วันที่ 14 พฤษภาคม 2024

สำนักงานสลากฯ ชี้แจงวิธีการขึ้นเงินรางวัล ‘สลากดิจิทัล’

People Unity News : วันนี้ (วันที่ 3 มิถุนายน 2565) พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า กรณีถูกรางวัล ระบบจะแจ้งเตือนไปที่แอปพลิเคชันเป๋าตัง ภายในเวลา 18.00 น. ของวันที่ออกรางวัล โดยให้เลือกรับรางวัลได้ 2 ช่องทางคือ เลือกรับโดยการโอนเงิน ซึ่งจะโอนเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยที่ผูกไว้กับแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งในอนาคตจะปรับเปลี่ยนให้สามารถผูกบัญชีธนาคารอื่นๆได้ เพื่อความสะดวกของผู้ซื้อ วิธีนี้จะเสียค่าธรรมเนียม 1% และ ค่าภาษีอากรแสตมป์ 0.5% ส่วนวิธีที่สอง สามารถเลือกมารับเงินรางวัลที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล สนามบินน้ำ โดยต้องกำหนด วัน เวลา ที่ต้องการเข้ามารับเงินรางวัลเพื่อที่สำนักงานสลากฯ จะจัดเตรียมสลากแบบใบตัวจริง เพื่อส่งคืนให้กับผู้ซื้อ เพื่อเข้าสู่กระบวนการขึ้นเงินรางวัล วิธีนี้จะเสียเฉพาะค่าภาษีอากรแสตมป์ 0.5% ทั้งนี้ ยืนยันว่าการกำหนดค่าธรรมเนียม และค่าอากรแสตมป์ดำเนินการเช่นเดียวกับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการนำสลากไปขึ้นเงินรางวัลที่สำนักงานสลาก หรือธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และธนาคารกรุงไทย

ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวต่อไปว่า กรณีที่ถูกรางวัลสลากที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มฯ จะต้องแจ้งในระบบว่า จะเลือกรับเงินรางวัลผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่งภายใน 15 วัน หากไม่แจ้งภายในกำหนด จะต้องมาขึ้นเงินรางวัลที่สำนักงานสลากภายใน 2 ปี โดยสลากที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์ม หรือดิจิทัล ที่ซื้อไว้จะแสดงอยู่ในประวัติข้อมูลการซื้อ 1 ปี ทั้งนี้ หากเลือกรับเงินรางวัลผ่านการโอนเงินเข้าบัญชีที่ผูกไว้ จะได้รับเงินโอนหลังจากที่แจ้ง ภายในระยะเวลา 12 ชั่วโมง ซึ่งยืนยันว่าจากที่ทดสอบระบบ การโอนเงินรางวัลไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ขอให้ผู้ซื้อสลากทุกคนไม่ต้องกังวล

พันโท หนุน ศันสนาคม กล่าวว่า การจำหน่ายสลากผ่านแพลตฟอร์มหรือสลากดิจิทัลนั้น สลากทุกใบเป็นของตัวแทนจำหน่ายรายย่อย สำนักงานสลากฯ เป็นแต่เพียงสนับสนุน จัดหาช่องทางการจำหน่ายในราคา 80 บาท ที่ได้ประโยชน์ทั้งผู้ซื้อและส่งเสริมตัวแทนรายย่อยผู้ขาย ให้สามารถวางขายในแพลตฟอร์ม ซึ่งมีผู้เข้ามาซื้อเป็นจำนวนมาก ไม่ต้องเสียค่าใช้ในการเร่ขาย ขณะเดียวกัน ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการมอมเมา เพราะปัจจุบันประชาชนที่ซื้อสลากตามแผงจำหน่ายก็สามารถซื้อได้แบบไม่จำกัดจำนวนอยู่แล้ว และขอย้ำว่า สลากทุกใบเป็นของพ่อแม่พี่น้องตัวแทนรายย่อย ดังนั้น การจำหน่ายสลากดิจิทัล นอกจากประชาชนผู้ซื้อจะสามารถซื้อสลากได้ในราคาที่กำหนด คือ 80 บาทแล้ว ยังเป็นการช่วยส่งเสริมอาชีพ ส่งเสริมรายได้ให้กับพ่อแม่พี่น้องที่เป็นตัวแทนรายย่อยอีกด้วย

Advertisement

“เศรษฐา” เตรียมยกระดับความสามารถการแข่งขันกับซาอุฯ หวังเพิ่มการค้า-การลงทุน

People Unity News : 21 ตุลาคม 2566 ซาอุดีอาระเบีย – นายกรัฐมนตรีเดินหน้าสานต่อสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย หวังเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันการค้า-ลงทุน

เมื่อเวลา 10.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง กรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงผลสำเร็จในการเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ว่าเมื่อค่ำวันที่ 20 ต.ค. เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงริยาด ได้เลี้ยงรับรองอาหารค่ำตนกับคณะ โดยได้พบกับทีมไทยแลนด์ และเจ้าหน้าที่ทางพาณิชย์การค้า การลงทุน ซึ่งได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน

ทั้งนี้ ทางเอกอัครราชทูตไทยได้ให้ข้อคิดว่า ความจริงแล้วศักยภาพการค้า การลงทุน ที่ซาอุดีอาระเบียยังสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขยายการค้า ด้านการเกษตร เชิงพาณิชย์ และการลงทุน ซึ่งบีโอไอได้แจ้งว่าต้องการเจ้าหน้าที่ประจำซาอุดีอาระเบีย หลังจากพูดคุยกันแล้วตนมีความเข้าใจถึงความต้องการตรงนี้ และอยากให้เอกอัครราชทูตเขียนมาว่าเหตุผลที่ต้องการคืออะไร เพราะถือว่าเป็นประเทศหลักที่รัฐบาลเพิ่งเปิดความสัมพันธ์ใหม่อีกครั้ง หลังจากปิดไปนาน ถือว่าเป็นประเทศที่ไทยอยากมีความสัมพันธ์กันเพิ่มขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน การค้า การลงทุนขึ้นไปอีก

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ตนได้ไปเยี่ยมชมเมืองโบราณของซาอุดีอาระเบีย ประมาณ 300-400 ปี ถือเป็นเมืองแรกในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถูกทำลายไปและสร้างขึ้นมาใหม่ โดยมีการลงทุนไปเยอะมากในการสร้างเมืองนี้แห่งการท่องเที่ยว มีการสร้างพื้นที่อย่างมโหฬหาร และได้ขึ้นเป็นทะเบียนมรดกโลกด้วย รวมถึงยังได้เยี่ยมชมนิทรรศการเมืองแห่งอนาคต มีการลงทุนกว่า 5 แสนล้านล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อไปดูก็ตกใจในความอลังการยิ่งใหญ่ โดยซาอุดีอาระเบียมีความมั่งคั่งสูงจากการค้าขายปิโตรเคมีคอลและน้ำมัน เพราะฉะนั้นจึงมีเงินทุนสูงมาก แต่เขาเองก็ทราบดีว่าโลกเปลี่ยนไป การส่งเสริมการลงทุนและสร้างเมืองใหม่เป็นเรื่องสำคัญ ตนได้ดูนิทรรศการและวิธีการที่เขาเสนอ ซึ่งการลงทุนน่าจะนำไปใช้ได้ในการต้องทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วนในแง่เมกะโปรเจกต์ที่เราจะทำที่เมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าหรือแลนด์บริดจ์

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ได้คุยกับภาคเอกชน 4 บริษัท บริษัทแรกคือ SALIC เป็นบริษัทที่ครบวงจรด้านการเกษตรและปศุสัตว์ มีการลงทุนไปทั่วโลก เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร เรารู้สึกแปลกใจอย่างมาก ขนาดประเทศเขามีแต่ทะเลทราย แต่มีบริษัทใหญ่ระดับโลกในการค้าขายสินค้าเกษตรและปศุสัตว์ ที่อเมริกาใต้ ยุโรป และในเอเชีย วันนี้มีการพูดคุยกันหลายเรื่อง ทางด้านการเกษตร ด้านปศุสัตว์ เรื่องของวัว ซึ่งเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลนี้ว่าจะสามารถผลักดันไปด้วยกันหรือไม่

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถ้าเป็นไปได้จะให้รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำภาคเอกชนมาพูดคุยกับทางบริษัท SALIC ซึ่งเขาก็ยินดีและตื่นเต้นที่เราจะมีการทำอะไรร่วมกันในมิติใหม่ๆ และมิติใหญ่ๆ รวมถึงได้เจอกับกลุ่มกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ ซึ่งเป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่มาก ลงทุนทั้งในซาอุดีอาระเบียและต่างประเทศ เช่น สหรัฐ และจีน แต่ยังไม่มีการลงทุนที่เมืองไทย แต่ต้องการลงทุนด้านเมกะโปรเจกต์ เพราะฉะนั้นไทยเองมีโครงการขนาดใหญ่เยอะ จึงจะมีการพูดคุยกันต่อ

ทั้งนี้ ทางบริษัทดังกล่าวยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทปิโตรเคมีและน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีการค้าขายกับเราเยอะอยู่แล้ว และพยายามหาโอกาสร่วมมือทำธุรกิจกับไทยในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการหาโรงกลั่น ซึ่งเขาเข้าใจว่าโรงกลั่นเรามีสภาพที่เก่าและต้องการอัพเกรด ซึ่งต้องการเงินลงทุนหลายแสนล้านบาท จึงมีการพูดคุย และตนจะส่งเจ้าหน้าที่มาประสานงานต่อ และรายสุดท้ายคือ บริษัท SABIC ซึ่งเป็นผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ของซาอุดีอาระเบีย หนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีผู้ถือหุ้นคนเดียวกัน นั่นคือ PIF ซึ่งมีการลงทุนเยอะมากอยู่แล้ว และเรื่องของปุ๋ย ที่ส่งให้เราเป็นรายใหญ่ที่สุด เอกชนไทยที่ทำเกษตรกรรมก็ซื้อจากบริษัทนี้เยอะมาก รวมถึงหัวเชื้อปุ๋ย ที่เรามีอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็จะมีการพูดคุยเพื่อหาความร่วมมือกัน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า และสิ่งที่น่ายินดีอย่างหนึ่งที่ตนถามเขาว่าบริษัท SABIC มีความสัมพันธ์ที่ดีกับ ปตท. และหลายบริษัทเอกชน ทางเขาติดขัดอะไรหรือไม่เกี่ยวกับการลงทุน การทำธุรกิจกับไทย ซึ่งเขาบอกไม่มีเลย ทุกอย่างได้รับการสนับสนุนที่ดีมาก และอยากให้การสัมพันธ์เดินต่อไป ตนต้องขอบคุณหน่วยงานต่างๆ ที่ร่วมงานกับทางบริษัท SABIC ที่ทำให้เขาชื่นชมเราได้ตรงนี้ หวังว่าการลงทุนจะพัฒนาต่อไปในทุกมิติ

Advertisement

นายกฯอยากเห็น ปตท. ลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น นำคนไทยไปร่วมทุน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 ธันวาคม 2566 นายกฯแสดงความยินดีครบรอบ 45 ปี ปตท. หวังให้ช่วยสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่ เป็นเจ้าสัวน้อย

ค่ำวานนี้ (12 พ.ย. 66) เวลา 18.30 น.  ณ เพลนารี ฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถนนรัชดาภิเษก เขตคลองเตย กรุงเทพฯ  นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานงานเลี้ยงรับรองขอบคุณผู้มีส่วนได้เสีย เนื่องในวาระครบรอบ 45 ปี บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ผู้แทนภาครัฐ ผู้แทนภาคเอกชน  ผู้บริหารและพนักงานบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  เข้าร่วมงาน

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาร่วมงานในวาระครบรอบ 45 ปี ของบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเป็นบริษัทที่นำธงชาติไทยไปปักในนิตยสาร ฟอร์จูน โกลบอล 500 และเคยไต่อันดับถึง TOP 100 แต่เมื่อมีบริษัทอื่นมาก็ถูกเบียดไป  แต่บริษัท ปตท. มีการเติบโตอย่างยั่งยืน สร้างความภาคภูมิใจสูงสุดให้กับคนไทยที่มีบริษัทระดับโลกได้   ไม่ต้องพูดถึงความสำเร็จในธุรกิจ ปตท. ที่ได้ดำเนินการในช่วง 45 ปีที่ผ่านมา ได้เข้าร่วมกับทุกรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสังคมในการดูแลคนไทยทุกคนไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งไหน  รวมถึงวิกฤตโรคระบาดโควิด 19  ในอดีต 45 ปีที่ผ่านมา บริษัท ปตท.เป็นบริษัทที่ยืนเคียงข้างพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน  เป็นที่พึ่งของทุกคนเป็นบริษัทที่ไม่ได้คำนึงถึงแค่ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นอย่างเดียว  แต่ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ความสุขสบายของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เนื่องในโอกาส 45 ปีของบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  ตนมีข้อคิด 2-3 ข้อ ข้อแรกด้วยงบดุลของบริษัทที่แข็งแกร่งมาก สิ่งที่ต้องการคือ บริษัท ปตท. ไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นนำพาผู้มีความรู้จากประเทศไทยไปร่วมทุนไปทำการเจรจาการค้าไปพัฒนาประเทศนั้นๆ ด้วยทุนของคนไทยด้วยองค์ความรู้ของคนไทย  ตนเชื่อว่า ยังมีอีกหลายประเทศที่เราสามารถไปลงทุนได้ทำการค้าขายได้  รัฐบาลพร้อมสนับสนุนทั้งการลงทุนและให้มาลงทุนในประเทศไทย  พร้อมเชื่อว่า ปตท. พร้อมที่จะเป็น partner กับบริษัทข้ามชาติทั้งหลายที่มาลงทุนในประเทศไทย  อีกทั้ง รัฐบาลพร้อมที่จะนำ ปตท.เดินเคียงคู่ไปกับรัฐบาลเพื่อที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา  พร้อมทั้งให้ ปตท.เดินทางออกไปต่างประเทศเพื่อไปร่วมทุนกับบริษัทยักษ์ใหญ่ในหลายบริษัทเพื่อทำให้คนไทยมีความภาคภูมิใจ

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง พลังงานบริสุทธิ์ถือเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นเรื่องที่ปัจจุบันนี้ได้มีการพูดคุยกันมาก ถ้าประเทศไหนบริษัทไหนจะมาลงทุนที่ประเทศไทยเขารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ประเทศไทยมีความพร้อมสูงสุดประเทศหนึ่งในภูมิภาคนี้ในการที่จะรองรับการลงทุนที่ต้องการพลังงานบริสุทธิ์  ปตท. เป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นองค์กรที่ทำให้ประเทศไทยมีจุดแข็งในด้านนี้  อย่างไรก็ตาม นายกฯ ขอให้ทุกคนอย่า ลด ละ ในการที่จะพัฒนาเรื่องนี้ต่อไป  ต้องทำให้เราไปถึงจุดมุ่งหมายได้และดึงดูดนักลงทุนที่มีความต้องการลงทุนในการพึ่งพาพลังงานบริสุทธิ์ ซึ่งเชื่อว่า ปตท. สามารถทำได้และทำดีอยู่แล้ว

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี  กล่าวถึง การสร้างแรงบันดาลใจของคนรุ่นใหม่ที่มองเข้ามาบริษัทใหญ่ๆอย่าง ปตท. บริษัทที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก อยากให้ ปตท.มีส่วนปั้นพัฒนาดูแลเยาวชนที่เพิ่งเข้ามาในวงการธุรกิจ  ปั้นพัฒนาให้เขาเป็นเจ้าสัวน้อยให้ได้ไม่ใช่แค่ให้เขามาอยู่ภายใต้ของบริษัท ปตท. หลายคนอาจจะเข้าใจว่า ปตท.จ้างสนับสนุนเป็นแหล่งงานให้กับคนรุ่นใหม่มากมาย  ตนเชื่อว่า หลายคนมีความต้องการที่จะแตกต่างกันไป หลายคนมีความต้องการทำงานเป็นพนักงานของ ปตท. หลายคนต้องการให้เป็นหน่วยงานช่วยปั้นให้เขาเป็นเจ้าสัวตัวน้อยได้และพัฒนาต่อไปเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ

“วันนี้ถือเป็นวันดีที่มีนักธุรกิจชั้นนำ มีอดีตผู้ว่าการ ปตท. มีผู้ที่มีอุปการคุณ  คณะกรรมการที่มารวมตัวกันอยู่ในที่นี้  มาเฉลิมฉลองความสำเร็จของ ปตท.  ซึ่งเชื่อว่าภารกิจอันยิ่งใหญ่ของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยยังไม่จบเพียงแค่นี้ ขอเป็นกำลังใจเป็นแรงใจ ขอเป็นเพื่อนที่เดินเข้ามาไปด้วยกันในอนาคตที่สดใสเพื่อจะยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนให้ดีขึ้นควบคู่ไปกับ ปตท.” นายกฯ กล่าว

Advertisement

ก.พลังงาน – ก.พาณิชย์ ผนึกกำลังตรวจสอบตู้จ่ายน้ำมัน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 เมษายน 2567 ก.พลังงาน และ ก.พาณิชย์ ผนึกกำลังตรวจสอบตู้จ่ายน้ำมันและมาตรวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิง ของสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ ต่อเนื่อง หากแก้ไขดัดแปลงคลาดเคลื่อน โทษสูงสุดจำคุก 7 ปี ปรับ 280,000 บาท

กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน ลงพื้นที่ร่วมกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์เพื่อตรวจสอบหัวจ่ายและตู้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงทุกเครื่องว่ามีการแก้ไขดัดแปลงทำให้มาตรวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงเกิดความคลาดเคลื่อนหรือไม่ และเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าประชาชนผู้ใช้น้ำมันได้น้ำมันเต็มปริมาตรต่อลิตร

นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า สืบเนื่องจากกรณีการจ่ายน้ำมันให้ประชาชนไม่เต็มลิตรของสถานีบริการน้ำมันที่ผ่านมา กรมฯได้ร่วมกับกรมการค้าภายในและสำนักงานพลังงานจังหวัดทั่วประเทศ ออกตรวจสอบตู้จ่ายและหัวจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างต่อเนื่อง บนถนนสายหลักที่เป็นเส้นทางการเดินทางของประชาชนและเส้นทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน

ทั้งนี้กรมธุรกิจพลังงานเน้นการตรวจสอบว่ามีการแก้ไขดัดแปลงตู้จ่ายและหัวจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจากที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ หากพบว่ามีการแก้ไขดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาต จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรมการค้าภายในตรวจสอบมาตรวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นไปตามมาตรฐานและตามกฎหมายที่กำหนด ซึ่งประชาชนสามารถตรวจสอบเพื่อสร้างความมั่นใจในเบื้องต้นได้จากเครื่องหมายคำรับรองที่แสดงอยู่บริเวณตู้จ่ายน้ำมัน หากพบว่ามีปริมาณน้ำมันคลาดเคลื่อนไม่เป็นไปตามกฎหมาย โดยมีเจตนาแก้ไขดัดแปลงหัวจ่ายให้เกิดความคลาดเคลื่อน จะมีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 280,000 บาท

สำหรับผลการตรวจสอบที่ผ่านมา ยังไม่พบหัวจ่ายน้ำมันเครื่องใดมีความคลาดเคลื่อน ปริมาตรน้ำมันได้มาตรฐานเต็มลิตร และมาตรวัดหัวจ่ายมีเครื่องหมายคำรับรองถูกต้อง ซึ่งได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันทุกแห่งเป็นอย่างดี พร้อมทั้งยืนยันว่าได้เข้มงวดเป็นพิเศษ เนื่องจากความถูกต้องเที่ยงตรงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

Advertisement

“สุพัฒนพงษ์” โต้ “ธีระชัย” แจงโครงการไฟฟ้าโซลาร์

People Unity News : 6 พฤษภาคม 2566 “สุพัฒนพงษ์” โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงละเอียดยิบโครงการไฟฟ้าโซลาร์ หวั่นประชาชนเข้าใจผิด หลัง “ธีระชัย” แสดงความเห็นทำให้เกิดความสับสน

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะทีมเศรษฐกิจพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์เฟซบุ๊กตอบส่วนตัว “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” ตอบโต้นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ข้อความว่า คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ได้แสดงความเห็นใน facebook ส่วนตัวเรื่องไฟฟ้าโซลาร์ จึงเห็นว่าข้อมูลที่นำเสนอไม่ครบถ้วน และไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ซึ่งอาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิด จึงขอชี้แจงดังนี้

การรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 8,900 เมกะวัตต์

การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 8,900 เมกะวัตต์ เป็นการทยอยรับซื้อในระยะเวลา 6 ปี ตั้งแต่ปี 2567-2573 เป็นพลังงานสะอาด ราคาถูก ไม่มีค่าพร้อมจ่าย โดยมีราคารับซื้อเพียง 2.0724-3.1014 บาท/หน่วยเท่านั้น ช่วยทำให้ค่าไฟของประเทศถูกลง เพราะไม่ได้ใช้ก๊าซธรรมชาติที่มีความผันผวนด้านราคาสูงที่เป็นสาเหตุให้ค่าไฟแพงในตอนนี้

พลังงานหมุนเวียนที่รับซื้อ 8,900 เมกะวัตต์ คิดเป็นกำลังการผลิตพึ่งได้เพียง 3,700 เมกะวัตต์ เพราะการผลิตไฟฟ้าจากพลังหมุนเวียนไม่สามารถผลิตได้ 24 ชั่วโมง เหมือนโรงไฟฟ้าถ่านหินหรือก๊าซธรรมชาติ เช่น ไฟฟ้าจากโซลาฟาร์ม กลางคืนผลิตไม่ได้ หรือไฟฟ้าพลังลม ถ้าลมไม่พัดก็ผลิตไม่ได้

ในช่วงปี 2567-2573 จะมีโรงไฟฟ้าฟอสซิลขนาดใหญ่ที่มีค่าพร้อมจ่ายหมดอายุ ถูกปลดออกจากระบบคิดเป็นกำลังผลิตประมาณ 9,800 เมกะวัตต์ การรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 8,900 เมกะวัตต์ ที่มีกำลังการผลิตพึ่งได้ 3,700 เมกะวัตต์ เป็นการทดแทนโรงไฟฟ้าฟอสซิลที่จะถูกถอดออกจากระบบ การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนยังเป็นความจำเป็นของประเทศที่จะต้องเพิ่มปริมาณไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดภายใน 3-5 ปีข้างหน้า เพื่อดึงดูดการลงทุน เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และตอบสนองความต้องการพลังงานสะอาดของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเดิม และอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ความเข้าใจผิดในเรื่องการซื้อไฟจาก Solar Rooftop และ Solar Farm รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนติดตั้ง Solar Rooftop เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองมานานแล้ว โดยกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าส่วนที่เหลือใช้กลับคืนเข้าระบบในราคา 2.2 บาทต่อหน่วย ซึ่งสูงกว่าอัตรารับซื้อไฟฟ้าจาก Solar Farm เอกชนรอบล่าสุดที่กำหนดไว้ที่ 2.1679 บาทต่อหน่วย

ปริมาณไฟฟ้าที่รับซื้อของ Solar Rooftop กับ Solar Farm เป็นคนละส่วนกัน ไม่ทับซ้อน ไม่แข่งขันกัน แต่ทั้ง 2 ส่วนช่วยลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเหมือนกัน

Net Metering อย่าผลักต้นทุนไฟ Rooftop ไปให้ผู้ใช้ไฟ 22 ล้านครัวเรือน การรับซื้อไฟฟ้าแบบหักลบกลบหน่วย หรือ Net Metering เป็นเรื่องใหม่ จะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ ไม่สามารถทำได้ทันทีทั่วประเทศ เนื่องจากยังมีข้อจำกัดทั้งในเชิงความเป็นธรรมของผู้ใช้ไฟฟ้า กฎหมายและเทคนิค ดังนี้

1.การรับซื้อไฟฟ้าแบบหักลบกลบหน่วย อัตราค่าไฟฟ้าที่ครัวเรือนขายออกมา (ราคาขายส่ง) จะต่ำกว่าอัตราค่าไฟฟ้าที่การไฟฟ้าจัดหาให้ครัวเรือนเสมอ (ราคาขายปลีก) ต้นทุนส่วนเพิ่มจากการรับซื้อไฟฟ้าแบบ Net Metering จะถูกกระจายลงค่าไฟในที่สุด ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้ามากจะได้เปรียบครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าน้อยเกิดความไม่เป็นธรรม

2.การผลิตไฟฟ้าไหลย้อนกลับเข้าสู่ระบบจะส่งผลกระทบให้แรงดันไฟฟ้าในระบบไม่สมดุล เนื่องจากไฟฟ้าที่ผลิตจาก Solar มีความผันผวน หากมีการติดตั้ง Solar Rooftop ปริมาณมากกับระบบจำหน่ายไฟฟ้าจะเป็นผลให้อุปกรณ์ไฟฟ้าในระบบเสียหาย ดังนั้น จึงต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ป้องกันใหม่ และเพิ่มขีดจำกัดการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายในหม้อแปลงจำหน่ายลูกเดียวกัน เพื่อรองรับไฟฟ้าที่จะไหลย้อนเข้าสู่ระบบปริมาณมาก ซึ่งค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงระบบจะถูกส่งผ่านไปยังค่าไฟ ทำให้ค่าไฟเพิ่มสูงขึ้น

ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในข้อ 1 และข้อ 2 ประชาชนทุกคนจะต้องรับภาระ ไม่ว่าจะเป็นผู้ติดตั้ง Solar Rooftop หรือไม่ก็ตาม ทำให้ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าน้อยกว่า 500 หน่วยต่อเดือน กว่า 22 ล้านครัวเรือน ( 90% ของผู้ใช้ไฟ) ต้องมารับภาระแทนผู้มีรายได้สูง 2 ล้านครัวเรือน (10%) ที่ใช้ไฟฟ้าเยอะและสามารถติดตั้ง Solar Rooftop ได้

3.การซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประชาชนกับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย จะเกิดภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นทั้งฝั่งการซื้อและฝั่งการขาย ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายรองรับวิธีการคำนวณภาษีจากผลต่างของแต่ละธุรกรรมที่เกิดขึ้น

4.ผู้ผลิตไฟจาก Solar Rooftop จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็น Digital Meter ให้สามารถตรวจสอบคุณภาพไฟฟ้าและปริมาณไฟฟ้าที่ไหลย้อนกลับเข้ามาในระบบไฟฟ้าได้ เพื่อป้องกันการเกิดผลกระทบต่อคุณภาพไฟฟ้า และความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประชาชนในภาพรวม

Advertisement

กระทรวงพลังงานลดราคาน้ำมันเบนซินทุกประเภทลง เริ่ม 7 พ.ย.นี้

People Unity News : 3 พฤศจิกายน 2566 กระทรวงพลังงานลดราคาน้ำมันเบนซินทุกประเภท เริ่ม 7 พ.ย.นี้ ย้ำควรเติมน้ำมันตามประเภทที่คู่มือรถกำหนด ป้องกันเครื่องยนต์ขัดข้อง

นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 ปรับลดอัตราภาษีสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันประเภทน้ำมันเบนซินลง 0.15-1 บาทต่อลิตร ตามสัดส่วนเนื้อน้ำมันเบนซินที่ผสม ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2567 นั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้เห็นชอบให้ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ E10 ในส่วนของแก๊สโซฮอล์ 91 ลง 2.50 บาทต่อลิตร และยังลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ E20 ลงตามอัตราภาษีสรรพสามิตที่เปลี่ยนแปลงตามแนวนโยบายของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่จะส่งผ่านให้การลดภาษีสรรพสามิต ไปลดราคาขายปลีกให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งลดราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ลงมากกว่าอัตราภาษีน้ำมันที่สรรพสามิตที่เปลี่ยนแปลงไป

สำหรับการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซินในครั้งนี้จะให้มีผลตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566-31 มกราคม 2567 โดยมีรายละเอียดดังนี้

น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ลดลง 2.50 บาทต่อลิตร

น้ำมันเบนซิน ULG 95 และ แก๊สโซฮอล์ 95 ลดลงประมาณ 1 บาทต่อลิตร

น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 และ E85 ลดลงประมาณ 80 สตางค์ต่อลิตร

ปัจจุบันแม้ว่าฐานะเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะยังคงติดลบ แต่สถานะของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นหลังจากได้เงินกู้ยืมเข้ามาเติมในระบบ แต่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงมีความผันผวนด้วยปัจจัยกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก และความกังวลในเศรษฐกิจที่ยังคงถดถอย ตลอดจนความไม่สงบจากการสู้รบ ทำให้สภาพคล่องของกองทุนยังมีรายรับน้อยกว่ารายจ่าย อย่างไรก็ตาม เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อการดำรงชีพของประชาชนในช่วงวิกฤตการณ์ด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังคงอยู่ในระดับสูง จึงทำการปรับลดราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซินดังกล่าว สำหรับฐานะเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสุทธิ ณ วันที่ 29 ตุลาคม 2566 ติดลบ 74,292 ล้านบาท แบ่งเป็นติดลบจากบัญชีน้ำมัน 28,938 ล้านบาท บัญชีก๊าซ LPG 45,354 ล้านบาท

“การลดราคาน้ำมันเบนซินทุกประเภทในครั้งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งมาตรการที่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่ต้องการจะช่วยเหลือประชาชนด้วยการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานก็ได้มีการช่วยเหลือประชาชน ทั้งการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร รวมทั้งการลดค่าไฟให้เหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย ซึ่งการลดราคาน้ำมันเบนซินจะมีผลตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ จึงอยากขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการ เตรียมน้ำมันแต่ละชนิดให้เพียงพอกับความต้องการ เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบ รวมทั้งขอให้ประชาชนตรวจสอบการเติมน้ำมันให้เหมาะสมกับรถยนต์ที่ใช้ โดยดูได้จากฝาช่องเติมน้ำมัน คู่มือการใช้รถยนต์ หรือสอบถามที่ศูนย์บริการ เพราะหากเติมผิดประเภทอาจจะทำให้เกิดผลเสียต่อเครื่องยนต์ได้“ นายประเสริฐ กล่าว

Advertisement

ครม. หนุนการใช้รถ EV เคาะ 2 มาตรการ “ลดภาษีประจำปี – เว้นอากรศุลกากร”

People Unity News : 28 กรกฎาคม 2565 ที่ประชุม ครม. (26 ก.ค. 65) เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ที่ประกอบหรือผลิตในเขตปลอดอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร หรือเขตประกอบการเสรีตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นการสนับสนุนแนวทางการดำเนินงานส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า โดยส่งเสริมการผลิตหรือประกอบรถยนต์ไฟฟ้า (ประเภท Battery Electric Vehicle หรือ BEV) ในเขตปลอดอากรหรือเขตประกอบการเสรีในปี 65 – 68

สาระสำคัญ คือ ยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับ (1) รถยนต์นั่ง (2) รถยนต์โดยสาร ที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน และ (3) รถยนต์กระบะ แบบพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ (BEV) ที่ประกอบหรือผลิตในเขตปลอดอากร ตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรหรือเขตประกอบการเสรีตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ร่างประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับ จนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 68

โดยต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ที่กำหนด เช่น ให้นับมูลค่าของเซลล์แบตเตอรี่จากต่างประเทศ สำหรับการนำมาผลิตเป็นแบตเตอรี่ และนำไปผลิตหรือประกอบเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ในเขตปลอดอากร (Free Zone) หรือเขตประกอบการเสรี รวมเป็นต้นทุนการผลิตที่เกิดขึ้นในประเทศสำหรับการคำนวณมูลค่าเพิ่ม ในประเทศได้ไม่เกินร้อยละ 15 ของราคายานยนต์ไฟฟ้า (BEV) หน้าโรงงาน และการยกเว้นอากรสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ดังกล่าว ต้องมีผลรวมของมูลค่าวัตถุดิบ ที่ได้ถิ่นกำเนิดในประเทศไทย มูลค่าวัตถุดิบที่ได้ถิ่นกำเนิดจากประเทศสมาชิก ASEAN มูลค่าของเซลล์แบตเตอรี่ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ต้นทุนค่าแรง ต้นทุนการผลิตอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยเพื่อให้ได้มาซึ่งของนั้น และกำไรไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของราคาหน้าโรงงาน โดยผู้ขอใช้สิทธิต้องเป็นผู้ประกอบการในเขตปลอดอากร ตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรหรือเขตประกอบการเสรีตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

ทั้งนี้ การยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) ที่ประกอบหรือผลิตในเขตปลอดอากรหรือในเขตประกอบการเสรี ในปี พ.ศ. 65 – 68 คาดว่าจะมีการสูญเสียรายได้ประมาณ 36,128 ล้านบาท และอาจจะเพิ่มสูงขึ้นตามปริมาณความต้องการภายในประเทศ แต่จะเป็นการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ในประเทศ และช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (BEV)

Advertisement

ก.เกษตร เร่งแก้ “ปุ๋ยแพง” พัฒนาศูนย์ดินปุ๋ยชุมชน พร้อมผลักดันธนาคารปุ๋ยอินทรีย์

People Unity News : 23 กรกฎาคม 2565 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งแก้ปัญหาราคาปุ๋ยแพงและขาดแคลน ซึ่งเป็นผลกระทบจากการชะลอการส่งออกปุ๋ยของจีนและรัสเซียทำให้ราคาปุ๋ยในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยระยะเร่งด่วน ทำโครงการพัฒนาธุรกิจบริการดินและปุ๋ยเพื่อชุมชน ชดเชยราคาปุ๋ยแก่เกษตรกร ให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ร้อยละ 0.01 เพื่อเสริมสภาพคล่องสถาบันเกษตรกร สนับสนุนงานวิจัยการใช้ปุ๋ยตามการวิเคราะห์ค่าดิน และเจรจาขอซื้อปุ๋ยไนโตรเจนราคาพิเศษจากมาเลเซียตามข้อตกลงว่าด้วยการแบ่งผลิตอุตสาหกรรมอาเซียน

ในระยะกลางและระยะยาว ได้ส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตปุ๋ยภายในประเทศ ตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพราคา และเจรจากับประเทศอื่น ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนแม่ปุ๋ย หรือกำหนดราคาแม่ปุ๋ยให้เกิดเสถียรภาพทั้งด้านปริมาณและราคา นอกจากนี้ ยังได้ขับเคลื่อนการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทดแทนปุ๋ยเคมี โดยมีหมอดินอาสาถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกร เช่น การใช้ปุ๋ยและพัฒนาดินตามผลวิเคราะห์ค่าดินรายแปลง ส่งเสริมการไถกลบตอซัง ใช้น้ำหมักชีวภาพและปุ๋ยอินทรีย์จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร รวมถึงผลักดันการตั้งธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ สร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างรายได้ ให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง

Advertisement

สำนักงานสลากฯ เพิ่มช่องทางขายสลากดิจิทัล ให้ผู้ขายเดินขายสลากบนไอแพด-มือถือได้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 มกราคม 2567 สำนักงานสลากฯ พร้อมปรับปรุงช่องทางการจำหน่ายสลากผ่านแผงสลากดิจิทัล และทำ Sandbox สลากแบบ N3 ภายในกลางปีนี้

วันนี้ (12 มกราคม 2567) เวลา 11.30 น. ที่ห้องประชุมอเนกประสงค์ ชั้น 3 สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลในปีที่ผ่านมา เป็นไปตามเป้าหมาย โดยสามารถนำส่งเงินเข้ารัฐเป็นรายได้แผ่นดินสูงถึง 48,550.83 ล้านบาท

สำหรับการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก ทั้งแบบใบ 80 ล้านฉบับ และแบบดิจิทัล 22 ล้านฉบับ รวม 102 ล้านฉบับ ได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สลากแบบดิจิทัล ที่ขายผ่านแอป “เป๋าตัง” สลากขายหมดก่อนวันออกรางวัลทุกงวด เนื่องจากผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อเลขที่ต้องการได้ในราคา 80 บาททุกใบ และสะดวกในการรับเงินรางวัล ที่ระบบตรวจผลรางวัลให้อัตโนมัติและโอนเงินรางวัลได้ภายใน 2 ชั่วโมง ทุกรางวัลรวมทั้งรางวัลที่ 1 อย่างไรก็ตาม การพิจารณาเพิ่มปริมาณสลากแบบดิจิทัลจะยังคงเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาด และไม่ให้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับผู้จำหน่ายสลากแบบใบ โดยในงวดวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567 จะเพิ่มสลากฯ แบบดิจิทัล เป็น 23 ล้านฉบับ และคาดว่าในปี 2567 จะทยอยเพิ่มเป็น 25-30 ล้านใบ เพื่อให้ตรงกับความต้องการซื้อของพี่น้องประชาชน พร้อมทั้งปรับปรุงช่องทางการจำหน่ายสลาก เป็นแผงจำหน่ายสลากดิจิทัล เพื่อให้ผู้ขายได้มีโอกาสปรับตัวในการขายสลากแบบดิจิทัลได้ดียิ่งขึ้น

“หลังสำนักงานสลากฯ ได้ปรับรูปแบบการขายสลากดิจิทัล โดยผู้ขายสามารถเดินขายสลากแบบแผงสลากบนไอแพด และโทรศัพท์มือถือได้ วิธีการดังกล่าว ถือเป็นการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสลากดิจิทัลให้มากขึ้น เพราะมีลักษณะคล้ายกับการจำหน่ายสลากแบบมีแผงจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเลขให้กับลูกค้าประจำ หรือการลดราคาสลาก เป็นต้น โดยการปรับปรุงช่องทางการจำหน่ายจะแล้วเสร็จและเริ่มใช้ได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567” ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลกล่าว

ในส่วนของสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลข 3 หลัก หรือ N3 นั้น เนื่องจากมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาหวยใต้ดิน สำนักงานสลากฯ จะทดลองดำเนินการในลักษณะของ Sandbox  เพื่อทดสอบช่องทางการจำหน่าย การกำหนดราคาขาย รวมถึงเงินรางวัลที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ซื้อให้มากที่สุด คาดว่าจะพร้อมเริ่มดำเนินการ  Sandbox ของสลากตัวแลข 3 หลัก หรือ N3 ได้ในช่วงกลางปี 2567 และโดยที่ปัจจุบันมีความท้าทายรูปแบบใหม่ คือหวยจากประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งเว็บขายสลากออนไลน์ที่อ้างอิงผลรางวัลจากประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงเว็บขายสลากออนไลน์อื่นๆ ที่ใช้ผลรางวัลของสำนักงานสลาก รวมถึงการนำสลากใบไปโหลดขาย ดังนั้น คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล จึงมอบหมายให้สำนักงานสลากฯ ไปศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อรองรับความท้าทายรูปแบบใหม่ และตอบโจทย์ผู้ซื้อต่อไป

สำหรับการจำหน่ายสลากผ่านตู้จำหน่ายต่างๆ ในลักษณะแฟรนไชส์ โดยไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามีสลากจริงหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือขายเกินราคา รวมทั้งการนำสลากกินแบ่งรัฐบาลไปจำหน่ายต่อตามแพลตฟอร์มต่างๆ พฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้ คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้กำชับให้สำนักงานสลากฯ เร่งดำเนินการแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หาแนวทางในการดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนผู้ซื้อสลากด้วยความบริสุทธิ์ใจต้องได้รับความเดือดร้อน ทั้งนี้ ในบางกรณีกำลังอยู่ระหว่างจัดทำหนังสือแจ้งเหตุพฤติการณ์ไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อรับเป็นคดีพิเศษต่อไป

รัฐบาลเผยให้ความสำคัญ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย

People Unity News : 5 กันยายน 65 โฆษกรัฐบาล เผย รัฐบาลให้ความสำคัญ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ครึ่งปีแรก 2565 ส่งเสริมแล้ว 309 โครงการ มูลค่ารวม 131,580 ล้านบาท

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนในประเทศ โดยเน้นการสนับสนุนการลงทุนใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S-Curve) รวมทั้งสร้างแรงจูงใจดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศให้มากขึ้นนั้น ในเดือนมกราคม-มิถุนายน 2565 มีการขอรับการส่งเสริมในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยอุตสาหกรรมการเกษตรและแปรรูปอาหารมีจำนวนโครงการสูงสุด และอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนมีมูลค่าเงินลงทุนสูงที่สุด

นายอนุชากล่าวว่า ในเดือนมกราคม-มิถุนายน 2565 มีโครงการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริม จำนวน 750 โครงการ และมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 375,670 ล้านบาท โดยเป็นการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย จำนวน 309 โครงการ จาก 5 อุตสาหกรรมเดิมที่เป็นเป้าหมาย (ยานยนต์และชิ้นส่วน, เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, การเกษตรและแปรรูปอาหาร, ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์, การท่องเที่ยว) และ 7 อุตสาหกรรมใหม่ที่เป็นเป้าหมาย (ดิจิทัล, การแพทย์, เทคโนโลยีชีวภาพ, ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์, อากาศยาน, พัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการศึกษา, ป้องกันประเทศ) คิดเป็นร้อยละ 41 ของจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมทั้งสิ้น มีมูลค่ารวม 131,580 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 35 ของมูลค่าการอนุมัติให้การส่งเสริมทั้งหมด โดยจำนวนโครงการส่วนใหญ่ เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมการเกษตรและแปรรูปอาหาร มีจำนวนโครงการสูงที่สุด (80 โครงการ) รองลงมาคือ อุตสาหกรรมดิจิทัล (72 โครงการ) ส่วนมูลค่าการลงทุนจะเห็นได้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนมีมูลค่าเงินลงทุนสูงที่สุด (40,260 ล้านบาท) รองลงมาคือ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (34,080 ล้านบาท)

สำหรับอุตสาหกรรมการเกษตรและแปรรูปอาหาร ที่มีการอนุมัติให้การส่งเสริมเป็นจำนวนโครงการสูงที่สุด 80 โครงการ เงินลงทุนรวม 24,620 ล้านบาท เช่น กิจการผลิตอาหารสัตว์หรือส่วนผสมอาหารสัตว์ 14 โครงการ เงินลงทุน 10,995 ล้านบาท เป็นต้น ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ที่มีการอนุมัติให้การส่งเสริม 43 โครงการ เงินลงทุนรวมสูงที่สุดคือ 40,260 ล้านบาท เช่น กิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Battery Electric Vehicle (BEV), Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) และ Hybrid Electric Vehicle (HEV) 1 โครงการ เงินลงทุน 36,100 ล้านบาท เป็นต้น

“รัฐบาลให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้มแข็ง นำไปสู่การพัฒนาประเทศในอนาคต ส่งผลให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถแข่งขันได้กับต่างประเทศ ซึ่งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะเร่งขับเคลื่อนให้ไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยโครงการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมในเดือนมกราคม-มิถุนายน 2565 คาดว่าจะทำให้มูลค่าส่งออกของประเทศเพิ่มขึ้นประมาณ 384,430 ล้านบาทต่อปี สร้างการเติบโตและความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้ไทยในอนาคตอย่างต่อเนื่อง” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics