วันที่ 17 พฤษภาคม 2024

ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก! “ช่อ”แจงแล้วบริจาคพรรคเงินครอบครัว

People Unity News : ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก! “ช่อ”แจงแล้วบริจาคพรรคเงินครอบครัว พ้อไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก ยังมีคนคบอยู่ และครอบครัวไม่ได้เดือนร้อนเรื่องเงิน พร้อมให้ตรวจสอบกรณีถูกตั้งคำถามนำเงินนายทุนมาบริจาค ยันแคมเปญอยู่ไม่เป็น ไม่ใช่ม็อบกดดันศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนตัดสินสถานะ ส.ส. “ธนาธร”

วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 นางสาวพรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ระบุถึงกรณีเหตุคนร้ายยิงจุดตรวจของชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน ตำบลลำพะยา อ.เมืองยะลา เสียชีวิต 15 คนว่า เป็นเหตุการณ์ความสูญเสียรุนแรง เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในพื้นที่ซึ่งเมื่อไม่ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว และพรรคอนาคตใหม่ยังกังวลกรณีปลุกปั่นข่าวสาร ที่ประชาชนได้รับ เป็นการสร้างความหวัดระแวง แตกแยกเกลียดชังภายในพื้นที่ ยกตัวอย่างหนังสือพิมพ์ลงข่าวออนไลน์กรณีเจอที่ผ้าก็อตทำแผลในพื้นที่ แต่ข่าวออกว่าบ้านนี้ให้ความช่วยเหลือผู้ก่อเหตุ และยังมีข่าวเท็จที่สร้างความตื่นตระหนกและความเกลียดชัง แตกแยก ระหว่างประชาชนในพื้นที่ของข่าวออนไลน์สำนักหนึ่ง ที่มีภาพการ์ตูนล้อเลียนสัญลักษณ์ของพรรคอนาคตใหม่ด้วย พร้อมข้อความที่ระบุว่าข่าวไม่ได้บอก ว่าฝ่ายเราตายกี่คน แต่ในภาพมีสัญลักษณ์ของพรรคอนาคตใหม่อยู่ด้วย ที่พยายามสร้างความเข้าใจว่าพรรคการเมืองการสนับสนุนการสร้างความก่อเหตุในพื้น ย้ำพรรคไม่ได้มีปัญหากับการ์ตูนล้อเลียน แต่สร้างความเสียหายร้ายแรง พร้อมชี้ว่า กรณีนี้ล้ำเส้นจรรยาบรรณสื่อไปมากกว่าที่เป็นอยู่ โดยขอร้องให้หยุดการกระทำที่ไม่สร้างสรรค์นี้

น.ส. พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ยังแถลงถึงกิจกรรมการปราศรัย “อยู่ ไม่ เป็น” ที่จัดวันที่ 16 พฤศจิกายนนี้ที่เจเจมอลล์ ว่าเพื่อแสดงผลงานความก้าวหน้าในการทำกิจกรรมของพรรค หลังเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรในสมัยที่สอง ซึ่งไฮไลต์คือการปราศรัยของ ส.ส.พรรค โดยเฉพาะนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค และรองศาสตราจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค อนาคตใหม่ โดยเขื่อว่าคอนเซป “อยู่ไม่เป็น” จะเป็นสะท้อนความคิดและนำไปสู่การแก้ไขเปลี่ยนแปลง ที่ดีเอนเอ ชาวอนาคตใหม่จะมีร่วมกัน และจะไม่ทนต่อสิ่งที่ไม่ถูกต้องพร้อมพยายามแก้ไขและส่งต่อสังคมที่ดีกว่า เพราะหากว่าอยู่เป็นก็จะส่งต่อปัญหาแบบเดิมๆ

พร้อมยืนยันงานอยู่ไม่เป็นเป็นงานของพรรคที่แสดงความคืบหน้าของการของพรรค เป็นคนละเรื่องกับกรณีศาล รัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัย สถานะความเป็น ส.ส. ของนายธนาธร กรณีการถือครองหุ้นซื้อหรือไม่ ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ไม่มีอำนาจใดจะไปกดดันการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และหลังจากนั้นไม่ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นยังไง องคาพยพ กิจกรรมของพรรคก็ยังเดินหน้าต่อไป ตามทิศทางเดิม แต่หากคำวินิจฉัยออกมาในทางลบ นายธนาธรจึงรุ่งเรืองกิจยังคงเป็นสถานะหัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกฯรัฐมนตรีเช่นเดิม และยังคงสามารถดำรงตำแหน่งในกรรมาธิการสภาฯได้ พร้อมย้ำว่าพรรคอนาคตใหม่ไม่ได้มีเพียงหัวหน้าพรรค แต่ยังมี ส.ส.อีก 80 คน และกรรมการบริหารพรรค 20 คน รวมถึงตัวแทนสาขาพรรคประจำจังหวัดทุกจังหวัด และหาก มีการตั้งคำถามถึงผลคำวินิจฉัยนำไปสู่การยุบพรรคอนาคตใหม่ โฆษกพรรคอนาคตใหม่เชื่อว่าถ้าจะตีความกฎหมายลึกไปถึงขั้นนั้น ก็จะไม่มีจะไม่มีพรรคไหนเลย มี ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร

นอกจากนี้ยังชี้แจงเรื่องเงินบริจาคให้พรรคอนาคตใหม่ 1 ล้านบาทด้วยว่า ไม่เข้าใจว่าทำไมกลายเป็นประเด็นเพราะ ยังบริจาคตามกฏหมายทุกประการ และเป็นเงินของครอบครัว โดยยังกล่าวถึงที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าจำนวนเงินบริจาคสวนทางกับเงินที่มีการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.ว่า การแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นของตัวเองคนเดียว แต่ตัวเองยังมีครอบครัว และการเป็น ส.ส.ก็ตลกดี จนรวยมีปัญหา พร้อมรับการตรวจสอบเส้นทางการเงินและชี้แจงได้ เพราะเป็นเงินของคนในคริบครัวที่ร่วมกันบริจาค ซึ่งย้ำด้วยว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลก ยังมีคนคบอยู่ ยอมรับเป็นคนชนชั้นกลางและไม่ได้เดือนร้อน อยู่ในจำนวนที่ครอบครัวบริจาคได้ พร้อมกันนี้ยืนยันรับการตรวจสอบกรณีที่มีการตั้งข้อสงสัยว่ารับเงินจากนายทุนเพื่อมาบริจาคให้กับพรรคการเมืองเพราะมีเอกสารทำตามกฎหมาย

“หญิงหน่อย”นำคณะลงแขก เกี่ยวข้าวปลอดสารพิษโชว์ ที่ขอนแก่น

People Unity News : “คุณหญิงสุดารัตน์” ลุยขอนแก่น พบชาวนา ถูกเอาเปรียบ ไร้การเหลียวแล จากภาครัฐ ชวนชาวนาชะลอการขายข้าวเพื่อเพิ่มราคา เรียกร้องรัฐดูแลทันที ก่อนข้าวจะอยู่ในมือพ่อค้า  

วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย พร้อมคณะลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่น สอบถามปัญหาราคาข้าวจากเกษตรกร โดยพบว่าฤดูกาลผลิตนี้ ข้าวสารและข้าวเหนียวขาดตลาด เกษตรกร ควรได้ราคาดี เพราะต้องประสบปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม ทำให้ผลผลิตมีน้อย แต่ปรากฏว่าปัจจุบันชาวนากลับถูกเอารัดเอาเปรียบ โดยไม่มีมาตรการของภาครัฐออกมาช่วยเหลือ ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิคุณภาพดีที่สุดของโลก ซึ่งปลูกในพื้นที่ภาคอีสาน ขายได้เพียงกิโลกรัมละ ประมาณ 12 บาทเท่านั้น

ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ในห้วงของการเก็บเกี่ยวรัฐบาลต้องเข้ามาดูแล ตั้งแต่ต้นเดือนนี้ ไม่ใช่ไปดูแลในช่วงปลายเดือนหรือต้นเดือน ธันวาคม ซึ่งข้าวจะอยู่ในมือพ่อค้าคนกลางแล้ว โดยเฉพาะข้าวเปลือกจะถูกขาย และเปลี่ยนมือจากชาวนาไปอยู่ในมือพ่อค้าคนกลาง อยู่กับโรงสี ราคาจึงปรับตัวสูงขึ้นไปที่ประมาณกิโลกรัมละ20-25บาท ซึ่งพี่น้องชาวนาไม่ได้รับประโยชน์ ดังนั้นรัฐต้องมีมาตรการออกมาช่วย ชะลอการขายข้าวทันที และในขณะที่ชาวนาถูก กดราคา ขายข้าวได้ราคาไม่เป็นธรรม กลับยังไม่เห็นมาตรการ รวมถึงความช่วยเหลือใดๆจากรัฐบาล อย่างเป็นรูปธรรม

คุณหญิงสุดารัตน์ ย้ำว่าพรรคเพื่อไทยพยายามช่วยเหลือเท่าที่ทำได้โดยเฉพาะการหาช่องทางจัดจำหน่าย พร้อมสื่อสารไปถึงพี่น้องเกษตรกรว่า อย่าเพิ่งรีบขายข้าว ให้เก็บไว้รอราคาที่เหมาะสม จึงทยอยขาย ดังนั้นหากรัฐจริงใจจะช่วยเหลือเกษตรกรต้องช่วยในช่วงเวลานี้ ก่อนที่ข้าวจะไปอยู่ในมือพ่อค้าคนกลาง

ทั้งนี้ในการลงพื้นที่ ตำบลบ้านโต้น อำเภอ พระยืน จังหวัดขอนแก่น คุณหญิงสุดารัตน์ พร้อมคณะส.ส. อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย อาทิ นายบัลลังก์ อรรณนพพร นางมุกดา พงษ์สมบัติ นายพงศกร อรรณนพพร นายอดิศร เพียงเกษ นายธนิก มาสีพิทักษ์ นายสุรชัย เบ้าจรรยา ร่วมลงพื้นที่

คุณหญิงสุดารัตน์ ได้พบปะกลุ่มเกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรอินทรีย์ ให้กำลังใจในการประกอบอาชีพ เยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ข้าวปลอดสารพิษ รวมถึงแนะนำวิธีการปลูกและขายข้าวอย่างไรให้มีประสิทธิภาพและได้ราคาอย่างเหมาะสม จากนั้นได้ร่วมกิจกรรมลงแขกเกี่ยวข้าวกับเกษตรกร ด้วยรอยยิ้ม สร้างความอบอุ่นให้กับพี่น้องเกษตรกร ถือเป็นการรักษาวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามของไทย โดยเฉพาะเป็นการสืบสาน สิ่งที่พี่น้องชาวนาได้ถือปฏิบัติมาช้านาน กิจกรรมดังกล่าว ถือเป็นการเปิดศักราช ฤดูกาลเก็บเกี่ยว และเป็นหนึ่งใน ความต่อเนื่อง จากโครงการ”ข้าวสานธรรม” ที่ดำเนินการมาทุกปีด้วย

“ทรงศักดิ์”ตรวจเยี่ยมภารกิจกรมโยธาธิการและผังเมืองกาญจนบุรี

People Unity News : “ทรงศักดิ์”รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ตรวจเยี่ยมภารกิจกรมโยธาธิการและผังเมือง ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี

วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.3) พร้อมคณะทำงาน ลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อตรวจเยี่ยม “โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำแม่กลอง (ช่วงที่ 2) บริเวณหลังโรงพยาบาลมะการักษ์ถึงวัดดงสัก หมู่ที่ 3 – หมู่ที่ 4 ตำบลท่ามะกา อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี”ดำเนินงานโดยกรมโยธาธิการและผังเมือง พร้อมทั้งได้พบปะประชาชน “ชุมชนริมน้ำ” บริเวณหลังวัดท่าเรือ อำเภอท่ามะกา เพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะ โดยมี นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง พร้อมด้วยนายประหยัด ตะคอนรัมย์ โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดกาญจนบุรี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ ร่วมต้อนรับและบรรยายสรุปโครงการ

นายทรงศักดิ์ กล่าวว่า กรมโยธาธิการและผังเมือง (ยผ.) มีภารกิจเกี่ยวกับการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำภายในประเทศ ซึ่งจังหวัดกาญจนบุรีเป็นพื้นที่ประสบปัญหาการกัดเซาะและพังทลายของตลิ่งริมแม่น้ำแม่กลองอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหาและความเสียหายที่เกิดขึ้น จึงมอบหมายให้กรมโยธาธิการและผังเมือง เข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าวในพื้นที่ริมแม่น้ำแม่กลอง (ช่วงที่ 2) บริเวณด้านหลังโรงพยาบาลมะการักษ์ถึงวัดดงสัก หมู่ที่ 3 – หมู่ที่ 4 ตำบลท่ามะกา อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี

ด้วยพื้นที่ตำบลท่ามะกา ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำแม่กลอง จากการสำรวจแนวริมตลิ่ง พบว่าบริเวณโค้งน้ำเกิดปัญหาน้ำเซาะจนตลิ่งทรุดตัว และการพังทลายของชั้นดิน อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนและที่พักอาศัย รวมไปถึงถนนเลียบริมแม่น้ำ ซึ่งเป็นเส้นทางหลักในการสัญจร ถนนบางจุดมีการทรุดตัว ดังนั้นเพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว กรมโยธาธิการและผังเมือง ได้รับจัดสรรงบประมาณ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 – 2561 ให้ดำเนินการ “ โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำแม่กลอง บริเวณด้านหลังโรงพยาบาลมะการักษ์ ถึงวัดดงสัก หมู่ที่ 3 – หมู่ที่ 4 ตำบลท่ามะกา อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ความยาว 784 เมตร” และ “โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำแม่กลอง (ช่วงที่ 2) บริเวณด้านหลังโรงพยาบาลมะการักษ์ ถึงวัดดงสัก หมู่ที่ 3 – หมู่ที่ 4 ตำบลท่ามะกา อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ความยาว 743 เมตร” ประกอบด้วยงานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งชนิดเขื่อนเรียงหินใหญ่ พื้นทางเท้าและทางจักรยาน ราวกันตก
บ่อพัก ท่อระบายน้ำ พร้อมคันหิน คสล. และคันดินถม ตลอดด้านหลังแนวสันเขื่อน และงานก่อสร้างบันได คสล. จำนวน 2 แห่ง ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จทั้ง 2 โครงการ สามารถช่วยลดความเสียหายและป้องกันการพังทลายของพื้นที่ชุมชนริมแม่น้ำแม่กลองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

และในปีงบประมาณ 2563 กรมฯ ได้ดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำแม่กลอง (ช่วงที่ 3) หมู่ที่ 3 – หมู่ที่ 4 ตำบลท่ามะกา อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ความยาว 550 เมตร เพื่อกันการกัดเซาะริมตลิ่งอย่างถาวร ซึ่งจะสามารถป้องกันอันตรายที่เกิดจากการพังทลายของตลิ่ง รักษาสภาพแวดล้อมระบบนิเวศของตลิ่งให้คงสภาพเดิม อีกทั้งยังสามารถเสริมสร้างภูมิทัศน์ที่ดีให้กับพื้นที่บริเวณโดยรอบ

“สมศักดิ์”ยันสำนวนคดี “บิลลี่” เสร็จก่อนกำหนด 20 วันแน่

People Unity News : รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่ราชบุรีมอบเงินเยียวยาเหยื่อคดีอาญา พร้อมเปิดคลินิกให้ความรู้ปชช. เผยสำนวนคดี “บิลลี่” เสร็จก่อนกำหนด 20 วัน ส่งศาลแล้วขอรอฟังอย่างเป็นทางการ พร้อมให้”รองกรวัชร์”คุมคดีต่อหาก กม. ให้ทำได้

วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 ที่วิทยาลัยเทคนิคราชบุรี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยนายวิวัฒน์ นิติกาญจนา ที่ปรึกษารมว.ยุตธรรม และคณะได้ลงพื้นที่จ.ราชบุรี เปิดโครงการยุติธรรมสร้างสุข ครั้งที่ 2 ประจำปีงบประมาณ 2563 โดยนายสมศักดิ์ ได้ปฐากถาพิเศษหัวข้อ “ยุติธรรมเชิงรุก สร้างสุขให้ประชาชน” และมอบเงินเยียวยาผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา จากนั้นได้ไปตรวจเยี่ยม เรือนจำกลางเขาบิน และศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน เขต 2 อ.เมือง จ.ราชบุรี

นายสมศักดิ์ กล่าวถึงการลงพื้นที่จ.ราชบุรี ว่า กระทรวงยุติธรรมได้มาพบปะและเยียวยาผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา มอบเงินช่วยเหลือเป็นค่าทดแทนและค่าเสียหายกับจำเลยในคดีอาญาและผู้ด้อยโอกาสหรือคนจนที่อยากให้ช่วยในเรื่องของคดีความ เช่น การหาทนาย เงินค่าประกันตัว ตลอดจนคนที่ต้องการได้ความรู้ในเรื่องของกฎหมายต่างๆ เราได้เปิดคลีนิกและบูธ ในชื่อ ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข รวมทั้งเรื่องไกล่เกลี่ยข้อพิพาทหลังศาลมีคำสั่งแล้ว มีหลายคดีที่มาไกล่เกลี่ย นอกจากนี้ยังมีการมอบประกาศนียบัตร หลักสูตร อบรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามพ.ร.บ.การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ.2562 จำนวน 100 ราย ซึ่งเราได้รับฟังข้อร้องเรียนและปัญหาต่างๆจากประชาชน และจำนำไปประมวลผลเพื่อช่วยเหลือและแก้ไขต่อไป

เมื่อถามถึงคดีของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำกระเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย นายสมศักดิ์ กล่าวว่า นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้พาภรรยานายบิลลี่มาร้องเรียน พบปะและพูดคุยและขอร้องให้ช่วยดำเนินการ โดยเฉพาะประเด็นนที่ อยากให้ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดูแลคดีนี้ต่อไป ตนได้บอกว่า คดีนี้พ.ต.ท.กรวัชร์ ขอเวลา 3 เดือน กำหนดวันสุดท้ายคือ 2 ธ.ค. 2562 และวันนี้ได้ยินว่า สำนวนได้ส่งไปที่ศาลแล้วเมื่อเช้า จึงถือว่า พ.ต.ท.กรวัชร์ ได้ทำงภารกิจจบแล้วตามที่ได้รับปากไว้กับประชาชน ส่วนรายละเอียดของสำนวนตนยังไม่ทราบ ว่าจะมีหมายจับ หมายค้นอย่างไร ขอให้รอฟังคำสังศาลอย่างเป็นทางการ คดีนี้เป็นคดีใหญ่ที่ทุกคนสนใจและรอฟัง ศาลคงใช้เวลาพิจารณาเราไม่ทราบว่าจะเวลาขนาดไหน นอกจากนี้นี้ พ.ต.ท.กรวัชร์ ยังดูแลคดีนี้อยู่ เพราะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาในคดีมาตั้งแต่แรก และขณะนี้พ.ต.ท.กรวัชร์ยังมีตำแหน่งเป็นรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อได้รับการโปรดเกล้าฯ จึงจะขาดจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในช่วงนี้จึงยังดูแลคดีอยู่ ไม่ต้องเป็นห่วง ขอให้สบายใจได้

“ผมได้บอกกับภรรยานายบิลลี่ไปว่า หากพ.ต.ท.กรวัชร์ ย้ายไปรับตำแหน่งใหม่ ถ้ากฎหมายให้สามารถมาดูแลคดีนี้ต่อไปได้ จะดำเนินการให้ แต่ตนไม่แน่ใจว่าตามกฎหมายทำได้หรือไม่ เพราะไปเป็นผู้ตรวจ ต้องพ้นจากกรมไปแล้ว”

เมื่อถามว่า คดีนี้ถือว่าจบก่อนกำหนด นายสมศักดิ์ กล่าว่า ถือว่าเร็วกว่ากำหนดถึง 20 วัน ทำให้เราสามารถตอบคำถามของครอบครัวนายบิลลี่และความห่วงกังวลของผู้คนได้ทั้งหมด ตนต้องขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมมือกันทำงานจนประสบผลสำเร็จ ส่วนศาลจะดำเนินการอย่างไรต่อไปคงต้องรอติดตามกัน เชื่อว่าอีกไม่นานคดีนี้จะได้ข้อยุติ

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ทางคณะผู้เข้าพบ ยังขอให้เร่งรัดกฎหมายอุ้มฆ่า ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของสภาแล้ว แต่เขากังวลเพราะได้ยินว่ามีเงื่อนไขของข้อเท็จจริงบางประการที่ต้องปรับปรุงและศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ทำให้กลัวว่ากฎหมายจะออกมาล้าช้าเกินไป ตนได้รับปากว่าจะทำให้ประหยัดเวลามากที่สุด ไม่ต้องห่วงว่าจะช้า จะทำให้เร็วที่สุดตามที่กฎหมายจะเอื้ออำนวย ขอให้ไม่ต้องกังวล

ทั้งนี้นายสุรพงษ์ กองจันทึก ทนายความ ในฐานะประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม นำน.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ หรือ มึนอ ภรรยานายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ แกนนำกระเหรี่ยงบ้านโป่ง-บางกลอย เข้าพบยื่นหนังสือต่อนายสมศักดิ์หลังดีเอสไอขอศาลออกหมายจับนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กับพวกรวม 4 ราย เพื่อขอให้ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รับผิดชอบสอบสวนคดีฆาตกรรมนายบิลลี่ต่อ พร้อมเร่งรัดให้ออกพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปราบการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย และออกมาตรการในการคุ้มครองปกป้องนักสิทธิมนุษยชน

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ตนขอให้รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมเร่งดำเนินการใน 3 ประเด็น คือ ขอให้แต่งตั้งหรือมอบหมายให้พ.ต.ท.กรวัชร์ เป็นหัวหน้าชุดสอบสวนหรือเป็นผู้รับผิดชอบทำคดีฆาตกรรมนายบิลลี่ต่อไป แม้ผู้ที่รับช่วงต่อจะมีความสามารถแต่ไม่เคยทำคดีนี้มาก่อนต้องใช้เวลาศึกษา อาจทำให้คดีเกิดความล่าช้าไม่ต่อเนื่อง, ขอให้นำร่างพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการทำให้บุคคลสูญหาย เข้าสู่การประชุมของสภาผู้แทนราษฎร พร้อมให้เร่งตราเป็นกฎหมายโดยเร็ว และขอให้มีมาตรการป้องกันและคุ้มครองนักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชน โดยจัดทำข้อมูล white list เพื่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยดูแล เนื่องจากก่อนหน้านี้กรมคุ้มครองสิทธิ์และเสรีภาพเคยยกร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว แต่หลังจากมีการเปลี่ยนอธิบดีคนใหม่เรื่องก็เงียบหายไปจึงอยากให้เร่งดำเนินการ

นายสุรพงษ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ดีเอสไอขอศาลอนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมนายบิลลี่ว่า ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับยังไม่ใช่ผู้ที่กระทำความผิด เพียงแต่เป็นผู้ที่เจ้าหน้าที่มีข้อมูลที่สงสัยก็ต้องเปิดโอกาสให้เข้าชี้แจงข้อเท็จจริง ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย

ด้านน.ส.พิณนภา กล่าวว่า ดีใจที่พ.ต.ท.กรวัชร์ได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น แต่ชาวบ้านบางกลอยต้องการให้พ.ต.ท.กรวัชร์ทำคดีฆาตกรรมนายบิลลี่ต่อจนจบ จึงต้องการให้รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมมีคำสั่งให้พ.ต.ท.กรวัชร์ รับผิดชอบคดีดังกล่าวจนกว่าคดีความจะถึงที่สุด สำหรับตนหลังจากทราบว่าผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมนายบิลลี่ ดีเอสไอร้องขอให้ศาลอนุมัติหมายจับก็ไม่ได้ติดใจอะไร อยากให้เขารับสารภาพและออกมาขอโทษสังคม กล้ารับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป เพราะเรื่องนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับใคร หากเกิดกับครอบครัวของผู้ต้องหาเองจะรู้สึกอย่างไร คนที่กล้าทำความผิดก็ควรกล้าออกมายอมรับความผิดที่ตนเองทำ

“อยู่ในหมู่บ้านบางครั้งก็กลัว บางครั้งก็ไม่กลัว เมื่อชาวบ้านถามว่าออกมาเรียกร้องสิทธิให้บิลลี่ไม่กลัวถูกอุ้มหายหรือ ถูกถามแบบนี้ก็รู้สึกกลัว แต่ตอนนี้คดีมีความคืบหน้าก็ไม่กลัวแล้ว และดีใจที่ดีเอสไอทำให้คดีมีความคืบหน้า แตกต่างจากความรู้เมื่อก่อนที่ไม่มีความหมายอะไรเลย ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับศาลว่าจะอนุมัติหมายจับหรือไม่ และไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็เชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรม” น.ส.พิณนภา กล่าว

“บิ๊กตู่”เผยได้รับรายงานออกหมายจับ”ชัยวัฒน์”แล้ว

ที่ตลาดน้ำเหล่าตั๊กลั๊ก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ขออนุมัติหมายจับกุม นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และพวก รวม 4 ราย คดีฆาตกรรม นายพอละจี เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “ได้รับรายงานแล้ว เรื่องคดีก็ว่ากันไป”

“ถาวร”หนุนพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP ขายบนเครื่องบินไทย

People Unity News : “ถาวร”ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานและรับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP จำหน่ายบนเครื่องการบินไทย

วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานและรับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงาน โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP เพื่อจำหน่ายบนเครื่องบินของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (บกท.) ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 ณ กลุ่มหัตถกรรมสแตนเลสบ้านห้วยหวาย จังหวัดกาญจนบุรี พร้อมด้วย นายเจือ ราชสีห์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายกมล หมั่นทำ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม นายวิทวัส ภักดีสันติสกุล รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน โดยมี นายวิบูรณ์ ชัยประเสริฐ นายอำเภอหนองปรือ กล่าวต้อนรับ นายสุธีรัชต์ ศิริพลานนท์ ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายบริการบนเครื่องบิน บกท. และนายอดิวิชญ์ สงศิริ อาจารย์ที่ปรึกษาการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้า OTOP กรมพัฒนาชุมชน เป็นผู้บรรยายสรุปผลการดำเนินงาน

นายถาวร กล่าวว่า การดำเนินงานโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก เพื่อเพิ่มรายได้ และลดความเหลื่อมล้ำของประชาชน รัฐบาลจึงมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชน เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน เพื่อช่วยเหลือประชาชนในชุมชนให้มีอาชีพเสริม เพิ่มรายได้อย่างกว้างขวาง ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เล็งเห็นว่า บกท. กระทรวงคมนาคมในฐานะสายการบินแห่งชาติ มีศักยภาพที่จะเป็นช่องทางหนึ่งในการประชาสัมพันธ์ การจัดจำหน่าย รวมทั้งเป็นช่องทางให้ชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมาย ได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ OTOP ของไทยได้สะดวกมากยิ่งขึ้น เนื่องจาก บกท. ทำการบินปีละประมาณ 70,000 เที่ยวบิน รองรับผู้โดยสารทั่วโลกปีละกว่า 18 ล้านคน มีการจัดทำแคตตาล็อกเพื่อจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP วางไว้ในทุกเที่ยวบินของ บกท. รวมทั้งสำนักงาน บกท. ทั่วโลก เป็นราย 4 เดือน คาดว่าจะช่วยขยายตลาดให้ผลิตภัณฑ์ OTOP ของไทยได้เป็นอย่างดี จากผลการดำเนินงานตั้งแต่ปี พ.ศ 2559 จนถึงปัจจุบัน สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่ายบนเครื่องบินได้จำนวน 1,107 ผลิตภัณฑ์ สร้างรายได้ให้ชุมชนกว่า 273 ล้านบาท ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กรมการพัฒนาชุมชนดำเนินการเร่งรัดการพัฒนาเพิ่มศักยภาพ ภายใต้แนวคิด “เล็ก ดี มีคุณภาพ” เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP ให้จำหน่ายบนเครื่องบินได้อย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ กรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม ซึ่งมีท่าอากาศยานในกำกับ 28 แห่ง ผู้โดยสารประมาณ 30 ล้านคนต่อปี ถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเพิ่มช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP ได้ในอนาคต ทั้งนี้ นอกจากช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์แล้ว ทางชุมชนยังต้องการการสนับสนุนด้านการเพิ่มพื้นที่ในการผลิต ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวก และอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้เทศบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดสรรงบประมาณ เพื่อนำมาส่งเสริมการผลิตให้มีศักยภาพมากขึ้นต่อไป

การสนับสนุนผลิตภัณฑ์ OTOP เพื่อจำหน่ายบนเครื่องบิน ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ จำนวน 2 ครั้ง มีหน่วยงานภาคีร่วมดำเนินงาน จำนวน 8 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการพัฒนาชุมชน บกท. กระทรวงคมนาคม กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด บริษัท คิงเพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และบริษัท มอลล์ (ไทยแลนด์) จำกัด โดย บกท. ได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อร่วมพิจารณาผลิตภัณฑ์ OTOP โดยมีกรมการพัฒนาชุมชนเป็นผู้คัดเลือกผู้ผลิตระดับ 5 ดาว ที่มีคุณภาพ สวยงาม แสดงออกถึงเอกลักษณ์ไทย ทั้งนี้ บกท. ได้ส่งผู้แทนที่เชี่ยวชาญร่วมเป็นผู้คัดสรรผลิตภัณฑ์ OTOP ที่มีความหลากหลายจากทุกภาคของประเทศไทย และคาดว่าจะเป็นที่สนใจผู้โดยสารที่เดินทางกับ บกท. ให้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ OTOP นอกจากนี้ บกท. ยังให้การสนับสนุนพื้นที่เพื่อวางผลิตภัณฑ์ OTOP เพื่อจำหน่ายบนเครื่องบิน สั่งซื้อผลิตภัณฑ์ OTOP ประเภทอาหาร และของใช้ เพื่อให้บริการผู้โดยสารบนเครื่องบินและลูกค้าภาคพื้น สนับสนุนการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ OTOP ในรูปแบบต่าง ๆ สนับสนุนบุคลากรของ บกท. เข้าร่วมกิจกรรมการแสดงนิทรรศการผลิตภัณฑ์ OTOP ที่ได้รับการคัดเลือกให้จำหน่ายบนเครื่องบิน เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้น บกท. ได้สนับสนุนโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใด ๆ เพื่อเป็นการสนับสนุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP ให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน เพิ่มรายได้ให้ชุมชน ผู้ประกอบการ OTOP ยกระดับสู่สาก

สื่อจีนปลื้ม 2 ผู้นำ “มาครง-จุรินทร์” ซีนฮอต กอดเด็กกับป้อนปู

People Unity News : สื่อจีนปลื้ม 2 ผู้นำ “มาครง-จุรินทร์” ได้ใจคนจีนสุดๆ ซีนฮอต กอดเด็กกับป้อนปู หลังร่วมงาน China Expo

วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 รายงานข่าวกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า หลังการเข้าร่วมงานที่นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ในระหว่างวันที่ 5-6 พฤศจิกายน 2562 ในพิธีเปิดงาน CIIE 2019 หรือ China International Import Expo 2019 ตามคำเชิญของรัฐบาลจีน โดยมีประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง เป็นประธานในพิธี และมีตัวแทนทั้งจากภาครัฐและเอกชนจาก 64 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วม ทำให้จีนประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีวีไอพีระดับประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี จาก 23 ประเทศเข้าร่วมในพิธี ไม่นับระดับรัฐมนตรี โดยในจำนวนนั้นมีนายแอมมานูแอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสและ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จากประเทศไทย ร่วมด้วย

ก่อนพิธีเปิดงาน CIIE 2019 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เดินทางไปถ่ายภาพร่วมกับผู้นำวีไอพีกลุ่มดังกล่าวและหลังพิธีเปิดก็มีรายงานข่าวเผยแพร่เรื่องผู้นำจากบางประเทศได้มีกิจกรรมทั้งในงานและในเมืองเซียงไฮ้ โดยสื่อจีนหลายสำนัก เช่น CCTVช่อง4 CCTVช่อง13 และโชเชียลมีเดียของจีนอย่างเว็บ เว่ยป๋อ ได้รายงานกิจกรรมและการสัมภาษณ์ของรองนายกจุรินทร์ ต่อผู้สื่อข่าวของจีน

โดยล่าสุดมีรายงานว่า Shanghai Daily ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาคภาษาอังกฤษชื่อดังของจีน ได้ลงข่าวเกี่ยวกับงาน CIIE 2019 โดยไฮไลท์ของข่าวระบุว่า มีเพียงผู้นำจาก 2 ประเทศที่เข้าร่วมงานและได้ฝากความประทับใจไว้กับคนจีน ได้แก่ ประธานาธิบดีฝรั่งเศสซึ่งได้กอดและหอมแก้มเด็กจีนที่เดอะบันด์ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวริมแม่น้ำหวงผู่ กับอีกคนคือรองนายกรัฐมนตรี”จุรินทร์” จากประเทศไทย ซึ่งได้สร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภคจีน ขณะเยี่ยมชมซุปเปอร์มาร์เก็ต”เฟรซ ฮิปโป”(เหอหม่า) พร้อมกับได้ live สดให้แฟนเพจผู้ติดตามในประเทศไทยรับทราบ โดยขณะเยี่ยมชมโซนอาหาร นายจุรินทร์ได้ใช้ตะเกียบคีบปู ป้อนให้กับสาวจีนคนหนึ่งที่กำลังทานอาหารอยู่ในซุปเปอร์มาเก็ตดังกล่าวซึ่งได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ติดตามข่าวชาวจีนอย่างมาก จน หนังสือพิมพ์ Shanghai Daily ได้รายงานประเด็นยอดฮิตดังกล่าวและพาดหัวข่าว คนจีนปลื้มผู้นำต่างประเทศที่มาเยือนโดดเด่น 2 คน คือ นายมาครง กับ นายจุรินทร์

“การุณ”อัดคนออกแบบรัฐธรรมนูญหวังแช่แข็งประเทศไทย

People Unity News : “การุณ”ชี้ผู้มีอำนาจหลงอำนาจไม่อยากแก้รธน. อัดคนออกแบบรัฐธรรมนูญหวังแช่แข็งประเทศไทย

วันที่ 11 พฤศจิกายน 2563 นายการุณ โหสกุล ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์ของพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือต้องการแก้ไขเพื่อประชาชน โดยเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นศูนย์กลาง รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีปัญหาเนื่องมาจากผู้บังคับใช้ก็ไม่สามารถปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญได้ นอกจากนี้บรรดาผู้ที่ต้องทำตามรัฐธรรมนูญก็ไม่สามารถตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ได้ หรือ ทำได้ไม่หมด

ทั้งนี้เพราะรัฐธรรมนูญมีข้อห้ามข้าราชการในหลายมาตราและมีการกำหนดบทลงโทษหลายมาตราส่งผลให้ผู้ปฏิบัติงานไม่สามารถดำเนินการได้ และกังวลว่าจะตกเป็นผู้กระทำผิดกฎหมาย ประหนึ่งคนร่างรัฐธรรมนูญหวังแช่แข็งประเทศไทยไม่ให้เดินไปข้างหน้า อาทิ ในการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ตามหลักผู้อำนวยการสำนักงบประมาณต้องเป็นเลขาธิการคณะกรรมาธิการ แต่ในการพิจารณางบประมาณในครั้งนี้ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณไม่ยอมรับตำแหน่งเลขาธิการ อ้างว่ามีส่วนได้ส่วนเสียและหวาดกลัวเป็นผู้กระทำผิดกฎหมาย ในขณะที่ข้าราชการก็ไม่กล้าให้ข้อมูลมากนักเพราะหวั่นผิดรัฐธรรมนูญทำให้การพิจารณางบประมาณมีปัญหามาก

นายการุณ กล่าวด้วยว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ออกแบบให้ผู้มีอำนาจที่ได้ประโยชน์และหลงในอำนาจ การกระทำการต่างๆไม่สนใจว่าจะผิดกฎหมายหรือไม่เพราะรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้มีการนิริโทษกรรมให้กับผู้มีอำนาจไว้แล้ว ดังนั้นผู้มีอำนาจจึงไม่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพื่อประโยชน์ต่อตัวเองและพวกพ้องตัวเองเท่านั้น

“รัฐธรรมนูญฉบับนี้สมควรแก้ไขอย่างเร่งด่วน ขอฝากไปถึงผู้มีอำนาจว่าจะใหญ่ก็ใหญ่ได้ไม่นานเพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะพันขาคุณเอง ความต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปได้ ส่วนที่มีข่าวว่าผู้มีอำนาจมีการเตรียมส่งผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในการร่างรัฐธรรมนูญเข้ามานั่งในคณะกรรมาธิการนั้นก็เป็นเพียงการเข้ามารักษาผลประโยชน์ให้กับพวกพ้องตัวเองเท่านั้น ผู้มีอำนาจไม่ควรเอาเชื้อร้ายในอดีตเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้” นายการุณกล่าว

ร.ท.หญิงสุณิสาระบุโครงการ 100 เดียวเที่ยวทั่วไทย และเที่ยววันธรรมดาราคาช็อคโลก

People Unity News : ร.ท.หญิงสุณิสาระบุโครงการ 100 เดียวเที่ยวทั่วไทย และเที่ยววันธรรมดาราคาช็อคโลก ของรัฐบาลประยุทธ์ จะล้มเหลวในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับ โครงการ ชิม ช็อป ใช้ และ ถือเป็นการใช้เงินงบประมาณอย่างไม่คุ้มค่า

วันที่ 11 พ.ย.2562 ร.ท.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า โครงการ 100 เดียวเที่ยวทั่วไทย และเที่ยววันธรรมดาราคาช็อคโลกของรัฐบาลประยุทธ์ ซึ่งใช้งบประมาณจาก งบกลาง จำนวน 116 ล้าน บาท รวม 2 โครงการ จะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ อย่างเป็นรูปธรรมและถือเป็นการใช้เงินงบประมาณอย่างไม่คุ้มค่า โดยเฉพาะ มาตรการ 100 เดียวเที่ยวทั่วไทยที่เริ่มโครงการในวันนี้ เป็นเพียงโครงการประชานิยมที่ไม่ได้สร้างกำลังซื้อให้ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งยังไม่มีผลต่อการกระตุ้น GDP เพราะการเพิ่ม GPD จากรายได้จากการท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ต้องทำโดยการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศ ไม่ใช่ด้วยการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ

ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีนักเศรษฐศาสตร์ทักท้วงเรื่องนี้ แล้ว โดยชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของโครงการชิมช็อปใช้ทั้ง 2 เฟส ที่ไม่สามารถสร้างรายได้ให้ภาคการท่องเที่ยวได้ตามเป้า เพราะคนส่วนใหญ่เลือกใช้สิทธิ์ซื้อของกินของใช้มากกว่าไปเที่ยว เม็ดเงิน 10,667ล้านบาท ที่รัฐบาลเทลงไปจึงไหลไปสู่ภาคการท่องเที่ยวเพียง 0.01 เปอร์เซ็นต์หรือ ราว 141 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งรัฐบาลเองก็ยอมรับว่ารายได้ในส่วนของการท่องเที่ยวนั่นต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ แต่รัฐบาลประยุทธ์ก็ไม่เข็ดและยังจะทำผิดซ้ำซากอีก ซึ่งสะท้อนว่ารัฐบาลประยุทธ์ขาดความระมัดระวังในการใช้เงินงบประมาณของประเทศ และลงทุนด้วยความเสี่ยง โดยไม่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจนเลยว่าผลตอบแทนจะคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ใช้ไปหรือไม่ เพราะรัฐบาลย่อมไม่รู้ล่วงหน้าว่าประชาชน 40,000 ราย ที่จะใช้สิทธิ์ในโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวดังกล่าว จะมีพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินอย่างไร แล้วรัฐบาลจะคำนวณผลตอบแทนที่จะกลับเข้ามาในระบบเศรษกิจได้อย่างแม่นยำได้อย่างไร

นอกจากนี้ ตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวก็มีสัญญาณไม่ดีเลยโดยเฉพาะดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในภาพรวม ก็ตกต่ำอย่างต่อเนื่องมาตลอด ภายหลังการรัฐประหาร โดยข้อมูลของกองดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในภาพรวม ประจำเดือน ต.ค 62 อยู่ที่ระดับ 46.3 ซึ่งต่ำกว่าระดับ 50 แปลว่าคนไทย ไม่กล้าใช้จ่าย เพราะมีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจไม่ดี แล้ว พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจไปพกเอาความมั่นใจจากไหนมา ทำไมถึงคิดจะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยวทั้ง ๆ ที่ คนไทยกำลังท้อแท้สิ้นหวัง มีคนตกงานเป็นแสน ๆ คน และเป้าหมายการส่งออกก็หดตัว ทั้งยัง มีข่าวคนฆ่าตัวตายหนีหนี้รายวัน นอกจากนี้ เพื่อความโปร่งใสของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว รัฐบาลต้องแจกแจงรายชื่อผู้ประกอบการที่ได้ส่วนแบ่งจากเงินอุดหนุน 116 ล้านบาทของรัฐบาล เพื่อให้สังคมเห็นว่าเม็ดเงินดังกล่าวกระจายไปอย่างทั่วถึง หรือกระจุกตัวอยู่ที่ผู้ประกอบการแค่บางกลุ่มกันแน่ รวมทั้ง ต้องเปิดเผยรายชื่อประชาชน 40,000 รายที่ได้สิทธิ์ในโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาลว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ หรือเป็นแค่นายหน้าที่เข้ามาจองสิทธิ์แทนผู้ประกอบการบางรายเพื่อหวังเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ในวงเงิน 116 ล้านบาทกันแน่ ทั้งนี้ แม้มูลค่าโครงการจะไม่สูง มีมูลค่าเพียงหลักร้อยล้านต้น ๆ แต่ก็เป็นเงินของแผ่นดิน ต่อให้เป็นการใช้งบประมาณเพียงบาทเดียว รัฐบาลก็ต้องใช้อย่างรอบคอบระมัดระวังและต้องใช้เงินด้วยความรับผิดชอบเพราะเป็นเงินของส่วนรวม นอกจากนี้ รัฐบาลประยุทธ์ควรหยุดทำให้ประชาชนเสพติดการแจกเงิน และควรฟังคำทักท้วงของทุกฝ่าย โดยเฉพาะ IMF ที่เตือนให้รัฐบาลระวังการใช้นโยบายประชานิยม แต่รัฐบาลควรกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการสร้างงาน สร้างอาชีพ และกระตุ้นการผลิต ซึ่งจะเป็นการสร้างกำลังซื้อที่ยั่งยืน ทั้งนี้ รัฐบาลประยุทธ์ควรดูตัวอย่างประเทศซึ่งมีรากฐานเศรษฐกิจที่แข่งแกร่ง เช่น ญี่ปุ่น ซึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการลดค่าครองชีพประชาชน เช่น ลดภาษีการบริโภคอาหารบางประเภท เพื่อให้คนญี่ปุ่นมีเงินเหลือในการบริโภค ในขณะที่ อินโดนีเซีย ซึ่งโดนสหรัฐตัด GSP เหมือนไทย เขาใช้วิธีกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมการส่งออกในอุตสาหกรรมที่ไม่ใช้น้ำมันและก๊าซ เพื่อเพิ่ม GDP ไม่มีชาติไหนเน้นการแจกเงิน ดังนั้น พล.อ. ประยุทธ์ควรเปลี่ยนแนวคิดในการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดิน และควรยึดถือคำสอนของพระราชาในอดีตที่สอนให้ประชาชนจับปลา ไม่ใช่เอาปลาไปแจกประชาชน.

เพื่อไทยไม่มีปัญหา! ใครเป็นปธ.กมธ.แก้รัฐธรรมนูญก็ได้

People Unity News : เพื่อไทยไม่มีปัญหา! ใครเป็นปธ.กมธ.แก้รัฐธรรมนูญก็ได้ ขอแค่มีความจริงใจและตั้งใจมาแก้รัฐธรรมนูญร่วมกัน

วันที่ 11 พ.ย.2562 ที่พรรคเพื่อไทย นายโภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคด้านนโยบายและแผนงาน พรรคเพื่อไทยและนายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ร่วมกันแถลงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกรณีตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาแนวทาง หลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 โดยนายโภคิน กล่าวว่าเรื่องหลักการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือความตั้งใจที่มีความสำคัญมากกว่าการตั้งใครมาเป็นประธาน หรือคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยเคยชี้ให้เห็นถึงปัญหาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะหากกติกาไม่ดี ไม่ว่าจะเดินประเทศไปในมิติใดก็ไม่มีทางสำเร็จ เพราะรัฐธรรมนูญคือกติกา คือสิ่งที่ต้องเดินหน้าแก้ไขร่วมกัน ยิ่งในรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดไว้ให้แก้ไขได้ยาก ที่ไม่ว่าใครก็แก้รัฐธรรมนูญนี้ไม่ได้ แต่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมกันแก้โดยให้ความเห็นชอบ

“รัฐธรรมนูญฉบับนี้แตกต่างจากรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่เป็นฉบับของประชาชนอย่างแท้จริง จึงเห็นควรให้ตั้งกรรมาธิการศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนนี้ขึ้นมา ซึ่งเน้นต้องศึกษารายละเอียดรายมาตราที่เป็นปัญหา ส่วนจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นใดบ้าง หลักการคือจะต้องแก้ให้การดำเนินการต่าง ๆ เป็นไปได้โดยไม่มีข้อจำกัด และฝ่ายค้านเสนอให้ตั้งกรรมาธิการเพื่อให้รีบเดินหน้าแก้ไข และอยากให้กรรมาธิการศึกษาปัญหาต่าง ๆแต่ละมาตราที่เป็นประเด็นและสร้างปัญหาในขณะนี้ รวมทั้งเห็นว่าประเทศไทยควรมีโรดแมปที่เป็นกติการ่วมกันที่ทุกคนเคารพกติกานี้ร่วมกัน” นายโภคิน กล่าว

เมื่อถามว่า หากมีคนเสนอชื่อนายโภคินจะรับตำแหน่งประธานกรรมาธิการฯหรือไม่ นายโภคิน กล่าวว่า ตำแหน่งประธานเป็นเพียงเรื่องรอง แต่แนวคิดของทุกคนที่จะร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเดินหน้าประเทศ ไม่ได้มีความต้องการแก่งแย่งกับใคร เพียงแค่อยากทำงานให้ประชาชน เพื่อหากติกาใหม่ที่มาจากประชาชนและเห็นชอบจากประชาชน ซึ่งต้องแล้วแต่มติส่วนรวม สิ่งสำคัญทุกคนต้องสร้างกติกาใหม่เป็นกติการ่วมกัน ประเทศจะสามารถก้าวออกจากกับดักได้

ส่วนกระแสรายชื่อคนนอก อาทิ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ซึ่งเคยร่างรัฐธรรมนูญมาก่อนจะเหมาะสมหรือไม่ นายโภคิน กล่าวว่า เป็นใครก็ได้ ขอแค่มีความจริงใจและตั้งใจมาแก้รัฐธรรมนูญร่วมกัน ซึ่งหากเป็นคนที่เคยร่างรัฐธรรมนูญมาก่อนถือว่าเป็นเรื่องดี เพื่อจะได้มาหาแนวทางร่วมกันจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และอยากขอความจริงใจกรรมาธิการฯ ศึกษาเพื่อแก้ปัญหาและกำหนดกติกาใหม่ร่วมกันที่มาจากความต้องการของประชาชน ไม่ใช่การตั้งกรรมาธิการเพื่อซื้อเวลาให้หมดวาระแล้วยังไม่แก้ไขเรื่องใดที่เป็นรูปธรรม

นายวัฒนา กล่าวว่า ในฐานะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยด้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า สัดส่วนของกรรมาธิการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญชุดนี้มีทั้งสิ้น 49 คน แบ่งเป็นคณะรัฐมนตรี 12 พรรคร่วมรัฐบาล18 คน รวมเป็นฝ่ายรัฐบาล 30 ขณะที่ฝ่ายค้าน19 คนเป็นพรรคเพื่อไทย 10 คนโดยมี 3 คนจากส่วนกลางได้แก่ นายโภคิน ประกอบด้วย ส่วนกลาง 3 คน คือนายโภคิณ นายวัฒนา และนายพงศกร อรรณนพพร อดีตส.ส.ขอนแก่น และสัดส่วนตามภาคอีก 7 คน จากส.ส.รายภาคโดยให้ไปคัดเลือกตามความเหมาะสม ด้วยการโชว์วิสัยทัศน์ เพื่อรับฟังเสียงของประชาชน แต่รายชื่อกรรมาธิการในแต่ละภาคของพรรคขณะนี้ยังไม่ได้สรุปชื่อ

“ความสำคัญของกรรมาธิการเป็นกระบวนการรับฟังเสียงประชาชน หากผลการศึกษาพบว่ารัฐธรรมนูญมีปัญหาจะส่งเรื่องต่อไปยังสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ส่วนกรณีที่ส.ว.บางคนแสดงความเห็นไม่สนับสนุนให้แก้ไขมีเพียงบางคนเท่านั้น ที่เหลือยังไม่ได้แสดงความเห็น ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ของสภาผู้แทนราษฎรว่าอย่างไร คือเสียงสะท้อนจากประชาชน ขณะที่การแก้รัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดคือให้อำนาจประชาชน ผ่านกระบวนการตั้ง สมาชิกสภาร่งรัฐธรรมนูญ (สสร.) เพื่อลดความขัดเเย้งลงได้ ซึ่งการแก้ไขต้องใช้เวลาหากไม่เริ่มทำวันนี้ ก็ไม่ทันการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งจะทำให้ได้รัฐบาลที่ไม่มีเสถียรภาพเหมือนเดิม”

“บิ๊กตู่”นำครม.สัญจรราชบุรี-กาญจนบุรี นมัสการเจ้าอาวาสวัดโชติทายการาม

People Unity News : “บิ๊กตู่” ครม.สัญจรราชบุรี-กาญจนบุรีครั้งแรก พร้อมเยี่ยมชมร้านค้าริมคลองดำเนินสะดวก และนมัสการเจ้าอาวาสวัดโชติทายการาม พบปะประชาชน

วันที่ 11 พ.ย.2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยคณะ ออกเดินทางจากสนามบินเฮลิคอปเตอร์ พล.ม 2 รอ. เขตพญาไท กรุงเทพฯ ไปยังค่ายบุรฉัตร ต.เกาะพลับพลา อ.เมือง จ.ราชบุรี โดยนั่งเฮลิคอปเตอร์ตรวจภูมิประเทศ เพื่อพัฒนาระบบโลจิสติกส์โครงการทางหลวงแนวใหม่เชื่อมต่อสามแยกวังมะนาว – บรรจบทางหลวงหมายเลข 3510

หลังจากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ พร้อมคณะรัฐมนตรี ลงพื้นพบประชาชนกว่า 4,000 คน ที่ อาคารโรงยิมเนเซี่ยมองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี เพื่อมอบหนังสืออนุญาตที่ดินทำกินให้ชุมชน โดยนายกรัฐมนตรี ระบุว่า 5 ปีที่ผ่านมารัฐบาลได้ทำงานมาอย่างต่อเนื่อง เช่นเรื่องที่ดินทำกิน เรื่องป่าไม้ และการดูแลรับมือผู้สูงอายุในอนาคต ส่วนการลงทุนในอนาคตต้องดูเรื่องสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย และสิ่งสำคัญที่สุดคือการศึกษา ที่ไม่ใช่แค่ในห้องเรียนเท่านั้นแต่ต้องศึกษาตลอดชีวิต เพราะปัจจุบันโซเชียลมีเดียเข้ามาเป็นจำนวนมาก ที่ทุกคนมีสิทธิ์จะโพสต์หรือด่าใครก็ได้ เพราะนั่นคือประชาธิปไตย แต่อยากให้คิดไต่ตรองประกอบด้วยเพราะอาจผิดกฎหมาย ซึ่งส่วนตัวห้ามใครไม่ได้อยู่แล้ว แต่ก็อยากให้ทุกอย่างเกิดความสงบเรียบร้อย และทุกวันนี้มีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งตนเองก็มาจากการเลือกตั้ง ส่วนที่ผ่านมาก็คนละเรื่องกัน เมื่อมาเป็นหัวหน้ารัฐบาลและหัวหน้า ครม. ต้องทำให้ทุกพรรค และต้องนำทุกเรื่องที่หาเสียงมาพูดคุยก่อนนำมาหารือใน ครม. ไม่ใช่ทำแต่พื้นที่ของรัฐบาล แต่ต้องทำให้พื้นที่อื่นด้วย เพราะเป็นคนไทยและทุกพื้นที่ต้องได้ประโยชน์จากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

พร้อมขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันแก้ไขปัญหาให้ประชาชน อย่าขัดแย้ง แต่นิสัยคนไทยก็ชอบเชียร์มวย ไม่ว่าใครแพ้หรือชนะก็ขอเชียร์ไปก่อน ส่วนชิมช้อปใช้ก็มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่อย่างน้อยก็มีการซื้อขายในพื้นที่ ที่รัฐบาลต้องการเงินกระจายในพื้นที่ไม่ได้อุดหนุนคนรวย หรือทำเพื่อใคร และหลายคนก็มีความสุข และ 5 ปีที่ผ่านมาก็ปฏิรูปหลายเรื่อง หากไม่เกิดความขัดแย้งก็ไม่เรียกว่าเป็นการปฏิรูป แต่ประเทศไทยจะต้องเป็นหนึ่งเสมอ ส่วนการลงพื้นที่ครั้งนี้ก็ต้องใจมาพูดคุยกับประชาชนเพราะนี่คือบ้านของตนเองเช่นกัน

ทั้งนี้ ภายหลังจากพูดคุยกับชาวบ้านแล้วนายกรัฐมนตรียังได้ไปทักทายกับนักเรียนโรงเรียนเบญจมราชูทิศราชบุรี ที่มาเกาะหน้าต่างห้องรอรับและส่งเสียงเชียร์นายกรัฐมนตรี ให้นักเรียนตั้งใจเรียนเพราะเวลาเรียนมีน้อยอยู่แล้ว และขอให้เลือกเรียนในสาขาที่มีงานทำ ขณะที่นักเรียนบอกว่าจะรับปากว่าจะตั้งใจเรียน และขอให้ลุงตู่มินิฮาร์ท เพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

จากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาคูคลอง โครงการพัฒนาการท่องเที่ยวทางน้ำ “วิถีคลอง วิถีไทย” การท่องเที่ยววิถีเกษตร สะท้อนประวัติศาสตร์ และแวะสักการะพระประธาน (หลวงพ่อลพบุรีราเมศร์) และนมัสการเจ้าอาวาส วัดโชติทายการาม ณ พระอุโบสถ

กระทั่งเวลา 11.45 น. กำหนดการนายกรัฐมนตรี เตรียมลงเรือจากท่าเรือวัดโชติทายการามไปยังตลาดน้ำเหล่าตั๊กลัก ตำบลดำเนินสะดวก อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เพื่อเยี่ยมชมร้านค้าเก่าแก่ริมคลองดำเนินสะดวก และพบปะประชาชน จากนั้นเตรียมเดินทางไปสนามกีฬาเทศบาลเมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี

อย่างไรก็ตาม ประชาชนไม่พลาดจับตาดูทะเบียนรถนายกรัฐมนตรี ที่นั่งลงพื้นที่จังหวัดราชบุรี โดยเฉพาะบรรดาคอหวยไม่ลืมใช้มือถือถ่ายภาพทะเบียน คือ กน 1122 ราชบุรี ซึ่งหลายคนตั้งใจมาถ่ายภาพไว้ เพื่อนำไปเสี่ยงโชคประจำงวดวันที่ 16 พ.ย. ที่กำลังจะมาถึงนี้

Verified by ExactMetrics