วันที่ 4 พฤษภาคม 2024

อุเทน”วอนศาลทบทวนตัดสินคดีล้มประชุมอาเซียนฯปี52 ของจำเลยบางราย

People Unity News : “อุเทน”วอนศาลทบทวนตัดสินคดีล้มประชุมอาเซียนฯปี52 ของจำเลยบางราย หลังปรากฏ “พยานสำคัญ” ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดให้การเท็จ ส่งผลให้คำเบิกความที่กล่าวหาผู้บริสุทธิ์ควรตกไปด้วย เชียร์ “ประยุทธ์” หาแนวทางให้ความเป็นธรรมแบบไม่เลือกสีเสื้อ วางหมุดแรกสร้างความปรองดอง

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 นายอุเทน ชาติภิญโญ อดีตหัวหน้าพรรคคนไทย กล่าวถึงกรณีที่ 3 จำเลยในคดีล้มการประชุมอาเซียนที่โรงแรมรอยัล คลิฟบีชรีสอร์ท เมืองพัทยา เมื่อวันที่ 11 เม.ย.2552 ได้กลับคำให้การและรับสารภาพ ส่งผลให้ศาลฎีกานัดฟังคำสั่งใหม่ในวันที่ 3 ธ.ค.นี้ ในขณะที่จำเลยบางส่วนต้องคำพิพากษาจำคุก 4 ปีโดยไม่รอลงโทษไปแล้วว่า เข้าใจว่าเป็นแนวทางการต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมของ 3 จำเลยดังกล่าว ที่หวังได้รับการลงโทษสถานเบา ซึ่งก็ถือว่าศาลได้ให้ความเมตตารับฟังคำร้องไว้เบื้องต้น และนัดรับฟังคำพิพากษาใหม่ อย่างไรก็ดีภายใต้ความเคารพในคำพิพากษาของศาล และไม่เป็นการล่วงละเมิดขอบเขตอำนาจศาล ตนอยากขอวิงวอนองค์คณะผู้พิพากษาได้ให้ความเมตตาแก่จำเลยในคดีเดียวกันนี้กับรายอื่นๆในส่วนที่ต้องคำพิพากษาจำคุกไปแล้ว

เพราะขณะนี้ได้ปรากฏมีข้อเท็จจริงใหม่ จากการที่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยและพิพากษาโดยอ้างอิงคำเบิกความของพยานสำคัญ คือ พ.ต.ท.ศราวุธ บุญชัย (สารวัตรปราบปราม สถานีตำรวจภูธร (สภ.) ขลุง จ.จันทบุรี ในขณะนั้นเกิดเหตุเมื่อปี 2552) จึงตัดสินลงโทษจำเลยดังกล่าว แต่ต่อมา พ.ต.ท.ศราวุธ ถูกศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษฐานแจ้งความเท็จ โดยยอมรับสารภาพว่า ถูกผู้บังคับบัญชาบังคับให้ให้การเท็จปรักปรำจำเลยในคดีล้มการประชุมอาเซียนซัมมิท จนถูกศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษตามศาลชั้นต้น คือ จำคุก 2 ปี 6 เดือน ปรับ 12,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.61 และยังอยู่ในชั้นฎีกาคดี

“เมื่อ พ.ต.ท.ศราวุธ สารภาพว่าให้การเท็จเพราะถูกบังคับ เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตัดสินว่าผู้ต้องหาชุดดังกล่าวมีความผิด ตามถ้อยคำเบิกความของ พ.ต.ท.ศราวุธ ที่ผูกพันคำพิพากษาจำเลยในคดีล้มการประชุมอาเซียนปี 2552 บางราย จึงไม่ควรรับฟัง และควรที่จะตกไป” นายอุเทน กล่าวและว่า

โดยเฉพาะรายของ นายศักดา นพสิทธิ์ ที่เดินทางไปตามนัดหมายศาลเพียงคนเดียวเมื่อวันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา เพราะมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเอง ก่อนถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษพัทยา ตามโทษ 4 ปีตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ซึ่งเจ้าตัวยืนยันและพยายามต่อสู้ในชั้นศาลว่า ไม่ได้มีส่วนร่วมกับการชุมนุมของ นปช. เพราะขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นกรรมการบริหารและโฆษกพรรคเพื่อไทย อีกทั้งยังไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมหรือบุกเข้าโรงแรมที่ใช้จัดประชุมในวันที่ 11 เม.ย.52 แต่อย่างใด ส่วนในวันที่ 10 เม.ย.ที่ได้เข้าไปอยู่ในสถานที่ชุมนุม แค่ไปติดตามสถานการณ์ ในฐานะที่เป็นคนที่เกิดและโตใน จ.ชลบุรี เท่านั้น แต่ในคำพิพากษาส่วนของนายศักดา ระบุว่า พ.ต.ท.ศราวุธ ให้การว่าเห็นนายศักดาปราศรัยอยู่บนรถขยายเสียงในวันที่ 11 เม.ย.ด้วย ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริง แต่ทำให้นายศักดาต้องโทษ ส่งผลให้ครอบครัวและลูกเล็กได้รับความลำบาก เนื่องจากหัวหน้าครอบครัวที่เป็นเสาหลักต้องโทษถูกจำคุก

“ข้อร้องเรียนเกี่ยวกับกรณีพยานเท็จในคดีนี้นั้น ผมได้พยายามประสานผ่านฝ่ายต่างๆไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ (จันทร์โอชา นายกฯ) แล้วอย่างน้อยๆ 3 ครั้ง เพื่อแสวงหาช่องทางช่วยเหลือและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้บริสุทธิ์ แต่ก็ยังไม่รับการตอบสนอง ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ได้ฝากเรื่องผ่านรัฐมนตรีท่านหนึ่งในรัฐบาลปัจจุบันไปอีกครั้ง ก็หวังว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะรับฟังและแสวงหาแนวทางพิสูจน์ข้อเท็จจริง อันจะเป็นหมุดหมายแรกในการสร้างบรรยากาศความปรองดอง ที่ให้ความเป็นธรรมแก่ทุกกลุ่ม ทุกสีเสื้อ” นายอุเทน กล่าว

กมธ.กฎหมายสภาฯเปิดเวที มอ.ปัตตานี “ช่อ” แฉคนกรุงเทพฯไม่เห็นโอกาสศก.ฮาลาล

People Unity News : “ปิยบุตร-พรรณิการ์” นำเปิดเวทีเสวนา “กมธ.กฎหมาย พบประชาชน” – ด้านปชช.ในพื้น ร้องยกเลิกกฎหมายพิเศษ 3 จังหวัดชายแดนใต้ “ช่อ”แฉคนกรุงเทพฯไม่เห็นโอกาสศก.ฮาลาล

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2562 ที่หอประชุมอิหม่าม อัล-นาวาวีย์ วิทยาลัยอิสลามศึกษา มอ.ปัตตานี นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะประธานกรรมมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน พร้อมด้วย นางสาวพรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่และรองประธานกรรมาธิการ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ โฆษกกรรมาธิการ นายนิรมิต สุจารี ส.ส.พรรคเพื่อไทย โฆษกกรรมาธิการ นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ ส.ส.พรรคประชาชาติ เลขานุการคณะกรรมาธิการ นายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เป็นคณะกรรมาธิการ และนางอังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมเสวนาเปิดเวทีรับฟังปัญหาด้านกฎหมายรวมถึงสิทธิมนุษยชนในสามจังหวัดชายแดนใต้ โดยมีผศ.กุสุมา กูใหญ่ และอสมา มังกรชัย อาจารย์มอ.ปัตตานี เป็นผู้ดำเนินรายการ

ในเวทีเสวนาครั้งนี้นายปิยบุตร เริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ของสภาผู้แทนราษฏร วันนี้มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสเดินทางมามอ.ปัตตานี เรากลับมาสู่การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา มีสภาผู้แทนราษฏรเกิดขึ้น มีการตั้งคณะกรรมาธิการสามัญขึ้นมา 35 คณะ ขอบเขตอำนาจหน้าที่ 3 เรื่องใหญ่ๆของคณะกรรมาธิการนี้คือ ทำหน้าที่เกี่ยวกับกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและเรื่องของสิทธิมนุษยชน ในวาระที่ตนได้รับโอกาสเข้ามาเป็นประธานคณะกรรมาธิการก็ตั้งใจเอาไว้ว่า จะใช้กลไกลของคณะกรรมาธิการสามัญชุดนี้ขับเคลื่อนใน 3 ประเด็นดังกล่าวให้เกิดผลอย่างมากที่สุด เพราะเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ภายใต้การปกครองของคณะคสช. ประเทศไทยมีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องกฎหมาย มีประกาศคำสั่งของคสช. เป็นจำนวนมาก ซึ่งมีเนื้อหาขัดต่อหลักนิติรัฐและนิติธรรม และตลอด 5 ปีของคสช. ก็มีปัญหาเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน ประเทศไทยเคยเป็นผู้นำด้านสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคอาเซียน แต่ในระยะหลัง เมื่อเกิดรัฐประหาร สิทธิมนุษยชนก็ลดน้อยถอยลงทุกที

“คณะกรรมาธิการที่มาในวันนี้ต่างเป็นผู้แทนของราษฏร ราษฏรเป็นผู้เลือกขึ้นมา ดังนั้นพันธกิจที่สำคัญก็คือ เป็นตัวแทน เป็นปากเป็นเสียงให้แก่ประชาชน ดังนั้นการเดินทางมาของคณะกรรมาธิการชุดนี้ จึงเป็นบทบาทที่สำคัญของสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร เราต้องการเดินทางมารับฟังปัญหาที่ประชาชนประสบพบเจอ เราใช้คำว่ากรรมาธิการพบประชาชน เพราะตั้งใจว่าคณะกรรมาธิการชุดนี้ จะเดินทางไปทุกๆภาคของประเทศไทย เพื่อจะได้เข้าถึงปัญหาของประชาชนให้ได้มากที่สุด ภายใต้บรรยากาศที่ประเทศกำลังรื้อฟื้นประชาธิปไตยกลับมา ในอดีตที่ผ่านมาประชาชนไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ที่อาจกังวลใจว่า หากแสดงออกอาจจะถูกดำเนินคดีต่างๆ แต่ในตอนนี้ระบบเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติ ผมคิดว่าการเปิดเวทีเสวนาแบบนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ อย่างน้อยก็เป็นการสื่อสารภายใต้สภาวการณ์ปกติที่ทุกท่านมีสิทธิเสรีภาพในการพูด ในการแสดงออกได้อย่างเท่าเทียม ภายใต้รัฐธรรมนูญ” ปิยบุตร กล่าว

นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ตนเลือก มอ.ปัตตานี เป็นที่แรกในการเดินสายพบประชาชนของคณะกรรมาธิการชุดนี้ เพราะในเขตพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า มีปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน มีปัญหาเรื่องการใช้อำนาจของรัฐตามกฎหมายพิเศษ กฎหมายความมั่นคงต่างๆ ดังนั้นเราจึงเลือกที่นี่เป็นที่แห่งแรก เพราะเชื่อได้ว่าจะได้รับเสียงสะท้อนจากพี่น้องประชาชน เพื่อนำไปผลักดันในประเด็นต่างๆในชั้นสภาผู้แทนราษฏรต่อไป

ด้านน.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีความทับซ้อนกันเป็นอย่างมาก ปัญหาความรุนแรงที่เห็นได้ชัดเจน คือการซ้อม การทรมาน การกักคน 7 วัน ต่อเนื่องยาวนาน 30 วัน หรือแม้แต่การอุ้มหาย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มากกว่าในพื้นที่อื่นๆ รวมถึงความไม่ไว้วางใจกันระหว่างประชาชนในพื้นที่กับเจ้าหน้าที่รัฐ นี่คือสิ่งที่เห็นได้ชัด แต่ปัญหาที่ทับไปอีกชั้นหนึ่งก็คือ การพรากสิทธิที่จะเติบโตตามศักยภาพของพื้นที่ ตนมาแต่ละครั้งไม่ได้ไปพบแต่ผู้ที่สูญเสีย ผู้ที่บาดเจ็บ หรือญาติผู้เสียชีวิตเท่านั้น แต่ยังได้ไปรับรู้ถึงความอุดมสมบูรณ์ คามสวยงามและศักยภาพในพื้นที่

“คนกรุงเทพฯส่วนใหญ่มอง 3 จังหวัดชายแดนใต้โดยคิดถึงแต่ปัญหาเพียงอย่างเดียว ไม่ได้คิดถึงศักยภาพและโอกาสทางเศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติ สถานที่ท่องเที่ยว ชายหาดหรืออุตสาหกรรมอาหารฮาลาล ว่าสิ่งเหล่านี้สามารถเติบโตได้แค่ไหนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ นี่คือสิ่งที่ถูกกดทับภายใต้ปัญหาความรุนแรง นี่คือความสูญเสียที่ไม่ใช่แค่ในพื้นที่ชายแดนใต้ แต่เป็นการสูญเสียของประเทศ เรามีความจำเป็นต้องสื่อสารออกไปให้คนทั้งประเทศเห็น วันนี้ตนมีความเชื่อส่วนตัวว่า ส่วนหนึ่งของปัญหาชายแดนใต้ที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ทั้งที่เวลาล่วงเลยมากว่า 15 ปี เป็นเพราะว่าคนในประเทศไทยไม่ได้มองว่าปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้เป็น ‘ปัญหาของเรา’ แต่มองว่าเป็น ‘ปัญหาของคุณ’ ตราบใดที่ไม่สามารถทำให้คนไทยทั้งประเทศเห็นว่า จังหวัดชายแดนใต้คือพื้นที่ที่มีศักยภาพ มีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม มีวัฒนธรรมที่ดี มีอาหารที่อร่อย มีคนที่น่ารัก ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาในพื้นที่ได้ เราต้องทำให้คนทั้งประเทศเห็นว่า คุณกำลังสูญเสียอะไรบ้างในปัญหาชายแดนภาคใต้ และเราทุกคนจำเป็นต้องแก้ปัญหาร่วมกัน”น.ส.พรรณิการ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการเสวนา ได้มีการเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมถาม-ตอบ ถึงปัญหาด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชน โดยผู้เข้าร่วมรับฟังเสวนาท่านหนึ่งได้สะท้อนปัญหาว่า การมีกฎหมายพิเศษในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นตัวปัญหาทำให้ประชาชนเดือดร้อน ขอเรียกร้องและขอความอนุเคราะห์ผ่านคณะกรรมาธิการกฎหมายฯ ไปยังผู้มีอำนาจ ขอให้ยกเลิกกฎหมายพิเศษในพื้นที่ เนื่องจากหากคนใดคนหนึ่งในครอบครัวถูกตัดสินจากกฎหมายพิเศษ คนครอบครัวนั้นก็เดือดร้อนตามไปด้วย ดังนั้นการถูกตัดสินจากกฎหมายพิเศษ คือการตัดสินชะตาชีวิตของครอบครัวนั้นๆไปด้วย

นอกจากนี้ ในเวทียังมีการยื่นข้อร้องเรียนต่างๆอีกหลายปัญหาเช่นการเวนคืนพื้นที่ทำกินชาวบ้านเพื่อสร้างอ่างเก็บน้ำลำพญา จ.ยะลา การร้องเรียนเรื่องการที่กอ.รมน. ขอให้ประชาชนในสามจังหวัดลงทะเบียนซิมการ์ดแบบสองแชะ มิฉะนั้นจะถูกตัดสัญญาณหลังวันที่ 31 ตุลาคม รวมถึงการร้องเรียนเรื่องการเก็บดีเอ็นเอของประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และการร้องเรียนสภาพความเป็นอยู่ที่แออัดในเรือนจำกลางปัตตานี

 

“อนุดิษฐ์”รับเรื่องเกษตรกร แก้ไขปัญหาหนี้สินและหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ

People Unity News : “อนุดิษฐ์”รับเรื่องเกษตรกร แก้ไขปัญหาหนี้สินและหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ผลักดันแก้ พ.ร.บ. กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร

เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 31 ตุลาคม 2562 ที่รัฐสภา เกียกกาย กลุ่มเครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทย นำโดย นางปิ่นแก้ว แก้วสุกแท้ เกษตรกรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เข้ายื่นหนังสือถึงหัวหน้าพรรคร่วมพรรคค้านทั้ง 7 พรรค ผ่าน น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) และ ส.ส.กทม.พร้อมด้วยนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส. เชียงใหม่และนาย ชูวิทย์ กุ่ย พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส. อุบลราชานี เป็นตัวแทนรับหนังสือเพื่อขอให้ช่วยผลักดันให้พรรคฝ่ายค้านสนับสนุนให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ. …. เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนของเกษตรกร โดยเฉพาะเรื่องปัญหาหนี้สิน ที่ดินทำกิน โครงการที่รัฐเข้าไปเสริมสร้างแล้วล้มเหลว และแหล่งเงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำ อีกทั้งกรรมการกองทุนฯ ที่มีวาระเพียง 2 ปี ไม่มีความต่อเนื่องในการทำงานขอให้เพิ่มเป็น 4 ปี แม้ที่ผ่านมาจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหลายคณะแต่การแก้ปัญหาไม่มีความคืบหน้า ดังนั้นกลุ่มเครือข่ายฯ เห็นว่าจำเป็นต้องตรากฎหมายเพื่อกำหนดทิศทางและเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า ปัญหาหนี้สินของเกษตรกรนั้น ในอดีตกองทุนฟื้นฟูถือเป็นเรื่องสำคัญในการแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกร แต่ พ.ร.บ.ปัจจุบัน กลับทำให้เกษตรกรเดือดร้อน โดยเฉพาะการกำหนดเงื่อนไขให้เกษตรกรต้องมีหลักทรัพย์ถึงจะได้รับการฟื้นฟู ทำให้การแก้ไขหนี้สินเกษตรกรมีปัญหา อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่าจะนำหนังสือทั้ง 7 ฉบับ ส่งให้ถึงมือหัวหน้าพรร

“บิ๊กตู่”เผยนายกฯแคนนาดาโทรแจ้ง ร่วมประชุมอาเซียนไม่ได้

People Unity News : “บิ๊กตู่”เผยนายกฯแคนนาดาโทรแจ้ง ร่วมประชุมอาเซียนไม่ได้ รองโฆษกเพื่อไทยซัดรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ หลังปธน.สหรัฐฯปฎิเสธคำเชิญเข้าประชุมอาเซียน

วันที่ 31 ตุลาคม 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่า ช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ นายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนนาดา ได้โทรศัพท์มาพูดคุยกับตนโดยระบุว่าติดปัญหาภายในประเทศทำให้ไม่สามารถเข้าร่วม ประชุมอาเซียนซัมมิท ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพได้ แต่จะมีผู้แทนมาร่วมประชุม แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่มีต่อกันระหว่างเราและแคนนาดา และแคนนาดากับอาเซียนด้วย

เมื่อถามถึงการยกเลิกการประชุมเอเปคประจำปี 2019 ที่ประเทศชิลี พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า ประเทศชิลี แจ้งเรื่องดังกล่าวเข้ามาแล้ว มีการประท้วงและข้อนข้างมีความรุนแรงเกิดขึ้นด้วย เขาขอเลื่อนไปก่อน

ทั้งนี้เมื่อเวลา 08.30 น. ตามเวลาของประเทศไทย นายจัสติน ทรูโด ได้โทรศัพท์ถึง พล.อ.ประยุทธ์ โดยพลตรี อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ได้สรุปสาระสำคัญของการสนทนาทางโทรศัพท์ ดังนี้

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวทักทาย นายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา พร้อมกับแสดงความยินดีในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีแคนาดาชนะการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 21 ต.ค. ที่ผ่านมา พร้อมขอบคุณที่นายกรัฐมนตรีแคนาดาได้ให้ความสนใจและความสำคัญกับอาเซียน และโทรศัพท์มาสนทนาด้วยตนเองในวันนี้

นายกรัฐมนตรีแคนาดา กล่าวว่ารู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถเดินทางมาประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ได้ เนื่องจากมีภารกิจสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แสดงความเสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสต้อนรับนายกรัฐมนตรีแคนาดา แต่เข้าใจถึงภารกิจของนายกรัฐมนตรีแคนาดาในช่วงการจัดตั้งรัฐบาล พร้อมแสดงความชื่นชมเอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทยที่ได้ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเป็นอย่างดี ซึ่งนายกรัฐมนตรีเพิ่งได้พบหารือกับเอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย เพื่ออำลาในโอกาสพ้นวาระ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (29 ต.ค. 2562)

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความพร้อมที่จะร่วมมือกับรัฐบาลแคนาดาอย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย – แคนาดาทั้งในระดับทวิภาคีและภูมิภาค โดยเฉพาะความสัมพันธ์อาเซียน-แคนาดา ซึ่งนายกรัฐมนตรีแคนาดาเองได้ยืนยันที่จะร่วมมือกับไทยเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของเศรษฐกิจและการค้าการลงทุน พร้อมกับฝากนายกรัฐมนตรีทักทายผู้นำจากประเทศต่างๆ ที่จะเดินทางมาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพระหว่างวันที่ 2-4 พฤศจิกายน 2562 ที่จะถึงนี้

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึง ทิศทางการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างไทย-แคนาดาในอนาคต โดยประสงค์ให้แคนาดาพิจารณาความร่วมมือในรูปแบบ Thailand +1 ตลอดจนความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาคมากขึ้น เช่น การเข้าเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) และโครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) โดยผู้นำทั้งสองต่างหวังที่จะได้พบและหารือกันในโอกาสต่อไป

รองโฆษกเพื่อไทยซัดรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ หลังปธน.สหรัฐฯปฎิเสธคำเชิญเข้าประชุมอาเซียน

ขณะที่น.ส.สรัสนันท์ อรรณนพพร ส.ส.ขอนแก่น และ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาปฎิเสธคำเชิญเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ ASEAN Summit 2019 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพว่า เป็นการหักดิบความสัมพันธ์การต่างประเทศระหว่างไทย และ สหรัฐฯ

น.ส. สรัสนันท์ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า การที่นายโดนัล ทรัมป์ เซ็นระงับสิทธิทางภาษีนำเข้า GSPนั้น ได้ส่งผลกระทบต่อสินค้าไทยหลายร้อยรายการอย่างมีนัยยะสำคัญ และต่อด้วยการปฎิเสธคำเชิญเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ ASEAN Summit 2019 ที่เป็นเจ้าภาพ เป็นการบ่งบอกถึงสัญญาณที่ทางสหรัฐฯไม่ได้ให้น้ำหนักกับประเทศไทยเหมือนเคย ถือว่าเป็นการหักดิบความสัมพันธ์การต่างประเทศ

แม้การเซ็นระงับสิทธิทางภาษีนำเข้า GSP กับประเทศไทยนั้น อาจมาจากหลายๆปัจจัย เช่น นโยบาย America First ที่มุ่งเน้นการปรับดุลการค้าที่ขาดดุลมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี แต่ก็อาจมาจากจุดยืนด้านการต่างประเทศ ที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์แลดูให้ความสำคัญกับประเทศจีนเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการเซ็นโครงการเมกะโปรเจค ที่เอื้อแก่กลุ่มเจ้าสัว และรัฐบาลจีน หรือการปล่อยให้ Alibaba เข้ามาทำกิจการอย่างง่ายดายโดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบอื่นๆ ส่งผลให้อุตสาหกรรมไทยขนาดเล็ก หลายพันบริษัท ต้องประสบสภาวะขาดทุน ซึ่งสวนทางกับรัฐบาลที่เคยพูดว่า ให้ความสำคัญกับการสร้างธุรกิจ ecommerce แต่ที่สำคัญกว่ารัฐบาลไทยดูท่าจะไม่มีแนวทางรองรับกับผลกระทบที่กำลังจะตามมาเป็นระลอกจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ”

น.ส.สรัสนันท์ กล่าวด้วยว่า ดังนั้นการที่นายโดนัล ทรัมป์ เลือกที่จะไม่มาร่วมการประชุม ซึ่งต่างกับทุกๆครั้งที่ผู้นำสูงสุดของประเทศจะต้องมาร่วมเอง แต่เลือกที่จะส่ง นายโรเบิร์ต โอบราเอน ซึ่งเป็นผู้ช่วยด้านความมั่นคง ในฐานะทูตแต่งตั้งพิเศษพร้อมรัฐมนตรีการพาณิชย์ เป็นการกระทำที่ทำให้เห็นชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกากำลังใช้ไม้แข็งกับรัฐบาลไทย

“ปิยบุตร”ลุยใต้เข้า”ค่ายอิงคยุทธ”! “กอ.รมน.ภาค4″แจง”กำลังพล-งบฯ

People Unity News : “ปิยบุตร” นำคณะ “กมธ.กฎหมายฯ” ลุยพื้นที่ 3 จังหวัดใต้ เก็บข้อมูลแก้ปัญหาละเมิดสิทธิ – เข้า “ค่ายอิงคยุทธ” เชิญ กอ.รมน.ภาค4 ชี้แจง ปมกำลังพล – งบประมาณ- การเสียชีวิต “อับดุลเลาะ อีซอมูซอ”

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2562 คณะกรรมาธิการ​กฎหมาย การยุติธรรม​และสิทธิมนุษยชน​ นำโดย นายปิยบุตร​ แสงกนกกุล เลขาธิการ​พรรคอนาคตใหม่ ในฐานะประธาน​กรรมาธิการ พร้อมคณะ อาทิ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่และรองประธานคณะกรรมาธิการ​ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ​พรรคอนาคตใหม่และโฆษกคณะกรรมาธิการ​ ศึกษาดูงานและตรวจเยี่ยมการแก้ไขปัญหา​เกี่ยวกับการละเมิดกฎหมาย​และสิทธิมนุษยชน​ ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดน​ใต้ และบางส่วนของจังหวัดสงขลา​ ในระหว่างวันที่ 30-31 ตุลาคม​ โดยในช่วงเช้าของวันแรก ได้เข้าตรวจเยี่ยมห้องกักด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา​ และร่วมแลกเปลี่ยนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เพื่อรับฟังสภาพปัญหา​ผู้หลบหนีเข้าเมือง ที่มีสถานะผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา​และชาวอุยกูร์​

นายปิยยุตร กล่าวว่า วัตถุประสงค์​ของ กมธ. นอกจากจะเดินทางมาเพื่อสอบถามข้อมูลแล้ว ก็อยากจะให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ​ได้สะท้อนกลับมาด้วย ว่าเจ้าหน้าที่มีปัญหาในเรื่องงบประมาณ​ หรือกฎหมายข้อบังคับต่างๆ ที่ทำให้ทำงานไม่สะดวกหรือไม่ ด้วยระบบราชการภายในทำให้การเสนอเรื่องขึ้นไปอาจจะไม่สะดวกและล่าช้า สามารถฝากเรื่องผ่านมายังคณะกรรมาธิการ​กฎหมาย​ฯนี้ได้ ซึ่งตนจะช่วยผลักดันในช่องทางต่างๆ เพื่อให้การดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชน​เป็นไปอย่างรวดเร็ว

ฟังปัญหา จนท.- ผู้ถูกกักขัง ด่าน “สะเดา”

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองสะเดา เสนอว่า การกักขังไว้ที่ศูนย์​กักขังคนเข้าเมืองสะเดา อาจทำให้มีแรงจูงใจในการหลบหนีมากกว่ากักขังในที่อื่น เพราะหากผู้ถูกกักขังสามารถหลบนี้ได้จากศูนย์กักขังสะเดา จะดูกลมกลืนกับคนในพื้นที่ ทำให้ยากต่อการตามจับ แต่ถ้ากักขังไว้ที่อื่น หากผู้ถูกกักขังหลบหนีได้ จะดูแปลกตากับคนในพื้นที่นั้นทันที ทำให้ผู้ต้องกักจะไม่มีแรงจูงใจในการหลบหนี โดยในระหว่างที่คณะกรรมาธิการ​ได้เข้าเยี่ยมผู้ต้องกัก ได้สอบถามข้อมูลจากผู้ถูกกักโดยผู้อพยพชาวอุยกูร์​รายหนึ่งเล่าว่าติดอยู่ในศูนย์กักขังนี้เป็นเวลากว่า 6 ปีแล้ว ซึ่งขณะนี้​ก็ยังไม่ทราบว่าโดนกักในคดีหรือข้อหาอะไร อีกทั้งยังขอว่าต้องการจะไปประเทศที่ 3 ซึ่งระบุว่าเป็นประเทศตุรกี หรือ มาเลเซีย​ก็ได้ แต่จะไม่ยอมถูกส่งไปประเทศจีน

สำหรับศูนย์กักคนเข้าเมืองสะเดา แบ่งเป็น 2 อาคาร โดยอาคารที่ 1 เป็นที่กักขังระยะยาว เป็นบุคคล​ไร้สัญชาติ​(ตุรกี)​13 ราย ชาวเมียนมา(โรฮิงญา)​ 11 ราย ชาวเมียนมา(อิสลาม)​ 10 ราย รวมผู้ต้องกักระยะยาวทิ้งสิ้น 34 ราย โดยผู้ที่ถูกกักขังนานสุดเป็นระยะเวลากว่า 6 ปี ส่วนอาคารที่สอง เป็นอาคารแรกรับ/หมุนเวียน มีผู้ต้องกักชายชาวโรฮิงญา​ 115 ราย หญิง 18 ราย เด็กผู้ชาย 19 ราย เด็กผู้หญิง​ 8 ราย รวม 160 ราย และหากรวมสองอาคาร มีผู้อพยพรอการส่งตัวไปประเทศที่ 3 ที่ศูนย์​กักคนเข้าเมืองสะเดาทิ้งสิ้น 194 ราย

เข้าค่าย “อิงคยุทธ” เค้นปมใช้งบ – การเสียชีวิต “อีซอมูซอ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้น ในช่วงบ่าย คณะกรรมาธิการเดินทางไปยังศูนย์​ซักถามหน่วยข่าวกรองทางทหารส่วนหน้า จังหวัดชายแดนใต้ และกรมทหารพรานที่ ๔๓ ค่ายอิงคยุทธ​บริหาร จ.ปัตตานี​ เพื่อศึกษาดูงานและตรวจเยี่ยมร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยมี พล.ต.กฤษดา พงษ์สามารถ รองแม่ทัพภาค 4​ และรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภาค 4 ส่วนหน้า ให้การต้อนรับ กอ.รมน.ภาค4 ส่วนหน้า ได้ชี้แจงแนวทางการทำงานและเปิดโอกาส​ได้ซักถาม

โดย น.ส.พรรณิการ์ ได้ซักถาม 4 ประเด็นเป็นที่ต้องสงสัย คือ 1.หลักการใช้กำลังและข้อสงสัยถึงมาตราการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ 2.จากร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2563 โครงการเพิ่มประสิทธิภาพ​งานข่าวกรอง ซึ่งมีการจัดสรรงบส่วนนี้โดยตรง กว่า 900 ล้านบาทซึ่งมากกว่างบประมาณจังหวัดของ 3 จังหวัดชายแดนใต้รวมกัน จะใช้งบไปพัฒนาในส่วนใดบ้าง 3.กรณีนายอับดุลเลาะ อีซอมูซอ ที่เสียชีวิตขณะถูกคุมตัวในศูนย์ซักถามค่ายอิงคยุทธ เหตุใดจึงไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิด มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดก่อนหรือหลังเหตุการณ์​ 4.สถิติการเสียชีวิตของประชาชน ขณะที่อยู่ในระหว่างควบคุมตัวที่ศูนย์​มีจำนวนเท่าใด

เปิดเวทีครั้งแรก “กมธ.กฎหมายฯ พบประชาชน”

ด้าน นายทหาร จาก กอ.รมน.ภาค 4 ได้ตอบข้อซักถามว่า 1.จากที่เห็นตามหน้าข่าวต่างๆ ในการจับกุมผู้ต้องสงสัยที่เห็นว่าขบวนรถของทหารมีจำนวนหลายคัน ใช้บุคคลากรเกินกว่าเหตุหรือไม่ อยากชี้แจงว่าการทำงานจะแบ่งเป็นชุดๆ ทีมอีโอดีชุดหนึ่ง ชุดเคลียร์​พื้นที่​ ชุดพิสูจน์​หลักฐาน​ ชุดสนับสนุน​ หากรวมทุกชุดจะดูว่ามีจำนวนมาก แต่การทำงานก็หน้าที่ใครหน้าที่มัน 2.งบเพิ่มประสิทธิภาพ​หน่วยงานข่าวกรองนั้น เป็นงบของงานข่าวกรองทั่วประเทศ ซึ่ง กอ.รมน.ภาค4 ส่วนหน้าใช้เป็นโครงการนำร่องเพียงเท่านั้น 3.ขณะที่นายอับดุลเลาะ อีซอมูซอ ถูกควบคุมตัวนั้น อยู่ในศูนย์​ซักถามแห่งใหม่ที่พึ่งสร้างเสร็จได้ไม่นาน แต่งบการติดกล้องวงจรปิดนั้นอยู่คนละส่วนกัน ซึ่งขณะนั้นได้ติดตั้ง แต่มีปัญหาที่มุมกล้องเป็นมุมอับ ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนและระบบไฟขัดข้อง 4.สถิติการเสียชีวิตของผู้ที่อยู่ระหว่างถูกควบคุมในศูนย์​ซักถาม นับตั้งแต่ปี 2547 – ปัจจุบัน​ มีจำนวน 5 ราย เสียชีวิตในศูนย์ 2 ราย และเสียชีวิตนอกศูนย์ 3 ราย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเย็นของการเดินทางมาเยือนชายแดนใต้วันแรก คณะกรรมาธิการ​กฎหมาย​ฯ ​ จัดกิจกรรม “กมธ.กฎหมาย​ฯ พบประชาชน” ครั้งที่ 1 เวลา 19.00-21.00 น. ที่ห้องประชุมอิหม่ามอัล-นาวาวีย์ วิทยาลัยอิสลามศึกษา มอ.ปัตตานี​ จ.ปัตตานี

พช.จับมือ”ปอเต็กตึ้ง” เดินหน้าแก้จนมอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพ

People Unity News : “สุทธิพงษ์ จุลเจริญ” อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ร่วมมือกับ “ปอเต็กตึ้ง” เดินหน้าแก้จน มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพ

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2562 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ร่วมกับนายคุณสุทัศน์ เตชะวิบูลย์ รองประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มอบวัสดุอุปกรณ์สนับสนุนการประกอบอาชีพครัวเรือนยากจนเป้าหมาย ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี จำนวน 14 ครัวเรือน โอกาสนี้นายพงษ์พัฒน์ วงศ์ตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี พร้อมด้วยพัฒนาการจังหวัดจันทบุรี เป็นตัวแทนจังหวัดจันทบุรี ร่วมมอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ครัวเรือนยากจนด้วย และมีนายอาจณรงค์ สัตยพานิช ผู้ตรวจราชการกรม(พช.) นายอุทัย ทองเดช ผู้อำนวยการสำนักเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชน (พช.) นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ (กรรมการและรองเลขาธิการมูลนิธิฯ)นายวุฒิชัย อภิวัฒนกุลชัย (ผู้จัดการมูลนิธิฯ) นายพินัย ศรีพนาสณฑ์ (รักษาการผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์/หัวหน้าแผนกสังคมสงเคราะห์) คณะผู้บริหารจากหน่วยงาน เข้าร่วมเป็นเกียรติฯ ณ เทศบาลหนองตาคง อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี

อธิบดี พช. กล่าวว่า “การดำเนินงานแก้จน โดยการมอบวัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือสนับสนุนการประกอบอาชีพในครั้งนี้ดำเนินการตามแนวทางประชารัฐ เป็นการพัฒนาแบบไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินงานภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชน กับ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2562 ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม สนับสนุนอาชีพแก่ครัวเรือนยากจนให้สามารถบริหารจัดการชีวิตได้อย่างเหมาะสม ด้วยกระบวนการบริหารจัดการครัวเรือนยากจนแบบบูรณาการ ชี้เป้าชีวิต จัดทำเข็มทิศชีวิต หรือแผนชีวิต บริหารจัดการชีวิต และดูแลชีวิต ตลอดจนดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เช่น การปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้ การจัดทำบัญชีครัวเรือน เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันที่ดี และช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

โดยแนวทางของความร่วมมือได้กำหนดการดำเนินงานไว้คือ กรมการพัฒนาชุมชนสำรวจครัวเรือนยากจนเป้าหมายที่ต้องการอาชีพ จัดกลุ่มแยกประเภทอาชีพที่ต้องการขอรับการสนับสนุนองค์ความรู้ และทักษะต่าง ๆ ที่ใช้ในการประกอบอาชีพ วิเคราะห์ศักยภาพครัวเรือนยากจน เพื่อกำหนดครัวเรือนยากจนเป้าหมาย และแนวทางการสนับสนุน และมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่ครัวเรือนยากจนที่ผ่านการจัดกลุ่มมาแล้ว ต่อจากนั้นทั้งสองหน่วยงานจะดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ และติดตามประเมินผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ และนำผลการประเมินมาพัฒนาช่วยเหลือคนยากจน และคนที่ด้อยโอกาสให้มีเครื่องมือ ในการประกอบอาชีพให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อยู่ในสังคมอย่างมีความสุขต่อไป

ทั้งนี้หลักจากการมอบเครื่องมือและอุปกรณ์ประกอบอาชีพในวันนี้ไปแล้ว กรมการพัฒนาชุมชนเองได้มอบหมายให้พัฒนากร ในพื้นที่คอยเป็นพี่เลี้ยงสอดส่องดูแล ให้ความช่วยเหลือหากมีปัญหาอุปสรรคและรายงานผลให้กรมฯทราบเป็นระยะ จนกว่าครัวเรือนนั้นจะหลุดพ้นจากความยากจน และกรมการพัฒนาชุมชน กับมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มีเป้าหมายที่จะดำเนินการมอบมอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ให้กับครัวเรือนยากจนให้ครบทุกจังหวัด เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมตามนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงมหาดไทย ให้ครัวเรือนเป้าหมายมีอาชีพมีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในที่สุด”

โดยการมอบวัสดุอุปกรณ์สนับสนุนการประกอบอาชีพครัวเรือนยากจนเป้าหมาย ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี สำรวจจากข้อมูล จปฐ.ปี 2561 เป็นครัวเรือนที่มีรายได้เฉลี่ยไม่ถึง 38,000 บาท/ปี และพร้อมที่จะประกอบอาชีพ ประกอบด้วย 14 ครัวเรือน ได้แก่

– ครัวเรือนที่ 1 นางแสลม เกตุสุวรรณอายุ และนายสมหมาย ประเสริฐการ 46 ปี อาชีพค้าขายได้รับมอบอุปกรณ์ทำ ลูกชิ้นปิ้ง รถเข็น 1 คัน โตะพับขนาด 4 ฟุต 1 ชุด ตู้กระจกลูกชิ้น 1 ตู้ เตาปิ้งแบบใช้แก๊ส 1 ใบ ชุดเตาแก๊สปุ๊กลุ๊ก 7 กก.พร้อมเนื้อแก๊ส 1 ชุด

– ครัวเรือนที่ 2 นายบุญมี ผลทิม อายุ 69 ปี อาชีพรับจ้าง ได้รับมอบอุปกรณ์ เผาถ่าน เตาเผ่าถ่าน ขนาด 200 ลิตร 3 เตา เลื่อยโซ่แบบใช้เครื่องยนต์ เครื่อง 1.5 1 ชุด

– ครัวเรือนที่ 3 นายเจีย ศรีมงคล อายุ 58 ปี อาชีพค้าขาย ได้รับมอบอุปกรณ์ ตู้แช่น้ำดื่ม 4 ชั้น (ร้านโชว์ห่วย) 11 คิว สูง190ซม. 1 ตู้ ชั้นวางของ 1 ด้าน 2 ชุด

– ครัวเรือนที่ 4 นายสมชาย สุทธิ อายุ 46 ปี อาชีพรับจ้าง (ช่างไม้) ได้รับมอบอุปกรณ์ สว่านไฟฟ้า ขนาดกลาง makita 1 ชุด ลูกหมู มาคเทค 1 ชุด เซาะบางใบ 2 หุน makita 1 ชุด กบไฟฟ้าหน้า 3 มาคเทค 1 ชุด เลื่อยไฟฟ้าตัดไม้ (ตัวเล็ก) 1 ชุด

– ครัวเรือนที่ 5 นายสงัด เศรษฐีธัญญาหาร อายุ 63 ปี อาชีพรับจ้าง (ช่างไม้) ได้รับมอบอุปกรณ์ กบไฟฟ้าหน้า 5 นิ้ว 1 ตัว ลาวเตอร์ 1ตัว สว่านไฟฟ้า เจาะไม้ 4 หุน 1 ตัว เลื่อยไฟฟ้า 9 นิ้ว makita 1 ตัว

– ครัวเรือนที่ 6 นางสาวสวย อุทพันธ์ และ.นางหนู อุทพันธ์ / นางสาวสวย อุทพันธ์ อายุ 37 ปี อาชีพหัตถกรรมในครัวเรือน ได้รับมอบอุปกรณ์ เครื่องทอพรมเช็ดเท้า 1 ชุด

– ครัวเรือนที่ 7 นายสมควร ทรัพย์คง อายุ 43 ปีอาชีพรับจ้าง(ตัดไม้) ได้รับมอบอุปกรณ์ เครื่องตัดหญ้า Honda 1เครื่อง เลื่อยไฟฟ้า Makita ขนาด 9 นิ้ว 1 อัน

– ครัวเรือน 8 นางบุญมี สุขตะเดือน และนางบุญมี สุขตะเดือน อายุ 49 ปี อาชีพหัตถกรรมในครัวเรือน ได้รับมอบอุปกรณ์ เครื่องทอพรมเช็ดเท้า 1 ชุด

– ครัวเรือนที่ 9 นายทองดี สิงห์คี อายุ 74 ปี อาชีพรับจ้าง (เผาถ่าน) ได้รับมอบอุปกรณ์ เตาเผาถ่าน 4 เตา รถเข็นของ 3 ล้อ 1 คัน เลื่อยตัดไม้ไฟฟ้า (ขนาดเล็ก) 1 ชุด

– ครัวเรือนที่ 10 นางสาวสายน้ำผึ้ง พึ่งประชา และนางถวิล สุขถนอม อายุ 21 ปี อาชีพค้าขาย (ไส้กรอกอีสาน) ได้รับมอบอุปกรณ์ เครื่องอัดไส้กรอก 15 L 1 ชุด เตาย่างไส้กรอก พร้อมตะแกรง 1 ชุด ร่มแม่ค้า เบอร์ 45 1 คัน

– ครัวเรือนที่ 11 นายสมคิด ทรัพย์คง อายุ 68 ปี อาชีพรับจ้าง(ตัดไม้) ได้รับมอบอุปกรณ์ เลื่อยบาร์โซ่ตัดกิ่ง ขนาด 12 นิ้ว แบบใช้น้ำมันขนาดกลาง ยี่ห้อ Makita 2เครื่อง

– ครัวเรือนที่ 12 นายประเทือง ทานมัย อายุ 67 ปี อาชีพค้าขาย (ก๋วยเตี๋ยวและอาหารตามสั่ง) ได้รับมอบอุปกรณ์ ตะกร้อลวกเส้น สแตนเลส 1 อัน ตะแกรงลวด ลวกเส้น ด้ามไม้ 1 อัน หม้อก๋วยเตี๋ยว (ม้าลาย) เบอร์ 36 1 ใบ ตู้กระจก (อาหารตามสั่ง/ก๋วยเตี๋ยว) 1 ใบ ถังแช่น้ำแข็ง + ก๊อกน้ำ (ขนาด 40 ลิตร) 1 ใบ ถังแช่น้ำแข็ง (ขนาด 80 ลิตร) 1 ใบ เก้าอี้พลาสติก 12 ตัว โต๊ะพับ ขนาด 4 ฟุต 3 โต๊ะ ถังแก๊ส ปตท.15 กก. 1 ถัง ชุดเตาแก๊ส ครบชุด พร้อมขาเตาสี่เหลี่ยมกลาง 1 ชุด กะทะ เบอร์ 18 แบบอลูมิเนียมด้ามพลาสติกดำ 1 ใบ หม้อหุงข้าว ขนาด 5 ลิตร 1 ใบ

– ครัวเรือนที่ 13 นายมานะ คนฑาอายุ 53 ปี อาชีพช่างซ่อมรถ ได้รับมอบอุปกรณ์ ชุดหัวเชื่อมแก๊สสำหรับซ่อมรถจักรยานยนต์ 2 ชุด เครื่องปั๊มลมขนาดกลาง พร้อมถังลม (โรตารี่ 50 ลิตร 3 แรง) 1 ชุด ขาตั้งรถ 2 คู่

– ครัวเรือนที่ 14 นายสุพรรณ หอมหวนอายุ และนายสุพรรณ หอมหวน 41 ปี อาชีพช่างก่อสร้าง ได้รับมอบอุปกรณ์ สว่านโรตารี 3 ระบบ ขนาด 800 วัตต์ 1 ตัว ตู้เชื่อมไฟฟ้า ขนาด 300แอมป์ 1 ตัว เลื่อยวงเดือน ขนาด 7 นิ้ว (มาคเทค) 1 ตัว เครื่องหินเจียร ขนาด 4 นิ้ว (มาคเทค) 1 ตัว เครื่องตัดไฟเบอร์ ขนาด 14 นิ้ว (มาคเทค) 1 ตัว แท่นตัดกระเบื้อง 28 นิ้ว 1 ตัว

โดยผู้แทนที่ได้รับมอบอุปกรณ์และเครื่องมือประกอบอาชีพ ได้กล่าวแสดงความรู้สึกดีใจ และขอบคุณที่กรมการพัฒนาชุมชน และมูลนิธิป่อเต็กตึ้ง ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในครั้งนี้ เป็นการมอบโอกาสให้เขาได้มีช่องทางทำมาหากินเลี้ยงดูครอบครัว เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และอยากให้ทำโครงการดีๆอย่างนี้ไปยังครอบครัวอื่นที่ยังรอโอกาสจากสังคม

นายจ้างอยูไหน! ส.ส.อนค.รุดให้กำลังใจแรงงานกว่า 350 ชีวิตถูกลอยแพ

People Unity News : ตามหานายจ้าง! กว่า 350 ชีวิตถูกลอยแพ ปมไม่โอนย้าย-เปลี่ยนไปบริษัทใหม่ ร้อง “หม่อมเต่า” ช่วย “อนาคตใหม่ ปีกแรงงาน” รุดให้กำลังใจ

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2562 ที่กระทรวงแรงงาน กลุ่มลูกจ้างบริษัทเกี่ยวกับแฟชั่น สาขาบางพลี จ.สมุทรปราการ ได้รวมตัวกันยื่นหนังสือต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน หลังจากนายจ้างไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน 2541 (ฉบับแก้ไขปรับปรุง 2562) ว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงนายจ้าง โดยจากการสอบถามทราบว่า บริษัทได้โอนย้ายพนักงานที่บางพลีไปยังบริษัทใหม่ รวมถึงให้บริษัทใหม่เช่าสถานที่

ทั้งนี้ มีลูกจ้างบางส่วนยินดีโอนย้ายไปทำงานกับบริษัทใหม่ แต่อีกกว่า 350 คน ไม่ประสงค์ที่จะย้าย และยืนยันที่จะทำงานกับบริษัทเดิม โดยทวงถามความชัดเจนตั้งแต่มีการเริ่มโอนย้าย แต่ไม่มีคำตอบว่าจะให้ปฏิบัติงานที่ไหนและสภาพการจ้างอย่างไร นัดไกล่เกลี่ยหลายครั้งแต่นายจ้างไม่มา กระทั่ง 28 ตุลาคม โรงงานที่บางพลีไม่ยอมให้เข้าโรงงาน เนื่องจากเป็นพื้นที่ของบริษัทใหม่ นายจ้างแจ้งผ่านเจ้าหน้าที่รัฐว่าจะติดต่อกลับมาในวันที่ 29 ตุลาคม แต่สุดท้ายก็ไร้วี่แวว ลูกจ้างทุกคนที่ไม่ได้โอนย้าย ไม่มีที่ทำงาน หาตัวนายจ้างไม่เจอ จึงเดินทางมาที่กระทรวงแรงงาน เพื่อยื่นหนังสือให้รัฐมนตรีรีบแก้โดยเร่งด่วน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับข้อเสนอที่ยื่นถึง ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน คือ 1. หาตัวนายจ้างมาให้ได้ 2. ขอความชัดเจนว่าจะทำธุรกิจต่อหรือจะเลิกทำธุรกิจ โดยกลุ่มลูกจ้างกว่า 350 คน ที่ไม่ได้โอนย้ายไปบริษัทอื่น จะมีมาตรการอย่างไร ให้นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เนื่องจากทุกคนกำลังเดือดร้อนอย่างหนัก ไม่มีที่ทำงาน และนี่เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างที่ลูกจ้างโดนละเมิดสิทธิแรงงาน จนนำมาสู่การโดนยกเลิกสิทธิทางภาษี GSP ที่เป็นข่าวอยู่ปัจจุบัน

ทั้งนี้ นายสุนทร บุญยอด กรรมการบริหารปีกแรงงาน พรรคอนาคตใหม่ รวมถึง น.ส.วรรณิภา ไม้สน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ สัดส่วนปีกแรงงาน และ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส. เขตบางขุนเทียน และรองโฆษกพรรค ได้เดินทางมาให้กำลังใจกลุ่มลูกจ้างที่มายื่นหนังสือดังกล่าวด้วย

“บิ๊กตู่”แมนพอ!ลั่นกมธ.สภาฯเชิญไปก็ต้องไป ขณะนี้ฝ่ายกฎหมายดูอยู่

People Unity News : “บิ๊กตู่”แมนพอ!ลั่นกมธ.สภาฯเชิญไปก็ต้องไป ขณะนี้ฝ่ายกฎหมายกำลังพิจารณาอยู่

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้คำแนะนำ ควรจะเดินทางไปชี้แจงกับคณะกรรมาธิการการป้องกันปราบและปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎรว่า “ถ้าเชิญไป ก็ต้องไป”

เมื่อถามย้ำว่า นายกรัฐมนตรี จะต้องหารือกับฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลอีกหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ก็ต้องพิจารณาอยู่แล้ว กำลังพิจารณาอยู่ไงเล่า”

“เสรีพิศุทธ์”ไม่ยอมหยุด! เชิญ”บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม”อีกครั้งให้ชี้แจง 6 พ.ย.

People Unity News : “เสรีพิศุทธ์”ไม่ยอมหยุด! เชิญ”บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม”อีกครั้งให้ชี้แจง 6 พ.ย. “เชาว์” บี้ กมธ.ป.ป.ช.ทั้งชุดทบทวนบทบาทตัวเอง

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2562 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้พิจารณาหนังสือของเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับอำนาจของคณะกรรมาธิการในการเรียกนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีเข้ามาชี้แจงใน 3 เรื่องคือ 1.) การเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 เกี่ยวข้องกับการทุจริตประพฤติมิชอบอย่างไร 2.) การถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นเรื่องของรัฐบาล และ 3.) สภาผู้แทนราษฎรเองก็เคยเห็นชอบร่างกฎหมายที่รัฐบาลเคยเสนอมาแล้ว เช่น พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหมไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562

กรรมาธิการพิจารณาได้ข้อสรุปว่า กรรมาธิการมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 129 วรรค 4 ซึ่งเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคณะกรรมาธิการกับผู้ถูกเชิญ ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่ 3 ดังนั้น การทำหนังสือของเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจึงเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เพราะไม่ควรเข้ามายุ่งในเนื้อหาสาระ และนายกรัฐมนตรีก็ควรจะมาชี้แจงด้วยตนเอง

ขณะที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ส่งหนังสือมาแจ้งว่าติดภารกิจราชการ และชี้แจงสั้นๆ ว่า ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว คณะกรรมาธิการจึงมีมติทำหนังสือเชิญนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีให้มาเข้าชี้แจง ในวันที่ 6 พฤศจิกายนเวลา 10.00 น. และ 11.00 น. พร้อมย้ำว่า แม้ทั้งสองคนจะตัดพี่ตัดน้องกับตนเองไปแล้ว แต่ก็ยังมองว่าเป็นพี่น้องอยู่ จึงอยากจะเรียกเข้ามาสอบถาม

ทั้งนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมจะมีการพิจารณากรณีนายเอกชัย หงส์กังวาน แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ร้องขอให้ตรวจสอบการทำหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่มีมติไม่ชี้มูลความผิด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กรณีไม่ชี้แจงบัญชีทรัพย์สินนาฬิกาหรูว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 129 คณะกรรมาธิการไม่มีอำนาจเชิญองค์กรอิสระ ทางคณะกรรมาธิการฯ จึงมีมติทำหนังสือไปถึงเลขาธิการ ป.ป.ช. ขอเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องมาศึกษา โดยขอให้ส่งมาภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน และจัดตั้งคณะทำงานพิจารณาเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นเรื่องที่ประชาชนและสื่อมวลชนเคลือบแคลงสงสัยในมติที่ออกมา

“เชาว์” บี้ กมธ.ป.ป.ช.ทั้งชุด ทบทวนบทบาทตัวเอง

นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ Facebook เรื่อง “อย่าใช้กรรมาธิการของสภาเป็นกรรมาธิกูทางการเมือง” มีเนื้อหาว่า กรณีที่กรรมาธิการ ป.ป.ช.ของสภาผู้แทนราษฏรมีมติเชิญพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเข้าชี้แจงเรื่องการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 และกรณีกล่าวหานายกรัฐมนตรีถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญนั้น มีประเด็นคำถามให้ชวนคิดมองได้อยู่สองมิติที่น่าสนใจกล่าวคือ มิติด้านบทบาทหน้าที่ของกมธ.ป.ป.ช. ซึ่งผมเห็นว่ากรรมาธิการชุดนี้ไม่มีอำนาจที่จะเชิญนายกรัฐมนตรีมาชี้แจงเรื่องการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ของนายกฯและกรณีกล่าวหานายกรัฐมนตรีถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ใช่อำนาจหน้าที่โดยตรงกรรมาธิการป.ป.ช.มีหน้าที่ในการตรวจสอบการทุจริตและประพฤติมิชอบ….อีกทั้งกรณีนายกฯถวายสัตย์ไม่ครบศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยแล้วว่า ไม่มีองค์กรใดตามรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยได้ เนื่องจากเป็นเรื่องการกระทำทางการเมืองระหว่างองค์พระมหากษัตริย์กับฝ่ายบริหาร

การที่ผู้คนพุ่งเป้าตำหนิไปที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ประธานกมธ.ชุดนี้ ยังไม่ถูกต้องนัก เพราะเรื่องนี้เป็นมติของกรรมาธิการทั้งชุด จึงต้องถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของกรรมาธิการฯทั้งชุด ผมจึงอยากให้กรรมาธิการป.ป.ช.ตั้งหลักทบทวนบทบาทตัวเองใหม่ อย่าให้ใครใช้กรรมาธิการฯที่ต้องทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตน

นายเชาว์กล่าวต่อไปว่า ประการต่อมาคือเรื่องการทำงานในสภาระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ซึ่งจากการตรวจสอบรายชื่อกรรมาธิการชุดนี้พบว่าฝ่ายค้านมีเสียงในกรรมาธิการฯมากกว่ารัฐบาลหนึ่งเสียงคือ 8 ต่อ 7 เท่ากับฝ่ายค้านคือผู้คุมเกมในกรรมาธิการฯชุดนี้เพราะเป็นเสียงข้างมาก ผมจึงไม่เข้าใจว่ารัฐบาลซึ่งมีเสียงข้างมากในสภาปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้อย่างไร และกรรมาธิการฯซีกรัฐบาลทำอะไรอยู่ เหตุใดจึงไม่คัดค้านเมื่อมีการกระทำที่เกินเลยไปจากอำนาจหน้าที่ของตัวเอง ทั้งกรณีกรรมาธิการป.ป.ช.และการที่สภารับรองชื่อหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ที่อยู่ระหว่างถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไปเป็นกรรมาธิการงบประมาณ สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไม่เท่าทันเกมการเมืองของฝ่ายค้าน จึงควรต้องปรับวิธีคิดและการทำงานใหม่ ที่สำคัญอยากฝากถึงทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านว่าการทำงานในกรรมาธิการฯควรคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เดินหน้าไปด้วยกันโดยไม่มีฝ่าย จึงจะถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง

“จึงฝากไปยังพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ให้ตระหนักด้วยว่าพ.ร.บ.คำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ.2554 ที่นำมาใช้ขู่ว่าถ้าใครไม่มาตามคำเชิญมีโทษจำคุกนั้นออกในสมัยที่ท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี มีจุดประสงค์ให้ใช้กฎหมายนี้เพื่อประโยชน์ต่อการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ ให้มีประสิทธิภาพและได้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน บนหลักการยึดประโยชน์ชาติประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่กฎหมายที่มีไว้เพื่อให้ใครใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของฝ่ายตัวเอง ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่ามาตรา 12 ของกฎหมายฉบับเดียวกันนี้มีบทลงโทษสำหรับกรรมาธิการที่ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดมีโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีหรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงควรหยุดใช้อำนาจกรรมาธิการฯพร่ำเพรื่อต่อไปความศักดิ์สิทธิ์จะลดลงกลายเป็นกรรมาธิกูทางการเมือง จะไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนตามเจตนารมณ์ที่มุ่งหวัง”นายเชาว์กล่าวทิ้งท้าย

“สมคิด”ควง รมว.4กระทรวงขึ้นเหนือ เข็น”โครงการประชารัฐ” หวังเสริมความเข้มแข็งสังคมไทย

People Unity News : “สมคิด”ควง รมว.4กระทรวงขึ้นเหนือ มอบนโยบาย “ประชารัฐสร้างไทย พัฒนาล้านนา ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน” ที่ ม.แม่โจ้สันทราย หวังเสริมความเข้มแข็งสังคมไทย

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 30 ตุลาคม 2562 ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบนโยบาย “ประชารัฐสร้างไทย พัฒนาล้านนา ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน” โดยสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างเข้าถึงแบบครบวงจร มุ่งดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการฯ และเกษตรกร ผู้ประกอบการราย่อยให้หลุดพ้นความยากจน โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรฯ และผู้บริหารแบงก์รัฐ ทั้งออมสิน ธ.ก.ส. เอสเอ็มอีแบงก์ และภาคีเครือข่ายสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก ทั้งนี้รองนายกรัฐมนตรีได้เน้นให้ทุกหน่วยงาน ร่วมกัน แก้ไขปัญหาความยากจนให้กับพี่น้องประชาชน โดยเชื่อมั่นว่ามาตรการต่างๆที่ได้ออกมาอาทิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ชิมช็อปใช้จะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยเหลือภาคประชาชนและกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ก้าวเดินต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง

นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อดูแลรายย่อยในระยะสั้นให้มีกำลังซื้อผ่านหลายมาตรการ ที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ส่งเงินเข้าบัญชีช่วยเหลือเกษตรกรไปแล้ว 34,000 ล้านบาท โครงการชิมช้อปใช้ ทั้งเฟส 1 มีผู้ลงทะเบียน 10 ล้านคน และเฟส 2 ลงทะเบียนเกือบครบ 3 ล้านคน มีร้านค้ารายย่อยแห่งใหม่เข้าร่วมนับแสนราย เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนมนระบบเศรษฐกิจ ในส่วนของการกระตุ้นภาคอสังหาฯ เมื่อลดค่าธรรมเนียมการโอน จดจำนองเหลือร้อยละ 0.01 จะทำให้มีแรงซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้นในช่วงปลายปี

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้ภาคเอกชนยื่นขอสร้างโรงไฟฟ้าชุมชนยอดลงทุนประมาณ 2 แสนล้านบาท โดยมีกลุ่มชาวบ้านร่วมถือหุ้น เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในชุมชน ลดปัญหาการเผาซังข้าวโพด ทำให้เกิดปัญหาฝุ่น PM 2.5 และใช้ผลิตโรงไฟฟ้าชุมชน การส่งเสริมผลิตแก๊สหุงต้ม ใช้ในครัวเรือน การส่งเสริมติดตั้งโซล่าเซลล์ เพื่อการเกษตร ผ่านความร่วมมือทั้งกระทรวงพลังงาน อุตสาหกรรม ธ.ก.ส. ออมสิน คาดว่ามีเงินลงทุนในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท

ด้านนายสุริยะ จีงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสหากรรม กล่าวชี้แจงว่า เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีทุนในการประกอบธุรกิจ ขณะนี้มีวงเงินสินเชื่อ 3,000 ล้านบาท รองรับเกษตรแปรรูป วงเงินกู้ระยะสั้น 3 ปี วงเงินกู้ 3 ล้านบาทต่อราย และสินเชื่อวงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 1 เวลาเงินกู้ 7 ปี เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการในพื้นที่ให้มีเงินทุนหมุนเวียน

ร.อ.ธรรมมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า หลายหน่วยงานรัฐได้มุ่งช่วยเหลือรายย่อยเกษตรกร เช่น การนำที่ดิน สปก. พื้นที่ 40 ล้านไร่ ที่มีอยู่พร้อมผลักดันนำมาจัดสรรให้กับเกษตรกรใช้ที่ดินทำกิน รัฐบาลพร้อมส่งเสริมบัตรสวัสดิการฯ เพื่อดูแลรายย่อยอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ชี้แจงว่า ธนาคารออมสินขับเคลื่อนนโยบายรัฐ ผ่านยุทธศาสตร์ 3 สร้าง คือ 1.สร้างอาชีพ สร้างความรู้ 2.สร้างตลาด สร้างรายได้ และ 3.สร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนรายย่อยในระดับฐานราก โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการฯ เข้าถึงการพัฒนาอาชีพ ได้ฝึกฝนและสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้เพื่อนำไปเป็นทุนประกอบอาชีพ

เชื่อมั่นว่าจะทำให้ประชาชนอาชีพนอกภาคเกษตรกรในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน สามารถข้ามเส้นความยากจนมีรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อปี คิดเป็น 33% และหลุดพ้นจากความยากจน ซึ่งมีรายได้มากกว่า 100,000 บาทต่อปี คิดเป็น 1% พร้อมทั้งเตรียมสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโครงการประชารัฐสร้างไทย เพื่อให้พ่อค้า แม่ค้า หาบเร่ แผงลอย ผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อย และผู้มีรายได้น้อย ได้นำเงินไปเป็นทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ โดยใช้บุคคล หรือ บสย. เป็นหลักประกัน วงเงินกู้สูงสุดรายละไม่เกิน 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 0.50% ต่อเดือน (Flat Rate) ระยะผ่อนชำระเกิน 5 ปี (60 งวด) สามารถยื่นเรื่องขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2562 ซึ่งทั้งหมดจะมีศูนย์ยกระดับคุณภาพชีวิตเศรษฐกิจฐานราก 17 ศูนย์ของธนาคารออมสิน ที่ครอบคลุม 8 จังหวัดภาคเหนือ จะให้การสนับสนุนทั้งการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ การให้คำปรึกษาทางการเงิน และเป็นแหล่งข้อมูลด้านการท่องเที่ยวและสินค้าชุมชนด้วย รวมถึงเป็นศูนย์พัฒนาอาชีพด้วย โดยคาดว่าปีหน้าจะขยายเป็น 100 ศูนย์ทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในด้านต่างๆได้อย่างรวดเร็ว และเป็นรูปธรรม เชื่อมั่นว่า ด้วยการผลักดันนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงการคลัง ร่วมกับการประสานพลังประชารัฐของทุกภาคส่วน และภาคีเครือข่ายสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก จะทำให้การขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ล้านนา 8 จังหวัดนำร่อง ประสบความสำเร็จสามารถสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำและยกระดับรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่มีความกินดีอยู่ดี มีความสุข เพื่อสร้างพื้นฐานและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทย ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งจะขยายผลประชารัฐสร้างไทยไปทุกภูมิภาคทั่วประเทศต่อไป

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธอส. กล่าวว่า ธอส.ได้มอบสินเขื่อ “ประชารัฐ ทำให้คนไทยมี ‘บ้าน’ ได้จริง” ตามมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ของ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ให้แก่ลูกค้าที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อดังกล่าว ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ณ หอประชุมกาญจนาภิเษก ม.แม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2562

Verified by ExactMetrics