วันที่ 11 พฤษภาคม 2024

รบ.เดินหน้าปราบยาเสพติด มุ่งเป้ารายใหญ่ ไม่ให้กระจายต่อ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 กุมภาพันธ์ 2567 รัฐสภา – นายกฯ รับ ตกใจยาเสพติดแพร่หลายขายตามสี่แยก สั่งด่วนให้ตำรวจเร่งปราบ ชี้มุ่งเป้ารายใหญ่เพื่อไม่ให้กระจายต่อ ระบุนอกจากยาบ้า ยาไอซ์ ปัจจุบัน 4 คูณ 100 และบุหรี่ไฟฟ้า ก็น่าห่วง ย้ำจับมือเพื่อนบ้านแก้ปัญหา PM 2.5

นายโสภณ ซารัมย์ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ตั้งกระทู้ถามนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 3 เรื่องสำคัญ คือ การแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยหากเปรียบกับผู้ป่วย คืออยู่ในขั้นโคม่า ดังนั้นต้องปฏิรูปทั้งองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งหมด เพราะแม้สถิติการแก้ไขจะลด แต่สวนทางกับความเป็นจริง หากมองให้ลึกลงไป จากปกติปัญหายาเสพติดเกิดกับผู้ใช้แรงงาน แต่ปัจจุบันกลับพบไปถึงนักเรียน นอกจากยาบ้า ยาไอซ์ โดยเฉพาะขณะนี้การนำกระท่อมมาทำเป็นสูตรที่เรียกว่า 4 คูณ 100 กำลังเป็นแฟชั่น กับ บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งยาเสพติดมีหลายประเภท หาง่าย ราคาถูก การแก้ไขไม่จริงจัง จนเป็นปัญหาสังคม ขณะที่กฎหมายก็ไม่เอื้อต่อผู้ปฏิบัติ จับแล้วก็ปล่อย จึงมองว่าปัญหายาเสพติดในขณะนี้อาจจะเป็นวิกฤต เท่ากับวิกฤตเศรษฐกิจหรือการศึกษา รวมถึงการแก้ปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 ในระยะสั้นและระยะยาว และจากการที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปต่างประเทศ จะมีแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างไร โดยเฉพาะการแชร์นักท่องเที่ยวจากเมืองหลักอย่างกรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ต ไปสร้างรายได้ให้กับจังหวัดอื่นๆ ที่เป็นเมืองรอง

โดยนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ประเด็นยาเสพติดเป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนห่วงใย เพราะจากตัวเลขการจับกุม 4 เดือนสุดท้ายเมื่อปลายปี 2566 สามารถจับผู้ค้ารายย่อยเพิ่มมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 32,000 เคส ยาบ้าจับได้มากกว่าปีก่อน 2 เท่า คือ กว่า 250 ล้านเม็ด โดยเน้นจับผู้ค้ารายใหญ่ไม่ให้ไปกระจายต่อ ซึ่งรายใหญ่ที่ขายมากกว่า 500,000 เม็ดขึ้นไป จับได้ 62 เคส ยึดทรัพย์แล้วกว่า 2,500 ล้านบาท

“หากพูดถึงปัญหาจริง ก็ต้องยอมรับว่าตัวเลขเหล่านี้ยังไม่ได้เป็นที่น่าสบายใจ เพราะแม้ผู้ค้ารายใหญ่จะถูกจับไป แต่ไม่ได้ส่งผลให้ราคายาบ้าแพงขึ้น จึงเป็นการบ้านของรัฐบาลที่ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ต้องยอมรับรากเหง้าของปัญหามาจากเศรษฐกิจ การที่ประชาชนประสบปัญหารายจ่ายสูง รายได้น้อย อาจหมดหวังมาหลายปี รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะตระหนักปัญหาที่เกิดขึ้น” นายเศราฐา กล่าว

ส่วนเรื่องยาเสพติดที่จับได้แล้วใช้เวลานานในการทำลายนั้น นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนที่จะจับและพิสูจน์ทราบ และเก็บตัวอย่างเล็กๆ ไว้ ส่วนที่เหลือให้ทำลายล้างโดยเร็ว เพื่อตัดปัญหาที่สังคมสงสัยว่าอาจมีการรั่วไหล ขณะที่เรื่องน้ำกระท่อม ถือว่าเป็นยาเสพติดชนิดใหม่ที่วัยรุ่นให้ความสำคัญ และแพร่กระจายไปเร็ว

“ยอมรับว่า ไม่เคยทราบว่ามีการจำหน่ายอย่างแพร่หลายตามสี่แยก จึงได้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาพูดคุย เพื่อให้ดำเนินการกวาดล้างอย่างรวดเร็ว ร่วมกับฝ่ายปกครอง จนสามารถดำเนินการได้ภายใน 1 สัปดาห์ ที่จังหวัดอุบลราชธานี หลังได้พบกับ สส.ในจังหวัด พร้อมกันนี้ยังพยายามกระจายให้ดำเนินการต่อในจังหวัดอื่นๆ ด้วย ย้ำว่า หาก สส.ในพื้นที่มีปัญหา ขอให้แจ้งรัฐบาลเพื่อจัดการอย่างทันควัน” นายเศรษฐา กล่าว

