วันที่ 29 เมษายน 2024

นายกฯ สั่งเข้มงวดคลังแสง ย้ำโทษ จนท.ดูแลทางวินัย-อาญา

People Unity News : 21 กรกฎาคม 2566 “พล.อ.ประยุทธ์” สั่งเข้มงวดคลังแสง ไม่ให้เล็ดลอด-สูญหาย ย้ำโทษเจ้าหน้าที่ดูแลทางวินัยและอาญา

พันเอก จิตนาถ ปุณโณทก รองโฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมสภากลาโหมว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ เข้มงวดกวดขันการรักษาความปลอดภัยคลังอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่อยู่ในคลังต่างๆ ของหน่วย โดยเน้นย้ำและกําชับให้ผู้บังคับหน่วย รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง หมั่นตรวจสอบคลังที่อยู่ในความรับผิดชอบเป็นประจํา เพื่อป้องกันมิให้มีการลักลอบนําอาวุธ ยุทโธปกรณ์ ตลอดจนเครื่องกระสุน และวัตถุระเบิดของหน่วย ออกไปแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่มิชอบ หรือนําออกไปใช้งาน โดยไม่ได้รับอนุญาต หากมีข้อบกพร่องหรือมีการสูญหาย เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบต้องถูกลงโทษทั้งทางวินัยและทางอาญา

ทั้งนี้ การกำชับดังกล่าว เนื่องจากก่อนหน้านี้เกิดเหตุกระสุนในคลังอาวุธ นาวิกโยธิน สัตหีบ สูญหาย นับแสนนัด

Advertisement

นายกฯ เผยยังไม่คิดวางทายาทการเมือง

People Unity News : 4 ตุลาคม 2565 นายกฯ เผยยังไม่คิดวางทายาททางการเมือง ปัดตอบกระแสข่าว “พล.ต.อ.จักรทิพย์” เป็นทายาท 3 ป. บอกเป็นเรื่องของ พปชร.หาแคนดิเดตนายกฯใหม่

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงแนวทางการวางทายาททางการเมืองในอนาคตว่า ขณะนี้ยังไม่ได้คิด

เมื่อถามย้ำว่า จะวางแนวทางการเมืองหลังจากนี้อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้ำว่า ตนยังไม่ได้คิด ตอนนี้ทำเรื่องน้ำท่วมก่อน

ส่วนกระแสข่าวที่มีชื่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะมาเป็นทายาท 3 ป. หลังครบกำหนดเว้นวรรคการเมือง 2 ปี หลังพ้นตำแหน่ง ส.ว.นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว

ส่วนกระแสข่าวที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนยังไม่ทราบ เป็นเรื่องของพรรคพลังประชารัฐ

Advertisement

รบ.เดินหน้าปราบยาเสพติด มุ่งเป้ารายใหญ่ ไม่ให้กระจายต่อ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 กุมภาพันธ์ 2567 รัฐสภา – นายกฯ รับ ตกใจยาเสพติดแพร่หลายขายตามสี่แยก สั่งด่วนให้ตำรวจเร่งปราบ ชี้มุ่งเป้ารายใหญ่เพื่อไม่ให้กระจายต่อ ระบุนอกจากยาบ้า ยาไอซ์ ปัจจุบัน 4 คูณ 100 และบุหรี่ไฟฟ้า ก็น่าห่วง ย้ำจับมือเพื่อนบ้านแก้ปัญหา PM 2.5

นายโสภณ ซารัมย์ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ตั้งกระทู้ถามนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 3 เรื่องสำคัญ คือ การแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยหากเปรียบกับผู้ป่วย คืออยู่ในขั้นโคม่า ดังนั้นต้องปฏิรูปทั้งองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งหมด เพราะแม้สถิติการแก้ไขจะลด แต่สวนทางกับความเป็นจริง หากมองให้ลึกลงไป จากปกติปัญหายาเสพติดเกิดกับผู้ใช้แรงงาน แต่ปัจจุบันกลับพบไปถึงนักเรียน นอกจากยาบ้า ยาไอซ์ โดยเฉพาะขณะนี้การนำกระท่อมมาทำเป็นสูตรที่เรียกว่า 4 คูณ 100 กำลังเป็นแฟชั่น กับ บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งยาเสพติดมีหลายประเภท หาง่าย ราคาถูก การแก้ไขไม่จริงจัง จนเป็นปัญหาสังคม ขณะที่กฎหมายก็ไม่เอื้อต่อผู้ปฏิบัติ จับแล้วก็ปล่อย จึงมองว่าปัญหายาเสพติดในขณะนี้อาจจะเป็นวิกฤต เท่ากับวิกฤตเศรษฐกิจหรือการศึกษา รวมถึงการแก้ปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 ในระยะสั้นและระยะยาว และจากการที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปต่างประเทศ จะมีแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างไร โดยเฉพาะการแชร์นักท่องเที่ยวจากเมืองหลักอย่างกรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ต ไปสร้างรายได้ให้กับจังหวัดอื่นๆ ที่เป็นเมืองรอง

โดยนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ประเด็นยาเสพติดเป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนห่วงใย เพราะจากตัวเลขการจับกุม 4 เดือนสุดท้ายเมื่อปลายปี 2566 สามารถจับผู้ค้ารายย่อยเพิ่มมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 32,000 เคส ยาบ้าจับได้มากกว่าปีก่อน 2 เท่า คือ กว่า 250 ล้านเม็ด โดยเน้นจับผู้ค้ารายใหญ่ไม่ให้ไปกระจายต่อ ซึ่งรายใหญ่ที่ขายมากกว่า 500,000 เม็ดขึ้นไป จับได้ 62 เคส ยึดทรัพย์แล้วกว่า 2,500 ล้านบาท

“หากพูดถึงปัญหาจริง ก็ต้องยอมรับว่าตัวเลขเหล่านี้ยังไม่ได้เป็นที่น่าสบายใจ เพราะแม้ผู้ค้ารายใหญ่จะถูกจับไป แต่ไม่ได้ส่งผลให้ราคายาบ้าแพงขึ้น จึงเป็นการบ้านของรัฐบาลที่ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ต้องยอมรับรากเหง้าของปัญหามาจากเศรษฐกิจ การที่ประชาชนประสบปัญหารายจ่ายสูง รายได้น้อย อาจหมดหวังมาหลายปี รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะตระหนักปัญหาที่เกิดขึ้น” นายเศราฐา กล่าว

ส่วนเรื่องยาเสพติดที่จับได้แล้วใช้เวลานานในการทำลายนั้น นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนที่จะจับและพิสูจน์ทราบ และเก็บตัวอย่างเล็กๆ ไว้ ส่วนที่เหลือให้ทำลายล้างโดยเร็ว เพื่อตัดปัญหาที่สังคมสงสัยว่าอาจมีการรั่วไหล ขณะที่เรื่องน้ำกระท่อม ถือว่าเป็นยาเสพติดชนิดใหม่ที่วัยรุ่นให้ความสำคัญ และแพร่กระจายไปเร็ว

“ยอมรับว่า ไม่เคยทราบว่ามีการจำหน่ายอย่างแพร่หลายตามสี่แยก จึงได้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาพูดคุย เพื่อให้ดำเนินการกวาดล้างอย่างรวดเร็ว ร่วมกับฝ่ายปกครอง จนสามารถดำเนินการได้ภายใน 1 สัปดาห์ ที่จังหวัดอุบลราชธานี หลังได้พบกับ สส.ในจังหวัด พร้อมกันนี้ยังพยายามกระจายให้ดำเนินการต่อในจังหวัดอื่นๆ ด้วย ย้ำว่า หาก สส.ในพื้นที่มีปัญหา ขอให้แจ้งรัฐบาลเพื่อจัดการอย่างทันควัน” นายเศรษฐา กล่าว

นายกรัฐมนตรี มองว่า ปัญหายาเสพติดโยงไปถึงประเทศเพื่อบ้านด้วย เพราะต้องยอมรับว่า ประเทศที่มีปัญหาภายในอย่างมาก คือ ประเทศเมียนมา ที่มีพรมแดนติดต่อกัน 2,500 กม. ไทยจึงได้รับมอบหมายจากประเทศอาเซียน ที่จะเข้าไปเจรจากับฝ่ายเมียนมา จึงเป็นเรื่องน่ายินดี ที่สัปดาห์ที่ผ่านมา มหาอำนาจ 2 ประเทศ ส่งผู้นำมาเจรจาพูดคุยในหลายๆ ปัญหา ตนเองก็ได้เจรจาพูดคุยเรื่องปัญหาที่ส่งผลกับประเทศไทย ทั้งปัญหายาเสพติดที่ทะลักเข้ามาตามแนวชายแดน และต้องขอขอบคุณกองทัพไทยและความร่วมมือระหว่างฝ่ายปกครอง สส.พื้นที่ และกองทัพบก โดยแม่ทัพภาคที่ 3 กำจัดออเดอร์ได้อย่างมาก ซึ่งการที่ประเทศเพื่อนบ้านมีปัญหาภายใน เรื่องเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญ ง่ายสุดคือผลิตยาแล้วส่งกลับมาขายกับเรา เราก็ไม่ยอม และพยายามพูดคุยและชี้แจงให้มหาอำนาจทั้ง 2 ประเทศเข้าใจ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่ประเทศไทยมีส่วนได้เสียเป็นอย่างมาก ส่วนในอนาคตต้องสกัดการเข้ามาตามแนวชายแดนต่อไป เพราะปัจจุบันทางภาคเหนือทำได้ดี แต่ไปเจอที่ภาคกลาง เช่น กาญจนบุรีที่พบปัญหา จึงต้องสู้กันไป สำหรับการบำบัดคืนผู้เสพให้เป็นผู้ป่วย ก็เป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องดำเนินการต่อไป ซึ่งจะเรียกรัฐมนตรีสาธารณสุข มาหารือบ่ายนี้

