วันที่ 14 พฤษภาคม 2025

“อนุทิน” เชื่อ ที่ประชุม ป.ป.ส. 22 พ.ย. ไม่ดึงกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด

People Unity News : 21 พฤศจิกายน 2565 ทำเนียบรัฐบาล “อนุทิน” รับหนังสือจากสมาคมนักวิจัยฯ หนุนใช้กัญชาทางการแพทย์ เชื่อ ป.ป.ส.ไม่ดึงกลับไปเป็นยาเสพติด หากทำ เป็นการถ่มน้ำลายรดฟ้า ทางออกต้องออก พ.ร.บ.กัญชากัญชง

สมาคมนักวิจัยแห่งประเทศไทยและเครือข่ายนักวิจัย นำโดย นายพิพัฒน์ นนทนาธรณ์ นายกสมาคมนักวิจัยฯ พร้อมด้วยรายชื่อผู้สนับสนุนอีก 6,000 ชื่อ ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขอให้คงไว้ซึ่งประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับปลดกัญชาออกจากยาเสพติดให้โทษ เพื่อสนับสนุนให้ใช้กัญชาทางการแพทย์เพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยหากกลับไปเป็นยาเสพติดจะเกิดผลกระทบจำนวนมาก และเป็นการทำลายโอกาสต่างๆของประเทศชาติที่จะสามารถพัฒนาต่อไปได้ ซึ่งทางสมาคมฯ ได้ตั้งคณะทำงานวิจัยกัญชาทางการแพทย์ และสมุนไพรเพื่อสิทธิและสังคม

นายอนุทิน ได้รับหนังสือ พร้อมระบุว่า ยินดีที่ทางสมาคมฯ เดินหน้าเรื่องนี้ ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขจะให้ความร่วมมือด้วย ซึ่งการที่ได้รับหนังสือในวันนี้ เป็นการยืนยันว่า กัญชามีประโยชน์ ถ้าใช้ในทางที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการนำไปใช้ทางการแพทย์ สุขภาพ รวมถึงการส่งเสริมทางเศรษฐกิจ และยินดีที่ได้รู้จักกับนายกสมาคมนักวิจัยแห่งประเทศไทย ทางกระทรวงสาธารณสุขจะได้มีช่องทางในการอาศัยความร่วมมือซึ่งกันและกัน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายกัญชากัญชง ตรงไหนที่ทางกระทรวงฯ สามารถช่วยเหลือในเรื่องของข้อมูลได้ จะมีส่วนช่วยทำให้ความน่าเชื่อถือในเรื่องกัญชาเพิ่มมากขึ้น และประชาชนจะได้ประโยชน์

ส่วนรายชื่อสนับสนุนที่ยื่นในครั้งนี้ จะมีผลต่อการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ในวันพรุ่งนี้ (22 พ.ย.) หลังมีกระแสข่าวว่าดึงกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดหรือไม่ นายอนุทิน ยืนยันว่า ไม่มี เพราะกัญชาไม่ใช่ยาเสพติด ส่วนที่เป็นยาเสพติดคือสารสกัดจากกัญชา ที่มีค่า THC มากกว่า 0.2 เพราะฉะนั้น ประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ว่าด้วยการควบคุมพืชสมุนไพร ที่ตนได้ลงนามเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับทาง ป.ป.ส. และไม่น่าจะมีผลเกี่ยวข้องใดๆกับคณะรัฐมนตรี ซึ่งในประกาศนั้นไม่ใช่กฎกระทรวง แต่เป็นประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะที่เป็นผู้รักษากฎหมาย ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพืชสมุนไพร ได้ใช้อำนาจของรัฐมนตรีในการประกาศมาตรการต่างๆออกมา ซึ่งรัฐมนตรีก็ได้ใช้อำนาจไปแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนที่จะประกาศในราชกิจจานุเบกษาตามขั้นตอนกฎหมาย ซึ่งเป็นหน้าที่ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาทำงานเพียง 2 วัน และมีการประชุมเอเปค ดังนั้นอย่าเพิ่งตื่นตระหนกตกใจว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ และคงไม่มีนัยที่จะกลับไปเป็นพืชยาเสพติด

ส่วน ป.ป.ส. สามารถดึงกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ป.ป.ส. ประกอบด้วยคณะกรรมการ ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน โดยในกรณีนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานแทน และคณะกรรมการชุดนี้ได้ประกาศให้กัญชาออกจากพืชยาเสพติด แล้วจะไปถ่มน้ำลายรดฟ้าได้อย่างไร และเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูดคุยกับนายวิษณุ เพราะเป็นเรื่องของประโยชน์บ้านเมือง และเป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล

“ยืนยันไม่ได้ส่งเสริมในเรื่องของสันทนาการและนันทนาการ หากมีใครที่กำลังกังวล โดยเฉพาะห่วงใยเรื่องเยาวชนจะไปยุ่งเกี่ยว หรือห่วงใยผู้ที่ใช้ในทางที่ผิด ขอให้ร่วมกันออก พ.ร.บ.กัญชากัญชง ให้เรียบร้อย และสามารถให้ความเห็นเพิ่มเติมและเสนอแนะต่างๆได้ เพราะกรรมาธิการก็ประกอบด้วยตัวแทนจากพรรคการเมืองทุกพรรค ตัวแทนข้าราชการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเรื่องการใช้กัญชากัญชง” นายอนุทิน กล่าว

Advertisement

“ทิพานัน” โต้เพื่อไทย หลังกล่าวหาภาพลักษณ์นายกฯ

People Unity News : 17 พฤศจิกายน 2565 “ทิพานัน” โต้เพื่อไทย หลังกล่าวหาภาพลักษณ์นายกฯ ย้ำรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์” มาจากการเลือกตั้งในกติกาเดียวกับที่เพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน เย้ยออกอาการหวั่นไหวเพราะนานาชาติตอบรับเอเปค

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยกล่าวหาว่าภาพลักษณ์เผด็จการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นอุปสรรคในเวทีโลกว่า การแสดงความคิดเห็นดังกล่าว สะท้อนความหวั่นไหวและหวาดกลัวของพรรคเพื่อไทยที่ได้เห็นภาพความสำเร็จยของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ได้รับการยอมรับและให้การต้อนรับเป็นอย่างดีจากบรรดาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ที่ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นผู้นำประเทศที่เดินทางมาร่วมการประชุมด้วยตนเอง

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยิ่งมีเสียงชื่นชมการจัดงานการประชุมที่ได้มาตรฐานระดับโลก จากบุคลากรของเอเปคเอง คือนางรีเบคกา สตา มาเรีย ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการเอเปคด้วยแล้ว พรรคเพื่อไทยอาจรับไม่ได้ที่นานาประเทศชื่นชมไทย ส่วนที่กล่าวหาว่าเป็นรัฐบาลเผด็จการ ความจริงแล้ว พรรคเพื่อไทยเองก็ตระหนักดีว่า พล.อ.ประยุทธ์มาจากการเลือกตั้งที่มีกติกาเดียวกันกับพรรคเพื่อไทยเมื่อปี 2562 ที่เป็นฝ่ายค้านในสภาฯ อยู่ในขณะนี้

“พรรคเพื่อไทยต้องยอมรับว่านักโทษชายทักษิณ หลอกคนไทยว่าจะไม่โกง เพราะรวยอยู่แล้ว จะเข้ามาบริหารประเทศด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ใช้วาทกรรมหลอกจนปังแต่ปัจจุบันพินาศไปแล้ว เพราะในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่พรรคเพื่อไทยมักจะนำมากล่าวอ้างถึงความสำเร็จต่างๆ โดยเฉพาะการจัดการประชุมเอเปคในยุคนั้น กลับมีพฤติกรรมที่เรียกว่า “เผด็จการรัฐสภา” ที่ก่อให้เกิดปัญหาคอร์รัปชันเชิงนโยบาย เช่น กรณีแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพาสามิต ด้วยการตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพาสามิต เอื้อประโยชน์ธุรกิจ บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท  ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาให้ลงโทษจำคุก 2 ปี ฐานที่นายทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทซึ่งเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยให้บุคคลอื่นมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นแทน ในกรณีของการถือหุ้น บริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตัวเองและผู้อื่น และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต” น.ส.ทิพานัน กล่าว

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยยังคงภาคภูมิใจกับเศษซากปรักหักพังของประเทศ ที่ต้องสูญเสียไปกับการคอร์รัปชันเชิงนโยบาย ที่ขโมยผลประโยชน์ชาติเข้าตระกูลตัวเองอยู่อีกหรือ ทั้งยังเป็นนักโทษหลบหนีคดี แต่จะขอกลับมาเมืองไทยแบบเท่ๆ สร้างความอับอาย และเป็นพฤติกรรมที่สังคมโลกรังเกียจ

Advertisement

ครม.มีมติให้ อปท.ปรับปรุงระบบด้านการเงิน ให้ ปชช.ตรวจสอบได้

People Unity News : 15 พฤศจิกายน 2565 ครม.มีมติให้ อปท.ปรับปรุงระบบการกำกับดูแลด้านการเงิน พร้อมให้เปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนตรวจสอบได้

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐและ อปท. รูปแบบทั่วไป เป็นหน่วยรับงบประมาณตามกฎหมายงบประมาณและได้รับงบประมาณอุดหนุนจากรัฐสูง แต่ยังขาดเครื่องมือการตรวจสอบสถานะด้านการคลังและงบประมาณท้องถิ่น ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบและอนุมัติแนวทางเสริมสร้างศักยภาพการคลังท้องถิ่น (แบบประเมินสุขภาพการคลังท้องถิ่น) ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เสนอ เพื่อสร้างเครื่องมือการตรวจสอบสถานะด้านการคลังและงบประมาณท้องถิ่นให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบทั่วไป 7,850 แห่ง นำไปใช้เพื่อปรับปรุงระบบการกำกับดูแลด้านการเงินให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

“แบบประเมินนี้ จะตรวจสอบภายใน การควบคุมภายใน และการบริหารจัดการความเสี่ยงตามมาตรา 79 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และพัฒนาให้มีการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนตรวจสอบได้ เพื่อให้ อปท. มีความเข้มแข็งสามารถให้บริการประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับแบบประเมินสุขภาพการคลังท้องถิ่นจะประเมินตั้งแต่ปีงบประมาณ 2566 โดยใช้ข้อมูลผลการปฏิบัติงานของปีงบประมาณ 2565 โดยจะชี้วัดในด้านต่างๆ 8 ด้าน ประกอบด้วย 1. ด้านรายได้ ประเมินประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ของ อปท. รวมทั้งการใช้นวัตกรรมในการจัดเก็บรายได้ 2. ด้านการเงิน ประเมินประสิทธิภาพในการชำระเงินที่ผ่านหลายช่องทาง สะดวก รวดเร็ว” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า 3. ด้านงบประมาณรายจ่าย ประเมินความสอดคล้องการจัดทำคำของบประมาณประจำปีกับแผนพัฒนาท้องถิ่น ความพร้อมในการดำเนินโครงการ และความสามารถในการก่อหนี้ผูกพัน 4. ด้านการจัดซื้อจัดจ้าง ประเมินความสามารถในการปฏิบัติงานตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐได้อย่างถูกต้องตามระยะเวลา ขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด มีความโปร่งใส และมีการดำเนินการตามข้อตกลงคุณธรรม 5. ด้านการบัญชีและสินทรัพย์ จัดทำรายงานบัญชีและสินทรัพย์ตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐและรายงานต่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า 6. ด้านการกำกับดูแลตนเอง ประเมินการควบคุมภายใน การตรวจสอบภายใน จัดทำรายงานการตรวจสอบภายใน และการจัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยง 7. ด้านการก่อหนี้ระยะยาว ประเมินความคุ้มค่าของโครงการที่ก่อหนี้ระยะยาวหรือโครงการที่ใช้เงินกู้ว่าสอดคล้องกับวิสัยทัศน์การพัฒนาท้องถิ่น และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง 8. ด้านเงินสะสม ประเมินประสิทธิผลของการใช้เงินสะสมตามวัตถุประสงค์ และรักษาระดับของเงินสะสมเพื่อเสถียรภาพทางการคลัง ทั้งนี้ การมีแบบประเมินนี้ เพื่อการบริการ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน ต้องเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนตรวจสอบได้ พร้อมกับสามารถนำไปปรับปรุงระบบการกำกับดูแลตนเองได้

Advertisement

พ.ร.ก.กู้เงินอุ้มกองทุนน้ำมันผ่านความเห็นชอบวุฒิสภา

People Unity News : 14 พฤศจิกายน 2565 ส.ว.เห็นชอบ พ.ร.ก.กู้เงินอุ้มกองทุนน้ำมัน “สุพัฒนพงษ์” ระบุเป็นรัฐบาลเดียวที่ไม่สร้างผลกระทบ ปชช.  ย้ำวิกฤติพลังงานของไทยวิกฤติพลังงานซ้อนวิกฤติค่าเงินบาท

การประชุมวุฒิสภา (ส.ว.) ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ผ่อนผันให้กระทรวงการคลังค้ำประกันการชำระหนี้ของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2565 ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ ซึ่งเป็นการพิจารณาอนุมัติต่อจากที่่สภาผู้แทนราษฎร ลงมติเห็นชอบ ทั้งนี้ ในการพิจารณา ที่ประชุมวุฒิสภาลงมติเห็นด้วย  187 เสียง ไม่เห็นด้วย 1 เสียง งดออกเสียง 5 เสียง

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯและ รมว.พลังงาน ชี้แจงต่อที่ประชุมวุฒิสภาช่วงหนึ่งว่า จากปัญหาวิกฤตพลังงานราคาน้ำมันที่ผ่านมา ถือเป็นวิกฤตที่ซ้อนวิกฤต ทั้งกรณีค่าน้ำมันที่ราคาสูงขึ้น ขณะที่ค่าเงินบาทนั้นตกต่ำ โดยการแก้ปัญหาที่ผ่านมารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลเดียวที่ไม่ทำให้เกิดผลกระทบกับประชาชน ทั้งนี้การแก้ปัญหาต้องใช้การประคับประคองแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยที่ผ่านมามีดัชนีชี้วัดค่อนข้างดี ส่วนกรณีที่มีข้อเสนอแนะว่าอย่าอุดหนุนจนบิดเบือน เพราะจะทำให้เกิดความเข้าใจ รัฐบาลต้องดูแลเรื่องดังกล่าว ขณะที่การชำระเงินกู้ รัฐบาลได้คำนึงในประเด็นดังกล่าวพร้อมกับการคงเสถียรภาพทางการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด

ขณะที่แผนกการกู้เงินนั้นนายพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายแลยุทธศาสตร์ สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในฐานะผู้ช่วยเลขาคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ชี้แจงว่า สำหรับแผนการกู้เงินนั้นได้รับอนุมัติจากรัฐบาลแล้ว โดยจะมีการกู้เงินก้อนแรก 3 หมื่นล้านบาท ในปี 2565 และอีกก้อน จำนวน  1.2 แสนบ้านบาท จะดำเนินการในปี 2566 ขณะที่แผนการชำระเงินนั้น หนี้ก้อนแรกจะมีระยะเวลาใช้คืน 7 ปี ขณะที่ก้อนที่สองมีระยะเวลาการชดใช้ 7 ปีเช่นกัน

Advertisement

ป.ป.ช.ครบรอบ 23 ปี “ไม่ทำ ไม่ทน ไม่เฉย รวมไทยต้านโกง”

People Unity News : 11 พฤศจิกายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดงานวันสถาปนาสำนักงาน ป.ป.ช.ครบรอบ 23 ปี ภายใต้แนวคิด “23 ปี ป.ป.ช. สร้างสังคมไทย ไม่ทนทุจริต” โดยมี พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ และพิธีสักการะบูชาพระภูมิเจ้าที่ เพื่อความเป็นสิริมงคล รวมถึงกิจกรรมมอบรางวัล “เพชรน้ำเอก” สำหรับบุคคลภายใน รางวัลหน่วยงานในสังกัดสำนักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลาง สำนักงาน ป.ป.ช.ภาค และสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด ที่มีผลงานดีเด่น

ทั้งนี้ ตลอด 23 ปีที่ผ่านมา สำนักงาน ป.ป.ช.มุ่งมั่นสร้างสังคมที่ไม่ทนทุจริต ได้ทำหน้าที่ปราบปรามการทุจริตควบคู่กับการปลูกจิตสำนึกด้านคุณธรรมจริยธรรม โดยเน้นการทำงานแบบบูรณาการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน มุ่งมั่นสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริตอย่างต่อเนื่อง จากความพยายามสร้างสังคมที่ไม่ทน ต่อการทุจริตดังกล่าว ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ที่สำคัญหลายประการ ได้แก่

1.มีการเฝ้าระวังและส่งเสียง (Watch and Voice) เมื่อพบเห็นความไม่ชอบมาพากลในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรณีเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ (น้องแบม) และกรณีเงินทอนวัด เป็นต้น

2.ประชาชนทั่วประเทศช่วยกันเปิดโปงกรณีการทุจริตในพื้นที่จังหวัดของตน เช่น กรณีอาหารกลางวันเด็กนักเรียน

3.การมีคำพิพากษาของศาลเกี่ยวกับกรณีการใช้รถหลวงเพื่อประโยชน์ส่วนตน ซึ่งกรณีดังกล่าว จะเสริมพลังให้การปรับฐานคิดเกี่ยวกับการรู้จักแยกแยะประโยชน์ส่วนรวมและประโยชน์ส่วนตนที่สำนักงาน ป.ป.ช. กำลังผลักดันอยู่ประสบผลสำเร็จ

4.การร่วมกันตรวจสอบและติดตามมาตรการป้องกันการทุจริตในกรณีต่างๆ เช่น การรับแป๊ะเจี๊ยะ การทุจริตเกี่ยวกับนมโรงเรียน เป็นต้น ส่งเสริมมาตรการเสริม ได้แก่ การคุ้มครองพยาน การกันบุคคลไว้เป็นพยาน การจ่ายเงินสินบนเป็นรางวัลให้ผู้ชี้ช่อง แจ้งเบาะแส ให้ข้อมูล ให้ข้อเท็จจริงจนมีคำพิพากษาให้ทรัพย์สิน จากการกระทำผิดตกเป็นของแผ่นดิน รวมถึงการประเมินระดับคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) การสร้างเครือข่ายในการป้องกันการทุจริตกับภาคีต่างๆ เป็นต้น

โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.และบุคลากรทุกระดับพร้อมเดินหน้าปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน เพื่อสร้างสังคมที่ไม่ทนทุจริต ภายใต้ค่านิยม “ซื่อสัตย์ เป็นธรรม มืออาชีพ โปร่งใส ตรวจสอบได้” เพื่อขจัดการทุจริตให้หมดไปจากสังคมไทย หากพบเห็นการทุจริตของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือเจ้าหน้าที่รัฐ แจ้งมาที่หมายเลข 1205 หรือร้องเรียนผ่านเว็บไซต์สำนักงาน ป.ป.ช. www.nacc.go.th หรือสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัด

Advertisement

ฝ่ายค้านประกาศพร้อมคว่ำ พ.ร.บ.กัญชา หากไม่ปรับแก้ตามที่ฝ่ายค้านเสนอ

People Unity News : 10 พฤศจิกายน 2565 ฝ่ายค้านประกาศถ้าไม่ปรับแก้จะคว่ำร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง  ลั่นต้องควบคุมใช้ทางการแพทย์จริงจัง หลัง รมว.สธ.โพสต์รูปคู่ไอติม ชี้เป็นสันทนาการ

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน  กล่าวว่า หากกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกัญชา กัญชง ไม่ปรับแก้ตามที่ฝ่ายค้านเสนอในการพิจารณาวาระสอง จะลงมติไม่เห็นด้วยเป็นรายมาตรา และจะลงมติคว่ำในวาระสาม และเรื่องนี้ฝ่ายค้านมีความเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน  จึงนำเรื่องไปยื่นต่อศาลปกครองฟ้องนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้ศาลมีคําสั่งเพิกถอนประกาศกระทรวงสาธารณสุข  ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์  2565 เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2565 โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ออกประกาศ และให้กัญชาจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข  ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2563  เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 พ.ศ. 2563 เช่นเดิม พร้อมทั้งขอให้ศาลมีคําสั่งคุ้มครองชั่วคราว  ด้วยการทุเลาการบังคับตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขไว้เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษาคดีด้วย

ผศ.นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ กรรมการแพทยสภาและนายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การที่ร่วมยื่นเรื่องและไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชา  เพราะเห็นว่าการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแสดงให้เห็นถึงการนำกัญชาไปผลิตเป็นอาหาร หรือไอติม เป็นความชัดเจนว่าไม่ได้ใช้กัญชาทางการแพทย์ แต่เป็นการใช้กัญชาในเชิงสันทนาการ นอกจากนี้ยังเป็นประกาศที่ทำให้การใช้กัญชาเสรีจนเกินไป

“ไม่มีการใคร่ครวญอย่างละเอียด ไม่มีกฎหมายควบคุมจนเด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย  หรือแม้ว่าจะมีพระราชบัญญัติกัญชา กัญชงออกมาใช้ก็ไม่ทัน  รวมทั้งยังเสียเวลา เพราะกฎหมายนี้ไม่มีความพร้อม และไม่สมบูรณ์   จึงเห็นว่าควรจะทุเลาประกาศนี้ออกไปก่อน   ซึ่งจะไม่มีผลต่อการใช้ทางการแพทย์  เพราะมีประกาศเดิม 2563 รองรับการใช้งานทางการแพทย์อยู่แล้ว” ผศ.นพ.สมิทธิ์ กล่าว

Advertisement

ป.ป.ช. ยันเร่งสอบคดีเสาไฟกินรี อบต.ราชาเทวะ

People Unity News : 31 ตุลาคม 2565 ป.ป.ช. ยันเร่งสอบสำนวนเสาไฟกินรี อบต.ราชาเทวะ เสร็จแล้ว 2 ใน 5 สำนวน ย้ำทำสุดความสามารถ ไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่อาจไม่ทันใจประชาชนและสื่อมวลชน 

น.ส.ชภารัตน์ อนรรฆอร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 1 แถลงความคืบหน้าคดีจัดซื้อจัดจ้างโคมไฟกินรี อบต.ราชาเทวะ สมุทรปราการ ว่า หลัง ป.ป.ช.ชุดใหญ่มีมติให้ไต่สวนทาง ป.ป.ช. ภาค 1 ได้แยกดำเนินการออกเป็น 5 คดีตามปีงบประมาณ ซึ่งได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ถูกกล่าวหา 2 คดี ขณะนี้อยู่ระหว่างการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา คาดว่าหากผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงแล้วจะสรุปสำนวนเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช ให้พิจารณาโดยเร็ว เพราะอยู่ในความสนใจประชาชน

“ส่วนอีก 3 คดีอยู่ระหว่างแจ้งข้อกล่าวหาซึ่งคาดว่าที่สุดแล้วทั้ง 5 สำนวน คดีจะแล้วเสร็จในเวลาใกล้เคียงกัน ย้ำว่า ป.ป.ช.ไม่ได้นิ่งเฉย แม้การดำเนินการอาจไม่ทันใจประชาชนหรือสื่อมวลชน แต่ยืนยันได้เร่งติดตามดำเนินคดีเรื่องนี้สุดความสามารถ แต่ทั้งนี้มีข้อจำกัดในบางส่วน เช่น เจ้าหน้าที่ อบต.ราชาเทวะ ก็ติดโควิด ทำให้การส่งเอกสารล่าช้า ย้ำว่าการดำเนินคดีในเรื่องนี้ได้ให้ความพิถีพิถันเป็นพิเศษ เพื่อให้ปราศจากข้อสงสัย” น.ส.ชภารัตน์ กล่าว

ส่วนการทุจริตติดตั้งเสาไฟฟ้าโซลาร์เซลล์นวัตกรรมไทยในพื้นที่จังหวัดสระบุรีนั้น ได้ลงพื้นที่ติดตามใน 3 พื้นที่ พบว่าผลการตรวจสอบพบความเสี่ยงในเรื่องของการจัดซื้อจัดจ้างขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสระบุรี ซึ่งมีการจัดซื้อเสาไฟ 6,493 ชุด มูลค่ารวมกว่า 453 ล้านบาท โดยพบประเด็นการจัดซื้อเสาไฟที่มีราคาสูงและซื้อจำนวนมาก แต่ไม่สามารถต่อรองราคาให้ถูกลงได้ ส่วนประเด็นคุณภาพของแสงสว่างบางประเด็นไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ อีกทั้งพบว่ามีการติดตั้งซ้ำซ้อน หรือติดในพื้นที่ที่มีการสัญจรน้อย และพื้นที่ไม่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ นอกจากนี้ยังพบว่าประเด็นการจัดทำประชาพิจารณ์ก่อนการดำเนินการและยังมีการติดตั้งเสาไฟโซลาร์เซลล์รุ่นเก่าปะปนกับเสารุ่นใหม่

Advertisement

รัฐบาลแบะท่ายังคงมีพื้นที่ทางการคลังสำหรับหนี้สาธารณะ

People Unity News : 31 ตุลาคม 2565 โฆษกรัฐบาล เผยความสามารถการชำระหนี้ของรัฐบาลยังอยู่ในเกณฑ์ดี คาดการณ์ว่าระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ยังคงอยู่ภายใต้กรอบการบริหาร ภายใต้แผนการคลังระยะปานกลางปี 2566-2569

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลในขณะนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยภาระดอกเบี้ยต่อรายได้ของรัฐบาลในระยะปานกลางอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ และจากประมาณการภายใต้แผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2566-2569) ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2564 คาดการณ์ว่า สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ณ สิ้นปีงบประมาณ 2565 จะอยู่ที่ร้อยละ 62.69 ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะที่กำหนดให้สัดส่วนดังกล่าวต้องไม่เกินร้อยละ 70

นอกจากนี้ ภายใต้แผนการคลังระยะปานกลางดังกล่าว ได้มีการประมาณการสถานะการคลังในระยะปานกลางในช่วงปีงบประมาณ 2566-2569 จากการประเมินการจัดเก็บรายได้และการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ ในภาวะที่รัฐบาลยังมีความจำเป็นต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้มีการคาดการณ์ว่า ระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP จะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 64.02 ในปีงบประมาณ 2566 เป็นร้อยละ 67.15 ในปีงบประมาณ 2569 ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะที่กำหนดให้สัดส่วนดังกล่าวต้องไม่เกินร้อยละ 70 เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ หนี้สาธารณะเป็นเครื่องชี้เศรษฐกิจแบบสะสม ไม่ได้เกิดจากรัฐบาลปัจจุบันเพียงชุดเดียว และการเปรียบเทียบหนี้สาธารณะควรพิจารณาเทียบสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP เนื่องจากแต่ละประเทศมีขนาดเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน จากสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ล่าสุด ณ เดือนสิงหาคม 2565 ที่มีสัดส่วนร้อยละ 60.72 แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลยังคงมีพื้นที่ทางการคลังเพิ่มเติมสำหรับรองรับมาตรการทางการเงินเพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อีกประมาณร้อยละ 10 ของ GDP (กรอบสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐจะต้องไม่เกินร้อยละ 70) อีกทั้งความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยภาระดอกเบี้ยต่อรายได้ของรัฐบาลในระยะปานกลางอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้

Advertisement

รัฐบาลจัดสรรที่ดินทำกิน-ที่อยู่อาศัยให้ราษฎรยากไร้แล้ว 1.12 ล้านไร่

People Unity News : 31 ตุลาคม 2565 รัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาที่ดิน ออกหนังสืออนุญาตฯ แล้ว 1.12 ล้านไร่

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลมุ่งเน้นให้ประชาชนใช้ประโยชน์จากที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งต้องอาศัยการร่วมมือบูรณาการกันของทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อเร่งให้เกิดการดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ตลอดจนเรื่องของการแก้ไขหรือปลดล็อกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการตรวจพิสูจน์สิทธิการครอบครองและการใช้ประโยชน์จากที่ดิน โดยให้ยึดหลักการใช้ข้อเท็จจริงที่รอบด้าน และหลักการการเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐ แต่ให้สามารถเข้าใช้ประโยชน์ได้ในการแก้ปัญหา เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาและผลกระทบ

นางสาวรัชดา กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้เร่งดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน โดยได้จัดสรรที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยให้แก่ราษฎรที่ยากไร้และเกษตรกรตามหลักการของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) โดยได้ดำเนินการออกหนังสืออนุญาตแล้วใน 356 พื้นที่ 65 จังหวัด เนื้อที่ 1.12 ล้านไร่ จัดคนลงพื้นที่ จำนวน 73,809 ราย ใน 331 พื้นที่ 67 จังหวัด เนื้อที่ 501,475 ไร่ และส่งเสริมและพัฒนาอาชีพใน 247 พื้นที่ 65 จังหวัด เนื้อที่ 327,976 ไร่ รวมทั้งได้ดำเนินการมอบสมุดประจำตัวผู้ที่ได้รับการคัดเลือกการจัดที่ดินทำกิน จำนวน 55,589 เล่ม ใน 53 จังหวัด

“รัฐบาลมุ่งสร้างพื้นที่ทำกินให้แก่ประชาชน และได้กำหนดให้เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติ มีกลไกคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติขับเคลื่อนการบูรณาการกับทุกภาคส่วนเพื่อแก้ปัญหาที่ดินทำกินที่เรื้อรังและซับซ้อน โดยจะอำนวยการดูแลประชาชนทั้งเรื่องการรวมกลุ่มให้เข้มแข็ง จัดตั้งเป็นสหกรณ์ และพัฒนาอาชีพ เพื่อนำไปสู่การมีรายได้เพิ่มอย่างยั่งยืนด้วย” นางสาวรัชดา กล่าว

Advertisement

“พล.อ.ประวิตร” ขอหน่วยงาน-ผู้ประกอบการ เข้มปลอดภัยฮาโลวีนในไทย

People Unity News : 31 ตุลาคม 2565 พรรคพลังประชารัฐแสดงความเสียใจต่อโศกนาฏกรรมที่อิแทวอน “พล.อ.ประวิตร” ขอหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง-ขอความร่วมมือผู้ประกอบการ เข้มมาตรการความปลอดภัยเทศกาลฮาโลวีนในไทย

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและโฆษกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยวานนี้ (30 ตุลาคม 2565) ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ติดตามข่าวโศกนาฏกรรมในเทศกาลฉลองวันฮาโลวีน ที่ย่านอิแทวอน กรุงโซล เกาหลีใต้ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก โดยได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งไทยกับเกาหลีใต้มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างใกล้ชิดมานานกว่า 60  ปี มีความสัมพันธ์ในระดับประชาชนอยู่ในระดับที่ดี โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้เดินทางมาไทย และนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปเกาหลีใต้เพิ่มสูงขึ้นทุกปี

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร จึงขอให้หน่วยงานต่างๆ ดูแลความปลอดภัยในการจัดงานเทศกาลฉลองวันฮาโลวีนในประเทศไทย โดยเฉพาะขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการ ผู้จัดงานต่างๆ คำนึงถึงความปลอดภัย ประเมินสถานการณ์ผู้เข้าร่วมงานเป็นระยะ และตรวจสอบมาตรการรักษาความความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมรับสถานการณ์ฉุกเฉิน หากเป็นสถานประกอบการแบบปิด ต้องตรวจตราระบบไฟ ประตู ทางหนีไฟให้พร้อมใช้งานได้ดีอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้าย

Advertisement

Verified by ExactMetrics