นายกรัฐมนตรี มองว่า ปัญหายาเสพติดโยงไปถึงประเทศเพื่อบ้านด้วย เพราะต้องยอมรับว่า ประเทศที่มีปัญหาภายในอย่างมาก คือ ประเทศเมียนมา ที่มีพรมแดนติดต่อกัน 2,500 กม. ไทยจึงได้รับมอบหมายจากประเทศอาเซียน ที่จะเข้าไปเจรจากับฝ่ายเมียนมา จึงเป็นเรื่องน่ายินดี ที่สัปดาห์ที่ผ่านมา มหาอำนาจ 2 ประเทศ ส่งผู้นำมาเจรจาพูดคุยในหลายๆ ปัญหา ตนเองก็ได้เจรจาพูดคุยเรื่องปัญหาที่ส่งผลกับประเทศไทย ทั้งปัญหายาเสพติดที่ทะลักเข้ามาตามแนวชายแดน และต้องขอขอบคุณกองทัพไทยและความร่วมมือระหว่างฝ่ายปกครอง สส.พื้นที่ และกองทัพบก โดยแม่ทัพภาคที่ 3 กำจัดออเดอร์ได้อย่างมาก ซึ่งการที่ประเทศเพื่อนบ้านมีปัญหาภายใน เรื่องเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญ ง่ายสุดคือผลิตยาแล้วส่งกลับมาขายกับเรา เราก็ไม่ยอม และพยายามพูดคุยและชี้แจงให้มหาอำนาจทั้ง 2 ประเทศเข้าใจ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่ประเทศไทยมีส่วนได้เสียเป็นอย่างมาก ส่วนในอนาคตต้องสกัดการเข้ามาตามแนวชายแดนต่อไป เพราะปัจจุบันทางภาคเหนือทำได้ดี แต่ไปเจอที่ภาคกลาง เช่น กาญจนบุรีที่พบปัญหา จึงต้องสู้กันไป สำหรับการบำบัดคืนผู้เสพให้เป็นผู้ป่วย ก็เป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องดำเนินการต่อไป ซึ่งจะเรียกรัฐมนตรีสาธารณสุข มาหารือบ่ายนี้

ส่วนเรื่องของฝุ่นละออง PM 2.5  ก็เป็นปัญหาที่มีรากเหง้าจากปัญหาเศรษฐกิจ ยังมีการเผาทำลายวัชพืชด้วยการใช้ไม้ขีดเพียงก้านเดียว ดังนั้น เราจึงจำเป็นจะต้องสร้างองค์ความรู้ให้กับเกษตรกร ซึ่งรัฐบาลนี้ให้ความสำคัญ ควบคู่กับการผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด

“จะเห็นได้ว่า จุดความร้อนที่เกิดขึ้นปีนี้ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา พบว่าลดลงอย่างมีนัย แต่เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอาจจะยังเข้าใจการแก้ปัญหาน้อยหรือขาดปัจจัยบางอย่าง แต่เมื่อวานนี้ก็ได้มีการหารือกับผู้นำของกัมพูชา ซึ่งยืนยันว่าจะร่วมมือกันแก้ปัญหาเรื่องนี้” นายเศรษฐา กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะเดียวกัน ตนได้สั่งการให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง หากเกษตรกรยังใช้วิธีการเผาอยู่ อาจจะมีการใช้บังคับกฎหมายโดยกระทรวงมหาดไทย หรือตัดความช่วยเหลือจากรัฐบาล

ส่วนมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลนี้ลงทุนมากในการออกนโยบายต่างๆ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพราะประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีมาก ไม่ใช่แค่ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน หรือกรุงเทพฯ อย่างเดียว แต่เมืองรองก็ถือเป็นส่วนสำคัญ รัฐบาลอยากสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวกระจายตัวไปเมืองรอง เพื่อเป็นการกระจายรายได้ ผ่านทางซอฟต์พาวเวอร์ด้วยการจัดเทศกาลต่างๆ ทั้งปี ไม่ใช่เฉพาะไฮซีซั่นเท่านั้น

“แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องของนโยบายอย่างเดียวก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเมืองรองได้ การคมนาคมที่สะดวกสบายก็เป็นส่วนสำคัญ ซึ่งรัฐบาลมีแผนที่จะอัพเกรดสนามบินทั่วประเทศ เพื่อให้การเดินทางของนักท่องเที่ยว ทั้งคนไทยและต่างประเทศ สามารถเดินทางเข้าสู่เมืองรองได้” นายเศรษฐา กล่าว

ขณะเดียวกัน เราก็ได้มีการประสานพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม มาเลเซีย บรูไน นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางต่อได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า เพราะเราไม่ได้มองเพื่อนบ้านเป็นคู่แข่ง แต่จะมาช่วยสนับสนุนซึ่งกันและกัน จึงมั่นใจว่าสิ่งนี้จะพัฒนาเมืองรอง สามารถตอบสนองนักท่องเที่ยวได้แน่นอน และวันที่ 1 มีนาคมนี้ ก็จะมีการเปิดวีซ่าฟรีกับจีน อีกทั้งอยู่ระหว่างการดำเนินการประสานพูดคุย เรื่องขอฟรีวีซ่าเชงเก้นเข้ายุโรป

นายกรัฐมนตรี ยืนยันไม่ได้ให้ความสำคัญกับจังหวัดใหญ่เพียงอย่างเดียว เพราะตนเองก็ได้เดินทางไปทั่วประเทศไทย เข้าใจถึงวัฒนธรรม และสิ่งดีๆ ที่เมืองรองสามารถนำเสนอให้กับนักท่องเที่ยวได้ โดยปลายเดือนนี้ก็จะลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อดูเรื่องของวัฒนธรรม อาหารการกิน มีอะไรบ้างที่รัฐบาลสามารถสนับสนุนสร้างโอกาสพี่น้องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ แต่ทั้งหมดยังเป็นยังมีการบ้านที่ต้องทำต่อ เพื่อปรับปรุงให้ดีที่สุด

Advertisement

ศาล รธน. ไม่รับคำร้องรัฐสภา ให้วินิจฉัยการทำประชามติ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 เมษายน 2567 ศาลรัฐธรรมนูญ – ศาลรัฐธรรมนูญ ตีตกคำร้องรัฐสภา ขอให้ศาลวินิจฉัยการทำประชามติกี่ครั้ง เกี่ยวกับการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แจงศาลเคยวินิจฉัยโดยละเอียดและชัดเจนไปแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องของประธานรัฐสภา ที่ขอให้พิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) โดยอ้างอิงถึงรัฐสภาจะบรรจุวาระและพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ที่มีบทบัญญัติให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยยังไม่มีผลการออกเสียงประชามติว่าประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้หรือไม่

และในกรณีที่รัฐสภาสามารถบรรจุร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ที่มีบทบัญญัติให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ การจัดให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญออกเสียงประชามติเสียก่อนว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับฉบับใหม่ได้หรือไม่จะต้องกระทำในขั้นตอนใด

โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้องไว้พิจารณาพิจารณา ด้วยศาลพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารเอกสารประกอบแล้วเห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่และอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับอำนาจและหน้าที่ที่เกิดขึ้นแล้ว

ดังนั้นการบรรจุระเบียบวาระประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมเป็น หน้าที่และอำนาจของประธานรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 80 และข้อบังคับการประชุมรัฐสภาปี 2563 ข้อ 119 กรณีนี้จึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา โดยคำร้องมีสาระสำคัญเป็นเพียงข้อสงสัย และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญอธิบายเนื้อหาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 ซึ่งศาลได้วินิจฉัยโดยละเอียดและชัดเจนแล้ว จึงไม่ใช่กรณีปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาที่เกิดขึ้นแล้วจึงไม่ต้องด้วยเงื่อนไขตามกฎหมาย

ทั้งนี้ก่อนการพิจารณา มีตุลาการศาล 2 คน ไม่ได้ร่วมพิจารณาด้วย  คือ นายสุเมธ รอยเจริญ โดยอยู่ระหว่างการเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนปฏิบัติหน้าที่ และนายอุดม รัฐอมฤต ที่ขอถอนตัวจากการพิจารณาตามกฏหมายวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเคยเป็นผู้เชี่ยวชาญของศาลที่ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของศาลที่ 4/2564 และการประชุมของตุลาการศาลในวันนี้  องค์ประชุมเป็นไปตามกฎหมายที่กำหนดไว้ไม่น้อยกว่า 7 คน

Advertisement

เพื่อไทยเปิด 2 นโยบายแรก “เกษตรแบบตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” – “1 ครอบครัว 1 Soft Power”

People Unity News : 10 กันยายน 65 “แพทองธาร” เปิด 2 นโยบายแรก “เกษตรแบบตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” – “1 ครอบครัว 1 Soft Power” อาสาขอเป็นเซลส์แมนขนสินค้าเกษตรไปขายต่างประเทศ

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย กล่าวบนเวที “สะบัดชัย เพื่อไทยมาเหนือ”ว่า วันนี้รู้สึกดีใจ และเป็นเกียรติที่ได้มาปราศรัยที่ จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่ลงเครื่องก็มีความสุข เพราะเชียงใหม่ คือบ้านเกิดของพ่อและอา ทำให้หายคิดถึงกันได้นิดนึง ตอนเด็กๆ เคยมาฟังพ่อปราศรัยที่นี่ รู้สึกตื่นเต้นมาถึงตอนนี้

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า การพัฒนาเชียงใหม่และภาคเหนือเป็นสิ่งที่เพื่อไทยทำมาโดยตลอด ตนจะคงดำรงเจตนารมย์นี้ต่อไป ตนมีเลือดเนื้อเชื้อไขคนเมือง ไม่มีทางลืมภาคเหนือแน่นอน อยากจะให้ประชาชนทั่วประเทศมั่นใจ ถ้าเพื่อไทยเข้ามาทำงานเมือง เมื่อไหร่จะสร้างความกินดีอยู่ดีให้อย่างแน่นอน เอาหนี้สินเปลี่ยนเป็นการเติมเงินในกระเป๋า วันนี้นำผู้สมัครมามากมาย เพื่อให้เห็นความพร้อม ต่อศึกการเลือกตั้ง วันเลือกตั้งเมื่อไหร่ขอให้กาพรรคเพื่อไทยทุกๆบัตร

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า4 ปีภายใต้รัฐบาลเพื่อไทย จะทำให้ทุกคนกินดีอยู่ดีอย่างแน่นอน ส่วนคำพูดที่ว่า “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน” ที่ได้ฟังจากชายคนหนึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกเจ็บปวด แต่ผู้หญิงคนนี้และพรรคเพื่อไทยจะทำได้ อย่างแน่นอน เหมือนที่เคยทำมาแล้ว

น.ส.แพทองธาร ยังกล่าวว่า วันตนตื่นเต้น แต่ก็รู้สึกมีความสุขจากกำลังจากทุกคน โดยเฉพาะคุณแม่ แม้รู้ดีว่าศึกหน้าจะหนัก แต่วันนี้เพื่อไทยลั่นกองสะบัดชัยเพื่อประกาศความพร้อมให้ทุกคนรับทราบ หลายคนบอกกับตนรวมถึง นายทักษิณ ว่า ใครจะมาเป็นนายกฯ จะต้องทำงานหนักอย่างมากในรัฐบาลหน้า เพราะรัฐบาลนี้ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ประเทศหยุดนิ่ง พัฒนาล่าช้า ยาเสพติดเต็มไปหมด จับตรงไหนก็มีปัญหา แต่ตนมั่นใจว่าประสบการณ์ของบุคคลากรของพรรคจะพัฒนา ถ้าได้โอกาสจากประชาชนแบบแลนด์สไลด์ พรรคเพื่อไทยจะเป็นตำตอบของทุกปัญหา

ทั้งนี้พรรคเพื่อไทย จะเริ่มทำจากปัญหาระยะสั่น คือการลดรายจ่ายให้ประชาชน จะต้องมำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ระบบราชการต้องเข้าถึงได้ง่าย จะต้องมีระบบออนไลน์ One stop service ทั่วทุกจังหวัด จะต้องมีการกระจายอำนาจ ความเจริญจะต้องมีทั่วทุกจังหวัด จะต้องมีโอกาสที่จะขจัดหนี้ของประชาชนให้ออกไปจากชีวิต

น.ส.แพทองธาร กล่าวอีกว่า วันนี้ตนขอเสนอนโยบายหลักๆ2 ข้อในวันนี้ คือนโยบายการเกษตร ต้องการจะเอา “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ซึ่งตนก็มีที่ปรึกษาเรื่องการตลาด จากคนที่ทุกคนที่รู้ว่าใคร และตนก็จะรับเป็นเซลล์ไปขายสินค้าของเกษตรกรให้กับต่างประเทศ เมื่อเกษตรกรมีกินมีใช้ ก็จะส่งผลต่อระบบทั้งประเทศ

นอกจากนี้ยังมี นโยบาย “1 ครอบครัว 1ซอฟต์พาวเวอร์” เป็นการส่งเสริมศักยภาพของประชาชนทุกอาชีพ คนไทยสามารถปรับตัวเอง ให้เข้ากับทุกวัฒนธรรม และรู้จักพลิกแพลง พรรคเพื่อไทยมองเห็นโอกาส ว่าจะสามารถทำตรงนี้ได้ หากตอนนี้มี20ล้านครอบครัว จะหาครอบครัวละ1คน ก็ได้ 20 ล้านคนจะนำคนเหล่านั้นมาเจียระไน ฝึกฝน เพื่อสร้างรายได้และดูแลครอบอย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ตอนนี้อยากให้ประชาชน กรอกรายละเอียดในเว็บไซต์ ว่าใครในครอบครังเป็นที่มีศักยภาพด้านใดบ้าง หากต่อไปในอนาคตเพื่อไทยได้มีโอกาส ก็จะเอาข้อมูลตรงนี้ไปต่อยอด จัดให้มีหน่วยงานดูแล จัดคัดแยกบุคคลตามศักยภาพด้านต่างๆ โดยผู้เป็นนายกฯจะเป็นผู้ดูแล รัฐจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด 20 ล้านคนจะเป็นเเรงงานสำคัญที่จะทำให้ครอบครัวของเขามีกินมีใช้ อย่างมีเกียรติ

Advertisement

“นฤมล” หนุนกองทุนรวมเพื่อสังคม

People Unity News : 5 ตุลาคม 2565 “นฤมล” หนุนกองทุนรวมเพื่อสังคมกลไกลดเหลื่อมล้ำสร้างเศรษฐกิจไทยยั่งยืน

นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ได้โพสต์ Facebook ส่วนตัวสะท้อนมุมมองถึงแนวทางการเก็บภาษีของรัฐบาลทุกประเทศอยู่บนหลักการที่จะนำรายได้ภาษีไปเพื่อจุดประสงค์หลักได้แก่  1)สร้างความเท่าเทียมในระดับหนึ่ง คือ ก่อให้เกิดการกระจายรายได้ ด้วยการเก็บภาษีคนรวย มาช่วยคนจน ด้วยโครงการอุดหนุนชดเชยต่างๆ กับ 2) นำมาพัฒนาประเทศ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ทางรถไฟ เป็นต้น นอกจากนั้น เป็นค่าใช้จ่ายของหน่วยราชการ

ทั้งนี้แนวนโยบายหลายประเทศ เมื่อรายได้ภาษี น้อยกว่า รายจ่ายที่มี จึงจำเป็นต้องทำงบประมาณขาดดุล และอาศัยการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล เงินกู้นี้ถือเป็นหนี้สาธารณะ เพื่อให้เกิดวินัยทางการคลัง กฎหมายจึงกำหนดเพดานเงินกู้ไว้ในมาตรา 28 ของ พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ  เดิมกำหนดเพดานไว้ที่ 60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ GDP และ 30% ของประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ ต่อมา ขยายเป็น 70% และ 35% ตามลำดับ

นอกจากนี้ มาตรา 20 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ  ยังกำหนดให้งบประมาณรายจ่ายลงทุนต้องไม่น้อยกว่า 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีและต้องไม่น้อยกว่าวงเงินของส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปีนั้น กฎหมายเขียนไว้ เพื่อให้เกิดวินัยการคลังว่าเม็ดเงินที่กู้มาอย่างน้อยจะนำไปลงทุนที่ทำให้เกิดการพัฒนาประเทศ

ด้วยข้อจำกัดของรายได้ภาษี กับวินัยการคลังที่จำเป็นต้องมีเป็นอย่างยิ่ง หลายประเทศ รวมทั้งไทยเรา จึงได้หันมาใช้แหล่งเงินจากตลาดทุน (กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน) และภาคเอกชน (การร่วมทุน PPP) ในการพัฒนาประเทศด้านโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น

นางนฤมล กล่าวว่า แต่ภารกิจของรัฐบาลในการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ยังคงพึ่งพิงงบประมาณ ซึ่งคือรายได้ภาษีเป็นหลักเท่านั้น ในขณะที่หลายประเทศเริ่มหันไปใช้แหล่งเงินทุนจากตลาดทุน ในรูปแบบของกองทุนรวมเพื่อสังคม ตลาดทุนของไทยเราก็มีศักยภาพสูง การตั้งกองทุนรวมเพื่อสังคมนี้ นอกจากจะสามารถดึงดูดเงินลงทุนจากนักลงทุนในประเทศแล้ว นักลงทุนและกองทุนลักษณะเดียวกันนี้ในต่างประเทศก็พร้อมที่จะเข้ามาร่วมลงทุนเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกกับสังคมในประเทศไทยเช่นกัน

นางนฤมล กล่าวว่า กองทุนรวมเพื่อสังคม ให้เงินลงทุนกับธุรกิจเพื่อสังคมที่คณะกรรมการกองทุนพิจารณาว่ามีศักยภาพในการสร้างผลงานตามตัวชี้วัดที่กำหนด เช่น เพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ รายได้รวมของเกษตรกรเพิ่มขึ้น ผู้พ้นโทษจำคุกที่เข้าร่วมโครงการได้มีงานทำและมีรายได้ขั้นต่ำตามที่กำหนด รายได้ของผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับการพัฒนาทักษะอาชีพเพิ่มขึ้น เป็นต้น

กองทุนรวมเพื่อสังคม และธุรกิจเพื่อสังคม เดินหน้าร่วมกัน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน ที่จะไม่นำเม็ดเงินไปอุดหนุนหรือแจกโดยตรง แต่ทำการพัฒนาผ่านการให้ความรู้ เครื่องมือ และกลไกในการที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่นำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน ตามแนวทางของการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ของสหประชาชาติ (UN)

นอกจากจะเป็นแนวทางที่แก้ปัญหาให้ประเทศเรื่องแหล่งเงินทุนแล้ว ยังสามารถนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมมิติต่างๆ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน เพราะไม่ว่าในอนาคตรัฐบาลจะจัดตั้งโดยพรรคใด กองทุนนี้จะดำเนินงานได้ต่อเนื่องเพราะไม่ได้ใช่เงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี จึงมิได้ใช้ระบบราชการในการดำเนินโครงการ แต่อาศัยผู้ประกอบการทำงานเพื่อสังคม ที่จำนวนมากเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีใจรักอยากร่วมพัฒนาชาติไทย

Advertisement

“แพทองธาร” ทำสารคดีเส้นทางการเมือง ชูมีทีมงาน ‘พ่อ’ และ ‘อา’ ช่วย

People Unity News : 6 พฤษภาคม 2566 “แพทองธาร” ปล่อยสารคดี ‘The Candidate Paetongtarn’ การเดินทางบนเส้นทางการเมืองสู้ศึกเลือกตั้ง 2566

6 พฤษภาคม 2566 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย โพสต์คลิปสารคดี ‘The Candidate Paetongtarn’ เล่าการเดินทางบนเส้นทางการเมืองตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน ในยูทูบแชนแนลส่วนตัว (https://www.youtube.com/@ingshinawatra)

โดยเนื้อหานั้น ผู้ร่วมเล่าเรื่องราวคือทีมที่ปรึกษาที่เคยทำงานร่วมกับ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในรัฐบาลไทยรักไทย คือ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช และ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และทีมที่เคยทำงานกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในรัฐบาลเพื่อไทย ที่ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าทีมงานทั้ง ‘พ่อ’ และ ‘อา’ กลับมาร่วมงานการเมืองกับนางสาวแพทองธารทั้งสิ้น ผนึกกำลังสู้ศึกเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้

โดยเนื้อหาสารคดีกล่าวถึงนางสาวแพทองธารในฐานะลูกสาวอดีตนายกรัฐมนตรี และผู้นำพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน ว่านางสาวแพทองธารไม่ได้เพิ่งเดินบนเส้นทางการเมืองในช่วงเกือบ 2 ปีนี้เท่านั้น แต่อยู่บนเส้นทางการเมืองมาแล้วตั้งแต่สมัยไทยรักไทย ผ่านทั้งวันคืนที่ดีและร้าย

และในตอนสุดท้ายเป็นคำถามสำคัญที่ว่า ‘ถ้าประเทศไทยมีแพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรี จะเป็นอย่างไร’ นางสาวแพทองธารตอบพร้อมรอยยิ้มว่าประเทศไทยจะมีสีสัน ประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรี ที่จริงใจ รักประชาชน และมีทีมที่ดี เพราะแพทองธารทำคนเดียวไม่ได้ แต่แพทองธารมีทีมมาช่วยทำงานเพื่อประเทศไทย

โดยหลังสารคดีจบ นางสาวแพทองธารได้ไลฟ์พูดคุยสดๆ กับพี่น้องประชาชนผ่านทางไลฟ์อินสตาแกรมและเฟซบุ๊ก

ติดตามสารคดีพร้อมกันได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=S-zj0yUs3bE

Advertisement

แบ่งงาน รองนายกฯ – รมต.สำนักฯ “จักรพงษ์” คุมสำนักงบฯ ”จิราพร“ คุมสื่อ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 พฤษภาคม 2567 ทำเนียบรัฐบาล – นายกฯ ตั้ง 6 รองนายกฯ รักษาการแทนกรณีไม่อยู่ “พีระพันธุ์” ดูกฤษฎีกา พร้อมแบ่งงาน 3 รมต.สร. “จักรพงษ์” คุมสำนักงบฯ ”จิราพร“ คุมสื่อ

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มอบหมายงานให้รองนายกฯรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี รวมถึงกรณีที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่อยู่ หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง โดยมีคำสั่งนายกรัฐมนตรี ดังนี้ กรณีที่นายกรัฐมนตรี ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ มีรักษาการนายกรัฐมนตรีลำดับดังต่อไปนี้  1.นายภูมิธรรม เวชยชัย 2.นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ 3.นายพิชัย ชุนหวชิร 4.นายอนุทิน ชาญวีรกูล 5.พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ 6.นายพีระพันธุ์ สาลีรีรัฐวิภาค

“ระหว่างรักษาการแทนนายกรัฐมนตรี จะสั่งการใดผู้รักษาราชการแทน จะสั่งการใดที่เกี่ยวกับการบริหาร บริหารงานบุคคล และการอนุมัติเงินงบประมาณ อันอยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรีได้ ต้องได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีเสียก่อน เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่น มาตรา 41 และ 48” นางรัดเกล้า กล่าว

ด้าน น.ส.เกณิกา อุ่นจิตต์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงถึงการแบ่งงานรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่าง ๆ ว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย กำกับดูแลกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กำกับดูแล กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ

“นายพิชัย ชุนหวชิร กำกับดูแลกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ นายอนุทิน ชาญวีรกูล กำกับดูแลกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ  กำกับดูแลกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายพีระพันธุ์ สาลีรีรัฐวิภาค  กำกับดูแลกระทรวงพลังงาน กระทรวงยุติธรรม ยกเว้นกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา” น.ส.เกณิกา กล่าว

น.ส.เกณิกา กล่าวว่า ส่วนรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจักรพงษ์ แสงมณี ได้รับมอบหมายให้ดูแลสำนักงบประมาณ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักงานรัฐบาลพัฒนาดิจิทัล นายพิชิต ชื่นบาน  กำกับดูแลสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา น.ส.จิราพร สินธุไพร  กำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค บริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) กองทุนหมู่บ้าน

Advertisement

นายกฯตอบเอง “หม่อมอุ๋ย” หน.ทีมเศรษฐกิจ พปชร.??

People Unity News : 21 ตุลาคม 65 ตามที่มีกระแสข่าวว่า พรรคพลังประชารัฐเตรียมผลักดัน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี มาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐนั้น

ในวันนี้ ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเสร็จ ผู้สื่อข่าวถามถึงความชัดเจนเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี รวมถึงกรณีที่ล่าสุดมีชื่อ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ โดยนายกรัฐมนตรีส่ายหน้าและตอบว่า ไม่มี

Advertisement

นายกฯ ตั้งเป้าใช้มวยไทยเป็นจุดดึงดูดนักมวยทั่วโลก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 6 กุมภาพันธ์ 2567 “เศรษฐา” ตั้งเป้าใช้มวยไทยเป็นจุดดึงดูดนักมวยจากทั่วทุกมุมโลก

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความถึงการไปร่วมงานวันมวยไทยโลก ประจำปี 2567 “Amazing MuayThai World Festival 2024” ที่อุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้เห็นพลังของแม่ไม้มวยไทย ผ่านการแสดงของคนรักมวยไทยทั่วโลกกว่า 5,000 คน ซึ่งทางกองทัพบกจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อบันทึก Guinness World Records ทุกปี

มวยไทย คือ มรดกของไทย ที่เราคนไทยได้ร่วมกันรักษาและส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น มากว่า 300 ปี วันนี้เรากำลังทำให้มวยไทยเป็นมรดกของโลก ซึ่งต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เรามีงาน WBC Amazing Muay Thai ที่รวมนักมวยกว่า 60 ประเทศ

“ความยิ่งใหญ่ที่เราร่วมกันถ่ายทอด และความงดงามของการไหว้ครูมวย ทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักมวยจากทุกมุมโลก ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องเดินทางมาร่วมไหว้ครูมวยที่นี่ครับ” นายเศรษฐา กล่าว

Advertisement

ยื่นศาล รธน.ชะลอโหวตนายกฯ 27 ก.ค.นี้

People Unity News : 24 กรกฎาคม 2566 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน- ที่ประชุมด่วนผู้ตรวจการแผ่นดิน มีมติให้ส่งศาล รธน. ออกคำสั่งชะลอการโหวตนายกฯ 27 ก.ค.นี้ หลังเกิดปมใช้ข้อบังคับ 41 ห้ามเสนอชื่อซ้ำในการลงมติเลือกนายกฯ เตรียมส่งคำร้อง 1-2 วันนี้

พ.ต.ท.กีรป กฤตธีรานนท์ เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนจากสมาชิกรัฐสภาและประชาชน จำนวน 17 คำร้องเรียน โดยผู้ร้องเรียนขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 25610 มาตรา 213 จากกรณีที่ประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ลงมติวินิจฉัยว่า การเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ถือเป็น “ญัตติ” ซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 41 ซึ่งกำหนดว่า “ญัตติใดที่ตกไปแล้ว ห้ามนำญัตติซึ่งมีหลักการเช่นเดียวกันขึ้นเสนออีกในสมัยประชุมเดียวกัน” เป็นการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องเรียน จึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ

“ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ประชุมปรึกษาหารือและเห็นชอบร่วมกัน โดยพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนว่าเข้าองค์ประกอบ เงื่อนไข และหลักเกณฑ์ ในการเสนอคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 หรือไม่ โดยเห็นว่า รัฐสภาเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นหนึ่งในสามของอำนาจอธิปไตย รัฐสภาจึงถือเป็นหน่วยงานซึ่งใช้อำนาจรัฐ หากการกระทำของรัฐสภาละเมิดสิทธิเสรีภาพ ย่อมถูกตรวจสอบได้โดยศาลรัฐธรรมนูญ และการกระทำของ “รัฐสภา” ในการลงมติวินิจฉัยว่า การเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ถือเป็น “ญัตติ” ซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 41 นั้น เป็นการนำข้อบังคับการประชุมไปทำให้กระบวนการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้กำหนดเรื่องการพิจารณาให้ความเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไว้เป็นการเฉพาะแล้ว มาตรา 159 ประกอบ มาตรา 272 การกระทำของรัฐสภาดังกล่าวจึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ การกระทำของรัฐสภาที่ลงมติวินิจฉัยดังกล่าว เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้ร้องเรียนโดยตรง” เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าว

พ.ต.ท.กีรป กล่าวว่า ผู้ร้องเรียนเป็นสมาชิกรัฐสภาและประชาชนผู้ทรงสิทธิและเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ตามหมวด 3 ว่า สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย หากการกระทำของรัฐสภาดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ การกระทำดังกล่าวย่อมเป็นอันใช้ไม่ได้ และมีผลเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องเรียน นอกจากนี้ ปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการกระทำของรัฐสภาดังกล่าวยังคงมีอยู่และมิได้รับการวินิจฉัยให้เป็นที่ยุติ ย่อมส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องเรียนและประชาชนทั่วไป ซึ่งอยู่ภายใต้การใช้อำนาจของรัฐโดยรัฐสภา ผู้ร้องเรียนรวมถึงประชาชนทั่วไปจึงได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ คำร้องเรียนส่วนหนึ่งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุติการเลือกนายกรัฐมนตรีไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีข้อวินิจฉัย ซึ่งเป็นคำขอเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดมาตรการหรือวิธีการใด ๆ เป็นการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัย

“ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อป้องกันความเสียหายที่ยากแก่การเยียวยาในภายหลัง และเป็นคำขอที่อยู่ในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่จะเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาได้ จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้รัฐสภารอการดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญมีข้อวินิจฉัย ซึ่งเป็นดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาตามความเหมาะสมกับข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่อไป ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงวินิจฉัยให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช  2560 ประกอบ มาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 โดยจะส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ภายใน1-2 วันนี้ เพื่อให้ทันศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อนการนัดประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 27 ก.ค.นี้” เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าว

Advertisement

ผบ.ทบ. เตรียมมอบอีก 3 พื้นที่ทหารให้ ปชช.ใช้ประโยชน์

People Unity News : 31 ตุลาคม 2566 กอ.รมน. – ผบ.ทบ. ขอบคุณรัฐบาลแก้ไขระเบียบคืนที่ดินให้กรมธนารักษ์ หลัง ทบ. เคยขอคืนเองแล้วแต่ไม่สำเร็จ เผย เตรียมจัดสรรอีก 3 พื้นที่ทหาร “แก่งปะลอม-แหลมฟ้าผ่า-สนามบินนครพนม” ให้ประชาชนใช้ประโยชน์ เสนอ นายกฯ เป็นประธานมอบคืน 25 ธ.ค.นี้

พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (รอง ผอ.รมน.) เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี ได้มอบให้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในเรื่องการใช้ประโยชน์จากที่ดินของทหาร ซึ่งหมายรวมถึง หน่วยที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงกลาโหมทั้งหมด โดยนายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กำชับมาให้เร่งดำเนินการอย่างรวดเร็ว พร้อมมอบให้กองทัพบกเป็นเจ้าภาพ จึงได้เรียนเชิญนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่มาหารือกับผู้นำเหล่าทัพที่กองทัพบกในวันนั้นได้รายละเอียดพอสมควร ว่า ที่ดินของกองทัพต่างๆ นั้น มีพื้นที่ที่เรายังไม่ใช้ประโยชน์และมีพี่น้องประชาชนต้องการประกอบสัมมาอาชีพจำนวนเท่าไหร่

“ที่ผ่านมาบางเรื่องกองทัพพร้อมให้การสนับสนุนแต่ก็ติดขัดเรื่องกฎระเบียบบางอย่าง รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี ได้ขจัดปัดเป่าและได้แก้ไขปัญหา จนทำให้ที่ดินเหล่านั้นสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งกองทัพบกเคยทำเรื่องที่จะส่งคืนพื้นที่ประมาณ 50,000 ไร่ในปี 2552 แต่ด้วยระเบียบทำให้ไม่พร้อมในการที่เราจะส่งคืนปีนั้นได้ ในปัจจุบันแนวทางที่นายกรัฐมนตรี ได้ให้แนวทางไว้ภายใต้ชื่อหนองวัวซอโมเดลอยู่ในขั้นตอนกรมธนารักษ์สอบสวนสิทธิ์การครอบครองใช้ประโยชน์ และรับคำร้องขอเช่าจากประชาชน โดยกำหนดว่ากระบวนการทั้งหมดนี้จะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 25 ธ.ค. ตามที่นายกฯระบุว่าจะมอบเป็นของขวัญให้กับประชาชน โดยในวันนั้นจะเรียนเชิญนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี” พล.อ.เจริญชัย กล่าว

พล.อ.เจริญชัย กล่าวอีกว่า โครงการนี้จะใช้เป็นแนวทางในการจัดสรรประโยชน์จากที่ดินของกระทรวงกลาโหมในเบื้องต้นอีก 3 พื้นที่ ได้แก่ 1.กองบัญชาการกองทัพไทย อยู่ที่แก่งปะลอม บ้านพุราด อ. ท่าเสา อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี จำนวน 2,300 ไร่เศษ 2. พื้นที่ของกองทัพเรือใน ต.แหลมฟ้าผ่า อ.เมือง จ. สมุทรปราการ จำนวน 300 ไร่เศษ 3.พื้นที่กองทัพอากาศ สนามบินนครพนม อ.เมือง จ.นครพนม จำนวน 500 ไร่เศษ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวของรัฐบาลจะเป็นการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอันเนื่องมาจากการขาดแคลนที่ดินทำกินเพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พร้อมกันนั้นจะเปลี่ยนสถานะของประชาชนในการครอบครองที่ดินโดยไม่รับอนุญาตมาเป็นผู้เช่าใช้ที่ดินอย่างถูกกฎหมายลดปัญหาการสร้างความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับหน่วยงานของรัฐได้ด้วย ทั้งนี้ขอขอบคุณรัฐบาลที่ทำให้พื้นที่ทั้งหลายในการครอบครองและไม่ได้ใช้ประโยชน์คืนให้กับพี่น้องประชาชนได้ในที่สุด

Advertisement

Verified by ExactMetrics