ส่วนเรื่องของฝุ่นละออง PM 2.5  ก็เป็นปัญหาที่มีรากเหง้าจากปัญหาเศรษฐกิจ ยังมีการเผาทำลายวัชพืชด้วยการใช้ไม้ขีดเพียงก้านเดียว ดังนั้น เราจึงจำเป็นจะต้องสร้างองค์ความรู้ให้กับเกษตรกร ซึ่งรัฐบาลนี้ให้ความสำคัญ ควบคู่กับการผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด

“จะเห็นได้ว่า จุดความร้อนที่เกิดขึ้นปีนี้ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา พบว่าลดลงอย่างมีนัย แต่เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอาจจะยังเข้าใจการแก้ปัญหาน้อยหรือขาดปัจจัยบางอย่าง แต่เมื่อวานนี้ก็ได้มีการหารือกับผู้นำของกัมพูชา ซึ่งยืนยันว่าจะร่วมมือกันแก้ปัญหาเรื่องนี้” นายเศรษฐา กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะเดียวกัน ตนได้สั่งการให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง หากเกษตรกรยังใช้วิธีการเผาอยู่ อาจจะมีการใช้บังคับกฎหมายโดยกระทรวงมหาดไทย หรือตัดความช่วยเหลือจากรัฐบาล

ส่วนมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลนี้ลงทุนมากในการออกนโยบายต่างๆ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพราะประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีมาก ไม่ใช่แค่ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน หรือกรุงเทพฯ อย่างเดียว แต่เมืองรองก็ถือเป็นส่วนสำคัญ รัฐบาลอยากสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวกระจายตัวไปเมืองรอง เพื่อเป็นการกระจายรายได้ ผ่านทางซอฟต์พาวเวอร์ด้วยการจัดเทศกาลต่างๆ ทั้งปี ไม่ใช่เฉพาะไฮซีซั่นเท่านั้น

“แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องของนโยบายอย่างเดียวก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเมืองรองได้ การคมนาคมที่สะดวกสบายก็เป็นส่วนสำคัญ ซึ่งรัฐบาลมีแผนที่จะอัพเกรดสนามบินทั่วประเทศ เพื่อให้การเดินทางของนักท่องเที่ยว ทั้งคนไทยและต่างประเทศ สามารถเดินทางเข้าสู่เมืองรองได้” นายเศรษฐา กล่าว

ขณะเดียวกัน เราก็ได้มีการประสานพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม มาเลเซีย บรูไน นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางต่อได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า เพราะเราไม่ได้มองเพื่อนบ้านเป็นคู่แข่ง แต่จะมาช่วยสนับสนุนซึ่งกันและกัน จึงมั่นใจว่าสิ่งนี้จะพัฒนาเมืองรอง สามารถตอบสนองนักท่องเที่ยวได้แน่นอน และวันที่ 1 มีนาคมนี้ ก็จะมีการเปิดวีซ่าฟรีกับจีน อีกทั้งอยู่ระหว่างการดำเนินการประสานพูดคุย เรื่องขอฟรีวีซ่าเชงเก้นเข้ายุโรป

นายกรัฐมนตรี ยืนยันไม่ได้ให้ความสำคัญกับจังหวัดใหญ่เพียงอย่างเดียว เพราะตนเองก็ได้เดินทางไปทั่วประเทศไทย เข้าใจถึงวัฒนธรรม และสิ่งดีๆ ที่เมืองรองสามารถนำเสนอให้กับนักท่องเที่ยวได้ โดยปลายเดือนนี้ก็จะลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อดูเรื่องของวัฒนธรรม อาหารการกิน มีอะไรบ้างที่รัฐบาลสามารถสนับสนุนสร้างโอกาสพี่น้องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ แต่ทั้งหมดยังเป็นยังมีการบ้านที่ต้องทำต่อ เพื่อปรับปรุงให้ดีที่สุด

Advertisement

เพื่อไทยเปิด 2 นโยบายแรก “เกษตรแบบตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” – “1 ครอบครัว 1 Soft Power”

People Unity News : 10 กันยายน 65 “แพทองธาร” เปิด 2 นโยบายแรก “เกษตรแบบตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” – “1 ครอบครัว 1 Soft Power” อาสาขอเป็นเซลส์แมนขนสินค้าเกษตรไปขายต่างประเทศ

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย กล่าวบนเวที “สะบัดชัย เพื่อไทยมาเหนือ”ว่า วันนี้รู้สึกดีใจ และเป็นเกียรติที่ได้มาปราศรัยที่ จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่ลงเครื่องก็มีความสุข เพราะเชียงใหม่ คือบ้านเกิดของพ่อและอา ทำให้หายคิดถึงกันได้นิดนึง ตอนเด็กๆ เคยมาฟังพ่อปราศรัยที่นี่ รู้สึกตื่นเต้นมาถึงตอนนี้

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า การพัฒนาเชียงใหม่และภาคเหนือเป็นสิ่งที่เพื่อไทยทำมาโดยตลอด ตนจะคงดำรงเจตนารมย์นี้ต่อไป ตนมีเลือดเนื้อเชื้อไขคนเมือง ไม่มีทางลืมภาคเหนือแน่นอน อยากจะให้ประชาชนทั่วประเทศมั่นใจ ถ้าเพื่อไทยเข้ามาทำงานเมือง เมื่อไหร่จะสร้างความกินดีอยู่ดีให้อย่างแน่นอน เอาหนี้สินเปลี่ยนเป็นการเติมเงินในกระเป๋า วันนี้นำผู้สมัครมามากมาย เพื่อให้เห็นความพร้อม ต่อศึกการเลือกตั้ง วันเลือกตั้งเมื่อไหร่ขอให้กาพรรคเพื่อไทยทุกๆบัตร

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า4 ปีภายใต้รัฐบาลเพื่อไทย จะทำให้ทุกคนกินดีอยู่ดีอย่างแน่นอน ส่วนคำพูดที่ว่า “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน” ที่ได้ฟังจากชายคนหนึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกเจ็บปวด แต่ผู้หญิงคนนี้และพรรคเพื่อไทยจะทำได้ อย่างแน่นอน เหมือนที่เคยทำมาแล้ว

น.ส.แพทองธาร ยังกล่าวว่า วันตนตื่นเต้น แต่ก็รู้สึกมีความสุขจากกำลังจากทุกคน โดยเฉพาะคุณแม่ แม้รู้ดีว่าศึกหน้าจะหนัก แต่วันนี้เพื่อไทยลั่นกองสะบัดชัยเพื่อประกาศความพร้อมให้ทุกคนรับทราบ หลายคนบอกกับตนรวมถึง นายทักษิณ ว่า ใครจะมาเป็นนายกฯ จะต้องทำงานหนักอย่างมากในรัฐบาลหน้า เพราะรัฐบาลนี้ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ประเทศหยุดนิ่ง พัฒนาล่าช้า ยาเสพติดเต็มไปหมด จับตรงไหนก็มีปัญหา แต่ตนมั่นใจว่าประสบการณ์ของบุคคลากรของพรรคจะพัฒนา ถ้าได้โอกาสจากประชาชนแบบแลนด์สไลด์ พรรคเพื่อไทยจะเป็นตำตอบของทุกปัญหา

ทั้งนี้พรรคเพื่อไทย จะเริ่มทำจากปัญหาระยะสั่น คือการลดรายจ่ายให้ประชาชน จะต้องมำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ระบบราชการต้องเข้าถึงได้ง่าย จะต้องมีระบบออนไลน์ One stop service ทั่วทุกจังหวัด จะต้องมีการกระจายอำนาจ ความเจริญจะต้องมีทั่วทุกจังหวัด จะต้องมีโอกาสที่จะขจัดหนี้ของประชาชนให้ออกไปจากชีวิต

น.ส.แพทองธาร กล่าวอีกว่า วันนี้ตนขอเสนอนโยบายหลักๆ2 ข้อในวันนี้ คือนโยบายการเกษตร ต้องการจะเอา “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ซึ่งตนก็มีที่ปรึกษาเรื่องการตลาด จากคนที่ทุกคนที่รู้ว่าใคร และตนก็จะรับเป็นเซลล์ไปขายสินค้าของเกษตรกรให้กับต่างประเทศ เมื่อเกษตรกรมีกินมีใช้ ก็จะส่งผลต่อระบบทั้งประเทศ

นอกจากนี้ยังมี นโยบาย “1 ครอบครัว 1ซอฟต์พาวเวอร์” เป็นการส่งเสริมศักยภาพของประชาชนทุกอาชีพ คนไทยสามารถปรับตัวเอง ให้เข้ากับทุกวัฒนธรรม และรู้จักพลิกแพลง พรรคเพื่อไทยมองเห็นโอกาส ว่าจะสามารถทำตรงนี้ได้ หากตอนนี้มี20ล้านครอบครัว จะหาครอบครัวละ1คน ก็ได้ 20 ล้านคนจะนำคนเหล่านั้นมาเจียระไน ฝึกฝน เพื่อสร้างรายได้และดูแลครอบอย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ตอนนี้อยากให้ประชาชน กรอกรายละเอียดในเว็บไซต์ ว่าใครในครอบครังเป็นที่มีศักยภาพด้านใดบ้าง หากต่อไปในอนาคตเพื่อไทยได้มีโอกาส ก็จะเอาข้อมูลตรงนี้ไปต่อยอด จัดให้มีหน่วยงานดูแล จัดคัดแยกบุคคลตามศักยภาพด้านต่างๆ โดยผู้เป็นนายกฯจะเป็นผู้ดูแล รัฐจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด 20 ล้านคนจะเป็นเเรงงานสำคัญที่จะทำให้ครอบครัวของเขามีกินมีใช้ อย่างมีเกียรติ

Advertisement

“นฤมล” หนุนกองทุนรวมเพื่อสังคม

People Unity News : 5 ตุลาคม 2565 “นฤมล” หนุนกองทุนรวมเพื่อสังคมกลไกลดเหลื่อมล้ำสร้างเศรษฐกิจไทยยั่งยืน

นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ได้โพสต์ Facebook ส่วนตัวสะท้อนมุมมองถึงแนวทางการเก็บภาษีของรัฐบาลทุกประเทศอยู่บนหลักการที่จะนำรายได้ภาษีไปเพื่อจุดประสงค์หลักได้แก่  1)สร้างความเท่าเทียมในระดับหนึ่ง คือ ก่อให้เกิดการกระจายรายได้ ด้วยการเก็บภาษีคนรวย มาช่วยคนจน ด้วยโครงการอุดหนุนชดเชยต่างๆ กับ 2) นำมาพัฒนาประเทศ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ทางรถไฟ เป็นต้น นอกจากนั้น เป็นค่าใช้จ่ายของหน่วยราชการ

ทั้งนี้แนวนโยบายหลายประเทศ เมื่อรายได้ภาษี น้อยกว่า รายจ่ายที่มี จึงจำเป็นต้องทำงบประมาณขาดดุล และอาศัยการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล เงินกู้นี้ถือเป็นหนี้สาธารณะ เพื่อให้เกิดวินัยทางการคลัง กฎหมายจึงกำหนดเพดานเงินกู้ไว้ในมาตรา 28 ของ พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ  เดิมกำหนดเพดานไว้ที่ 60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ GDP และ 30% ของประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ ต่อมา ขยายเป็น 70% และ 35% ตามลำดับ

นอกจากนี้ มาตรา 20 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ  ยังกำหนดให้งบประมาณรายจ่ายลงทุนต้องไม่น้อยกว่า 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีและต้องไม่น้อยกว่าวงเงินของส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปีนั้น กฎหมายเขียนไว้ เพื่อให้เกิดวินัยการคลังว่าเม็ดเงินที่กู้มาอย่างน้อยจะนำไปลงทุนที่ทำให้เกิดการพัฒนาประเทศ

ด้วยข้อจำกัดของรายได้ภาษี กับวินัยการคลังที่จำเป็นต้องมีเป็นอย่างยิ่ง หลายประเทศ รวมทั้งไทยเรา จึงได้หันมาใช้แหล่งเงินจากตลาดทุน (กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน) และภาคเอกชน (การร่วมทุน PPP) ในการพัฒนาประเทศด้านโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น

นางนฤมล กล่าวว่า แต่ภารกิจของรัฐบาลในการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ยังคงพึ่งพิงงบประมาณ ซึ่งคือรายได้ภาษีเป็นหลักเท่านั้น ในขณะที่หลายประเทศเริ่มหันไปใช้แหล่งเงินทุนจากตลาดทุน ในรูปแบบของกองทุนรวมเพื่อสังคม ตลาดทุนของไทยเราก็มีศักยภาพสูง การตั้งกองทุนรวมเพื่อสังคมนี้ นอกจากจะสามารถดึงดูดเงินลงทุนจากนักลงทุนในประเทศแล้ว นักลงทุนและกองทุนลักษณะเดียวกันนี้ในต่างประเทศก็พร้อมที่จะเข้ามาร่วมลงทุนเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกกับสังคมในประเทศไทยเช่นกัน

นางนฤมล กล่าวว่า กองทุนรวมเพื่อสังคม ให้เงินลงทุนกับธุรกิจเพื่อสังคมที่คณะกรรมการกองทุนพิจารณาว่ามีศักยภาพในการสร้างผลงานตามตัวชี้วัดที่กำหนด เช่น เพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ รายได้รวมของเกษตรกรเพิ่มขึ้น ผู้พ้นโทษจำคุกที่เข้าร่วมโครงการได้มีงานทำและมีรายได้ขั้นต่ำตามที่กำหนด รายได้ของผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับการพัฒนาทักษะอาชีพเพิ่มขึ้น เป็นต้น

กองทุนรวมเพื่อสังคม และธุรกิจเพื่อสังคม เดินหน้าร่วมกัน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน ที่จะไม่นำเม็ดเงินไปอุดหนุนหรือแจกโดยตรง แต่ทำการพัฒนาผ่านการให้ความรู้ เครื่องมือ และกลไกในการที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่นำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน ตามแนวทางของการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ของสหประชาชาติ (UN)

นอกจากจะเป็นแนวทางที่แก้ปัญหาให้ประเทศเรื่องแหล่งเงินทุนแล้ว ยังสามารถนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมมิติต่างๆ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน เพราะไม่ว่าในอนาคตรัฐบาลจะจัดตั้งโดยพรรคใด กองทุนนี้จะดำเนินงานได้ต่อเนื่องเพราะไม่ได้ใช่เงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี จึงมิได้ใช้ระบบราชการในการดำเนินโครงการ แต่อาศัยผู้ประกอบการทำงานเพื่อสังคม ที่จำนวนมากเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีใจรักอยากร่วมพัฒนาชาติไทย

Advertisement

“บิ๊กตู่” ขอให้บ้านเมืองสงบ เศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวกำลังฟื้นตัว

People Unity News : 24 กรกฎาคม 2566 ทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เข้าทำเนียบฯ ตามปกติ ฝากรองโฆษกรัฐบาลมาบอกสื่อ ปล่อยให้เขาตั้งรัฐบาลกันไป ขอทำหน้าที่ดูแลบ้านเมือง ขอให้อย่ากันอย่างสงบ เศรษฐกิจกำลังฟื้น นักท่องเที่ยวกำลังมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เข้าปฏิบัติหน้าที่ตามปกติที่ทำเนียบรัฐบาล โดยวันนี้พล.อ.ประยุทธ์สวมชุดสูทปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้สวมชุดข้าราชการการเมืองสีกากี 2 สัปดาห์แล้วหลังประกาศวางมือทางการเมือง ซึ่งโดยปกติจะสวมทุกวันจันทร์

ขณะที่ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีมีสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับฝากบอกสื่อมวลชนด้วยว่า “ปล่อยให้เขาตั้งรัฐบาลกันไป เราก็ดูแลบ้านเมือง ทำหน้าที่ของเราไป แต่อยากให้อยู่ในความสงบ เพราะทุกอย่างกำลังจะดี เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว นักท่องเที่ยวกำลังมา”

Advertisement

 

รัฐบาลยกระดับจริยธรรมภาครัฐ

People Unity News : 15 กรกฎาคม 2566 รองโฆษกรัฐบาล เผยรัฐบาลยกระดับจริยธรรมภาครัฐ หนุนเกณฑ์กำหนดแนวทางและมาตรการลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมยกระดับจริยธรรมภาครัฐ โดยที่ผ่านมาได้ผลักดันกฎหมายสำคัญให้มีผลบังคับใช้คือพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) มาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562 ที่กำหนดให้องค์กรกลางบริหารงานบุคลากรรัฐและองค์กรที่มีหน้าที่ ต้องดำเนินการออกประมวลจริยธรรม วางแนวปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่อย่างเป็นรูปธรรม

โดยองค์กรกลางบริหารงานบุคคลที่ได้ดำเนินการออกประมวลจริยธรรมไปแล้ว ได้แก่ คณะรัฐมนตรี(ครม.) จัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับข้าราชการการเมือง, สภากลาโหมจัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับข้าราชการทหารและข้าราชการพลเรือนกลาโหม, สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) จัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับผู้บริหารและพนักงานรัฐวิสาหกิจ และ คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน(กพม.) จัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ และผู้ปฏิบัติงานขององค์การมหาชน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เพื่อให้เป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.มาตรฐานจริยธรรมฯ เป็นไปอย่างครบถ้วน ล่าสุดคณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม (ก.ม.จ.) ได้อนุมัติแนวทางการจัดทำและการกำหนดมาตรการที่ใช้บังคับแก่เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐซึ่งมีพฤติกรรมที่เป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมและข้อกำหนดจริยธรรมของหน่วยงานของรัฐ ซึ่งสำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการของ ก.ม.จ. ได้เวียนหนังสือแจ้งให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลภาครัฐดำเนินการกำหนดมาตรการตามแนวทางที่ ก.ม.จ.กำหนดแล้ว พร้อมกับได้แจ้งการดำเนินการให้ ครม. ทราบเมื่อวันที่ 11 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา

แนวทางฯ ที่ ก.ม.จ. กำหนดนั้น ได้ให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลและองค์กรที่มีหน้าที่ ต้องกำหนดกระบวนการพิจารณาและดำเนินการเรื่องร้องเรียนกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม หรือหากเดิมได้กำหนดกระบวนการพิจารณาอยู่แล้วก็ให้ปรับให้ให้สอดคล้องกับแนวทางล่าสุดของ ก.ม.จ.

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับกระบวนพิจารณาเรื่องร้องเรียนนั้นจะต้องประกอบด้วยการดำเนินการอย่างน้อย ดังนี้

1) พิจารณาเรื่องร้องเรียนซึ่งประกอบด้วยข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานเบื้องต้นที่เพียงพอ กำหนดการให้ความคุ้มครองบุคคลที่ให้ข้อมูลไว้เป็นพยาน

2) มีผู้รับผิดชอบในการดำเนินการ

3) กำหนดระยะเวลาดำเนินการที่ชัดเจน

ส่วนขั้นตอนการพิจารณาเรื่องร้องเรียน มีดังนี้

1) ให้ส่วนงาน คณะกรรมการที่ได้รับมอบหมายพิจารณาเรื่องร้องเรียนและรายงานต่อหัวหน้าหน่วยงานของรัฐภายใน 7 วัน นับแต่วันได้รับเรื่อง หากเป็นกรณีหัวหน้าหน่วยงานรัฐถูกกล่าวหาให้รายงานต่อผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปจากหัวหน้าหน่วยงาน

2)ให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐหรือผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไป พิจารณาข้อเท็จจริงสั่งการเพื่อดำเนินการ (รวมทั้งสั่งลงโทษหากมีการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม) ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับรายงาน และแจ้งให้ผู้ร้องทราบโดยเร็ว

3) ดำเนินการบันทึกพฤติกรรมการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมเป็นลายลักษณ์อักษรตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการประเภทนั้น

4) หน่วยงานรัฐรายงานการดำเนินการต่อองค์กรกลางบริหารงานบุคคลและองค์กรที่มีหน้าที่จัดทำประมวลจริยธรรม

5) องค์กรกลางบริงานงานบุคคลและองค์กรที่มีหน้าที่จัดทำประมวลจริยธรรม รายงานต่อ ก.ม.จ.

6) ให้หน่วยงานรัฐเปิดเผยรายงานการดำเนินงานต่อสาธารณะด้วย

Advertisement

“บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม-อนุทิน” ทยอยเก็บของในทำเนียบฯ

People Unity News : 14 กรกฎาคม 2566 “บิ๊กตู่” เก็บของในทำเนียบฯ เหลือของจำเป็นใช้ทำงาน ส่วนห้องคณะทำงาน “บิ๊กป้อม” ทยอยเก็บของจากตึกบัญชาการเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีรายงานว่า ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศวางมือทางการเมือง ล่าสุด ได้เก็บของใช้ส่วนตัว บนห้องทำงานตึกไทยคู่ฟ้า ไปหมดแล้วตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา เหลือเพียงของที่จำเป็นต้องใช้ในการทำงาน และช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ เจ้าหน้าที่ได้เก็บหนังสือต่างๆ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ชอบอ่าน ใส่ลังเตรียมขนกลับประมาณ 4-5 ลัง

ขณะที่ตึกบัญชาการ 1 ซึ่งเป็นห้องทำงานของรองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งเจ้าหน้าที่เก็บของ ซึ่งมีไม่มาก เช่น หนังสือ ของตกแต่ง ส่วนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีเพียงห้องของคณะทำงาน 2 ห้อง ที่ทยอยเก็บของ เพราะมีเอกสาร หนังสือ และของใช้ส่วนตัว ออกบ้างแล้ว

Advertisement

นายกฯ ลั่นขั้นตอนดูแลขบวนเสด็จเป็นเรื่องสำคัญ ควรทำตามกฎ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 กุมภาพันธ์ 2567 นายกฯ ลั่นขั้นตอนดูแลขบวนเสด็จเป็นเรื่องสำคัญ ควรทำตามกฎ มองเหตุปะทะ “ทะลุวัง-​ศปปส.” กลางห้างฯ ในสายตาต่างชาติอาจมองไม่ดี ชี้ควรมีพื้นที่ปลอดภัยพูดคุยระหว่างผู้เห็นต่าง กำชับฝ่ายความมั่นคงดูตลอด

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง​ กล่าวถึงกรณีการปะทะกันระหว่างกลุ่มทะลุวัง กับ ศปปส. ว่า ยังไม่ทราบเรื่อง

เมื่อถามว่า มีการปะทะกันกลางศูนย์การค้าสยามพารากอน และเหมือนเป็นการขัดแย้งระหว่างผู้รักสถาบันกับกลุ่มทะลุวัง นายเศรษฐา กล่าวว่า คิดว่าควรจะพูดคุยกันดีๆ ไม่น่าจะใช้กำลัง เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ดี และวันนี้เป็นวันปีใหม่ เป็นวันที่มีการท่องเที่ยว ในสายตาต่างชาติก็อาจจะมองไม่ดี ควรที่จะมีการระมัดระวังให้ดี หลังจากนี้จะสอบถามว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร

เมื่อถามว่า จำเป็นต้องกำชับฝ่ายความมั่นคงหรือไม่เ พราะกลายเป็นการปะทะกันระหว่างผู้เห็นต่าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองฝ่าย และประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องสำคัญที่สุด อยากให้บรรยากาศที่มีความขัดแย้ง พูดจากันได้ในพื้นที่ปลอดภัย

เมื่อถามว่า กลุ่มที่เห็นต่างเขาไม่พอใจที่มีการก่อกวนขบวนเสด็จ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมีขั้นตอนในการที่จะปกป้องดูแลผู้นำของประเทศ และพระราชวงศ์ ในเรื่องของขบวนเสด็จ ก็ควรที่จะต้องทำตามกฎ

เมื่อถามว่า มีการกำชับเจ้าหน้าที่แล้วใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ก็กำชับมาตลอด”

Advertisement

“พล.อ.ประวิตร” ทุ่ม 100 ล้านเร่งแก้น้ำเค็มรุกบางปะกง

People Unity News : 1 กันยายน 2565 “พล.อ.ประวิตร” ยันน้ำไม่ท่วมเหมือนปี 54 ย้ำมีคณะกรรมการดูแลใกล้ชิด ไม่แล้ง 3 ปีแล้ว เตรียมทุ่ม 100 ล้านแก้น้ำเค็มรุกบางปะกง ระบุ ขรก.ต้องตอบสนอง ปชช.

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ลงพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำลุ่มน้ำบางปะกง การเพิ่มปริมาณน้ำตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี โดยประชุมและมอบนโยบายให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมรับฟังการบริหารจัดการน้ำ ภาพรวมและในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา การบริหารจัดการน้ำพื้นที่ฝั่งขวาแม่น้ำบางปะกง รวมถึงสถานการณ์น้ำต้นทุนเพื่อการผลิตน้ำประปา เพื่อการอุปโภคบริโภคของพื้นที่

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า สัปดาห์หน้ารัฐจะอนุมัติงบ 100 ล้านบาทสร้างประตูน้ำแก้ปัญหาน้ำเค็มลุกลาม ซึ่งขณะนี้จะรอระบบนิเวศอย่างเดียวไม่ได้ เพราะน้ำเค็มรุกไปถึง อ. บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี หากไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำได้ประชาชนก็จะด่ารัฐบาล ตอนนี้ประชาชนกำลังห่วงเรื่องฝน รับรองว่าจะไม่เกิดน้ำท่วมอย่างปี 54 แน่นอน เพราะที่ผ่านมามีคณะกรรมการทั้งระดับจังหวัดและลุ่มน้ำดูแล จนไม่เกิดภัยแล้งมา 3 ปี และร่วมมือกันการกระจายน้ำตลอดเวลาจากฝนตกทางเหนือ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาน้ำท่วม นอกจากนี้การประปาต้องมีแหล่งน้ำสำรอง จะรอแต่น้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติลุ่มน้ำต่างๆอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเก็บน้ำดิบ มีแหล่งน้ำสำรองตลอดเวลา

“การแก้ปัญหาเรื่องน้ำ ถ้ามีน้ำสมบูรณ์ทุกฤดูจะทำให้การปลูกพืชต่างๆได้ พัฒนาการทั้งด้านชีวิตความเป็นอยู่จะเกิดขึ้น ขอฝากข้าราชการและประชาชนต้องทำงานร่วมกัน โดยข้าราชการจะต้องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของประชาชน เพราะเงินเดือนมาจากภาษีของประชาชนจึงต้องจำไว้ว่าจะต้องประสานกับประชาชนเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการทำงาน โดยจะต้องบูรณาการสร้างความรับรู้ให้ประชาชนเข้าร่วมส่วนร่วมในการแก้ปัญหาน้ำด้วย ขณะที่ประชาชนมีเรื่องเดือดร้อนอะไร ต้องบอกข้าราชการ และข้าราชการก็จะต้องสนองความต้องการของประชาชน” พล.อ.ประวิตร กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics