วันที่ 27 เมษายน 2024

“จุรินทร์-เฉลิมชัย” kick off!จ่ายเงินประกันยางทั่วประเทศ

People Unity News : “จุรินทร์-เฉลิมชัย” kick off! จ่ายเงินช่วยประกันรายได้ชาวสวนยาง kick off ส่วนต่างยางพารา วันนี้ทั่วประเทศ

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 เวลา 8.30-9.30น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับการยางแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และคณะ ชี้แจงการจ่ายเงินวันแรก โครงการ ประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง นายจุรินทร์ กล่าวว่า ถือโอกาส สวัสดีพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางทั่วประเทศที่มาประชุมกันอยู่ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะแห่งนี้ และก็ชาวสวนยางทั่วทั้งประเทศอีกครั้ง วันนี้เป็นวันแรกที่มีการจ่ายเงินส่วนต่างไปถึงมือเกษตรกรชาวสวนยางทุกคนตามนโยบายประกันรายได้เกษตรกรของรัฐบาล

โดยนโยบายประกันรายได้ไม่ใช่นโยบายประกันราคาหลายคนยังเข้าใจสับสนที่บอกว่าไม่ใช่เพราะว่าราคานั้นประกันไม่ได้เพราะมันจะขัดกับหลักการขององค์การการค้าโลก WTO ราคาจึงต้องเป็นไปตามกลไกตลาดนั้นก็คือขึ้นอยู่กับผลผลิตถ้าผลผลิตมากความต้องการใช้น้อยราคาก็ต่ำถ้าผลผลิตน้อยความต้องการใช้มากราคาก็สูงขึ้นอดีต และที่ผ่านมาก่อนมีรัฐบาลนี้เกษตรกรชาวสวนยางจะมีรายได้ทางเดียวคือรายได้จากการขายยางตามราคาตลาดซึ่งที่ผ่านมามีปัญหาเพราะราคายางทั่วโลกตกต่ำและเพราะมีผลกระทบกับประเทศไทยด้วยทำให้เกษตรกรชาวสวนยางมีรายได้น้อยลงตรงนี้จึงเป็นที่มาของโยบายรัฐบาลชุดนี้ ที่ได้จัดให้มาโครงการประกันรายได้ขึ้นมา จากนี้ไปเกษตรกรจะมีรายได้ทางที่สองด้วย ก็คือรายได้จากเงินส่วนต่างที่รัฐบาลนี้จะจ่ายให้กับชาวสวนยางทั่วประเทศ ในหนึ่งปีฤดูกาลผลิตเราจะโอนให้ทุกสองเดือน และจะดำเนินการไปเรื่อยเรื่อยตราบเท่าที่ยังมีรัฐบาลชุดนี้

การคำนวณการประกันรายได้ให้เอารายได้ที่ประกันเป็นตัวตั้ง รัฐบาลชุดนี้ประกันรายได้ ยางแผ่นดิบคุณภาพดีที่กิโลกรัมละ 60 บาท และน้ำยางสด 57 บาทต่อกิโลกรัม และยางก้อนถ้วยที่ 23 บาทต่อกิโลกรัม โดยยางแผนดิบที่กิโลกรัมละ 60 บาทเป็นตัวตั้งแล้วเอาราคาตลาดเป็นตัวลบ เราประกันรายได้ให้ชาวสวนยางหัวละไม่เกิน 25 ไร่ขึ้นอยู่กับผลผลิตของพี่น้องว่าได้กี่กิโลกรัม และจะเป็นเงินส่วนต่างที่พี่น้องได้รับซึ่งพี่น้องผลิตยางแผ่นดิบชั้นสามประกันรายได้กิโลละ 60 บาทนั้นถ้าพี่น้องมีสวนยาง 25 ไร่พอดี พี่น้องจะได้รับเงินส่วนต่าง 10,515 บาทและในหนึ่งฤดูกาลผลิตจะโอนให้ทุกสองเดือนโดยเงินงวดต่อไป 10,515 บาท สวนยางก้อนถ้วยกรณี 25 ไร่ได้รับ 6,810 บาท และรัฐบาลจะโอนให้ทุกสองเดือนโดยงวดแรกคือวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 งวดต่อไป วันที่ 1 มกราคม 2563 และงวดต่อไปงวดที่3 วันที่ 1 มีนาคม 2563

และดำเนินการไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่จะมีรัฐบาลชุดนี้ เพราะรัฐบาลชุดนี้ถือว่าโยบายประกันรายได้ชาวสวนยางเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อวุฒิสภาและเป็นคำมั่นสัญญาต่อพี่น้องประชาชนชาวสวนยางทั้งประเทศไว้แล้ว เราใช้เวลาแค่ 98 วันก็โอนเงินส่วนต่างได้ทำได้ไวและทำได้จริง

“สำหรับเกษตรกรบัตรสีชมพูมีสิทธิ์ได้เงินส่วนต่างหรือไม่ ผมถามท่านรัฐมนตรีเฉลิมชัยตอบว่าได้ครับโดยขออย่างเดียวคือขอให้ปลูกจริง แจ้งจริงว่าปลูกชนิดไหน กี่ไร่ ไม่ใช่ทำยางก้อนถ้วยแต่ไปแจ้งทำยางแผ่นดิบอันนี้ไม่ได้เพราะเงินส่วนต่างไม่เท่ากัน การยางฯจะเข้าไปตรวจสวนจากนั้น ธกส.จะโอนเงินส่วนต่างเข้าบัญชีพี่น้องประชาชน ทำให้พี่น้องมีเงินเข้ากระเป๋าสองด้าน ด้านที่หนึ่งคือการขายได้ตามราคาตลาด และเงินส่วนต่างเข้ากระเป๋าขวา ทำให้มีรายได้สองกระเป๋าและรัฐบาลชุดนี้ยังมีนโยบายเสริมที่ต้องดึงให้ราคายางในประเทศสูงขึ้นด้วย” นายจุรินทร์ กล่าว

ประการแรก คือ อีก 1 เดือนหน้าพาพี่น้องประชาชนสู่การประเมินสวนยางยั่งยืนคือการที่จะเปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชนเกษตรกรชาวสวนยางไม่ต้องพึ่งพาต้นยางอย่างเดียวในพื้นที่แต่เปิดโอกาสให้ปลูกพืชแซม นี่คือนโยบายประการที่หนึ่ง ประการที่สอง จะเพิ่มการใช้ยางในประเทศให้มากขึ้น โดย ส่งเสริมให้มีการลงทุนอุตสาหกรรมยางเพื่อมาผลิต ผลิตผลในประเทศมากขึ้นอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะมีข่าวดีที่ภาคตะวันออก คือจะมีการตั้งโรงงานขยายการผลิตอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท จะทำยางพาราจะใช้ยางในประเทศมากขึ้น ขายดียิ่งขึ้น

สำหรับภาคราชการจากนี้ไปการยางจะนำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรีเพื่อรายงานให้รัฐมนตรีทราบว่า ที่เคยสัญญาว่าจะนำยางไปทำถนนไปทำสนามกีฬา ทำไปแล้วมากน้อยอย่างไรเพื่อกระตุ้นการใช้ยางภายในประเทศ เราจะได้ราคายางที่ดีขึ้น และกระทรวงพาณิชย์ กำลังดำเนินการที่จะทำอย่างไรให้ยางไทยส่งออกไปตลาดต่างประเทศมากขึ้นภายใต้โดยนโยบายตนและรัฐมนตรีเฉลิม ชัยศรีอ่อน จะให้ฑูตพาณิชย์ทั่วโลก จะต้องช่วยขายยางให้พี่น้องเกษตรกร

“และที่สำคัญไปผมอินเดียมาเมื่อไม่กี่วันก่อนเราสามารถพานักลงทุนไปเปิดตลาดยางที่อินเดียได้สำเร็จขายยางได้ 100,000 ตัน นำเงินเข้าประเทศ 9,000 กว่าล้านบาท จากนี้ไปอีกไม่กี่วันกลางเดือนพฤศจิกายนหลังประชุมอาเซียน ผมขออนุญาตท่านเฉลิมชัยไปบุกตลาดยางที่ตุรกีและเยอรมัน และมั่นใจว่าจะมีข่าวดีให้กับพี่น้อง สุดท้ายนี้มันใจว่าการสั่งการของท่านรัฐมนตรีเฉลิมชัยบวกการยางอีกไม่กี่วันข้างหน้าเราจะมีข่าวดีให้เกษตรกรชาวสวนยาง เราจะขายยางในปริมาณที่มากมายทีเดียว จะแถลงข่าวให้ทราบเมื่อได้เซ็นสัญญาไม่เกินกลางเดือนขอแสดงความยินดีกับเกษตรกรชาวสวนยางทั่วประเทศที่จะได้รับเงินส่วนต่างครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และทำให้ผมและท่านเฉลิมชัยสามารถทำนโยบายประกันรายได้ชาวสวนยังทำได้ไว้ทำได้จริง” นายจุรินทร์ ประกาศ ท่ามกลางเสียงปรบมือของเกษตรกร

ทางด้านนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายในส่วนของการประกันรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรในพืชห้าชนิดข้าว ปาล์มน้ำมัน ยางพารามันสำปะหลัง ข้าวโพด ซึ่งณวันนี้ตั้งแต่วันที่เท่าไหร่นโยบายจนกระทั่งถึงวันนี้เป็นระยะเวลา 98 วันที่รัฐบาลชุดนี้ทำได้ไวทำได้จริงคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2562 อนุมัติโครงการประกันรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางระยะที่หนึ่งซึ่งนับจากวันนั้นจนกระทั่งถึงวันนี้ที่ชาวสวนยางได้รับเงินจากการประกันรายได้ใช้เวลาทั้งสิ้นเพียง 16 วันในการให้พี่น้องเกษตรกรได้รับเงินส่วนต่างที่เป็นการประกันรายได้ช่วยครองชีพของพี่น้องชาวเกษตรกรชาวสวน ซึ่งเป็นพืชลำดับที่ 3 ที่ชาวเกษตรกรได้รับจากโครงการประกันรายได้

วันนี้ถือเป็นวันที่พี่น้องเกษตรกรได้จดจำจารึกไว้วันหนึ่งว่าสิ่งที่เราได้สัญญาไว้กับพี่น้องในการที่จะประกันรายได้เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนเราสามารถทำตามคำพูดและดำเนินการจนกระทั่งเงินมาถึงมือพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางได้ สำหรับหลักเกณฑ์ของการคือเอาเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับการยางแห่งประเทศไทยก่อนวันที่ 12 สิงหาคม 2512 และเปิดโอกาสให้พี่น้องตามหลักเกณฑ์ที่การยางแห่งประเทศไทยกำหนดคือยังอายุเจ็ดปีขึ้นไปและเปิดน่ากินแล้วรายละไม่เกิน 25 ไร่ได้ทั้งเอกสารบัตรสีเขียวและบัตรสีชมพูทั้งสิ้น จำนวน 1,711,252 ราย พื้นที่สวนยางรวม 17,201,391 ไร่ หรือประมาณ 86% ของพื้นที่ทั้งหมด ปริมาณยางที่จะประกันรายได้ (ยางแห้ง) 240 กิโลกรัม/ไร่/ปี หรือ 20 กิโลกรัม/ไร่/เดือน ระยะเวลาดำเนินการ (ตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) ระยะเวลาประกันรายได้ 6 เดือน (ตุลาคม 2562 – มีนาคม 2563) จ่ายเงินชดเชย 2 เดือน 1 ครั้ง

โดย ธ.ก.ส. ดำเนินการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรชาวสวนยาง งวดที่ 1 จ่ายระหว่าง วันที่ 1 – 15 พ.ย. 62, งวดที่ 2 จ่ายระหว่างวันที่ 1 – 15 ม.ค. 63 และงวดที่ 3 จ่ายระหว่างวันที่ 1 – 15 มี.ค. 63 โดยแบ่งสัดส่วนรายได้เจ้าของสวนร้อยละ 60 และคนกรีดร้อยละ 40

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศที่อาคารเอศูนย์ราชการถนนแจ้งวัฒนะเต็มไปด้วยตัวแทนของเกษตรกรจากทุกภาคร่วม 1000 คน พร้อมเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ เจ้าหน้าที่การยางแห่งประเทศไทย กระทรวงเกษตรฯและกระทรวงพาณิชย์ พร้อมผู้บริหารระดับสูงทุกหน่วยงาน ในโครงการนี้ได้มีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวีเพื่อแจ้งเกษตรกรสวนยางพาราทั่วประเทศพร้อมกันซึ่งเงินส่วนต่างนั้นจะเริ่มต้นจ่ายวันที่ 1 พฤศจิกายนจนกระทั่งถึง 15 พฤศจิกายน รอบแรกเนื่องจากว่าจะต้องมีการตรวจสอบบัญชีอย่างถูกต้องทุกบัญชี

การเคหะแห่งชาติเปิดบ้านให้ กอช.เข้าไปส่งเสริมการออมแก่ชาวชุมชน

People unity news online : กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ร่วมกับการเคหะแห่งชาติ จัดโครงการประชาสัมพันธ์กองทุนการออมแห่งชาติในชุมชนการเคหะแห่งชาติ นำร่อง 4 พื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประกอบด้วย ชุมชนบ้านเอื้ออาทรบึงกุ่ม ชุมชนบ้านเอื้ออาทรสายไหม ชุมชนบ้านเอื้ออาทรพหลโยธิน 44 และชุมชนบ้านเอื้ออาทรเมืองใหม่บางพลี เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารและสิทธิประโยชน์ของการเป็นสมาชิก กอช. แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนของการเคหะแห่งชาติ ให้ตระหนักถึงความจำเป็นของการวางแผนการเงิน และผลักดันให้เกิดพฤติกรรมการออมเพื่อสร้างหลักประกันพื้นฐานในการดำรงชีวิตยามชราภาพอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยได้เปิดตัวโครงการที่ชุมชนบ้านเอื้ออาทรบึงกุ่มและชุมชนบ้านเอื้ออาทรสายไหมเป็นแห่งแรกเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา

นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. กล่าวว่า การจัดโครงการประชาสัมพันธ์กองทุนการออมแห่งชาติในชุมชนการเคหะฯ เป็นการปูพรมลงพื้นที่เพื่อให้เกิดการสื่อสารแก่คนในชุมชนแบบเข้าถึง โดยอาศัยกลไกความร่วมมือระหว่างประชาชน ชุมชน และภาครัฐผ่านการขยายเครือข่ายความร่วมมือกับการเคหะแห่งชาติ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการสร้างการรับรู้ถึงบทบาทหน้าที่ของ กอช. รวมถึงสิทธิประโยชน์ของการเป็นสมาชิก กอช. แก่ประชาชนในชุมชนการเคหะแห่งชาติ โดย กอช. จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของข้อมูลข่าวสารในการเผยแพร่และชี้แจงแก่ประชาชน ผ่านช่องทางการสื่อสารภายในชุมชน อาทิ กิจกรรมพิเศษ เสียงตามสาย ไลน์กลุ่ม เฟซบุ๊ค เป็นต้น นอกจากนี้ กอช. ยังมุ่งหวังในการสร้างความรู้ความเข้าใจเพื่อให้ประชาชนในชุมชนการเคหะแห่งชาติตระหนักถึงความจำเป็นของการวางแผนทางการเงินรวมถึงมีการเก็บออมเพื่อสร้างความมั่นคงแก่ตนเอง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชน ผู้มีรายได้น้อย ผู้มีรายได้ปานกลางและผู้ด้อยโอกาสทางสังคมให้มีความเป็นอยู่ที่เข้มแข็งและยั่งยืนซึ่งสอดคล้องกับภารกิจของการเคหะแห่งชาติ

“กอช.ยังคงเร่งผลักดันระบบการออมเพื่อการชราภาพให้สะดวกในการเข้าถึงและครอบคลุมในทุกพื้นที่ยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานภาคี เพื่อสร้างเครือข่ายการออมที่จะมาช่วยกันสื่อสารประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนต่อไป สำหรับโครงการประชาสัมพันธ์กองทุนการออมแห่งชาติในชุมชนการเคหะฯ นับเป็นโครงการที่มีกระแสตอบรับที่ดี ซึ่งในอนาคตอาจมีการขยายผลไปยังพื้นที่ชุมชนอื่นๆต่อไป” นายสมพรกล่าว

People unity news online : post 20 มิถุนายน 2560 เวลา 20.16 น.

รมช.คลัง แจง “เงินดิจิทัลวอลเล็ต” เปรียบเสมือนคูปองที่เทียบเท่ากับเงินบาท 10,000 บาท

People Unity News : 10 ตุลาคม 2566 พรรคเพื่อไทย – ส.ส.เพื่อไทย แจงที่ประชุมพรรค ประชาชนต้องการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ด้าน รมช.คลัง ย้ำเดินหน้าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ ขณะที่ “แพทองธาร” เชื่อหากนโยบายสำเร็จ ต่างชาติจะดูเป็นตัวอย่าง

พรรคเพื่อไทยมีการประชุม ส.ส.พรรค ประจำสัปดาห์ โดยมีนายชูศักดิ์ ศิรินิล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธาน ส.ส.พรรค, นายอดิศร เพียงเกษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุม โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และรองประธานกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เข้าร่วมการประชุม

ช่วงหนึ่งที่ประชุมเปิดให้ ส.ส. อาทิ นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์, นายอัครนันท์ กัณณ์กิตตินันท์ ส.ส.กาญจนบุรี, น.ส.ชนก จันทาทอง ส.ส.หนองคาย, น.ส.ศรีโสภา โกฏคําลือ ส.ส.เชียงใหม่ ได้สอบถามเกี่ยวกับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต พร้อมสะท้อนความเห็นว่าประชาชนทุกคนต่างเฝ้ารอนโยบายดังกล่าว อยากให้เริ่มโครงการได้โดยเร็วที่สุด และต้องการให้ขยายรัศมีในการใช้เงินมากกว่า 4 กิโลเมตร เพราะในบางพื้นที่ลำบากในการเดินทางใช้จ่าย เช่น พื้นที่บนเขาบนดอย รวมทั้งผู้สูงอายุที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือหรืออินเทอร์เน็ต จะสามารถใช้เงินในโครงการนี้ได้หรือไม่

นายจุลพันธ์ ชี้แจงว่า วันนี้มารับฟังตัวแทนของประชาชนในการสะท้อนปัญหานโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เมื่อรับฟังแล้วก็ดีใจที่เห็นตรงกันว่านโยบายนี้มีความจำเป็น เบื้องต้นขอชี้แจงว่ารัฐบาลรับฟังทุกเสียงทั้งเห็นด้วยและคัดค้าน ขณะนี้เสียงในสังคมเป็นสองส่วน ทั้งเห็นด้วยอยากให้เดินหน้าโครงการให้เรียบร้อย และอีกส่วนหนึ่งขอให้ยับยั้งได้หรือไม่ ในฐานะรัฐบาลเรารับฟังทั้งหมด แต่ในภาคเอกชนที่รับฟังมาอยากเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายนี้ ส่วนประชาชนได้สะท้อนเป็นเสียงเดียวกันอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าให้เดินหน้าโครงการเพื่อให้เงินตัวนี้ต่อยอดชีวิตของเขา

นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า วันนี้สถานการณ์ในประเทศไทยไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เข้มแข็ง มุมมองที่เสนอออกมาหลายมุมมอง แม้จะเป็นอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็เป็นในมุมมองรักษาเสถียรภาพ แต่กลไกที่เป็นเครื่องมือในการบริหารเศรษฐกิจคือ กลไกทางการเงินและกลไกทางการคลัง ซึ่งกลไกทางการเงินอยู่ในมือ ธปท. เป็นหลักในการรักษาเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจ แต่กลไกในการคลังอยู่ในกระทรวงการคลังและรัฐบาล เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโต ขณะนี้ทุกคนรู้ว่าประเทศไทยอยู่ในสถานะของสังคมผู้สูงอายุ และมีความเสี่ยงต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ ถ้าปล่อยแบบนี้ต่อไปประเทศไทยเติบโตเหมือนกับ 10 ปีที่ผ่านมาโตไม่ถึง 2% จะถึงจุดที่แตกหัก คือรายรับของรัฐและงบประมาณของรัฐไม่สามารถเติบโตไปกับสวัสดิการที่จะให้กับประชาชนทั้งผู้สูงอายุหรือใครก็ตาม ซึ่งเป็นความเสี่ยง ฉะนั้นสิ่งที่รัฐบาลมองเราเห็นแล้วว่าการเติบโตของประเทศไทยใน 10 ปีที่ผ่านมา ไม่สามารถโตได้เต็มศักยภาพ เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน บ้านเรายังโตเพียงแค่ปีละ 3% กว่าๆ ซึ่งต่ำกว่าภูมิภาคมากมาย

นายจุลพันธ์ กล่าวอีกว่า วันนี้เราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องดึงประเทศไทยให้กลับมาเติบโตเหมาะสมกับศักยภาพและคนในประเทศเอง รัฐบาลจึงมองว่าการเติบโตในระดับ 5% เป็นระดับที่มีความเหมาะสมเป็นอย่างต่ำ กลไกที่จะใช้หนึ่งในนั้นคือ ตัวนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท แต่ไม่ได้มีในปีกเดียว แต่รัฐบาลที่นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีความครอบคลุมหลายมิติ ซึ่งเมื่อไปเปิดดูนโยบายเร่งด่วนที่เราแถลงนโยบายไปเมื่อเดือนกว่าๆ เราทำไปเกือบหมดแล้ว และปีหน้าคิดอยู่ว่าทำอะไรเพราะเราทำไปหมดเล่มแล้ว นี่คือสิ่งที่เราต้องรีบแก้ไขให้กับประชาชน

ทั้งนี้ สิ่งที่เราทำนอกจากการเดินหน้านโยบายเงินดิจิทัลคือ การลดค่าใช้จ่ายของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคาไฟฟ้าที่เหลือ 3.99 ราคาน้ำมันดีเซล วีซ่าฟรีให้กับนักท่องเที่ยวบางประเทศ ตอนนี้ยอดการจอง ยอดการเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว นโยบายที่เราไปกิโยตินกฎหมายที่เป็นข้อกำจัดต่างๆ ในการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพของประชาชน เราเดินหน้าหมด ซึ่งเวลาเราดูเราต้องดูเป็นแพ็กเกจใหญ่ และยืนยันว่านโยบายนี้จะทำให้ชีวิตพี่น้องประชาชนดีขึ้น

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า สิ่งที่เรากำลังเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ตอบคำถามได้หลายประเด็น แต่ขณะนี้มีความเข้าใจค่อนข้างสับสน บางส่วนอาจจะเป็นเรื่องของมุมมองทางการเมืองที่ต้องการโจมตีในตัวนโยบายหรือบุคคลของเราก็ตาม จึงขอฝาก ส.ส. ที่สัมผัสกับประชาชนอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอดในการที่จะช่วยรัฐบาลชี้แจงเพื่อความเข้าใจในหลายประเด็น เรื่องแรกคือความจำเป็นของนโยบาย ซึ่งตนชี้แจงไปแล้วว่าประเทศไทยไม่ได้โตตามศักยภาพ มีความจำเป็นที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ เงินเฟ้อถามว่าห่วงหรือไม่ ยืนยันว่าไม่กระทบมาก เพราะเงินเฟ้อช่วงที่ผ่านมามีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.25% เป็น 2.50% เพิ่มมา 5 จุด ซึ่งสามารถหยุดยั้งสถานการณ์เงินเฟ้อในระดับที่น่าพึงพอใจ เป็นนโยบายของ ธปท. เงินเฟ้อจาก 5% ขณะนี้เหลือ 0.3% ต่อให้มีนโยบายนี้เข้ามา เราก็มีกลไกควบคุมดูแลให้ความเหมาะสม แต่เรามีความจำเป็นที่จะต้องขยายฐานขยายเศรษฐกิจให้พี่น้องประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น

ส่วนเรื่องที่สองกรณีที่มีกล่าวหาว่านโยบายนี้จะไปซื้อคริปโทฯ จากต่างประเทศมาแจกประชาชน นี่เป็นความเข้าใจผิด เราไม่ได้แจกเงินเหรียญคริปโทฯ เงินนี้คือเงินบาทเดิม เพราะเงินบาทที่ไปอยู่ในรูปแบบของดิจิทัลวอลเล็ตทุกบาท จะต้องถูกแบ็กด้วยเงินบาทของไทยจริงๆ มันจะไม่มีการเปลี่ยนค่าหรือเก็งกำไรได้ มันคือเงินบาทในรูปแบบดิจิทัล คิดง่ายๆ คือเปรียบเสมือนเป็นคูปองที่เทียบเท่ากับเงินบาทจำนวนเงิน 10,000 บาท แต่มีการเขียนเงื่อนไขลงไปในคูปองด้วย การอธิบายแบบนี้จะเข้าใจให้ประชาชนเข้าใจเพราะเราต้องการให้เงินนี้กระตุ้นและเกิดการหมุนเวียนในเศรษฐกิจจริงๆ ถึงได้กำหนดว่าต้องใช้ภายใน 6 เดือน ต้องใช้กรอบระยะทางที่กำหนด และห้ามเอาไปใช้ในบางประเภท

“นโยบายนี้จะเป็นนโยบายแรกที่จะหมุนเวียนเศรษฐกิจมากกว่านโยบายใดๆ ก็ตามที่ประเทศไทยเคยใช้มา โดยไม่กล้าไปเทียบกับในโลก แต่อาจจะมากที่สุดในโลกก็ได้ เพราะในโลกไม่เคยมีกลไกนี้ ในการส่งเม็ดเงินไปยังประชาชนแล้วให้เขียนกลไกให้มันเกิดการหมุนเวียนลงทุนและการใช้จ่าย ซึ่งเมื่อจะมีการใช้จ่าย เราก็เห็นประชาชนในหลายจังหวัดเตรียมรอรับนโยบายนี้ ด้วยการเตรียมการลงทุนในภาคการผลิต ไปจ้างงาน ไปซื้อสินค้าประเภททุนมารองรับ เมื่อเงินมาถึงก็สามารถนำเงินส่วนนี้มาลงทุนในการประกอบอาชีพ” นายจุลพันธ์ กล่าว

นายจุลพันธ์ กล่าวอีกว่า เม็ดเงินเหล่านี้จะไม่ได้ลงเพียงแค่นี้ เพราะเราได้มีการพูดคุยกับสถาบันการเงินของรัฐบางแห่ง เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน สิ่งที่เขาต้องการทำคือเมื่อประชาชนจะนำเม็ดเงินที่บอกว่ามาจากดิจิทัลวอลเล็ต หากสามารถรวมกลุ่มกันได้หรืออาจจะไปคนเดียวก็ตามแล้วมีแผนลงทุนในการประกอบอาชีพที่ชัดเจน แล้วไปคุยกับธนาคารของรัฐก็พร้อมที่จะให้กู้เงินเพิ่มเติมเพื่อไปประกอบอาชีพ นี่คือการสร้างเม็ดเงินมหาศาลในกระบวนการลงทุนและเม็ดเงินในประเทศไทย

“สิ่งที่เราเดินหน้ามาขณะนี้เราเห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ เราเห็นโอกาส เห็นความหวังของประชาชนว่าเขาจะสามารถนำเม็ดเงินเหล่านี้ไปต่ออายุ ไปยื้อชีวิต ไปประกอบอาชีพสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ” นายจุลพันธ์ กล่าว

นายจุลพันธ์ ยังกล่าวว่า เราพร้อมที่จะผ่อนปรนในเรื่องพื้นที่ โดยอนุกรรมการขับเคลื่อนเรารับฟังและมีการพูดคุยกันในสัปดาห์นี้ เพื่อที่จะนำสิ่งที่ทุกท่านแสดงความเห็นและประชาชนส่งสัญญาณมาเข้าพิจารณาและพร้อมที่จะผ่อนปรนเพื่อให้มันเกิดประโยชน์สูงสุดกับการใช้เม็ดเงินตัวนี้ โดยอาจจะขยับเพิ่มจาก 4 กิโลเมตรเป็นตำบลเป็นอำเภอก็ได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงตนเชื่อว่ากลไกทางใช้เม็ดเงินจะเกิดการสะดวก และคล่องตัวและการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจจะมีเพิ่มมากขึ้น

ส่วนกรณีที่มีการเสนอให้แคปวงเงินว่าคนรวยอาจจะไม่ได้ประโยชน์นั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า กลไกทำนโยบายต้องมีการยืนยันตัวตนระดับหนึ่ง ถ้าใครไม่ยืนยันตัวตนถือว่าสละสิทธิ์ ถ้าใครไม่ต้องการเข้าโครงการก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ของประชาชน แต่เรากำลังดูอยู่และขอข้อมูลแล้วว่าถ้าเราจะหาเกณฑ์ในบอกว่าใครรวย ใครจนจะใช้เกณฑ์อย่างไร เช่น รายได้ที่ไปยื่นแบบต่อสรรพากรหรือบัญชีเงินฝากว่ามีเงินเท่าไร แต่เราต้องหาตัวเลขที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย และมันเป็นตัวเลขที่สามารถพิสูจน์ชัดได้ว่าเราจะทำด้วยความยุติธรรม

ส่วนคำถามเรื่องผู้สูงอายุและผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้นั้นจะแก้ไขอย่างไร เบื้องต้นตอนที่เราคิดโครงการ เราคิดว่าจะให้เขาต้องไปเดินยืนยันตัวตนที่ธนาคารของรัฐ เมื่อยืนยันตัวตนแล้วอาจจะมีกระดาษมาหนึ่งใบ และมีคิวอาร์โค้ดให้ไปซื้อของแลกเปลี่ยนกับคนที่มีแอปพลิเคชัน หรือคนที่มีสมาร์ทโฟนได้เลย แต่เรากำลังหาหนทางที่จะทำให้ดีกว่านี้ คือเมื่อยืนยันตัวตนแล้วจะบันทึกในบัตรประชาชน แล้วนำใช้บัตรประชาชนกับแอปพลิเคชันของอีกคนหนึ่ง เพื่อทำการแลกเปลี่ยนได้ แต่ต้องมีการยืนยันใบหน้า เพื่อไม่ให้สามารถให้ใครไปแอบอ้างหรือใช้บัตรประชาชนของท่านไปขึ้นเงินได้ ก็ขอให้สภาผู้แทนราษฎรไปทำความเข้าใจกับประชาชนว่า นโยบายนี้เป็นนโยบายหลักและเป็นประโยชน์ ไม่ใช่แค่กับประชาชน แต่หากให้พูดตรงๆ คือการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้ประชาชนเป็นกลไกมาช่วยรัฐบาลเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจมันเกิดขึ้น

ขณะที่นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ส.ส. ได้ลงพื้นที่และพูดคุยกับประชาชน ไม่ได้มีข้อที่บอกว่าควรทำหรือไม่ควรทำ แต่ถามมากกว่าว่าจะได้เมื่อไร ฉะนั้นประชาชนในพื้นที่กำลังรอคอยนโยบายนี้อย่างใจจดใจจ่อ เราเห็นได้ชัดว่าเศรษฐกิจของประเทศไม่ได้ถูกกระตุ้นในภาพรวมและภาพใหญ่แบบนี้มานานแล้ว จึงหวังว่านโยบายนี้จะช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศได้ครั้งใหญ่ ถามว่าใหญ่แค่ไหนก็ใหญ่เท่าที่ว่าหากเราทำสำเร็จต่างชาติจะดูเราเป็นตัวอย่างด้วยซ้ำว่าเราทำได้อย่างไร ทั้งนี้ ตอนที่เราหาเสียงต้องกำหนดเงื่อนไขต่างๆ เพื่อให้เศรษฐกิจหมุนเวียนและทั่วถึง ทั้งประชาชนที่อยู่ไกลอาจจะมีรายละเอียดต่างๆ ให้ทั่วถึงยิ่งขึ้น

นางสาวแพทองธาร กล่าวอีกว่า นอกจากกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ยังยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายที่สำคัญอย่างมาก และแน่นอนว่ารัฐบาลนี้เรามีนโยบายอื่นๆ ที่ทำควบคู่กันไปด้วยและเริ่มคิกออฟไปแล้ว เราจะเริ่มเห็นผลสำเร็จค่อยๆ ตามมาในแต่ละนโยบาย อย่างไรก็ตาม นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตจะนำไปสู่การจ้างงานและเกิดการสร้างอาชีพ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จะได้รับผลประโยชน์ทั่วกัน อีกทั้งรัฐบาลจะได้ผลตอบแทนมาในรูปแบบของภาษี ซึ่งภาษีที่ได้กลับมาจะทำให้รัฐบาลมีงบประมาณในการพัฒนานโยบายอื่นๆ ต่อยอดอีก เพื่อพัฒนาประเทศและช่วยเหลือและเพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้

“วันนี้ที่เราได้ประชุมกันรับฟังความคิดเห็นจาก ส.ส. ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง และมาคุยกับรัฐมนตรีแล้ว ขอฝากรัฐบาลไว้ด้วยว่าให้ทำนโยบายนี้ให้สำเร็จอย่างที่เราได้บอกกับประชาชนไว้ เพื่อรัฐบาลเข้มแข็งและประชาชนทุกคนจะได้รับประโยชน์ไปพร้อมกัน” นางสาวแพทองธาร กล่าว

Advertisement

ช่วยผู้ปกครอง พาณิชย์จับมือ 7 แบรนด์ 10 ห้าง ลดราคาอุปกรณ์การเรียน-ชุดนักเรียน 65% วันนี้-30 มิ.ย.

People Unity News : 10 พฤษภาคม 65 กระทรวงพาณิชย์ เดินหน้าโครงการ “พาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน Lot 17 Back to School ” รับเปิดเทอม เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองช่วงเปิดภาคเรียน สำหรับสินค้าที่นำมาลดราคามี 7 หมวด มากกว่า 5,000 รายการลดราคาสูงสุด 65% จำหน่ายในห้างสรรพสินค้าและห้างท้องถิ่น 10 ห้างทุกสาขาทั่วประเทศ โดยหมวดสินค้าที่เข้าร่วมโครงการมีดังนี้

1.ชุดนักเรียน 3,345 รายการ ลดสูงสุด 50%

2.รองเท้าถุงเท้า 185 รายการ ลดสูงสุด 34%

3.กระเป๋านักเรียน 61 รายการ ลดสูงสุด 65%

4.ตำราเรียนและหนังสือเรียน 523 รายการ ลดสูงสุด 30%

5.เครื่องเขียน 59 รายการ ลดสูงสุด 50%

6.สื่อการเรียนการสอน 187 รายการ ลดสูงสุด 20%

7.สินค้าอื่นๆ เช่น กระติกน้ำ กล่องข้าว โต๊ะนักเรียน 732 รายการ ลดสูงสุด 65%

7 ยี่ห้อที่นำสินค้ามาลดราคา ประกอบด้วย 1.ตราศึกษาภัณฑ์ 2.น้อมจิตต์ 3.สมใจนึก 4.ตราสมอ 5.บาจา 6.พีเอส จูเนียร์ และ 7.ยี่ห้อนันยาง

10 ห้างสรรพสินค้าและห้างท้องถิ่น ประกอบด้วย ห้างบิ๊กซี/ แม็คโคร/ โลตัส/ The Mall/ เซ็นทรัล/ โรบินสัน/ B2S/ Office Mate/ Power Buy และ Supersports

ผู้ปกครองที่สนใจ สามารถเลือกซื้ออุปกรณ์การเรียนและชุดนักเรียนให้บุตรหลานได้ตั้งแต่บัดนี้ – 30 มิ.ย. 65 ณ ห้างสรรพสินค้าที่ร่วมรายการทุกสาขาทั่วประเทศ

Advertisement

ธ.ก.ส. จับมือไปรษณีย์ไทย ขยายช่องทางการตลาดทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ ช่วยเกษตรกร-SMEs

People Unity News : ธ.ก.ส. ร่วมกับไปรษณีย์ไทย ยกระดับการจัดการสินค้าเกษตรไทยแบบครบวงจร ทั้งการผลิต แปรรูป การเพิ่มช่องทางจำหน่ายและตลาดรองรับสินค้าเกษตรส่งตรงสู่ผู้บริโภค ทั้งทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.thailandpostmart.com และออฟไลน์ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ พร้อมรับส่วนลดพิเศษ เมื่อซื้อสินค้าจากลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ www.thailandpostmart.com ตลอดทั้งเดือน พ.ย.นี้

20 ต.ค.64 นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. มุ่งสนับสนุนช่องทางการตลาดที่หลากหลายให้กับเกษตรกรลูกค้า ผู้ประกอบการ SMEs เกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตร และสถาบันเกษตรกร เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างงาน สร้างรายได้ โดยร่วมมือกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ดำเนินโครงการเพิ่มช่องทางการตลาดและระบบโลจิสติกส์สินค้าเกษตรเพื่อยกระดับเศรษฐกิจภาคการเกษตรไทย เพื่อพัฒนาและยกระดับการจัดการผลผลิตทางการเกษตร ตลอดจนสินค้าเกษตรแปรรูปครบวงจร ทั้งในด้านวางแผนการผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพและการพัฒนาคุณภาพผลผลิต รวมทั้งการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรลูกค้าและผู้ประกอบการมีโอกาสในการขายสินค้าและสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้นขณะเดียวกันผู้บริโภคก็ได้รับผลผลิตและสินค้าทางการเกษตรที่ดี มีคุณภาพ มีมาตรฐานรับรองจากเกษตรกรและผู้ประกอบการภาคเกษตรโดยตรง

ทั้งนี้ ธ.ก.ส. จะคัดเลือกสินค้าทั้งที่เป็นสินค้าเกษตร สินค้าแปรรูปที่มีคุณภาพดี จากผู้ผลิตโดยตรงกว่า 200 รายการ เช่น กล้วยตาก ตราจิราพร จังหวัดพิษณุโลก  หมอนยางพารา ตรา PARATO จังหวัดอุบลราชธานี  กล้วยหอมทอง บรรจุกล่อง จากสหกรณ์การเกษตรบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี กาแฟคั่วบด ตราถ้ำสิงห์ จากวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟบ้านถ้ำสิงห์ จังหวัดชุมพร เป็นต้น  โดยนำผลผลิตและผลิตภัณฑ์นำมาจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ www.thailandpostmart.com และช่องทางออฟไลน์ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ ซึ่งทางบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด จะดำเนินการขนส่งผลผลิตทางการเกษตรหรือสินค้าเกษตรแปรรูปที่มีการสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ข้างต้น ไปยังผู้บริโภคโดยตรง โดยคิดอัตราค่าบริการในราคาพิเศษ และเพื่อเป็นการขอบคุณผู้บริโภคที่ร่วมสนับสนุนการซื้อสินค้าจากเกษตรกร ผู้ประกอบการภาคการเกษตรดังกล่าวผ่านเว็บไซต์ www.thailandpostmart.com เพียงกรอกรหัส “BAAC55” รับส่วนลดทันที 55 บาท จำนวน 1,500 สิทธิ์เท่านั้น ระยะเวลากิจกรรมตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน – 30 พฤศจิกายน 2564

Advertising

“อุตตม สาวนายน”ยันความเชื่อมั่นช่วยพ้นสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้ได้

People Unity News : “อุตตม สาวนายน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยันความเชื่อมั่นช่วยพ้นสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้ได้

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่ผมได้กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในไตรมาสสุดท้ายของปีไปแล้ว ซึ่งได้แก่ มาตรการ “ชิมช้อปใช้” ที่กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย การท่องเที่ยวในพื้นที่ชุมชน และมาตรการประกันรายได้เกษตรกร รวมทั้งมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้โครงการ”บ้านในฝัน รับปีใหม่” สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท

สำหรับความคืบหน้าของ มาตรการ “ชิมช้อปใช้” ซึ่งขณะนี้อยู่ในเฟส 3 มียอดการจ่ายใช้รวมทั้งหมด 13,922.7 ล้านบาท โดยเป็นยอดการใช้จ่ายผ่านกระเป๋า 1 จำนวน 11,580.2 ล้านบาท และผ่านกระเป๋า 2 ที่จะได้รับเงิน Cash Back คืน เป็นจำนวน 2,342.2 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นโดยลำดับ โดย “ชิมช้อปใช้” มียอดการใช้จ่ายผ่านร้านค้า ได้แก่ ร้านชิม จำนวน 1,832.5 ล้านบาท ร้านช้อป จำนวน 8,648.5 ล้านบาท ร้านใช้ จำนวน 160.9 ล้านบาท ร้านค้าทั่วไป 3,258.3 ล้านบาท และโรงแรม ที่พัก จำนวน 21.3 ล้านบาท

ด้านมาตรการประกันรายได้เกษตรกร จากข้อมูลของ ธ.ก.ส. ณ วันที่ 21 พ.ย.62 มีการจ่ายเงินให้กับเกษตรกร ในโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปี 2562/63 รอบที่ 1 แล้ว 542,853 ราย เป็นจำนวนเงิน 13,050 ล้านบาท

โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2562-63 จำนวน 286,003 ราย เป็นเงิน 2,595 ล้านบาท

และโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 1 จ่ายไปแล้ว จำนวน 590,322 ราย เป็นเงิน 3,348 ล้านบาท

ในส่วนของโครงการ”บ้านในฝัน รับปีใหม่” ที่ต้องการให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงการมีบ้านในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ในวงเงินสินเชื่อ ธอส.ประชารัฐ 5 หมื่นล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย 2.5% ต่อปี ซึ่งเปิดให้มีการยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่ 24 ต.ค. 62 ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ยื่นขอกู้แล้วรวม 5,441 ราย วงเงิน 11,110 ล้านบาท และ ธอส.ได้อนุมัติเงินกู้ไปแล้ว 2,140 ราย วงเงิน 3,931 ล้านบาท โดยคาดว่าวงเงินรวมทั้งหมดจะมีผู้ยื่นกู้เต็มในช่วงเดือน ก.พ. 63

ด้าน ธ.ออมสิน ยังได้เตรียมออกมาตรการสินเชื่อเคหะตัวใหม่ ให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) โดยเบื้องต้นได้เตรียมวงเงินปล่อยสินเชื่อไว้ประมาณ 25,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยราว 2.7-2.9% ต่อปี และตั้งเป้าจะเริ่มโครงการได้ในเดือน ธ.ค.62 โดยปรับให้มีเงื่อนไขพิเศษ อาทิ การผ่อนชำระ 10 บาทต่อเดือนในระยะแรก รวมถึงไม่จำกัดเพดานราคาบ้าน เพื่อเปิดกว้างให้ประชาชนสามารถซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีโครงการ “สินเชื่อประชาชน 555” ที่จะเปิดโอกาสให้กับผู้มีรายได้น้อยในระดับเศรษฐกิจฐานรากกู้ยืมเพื่อการประกอบอาชีพ โดยคิดดอกเบี้ย 0.5% ต่อเดือน ผ่อนชำระ 5 ปี ในวงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย

ขณะเดียวกันกระทรวงการคลังก็ได้ติดตามสถานการณ์การส่งออกอย่างใกล้ชิด โดยข้อมูลการส่งออกและนำเข้า 10 เดือนของปี 2562 พบว่ามีการส่งออกรวม 2.07 แสนล้านดอลลาร์ ลดลงจากปีก่อน 2.4% การนำเข้าอยู่ที่ 1.99 แสนล้านดอลลาร์ลดลง 4.1%

โดยพบว่าการส่งออกสินค้าในเดือนต.ค. มีสัญญาณที่ดีขึ้นจากการที่สินค้าบางรายการที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ และส่วนประกอบ สามารถกลับมาขยายตัวได้เป็นบวกในรอบ 13 เดือน

ในส่วนการส่งออกสินค้าไปยังตลาดหลักของไทยที่ในภาพรวมหดตัวเพียง 0.6% แต่ในตลาดหลักอย่าง สหรัฐฯ ยังขยายตัวได้ 4.8% ญี่ปุ่นขยายตัวได้ 0.5% และตลาดตะวันออกกลาง การส่งออกขยายตัวได้ 3.7% ส่วนตลาดการส่งออกสำคัญที่หดตัวได้แก่ อินเดียที่หดตัว 17.2% จากนโยบายการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศลดลง ตลาด CLMV หดตัว 9.9%ตลาดจีนหดตัว 4.2% เป็นต้น

สำหรับแนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ก.พาณิชย์ คาดว่าในเดือน พ.ย.การส่งออกจะยังคงหดตัวต่อไปอีก 1 เดือน และจะขยายตัวได้อีกครั้งในเดือน ธ.ค.โดยการส่งออกทั้งปี 62 คาดว่าจะติดลบประมาณ 1.5 – 2%

นอกจากนี้ ในสัปดาห์หน้าผมมีนัดหารือกับ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (Fetco) ถึงแนวทางการจัดตั้งกองทุนรวมรูปแบบใหม่ที่จะมาทดแทนกองทุนรวมLTF โดยจะต้องคำนึงถึงสิทธิประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับให้มากที่สุด

ขณะเดียวกันกระทรวงการคลัง ได้เตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมไว้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเดือนสุดท้ายของปีเพื่อดูแลเศรษฐกิจในประเทศให้เข้มแข็ง และจับตาสถานการณ์การส่งออกอย่างใกล้ชิด ขณะนี้เศรษฐกิจไทยต้องการ “ความเชื่อมั่น” เป็นสิ่งสำคัญ ผมเชื่อว่า หากทุกฝ่ายร่วมมือกัน เราจะสามารถผ่านพ้นสถานการณ์ในขณะนี้ไปได้

แจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ไทยนิยม ยั่งยืน) ผลิตรอบ 2 ให้ผู้มีสิทธิอีก 78,572 ราย

People Unity : กรมบัญชีกลางมอบหมายให้สำนักงานคลังจังหวัด / ทีมหมอคลังอุ่นใจ แจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ขณะนี้ได้ผลิตบัตรฯสำหรับผู้มีสิทธิที่ข้อมูลคลาดเคลื่อน ไม่ถูกต้อง ไม่ชัดเจน เพิ่มเติมครั้งที่ 2 เรียบร้อยแล้ว พร้อมส่งมอบให้แก่ผู้มีสิทธิ 78,572 ราย

18 เมษายน 2562 นางญาณี แสงศรีจันทร์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมบัญชีกลางได้มอบหมายให้สำนักงานคลังจังหวัด / ทีมหมอคลังอุ่นใจ 76 จังหวัด แจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิจากโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม ภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้ในปี 2560 ที่ยังไม่ได้ไปรับบัตรสวัสดิการฯ จากทีมไทยนิยม ยั่งยืน และอำเภอ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2562 เป็นต้นมา

โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า กรมบัญชีกลางได้ผลิตบัตรสวัสดิการฯ ให้แก่ผู้มีสิทธิไปแล้ว จำนวน 3,121,307 ราย โดยผลิตครั้งแรก จำนวน 3,042,735 ราย และผลิตครั้งที่ 2 สำหรับผู้มีสิทธิที่มีข้อมูลคลาดเคลื่อน ไม่ถูกต้อง ไม่ชัดเจนเพิ่มเติมอีก จำนวน 78,572 ราย โดยได้แจกบัตรสวัสดิการฯ ให้แก่ผู้มีสิทธิซึ่งได้นำไปใช้จ่ายแล้ว จำนวน 2,984,727 ราย คิดเป็นร้อยละ 95.62 (ข้อมูล ณ วันที่ 12 เมษายน 2562) สำหรับผู้มีสิทธิที่ยังไม่ได้รับบัตรสวัสดิการฯ สามารถเดินทางไปรับบัตรสวัสดิการฯด้วยตนเองได้ที่สำนักงานคลังจังหวัด / กรุงเทพมหานคร ตามที่อยู่ปัจจุบันที่ได้ลงทะเบียนไว้ โดยนำบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงไปแสดงตน เพื่อขอรับบัตรสวัสดิการฯ และลงลายมือชื่อเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันการรับบัตรสวัสดิการฯ หรือกรณีจะมอบอำนาจให้ผู้อื่นรับบัตรสวัสดิการฯแทน ต้องดำเนินการ ดังนี้ 1. ให้ผู้มีสิทธิทำหนังสือมอบอำนาจและลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจ 2. นำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีสิทธิที่เซ็นรับรองสำเนาแล้ว แนบไปพร้อมกับหนังสือมอบอำนาจ 3. ผู้รับมอบอำนาจนำหนังสือมอบอำนาจดังกล่าว พร้อมแสดงบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงของผู้มีสิทธิและของผู้รับมอบ ไปยื่นที่สำนักงานคลังจังหวัด / กรุงเทพมหานคร เพื่อขอรับบัตรสวัสดิการฯแทน สำหรับการใช้งานบัตรสวัสดิการฯจะดำเนินการเช่นเดิม คือ ผู้มีสิทธิจะนำบัตรสวัสดิการฯไปใช้ได้หลังจากวันที่ได้รับบัตรสวัสดิการฯ 2 วัน เนื่องจากต้องดำเนินการ Activate บัตร เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่มีสิทธินำเงินในบัตรไปใช้

เศรษฐกิจ : แจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ไทยนิยม ยั่งยืน) ผลิตรอบ 2 ให้ผู้มีสิทธิอีก 78,572 ราย

People Unity : post 18 เมษายน 2562 เวลา 11.50 น.

“ประยุทธ์” สั่งจัดทำมาตรการเพิ่มเติมหรือยืดมาตรการเดิมเยียวยาเศรษฐกิจจากพิษโควิด 19

People Unity News : นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณาจัดทำมาตรการเพิ่มเติม หรือยืดระยะเวลามาตรการเดิม พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอเพื่อช่วยเหลือประชาชนกว่า 40 ล้านคนในทุกพื้นที่

5 ม.ค. 2564 เวลา 12.00 น. ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมอบให้หมายให้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณาจัดทำมาตรการเพิ่มเติม หรือยืดระยะเวลามาตรการเดิม พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอเพื่อช่วยเหลือประชาชนกว่า 40 ล้านคนในทุกพื้นที่ ในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้มีการขอความร่วมมือจากสมาคมโรงแรม ที่พักต่างๆ ในโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ไม่ให้มีการเก็บเงินมัดจำเมื่อมีการยกเลิกการจองห้องพัก พร้อมย้ำว่า “โครงการคนละครึ่ง” ไม่ต้องเสียภาษี เพื่อเป็นการผ่อนภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน

นายกรัฐมนตรีย้ำว่ามาตรการต่างๆ คำนึงถึงผลกระทบที่ตามมาทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจ ทุกคนต้องร่วมมือกัน “รวมไทยสร้างชาติ ร่วมต้านโควิด-19” ให้ประเทศไทยมีความเข้มแข็ง มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด-19 โดยทุกคนต้องระมัดระวังตัวเอง ซื่อสัตย์กับตัวเอง เข้าสู่การตรวจสอบคัดกรองโรค ไม่ปิดบังการเดินทางของตัวเองเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในสถานที่อื่นเพิ่มเติม คำนึงถึงครอบครัวและสังคมส่วนรวม ที่สำคัญคือเจ้าหน้าที่ และบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานอย่างหนัก และต้องรับฟังปฏิบัติตามมาตรการของรัฐด้วย

Advertising

สมาคมธนาคารไทย ยืนยันไม่สามารถใช้เสียงในการยืนยันตัวตนเพื่อโอนเงินได้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 กุมภาพันธ์ 2567 TB-CERT ภายใต้สมาคมธนาคารไทย ยืนยันไม่สามารถใช้เสียงในการยืนยันตัวตนเพื่อโอนเงิน

ศูนย์ประสานงานด้านความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคการธนาคาร (TB-CERT) ภายใต้สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก ขอชี้แจงกรณีที่มีข่าวการดูดเงินเพียงการโทรพูดคุย 2 นาที โดยไม่ต้องกดลิงก์ว่า ปัจจุบันธนาคารไม่มีการใช้เสียงในการยืนยันตัวตนเพื่อโอนเงิน ดังนั้นเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงและยังไม่พบเหตุการณ์ความเสียหายเกิดขึ้นจากกรณีดังกล่าว ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก

ระบบของธนาคารมีการป้องกันและพัฒนาการพิสูจน์ยืนยันตัวตนอย่างต่อเนื่อง เช่น มาตรการให้ยืนยันตัวตนผ่านการสแกนหน้า ควบคู่กับข้อมูลส่วนบุคคล และรวมถึงการกำหนดวงเงินในการทำธุรกรรม นอกจากนี้  TB-CERT ภายใต้สมาคมธนาคารไทย รวมถึงธนาคารสมาชิก ได้ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection) ของลูกค้าทุกคน พร้อมปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อความปลอดภัยในการใช้บริการธนาคาร และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและประชาชน

อย่างไรก็ดี ประชาชนต้องพึงระวัง

1.ไม่ดาวน์โหลด รวมถึงกดลิงก์ใด ๆ โดยเฉพาะจากบุคคลที่ไม่รู้จัก

2.ไม่สแกนหน้ากับโปรแกรมจากแหล่งอื่น ๆ นอกเหนือจากแหล่งที่ได้รับการควบคุมและรับรองความปลอดภัยจากผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการที่เป็น Official Store

3.เมื่อรู้ตัว หรือสงสัยว่ากำลังคุยกับมิจฉาชีพ ไม่แนะนำให้คุยต่อ เพราะอาจจะหลงเชื่อมิจฉาชีพ เนื่องจากมิจฉาชีพอาจจะมีข้อมูลจริงทำให้พูดคุยแล้วยิ่งหลงเชื่อ

4.หากสงสัย ให้โทรสอบถามที่เบอร์ทางการของหน่วยงานโดยตรง

หากลูกค้าธนาคารพบธุรกรรมผิดปกติเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว หรือมีข้อสงสัย ขอให้ติดต่อคอลเซ็นเตอร์ หรือสาขาของธนาคารที่ลูกค้าใช้งานทันที หรือ ติดต่อ ศูนย์ AOC สายด่วน 1441 เพื่อแจ้งตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของการทำธุรกรรม โดยธนาคารจะดูแลแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด

Advertisement

นายกฯสั่ง ก.แรงงานเตรียมความพร้อมแรงงานไทยไปทำงาน ตปท. หลังโควิด 19 คลี่คลาย

People Unity News : นายกรัฐมนตรีสั่งการ ก.แรงงาน เร่งเตรียมความพร้อมให้กับแรงงานไทยที่สนใจไปทำงานต่างประเทศ หลังสถานการณ์โควิด 19 คลี่คลาย

ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒนา โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด 19 ทำให้ช่วงครึ่งแรกของปี 2563  ประเทศต่างๆทั่วโลกประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว แต่คาดว่ากิจกรรมด้านเศรษฐกิจจะกลับมาสู่สภาพปกติโดยเร็ว  พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้ความสำคัญกับผู้ใช้แรงงาน ซึ่งแรงงานไทยเป็นประเทศลำดับต้นๆที่ตลาดแรงงานในต่างประเทศต้องการ ทั้งในประเทศที่เป็นคู่เจรจาเดิม และที่เป็นที่นิยมของแรงงานไทย เช่น  ไต้หวัน  สาธารณรัฐเกาหลี  มาเลเซีย  ญี่ปุ่น  อิสราเอล  และในภูมิภาคอื่นทั่วโลกต่างยอมรับเรื่องความมีวินัย และทักษะฝีมือของแรงงาน  ประกอบกับประเทศไทยมีการบริหารจัดการโรคโควิด 19 ได้เป็นอย่างดีจนเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ

ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีผู้แทนจากประเทศต่างๆเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี อาทิเช่น เอกอัครราชทูตคูเวตได้แจ้งความประสงค์ต้องการแรงงานไทยไปทำงานในการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ  โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานร่วมกับภาคเอกชน เร่งเตรียมความพร้อมในการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศให้ได้รับประโยชน์สูงสุด  ได้ทำงานอย่างมีศักดิ์ศรี มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีโอกาสได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือ รวมถึงทักษะด้านภาษา ซึ่งหากการเดินทางระหว่างประเทศสามารถทำได้ตามปกติ สามารถจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศได้ทันที ให้ใกล้เคียงกับเป้าหมายจำนวน 100,000 คน ตามที่ตั้งเป้าไว้ คาดว่าจะทำให้มีรายได้เข้าประเทศกว่า 140,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ขอย้ำให้แรงงานไทยที่สนใจเดินทางไปทำงานต่างประเทศ เดินทางไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เตรียมร่างกาย และทักษะฝีมือไว้ให้พร้อม รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ

Advertising

Verified by ExactMetrics