปัญหายาเสพติดโยงไปถึงประเทศเพื่อบ้านด้วย เพราะต้องยอมรับว่า ประเทศที่มีปัญหาภายในอย่างมาก คือ ประเทศเมียนมา ที่มีพรมแดนติดต่อกัน 2,500 กม. ไทยจึงได้รับมอบหมายจากประเทศอาเซียน ที่จะเข้าไปเจรจากับฝ่ายเมียนมา จึงเป็นเรื่องน่ายินดี ที่สัปดาห์ที่ผ่านมา มหาอำนาจ 2 ประเทศ ส่งผู้นำมาเจรจาพูดคุยในหลายๆ ปัญหา ตนเองก็ได้เจรจาพูดคุยเรื่องปัญหาที่ส่งผลกับประเทศไทย ทั้งปัญหายาเสพติดที่ทะลักเข้ามาตามแนวชายแดน และต้องขอขอบคุณกองทัพไทยและความร่วมมือระหว่างฝ่ายปกครอง สส.พื้นที่ และกองทัพบก โดยแม่ทัพภาคที่ 3 กำจัดออเดอร์ได้อย่างมาก ซึ่งการที่ประเทศเพื่อนบ้านมีปัญหาภายใน เรื่องเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญ ง่ายสุดคือผลิตยาแล้วส่งกลับมาขายกับเรา เราก็ไม่ยอม และพยายามพูดคุยและชี้แจงให้มหาอำนาจทั้ง 2 ประเทศเข้าใจ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่ประเทศไทยมีส่วนได้เสียเป็นอย่างมาก ส่วนในอนาคตต้องสกัดการเข้ามาตามแนวชายแดนต่อไป เพราะปัจจุบันทางภาคเหนือทำได้ดี แต่ไปเจอที่ภาคกลาง เช่น กาญจนบุรีที่พบปัญหา จึงต้องสู้กันไป สำหรับการบำบัดคืนผู้เสพให้เป็นผู้ป่วย ก็เป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องดำเนินการต่อไป ซึ่งจะเรียกรัฐมนตรีสาธารณสุข มาหารือบ่ายนี้

ส่วนเรื่องของฝุ่นละออง PM 2.5  ก็เป็นปัญหาที่มีรากเหง้าจากปัญหาเศรษฐกิจ ยังมีการเผาทำลายวัชพืชด้วยการใช้ไม้ขีดเพียงก้านเดียว ดังนั้น เราจึงจำเป็นจะต้องสร้างองค์ความรู้ให้กับเกษตรกร ซึ่งรัฐบาลนี้ให้ความสำคัญ ควบคู่กับการผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด

“จะเห็นได้ว่า จุดความร้อนที่เกิดขึ้นปีนี้ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา พบว่าลดลงอย่างมีนัย แต่เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอาจจะยังเข้าใจการแก้ปัญหาน้อยหรือขาดปัจจัยบางอย่าง แต่เมื่อวานนี้ก็ได้มีการหารือกับผู้นำของกัมพูชา ซึ่งยืนยันว่าจะร่วมมือกันแก้ปัญหาเรื่องนี้” นายเศรษฐา กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะเดียวกัน ตนได้สั่งการให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง หากเกษตรกรยังใช้วิธีการเผาอยู่ อาจจะมีการใช้บังคับกฎหมายโดยกระทรวงมหาดไทย หรือตัดความช่วยเหลือจากรัฐบาล

ส่วนมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลนี้ลงทุนมากในการออกนโยบายต่างๆ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพราะประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีมาก ไม่ใช่แค่ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน หรือกรุงเทพฯ อย่างเดียว แต่เมืองรองก็ถือเป็นส่วนสำคัญ รัฐบาลอยากสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวกระจายตัวไปเมืองรอง เพื่อเป็นการกระจายรายได้ ผ่านทางซอฟต์พาวเวอร์ด้วยการจัดเทศกาลต่างๆ ทั้งปี ไม่ใช่เฉพาะไฮซีซั่นเท่านั้น

“แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องของนโยบายอย่างเดียวก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเมืองรองได้ การคมนาคมที่สะดวกสบายก็เป็นส่วนสำคัญ ซึ่งรัฐบาลมีแผนที่จะอัพเกรดสนามบินทั่วประเทศ เพื่อให้การเดินทางของนักท่องเที่ยว ทั้งคนไทยและต่างประเทศ สามารถเดินทางเข้าสู่เมืองรองได้” นายเศรษฐา กล่าว

ขณะเดียวกัน เราก็ได้มีการประสานพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม มาเลเซีย บรูไน นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางต่อได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า เพราะเราไม่ได้มองเพื่อนบ้านเป็นคู่แข่ง แต่จะมาช่วยสนับสนุนซึ่งกันและกัน จึงมั่นใจว่าสิ่งนี้จะพัฒนาเมืองรอง สามารถตอบสนองนักท่องเที่ยวได้แน่นอน และวันที่ 1 มีนาคมนี้ ก็จะมีการเปิดวีซ่าฟรีกับจีน อีกทั้งอยู่ระหว่างการดำเนินการประสานพูดคุย เรื่องขอฟรีวีซ่าเชงเก้นเข้ายุโรป

นายกรัฐมนตรี ยืนยันไม่ได้ให้ความสำคัญกับจังหวัดใหญ่เพียงอย่างเดียว เพราะตนเองก็ได้เดินทางไปทั่วประเทศไทย เข้าใจถึงวัฒนธรรม และสิ่งดีๆ ที่เมืองรองสามารถนำเสนอให้กับนักท่องเที่ยวได้ โดยปลายเดือนนี้ก็จะลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อดูเรื่องของวัฒนธรรม อาหารการกิน มีอะไรบ้างที่รัฐบาลสามารถสนับสนุนสร้างโอกาสพี่น้องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ แต่ทั้งหมดยังเป็นยังมีการบ้านที่ต้องทำต่อ เพื่อปรับปรุงให้ดีที่สุด

Advertisement

“สุดารัตน์” วางมาตรการเชิงรุก “แก้หนี้ประเทศ ด้วยการสร้างรายได้”

People Unity News : 1 มีนาคม 2566 “สุดารัตน์” ชี้ไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายโลก 5 เรื่องใหญ่ที่ผู้นำประเทศต้องเข้าใจ และวางมาตรการเชิงรุก ”พลิกวิกฤติโลกให้เป็นโอกาสหาเงินเข้าประเทศ” ระบุไทยสร้างไทยจะมุ่ง “แก้หนี้ประเทศ ด้วยการสร้างรายได้” ให้คนไทย

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ประเทศไทยต้องเผชิญและรับมือกับ 5 ความท้าทายของโลก หากรับมือได้ทันก็รอด แต่หากรับมือไม่ทันก็ร่วง ถ้าผู้นำมีวิสัยทัศน์ วางยุทธศาสตร์ประเทศให้ดี ก็จะสามารถพลิกวิกฤติโลกให้เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทยได้ และสำหรับ 5 วิกฤติและความท้าทายที่กล่าวถึงคือ

1.ความท้าทายของโรคระบาด ซึ่งเป็นโรคอุบัติใหม่ (Emerging Diseases) อย่างโควิด-19 ที่เป็นปัญหากระทบทั่วโลก ทั้งด้านชีวิต สุขภาพ และเศรษฐกิจ ต่อเนื่องเข้าปีที่ 3 มีการล็อกดาวน์ ปิดประเทศ กระทบซัพพลายเชน และรายได้การท่องเที่ยวทั้งโลก ดังนั้น ในวิกฤติโรคระบาด ไทยเราสามารถพลิกวิกฤตินี้ให้เป็นโอกาสได้ เพราะเรามีระบบสาธารณสุขที่ดีมาก เราต้องทำให้ไทยเป็นหลุมหลบภัยจากโรคระบาดให้คนทั้งโลก มา Work from Thailand เราต้องเป็นศูนย์กลางการรักษาพยาบาล และการส่งเสริมสุขภาพครบวงจรของโลก โดยเฉพาะการชูสมุนไพรไทย ที่คนทั่วโลกให้การยอมรับ

2.ความท้าทายการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ (Climate Change) ที่จะส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตบนโลกใบนี้ ทุกประเทศจึงให้ความสำคัญกับการรับมือกับสภาวะโลกร้อน ไทยต้องปรับตัวให้เกิดการผลิตพลังงานทดแทนอย่างเร่งด่วน สามารถทำได้ไม่ยากเพียงแต่รัฐต้องเลิกเอื้อประโยชน์ให้โรงงานไฟฟ้ารายใหญ่ แล้วหันมาสนับสนุนให้ภาคครัวเรือน, เอกชน และท้องถิ่น สามารถผลิตไฟฟ้าของตนเองได้อย่างแท้จริง รวมทั้งการนำของเหลือจากภาคเกษตรมาเปลี่ยนเป็นพลังงาน และ Bio Plastic ได้อย่างมากมาย ลดการเผาที่ทำให้โลกร้อนและเกิด PM 2.5 ทั้งหมดนี้ต้องทำอย่างเร่งด่วนเพราะทั้งสหรัฐและยุโรป ได้ผ่านกฎหมายที่จะเก็บภาษีเพิ่มจากผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากโรงงานที่ยังปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายใน 2 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลกระทบในการส่งออกของธุรกิจ SMEs อย่างมหาศาล

3.ความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนประชากรโลก (Population Ageing) ซึ่งไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกของโลก ที่มีสัดส่วนประชากรผู้สูงวัยมากที่สุด อีกทั้งคนไทย “แก่ก่อนรวย” และสุขภาพไม่ดี ดังนั้น นอกจากคนวัยทำงานจะน้อยลง ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลผู้สูงอายุที่เจ็บป่วย ปีละเป็นแสนล้าน เราจึงต้องเร่งแก้ไขปัญหานี้ อย่างโครงการ ”บำนาญประชาชนเดือนละ 3,000 บาท” ที่ให้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพ ซึ่งต้องเข้าโปรแกรมการสร้างสุขภาพให้แข็งแรง พร้อมทั้งการให้ความรู้ด้านอาชีพและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพแข็งแรงกลับไปทำงานได้ และเงินของผู้สูงอายุเดือนละ 3,000 บาท จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากให้ฟื้นตัว ซึ่งจะยกระดับให้เศรษฐกิจทั้งประเทศดีขึ้นอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ไทยจะสามารถเป็นศูนย์กลางธุรกิจสุขภาพผู้สูงอายุ “Thai Hospitality” และทำเป็นที่พำนักระยะยาว สำหรับผู้สูงอายุจากทั่วโลกได้อีกด้วย

4.ความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่มีความรวดเร็ว (Technology Destruction) ซึ่งเป็นทั้งวิกฤติและโอกาสของโลกยุคใหม่ เพราะปัจจุบันโลกเรากำลังอยู่ในยุคปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI Big Data, Internet of Things, Robots และ Quantum Computing ได้เข้ามามีบทบาทต่อภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งไทยต้องเร่งส่งเสริมปรับหลักสูตรการศึกษา ให้เด็กไทยได้เข้าถึงโอกาสเหล่านี้ พร้อมทั้งต้องแก้กฎหมายให้ทันสมัย ให้รองรับการสร้างธุรกิจจากเทคโนโลยีเหล่านี้ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ Startup ได้ระเบิดศักยภาพของตนเองได้เต็มที่

5.ความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงของภูมิศาสตร์โลก (Geopolitics) ที่ส่งผลกระทบทั่วโลกในหลายๆ ด้าน ทั้งในด้านดุลอำนาจของ 2 ขั้วอำนาจระหว่างชาติตะวันตก กับตะวันออก, สงครามรัสเซีย-ยูเครน, สงครามการค้า ซึ่งเราต้องใช้โอกาสนี้ที่เราเป็นประเทศที่เป็นมิตรที่แน่นแฟ้นกับทั้งจีนและสหรัฐอเมริกา รวมถึงรัสเซีย วางตำแหน่ง ภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศให้ถูก และควรจะยืนอยู่กลางความถูกต้อง ค้าขายกับประเทศใดก็ได้ ใครอยากจะมาลงทุนก็ยินดีรับหมด เพื่อดึงดูดการย้ายฐานการผลิต และใช้ทำเลที่ตั้งที่เราอยู่ใจกลางภูมิภาค มาเป็นโอกาสในการทำให้ไทยศูนย์กลางการผลิตอุตสาหกรรมใหม่ที่ต้องย้ายฐานการผลิต อย่างรถ EV และอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

Advertisement

ภาคประชาชนยื่นร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง

People Unity News : 21 กรกฎาคม 2566 “ปดิพัทธ์”  รับร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง จากภาคประชาชน หวัง ใช้ประโยชน์สูงสุดทางการแพทย์ สร้างฐานรายได้ ให้เกษตรกรอยู่ดี กินดี สังคมสงบสุข สร้างมูลค่า ทางเศรษฐกิจระดับชาติให้สูงขึ้น

นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง รับยื่นร่างพระราชบัญญัติกัญชา กัญชง แห่งชาติ พ.ศ. จากนายวิเชียร ศรีสุด นายกสมาคมสร้างสรรค์เกษตรกรไทย ในฐานะประธานร่างพระราชบัญญัติ กัญชา กัญชงแห่งชาติ  พ.ศ.  และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน  60 คน ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

โดยร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวประกอบด้วย 13 หมวด 99 มาตรา มีหลักการว่า ด้วยประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 บัญญัติให้กัญชา กัญชง  ไม่เป็นยาเสพติดให้โทษอีกต่อไป แต่ยังขาดพระราชบัญญัติว่าด้วยกัญชา กัญชงเพื่อควบคุม จัดระบบระเบียบการปลูก การนําไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ   ทั้งเป็นการบัญญัติกฎหมายเพื่อควบคุมป้องกันการใช้กัญชา กัญชง และสารสกัดไปใช้ในทางที่ผิด    จึงมีการตราพระราชบัญญัติฉบับนี้ขึ้น   โดยมีมาตรการส่งเสริม สนับสนุน ให้นำกัญชา กัญชง และสารสกัดไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด  ทางด้านการแพทย์ การพาณิชย์ อุตสาหกรรม แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเภสัชกรรม สัตวแพทย์ การเลี้ยงสัตว์ แพทย์พื้นบ้าน การท่องเที่ยว สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ  และการใช้ประโยชน์ในครัวเรือนวิจัยและพัฒนา สร้างนวัตกรรม แปรรูปผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการสร้างองค์ความรู้ บูรณาการร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบัน ทั้งส่งเสริมสนับสนุน ควบคุม การนำเข้า ส่งออก สกัด จำหน่าย แปรรูป และมีมาตรการทางกฎหมาย ควบคุมการนำกัญชา กัญชง และสารสกัดไปใช้ในทางที่ผิด โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร และบุคคลอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดอันตราย ทั้งควบคุม ดูแลคุ้มครองสถานที่ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตราย ต่อบุคคลอื่น

อย่างไรก็ตาม เมื่อพระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลบังคับใช้แล้ว หน่วยงานภาครัฐ ที่เกี่ยวข้อง ต้องร่วมกันส่งเสริม สนับสนุน สร้างองค์ความรู้ ฝึกอบรม เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ สร้างรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิต ในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม สร้างเศรษฐกิจการเกษตรในวงกว้าง สร้างความสมดุล ทางระบบนิเวศน์ มีความยั่งยืนแบบครบวงจร สร้างฐานรายได้ ให้เกษตรกรอยู่ดี กินดี สังคมสงบสุข ทั้งเป็นการสร้างมูลค่า ทางเศรษฐกิจระดับชาติให้สูงขึ้น ด้านรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง   กล่าวภายหลังการรับยื่นหนังสือว่า ประธานรัฐสภามอบหมายให้ตนเป็นผู้รับร่าง  พ.ร.บ. ดังกล่าว เมื่อรับเรื่องดังกล่าวแล้ว จะทำตามขั้นตอนของทางราชการ และจะรีบนำเรียนประธานรัฐสภาต่อไป รวมทั้ง จะเป็นผู้แทนนำร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเสนอต่อพรรคการเมืองต่างๆ  สำหรับการเข้าชื่อเสนอกฏหมายของภาคประชาชนนั้น ต่อไปสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจะเปิดให้ยื่นออนไลน์เพื่อความสะดวกของประชาชน

Advertisement

“อนุทิน” ลั่น ชาวต่างชาติอยู่ไทย ต้องเคารพกฎหมาย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 6 มีนาคม 2567 โรงแรมรามา การ์เด้นส์  – “อนุทิน” ระบุชาวต่างชาติมาอยู่ไทยต้องเคารพกฎหมาย มั่นใจเร่งกวดขันให้ความปลอดภัย หลังเหตุวิวาทกะเทยฟิลิปปินส์ ใช้วีซ่านักท่องเที่ยวแอบขายบริการ สั่งไม่รับเคลียร์ ไม่ว่าเส้นใหญ่ขนาดไหน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทที่ ซอยสุขุมวิท 11ซึ่งกลุ่มสาวประเภทสองฟิลิปปินส์ ถือวีซ่านักท่องเที่ยว และทำตัวเป็นมาเฟียในประเทศไทย โดยยืนยันว่า กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ทำงานร่วมกัน เพราะตอนนี้เป็นกระแสที่คนให้ความสนใจแล้ว  และมั่นใจว่าตำรวจ และฝ่ายปกครอง เร่งไปกวดขันดูแล้วเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ทุกอย่างมีกฎหมายกำกับอยู่แล้ว ซึ่งทุกคนทำผิดกฎหมายไม่ได้

“ชาวต่างชาติเมื่ออยู่ประเทศเขาแล้ว ก็ต้องเคารพกฎกติกา ซึ่งหลักมีอยู่แค่นี้  ยิ่งเข้ามาแล้วจะมาสร้างอิทธิพล ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย ข่มเหงรังแกเจ้าของประเทศ ซึ่งเชื่อว่าหลังจากนี้จะต้องดีขึ้น เพราะมีการตื่นตัวกันแล้ว 2-3 วันนี้ ก็มีแต่รายงานเข้ามา ส่วนนักท่องเที่ยวฟิลิปปินส์หลังจากมีเรื่องเข้ามาก็หายไปแล้ว”นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ตนเองเป็นฝ่ายนโยบาย แต่เชื่อว่าเมื่อผู้ปฏิบัติ ตำรวจ และกรมการปกครอง จะดำเนินการอย่างเต็มที่ และสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่รัฐทำตามหน้าที่ และกฎหมาย เพื่อให้คนไทยมั่นใจว่า จะไม่มีใครเส้นใหญ่มาเคลียร์ไม่ได้ ซึ่งเราไม่รับเคลียร์

ส่วนเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทที่สุขุมวิท 11 จนถูกขนานนามว่าเป็นวันกระเทยผ่านศึกนั้น นายอนุทิน กล่าวว่า อย่าไปกล่าวถึงขนาดนั้นเลย และอย่าลงรายละเอียด เอาเป็นว่าหากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองคนไหน ที่ทำตามกฏหมาย และภารกิจหน้าที่ และเจตนารมย์ที่ปกป้องประชาชน จะไม่มีใครมาทำร้ายเขาได้ ซึ่งตนเองขอยืนยัน

Advertisement

รมว.คลัง ระบุหนี้กองทุนน้ำมันเป็นหนี้สาธารณะ

People Unity News : 17 สิงหาคม 65 ขุนคลัง ยอมรับค้ำประกันเงินกู้กองทุนน้ำมัน หวังให้แบงก์เชื่อมั่นเติมสภาพคล่อง  ยืนยัน ค้ำหรือไม่ค้ำเป็นหนี้สาธารณะ ไม่กระทบภาระงบประมาณ แนะกองทุนน้ำมัน ใช้หนี้คืนภายใน 7 ปี

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า มติ ครม.เห็นชอบให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ให้กับกองทุนน้ำมันและเชี้อเพลิง  ตามแผนวงเงินกู้ 1.5 แสนล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือรายละเอียดกับกระทรวงพลังงาน เนื่องจากกองทุนน้ำมันฯมีฐานะติดลบ จึงต้องหาทุนมาใช้อุดหนุนราคาน้ำมันเพื่อดูแลประชาชน  ทั้งนี้เพื่อให้แผนกู้ 3 หมื่นล้านบาทล่าสุด หวังให้สถาบันการเงินเกิดความมั่นใจมากขึ้น  ต่อการชำระหนี้ของกองทุน้ำมัน เพราะเห็นว่า ราคาน้ำมันยังมีความผันผวน

นายอาคม ย้ำว่า แม้กระทรวงคลังไม่ได้ค้ำประกันการกู้เงินให้กับกองทุนน้ำมัน แผนเงินกู้ทั้งหมด 1.5 แสนล้านบาท จะถูกนับเป็นหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่แล้ว เนื่องจากกองทุนน้ำมันฯเป็นหน่วยงานของรัฐ และมีอำนาจการกู้เงินตาม พ.ร.บ.กองทุนฯ หลังจากนี้ต้องขึ้นอยู่กับการบริหารรายได้ของกองทุนน้ำมัน ในการจัดเก็บเงินเข้ากองทุน ในช่วงราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลง โดยต้องชำระหนี้คืนภายในระยะเวลา 7 ปี อีกทั้งแผนกู้เงินของกองทุนน้ำมันฯไม่กระทบต่อภาระงบประมาณ เพราะเป็นการบริหารจัดการกระแสเงินจากรายได้และการอุดหนุนราคาน้ำมันเพื่อลดผลกระทบกับประชาชน

Advertisement

นายกฯกำชับทุกหน่วยบูรณาการแก้ปัญหายาเสพติดทุกมิติ

People Unity News : 23 พฤศจิกายน 2565 นายกฯ ย้ำทุกหน่วยงานบูรณาการป้องกัน ปราบปราม บำบัดรักษายาเสพติด สั่งคุมเข้มสารตั้งต้นส่วนผสมยาเสพติด หวังบ้านเมืองสงบเรียบร้อยสวยงามเหมือนช่วงประชุมเอเปค

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดปฏิบัติการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดตามนโยบายของรัฐบาล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ระยะเร่งด่วน 3 เดือน โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมถึงผู้แทนสำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ที่สโมสรทหารบก

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน ยิ่งปรับวิธีการและปรับการทำงาน แต่อีกฝ่ายก็ปรับเช่นกัน ดังนั้น ต้องทำอย่างไรที่จะแก้ปัญหาที่มีความซับซ้อนให้ได้ เพราะส่งผลกระทบต่อความมั่นคง สังคมและเศรษฐกิจของประเทศ โดยจะต้องแก้ให้ลดลง สิ่งสำคัญคือความเข้าใจ และต้องมีการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานต่างๆ และในหลายระดับ

“สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องดูว่าจะแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างไร เน้นการป้องกันปราบปราม และการบำบัดรักษา รวมถึงดีมานด์และซัพพลาย ลดผู้เสพรายใหม่ แก้ไขผู้เสพรายเก่า ทุกวันนี้สังคมเปลี่ยนแปลงไปมาก จำเป็นต้องบูรณาการกันอย่างใกล้ชิดและร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลกำหนดให้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ และเป็น 1 ใน 12 นโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่ผ่านมาได้ปฏิบัติและพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ทำในวันนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในระดับนโยบาย คือ การปรับปรุงกฎหมายกฎระเบียบต่างๆ ที่อาจจะมีความเกี่ยวข้องในหลายกฎหมายด้วยกัน พร้อมกับต้องเร่งปราบปราม จับกุม และขยายผลไปสู่นายทุนและผู้ที่เกี่ยวข้อง จนสามารถยึดอายัดทรัพย์สินได้ถึง 11,000 ล้านบาท

“ขอเน้นย้ำให้ทุกคน ทุกหน่วยงานปฏิบัติการตามแผนการป้องกันและปรับปรามยาเสพติด ภายในระยะเวลา 3 เดือน ตามที่กำหนดไว้แล้ว ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ขณะที่การป้องกันคือทำอย่างไรให้คนไม่อยากเสพยาเสพติด เพราะจะทำให้การขายลดลงได้ ซึ่งการศึกษาเป็นส่วนสำคัญที่ต้องสร้างความรู้และหลักการที่ถูกต้องให้กับเยาวชน มีกลไกป้องกันยาเสพติด กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ สร้างความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กองทัพต้องเพิ่มความเข้มงวดในการป้องกันสกัดกั้นยาเสพติดทางชายแดน ทั้งทางบกและทางน้ำ และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปราบปรามผู้ค้ายาและจับกุม ยึดทรัพย์ ทำลายเครือข่าย โดยเจ้าหน้าที่ที่ไปเกี่ยวข้องจะต้องถูกลงโทษ ซึ่งถ้าทุกคนทำงานร่วมกันได้ ทุกอย่างจะต้องเบาบางลง เพื่อคืนอนาคตให้กับลูกหลาน ยกตัวอย่างกรณีที่จังหวัดหนองบัวลำภู ถือเป็นบทเรียน แต่ไม่ใช่การทำงานแบบวัวหายล้อมคอก แต่ต้องนำบทเรียนทุกอย่างมาดำเนินการ คิดวิเคราะห์ และหาวิธีการแก้ไขปัญหา ซึ่งพบว่าสถานการณ์ในขณะนี้ไม่ใช่เพียงผู้เสพ ผู้ซื้อและผู้ขาย แต่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป จึงต้องให้ความสำคัญกับการบำบัดรักษาฟื้นฟู

“ขอให้กระทรวงสาธารณสุข เร่งรัดทำกฎหมายมารองรับสำหรับการปฏิบัติ ดูแลรักษาคัดกรองผู้ติดยาเสพติด เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการอย่างเหมาะสม จัดตั้งสถานที่รักษา โดยมีแนวคิดที่จะให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อให้การบำบัดรักษามีมาตรฐาน ให้กระทรวงแรงงานส่งเสริมให้ผู้บำบัดมีทักษะในด้านอาชีพ ขณะเดียวกัน ต้องทำให้ประชาชนมีความมั่นใจและความเชื่อใจในการแจ้งเบาะแส และสิ่งสำคัญคือการสร้างความรับรู้ให้กับประชาชน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องสร้างความเชื่อมั่น เพราะคือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เห็นจากการประชุมเอเปคที่มีความร่วมมือที่กว้างมากขึ้น ไม่มีใครที่จะแก้ปัญหาได้เพียงหน่วยงานเดียว ดังนั้น ต้องให้ความสำคัญกับหมู่บ้านและชุมชน ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องบูรณาการทรัพยากรทุกอย่าง ทั้งแผนงาน การปฎิบัติงานร่วมมือกับทุกหน่วยงานให้เป็นหนึ่งเดียว ให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนเพื่อขจัดยาเสพติดให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะเดียวกันต้องระดมสรรพกำลังในการร่วมมือกันปราบปรามยาเสพติด และจะต้องมีบทบาทในการคืนคนดีสู่สังคม เพื่อให้ทุกคนได้กลับสู่อ้อมกอดของครอบครัว และทำให้สังคมไทยปลอดยาเสพติด ส่วนการดูแลควบคุมสารตั้งต้น ที่ใช้ไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด เพราะเป็นอันตรายและเป็นต้นตอ การนำไปสู่การผลิตยาเสพติด จึงขอให้มีการติดตามดำเนินคดีในเรื่องนี้ ซึ่งตนรอผลงานตรงนี้ด้วย อยากให้บ้านเมืองของเรามีความเจริญเติบโต อยากให้บ้านเมืองมีรายได้ที่ดี มีการค้าขายที่ดี ทุกคนมีความสุข สิ่งสำคัญที่สุดคือพื้นฐานด้านความมั่นคงทั้งสิ้น

“อยากให้ทุกคนได้ทราบว่า ความมั่นคงเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจ สังคม และทุกอย่าง ขณะนี้บ้านเมืองเราอยู่ในสถานการณ์สงบเรียบร้อย และในช่วงการประชุมเอเปคที่ผ่านมา ได้เห็นบ้านเมืองที่สวยงาม มีความสะอาด นี่คือประเทศไทย ทุกคนยิ้มแย้มมีความสุข ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จะหาได้ง่าย ๆ เพราะได้เห็นคนไทยมีรอยยิ้ม เป็นเจ้าบ้านที่ดี ดังนั้น หลังการประชุมเอเปค ก็หวังว่าทุกอย่างจะสงบเรียบร้อยไปได้ด้วยดี เพื่อให้ทุกอย่างดีกว่าเดิมในทุกมิติ สิ่งไหนที่เป็นปัญหาก็แก้ไข หากติดขัดก็ติดตามขับเคลื่อน หากทุกคนพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในทุกประชาคมโลกและทุกภูมิภาค ดังนั้น ขอบคุณข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชน หากทุกคนร่วมมือกันแก้ไขปัญหาด้วยความเข้าใจ ทุกอย่างจะสำเร็จแน่นอนและนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนตลอดไป” นายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics