วันที่ 4 พฤษภาคม 2024

นายกฯกำชับทุกหน่วยบูรณาการแก้ปัญหายาเสพติดทุกมิติ

People Unity News : 23 พฤศจิกายน 2565 นายกฯ ย้ำทุกหน่วยงานบูรณาการป้องกัน ปราบปราม บำบัดรักษายาเสพติด สั่งคุมเข้มสารตั้งต้นส่วนผสมยาเสพติด หวังบ้านเมืองสงบเรียบร้อยสวยงามเหมือนช่วงประชุมเอเปค

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดปฏิบัติการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดตามนโยบายของรัฐบาล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ระยะเร่งด่วน 3 เดือน โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมถึงผู้แทนสำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ที่สโมสรทหารบก

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน ยิ่งปรับวิธีการและปรับการทำงาน แต่อีกฝ่ายก็ปรับเช่นกัน ดังนั้น ต้องทำอย่างไรที่จะแก้ปัญหาที่มีความซับซ้อนให้ได้ เพราะส่งผลกระทบต่อความมั่นคง สังคมและเศรษฐกิจของประเทศ โดยจะต้องแก้ให้ลดลง สิ่งสำคัญคือความเข้าใจ และต้องมีการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานต่างๆ และในหลายระดับ

“สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องดูว่าจะแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างไร เน้นการป้องกันปราบปราม และการบำบัดรักษา รวมถึงดีมานด์และซัพพลาย ลดผู้เสพรายใหม่ แก้ไขผู้เสพรายเก่า ทุกวันนี้สังคมเปลี่ยนแปลงไปมาก จำเป็นต้องบูรณาการกันอย่างใกล้ชิดและร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลกำหนดให้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ และเป็น 1 ใน 12 นโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่ผ่านมาได้ปฏิบัติและพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ทำในวันนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในระดับนโยบาย คือ การปรับปรุงกฎหมายกฎระเบียบต่างๆ ที่อาจจะมีความเกี่ยวข้องในหลายกฎหมายด้วยกัน พร้อมกับต้องเร่งปราบปราม จับกุม และขยายผลไปสู่นายทุนและผู้ที่เกี่ยวข้อง จนสามารถยึดอายัดทรัพย์สินได้ถึง 11,000 ล้านบาท

“ขอเน้นย้ำให้ทุกคน ทุกหน่วยงานปฏิบัติการตามแผนการป้องกันและปรับปรามยาเสพติด ภายในระยะเวลา 3 เดือน ตามที่กำหนดไว้แล้ว ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ขณะที่การป้องกันคือทำอย่างไรให้คนไม่อยากเสพยาเสพติด เพราะจะทำให้การขายลดลงได้ ซึ่งการศึกษาเป็นส่วนสำคัญที่ต้องสร้างความรู้และหลักการที่ถูกต้องให้กับเยาวชน มีกลไกป้องกันยาเสพติด กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ สร้างความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กองทัพต้องเพิ่มความเข้มงวดในการป้องกันสกัดกั้นยาเสพติดทางชายแดน ทั้งทางบกและทางน้ำ และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปราบปรามผู้ค้ายาและจับกุม ยึดทรัพย์ ทำลายเครือข่าย โดยเจ้าหน้าที่ที่ไปเกี่ยวข้องจะต้องถูกลงโทษ ซึ่งถ้าทุกคนทำงานร่วมกันได้ ทุกอย่างจะต้องเบาบางลง เพื่อคืนอนาคตให้กับลูกหลาน ยกตัวอย่างกรณีที่จังหวัดหนองบัวลำภู ถือเป็นบทเรียน แต่ไม่ใช่การทำงานแบบวัวหายล้อมคอก แต่ต้องนำบทเรียนทุกอย่างมาดำเนินการ คิดวิเคราะห์ และหาวิธีการแก้ไขปัญหา ซึ่งพบว่าสถานการณ์ในขณะนี้ไม่ใช่เพียงผู้เสพ ผู้ซื้อและผู้ขาย แต่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป จึงต้องให้ความสำคัญกับการบำบัดรักษาฟื้นฟู

“ขอให้กระทรวงสาธารณสุข เร่งรัดทำกฎหมายมารองรับสำหรับการปฏิบัติ ดูแลรักษาคัดกรองผู้ติดยาเสพติด เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการอย่างเหมาะสม จัดตั้งสถานที่รักษา โดยมีแนวคิดที่จะให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อให้การบำบัดรักษามีมาตรฐาน ให้กระทรวงแรงงานส่งเสริมให้ผู้บำบัดมีทักษะในด้านอาชีพ ขณะเดียวกัน ต้องทำให้ประชาชนมีความมั่นใจและความเชื่อใจในการแจ้งเบาะแส และสิ่งสำคัญคือการสร้างความรับรู้ให้กับประชาชน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องสร้างความเชื่อมั่น เพราะคือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เห็นจากการประชุมเอเปคที่มีความร่วมมือที่กว้างมากขึ้น ไม่มีใครที่จะแก้ปัญหาได้เพียงหน่วยงานเดียว ดังนั้น ต้องให้ความสำคัญกับหมู่บ้านและชุมชน ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องบูรณาการทรัพยากรทุกอย่าง ทั้งแผนงาน การปฎิบัติงานร่วมมือกับทุกหน่วยงานให้เป็นหนึ่งเดียว ให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนเพื่อขจัดยาเสพติดให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะเดียวกันต้องระดมสรรพกำลังในการร่วมมือกันปราบปรามยาเสพติด และจะต้องมีบทบาทในการคืนคนดีสู่สังคม เพื่อให้ทุกคนได้กลับสู่อ้อมกอดของครอบครัว และทำให้สังคมไทยปลอดยาเสพติด ส่วนการดูแลควบคุมสารตั้งต้น ที่ใช้ไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด เพราะเป็นอันตรายและเป็นต้นตอ การนำไปสู่การผลิตยาเสพติด จึงขอให้มีการติดตามดำเนินคดีในเรื่องนี้ ซึ่งตนรอผลงานตรงนี้ด้วย อยากให้บ้านเมืองของเรามีความเจริญเติบโต อยากให้บ้านเมืองมีรายได้ที่ดี มีการค้าขายที่ดี ทุกคนมีความสุข สิ่งสำคัญที่สุดคือพื้นฐานด้านความมั่นคงทั้งสิ้น

“อยากให้ทุกคนได้ทราบว่า ความมั่นคงเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจ สังคม และทุกอย่าง ขณะนี้บ้านเมืองเราอยู่ในสถานการณ์สงบเรียบร้อย และในช่วงการประชุมเอเปคที่ผ่านมา ได้เห็นบ้านเมืองที่สวยงาม มีความสะอาด นี่คือประเทศไทย ทุกคนยิ้มแย้มมีความสุข ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จะหาได้ง่าย ๆ เพราะได้เห็นคนไทยมีรอยยิ้ม เป็นเจ้าบ้านที่ดี ดังนั้น หลังการประชุมเอเปค ก็หวังว่าทุกอย่างจะสงบเรียบร้อยไปได้ด้วยดี เพื่อให้ทุกอย่างดีกว่าเดิมในทุกมิติ สิ่งไหนที่เป็นปัญหาก็แก้ไข หากติดขัดก็ติดตามขับเคลื่อน หากทุกคนพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในทุกประชาคมโลกและทุกภูมิภาค ดังนั้น ขอบคุณข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชน หากทุกคนร่วมมือกันแก้ไขปัญหาด้วยความเข้าใจ ทุกอย่างจะสำเร็จแน่นอนและนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนตลอดไป” นายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

“ประยุทธ์” ส่งเสริม 16 เทศกาลประเพณีไทยสู่เวทีนานาชาติ

People Unity News : 20 กุมภาพันธ์ 2566 นายกฯ ส่งเสริมเทศกาลประเพณีไทยสู่เวทีนานาชาติ ดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ สร้างรายได้และความมั่นคงเศรษฐกิจในชุมชน

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มุ่งส่งเสริมฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน สร้างรายได้แก่ประชาชน ผ่านการคัดเลือกเทศกาลประเพณีทั่วประเทศที่โดดเด่น เพื่อยกระดับเทศกาลประเพณีไทย (Festival) ไปสู่ระดับชาติและนานาชาติ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรมได้ดำเนินตามนโยบายรัฐบาล ขับเคลื่อน Soft Power ของไทยที่มีศักยภาพ 5F (Food, Fight, Film, Fashion, Festival) โดยแต่งตั้งคณะทำงานดำเนินการคัดเลือกเทศกาลประเพณีของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด ประจำปีงบประมาณ 2566 จำนวน 16 ประเภท ซึ่งทั้ง 16 เทศกาลประเพณีที่ได้รับการคัดเลือก ล้วนมีความโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ แสดงออกถึงวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น สามารถนำมาพัฒนาต่อยอด ส่งเสริมการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และเผยแพร่ประเพณีของไทยให้เป็นที่รู้จัก ดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างรายได้แก่ชุมชนและประเทศชาติ

สำหรับเทศกาลที่ได้รับคัดเลือกทั้ง 16 ประเภท ได้แก่ 1) ประเพณีกตัญญูคู่ฟ้า มหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จ.ปัตตานี 2) เทศกาลมรดกโลกบ้านเชียง จ.อุดรธานี 3) ประเพณีหกเป็งนมัสการพระมหาธาตุเจ้าภูเพียงแช่แห้ง จ.น่าน 4) ประเพณีแห่มาลัยข้าวตอก “มาฆบูชา อารยธรรมอีสาน” จ.ยโสธร 5) ประเพณีแห่ผ้าพระบฏพระราชทานถวายพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช 6) เทศกาลโคราชเมืองศิลปะ KORAT Street Art จ.นครราชสีมา 7) เทศกาลตามรอยอารยธรรมขอมโบราณ ปราสาทศิลา “สด๊กก๊อกธม” จ.สระแก้ว 8) เทศกาลเมืองคราม สกลนคร (KRAM & CRAFT SAKON FESTIVAL) นครหัตถศิลป์โลก เจ้าแห่งครามธรรมชาติ จ.สกลนคร 9) เทศกาลอาหารอร่อย เมืองภูเก็ต เมืองสร้างสรรค์แห่งวิทยาการอาหาร จ.ภูเก็ต 10) ประเพณีบุญกลางบ้าน สืบสานตำนานเมืองพนัส จ.ชลบุรี 11) เทศกาล “นาฏยแห่งศรัทธา กิ่งกะหร่า น้อมบูชา วิสาขปุรณมี” จ.แม่ฮ่องสอน 12) ประเพณีตักบาตรดอกไม้เข้าพรรษา จ.สระบุรี 13) ประเพณีบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช เลาะตลาดคนเมืองไทนคร จ.นครพนม 14) เทศกาลไทลื้อ “โฮ่มฮีต โตยฮอย ร้อยใจไทลื้อ” จ.พะเยา 15) เทศกาลอาหารผสานศิลป์ เมืองเพชร เมืองสร้างสรรค์ จ.เพชรบุรี และ 16) เทศกาลโคมแสนดวงที่เมืองลำพูน จ.ลำพูน

“นายกรัฐมนตรีทราบถึงแผนการดำเนินงานการคัดเลือกเทศกาลประเพณีที่มีความโดดเด่น เพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพ ให้สามารถแข่งขันในเวทีโลก เป็นการสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย และสร้างมูลค่าให้กับชุมชนและประเทศชาติ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการขับเคลื่อนและยกระดับ Soft Power ของไทยด้านอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ และมีความโดดเด่น เพื่อสืบสาน ยกระดับประเพณีอันดีงามของไทย รวมถึงสอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจ BCG เพื่อความยั่งยืน ตามแนวทางนโยบายของรัฐบาล” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

นายกฯ ขอโฟกัสการทำงาน

People Unity News : 19 ตุลาคม 65 โฆษกรัฐบาล แจงนายกฯ งดให้สัมภาษณ์สื่อฯ ไม่ใช่ลดบทบาท แต่ขอโฟกัสการทำงาน ไม่อยากให้มีเรื่องอื่นแทรก ยืนยันนายกฯ ยังไม่ปรับ ครม.ช่วงนี้ ชี้ เป็นเรื่องอนาคต

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน โดยเฉพาะประเด็นทางการเมือง ถือเป็นการปรับบาทบาทใหม่หรือไม่ ว่า นายกรัฐมนตรีอยากมุ่งเน้นในเรื่องของการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนเป็นหลัก ทั้งสถานการณ์น้ำท่วมที่ประชาชนในหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งที่ผ่านมาได้ใช้วิธีกำชับสั่งการหน่วยงานต่างๆ และทีมโฆษกรัฐบาลเป็นผู้ที่ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ ส่วนเรื่องการเมืองก็อยากให้ทุกอย่างมีเสถียรภาพ ทั้งเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี การบริหารจัดการพรรค โดยอยากให้ทางพรรคได้ออกมาชี้แจงในประเด็นนี้ พร้อมระบุว่า สำหรับการปรับคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรียังไม่ได้พิจารณาในช่วงนี้ แต่ในอนาคตก็ค่อยว่ากัน ขณะนี้ นายกรัฐมนตรีขอช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาน้ำท่วม หรือแม้กระทั่งเกิดสถานการณ์เหตุกราดยิงที่จังหวัดหนองบัวลำภู สร้างความเสียใจไปทั่วโลก นายกรัฐมนตรีต้องการฟื้นฟูและเยียวยาญาติที่ได้รับความสูญเสียและได้รับผลกระทบให้ดีที่สุด จึงไม่อยากให้มีเรื่องใดเข้ามาแทรก โดยยืนยันไม่ใช่เป็นการลดบทบาทในการให้สัมภาษณ์ แต่เป็นการโฟกัสการทำงานที่อยากให้ประชาชนได้เข้าใจ และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้มากกว่า

นายอนุชา ยืนยัน นายกรัฐมนตรีไม่ได้ตั้งธงที่ไม่ให้สัมภาษณ์สื่อแต่อย่างใด หลังเข้ามาปฎิบัติหน้าที่ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปได้ แต่หลังกลับมาทำงานมีประเด็นต่างๆ ที่ต้องแก้ไข

“ถือว่าเป็นเรื่องของจังหวะมากกว่า ไม่ใช่เลี่ยงที่จะตอบปัญหาทางการเมือง โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นกับพรรคพลังประชารัฐในขณะนี้ และเห็นว่าเป็นช่วงสมัยปิดประชุมสภาฯด้วย ก็อาจจะทำให้เรื่องของประเด็นที่เกี่ยวข้องกฎหมายเงียบลงไป” โฆษกรัฐบาล กล่าว

ส่วนนายกฯ จะวางมือทางการเมืองหรือไม่ นายอนุชา หัวเราะและไม่ตอบคำถามดังกล่าว

Advertisement

ครม.อนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือก สว.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 เมษายน 2567 ​ครม.อนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) คาดมีผลบังคับใช้ 11 พ.ค ประกาศกำหนดวันเลือกและวันรับสมัคร 13 พ.ค. ประกาศผลการเลือก สว. 2 ก.ค 67

วันที่ 23 เมษายน 2567 นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการให้ดำเนินการเลือกสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา 107 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เนื่องจากอายุของวุฒิสภาสิ้นสุดลง

นายคารม กล่าวว่า รัฐธรรมนูฐแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 269 (4) บัญญัติให้อายุของวุฒิสภาตามมาตรานี้ มีกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งและได้มีพระบรมราชโองการประกาศแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2562 อายุของวุฒิสภาจึงครบกำหนด 5 ปี และจะสิ้นสุดลงในวันที่ 10 พฤษภาคม 2567 แต่ยังอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีสมาชิกวุฒิสภาขึ้นใหม่ ดังนั้น เมื่ออายุของวุฒิสภาสิ้นสุดลง ให้ดำเนินการเลือกสมาชิกวุฒิสภาโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา 107 วรรคห้า ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งบัญญัติให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภาให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา และภายใน 5 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดวันเริ่มดำเนินการเพื่อเลือกไม่ช้ากว่า 30 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลใช้บังคับ

“เพื่อให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 107 วรรคห้า และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 21 จึงได้จัดทำร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. …. ขึ้น โดยมีสาระสำคัญเป็นการให้ดำเนินการเลือกสมาชิกวุฒิสภา โดยมีสาระสำคัญเป็นการให้ดำเนินการเลือก สว. และจัดทำร่างแผนการจัดการเลือก สว. ทั้งนี้ ภายใน 5 วันนับตั้งแต่ที่มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือก สว. ใช้บังคับ กกต.จะกำหนดวันเริ่มดำเนินการเพื่อเลือกไม่ช้ากว่า 30 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ซึ่ง กกต.คาดว่า พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือก สว. จะมีผลใช้บังคับในวันที่ 11 พฤษภาคม 2567 ประกาศกำหนดวันเลือกและวันรับสมัครในวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 กำหนดวันเลือก สว.ระดับอำเภอในวันที่ 9 มิถุนายน 2567 กำหนดวันเลือก สว.ระดับจังหวัดในวันที่ 16 มิถุนายน 2567 กำหนดวันเลือก สว. ระดับประเทศในวันที่ 26 มิถุนายน 2567 และกำหนดวันที่จะประกาศผลการเลือกสมาชิกวุฒิสภาในวันที่ 2 กรกฎาคม 2567” นายคารม กล่าว

Advertisement

เปิดตัวเลขผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 66 พบเจน X มากสุด 20 ล้านคน

People Unity News : 10 พฤษภาคม 2566 สำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เปิดเผยตัวเลขผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 2566 แยกเจเนอเรชัน พบเจน X มากสุด 20 ล้านคน

วันนี้ (10 พ.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เปิดเผยจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 โดยแยกตามช่วงอายุ (Generation) จากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง รวม 52,241,808 คน ดังนี้ 1. กลุ่ม Before Baby Boommer เกิดก่อน พ.ศ. 2491 จำนวน 2,956,182 ราย 2. กลุ่ม Generation Baby Boommer เกิดระหว่าง พ.ศ. 2491-2505 จำนวน 9,326,314 ราย 3. กลุ่ม Generation X เกิดระหว่าง พ.ศ. 2506-2526 จำนวน 20,882,235 ราย 4. กลุ่ม Generation Y เกิดระหว่าง พ.ศ. 2527-2546 จำนวน 17,983,355 ราย และ 5. กลุ่ม Generation Z เกิดระหว่าง พ.ศ. 2547 จนถึงก่อนวันที่ 16 พฤษภาคม 2548 จำนวน 1,093,722 ราย

ทั้งนี้ เมื่อแยกรายละเอียดเป็นรายจังหวัด พบว่า กรุงเทพมหานคร มีกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้ง กลุ่ม Generation X มากสุด คือ 1,777,588 ราย รองลงมาคือ กลุ่ม Generation Y จำนวน 1,455,337 ราย กลุ่ม Generation Baby Boommer จำนวน 869,461 ราย กลุ่ม Before Baby Boommer จำนวน 295,302 ราย และกลุ่ม Generation Z จำนวน 81,467 ราย ตามลำดับ

Advertisement

“พล.อ.ประยุทธ์” ประกาศวางมือทางการเมือง

People Unity News : 11 กรกฎาคม 2566 “พล.อ.ประยุทธ์” ประกาศวางมือทางการเมือง ลาออกสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ

ผู้สื่อขาวรายงานว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์เฟซบุ๊ก พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศวางมือการเมือง ลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอให้หัวหน้าพรรค -​กก.บห. -​ สมาชิก ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองและอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง ปกป้อง รักษา สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ดูแลประชาชนชาวไทยต่อไป

ทั้งนี้ เพจเฟซบุ๊ก​พรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความระบุว่า พ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทยที่เคารพรัก และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติทุกท่าน

ผมต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่พี่น้องประชาชนได้ให้การสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติและผม ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมา จนทำให้ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบเขตเลือกตั้งของเรา ได้รับเลือกตั้งเป็นจำนวน 23 คน และเรายังได้รับการสนับสนุนในการเลือกพรรครวมไทยสร้างชาติอีกถึง 4,766,408 เสียง จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่มาใช้สิทธิ 38,057,074 คน หรือร้อยละ 12.52 สูงเป็นอันดับสามของประเทศ ทำให้เรามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่ออีก 13 คน รวมทั้งสิ้น 36 คน ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยสำหรับพรรคการเมืองที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่

การที่ผมตัดสินใจเข้ามาเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น เพราะผมต้องการร่วมสร้างพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อให้เป็นพรรคการเมืองที่มีคุณภาพ มีอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเป็นหลักให้กับบ้านเมืองต่อไปในอนาคต

ช่วงเวลาที่ผมได้ร่วมเดินทางกับพรรคไปพบปะพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ผมได้รับฟังข้อคิดเห็นของสมาชิกพรรคและประชาชนที่ให้การสนับสนุนอย่างล้นหลาม ผมสัมผัสได้ถึงความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ และความเชื่อมั่นในตัวผมตลอดมา ผมรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง และเป็นประสบการณ์ที่ผมจะไม่มีวันลืม

ผมเชื่อว่าทุกท่านทราบดีว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเก้าปีเศษ ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ทำงานอย่างมุ่งมั่นทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง เพื่อปกป้องรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเพื่อประโยชน์ของประชาชนอันเป็นที่รักยิ่ง และสิ่งเหล่านี้กำลังผลิดอกออกผลให้กับประเทศชาติโดยส่วนรวม ผมได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการที่จะทำให้ประเทศชาติแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆ ด้าน มีเสถียรภาพ มีความสงบ และฟันฝ่าอุปสรรคทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนมีความสำเร็จก้าวหน้าเป็นรูปธรรมหลายๆ ด้าน อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งทางด้านคมนาคม ขนส่ง การสื่อสาร เครือข่ายอินเทอร์เน็ต สาธารณูปโภค การเร่งรัดการลงทุนจากต่างประเทศในพื้นที่เศรษฐกิจต่างๆ การสนับสนุนการวิจัยพัฒนา การจัดหาที่ดินทำกิน การจัดระบบการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้มีน้ำใช้และบรรเทาการเกิดอุทกภัย การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลในการอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนทั้งการทำมาค้าขาย การใช้ชีวิตประจำวัน และการรับบริการจากภาครัฐ การต่อสู้กับการระบาดของโรคไวรัสโควิด๑๙ จนได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการบริหารจัดการโรคอุบัติใหม่ที่ดีที่สุดในโลก การแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหาต่อการค้าการลงทุนมายาวนาน เช่น การค้ามนุษย์ การทำประมงผิดกฎหมาย การรักษามาตรฐานกิจการการบิน ตลอดจนการดูแลประชาชนอย่างเป็นระบบอย่างทั่วถึงด้วยความเป็นธรรมกับทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประชาชนผู้เปราะบาง มีรายได้น้อย เด็ก คนชรา คนพิการ เป็นต้น ซึ่งผมได้บริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มความสามารถ ระมัดระวังการใช้จ่ายงบประมาณซึ่งเป็นภาษีของพี่น้องประชาชน ให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย วินัยการเงินการคลัง มาโดยตลอดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ทำให้กับประเทศชาติและประชาชนตลอดเก้าปีเศษที่ผ่านมา ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลต่อไปจะดำเนินการพัฒนาต่อไป

จากนี้ไป ผมขอประกาศวางมือทางการเมือง ด้วยการลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และขอให้หัวหน้าพรรค กรรมการบริหาร และสมาชิกพรรคได้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองด้วยอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง ปกป้องรักษาสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และดูแลพี่น้องประชาชนชาวไทยต่อไป และขอให้พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจสนับสนุนการทำงานของพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไปด้วย

ขอขอบพระคุณครับ

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

Advertisement

รัฐบาลยุค “พล.อ.ประยุทธ์” ผลักดันรถไฟฟ้าเปิดบริการแล้ว 8 เส้นทาง

People Unity News : 9 กรกฎาคม 2566 “ไตรศุลี” เผยรัฐบาลยุค “พล.อ.ประยุทธ์” ผลักดันโครงการรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล เปิดให้บริการแล้ว 8 เส้นทาง ส่งโครงการระหว่างก่อสร้างทั้งรถไฟฟ้าในเมือง 5 เส้นทาง ไฮสปีด และทางคู่ให้รัฐบาลหน้าสานต่อ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมอำนวยความสะดวกกับประชาชน เป็นพื้นฐานสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ทั้งนี้ เฉพาะรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯและปริมณฑล ที่ปัจจุบันเปิดให้บริการรวมแล้วทั้งสิ้น 12 เส้นทาง ระยะทางรวม 242.34 กิโลเมตรนั้น เป็นโครงการที่ได้รับการผลักดันการก่อสร้างและเปิดให้บริการในช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้นำรัฐบาล ทั้งหมด 8 เส้นทาง ระยะทางรวม 142.54 กม. ประกอบด้วย

1) สายสีม่วง บางใหญ่-เตาปูน ระยะทาง 23 กม. เปิดให้บริการ 6 ส.ค. 59

2) สายสีเขียว หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 18.70 กม. ทยอยเปิดบริการรวม 4 ช่วง ในปี 62-63

3) สายสีน้ำเงิน ช่วง หัวลำโพง-บางแค(หลักสอง) ระยะทาง 14 กม. เปิดบริการ 29 ก.ย. 62

4) สายสีน้ำเงิน บางซื่อ-ท่าพระ ระยะทาง 13 กม. เปิดให้บริการ 30 มี.ค. 63

5) สายสีทอง กรุงธนุบรี-คลองสาน ระยะทาง 1.88 กม. เปิดให้บริการ ธ.ค. 63

6) รถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง(เหนือ) บางซื่อ-รังสิต ระยะทาง 26.30 กม. เปิดให้บริการ 29 พ.ย. 64

7) รถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง(ตะวันตก) บางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทาง 15.26 กม. เปิดให้บริการ 29 พ.ย. 64

8) สายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง ระยะทาง 30.40 กม. เปิดให้ประชาชนทดลองนั่งฟรี 3 มิ.ย. 66 และเริ่มเก็บค่าโดยสารเมื่อ 3 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในส่วนสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ สถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน ซึ่งเริ่มต้นก่อสร้างในปี 56 รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เล็งเห็นความสำคัญและผลักดันการก่อสร้างจนแล้วเสร็จในปี 64 เปิดให้บริการในปี 65 และให้บริการเต็มรูปแบบเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้ามหานคร รองรับทั้งรถไฟฟ้าชานเมืองและรถไฟทางไกลสายเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และสายใต้ เพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางให้ประชาชนตั้งแต่ต้นปี 66 เป็นต้นมา

สำหรับโครการรถไฟฟ้าที่ได้รับการอนุมัติในรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ และขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง โดยจะส่งต่อให้รัฐบาลต่อไปผลักดันจนเปิดให้บริการแก่ประชาชนในอนาคตประกอบด้วย โครงการรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 5 โครงการ ระยะทางรวม 101.4 กม. ประกอบด้วย

1) สายสีชมพูเส้นทางแคลาย-มีนบุรี ระยะทาง 30.50 กม. ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ตรวจความพร้อมก่อนเริ่มทดสอบการเดินรถในวันที่ 10 ก.ค. นี้

2) สายสีชมพู ส่วนต่อขยายช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี ระยะทาง 3 กม.

3) สายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี ระยะทาง 22.50 กม. 4)สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ(วงแหวนกาญจนาภิเษก) ระยะทาง 23.60 กม.

4) แอร์พอร์ตลิงก์ ช่วงพญาไท-ดอนเมือง ระยะทาง 21.80 กม.

นอกจากนี้ มีโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ -หนองคาย ระยะที่1 ระยะทางรวม 250.77 กิโลเมตร รวมถึงโครงการรถไฟทางคู่ทั่วประเทศอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกหลายเส้นทาง

Advertisement

นายกฯ แจงบินต่างประเทศถี่ หวังขยายตลาดภาคเกษตร-ปศุสัตว์

People Unity News : 24 ตุลาคม 2566 เพื่อไทย – นายกฯ แจงบินต่างประเทศถี่ หวังขยายตลาดภาคเกษตร-ปศุสัตว์ ขอ สส.พรรคลุยลงพื้นที่ เตรียมความพร้อมการเมืองท้องถิ่นและการเลือกตั้งซ่อม

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุถึงการทำงานในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่ต้องบินไปต่างประเทศ ว่า ไทยได้เปิดตลาดภาคการเกษตร ตามที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เสนอ โดยเฉพาะการเปิดตลาดโค ซึ่งเป็นภาคปศุสัตว์ที่สำคัญของไทย ทั้งในบรูไน มาเลเซีย จีน และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งหากหลายประเทศมาร่วมลงทุนกับไทย จะทำให้ไทยมีศักยภาพในการเพิ่มกำลังการผลิตได้ถึง 50,000 ตัว/วัน

นอกจากนี้ นายเศรษฐา ยังกล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อม สส. และการเลือกตั้งท้องถิ่น โดยได้เน้นย้ำให้ สส. มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน แม้จะเป็นรัฐบาลแล้ว ก็จะลืมการเลือกตั้งท้องถิ่น เพราะจะเป็นสัญญาณสำคัญนำไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ครั้งต่อไป

ส่วนความสัมพันธ์ของรัฐบาลและ สส. ถือว่าต่างคนต่างทำงานหนัก และต้องดูผลงานระยะสั้น เพื่อจะทำนโยบายบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชน โดยตนเองจะเข้าพรรคให้บ่อยขึ้น เพื่อรับฟังปัญหาของประชาชนผ่าน สส.ในพื้นที่ และแก้ไขปัญหา ยกระดับความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น

Advertisement

นายกฯ แนะนักกีฬาซีเกมส์ ใช้ประสบการณ์ที่ได้พัฒนาตัวเองต่อไป

People Unity News : 6 กรกฎาคม 2566 นายกฯ มอบเงินรางวัลแก่ทัพนักกีฬาซีเกมส์ ชื่นชมตัวแทนประเทศไทยพร้อมทีงานทุกคนร่วมกันคว้าชัยชนะกลับสู่ประเทศได้สำเร็จ เป็นอันดับที่ 2 จาก 11 ประเทศ แนะให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการแข่งขันนำไปพัฒนาศักยภาพต่อไป

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานมอบเงินรางวัลและแสดงความยินดีให้กับผู้เข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับนักกีฬาทีมชาติไทยและเจ้าหน้าที่ที่เข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายอารัญ บุญชัย ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) และ นางสาวสุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (NSDF) คณะนักกีฬา ผู้ฝึกสอน เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องและสื่อมวลชนเข้าร่วมงานซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักและอบอุ่น

นายกรัฐมนตรีมอบเงินรางวัลและของที่ระลึกให้แก่นักกีฬา ผู้ฝึกสอนและสมาคมที่ได้รับเหรียญรางวัล และเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 ดังนี้ 1) มอบของที่ระลึกให้แก่ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ 2) มอบของที่ระลึกแก่ประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย 3) มอบเงินรางวัลและของที่ระลึกแก่นักกีฬา ผู้ฝึกสอนและสมาคมที่ได้รับเหรียญรางวัลและเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 จำนวน 39 สมาคมกีฬา รวมเงินทั้งสิ้น 239,190,000 บาท 4) มอบเงินรางวัลและของที่ระลึกแก่นักกีฬา ผู้ฝึกสอนและสมาคมที่ได้รับเหรียญรางวัลและเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 จำนวน 4 สมาคมกีฬา รวมเงินทั้งสิ้น 99,365,000 บาท ทั้งนี้ มีนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และสมาคมกีฬา ได้รับเงินรางวัลรวม 43 สมาคมกีฬา รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 338,555,000 บาท

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในนามรัฐบาลและประชาชนชาวไทยขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของทัพนักกีฬาไทยที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งนับเป็นโอกาสดีที่นักกีฬาไทยได้แสดงความสามารถทางกีฬาให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับนานาชาติ และเป็นโอกาสดีที่ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการแข่งขัน เพื่อนำไปพัฒนาศักยภาพของตนเองต่อไป ทั้งนี้ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นที่ทุกคนได้รับมานั้นล้วนเกิดจากความ “มานะ บากบั่น และสู้สุดใจ” ของของทุกคน จึงทำให้ทุกคนมาอยู่ตรงจุดนี้ ซึ่งคำเหล่านี้ขอให้ทุกคนประทับไว้อยู่ในหัวใจและนำไปเป็นหลักในการปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลสำเร็จในด้านกีฬาและด้านอื่น ๆ ของชีวิตต่อไป

“ขอชื่นชมสมาคมกีฬา ผู้จัดการทีม ผู้ฝึกสอน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคน ที่ทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนประเทศไทยในการนำทัพนักกีฬาไปคว้าชัยชนะกลับมาสู่ประเทศชาติได้สำเร็จ ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ มีวินัยในการฝึกซ้อมอย่างดีของทุกคน และแสดงความสามารถ ศักยภาพออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม รางวัลเกียรติยศที่ได้รับในครั้งนี้จะเป็นขวัญและกำลังใจแก่ทุกคน เป็นเกียรติประวัติแก่ประเทศชาติ นำมาซึ่งความภาคภูมิใจแก่ชาวไทยทุกคน รวมทั้งตนเองและครอบครัว ขอให้ทุกคนพัฒนาความสามารถของตนเองให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น เพื่อจะได้ประสบความสำเร็จในการแข่งขันกีฬาในฐานะนักกีฬาทีมชาติไทย รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนทุกด้าน เพื่อทำให้การกีฬาไทยมีศักยภาพสูงและสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้อย่างทัดเทียม” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรียังแสดงความเชื่อมั่นว่าทุกคนทำหน้าที่ตัวแทนของคนไทยและประเทศไทยอย่างดีที่สุดแล้ว และขอเป็นกำลังใจให้กับนักกีฬาที่ไม่ได้รับเหรียญรางวัลจากการแข่งขัน ขอให้ตั้งใจพัฒนาทักษะและหมั่นฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ และนำเอาประสบการณ์จากการแข่งขันในครั้งนี้ไปพัฒนาตนเอง ซึ่งจะทำให้นักกีฬาทุกคนประสบความสำเร็จในการแข่งขันในโอกาสครั้งต่อ ๆ ไปได้อย่างแน่นอน พร้อมขอขอบคุณบุคคลและหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่ร่วมแรงร่วมใจกันขับเคลื่อนพัฒนาการกีฬาของชาติให้ก้าวหน้าตลอดมา สร้างชื่อเสียงเกียรติภูมิมาสู่ประเทศชาติมาอย่างต่อเนื่อง และขอให้ระลึกไว้ว่าผลงานด้านกีฬาที่สร้างไว้นั้น จะถูกจารึกไว้ในหัวใจของประชาชนคนไทยทั้งประเทศตลอดไป

ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ส่งนักกีฬา เจ้าหน้าที่ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ระหว่างวันที่ 5 – 17 พ.ค. 2566 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 ระหว่างวันที่ 3 – 9 มิ.ย. 2566 ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยผลงานของทัพนักกีฬาทีมชาติไทย ในการแข่งขันมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 สามารถคว้ารวมมาได้ 108 เหรียญทอง 95 เหรียญเงิน 108 เหรียญทองแดง ในอันดับที่ 2 ในตารางรวมเหรียญรางวัล จาก 11 ประเทศ ขณะที่ทัพนักกีฬาคนพิการทีมชาติไทย ทำผลงานในกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 สามารถคว้าเหรียญรางวัลมาได้ 126 เหรียญทอง 109 เหรียญเงิน และ 94 เหรียญทองแดง จบอันดับที่ 2 จาก 11 ประเทศ ในตารางรวมเหรียญรางวัลเช่นกันใช้ประสบการณ์ที่ได้พัฒนาตัวเองต่อไป

Advertisement

ครม.เห็นชอบแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 2

People Unity News : 25 กรกฎาคม 2566 ครม. พร้อมผลักดันแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2570) สอดคล้องหลักสิทธิมนุษยชนสากล

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี รับทราบแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 2 (พ.ศ.2566 – 2570) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ แผนปฏิบัติการฉบับนี้ จัดทำขึ้นตามแนวทางตามคู่มือว่าด้วยแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ประกอบด้วย 3 เสาหลัก คือ การคุ้มครอง การเคารพ และการเยียวยา รวมทั้งเป็นหนึ่งในข้อเสนอแนะสำคัญที่ประเทศไทยรับมาปฏิบัติตามกระบวนการ Universal Periodic Review (UPR) รอบที่ 3 เมื่อปี 2564 ซึ่งเป็นรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน

สำหรับสาระสำคัญของแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 2 (พ.ศ.2566 – 2570) ประกอบด้วย 4 แผน ได้แก่ แผนปฏิบัติการด้านแรงงาน แผนปฏิบัติการด้านชุมชน ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม//แผนปฏิบัติการด้านนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และแผนปฏิบัติการด้านการลงทุนระหว่างประเทศและบรรษัทข้ามชาติ กลไกการกำกับดูแลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฉบับนี้ จะดำเนินการผ่านคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน //กระทรวงยุติธรรม จะเป็นผู้รวบรวมและจัดทำรายงานประเมินผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ 2 ระยะ คือ ระยะครึ่งรอบ (ระหว่าง พ.ศ.2566 – 2568) และระยะเต็มรอบ (ระหว่าง พ.ศ.2566 -2570) เสนอต่อคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและเผยแพร่ต่อไป

Advertisement

Verified by ExactMetrics